วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 17:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 04:56
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สอบถามพระอาจารย์ หรือผู้รู้แจ้ง จากข้อความด้านล่าง

การทำกรรมฐานเป็นการชำระจิตให้หมดจดผ่องแผ้วจากอุปกิเลสทั้งมวล
ถ้ากรรมฐานใด ยังทำเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ทำโดยอิงอาศัยให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ดลบันดาลให้
ก็คงคลาดจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า "ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ส่วนการเดิน
(ทางอริยมรรค) เธอทั้งหลายต้องทำกันเอาเอง"

"กรรมฐานที่สอนกันส่วนมากในปัจจุบันนี้ สอนอิงลาภบ้าง อิงสิ่งศักดิ์บ้าง เป็นกรรมฐานพอกพูนกิเลส ไม่เป็นกรรมฐานเพื่อชำระกิเลส ไม่เป็นกรรมฐานแท้ๆ แบบพุทธะ ยิ่งสอนยิ่งไกลจากพุทธศาสนา"

จากข้อความด้านบนที่คัดลอกมาจากเว็บบอร์ดลานธรรมจักร ทำให้คิดได้ถึงข้อสงสัยของข้าพเจ้าที่สงสัยอยู่ในใจมาตลอดจนปัจจุบันและยังไม่เคยถามพระอาจารย์ท่านใดเพราะเวลาอยู่ใกล้ผู้รู้ก็ลืมทุกทีจึงอยากถามผู้รู้ว่า..

“(ถ้าบุญมีจริง) ข้าพเจ้าอยากถามว่า การทำบุญ เพราะ อยากได้บุญ หวงบุญอยากได้ไว้คนเดียว หรือไว้ให้เฉพาะพ่อแม่ และพี่น้อง ไม่อยากแบ่งให้ญาติคนอื่นที่ไม่สนิท, เพื่อน หรือใครอื่น หรือไม่อยากให้บุญถูกแชร์ถูกแบ่งมากจนเกินไปเดี๋ยวจะเหลือถึงตัวเราน้อยเข้าใจถูกหรือไม่ (แล้วถ้าแบ่งบุญกระจายให้ผู้อื่นมากๆ จะเหลือถึงเราน้อยหรือไม่ แล้วการแผ่บุญกุศลให้หลายฝ่ายแต่ละฝ่ายจะได้เท่ากันหมดหรือต้องหารเท่ากันหมดหรืออย่างไร แล้วบุญมีปริมาณหรือไม่มีหน่วยเป็นอะไร) ถือเป็นกิเลสหรือไม่ เป็นสิ่งผิดหรือไม่ (แล้วกิเลสมีความหมายที่แท้จริงโดยละเอียดอย่างไรมีแบ่งประเภทหรือไม่ เช่นกิเลสดี กิเลสที่ไม่ดี)“ โปรดรบกวนผู้รู้โปรดชี้แจงบอกกล่าวอธิบายให้เข้าใจด้วยครับ จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งคำถามครับ(แหมรู้สึกเกรงใจ)
“และ การปฏิบัติธรรม ถือศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่ออยากพ้นทุกข์ อยากมียานวิเศษอัญเชิญเหล่าเทพเทวาได้(ปาฏิหารย์เหนือคนปกติ) อยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครอง อยากให้ชีวิตดีขึ้น อยากให้หมดเคราะห์ อยากให้มีโชคมีลาภ อยากให้ค้าขายร่ำรวย อยากให้เรามีสุขภาพแข็งแรง อยากให้พ่อแม่แข็งแรงปราศจากโรคภัย และอีกหลายๆ อยากที่มนุษย์อยากให้มีให้ดีขึ้นทั้งหมดทั้งปวง “ เหล่านี้ถือเป็นกิเลส หรือไม่ และจะเป็นจริงได้หรือไม่ในสิ่งที่อยากให้เป็น และควรจะคิดหรือปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ท้ายสุดๆครับ แล้ว บุญ บาป มีจริงหรือไม่ มีรูปล่างลักษณะอย่างไร ส่งผลอย่างไรต่อผู้มี
ขอบคุณสุดๆ ครับ

โปรดชี้แนะด้วยครับอาจมีข้อสงสัยและคำถามมากไปหน่อยก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ (ช่วยชี้ทางสว่างให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด สาธุ )

จาก ผู้อยากศึกษา อยากทำแต่ความดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่ทั้งอาจารย์และผู้รู้ค่ะ แต่มาร่วมสนทนาด้วย

ปฏิบัติใหม่ๆ ส่วนมากก็ปฏิบัติด้วยกิเลสทั้งนั้นแหละค่ะ

ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากเห็น ล้วนเป็นกิเลสค่ะ

พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ ผลของการปฏิบัติ จะทำให้จิตใจเราสะอาดขึ้น

จิตใจเราสะอาดขึ้น ศิลเราย่อมสะอาดขึ้น

เมื่อจิตใจเราสะอาดขึ้น ตัณหา ความทะยานอยากย่อมลดน้อยลงไปเรื่อยๆค่ะ



บาปและบุญนั้นมีจริงค่ะ ... ให้เอาการกระทำเป็นหลัก ...ส่งผลอย่างไร

ก็เราทำอย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้นแหละค่ะ อยากได้แบบไหนก็ทำเอาค่ะ :b12:

เช้านี้หัวสมองยังตื้อๆอยู่ รอสักพักค่ะ จะมีคนมาร่วมแสดงความคิดเห็นอีกเยอะ


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวพุทธควรมีสัมมาทิฐิเป็นพื้นฐาน
โดยเฉพาะ ควรเชื่อในเรื่องของบาป - บุญคุณโทษ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ยัง กัมมัง กะริสสามิ
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสามิ
เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะเป็นทายาท
คือว่าเราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆสืบไป

ส่วนเรื่องแบ่งบุญนั้น ยิ่งเรามีเมตตา มีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่เราคิดเท่านั้นเราก็สบายใจแล้ว เพราะเป็นความคิดที่แผ่เมตตาปรารถนาดีต่อเขา เราจึงควรอยู่กันด้วยความรัก เลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรแก่กันและกัน

การที่เราจุดเทียนแล้วเราให้คนอื่นได้มาขอจุดต่อจากเรา
จากเทียนเล่มแล้วเล่มเล่าไปทั่วปฐพี จะมีแต่ความสว่างไสวเพิ่มมากขึ้น

ขอกราบบอนุโมทนาบุญ สาธุ......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็ยังไม่ใช่ปราชญ์แต่จะลองเสนอความคิดเห็นดูนะครับ
บุคคลย่อมสะสมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ เช่นมูลนิธิ เพื่อใช้ในการต่างๆ แต่การสั่งสมสิ่งต่างๆก้ไม่เท่ากับสั่งสมบุญ หรือบุญนิธิ เพราะ โจรมิอาจลักขโมยไปได้ ยังความสุขความเจริญให้แก่ชีวิต ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นเครื่องป้องกันภัยในวัฏสงสาร ในพุทธพจน์ก็มีกล่าวว่า เธอทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย บุญนี้เป้นชื่อของความสุข
ความมีรูปสวย ความมีผิวพรรณงาม ความมีอายุยืน หรือ การมีบริวารมาก ล้วนสำเร็จได้ด้วยบุญ แม้แต่การบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าก็เนื่องมาจากบุญ บุญจึงเป็นสิ่งที่น่ากระทำจริงๆ
เรื่องบุญบาป จะอธิบาย ก็ต้องยกตัวอย่างนิดหน่อยเพื่อให้เห็นภาพ หากเราจะพูดถึงความสะอาดของผ้า หรือความคมของมีด เราก็ต้องยกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นขึ้นมาด้วย เพระเป้นสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อพูดถึงบุยและบาป ก็ต้องกล่าวถึงจิต เพราะบุญและบาปเป้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต การกระทำใด้ทั้งกายวาจา และใจ ยังผลให้จิตมีคุณภาพดีขึ้น สะอาด ขึ้น ก็ถือเรียกว่าบุญ และการกระทำใดๆ ทั้งกายวาจา และใจ ที่ทำให้จิตเสื่อมทราม ทรุดโทรม เศร้าหมอง ล้วนเรียกว่าบาป พูดอีกอย่างก็คือ ภาวะที่จิตมีสภาพดีขึ้น สะอาดผ่องใสขึ้น นั่นก็คือบุญได้เกิดขึ้นแล้ว
ความอยากได้ อยากมีอยากเป้น นั้นเรียกว่า ตัณหา ไม่แน่ใจว่า ตัณหานั้นถือว่าเป็นกิเลสหรือไม่
พระพุทธศาสนานั้นมุ่งให้ผู้ปฏิบัติได้รับประโยชน์ ซึ่งก็มีอยู่ใน3ระดับ คือประโยชน์ในชาตินี้ มีชีวิตที่ความสุข ความเจริญ ประโยชน์ในชาติหน้า เกิดมาในภพชาติต่อไปก็ได้เกิดที่ดีๆ อยู่ในถิ่นที่มีความสุข และประโยชน์สูงสุด คือบรรลุพระนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดให้ได้รับทุกข์ใดๆอีก นั่นก็คือ เมื่อศึกษาปฏิบัติ ก็เพื่อพัฒนาชีวิตให้มีความก้าวหน้า ซึ่งคำสอนที่แสดงเด่นชัดในเรื่องนี้ นั่นก้คือ หลักมงคลชีวิต 38 ประการ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอแจมด้วยคนเช่นกันค่ะ ไม่ใช่ผู้รู้ แต่เป็น"ผู้อยากรู้"ค่ะ
เมื่อก่อนเวลาทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ หรือแม้กระทั่งทำทาน จะอธิษฐานขอพร
แบบยาวเหยียดเลย ตัวเองยังจำไม่ได้เลย ไม่ทราบว่าเทวดาฟ้าดินที่เราขอท่านจะจำ
ได้หมดหรือเปล่า? แรกๆที่เริ่มบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม ก็ยังขอ ขอให้ร่ำรวย ขอให้มี
ชีวิตที่ดี ขอนั่นขอนี่ พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ การขอน้อยลงเรื่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ขอนิดเดียวว่า
"ขอให้ชนะกิเลสทั้งปวง มีความเพียรอย่างต่อเนื่อง และเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาล
เบี้องหน้าโน้นเทอญ"
เราจะรู้ว่าที่สุดแล้วเราอยากได้อะไร?

เคยอ่านหนังสือถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นของ หลวงพ่อจรัญ (ถ้าผิดต้องขออภัย) ท่าน
กล่าวว่า "บุญเหมือนเทียนที่เราสามารถจุดต่อให้ใครๆได้แบบไม่มีที่สุด ยิ่งต่อยิ่งสว่าง
โดยที่เทียนของเราก็ไม่ได้ลดความสว่างไปเลย" พระพุทธองค์ท่านก็ทรงตรัสไว้ว่า พวกเรา
เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารนี้มานานมาก น้อยนักที่ไม่เคยเกี่ยวพันกัน ก็หมายความว่า
เราสลับสับเปลี่ยนกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อแม่ คู่รัก ศัตรูกันไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลล์มาแล้ว คุณยัง
ห่วงบุญเอาไว้ให้แต่เฉพาะญาติพี่น้องในชาตินี้เท่านั้นหรือค่ะ? อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุญนี่แปลกครับ

ยิ่งให้ยิ่งได้ครับ
ใจกว้างไม่ติดยึด ยิ่งบริสุทธิ์


ยิ่งให้ ยิ่งทำ ยิ่งได้
แปลกอย่างนี้เอง :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:คุณผู้ตั้งกระทู้ และ กัลยาณมิตรที่ให้คำอธิบายทุกท่านค่ะ
อ่านแล้วมีความสุขใจจริงๆค่ะ
:b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:

เคยอ่านหนังสือถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นของ หลวงพ่อจรัญ (ถ้าผิดต้องขออภัย) ท่าน
กล่าวว่า "บุญเหมือนเทียนที่เราสามารถจุดต่อให้ใครๆได้แบบไม่มีที่สุด ยิ่งต่อยิ่งสว่าง
โดยที่เทียนของเราก็ไม่ได้ลดความสว่างไปเลย" พระพุทธองค์ท่านก็ทรงตรัสไว้ว่า พวกเรา
เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารนี้มานานมาก น้อยนักที่ไม่เคยเกี่ยวพันกัน ก็หมายความว่า
เราสลับสับเปลี่ยนกันเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อแม่ คู่รัก ศัตรูกันไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลล์มาแล้ว คุณยัง
ห่วงบุญเอาไว้ให้แต่เฉพาะญาติพี่น้องในชาตินี้เท่านั้นหรือค่ะ? อนุโมทนา เจริญในธรรมค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:



สาธุครับ
ว่าจะให้ คห แบบนี้เหมือนกัน เพราะมีปรากฏในขุททกนิกาย
มีคนแสดง คห แล้ว ก็เป็นอันว่า เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตักบาตรถามพระ เขียน:
บุญนี่แปลกครับ

ยิ่งให้ยิ่งได้ครับ
ใจกว้างไม่ติดยึด ยิ่งบริสุทธิ์


ยิ่งให้ ยิ่งทำ ยิ่งได้
แปลกอย่างนี้เอง :b8: :b8: :b8:


เห็นด้วยอย่างยิ่งจ่ะ

เพราะข้าน้อยก็ได้รับผลตอบแทนจากการให้เช่นกัน

ให้ในที่นี้คือให้บุญกุศล ภาวนาอุทิศให้ทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่เจ้ากรรมนายเวร เทวดา นางฟ้า ดวงวิญญาณ เจ้าป่า เจ้าไพร พยายมราช ฯลฯ

และการทำทานต่างๆ หรือแม้แต่การเสียสละอุทิศตัวเองในบางเรื่อง ก็เป็นการทำทานเหมือนกัน

และต้องรักษาศีลด้วยเพราะเวลาภาวนาก็จะเกิดผล

ทาน+ศีล+ภาวนา=บารมี :b12:

และข้าน้อยก็เลยพบว่า บุญนั้นส่งถึงพวกเขาได้จริงๆในทุกภพทุกภูมิ

ทำให้เรารู้ว่ากุศล ยิ่งทำ ยิ่งได้ ให้แก่ใจที่เป็นบริสุทธิ์ ผลกลับมา นอกจากจะทำให้ชีวิตทางธรรมเราดีแล้ว ชีวิตทางโลกของเราก็ดีด้วย ผู้ใหญ่เมตตา งานเข้า ทุกภพทุกภูมิก็เห็นเราเป็นมิตรจ่ะ

โมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยจ่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาจิตใจคนเรามี 3 สถานะเท่านั้น คือ
เฉยๆ / มีควาสุข / และมีความทุกข์
ภาษาพระเรียกว่า
-กุศลจิต - กุศล - บุญ
-อกุศลจิต - อกุศล - บาป
- อัพยากตาจิต หรือจิตไม่บุญแต่ไม่บาป บางครั้งไปไปเข้ากับบาปก็ไปส่งเสริมบาปให้แรง เช่น ขยันฆ่า ขยันปล้น บางทีไปผสมกับบุญ ก็เป็นขยันทำทาน ขยันทำดี)

ตอนมีความสุขนั่นแหละ สภาวะที่จิตเป็นบุญ (มีความหมายลึกซึ้งกว่านี้นะ เริ่มต้นอย่างนี้ไปก่อน)

บุญเป็นสิ่งแสดงออกของจิต มีลักษณะเบา สบาย ว่องไว กระฉับกระเฉง
เมื่อใดรู้สึกทำนองนั้น ก็เรียกว่าบุญ จิตกำลังเสวยบุญ
"บุญเป็นชื่อของความสุข"

ทำนองเดียวกันบาปก็เป้นสิ่งแสดงออกของจิตที่มีลักษณะตรงข้ามกับบุญ
คือจะดัน เครียด เดือด ร้อน บางครั้งโหย หิว บางครั้งก็มืดมนๆ ไม่คล่องแคล่ว เฉื่อยชา ล่องลอย หลงไหล


สรุปอย่างง่ายว่าบุญบาปคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา
ความรู้สึกนะ ไม่ใช่ความคิด
คนเราชอบคิดอะไรเพื่อหลอกตัวเอง เช่นว่าฉันรักชาติ ฉันเลยต้องฆ่า ต้องทำลาย
นี่คือกิเลสมันลากเอาไปรับประทานแล้ว เพราะไปเชื่อความคิด แต่ไม่ดุลงไปที่ความรู้สึกจริงๆว่า
ความรู้สึกแบบนี้มันเป็นสภาวะของจิตบาป
สิ่งใดทีแตกออกไปจากจิตบาป ไม่ว่าจะทำอะไรดีแค่ไหนก้บาป

ถ้าเราอยากรู้ว่าบุญบาปหน้าตาเป้นอย่างไรก้ให้ดุลงไปที่ใจของตัวเราเอง
เคยมีเมตตาไหม นั่นแหละความสุข นั่นแหละบุญ
เคยโกรธไหม นั่นแหละบาป นั่นแหละอกุศล

ถามว่ามากน้อยอย่างไร ก็ใจเราอีกนั่นเอง
ที่สามารถจะทราบว่ามันมีขอบเขตปริมาณอย่างไร

บุญที่ไปเข้าใจว่ามีการโอนให้กัน ที่จริงมันให้กันไม่ได้
แต่เราใช้บุญของเขามาต่อบุญของเรา
เปรียบเทียบง่ายๆว่าวันนี้มีคนมาบอกเราว่า เขาไปทำความดีมา เขาไปทำแล้วเขาระลึกถึงเรา เขาทำบุญให้เรา เมื่อเราได้ยินดังนั้นเราก้บังเกิดความ"ประทับใจ ซาบซึ้งใจ มีความสุข"
กระบวนการนี้เรียกว่า "บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา"
คือเรามีความยินดีที่ได้รับรู้ถึงบุญ แต่ถามว่าเขาทำบุญให้เราใช่ไหม ก้ตอบว่าใช่
แต่ไม่ใช้ว่าเราเอาจำนวนบุญของเขามา แล้วจำนวนบุญของเขามันลดทอนลงไปมาอยู่กระเป๋าเรา

เปรียบเทียบง่ายๆอีกอย่าง มีคนยิ้มแย้มให้เราอย่างไมตรี เราก็บังเกิดความสุขขึ้นมา
ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ไปหักทอนเอาจำนวนความสุขมาจากเขาเลย เขามีของเขาเท่าเดิม
แต่ว่าเรากลับมีความสุขในส่วนของเรา ส่วนจะมากน้อยอันนี้มันเป้นการปรุงแต่งของเราเอง

บุญบาปเป็นสิ่งที่จิตเราปรุงแต่งเอาเอง
ทวารทั้ง 5 รับข้อมูลเข้ามา แล้วด้วยความรวดเร้วมันจะแปลงเป้นความรู้สึก
ความรู้สึกนี่แหละที่เราปรุงแต่งอย่างรวดเร้วจนเราสังเหตุไม่ทัน
ได้ยินอย่างนี้จิตก็สร้างบาปทันที ได้ยินอย่างโน้นจิตก้สร้างบุญทันที

การจะสามารถทราบถึงบุญบาปได้จริงๆนั้นๆ ไม่ใช่อาศัยการคิดพิจารณาใดๆ
แต่ว่าเราต้องหมั่นสังเกตุความรู้สึกของเราว่า ความรู้สึกแต่ละขณะๆที่เราจับได้นั้น
มันรู้สึกอย่างไร

เราไม่ใช้ความคิดไปพยามพิเคราะห์ความรู้สึกนะ
แม้แต่ผลผลิตของความรู้สึก เราก็ไม่พยามจะไปขบคิด
แต่ให้รับรู้ไปตรงๆทั้งต้นเหตุและผลลัพธ์
เราแค่ทำหน้าที่"เปิดใจรับรู้" ความรู้สึกทั้งปวงก็พอ

เหมือนละครสัตว์
ที่สัตว์ป่ามันทำอะไรได้ต่างๆนาๆ มันไม่ใช่ว่ามันคิดอ่านแสนรู้อะไร
แต่มันหมั่นสังเกตุทีละเล็กทีละน้อยเป้นนับครั้งไม่ถ้วนว่า
ทุกครั้งที่มันทำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทำดีได้ดี ทำไม่ดีโดนดุ
ทำอย่างนี้เจ้าของจะให้อาหารมัน ทำอย่างนั้นโดนแส้เจ้บแสบ

เมื่อมันเริ่มจำได้ว่าทำอย่างนี้ได้อาหาร ทำอย่างนั้โดนดุ มันก้จะเกิดความรู้ขึ้นมาเองว่า
จิตทำอย่างนี้แล้วมีผลเป้นทุกข์ จิตทำอย่างนี้มีผลเป้นสุข
จิตทำอย่างนี้หลุดพ้นทั้งทุกข์ทั้งสุข

อยากเข้าใจธรรม ให้เจริญสติเนืองๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร