วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 146 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b51: :b53: สุขทุกข์ในมือเรา :b53: :b51: ..

รูปภาพ

อย่าลืมว่าชีวิตจะสุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่เราเป็นสำคัญ
ไม่ใช่เพราะคนอื่นหรือเหตุอื่น...
ชีวิตไม่อาจเป็นไปดังหวังได้หมด
เปรียบไปก็ไม่ต่างกับเกมกีฬาที่ต้องมีแพ้ชนะ
ใครที่หวังชัยชนะไปเสียทุกครั้งก็เตรียมตัวทุกข์ใจไว้ได้เลย

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่า
ให้เตรียมตัวเป็นผู้แพ้แต่อยู่ในมุ้ง

หามิได้ ใครที่คิดเช่นนั้นก็คงงอมืองอเท้าตั้งแต่แรก

...................

คนเราควรพากเพียรอย่างเต็มที่ แต่ใครเล่าที่จะกำหนดผลสำเร็จไปได้หมด
คนที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ต้องรู้จักแพ้ให้เป็น ฉันใด ในยามที่ชีวิตตกต่ำ
บัณฑิตพึงรู้จักทำใจให้เป็นฉันนั้น

แต่คนเรามักทำใจไม่ได้ เพราะคอยหวนคะนึงถึงวันคืนอันชื่นบาน
สมัยยังมั่งมีศรีสุข หรือยังมีหน้ามีตา

แต่อดีตมีไว้เพื่อเป็นฐานหนุนส่งให้เกิดปัจจุบัน เพื่อก้าวไปสู่อนาคต

ใครที่เอาอดีตมาเหนี่ยวรั้งตนไว้ไม่ให้ไปข้างหน้า
ก็เท่ากับเป็นนักโทษในกรงขังของตัวเอง

...................

ชีวิตนั้นให้รางวัลก็แต่ผู้ที่อยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นของจริง

จริงอยู่บ่อยครั้งที่ปัจจุบันมีแต่เรื่องระทมทุกข์ อดีตนั้นน่าพิสมัยมากกว่า
แต่ถ้าเราจะหวนไปหาอดีตบ้างก็ควรเป็นชั่วครู่ชั่วขณะ
เพื่อชุบชูจิตใจให้ชื่นบานจะได้มีกำลังมาฟันฝ่าชีวิตในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าชีวิตจะสุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่เราเป็นสำคัญ
ไม่ใช่เพราะคนอื่นหรือเหตุอื่น เช่นเดียวกับความจนและความรวยนั้น
อยู่ที่มุมมองของเรา

..................

คนไทยเป็นอันมากกำลังทุกข์เพราะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองยากจนลง
ตราบใดที่ยังจมอยู่กับความคิดแบบนี้ก็ไม่มีวันคลายทุกข์ไปได้

แต่เราลืมไปแล้วหรือว่า
ชีวิตความเป็นอยู่ของเราตอนนี้ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าบางช่วงในอดีต

ลองมองไปรอบตัวจะพบว่าข้าวของในบ้านหลายชิ้น
เคยเป็นของสุดเอื้อมสมัยเรายังเด็กหรือเป็นหนุ่มเป็นสาว
รถยนต์ แก้วแหวนเงินทอง วีดีโอ สเตอริโอ ซีดี ฯลฯ

มองในแง่นี้เราไม่ได้จนลงแต่รวยขึ้นต่างหาก ยิ่งถ้าเปรียบกับคนอีกมากมายตอนนี้
ไม่ว่าจะมองลงไปข้างล่างหรือมองขึ้นข้างบน เราก็ยังสบายกว่ามาก

............................

คนที่ถูกยึดรถไปสมควรแล้วที่จะคิดว่าตัวเองโชคดีกว่าคนที่กิจการล้มละลาย
ส่วนคนที่กิจการล้มละลายก็ยังโชคดีกว่านักธุรกิจพันล้านที่มีหนี้ท่วมหัว

แต่ถึงจะเป็นหนี้เป็นสินมากแค่ไหน
เราก็ยังมีสิทธิเลือกได้ว่าตัวเองจะทุกข์หรือไม่ทุกข์
เพราะถึงที่สุด สุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่จำนวนทรัพย์หรือหนี้สิน
หากอยู่ที่ใจของเรา

ถ้าเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวแย่แล้วๆ นรกก็เกิดขึ้นทันตาเห็น
เรามีสิทธิที่จะคิดว่าตัวเองไม่แย่
แต่สิทธินี้เราจะใช้หรือไม่อยู่ที่ใคร... ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง

กระนั้นก็ตาม นอกจากวิธีคิดหรือมุมมองแล้ว คุณภาพจิตของเราก็สำคัญ

ถ้าเราเป็นคนรู้จักสันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตัวเองได้มาหรือมีอยู่
มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อ รู้จักแสวงหาความสงบในจิตใจ

วิกฤตของสังคมหรือวิกฤตการณ์อื่นๆของชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่
ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่จะฟันฝ่าไปได้

__________________________________
จาก ร่มไม้และเรือนใจ โดย พระไพศาล วิสาโล

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ความสุขหาได้ที่ไหน?
:b48: :b47: :b48: :b47: :b48: :b47: :b48:

ในตอนกลางดึก มีหญิงชราคนหนึ่ง
กำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน...

สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ เลยถามขึ้นว่า
"ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?"

หญิงชราผู้นั้นตอบว่า
"ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่
ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ"


พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ
ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย

"ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน"


ยายตอบว่า "ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย
แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป

แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็น
ยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้า "

...พอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป

.....................


เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ๆเราทำหาย
มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่น

เช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุข
เราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไป

มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนต์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่าง ๆ
หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่ที่คนอื่นมีความสุข

ความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน?

คำตอบก็คือ ...
เราได้ทำหายไปจากใจของเรา
ได้สูญเสียความสุขจากตัวเรา ...จากใจเรา

ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ...
ในใจเราเอง..ในตัวเราเอง...

_________________________
จาก "แนวทางสู่ความสุข" โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 30 ส.ค. 2009, 16:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เมื่อเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น

:b50: :b49: :b50: :b49: :b50: :b49: :b50: :b49: :b50: :b49: :b50:

เมื่อเธอเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น
ก็สามารถแปรความปรารถนาที่จะลงโทษ
ให้เป็นความต้องการที่จะช่วยเหลือเขาเพียงอย่างเดียว...
ถึงตอนนั้น เธอย่อมรู้ว่าการปฏิบัติของตัวเองประสบผล
เธอจะเป็นอย่างชาวสวนที่ดี...

...............................

ภายในตัวเราทุกคนก็คือสวน
ผู้ปฏิบัติแต่ละคนต้องกลับมาที่สวนของตนและดูแลมัน

บางทีที่ผ่านมา เธออาจละเลยมันไปนาน

เธอจะรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้วสวนของตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร
และพยายามจัดสิ่งต่างๆให้เรียบร้อยสวยงาม เข้าที่เข้าทาง

หลายๆคนจะชื่นชมสวนของเธอ
หากสวนนั้นได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี

________________________________________
พระภิกษุ ติช นัท ฮันห์ เขียน, ธารา รินศานต์ แปล, "ความโกรธ : ปัญญาดับเปลวไฟแห่งโทสะ". กรุงเทพฯ:โกมลคีมทอง. 2546. หน้า 30.

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


เมตตาแทนพิสูจน์ว่าฉันถูก

:b54: :b55: :b54: :b55: :b54: :b55: :b54: :b55: :b54: :b55: :b54:

การทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้น หรือการมีส่วนร่วมในความสุขของเขา
ท่านก็จะรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นเช่นกัน...
หลังจากท่านได้ว่ากล่าวหรือตำหนิเขาแล้ว
ท่านจะพบว่าตัวเองรู้สึกไม่สบายใจ...

"ความเมตตาที่อยู่ภายในจิตใจของท่านรู้ดีว่า
ท่านไม่สามารถรู้สึกดีขึ้น ถ้าต้องทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่ลง"

การทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้น หรือการมีส่วนร่วมในความสุขของเขา
ท่านก็จะรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นเช่นกัน

เลือกความเมตตาแทนการพิสูจน์ว่าฉันเป็นฝ่ายถูก

ดังได้กล่าวไว้แล้วในกลวิธีที่ 12 ว่า
ท่านมีโอกาสเลือกมากมายในชีวิตว่าจะเป็นคนมีเมตตา
หรือต้องการพิสูจน์ว่าท่านเป็นฝ่ายถูก

ท่านมีโอกาสชี้ให้ใครต่อใครเห็นถึงข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของเขา
หรือชี้แนะว่าเขาไม่ควรจะทำเช่นนั้น หรือควรปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไร

ท่านมีโอกาสที่จะแก้ไขผู้อื่นทั้งโดยส่วนตัวหรือต่อหน้าผู้อื่น
โอกาสต่างๆเหล่านี้ล้วนมีแต่ทำให้ผู้อื่นอึดอัดไม่สบายใจ
และตัวท่านเองก็พลอยมีความรู้สึกเช่นนั้นไปด้วย

โดยไม่ต้องใช้จิตวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งอะไรนักก็สามารถกล่าวได้ว่า
เหตุผลที่เราพยายามจะโต้แย้ง ปรับปรุง หรือแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเราถูกและเขาผิด
ก็คืออัตตาในตัวเราที่เข้าใจผิดว่าหากเราชี้ให้เห็นได้ว่าใครบางคนผิด
ก็แสดงว่าเราถูกและเราจะรู้สึกดีขึ้น

แต่ในความเป็นจริงแล้วหากท่านลองสังเกตความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองดู
หลังจากท่านได้ว่ากล่าวหรือตำหนิเขาแล้ว
ท่านจะพบว่าตัวเองรู้สึกไม่สบายใจมากกว่า

ก่อนที่ท่านจะต่อว่าใคร
ความเมตตาที่อยู่ภายในจิตใจของท่านรู้ดีว่าท่านไม่สามารถรู้สึกดีขึ้นถ้าต้องทำให้ผู้อื่นรู้สึกแย่ลง
แต่ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามถ้าท่านปฏิบัติในอีกแบบหนึ่ง

นั่นคือถ้าเป้าหมายของท่านคือการสร้างมิตรภาพกับผู้อื่น
การทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีขึ้น หรือการมีส่วนร่วมในความสุขของเขา
ท่านก็จะได้รับรางวัลตอบแทนด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

ดังนั้นถ้าท่านมีโอกาสได้แก้ไขข้อบกพร่องของผู้อื่น
และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏให้เห็นอย่างค่อนข้างเด่นชัดว่าเขาเป็นฝ่ายผิดก็ตาม

ขอให้ท่านระงับความรู้สึกที่อยากจะทำเช่นนั้นเสีย
และลองถามตัวเองว่า "ฉันต้องการอะไรจากการสัมพันธ์กับผู้อื่น"
เป็นไปได้ที่คำตอบของท่านก็คือ ท่านต้องการความสัมพันธ์ที่ราบรื่น
และจากกันด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน

ทุกครั้งที่ท่านไม่พยายามพิสูจน์ว่าท่านเป็นคนถูก แต่เลือกที่เป็นคนที่มีเมตตา
ท่านจะสังเกตได้ถึงความรู้สึกที่ดีและมีสันติสุขในจิตใจตัวเอง

เมื่อไม่นานมานี้ผมและภรรยาได้พูดคุยกันเรื่องการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง
ซึ่งผลปรากฏว่าทำกำไรได้ดี และผมก็ได้พูดถึงความคิดของผมที่มีส่วนทำให้เราประสบความสำเร็จ

คริส ภรรยาผมปล่อยให้ผมได้หน้าและภูมิใจในตัวเอง เช่นที่เธอมักกระทำอยู่เสมอ
ต่อมาในวันเดียวกันนั้นผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแท้จริงแล้วความคิดนั้นเป็นของเธอต่างหาก
หาใช่ความคิดของผม ตายละวา! เมื่อผมโทรศัพท์ไปหาเธอเพื่อขอโทษ
ก็ปรากฏว่าสิ่งที่เธอสนใจคือความภาคภูมิใจของผมมากกว่าของเธอเอง

เธอบอกว่าเธอรู้สึกดีใจที่เห็นผมมีความสุข
และที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าความคิดดังกล่าวจะเป็นของใคร
(ท่านเห็นหรือไม่ว่าหัวใจของเธอช่างเต็มไปด้วยความรักมากเพียงใด)

อย่าปนเปกลวิธีนี้กับการทำตัวเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่กล้าลุกขึ้นมาแสดงจุดยืนในสิ่งที่เราเชื่อ
ผมไม่ได้บอกว่าการที่ท่านเป็นฝ่ายถูกนั้นไม่ดี
ผมเพียงแต่แนะนำว่าถ้าท่านยืนยันว่าท่านถูก
ท่านจะต้องแลกกับความสงบสุขในใจเสมอ

ถ้าท่านต้องการเป็นคนที่มีสันติสุขแล้ว ท่านจะต้องเลือกเป็นคนเมตตามากกว่าเป็นคนถูก
และท่านสามารถเริ่มใช้กลวิธีนี้ได้กับบุคคลแรกที่ท่านพูดคุยด้วยหลังจากนี้เป็นต้นไป

____________________________
จาก Don't sweat the small stuff… and it's all small stuff 100
( ข้อคิดเพื่อชีวิตสุขสงบ) RICHARD CARLSON, PH.D. เขียน
ผศ. ดร. ปริญญ์ ปราชญานุพร แปลและเรียบเรียง

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 30 ส.ค. 2009, 17:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



...ใจดีดี...

:b46: :b41: :b46: :b41: :b46:


"ใจดีดีย่อมอุดมไปด้วยสิ่งดีดี
มีปุ๋ยแห่งความดี มีน้ำใจหล่อเลี้ยงชื่นฉ่ำ"
................

ใจดีดีก็เหมือนกับดินดีดี
ปลูกอะไรก็งอกงาม

คนใจงาม ย่อมมีความเจริญ มีความสุขในชีวิต
หากใจแห้งแล้งนัก หว่านเมล็ดพันธุ์ความสุขลงไปเท่าไหร่
ย่อมไม่มีวันงอกเงยขึ้นมาได้
หากจะมีบ้างก็เป็นไปอย่างแคระแกร็นเต็มที

ใจดีดีย่อมอุดมไปด้วยสิ่งดีดี
มีปุ๋ยแห่งความดี มีน้ำใจหล่อเลี้ยงชื่นฉ่ำ

หากหมั่นรดน้ำพรวนดินด้วยความสุข
ต้นไม้แห่งชีวิตก็จะงอกเงยขึ้นมาอย่างงดงาม

-----------------------------------------------------------
มนต์สุนทร สุราช. "มุมหนึ่งของความรู้สึกดีดี"

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ใจดี-ดีใจ
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ฉะนั้นเราต้องพยายามทำใจดี หัดทำใจดี คิดดี พูดดี ทำดี

ทำใจดีได้ ก็เป็นคนดี ถ้าเราเป็นคนดี เราก็มีความสุข

ใครๆ ก็คิดดี พูดดี ทำดี กับเรา


เมื่อเราเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี ใจดีแล้ว

รอบด้านของเราใครๆ ก็คิดดีกับเรา พูดดีกับเรา ทำดีกับเรา

ถ้าเรารอให้คนอื่นๆ เขาเป็นคนดี ใจดี เราไม่มีวันเจอความสุขได้

เราต้องทำก่อน

ถึงแม้ว่าเขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี กับเราก็ตาม

ถ้าเรายังคิดดี พูดดี ทำดีอยู่ เราก็มีความสุขอยู่เหมือนเดิม

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 30 ส.ค. 2009, 17:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ดีไม่ดี อยู่ที่ใจเรา
หัวเราะ...เมื่ออยากหัวเราะ
ร้องไห้...เมื่ออยากร้องไห้
และต้องหัวเราะให้ได้หลังร้องไห้ทุกครั้ง!

อย่าทำอะไรที่ไม่อยากทำ...
จงทำอะไรที่ใจอยากทำ...!

ตัวหนังสือ...เขียนผิด...ลบได้
การกระทำผิด...เอาอะไรลบ

นึกว่าหมากำลังไล่ฟัดซิ...!
...จะได้รีบวิ่งรี่เข้าเส้นชัย...
...ล้มเมื่อไหร่จะได้รีบลุก...

ทุกย่างก้าว ของ ความฝัน คือ ย่างก้าว ของ ความเหน็ดเหนื่อย
ทุกย่างก้าว ของ ความเหน็ดเหนื่อย คือ ก้าวย่าง ของ ความสำเร็จ

ต่อให้ทุกข์ที่สุด....ก็ต้องผ่านพ้นไปจนได้
เมื่อเรานั่งมองอดีต เรายังผ่านทุกข์มาได้ตั้งหลายทุกข์
ก็ในเมื่อ..ชีวิต...มันยังมีชีวิต
ขอแค่อย่าทุกข์ก่อนเจอทุกข์
หลังทุกข์ อย่าทุกข์อีก
ให้ทุกข์ แค่ตอนทุกข์
แล้วทุกข์ที่สุด...ก็จะเป็น ทุกข์ แค่นี้เอง!

ให้ทำหน้าที่ทุกหน้าที่ด้วยหัวใจ
ให้หัวใจตระหนักในหน้าที่....
แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าหน้าที่เป็นหน้าที่
แต่เป็นการกระทำที่เกิดจาก...หัวใจเรียกร้อง...ต่างหาก

ดีไม่ดี...อยู่ที่ใจเรา...
ถ้าใจเรา...คิดดี เราก็จะเจอแต่สิ่งดีๆ
ถ้าเรามองในทางที่ดี...ใจเราก็จะรู้สึกดี
ถ้ากำลังใจดี...สิ่งเลวร้าย...ก็จะคลี่คลายเป็น...ดี!
......................

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ข้อความดีๆ สำหรับเรื่องความรัก
:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

ความลับ บอกไปมันก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป
แต่ความรัก บอกออกไป ยังไงๆก็เป็นความรักอยู่ดี

ไม่ว่าจะเป็นงานที่เรารัก หรือคนที่เรารัก มักมีสองด้านเสมอ
อยู่ที่ว่าเรารักมากพอที่จะยอมรับอีกด้านนึงหรือปล่าว

คิดถึงเขาแล้วได้อะไร.....ได้คิดถึง โอเค งั้นคิดถึงไปเลย
ร้องไห้มากมายขนาดนี้แล้วได้อะไร.....ได้ปลดปล่อยเพราะเหนื่อยเหลือเกิน
.......งั้นจงร้องให้สาใจ

ทำอะไรดีๆให้คนอื่นแล้วได้อะไร.....ได้อย่างที่อยากเพราะอยากให้
..........งั้นเต็มที่เลยอยากให้อะไรก็ให้

แต่ถ้ามัวเสียใจ โทษตัวเอง
ไม่มีแรงจะทำอะไรอีกต่อไปแล้วตอบไม่ได้ว่า"เป็นอย่างนี้แล้วได้อะไร"
หยุดเถอะ........การทำร้ายตัวเองขนาดนี้ควรได้อะไรบ้าง
เหงาแล้วได้อะไร.........

เรื่องอะไรก็ตามถ้าสาเหตุมาจากตัวเรา
อย่างน้อยมันก็แก้ง่ายกว่า
เปลี่ยนที่ตัวเรายังไงก็เหนื่อยน้อยกว่าร้องให้คนอื่นเปลี่ยน


"คิดถึง" เป็นความรู้สึกหนึ่ง
ซึ่งสามารถทำไปพร้อมๆกับกิจกรรมอื่นๆได้
"คิดถึง"
คือคำสั้นๆที่สามารถดูแลความสัมพันธ์ให้ยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ
"คิดถึง" ถ้าไม่บอก มันก็เป็นแค่ "คิด" แต่ไม่ "ถึง"ซะที

เพื่อนน้อยลงทุกทีเมื่อเราโตขึ้น
ความจริงเพื่อนมีจำนวนมากขึ้น
แต่เราให้เวลาเพื่อนน้อยลงต่างหาก

"ยิ่งนานยิ่งรัก"เกิดขึ้นได้พอๆกับ"ยิ่งนานยิ่งไม่รัก"

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสปีชี่ของมนุษย์
รักเดียวใจเดียวมาแต่ไหนแต่ไร
ในขณะที่ส่วนใหญ่ ปัญหาหัวใจในอันดับต้นๆ คือ เจอคนหลายใจ

อย่าร้องขออะไร ถ้ายังไม่ได้เริ่มต้น "ให้" เลย

เรื่องความรักเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องหนี
เรื่องความจริงเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้

ความรักเป็นเรื่องตรงกลาง
มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้
ความรักเป็นเรื่องตรงกลาง
ใช้เหตุผลมากไปก็ไม่ได้ ใช้ความรู้สึกมากไปก็ไม่ดี
ความรักเป็นเรื่องตรงกลาง
ให้เยอะเกินไปก็ไม่ดี รับมากเกินไปก็ไม่ได้
ความรักเป็นเรื่องเทาๆ
อย่าหวังให้ขาวจั๊วะ และอย่าทำให้มันดำปิ๋ดปี๋
ความรักเป็นเรื่องของความเข้าใจ
ถ้าใส่น้ำใจให้อภัยและยอมรับฟังเข้าไปด้วยก็ดี
ความรักเป็นเรื่องง่าย
คนต่างหากที่ทำให้มันยากเอง

ทำไมคนเราถึงรู้สึกเจ็บ?
เพราะนั่นมันเป็นกลไกการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง
เมื่อไหร่ที่รู้สึกเจ็บเราจะได้เลิก
เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเจ็บเราจะได้อยู่ห่างๆเอาไว้
และเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเจ็บเราจะได้ เข็ด จำ และไม่ทำอีก

ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอดหรอก
แต่ทำให้เราเลือกอยากจะมองในสิ่งที่อยากมอง
และเลือกไม่มองในสิ่งที่ไม่อยากเห็นมากกว่า
ไม่ว่า ความรักทำให้ตาบอด หรือเราเลือกที่จะบอดเองก็ตาม
อย่าปิดหู....ให้เรามีโอกาสที่จะได้ยินบ้าง

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 25 ก.ย. 2009, 16:07, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะถือจึงหนัก
:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:


นาวาเอกผู้หนึ่งได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเคยเป็นพระอุปัชฌาย์เขาเมื่อครั้งบวชที่วัดบวรนิเวศ หน้าตาของนาวาเอกดูหม่นหมองและอิดโรย ท่าทางอมทุกข์ สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามว่า "เป็นไงมั่งพักนี้?"
"หนักครับ" เขาทูล "ช่วงนี้แย่มากเลยครับ"

"หนักอะไร" สมเด็จฯ ถาม
แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาทั้งเรื่องชีวิต เรื่องการงาน เขาบอกว่าตอนนี้จวนจะแบกไม่ไหวแล้ว จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ ขอบารมีเป็นที่พึ่ง
สมเด็จฯ นั่งสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก จากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่ประทับ พร้อมกับรับสั่งว่า "นั่งอยู่นี่แหล่ะ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว" แล้วจึงเสด็จเข้าไป
นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า และประคองกระดาษทั้งสองมืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว ๒๐ นาทีก็แล้ว สมเด็จฯ ก็ยังไม่ออกมา เขาเริ่มเหนื่อย แขนก็เริ่มเมื่อยล้า กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งเบาหวิวดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก
ในที่สุด สมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม ทำทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็มองกระดาษที่มือนาวาเอก แล้วทรงถามว่า "เป็นไง?"
"หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"
"อ้าว ทำไม ไม่วางมันลงเสียละ?" สมเด็จฯ รับสั่ง "ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง"
กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เบาหวิว หากถือไปนาน ๆ เข้า ก็ย่อมกลายเป็นของหนัก ตรงกันข้าม ก้อนหินก้อนใหญ่ ถ้าไม่ไปแบกหรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ ชีวิตหรือจิตใจหนักอึ้ง ควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
แม้แต่ของที่มีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลาใช้งาน เมื่อใช้เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของที่ไร้ประโยชน์ เช่นความทุกข์ ความห่วงกังวล ยิ่งต้องวางทันที ที่รู้ตัวว่ามาครองใจ หาไม่แล้วจะกลายเป็นของหนักจนเอาตัวไม่รอด

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ทายนิสัยจาก..การเขียนตัวหนังสือ
มาดูกันว่าเราชอบเขียนกันแบบไหน อ่านแล้วตรงกันบ้างรึเปล่า :b16:

:b47: 1.เขียนตัวหนังสือผอม

สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสือที่มีลักษณะผอมสูงจนสามารถแลเห็น
ได้อย่างชัดเจนนั้น อุปนิสัยนั้นมักจะเป็นคนที่มีความอ่อนไหว จิตใจ
จะเปราะบางมาก ชอบชีวิตที่เรียบง่ายสบาย ๆ ที่ไม่มีความเปลี่ยน
แปลงอะไรมากนัก และค่อนข้างจะเป็นคนที่เก็บตัวอยู่ในโลกของตัวเอง
ไม่ค่อยสนใจหรือเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องคนอื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นคน
ที่ออกจะขี้อายไม่มีความมั่นใจในตัวเองนัก ทั้งยังถือสาในคำพูดของ
คนอื่นที่มีต่อตนเอง คนรอบข้างจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตสูง


:b48: 2. เขียนตัวหนังสือบาง

คนที่เขียนตัวหนังสือบางนั้น มีความแตกต่างจากตัวหนังสือแบบผอมสูง
เพราะตัวหนังสือบาง หมายถึงเส้นที่เขียนจะเบา ไม่มีความหนักแน่นชัดเจน
ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีลายมือแบบนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนที่ช่างคิดจนออก
ไปทางการเป็นคนคิดมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะมีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน
ติดจะขี้อายพอสมควรทีเดียว ให้พูดหรือแสดงออกท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก
มักจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่จะชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคยอยู่เสมอ ๆ


:b47: 3.เขียนหนังสือตัวหนัก

สำหรับข้อนี้หมายถึงตัวหนังสือที่เวลาเขียนผู้เขียนจะกดเส้นลงหนักมาก
ส่งผลให้ตัวหนังสือมีความชัดเจนเป็นอย่างดี ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีลาย
มือลักษณะนี้ จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคน
ที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน จึงไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมาก
นักแต่จะเป็นคนที่สามารถวางแผนและ จัดการทุกเรื่องอย่างเป็นระบบระเบียบ
เสมอ มักมีเป้าหมายในชีวิตและค่อนข้างจะคาดหวังในชีวิตมาก ชอบการเป็น
คนโดดเด่นและมีความสำคัญ


:b48: 4.เขียนตัวหนังสือโต ตัวหนังสือตัวโต

หมายถึงตัวหนังสือที่มีขนาดใหญ่แต่จะมีขนาดของตัวอักษรที่สมดุลย์พอดีกันอย่าง
สม่ำเสมอทุกตัว สำหรับอุปนิสัยของคนที่มีลายมือเช่นนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนใจกว้าง
มีน้ำใจไมตรี สามารถเข้าได้กับคนทุกระดับ ชอบการมีคนรักใคร่ชอบพอมาก ๆและมี
ีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์อันคับขันเพราะจะเป็นคนที่มีความหนักแน่น
เยือกเย็นอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความรอบคอบ ถี่ถ้วนและไม่ชอบให้เกิดสิ่งที่
ผิดพลาดกับตัวเองอีกด้วย


:b47: 5.เขียนตัวหนังสืออ้วน

คนที่เขียนตัวหนังสืออกมาทางอ้วนหมายถึงตัวหนังสือที่มีขนาดความกว้างมากกว่าค
วามยาวนั่นเอง ส่วนอุปนิสัยนั้นบ่งบอกถึงการเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ
กับใครทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นคนใจอ่อน ใจดีชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อคนนั้นคนนี้อยู่เสมอจนบาง
ทีตัวเองถึงกับเดือดร้อนอยู่บ่อย ๆ และเมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องใดสักเรื่องจะมีความลังเล
ใจสูงทำให้คนที่ไม่ชอบรับผิดชอบเรื่องใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้การตัดสินใจแบบเด็ดขาดแต่
มักได้รับความเอ็นดูจากคนใกล้ชิดเสมอ


:b48: 6.เขียนตัวหนังสือหวัด

สำหรับคนที่ลายมือหวัดเขียนตัวหนังสือติดพันกันแทบทุกตัว บ่งบอกถึงอุปนิสัยของ
การเป็นนักคิด นักวางแผนที่ดีแต่ถ้าให้ลงือปฏิบัติเองมักไค่อยประสบผลสำเร็จนอกจาก
นี้ยังเป็นคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมาก และมองการณ์ไกลทั้งยังมีอุดมการณ์ที่
สูงส่ง แต่มักเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวเองนัก ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว และหมกมุ่นทำใน
สิ่งที่ชื่นชอบครั้งละนาน ๆ ในบางครั้งจะเป็นคนที่ใจร้อนกับเรื่องที่คนอื่นไม่ค่อยคาดคิด
หรือคิดไม่ถึง


:b47: 7. ตัวหนังสือโย้เย้

คนที่เขียนตัวหนังสือเดี๋ยวตัวโตเดี๋ยวตัวเล็กไม่มีความสม่ำเสมอกันเลยนั้น บอกถึงนิสัย
ของการเป็นเด็กไร้เดียงสา และไม่ค่อยคิดอะไรที่ซับซ้อนนัก และยังชอบตามใจตัวเอง
โดยไม่ค่อยคำนึงถึงจิตใจคนอื่นสักเท่าไร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ใจกว้าง เปิดเผย
ยอมรับความคิดของคนได้ง่าย แต่มักจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ไม่เอาจริงเอาจัง
หรือลึกซึ้งกับสิ่งใดมากนัก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่สิ่งที่ตนชอบหรือสนใจและยังไม่ใช่คน
ที่มีเหตุผลอะไรเลย


:b48: 8.เขียนหนังสือเป็นระเบียบ

คนที่เขียนหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เท่ากันทุกวรรค ทุกตอนบ่งบอกถึงนิสัย
ที่เป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงาน และเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็นแม้ว่าจะมีความแตก
ต่างจากคนอื่น โดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับตน ทั้งยังเป็นคนที่มีความทะเยอ
ทะยานสูง และไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่าย ๆ จะมีความอดทนได้ยาวนานจนน่า
ประหลาดใจกับสิ่งที่ตนมุ่งมั่น นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความมั่นคงในจิตใจสูงมาก
จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายมากนัก


:b47: 9.เขียนตัวหนังสือเฉียงขึ้น

คนที่เขียนหนังสือโดยตัวหนังสือจะค่อย ๆ เฉียงขึ้นทุกทีนั้น บ่งบอกถึงการเป็นคนที่
มีความมุ่งมั่นในชีวิตสูงมาก และมีความอดทนพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะค่อย ๆ
ไต่เต้านำพาชีวิตของตนให้ไปสู่จุดสูงสุดที่มั่นคงปลอดภัยและเหนือกว่าคนอื่น
ทั้งยังเป็นที่ให้ค่ากับเรื่องของวัตถุค่อนข้างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่ยื่น
อยู่บนความเป็นจริงของชีวิต ไม่มีความซับซ้อนอะไรมากนัก สิ่งใดถูกก็คือถูกและผิดก
็คือผิด และจะเชื่อมั่นในความคิดเช่นนี้โดยไม่สนใจรายละเอียดใด ๆ


:b48: 10.เขียนตัวหนังสือเฉียงลง

ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือในลักษณะที่ทะแยงลงจากระดับของบรรทัดนั้น
มักเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้หรือในปัจจุบันมากกว่าที่จะคิดคำนึงไปถึงสิ่ง
ที่ยังมาไม่ถึง และมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ชอบใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ
ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไรมากนัก ทั้งยังไม่ใช่คนที่ทะเยอทะยานอะไรเลย
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ชื่นชมชีวิต มีความสุขได้จากทุกสิ่งรอบตัว
และมีน้ำใจเข้ากับผู้คนได้ทุกระดับ และยังชอบหยิบยื่นมิตรภาพแก่ทุกคน


:b47: 11. เขียนตัวหนังสือเป็นเหลี่ยม

ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือมีลักษณะเป็นเหลี่ยมเป็นมุมอย่างชัดเจนนั้น
บ่งบอกถึงนิสัยที่เชื่อมั่นในความคิดของตนอย่างรุนแรง จนออกไปทาง
คนที่แข็งกระด้าง และไม่ยอมรับความคิดของใครโดยง่ายนอกจาก
นี้ยังเป็นคนที่เอาจริงเอาจังเคร่งเครียดไปเสียแทบทุกเรื่องทั้งยังเป็น
คนเจ้าระเบียบมองโลกแต่ในแง่ร้าย ทำให้หวาดระแวงคนง่ายไม่ค่อย
มีความสุขในชีวิตเท่าที่ควร


:b48: 12.เขียนตัวหนังสือมน

ส่วนคนที่เขียนตัวหนังสือออกมาทางมน ๆ กลม ๆ นั้นบ่งบอกถึงนิสัยของ
การเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ชอบแสวงหาความรื่นรมย์ให้ชีวิต ทั้งยังเป็น
คนใจดี ใจอ่อน ชอบการรับใช้บริการ และตามอกตามใจคนรอบข้าง นอก
จากนี้ยังเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เร็ว ทั้งยังเป็น
คนที่มีความอิสระในตัวเองสูง ไม่ชอบการโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบความ
คิดใดความคิดหนึ่งเท่านั้น จึงสามารถยอมรับความคิดของคนได้โดยง่าย


:b47: 13.เขียนตัวหนังสือเล่นหาง

สำหรับคนที่เขียนตัวหนังสือที่ลักษณะตวัดมีหางมาก ๆ นั้น บ่งบอกถึงนิสัย
ของการเป็นคนช่างฝัน และโรแมนติค ชอบในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จนดู
เหมือนคนเจ้าชู้ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่อารมณ์ปรวนแปรรวดเร็ว มีความ
ต้องการในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียงสูง ชอบชีวิตที่มีสีสันหวือหวา
ให้ตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ ชอบการพบปะกับผู้คน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีแต่
เป็นที่ไม่ระเบียบแบบแผนในชีวิตเท่าที่ควร

ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง มันแค่คำทำนายอย่าคิดกันมากละ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



ตำรับยาแก้ทุกข์

เมื่อตื่นนอนทุกเช้า ให้ริน “ความเมตตา” ออกมาจากใจ สัก ๑ ช้อนโต๊ะแล้วกินก่อนอาหารเช้า จะทำให้เรามองโลกด้วยความสดชื่น ทำอะไรกับใคร ก็จะทำด้วยความรัก...
อย่างไรก็ดี โลกนี้ก็ยังมีโรคอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถจะรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่ หรือกินยาอย่างไร ก็ไร้ผล จนทำให้ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดเกิดความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ โรคที่ว่าเขาบอกว่าเป็นโรคเกิดจากกิเลส ตัณหาที่นอกจากจะทำให้อวัยวะต่างๆทำงานไม่ปกติแล้ว ยังทำให้เกิด “โรคทุกข์” ไม่มีที่สิ้นสุด

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้เสนอตำรับยาแก้โรคทุกข์ที่เรียกว่า “พุทธโอสถ” มาให้ท่านที่สนใจได้ลองนำไปใช้ดู เผื่อจะช่วยบรรเทาอาการของโรค หรือถ้าใช้อย่างสม่ำเสมอ ร่างกายก็อาจสร้าง “ภูมิต้านทาน” ขึ้นมาได้เอง จนโรคร้ายหายไปได้ในที่สุด

ยา “พุทธโอสถ” นี้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วเป็นตำรับยาของพระพุทธองค์ ที่เก่าแก่และค้นพบมาแล้วกว่า ๒๕๐๐ ปี เป็นยาวิเศษที่มีหลายขนาน และหลายสูตร สุดแต่ผู้ป่วยต้องการรักษาโรคใด ดังจะได้ยกตัวอย่าง ดังต่อไปนี้



ความรัก การดูแลเอาใจใส่ ช่วยได้

:b43: โรคอิจฉาริษยา

โรคนี้เมื่อเกิดกับผู้ใด จะเกิดความร้อนรุ่ม ธาตุไฟในตัวจะเพิ่มมากกว่าปกติ อาการของโรคนี้มีหลายระดับ และแต่ละคนก็จะแสดงออกไม่เหมือนกัน อย่างบางคนก็เป็นเพียงแต่หมกมุ่น ครุ่นคิด บางคนก็เกิดอาการพาลรีพาลขวาง เช่น คิดว่ายายคนนี้ ไอ้คนนั้น ทำไมถึงได้ตำแหน่ง ทั้งๆที่โง่จะตาย สู้เราก็ไม่ได้ เลยหงุดหงิด ขี้โมโห พาลไม่ทำงานหรือทำแบบเสียไม่ได้ หรือบางคนก็แสดงอาการหมั่นไส้คนที่เราอิจฉา ด้วยการประชดประชัน แดกดัน แต่ถ้าเป็นถึงขั้นหนัก ก็อาจจะเกิดความอาฆาตแค้น จนถึงกับวางแผนทำร้ายผู้อื่นดังที่เราเห็นจากหนังหรือละครก็มี

:b46: ทางแก้และยารักษา

ส่วนใหญ่ผู้ที่เกิดโรคอิจฉาริษยานั้น มักอยู่บนสมมุติฐาน ๒ ประการ คือ ประการแรกเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น เช่น จนกว่า สวยน้อยกว่า เก่งน้อยกว่า ฯลฯ ประการที่สอง เกิดจากการคิดว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่น แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับหรือได้ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าน่าจะต้องได้มากกว่าผู้อื่น เช่น คิดว่าตัวเองทำงานเก่ง ฉลาด น่าจะต้องได้รับตำแหน่งที่คาดหวัง แต่กลับไม่ได้ หรือคิดว่าตัวเองควรได้รับมรดกมากกว่า เพราะเป็นพี่คนโตและรับผิดชอบมากกว่า แต่พ่อกลับยกให้น้องคนเล็ก เป็นต้น

ดังนั้น ตำรับยาที่จะแก้โรคนี้ได้ ต้องใช้สูตรที่ชื่อว่า “ความเมตตา” คือ การรู้จักรักตนเองและผู้อื่นให้เป็น มีความปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ที่ทำงานหรือแม้แต่กับศัตรู วิธีใช้ เมื่อตื่นนอนทุกเช้า ให้ริน “ความเมตตา” ออกมาจากใจ สัก ๑ ช้อนโต๊ะแล้วกินก่อนอาหารเช้า จะทำให้เรามองโลกด้วยความสดชื่น ไม่ไปคอยจับผิดผู้อื่นให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน ทำอะไรกับใคร ก็จะทำด้วยความรัก เพราะความเมตตาจะเป็นเหมือนน้ำที่ช่วยดับธาตุไฟ อันร้อนรุ่มกลุ้มใจให้ลดน้อยลง และหากจะให้หายเร็วยิ่งขึ้น อาจจะเพิ่มกลางวัน เย็น และก่อนนอนอีกครั้งละ ๑ ช้อนชา พร้อมฝึกลมหายใจ ด้วยการหายใจเข้าก็ “ เฮ้อ เธอ” หายใจออกก็ “เฮ้อ เธอ” คือ ให้เห็นแก่ตัวให้น้อยลง และเห็นแก่คนอื่นให้มากขึ้น ไม่นานโรคอิจฉาริษยาก็จะลดน้อยถอยลงไป หากกินเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีเสน่ห์ให้คนอื่นรัก และยอมรับเรามากขึ้นๆ ทำให้เรารู้สึกมีค่า ไม่ด้อยไปกว่าใคร และจะนำมาซึ่งสิ่งที่เราปรารถนาได้ในที่สุด



โรคชิงสุกก่อนห่ามเกิดแต่ทุกข์

:b43: โรคชิงสุกก่อนห่าม

โรคนี้มีมาช้านานแต่อดีต แต่ปัจจุบันกำลังระบาดในหมู่วัยรุ่น วัยเรียน อาการของโรค คือ เกิดการ “ป่อง” หรือ “ท้อง” ขึ้นมา เนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือในขณะที่ยังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน และไม่มีงานทำ แถมบางคนยังได้โรคอื่นๆตามมา เช่น โรคเอดส์ โรคติดยา เป็นต้น แม้สมัยนี้เยาวชนจำนวนไม่น้อย จะรู้จักใช้ยาคุม และถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการท้อง แต่โรคชิงสุกก่อนห่ามนี้ ก็ยังทำให้ผู้ป่วยเกิดความทุกข์ ความเครียด เพราะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม จึงต้องลักลอบทำ ไม่ให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูบาอาจารย์จับได้ โรคนี้กำลังเป็นปัญหาทางสังคมอย่างมาก สาเหตุ คงมิใช่เกิดจากยาเบนโล แต่การระบาดของโรคดังกล่าว น่าจะมาจากสื่อบางสื่อที่ขาดความรับผิดชอบ เสนอสิ่งยั่วยุ ทำให้เกิดการเลียนแบบ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดความไตร่ตรอง ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องโก้เก๋ ทันสมัย และพ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาให้กับเด็ก

:b44: ทางแก้และยารักษา

โรคนี้ควรกันไว้ดีกว่าแก้ ซึ่งจะต้องใช้ตัวยาหลายชนิดผสมผสานกัน อันได้แก่ ความรัก การดูแลเอาใจใส่ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และความอดกลั้น วิธีปรุงยากันโรคชิงสุกก่อนห่าม ให้พ่อแม่ผู้ปกครองใส่ความรักลงในหม้อ แล้วเคี่ยวด้วยความเอาใจใส่ ให้ลูกๆกินอย่างน้อยวันละครั้ง แล้วเสริมด้วยการสอนให้ลูกรู้จักมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ด้วยการช่วยทำงานบ้าง อย่าปล่อยให้เล่นหรือเรียนแต่เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความอดกลั้นเป็นวิตามินเสริม ที่จะอดทนต่อสิ่งยั่วยุต่างๆ ไม่ไปตามแรงชักชวนของเพื่อนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ส่วนเด็ก เยาวชนที่ต้องกินยานี้ ก็ต้องมีความกตัญญูรู้คุณ ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองทำด้วยความหวังดีเป็นการป้องกันเราจากโรคอันมิน่าพึงปรารถนาดังกล่าว

:b43: โรคทุจริต คดโกง

โรคนี้กำลังเป็นกันมาก และขยายตัวไปยังทุกภูมิภาคของโลก ส่วนใหญ่ผู้เป็นโรคนี้ มักจะรู้ตัว แต่ไม่ค่อยคิดจะรักษา เพราะมักเป็นๆหายๆ กล่าวคือ เมื่อสบโอกาสก็จะกำเริบขึ้นมาสักทีหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีโอกาส โรคก็จะไม่สำแดงอาการ ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงเกิดอาการเรื้อรัง และมักจะละเลย คิดว่าไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะตราบใดที่โรคดังกล่าวยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองแล้ว ก็ยังนิ่งเฉยอยู่ สำหรับอาการโดยทั่วไปของผู้เป็นโรคนี้ คือ จะเกิดความโลภ ไม่คิดถึงบาบบุญคุณโทษ แต่พร้อมจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาตามที่อยากมี อยากได้ และอยากเป็น ส่วนสาเหตุของโรค กล่าวกันว่าเกิดจากต่อมความซื่อสัตย์สุจริต และหิริโอตัปปะ (ความเกรงกลัวและละอายต่อบาป)เกิดบกพร่อง ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้โดยสมบูรณ์

:b44: ทางแก้และยารักษา

การจะรักษาโรคนี้ได้ ต้องรักษาจากต้นเหตุ คือจะต้องกระตุ้นต่อมความซื่อสัตย์สุจริต และหิริโอตัปปะที่เกิดการบกพร่อง ให้ทำงานตามหน้าที่ให้ได้ โดยให้ ต้มใบสัจจะพร้อมด้วยรากของคุณธรรม กินทุกวัน เพื่อปรับพื้นฐานจิตใจให้มั่น ขณะที่กินก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า จะลด ละ เลิกกิเลส และความโลภทั้งมวล เพื่อให้โรคหายเร็วขึ้น หลายคนที่เป็นโรคนี้ อาจจะคิดว่าโรคนี้เป็นแล้วไม่มีใครพบ ใครเห็น จึงปล่อยให้มีอาการซ้ำซาก กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ อาจจะถูกสังคมลงโทษ ไม่มีใครคบ ไม่มีใครเคารพนับถือ ต้องอยู่อย่างคนไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี เป็นที่ดูถูกดูแคลน สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่วงศ์ตระกูล หรืออาจต้องติดคุกติดตะรางตามความผิด เราจึงไม่ควรประมาทให้โรคนี้เกิดขึ้นกับเราหรือลูกหลานของเรา เพราะมันจะเป็น “ตราบาป” ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต

เพียงตัวอย่างสามโรคข้างต้น คงจะพอทำให้เราได้เห็นว่า พุทธโอสถ นั้น สามารถทั้งแก้ และกันโรคที่จะทำให้เกิด “ทุกข์” ได้อย่างแท้จริง อยู่ที่ว่าเราจะเชื่อมั่นในยาขนานนี้แล้วปฏิบัติตาม หรือจะปล่อยให้โรคคุกคามเราต่อไป ก็สุดแต่ทางเลือกของแต่ละคน

:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

โดย : อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรร

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 30 ส.ค. 2009, 19:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เว้นวรรคสุขสงบ
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:
เปรียบได้กับชาวนาที่เหนื่อยยากหว่านดำไถ
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนตก
แล้วจะเว้นช่วงพักผ่อน
เพื่อรอให้ข้าวจั้งท้องจนได้เวลาเก็บเกี่ยว
หากปัญหาในชีวิตของเรายังคงแก้ไม่ตก
การผ่อนคลายจากความเครียดจึงดูเหมือนไกลเกินเอื้อม

ที่แท้แล้ว ความวิตกกังวลไม่ได้มุ่งไปที่ปัญหา
แต่อยู่ที่ผลลัพธ์ที่จะตามมาซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

อย่าลืมว่า หากเราไม่สามารถ ควบคุมอะไรได้เลย
ห้วงเวลาแห่งการแขวนรอนี้เท่ากับเป็นโอกาสให้เราหลุดพ้น
เป็นอิสระจากความวิตกกังวลได้

เปรียบได้กับชาวนาที่เหนื่อยยากหว่านดำไถ
หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนตก
แล้วจะเว้นช่วงพักผ่อน
เพื่อรอให้ข้าวจั้งท้องจนได้เวลาเก็บเกี่ยว

"จงปรับตัวและฉกฉวยโอกาส
ที่ธรรมชาติหยิบยื่นมาให้กับชีวิตของเรา"

------------------------------------------------------
จาก 800 หนทางสร้างความสงบ สยบวันว้าวุ่น ปรัชญาวีร์ ผู้แปล

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ***คำถามกวนๆ***รูปภาพ

เอาช้างใส่ตู้เย็น มีกี่ขั้นตอน
:b36: .:. 3 ขั้นตอน เปิดตู้เย็น/เอาช้างใส่/ปิดตู้เย็น

แล้ว...เอายีราฟใส่ตู้เย็น มีกี่ขั้นตอน
:b37: .:. 4 ขั้นตอน เปิดตู้เย็น/เอาช้างออก/เอายีราฟใส่/ปิดตู้เย็น

แล้ว...ยีราฟวิ่งแข่งกับเต่า ใครชนะ
:b38: .:. เต่า (ยีราฟถูกแช่อยู่ในตู้เย็นเมื่อกี้เอง)

น้ำอะไร ยืนได้
:b36: .:. น้ำตื้นๆ

ทำไมเวลาสิงโตตื่นนอนต้องหันซ้ายทีขวาที
:b37: .:. เพราะหันทีเดียวพร้อมกัน 2 ข้างไม่ได้

ทำไมพระยาพิชัยจึงเป็นทหาร
:b38: .:. ไม่ได้เรียนร.ด.

นาฬิกาตี 13 ครั้ง เวลานั้นเป็นเวลาอะไร
:b36: .:. เวลาเสียเงิน (นาฬิกาเสียแล้วต้องเสียค่าซ่อม

ทำไมซาลาเปาถึงอาย
:b37: .:. เพราะโดนขนมจีบ

ทำไมขนมจีบถึงชอบซาลาเปา
:b38: .:. เพราะซาลาเปาทั้งขาว ทั้งอวบ

ทำไมเวลาเปิดตู้ยาต้องเปิดและปิดเบาๆ
:b36: .:. กลัวยานอนหลับตื่น

เซอร์ไอแซคนิวตันรู้อะไร จากการที่ลูกแอปเปิ้ล ตกลงมาที่ที่เขานั่ง
:b37: .:. ควรจะย้ายไปนั่งที่อื่น

ทำไมนกจึงบินมาประเทศไทยจากทางทิศใต้
:b38: .:. เพราะมันเดินมาไม่ได้..ไกลมาก

ทำไมหินถึงจมน้ำ
:b36: .:. ว่ายน้ำไม่เป็น

สีอะไรดูโง่ๆ
:b37: .:. สีหน้าคุณตอนนี้ไง

ตาของซินเดอเรลล่า ชื่ออะไร
:b38: .:. ชื่อแอน (แอนตาซิน)

ชิเป็นหลานใคร
:b36: .:. เป็นหลาน "ฮิ" (ฮิตาชิ)

ยายพายเรือไปวัด เรือก็มีแล้ว พายก็เอาไป ยายขาดอะไรถึงไปไม่ถึงวัด
:b37: .:. ขาดใจตาย

ห้องน้ำชายกับห้องน้ำหญิง ห้องไหนเหม็นกว่ากัน
:b36: .:. ห้องน้ำหญิง (หน้าห้องน้ำชายเขียนแค่เหม็น (Men) แต่ เหม็นกว่ากัน ห้องน้ำ
หญิงเขียนว่า วู้…เหม็น (Women))

พระใช้อะไรตีระฆัง
:b37: .:. ใช้เณร

กัดแอปเปิ้ล1คำเจอหนอน1ตัว กัด2คำเจอ2ตัว ถามว่ากัดจนเจอหนอนกี่ตัวจึงตกใจสุดขีด
:b38: .:. ครึ่งตัว

:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

:b1: ถ้าอ่านแล้วอมยิ้ม คุณคงเป็นคนขี้อาย
:b12: ถ้าอ่านแล้วยิ้มมากกว่า 3 ข้อ คุณเป็นคนมีความสุข
:b13: ถ้าาาาาา....หัวเราะลั่นกับทุกข้อเลย คุณไม่ต้องกินยาคลายเครียดอีกต่อไป
แต่อืมม :b6: ... เกรงใจข้างบ้านด้วยนะคะ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 146 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร