วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าทั้งสองเอ๋ย คนบ้านั้น หมายถึง คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น โดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผล เช่น บางคน ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นนายแพทย์ ตะโกนโวยวาย ว่าตนเองเป็นนายแพทย์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแพทย์เลย แถมใครห้าม ใตรสอนก็ไม่รู้เรื่อง นั่นแหละ คนบ้า
ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนพวกเจ้าทั้งสองคนนั่นแหละ บ้า โรคจิตประสาทแต่ไม่รู้ตัว ฮ่า อ่า ฮ่า


กัมมัฏฐาน เป็นเพียง อุบาย(วิธีการสำหรับประกอบอย่างหนึ่ง)ทำให้สงบ
เป็นเพียงวิธีการสำหรับประกอบอย่างหนึ่ง
เพื่อการปรับสภาพสภาวะภวังของร่างกายสภาวะหนึ่งเพื่อการดำเนินกิจกรรมใดใด
หรือจะเรียกว่าเป็นที่ตั้งแห่งการงาน ,หรือ อารมณ์ของใจอันเป็นปัจจัย
ในการทำงานใดใด ไม่ใช่ตัวธรรมอ้นป็นที่ตั้งแห่งสติ

อานาปานสติ ในหลักพุทธศาสนา จัดอยู่ใน หมวด
สติปัฎฐาน ๔ หมายถึง ธรรมอันเป็นที่ตั้งแต่งสติ
ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน,
การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง,
การมีสติกำกับดูสิ่งต่าง ๆ และความเป็นไปทั้งหลาย
โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย
ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส
(พจนานุกรม พุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)
อยู่ในข้อ กายานุปัสสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เจ้าทั้งสองเอ๋ย คนบ้านั้น หมายถึง คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น โดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผล เช่น บางคน ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นนายแพทย์ ตะโกนโวยวาย ว่าตนเองเป็นนายแพทย์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแพทย์เลย แถมใครห้าม ใตรสอนก็ไม่รู้เรื่อง นั่นแหละ คนบ้า

ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนพวกเจ้าทั้งสองคนนั่นแหละ บ้า โรคจิตประสาทแต่ไม่รู้ตัว ฮ่า อ่า ฮ่า


ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนพวกเจ้าทั้งสองคนนั่นแหละ บ้า โรคจิตประสาทแต่ไม่รู้ตัว ฮ่า อ่า ฮ่า

เอากรัชกายคนเดียวพอ คนอื่นช่างเขาเถอะครับ เขาจะดีจะบ้าอะไรก็เรื่องของเขา

เหลือเราสองคนพอแก่การแล้ว

ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ก็แปลว่า ข้าพเจ้า กรัชกาย บ้า แล้วท่านบุด ฯ ไม่บ้า ใช่ไหมขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 ต.ค. 2009, 15:00, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 17:04
โพสต์: 11

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต


สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเหล่าใด ไม่มีศรัทธา ต้องการเลี้ยง
ชีวิต มิใช่ออกบวชด้วยศรัทธา เป็นผู้โอ้อวด มีมารยา เกเร ฟุ้งซ่าน เย่อหยิ่ง
เหลาะแหละ ปากกล้า พูดพล่าม ไม่สำรวมทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จัก
ประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบความเพียร ไม่เพ่งถึงความเป็นสมณะ ไม่มี
ความเคารพกล้าในสิกขา มักมาก ย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการล่วงละเมิด
ทอดธุระในวิเวก เกียจคร้าน มีความเพียรทราม มีสติเลอะเลือน ไม่มี
สัมปชัญญะ ไม่มีจิตมั่นคง มีจิตฟุ้งซ่าน มีปัญญาทราม คล้ายคนบ้าน้ำลาย
เหล่านั้น เมื่อถูกข้าพระองค์กล่าวสอนอย่างนี้ ย่อมไม่รับโดยเคารพ

ส่วนกุลบุตรเหล่าใด มีศรัทธาออกบวช ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ไม่เกเร ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่
เย่อหยิ่ง ไม่เหลาะแหละ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม สำรวมทวารในอินทรีย์
ทั้งหลาย รู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร เพ่งถึงความเป็นสมณะ มี
ความเคารพกล้าในสิกขา ไม่มักมาก ไม่ย่อหย่อน ทอดธุระในการล่วงละเมิด
เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียร อบรมตน มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ
มีจิตมั่นคง มีจิตเป็นหนึ่ง มีปัญญา มิใช่คล้ายคนบ้าน้ำลาย กุลบุตรเหล่านั้น
เมื่อถูกข้าพระองค์กล่าวสอนอย่างนี้ย่อมรับโดย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




2643605056711sb9.gif
2643605056711sb9.gif [ 3.96 KiB | เปิดดู 3537 ครั้ง ]
นาย ก. รู้สึกปวดตามเส้นตามเอ็น เดินมากไปหน่อย จึงไปหาหมอ (นวด) จับเส้น

หมอก็บีบๆนวดๆ ตามเนื้อตามตัว กดตรงนั้นตรงนี้ บีบไปบีบมา ตรงเส้นเข้า

นาย ก. สะดุ้งร้องโอ้ยๆ นั่นตรงนั้นแหละ ถูกแล้วค่อยๆ เออ ดีๆๆ กดไว้ฉันใด

....ก็ฉันนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




181.jpg
181.jpg [ 58.56 KiB | เปิดดู 3514 ครั้ง ]
ท่าน Buddha หายไปไหนแล้วขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าไม่หายไปไหนดอกขอรับ เพียงแต่ข้าพเจ้าพักผ่อนบ้าง ไม่อยากใช้สมองไปในทางไร้สาระ สิ้นเปลืองพลังงาน
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถามของเจ้าดอกนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย เพราะเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว
ส่วนท่านผู้ใช้ชื่อว่า "เณรน้อย" นำเอาความในพระไตรปิฎกมากล่าวไว้ ก็ดีอยู่ แต่ควรจะรู้จักที่ควร ที่ไม่ควร ต้องรู้จักว่า เขากำลังเสวนากันเรื่องอะไร ต้องทำความเข้าใจว่าลักษณะหรือสภาพแวดล้อม หรือบุคคล เหมือนกันหรือไม่
ความจริงแล้ว คนที่ไม่รู้จักเหตุ ไม่รู้จักผล ไม่รู้จักตน ไม่รู้จักกาล ไม่รู้จักประมาณ ไม่รู้จักคน ไม่รู้จักชุมชน ถ้าจะใช้ภาษาทั่วไป ก็คงเรียกว่า "คนบ้า"ขอรับ ถ้าเป็นหลักพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่มีธรรมแห่งสัตบุรุษ คือ ไม่มีสัปปุริสธรรม อันเนื่องจากการได้รับการขัดเกลามาไม่ดีขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2009, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนบ้านั้น หมายถึง คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น โดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผล เช่น บางคน ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นนายแพทย์ ตะโกนโวยวาย ว่าตนเองเป็นนายแพทย์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแพทย์เลย แถมใครห้าม ใตรสอนก็ไม่รู้เรื่อง นั่นแหละ คนบ้า
ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนพวกเจ้าทั้งสองคนนั่นแหละ บ้า โรคจิตประสาทแต่ไม่รู้ตัว ฮ่า อ่า ฮ่า

ข้าพเจ้าไม่หายไปไหนดอกขอรับ เพียงแต่ข้าพเจ้าพักผ่อนบ้าง ไม่อยากใช้สมองไปในทางไร้สาระ
สิ้นเปลืองพลังงาน
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถามของเจ้าดอกนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย เพราะเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว



จะพิสูจน์นะขอรับว่าใครรู้ตัวไม่รู้ตัว ใครหลบเลี่ยงจิตสำนึกตนเอง :b16:

ผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย รู้ตัวดีว่าตนเองบ้า กรัชกายบ้า บ้าๆบอๆ นี่ว่าจะไปหาจิตแพทย์อยู่เนี่ย รู้ตัวแล้ว :b1:

แต่ท่านไม่กล้ารับแบบนี้ :b32:

หรือว่าไม่รู้ตัว :b28:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 20 ต.ค. 2009, 11:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
คนบ้านั้น หมายถึง คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น โดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผล เช่น บางคน ยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นนายแพทย์ ตะโกนโวยวาย ว่าตนเองเป็นนายแพทย์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแพทย์เลย แถมใครห้าม ใตรสอนก็ไม่รู้เรื่อง นั่นแหละ คนบ้า
ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนพวกเจ้าทั้งสองคนนั่นแหละ บ้า โรคจิตประสาทแต่ไม่รู้ตัว ฮ่า อ่า ฮ่า

ข้าพเจ้าไม่หายไปไหนดอกขอรับ เพียงแต่ข้าพเจ้าพักผ่อนบ้าง ไม่อยากใช้สมองไปในทางไร้สาระ
สิ้นเปลืองพลังงาน
ข้าพเจ้าไม่ตอบคำถามของเจ้าดอกนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย เพราะเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว



จะพิสูจน์นะขอรับว่าใครรู้ตัวไม่รู้ตัว ใครหลบเลี่ยงจิตสำนึกตนเอง :b16:

ผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกาย รู้ตัวดีว่าตนเองบ้า กรัชกายบ้า บ้าๆบอๆ นี่ว่าจะไปหาจิตแพทย์อยู่เนี่ย รู้ตัวแล้ว :b1:

แต่ท่านไม่กล้ารับแบบนี้ :b32:

หรือว่าไม่รู้ตัว :b28:


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า กรัชกายเอ๋ย อาการทางจิตของเจ้า นับว่ารุนแรงพอสมควร ถึงแมัเจ้าจะบอกว่าเจ้ารู้ตัว แต่ความจริงแล้วเจ้าไม่รู้ตัวดอกนะ สาเหตุที่สำคัญ เพราะเจ้าไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ศึกษา เกี่ยวกับจิตของมนุษย์โดยตรง
ลักษณะการเขียนอย่างเจ้านั้นแหละ เขาเรียกว่า อาการของ คนเป็น "โรคจิตประสาท" ชนิดอยากให้ผู้อื่นยอมรับตัวเองขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 13:44
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool

ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่พยายามให้ความรู้เรื่องภวังจิตนะครับ

ข้าพเจ้าก็ขออนุญาตให้ความรู้เพิ่มเติมนะครับ

จะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การนั่งสัปปะหงกนะครับ แต่ในชั่วขณะจิตนั้นเป็นจิตที่ละเอียด หรือเรียกว่า จิตล่อง

ไม่ได้อยู่ในองค์ภาวนา และก็ไม่สามารถเจริญใน สมถะ และ วิปัสสนากรรมฐานได้

แต่ถ้าจะแก้การตกภวังมี 2 แบบครับ

1.เปลี่ยนจากนั่งมาเป็นการเดินจงกรม เพื่อเพิ่มสติ สัมปชัญญะให้จดจ่ออยู่กับเท้า รู้อยู่ ดูอยู่

2.ถ้ามีกำลังจิตพอ ดึงสติมาอยู่กับลมหายใจ แล้วแต่ถนัดครับ เช่น ยุบหนอ พองหนอ,พุท โธ ฯลฯ

ก็ต้องปฏิบัติเองนะครับ เพื่อจะรู้ถึงปัญหาเพราะมันเป็น ปัจจัตตัง ครับ คือ รู้ได้เฉพาะตน

ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อาณาปานสติ เขียน:
cool

ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่พยายามให้ความรู้เรื่องภวังจิตนะครับ

ข้าพเจ้าก็ขออนุญาตให้ความรู้เพิ่มเติมนะครับ

จะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การนั่งสัปปะหงกนะครับ แต่ในชั่วขณะจิตนั้นเป็นจิตที่ละเอียด หรือเรียกว่า จิตล่อง

ไม่ได้อยู่ในองค์ภาวนา และก็ไม่สามารถเจริญใน สมถะ และ วิปัสสนากรรมฐานได้

แต่ถ้าจะแก้การตกภวังมี 2 แบบครับ

1.เปลี่ยนจากนั่งมาเป็นการเดินจงกรม เพื่อเพิ่มสติ สัมปชัญญะให้จดจ่ออยู่กับเท้า รู้อยู่ ดูอยู่

2.ถ้ามีกำลังจิตพอ ดึงสติมาอยู่กับลมหายใจ แล้วแต่ถนัดครับ เช่น ยุบหนอ พองหนอ,พุท โธ ฯลฯ

ก็ต้องปฏิบัติเองนะครับ เพื่อจะรู้ถึงปัญหาเพราะมันเป็น ปัจจัตตัง ครับ คือ รู้ได้เฉพาะตน

ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b29:


ที่คุณกล่าวมาทั้งหมด ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่การสอน แสดงว่าคุณอ่านเรื่อง ภวังคจิต แต่ไม่เข้าใจ
ภวังคจิต หรือ ภวังค หรือ ภวัง หมายถึงระบบการทำงานของสรีระร่างกายของมนุษย์
ภวังขณะที่คุณกล่าวว่า นั่งสัปงก นั่นหมายถึง ระบบการทำงานของร่างกาย มีข้อเสื่อม หรือมีปัญหา ในหลายสาเหตุ จึงทำให้เกิดอาการง่วงนอน คือ สัปงก
ภวัง ขณะ ที่คุณเดินจงกรม ก็คือระบบการทำงานในร่างกายที่คุณไม่รู้สึกตัวว่ามีการบังคับ สั่งกายให้เดินจงกรม อย่างนี้เป็นต้น
คุณจะแก้ไขความคิดของคุณให้ถูกต้องหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของคุณ ซึ่งตัวคุณเองก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองอยุ่แล้วขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 13:44
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่คุณพิมพ์เป็น สัญญา หรือ ปัญญา
ลองเอาไปพิจารณาดู การปฏิบัติไม่มีถูกหรือผิด

แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล

ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ

:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2009, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อาณาปานสติ เขียน:
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่คุณพิมพ์เป็น สัญญา หรือ ปัญญา
ลองเอาไปพิจารณาดู การปฏิบัติไม่มีถูกหรือผิด

แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล

ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ

:b29:


ปัญญาจะมีได้ ก็ต้องมีสัญญา ถ้าไม่มีสัญญา ปัญญาก็ไม่มีเหมือนกันนั่นแหละคุณ
แต่ข้าพเจ้าว่าคุณนั้น ได้รับการอบรมหรือขัดเกลามาผิดๆจาก บรรดาผู้อวดอุตริฯ แล้วตั้งตัวเป็นอาจารย์ ทำลายพุทธศาสนาบิดเบือนความจริง ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา มานักต่อนัก
การปฏิบัติ ไม่มีคำว่า แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
คุณลองใช้สมองของคุณพิจารณาดู ว่า มนุษย์ ทุกคน มีรูปร่างสรีระร่างกาย แบบเดียวกัน มีอวัยวะทุกอย่างเหมือนกัน ข้อแตกต่างภายในเซลล์ ไม่ต้องพูดถึง มนุษย์มีความแตกต่างกันในเรื่องของภาษา ลักษณะภูมิประเทศที่อาศัย และอื่นๆ
การปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา ย่อมมีวิธีการเดียว ในเรื่องของการฝึกฝนสมาธิ หลักธรรมก็เหมือนกันทุกอย่าง แตกต่างกันตรงที่การคิดพิจารณาตามกำลังสมองสติปัญญา
แล้วการปฏิบัติมันจะแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคลได้อย่างไร มันเป็นการบิดเบือนหลักธรรมทางพุทธศาสนา อวดอุตริ ไม่ได้รู้หลักความจริงตามธรรมชาติ ไมได้รู้ว่า ธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์นั้น เหมือนกัน
ขืนไปปฏิบัติตามจริตของตนเอง มันก็สับสนซิขอรับ เขาให้นับหนึ่งก่อน แต่ดันทุรัง ไปนับ เก้า ก่อน ไปพิจารณาดูเถิด
ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เปลี่ยนความคิดไปในทางที่ถูกต้องจะดีกว่าขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
อาณาปานสติ เขียน:
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่คุณพิมพ์เป็น สัญญา หรือ ปัญญา
ลองเอาไปพิจารณาดู การปฏิบัติไม่มีถูกหรือผิด

แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล

ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ

:b29:


ปัญญาจะมีได้ ก็ต้องมีสัญญา ถ้าไม่มีสัญญา ปัญญาก็ไม่มีเหมือนกันนั่นแหละคุณ
แต่ข้าพเจ้าว่าคุณนั้น ได้รับการอบรมหรือขัดเกลามาผิดๆจาก บรรดาผู้อวดอุตริฯ แล้วตั้งตัวเป็นอาจารย์ ทำลายพุทธศาสนาบิดเบือนความจริง ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา มานักต่อนัก
การปฏิบัติ ไม่มีคำว่า แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
คุณลองใช้สมองของคุณพิจารณาดู ว่า มนุษย์ ทุกคน มีรูปร่างสรีระร่างกาย แบบเดียวกัน มีอวัยวะทุกอย่างเหมือนกัน ข้อแตกต่างภายในเซลล์ ไม่ต้องพูดถึง มนุษย์มีความแตกต่างกันในเรื่องของภาษา ลักษณะภูมิประเทศที่อาศัย และอื่นๆ
การปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา ย่อมมีวิธีการเดียว ในเรื่องของการฝึกฝนสมาธิ หลักธรรมก็เหมือนกันทุกอย่าง แตกต่างกันตรงที่การคิดพิจารณาตามกำลังสมองสติปัญญา
แล้วการปฏิบัติมันจะแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคลได้อย่างไร มันเป็นการบิดเบือนหลักธรรมทางพุทธศาสนา อวดอุตริ ไม่ได้รู้หลักความจริงตามธรรมชาติ ไมได้รู้ว่า ธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์นั้น เหมือนกัน
ขืนไปปฏิบัติตามจริตของตนเอง มันก็สับสนซิขอรับ เขาให้นับหนึ่งก่อน แต่ดันทุรัง ไปนับ เก้า ก่อน ไปพิจารณาดูเถิด
ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เปลี่ยนความคิดไปในทางที่ถูกต้องจะดีกว่าขอรับ


ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง เพราะคงมีหลายที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า "ปฏิบัติธรรมแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล"

ความจริงแล้ว บรรดาผู้ตั้งสำนัก หรือผู้ไม่รู้แจ้งในการปฏิบัติ ใช้คำหรือประโยคที่ว่า "ปฏิบัติธรรมตามจริตของแต่ละบุคคล"นั้น เป็นการใช้ภาษาที่ผิด เพราะประโยคที่พวกเขาสอนนั้น หมายถึง "การปฏิบัติธรรมตามความชอบของแต่ละบุคคล" หมายความว่า แต่ละบุคคลถนัดอย่างไหน ก็ปฏิบัติตามถนัด"
แต่ในทางที่เป็นจริงแล้ว คำว่า "จริต"หมายถึง ความประพฤติ หรือ กิริยา อาการ ที่เริ่มจากภายในแสดงให้เห็นได้ภายนอก
ดังนั้น คำว่า "ปฏิบัติธรรมตามจริตของแต่ละบุคคล" จึงมีความหมายไม่ค่อยถูกต้อง แต่พวกเขาให้ความหมายดังที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไว้ว่า "ปฏิบัติธํรรมตามความขอบ หรือความถนัดของแต่ละบุคคล"
เป็นการสอนที่ไม่ถูกต้อง เพราะขั้นตอนการปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนานั้น ถ้าหากต้องการที่จะมุ่งสู่ความหลุดพ้น สูงสุดคือนิพพาน จักต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอน คือนับหนึ่ง ไปจนที่สุด
แต่หากบุคคล ต้องการที่ดำรงชีวิต หรือดำเนินชีวิต ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน นี้แหละที่บุคคลจะยึดถือธรรมข้อใดก็ตามแต่ตามแต่ความชอบ หรือตามแต่ความถนัด ซึ่งย่อมไม่ขัดต่ออาชัพหรือหน้าทีการงานของตนเอง หรือจะปฏิบัติสมาธิในรูปแบบใดก็ได้ ถ้าหาก เป็นการทำให้เกิดสมาธิ แล้วแต่ความชอบ ตามความต้องการของต้วเอง เช่นฟังเพลงทำให้เกิดสมาธิ แล้วทำงานไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น
ท่านทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่านเข้ามาศึกษา ก็จงได้จดจำเอาไว้ อย่าได้นำไปใช้ผิดรูปผิดวิธี
ส่วนบรรดาเจ้าสำนัก หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการเรียนการสอนทางพุทธศาสา ก็ให้คิดพิจารณา ให้ดี เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้สอนไปข้างต้นนั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเองอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
Buddha เขียน:
อาณาปานสติ เขียน:
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่คุณพิมพ์เป็น สัญญา หรือ ปัญญา
ลองเอาไปพิจารณาดู การปฏิบัติไม่มีถูกหรือผิด

แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล

ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณครับ

:b29:


ปัญญาจะมีได้ ก็ต้องมีสัญญา ถ้าไม่มีสัญญา ปัญญาก็ไม่มีเหมือนกันนั่นแหละคุณ
แต่ข้าพเจ้าว่าคุณนั้น ได้รับการอบรมหรือขัดเกลามาผิดๆจาก บรรดาผู้อวดอุตริฯ แล้วตั้งตัวเป็นอาจารย์ ทำลายพุทธศาสนาบิดเบือนความจริง ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา มานักต่อนัก
การปฏิบัติ ไม่มีคำว่า แล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
คุณลองใช้สมองของคุณพิจารณาดู ว่า มนุษย์ ทุกคน มีรูปร่างสรีระร่างกาย แบบเดียวกัน มีอวัยวะทุกอย่างเหมือนกัน ข้อแตกต่างภายในเซลล์ ไม่ต้องพูดถึง มนุษย์มีความแตกต่างกันในเรื่องของภาษา ลักษณะภูมิประเทศที่อาศัย และอื่นๆ
การปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา ย่อมมีวิธีการเดียว ในเรื่องของการฝึกฝนสมาธิ หลักธรรมก็เหมือนกันทุกอย่าง แตกต่างกันตรงที่การคิดพิจารณาตามกำลังสมองสติปัญญา
แล้วการปฏิบัติมันจะแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคลได้อย่างไร มันเป็นการบิดเบือนหลักธรรมทางพุทธศาสนา อวดอุตริ ไม่ได้รู้หลักความจริงตามธรรมชาติ ไมได้รู้ว่า ธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์นั้น เหมือนกัน
ขืนไปปฏิบัติตามจริตของตนเอง มันก็สับสนซิขอรับ เขาให้นับหนึ่งก่อน แต่ดันทุรัง ไปนับ เก้า ก่อน ไปพิจารณาดูเถิด
ถ้าเข้าใจแล้ว ก็เปลี่ยนความคิดไปในทางที่ถูกต้องจะดีกว่าขอรับ


ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง เพราะคงมีหลายที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า "ปฏิบัติธรรมแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล"

ความจริงแล้ว บรรดาผู้ตั้งสำนัก หรือผู้ไม่รู้แจ้งในการปฏิบัติ ใช้คำหรือประโยคที่ว่า "ปฏิบัติธรรมตามจริตของแต่ละบุคคล"นั้น เป็นการใช้ภาษาที่ผิด เพราะประโยคที่พวกเขาสอนนั้น หมายถึง "การปฏิบัติธรรมตามความชอบของแต่ละบุคคล" หมายความว่า แต่ละบุคคลถนัดอย่างไหน ก็ปฏิบัติตามถนัด"
แต่ในทางที่เป็นจริงแล้ว คำว่า "จริต"หมายถึง ความประพฤติ หรือ กิริยา อาการ ที่เริ่มจากภายในแสดงให้เห็นได้ภายนอก
ดังนั้น คำว่า "ปฏิบัติธรรมตามจริตของแต่ละบุคคล" จึงมีความหมายไม่ค่อยถูกต้อง แต่พวกเขาให้ความหมายดังที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไว้ว่า "ปฏิบัติธํรรมตามความขอบ หรือความถนัดของแต่ละบุคคล"
เป็นการสอนที่ไม่ถูกต้อง เพราะขั้นตอนการปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนานั้น ถ้าหากต้องการที่จะมุ่งสู่ความหลุดพ้น สูงสุดคือนิพพาน จักต้องปฏิบัติไปตามขั้นตอน คือนับหนึ่ง ไปจนที่สุด
แต่หากบุคคล ต้องการที่ดำรงชีวิต หรือดำเนินชีวิต ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน นี้แหละที่บุคคลจะยึดถือธรรมข้อใดก็ตามแต่ตามแต่ความชอบ หรือตามแต่ความถนัด ซึ่งย่อมไม่ขัดต่ออาชัพหรือหน้าทีการงานของตนเอง หรือจะปฏิบัติสมาธิในรูปแบบใดก็ได้ ถ้าหาก เป็นการทำให้เกิดสมาธิ แล้วแต่ความชอบ ตามความต้องการของต้วเอง เช่นฟังเพลงทำให้เกิดสมาธิ แล้วทำงานไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น
ท่านทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่านเข้ามาศึกษา ก็จงได้จดจำเอาไว้ อย่าได้นำไปใช้ผิดรูปผิดวิธี
ส่วนบรรดาเจ้าสำนัก หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการเรียนการสอนทางพุทธศาสา ก็ให้คิดพิจารณา ให้ดี เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้สอนไปข้างต้นนั้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเองอยู่


เพิ่มเติมอีกนิดว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้สอน เอ. เอาเป็นว่า แนะนำให้สำหรับ บรรดาเจ้าสำนัก หรือผู้ที่คงแก่เรียน หรือผู้ที่ชอบทำตัวเป็นผู้รู้ แล้วนำเอา ความในพระไตรปิฎกมากล่าวอ้างนั้น
สิ่งที่พวกท่านทำ มันเป็นดาบสองคม เพราะมันสามารถทำลายความเชื่อ ของผู้ที่ศรัทธาในพุทธศาสนาได้ เช่นสอนว่า ให้ละอะไรต่อมิอะไร แต่ไม่ได้บอกวิธีว่า จะละได้อย่างไร พิสูจน์ไม่ได้ว่า ละได้จริงหรือไม่ จุดนี้แหละที่เป็นการทำลายพุทธศาสนา เป็นอันตรายต่อพุทธศาสนา เพราะความหลง ความโลภ ในกมลสันดานของพวกท่านทั้งหลาย
สิ่งที่ข้าพเจ้าแนะนำให้นั้น จะนับเป็น "ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา" ก็ย่อมได้ ดังนัน พึงใช้สมองสติปัญญาพิจารณาให้ดีว่า พวกท่านที่ชอบทำตัวเป็นผู้รู้ หรือบรรดาเจ้าสำนักต่างๆ กำลังทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพุทธศาสนา อย่างร้ายแรงที่สุด
มันเป็นการทำลายความเชื่อ หรือความมั่นใจ เพราะไม่เกิดความเข้าใจในสิ่งที่พวกท่าน นำมากล่าวอ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2009, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร