วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 91 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

:b12: :b12:

เคยได้ยินมาว่า..

ลูกศิษย์ดูจิต..ติดปัญหา..ไปถามอาจารย์..ได้คำตอบมาแต่ยังมีตะขิดนิด ๆ

ก็เลยไปถามหลวงตาฯ

หลวงตาก็บอกว่า..เองนะถูก..อาจารย์เองนะผิด

จึงได้นึกขึ้นว่า..อ่อ..ดูผิดก็มี..ดูถูกก็มี.. ด้วยเน่อะ

:b12: :b12:


เหอะ เหอะ ขำ ขำ :b18: :b18: :b18:

เหมือนเอดิสันค้นพบวิธีการผลิตหลอดไฟ...
การทดลองอย่างหนึ่งผิดพลาด แต่ดันไปค้นสิ่งใหม่อีกสิ่งที่ประยุกต์มาใช้เป็นประโยชน์ได้...

ชาติสยาม เขียน:

สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อทำบ่อยมาก คือ หลวงพ่อ"ชวนหัวเราะ"
"ไล่ให้ไปฟังเพลง" "ให้เลิกปฏิบัติ" และยังมีกลเม็ดอีกเยอะแยะ

ท่านมีอุบายเยอะครับ

"รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว"


แหมะ... ชาติสยาม มีการนำใช้คณิตศาสตร์มาใช้ด้วยแฮะ...

ขอชื่นชมอุบาย...จริง ๆ
เท่าที่ฟัง ๆ คุณเอ่ยถึงหลวงพ่อ แม้ผมยังไม่เคยได้อ่านหนังสือ และฟัง CD ของท่าน
ผมเชื่อเลย ว่าท่านเป็นผู้ที่มีความละเอียดละออในการดูจิตอย่างมาก

อ้างคำพูด:
ในทางดุจิต เมื่อมันติดลบมากไป หรือติดบวกมากไป ต้องดึงให้เข้า 0

เพื่อให้เกิด
อ้างคำพูด:
มีความเบาสบาย นุมนวล ว่ิองไว ควรแก่การงาน(ที่จะมาเจริญจิตภาวนา)


:b32: :b32: :b4: :b4:

สวย สวย...ขอชื่นชมสักหน่อยเถอะ...ท่านมะนาวแป้น...
นี่ล่ะ จะฝึกจิตอย่างไร ให้มีทั้งประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล... :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 12 พ.ย. 2009, 11:02, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โอ๊บ ๆ ชอบเสี่ยงเหมือนกันนะนี่ :b32:

สิ่งปิดกั้นมรรคผลนิพพานนั้น มีไม่มาก
แต่ละอย่างก็มีโอกาสน้อยมากที่เราในยุคนี้ จะพลาดไปทำได้
ผมจะให้ keyword ลองไปหาดูนะครับ "อันตรายิกธรรม"

มาคำนวนคณิตศาสตร์เล่นๆดู
- ถ้าเราไม่ว่าท่านนะ เราเสี่ยง 0-0 %
- ถ้าเราว่าท่าน ต่อให้ท่านไม่ใช่หรือใช่อริยชนก็ตาม ความเสี่ยงเป็น 1-50%
เพราะ(เราไม่ทราบ ไม่มีทางทราบ)
- ถ้าเกิดท่าน"ใช่" แม้เพียงโสดาบัน นี่เท่ากับเราเสี่ยง 51-100%


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณชาติสยาม :

โอ๊บ ๆ ชอบเสี่ยงเหมือนกันนะนี่

สิ่งปิดกั้นมรรคผลนิพพานนั้น มีไม่มาก
แต่ละอย่างก็มีโอกาสน้อยมากที่เราในยุคนี้ จะพลาดไปทำได้
ผมจะให้ keyword ลองไปหาดูนะครับ "อันตรายิกธรรม"

มาคำนวนคณิตศาสตร์เล่นๆดู
- ถ้าเราไม่ว่าท่านนะ เราเสี่ยง 0-0 %
- ถ้าเราว่าท่าน ต่อให้ท่านไม่ใช่หรือใช่อริยชนก็ตาม ความเสี่ยงเป็น 1-50%
เพราะ(เราไม่ทราบ ไม่มีทางทราบ)
- ถ้าเกิดท่าน"ใช่" แม้เพียงโสดาบัน นี่เท่ากับเราเสี่ยง 51-100%
โอ๊บ ๆ ชอบเสี่ยงเหมือนกันนะนี่ :b32:

สิ่งปิดกั้นมรรคผลนิพพานนั้น มีไม่มาก
แต่ละอย่างก็มีโอกาสน้อยมากที่เราในยุคนี้ จะพลาดไปทำได้
ผมจะให้ keyword ลองไปหาดูนะครับ "อันตรายิกธรรม"

มาคำนวนคณิตศาสตร์เล่นๆดู
- ถ้าเราไม่ว่าท่านนะ เราเสี่ยง 0-0 %
- ถ้าเราว่าท่าน ต่อให้ท่านไม่ใช่หรือใช่อริยชนก็ตาม ความเสี่ยงเป็น 1-50%
เพราะ(เราไม่ทราบ ไม่มีทางทราบ)
- ถ้าเกิดท่าน"ใช่" แม้เพียงโสดาบัน นี่เท่ากับเราเสี่ยง 51-100%



หากท่านกล่าวอย่างนี้...

ที่คุณกล่าวมาก็มีส่วนถูกครับ เรื่อง "ความเสี่ยง" เพราะเรื่องนี้ เคยมีผู้ลองเสี่ยงกันมาแล้ว

เช่น เสี่ยงเรื่องหน้าที่ต่อทุกข์สัจจ์ของพระพุทธเจ้า(ที่ทรงสอนว่าทุกข์ควรกำหนดรู้), เสี่ยงต่อพระปฏิบัติสายพองยุบ, เสี่ยงต่อสายพิจารณา เป็นต้น ขอยกตัวอย่างยกมาให้ดูบางส่วน ดังนี้

*********************

รู้ ไม่ใช่กำหนดรู้

๖.๒.๔.๑ รู้ไม่ใช่การกำหนดรู้ หรือการตรึกพิจารณาถึงอารมณ์ว่าเป็นรูปนาม แต่เป็นการระลึกรู้ (มนสิการ) ปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมชาติธรรมดา นักปฏิบัติจำนวนมากคิดว่า รู้คือการกำหนดรู้ เพราะมักได้ยินคำพูดเกี่ยวกับการกำหนดรู้รูปนาม หรือการกำหนดรู้ปัจจุบันอารมณ์ จึงคิดว่า การรู้ต้องมีการกระทำ คือการกำหนด หรือการพิจารณาด้วย ดังนั้นพอรู้อารมณ์แล้วจึงรีบบริกรรมต่อท้ายการรู้ทันที เช่นยกหนอ ย่างหนอ โกรธหนอ เสียงหนอ ฯลฯ นี่คือการบริกรรมไม่ใช่การรู้ (เบื้องต้นอาจจำเป็นสำหรับบางท่านที่ต้องบริกรรมก่อน แต่พึงทราบว่าจะหยุดการปฏิบัติอยู่เพียงขั้นการตามบริกรรมไม่ได้ เพราะยังไม่ใช่วิปัสสนา) หรือบางท่านนิยมการพิจารณากำกับซ้ำลงไปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่การรู้เช่นกัน เช่นเมื่อตาเห็นรูปตามธรรมชาติแล้ว ก็จงใจพิจารณารูปซ้ำลงไปอีก ว่า "รูปนี้เป็นเพียงสี ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ฯลฯ" หรือพิจารณาว่า "สีเป็นรูป รู้เป็นนาม" อันเป็นการกระทำด้วยความจงใจกำหนด และเป็นการกระทำตามหลังการรู้อารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน จึงยังไม่ใช่การรู้ที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติธรรมดา

ที่มา : ขอสงวนไว้ครับ ไม่ต้องการให้พาดพึงถึงบุคคล ต้องกล่าวสนทนาธรรมเฉพาะเนื้อหาเท่านั้นครับ

**********************

ปล. ถ้าเป็นไปได้กรุณาสนทนาอย่าได้พยายามนำบุคคลมาเกี่ยวข้องดีกว่าครับ เพราะว่าเจ้าของกระทู้พยายามสื่อถึงหลักการปฏิบัติว่าถูกหรือไม่อย่างไร อย่างถึงพระสงฆ์ท่านมาเกี่ยวเลยครับ

จะเป็นคุณต่อพระพุทธศาสนาโดยแท้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 06:55
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โอ๊บ ๆ ชอบเสี่ยงเหมือนกันนะนี่ :b32:

สิ่งปิดกั้นมรรคผลนิพพานนั้น มีไม่มาก
แต่ละอย่างก็มีโอกาสน้อยมากที่เราในยุคนี้ จะพลาดไปทำได้
ผมจะให้ keyword ลองไปหาดูนะครับ "อันตรายิกธรรม"

มาคำนวนคณิตศาสตร์เล่นๆดู
- ถ้าเราไม่ว่าท่านนะ เราเสี่ยง 0-0 %
- ถ้าเราว่าท่าน ต่อให้ท่านไม่ใช่หรือใช่อริยชนก็ตาม ความเสี่ยงเป็น 1-50%
เพราะ(เราไม่ทราบ ไม่มีทางทราบ)
- ถ้าเกิดท่าน"ใช่" แม้เพียงโสดาบัน นี่เท่ากับเราเสี่ยง 51-100%


:b4: :b4:

หวัดดี...จ้าาาา

คุณอา..ชาติสยาม... จำหนูได้รึเปล่าจ๊ะ...

:b4: :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
..


ตามสบายเถอะพ่อคู๊น :b32:

เจอกันป้ายหน้า (หวังว่านะ) :b32: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จิงโจ้ เขียน:

คุณอา..ชาติสยาม... จำหนูได้รึเปล่าจ๊ะ...



จำได้สิ แฟนคลับรุ่นเล็กของอา :b9:
อยากได้สีซมปูมั่ง :b22: แต่เขาไม่ให้น่ะ อายุไม่ถึง แง๊ๆๆๆ :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



คำว่า รู้ กับ กำหนดรู้ ต่างกันคือ

รู้ หมายเอารู้ธรรมดา

ส่วน กำหนดรู้ หมายถึง เอาปริญเญยยกิจ คือ กำหนดรู้รูปนาม มีอุปมาดังนี้ คือ

นาย ก. กับ นาย ข. นัดพบกันที่โรงเรียน ครั้น นาย ก. ไปถึงก่อนก็คอยดูนาย ข. เท่านั้น
ใครจะมาก็ตาม เขามิได้สนใจเลย เขาจะคอยดูแต่นาย ข. จะมาเมื่อไร มาแล้วหรือยังเท่านั้น
หรืออีกอุปมาหนึ่ง เช่น มีคนสองคน มาพูดติเตียนเราอยู่ใกล้ๆ ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง
เราต้องจ้องฟังอยู่เพราะอยากรู้เรื่องนั้น ขณะนั้นใจจะแน่วแน่จดจ่ออยู่กับเสียงนั้น
ข้อนี้ฉันใด ปริญเญยยกิจก็ฉันนั้น

....................................................


ก็แค่บัญญัติ แล้วแต่จะให้ค่าให้ความหมาย เป็นเพียงอุบายในการสอนของแต่ละครูบาฯท่าน
ใครกระทำ คนนั้นได้ผล ส่วนจะถูกหรือผิดหรือจะหลงไปสุดโต่งก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่ได้กระทำกันมา
แต่สุดท้าย ท้ายสุดก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนๆกัน
อาจจะแตกต่างที่กาลเวลาเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือเรื่องถูกหรือผิดแต่อย่างใดเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 12 พ.ย. 2009, 21:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โอ๊บ ๆ ชอบเสี่ยงเหมือนกันนะนี่ :b32:

สิ่งปิดกั้นมรรคผลนิพพานนั้น มีไม่มาก
แต่ละอย่างก็มีโอกาสน้อยมากที่เราในยุคนี้ จะพลาดไปทำได้
ผมจะให้ keyword ลองไปหาดูนะครับ "อันตรายิกธรรม"

มาคำนวนคณิตศาสตร์เล่นๆดู
- ถ้าเราไม่ว่าท่านนะ เราเสี่ยง 0-0 %
- ถ้าเราว่าท่าน ต่อให้ท่านไม่ใช่หรือใช่อริยชนก็ตาม ความเสี่ยงเป็น 1-50%
เพราะ(เราไม่ทราบ ไม่มีทางทราบ)
- ถ้าเกิดท่าน"ใช่" แม้เพียงโสดาบัน นี่เท่ากับเราเสี่ยง 51-100%


:b12: :b12:

ดูจิตอย่างเขาไม่เป็น..แต่ดูใจตัวเองเป็น

แม้ไม่ถูกกับจริต..แต่ใจไม่คิดปรักปรำ..

ดังนั้น...

ความเสี่ยงของกบน้อยจึงเป็น 0.00 เพราะกบฯไม่ได้เสี่ยง.. :b12: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงคุณ walaiporn

เรื่องหน้าที่ต่ออริยสัจจ์ ผมเห็นว่าไม่ควรเปลี่ยนจาก "กำหนดรู้" ไปเป็น "รู้" แม้ตัวอักษรเดียวก็ไม่ควรครับ ผมจำไม่ได้ว่าผมเจอจากแห่งใด ทำนองว่า "หน้าที่ต่อทุกข์คือรู้เท่านั้น ตั้งแต่แรกไปจนสุดท้าย คือ รู้" ประมาณนี้น่ะครับ หากคุณ walaiporn เห็นว่าผมจำผิดทักท้วงได้นะครับ เพราะว่าแต่ก่อนผมก็ศึกษาปฏิบัติมาเหมือนกันกับแนวทางดูจิตนี้ แต่ผมไม่ได้หยุดศึกษาพระไตรปิฏก มันนานแล้วครับ เอกสารต่างๆ ก็พอมีอยู่บ้าง จึงเห็นว่าต่อมามีคำสอนหลายแห่งที่ไม่ตรงกับพระไตรปิฏกผมจึงเลิกครับ

ตรงเรื่องที่เปลี่ยนหน้าที่จาก "กำหนดรู้" เป็น "รู้" งดไว้ก่อนก็ได้ครับ จะปล่อยไปก็ถือว่าไม่น่าเกลียดในสมัยปัจจุบันในทัศนคติของคุณ walaiporn แต่พิเคราะห์ลึกๆ แบบไม่ได้ใส่ความ หรือปรักปรำนะครับ ไม่ได้มีเจตนาจับผิดด้วย จะเห็นชัดๆ ว่า ยังสอนให้ไม่ต้องกำหนดรู้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าสอน คำสอนกล่าวไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ไปกำหนดรู้ ไม่ให้ไปพิจารณา แต่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้กำหนดรู้ ให้พิจารณาครับ...

หากจะว่าเป็นอุบาย หรือเทคนิคของการสอน ผมเห็นว่า ควรจะรักษาหน้าที่ของทุกข์สัจจ์ คือ "ทุกข์ควรกำหนดรู้" เอาไว้ แล้วจะอธิบาย หรือประยุกต์อย่างไร ก็ว่ากันไปครับ

หน้าที่ของผมหรือพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ ว่าให้เทียบเคียงกับพระสูตร ผมเทียบเคียงกับพระสูตรแล้วเห็นว่าไม่ตรงก็ทักท้วง ผมเห็นว่าไม่ใช่การทำผิดบาปอะไรครับ พุทธศาสนาจะอยู่ได้ก็พุทธบริษัท ๔ เรื่องทำนองนี้เคยเกิดมาแล้วในหลายครั้งสมัยพุทธกาล เช่น เรื่องการสอน "อินทรียภาวนา" เป็นต้น ที่มีการเข้าใจผิด ตีความผิดไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อ้างอิง :
กบนอกกะลา

ดูจิตอย่างเขาไม่เป็น..แต่ดูใจตัวเองเป็น

แม้ไม่ถูกกับจริต..แต่ใจไม่คิดปรักปรำ..

ดังนั้น...

ความเสี่ยงของกบน้อยจึงเป็น 0.00 เพราะกบฯไม่ได้เสี่ยง..


ผิดกับผมนะครับ ผมเป็นคนชอบเสี่ยง ชอบท้าทาย อะไรที่ผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งดี ผมจะกล้าเสี่ยง ไม่กลัวอะไรครับ แต่ก็ไม่หลง (หยิ่งพยอง ไม่เป็นคนตุ่มเต็ม กระต่ายขาเดียว) ยิ่งทำเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยผมไม่เคยกลัวเลย หากกลัว ก็จะพยายามละเสียครับ

หากสำหรับผม การช่วยรักษาพระพุทธศาสนา และทำเพื่อสงฆ์สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า ไม่เร่งด่วนไปกว่าการบรรลุธรรม เพราะทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปครับ

การลงทุนมีความเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมาก หากได้ย่อมได้มากเป็นธรรมดา แต่ต้องใช้ปัญญาก่อนจะเสี่ยง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิรัสพล เขียน:
อะไรที่ผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งดี ผมจะกล้าเสี่ยง


นี้เรียกว่าทิฐิ
คิดว่าทิฐิตัวเราเองเป็นที่สุดแล้ว ไม่กลับพลิกมาเป็นผิดได้อีก


ศิรัสพล เขียน:
ไม่กลัวอะไรครับ

นี่เรียกว่า มานะ
เพราะยึดมั่นในทิฐิจึงมีมานะอัตตา

บาปบุญก็จะไม่กลัวด้วย เพราะว่ายึดมั่นในทิฐิว่าไม่บาป
แต่แท้จริงบ้าบุญ หิวบุญมาก บาปเบิบอะไรไม่กลัว


ศิรัสพล เขียน:
แต่ก็ไม่หลง (หยิ่งพยอง ไม่เป็นคนตุ่มเต็ม กระต่ายขาเดียว)


จะไม่หลงได้ยังไง :b10:
ก็ในเมื่อทิฐินั่นแหละคือผลผลิตของความปรุงแต่ง นั่นแหละความหลงแท้ๆ
ความยึดมั่นว่าไม่หลง นั่นแหละคือหยิ่งผยองในทิฐิ


ศิรัสพล เขียน:
ยิ่งทำเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยผมไม่เคยกลัวเลย
-----------
หากกลัว ก็จะพยายามละเสียครับ


นี่ตกลงกลัวหรือไม่กลัวล่ะเนียะ :b14:
ทิฐิทำไมมันหักล้างกันเอง
นี่ละนะ ทิฐิ


ศิรัสพล เขียน:
ยิ่งทำเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยผมไม่เคยกลัวเลย
--------------------
หากสำหรับผม การช่วยรักษาพระพุทธศาสนา และทำเพื่อสงฆ์สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า ไม่เร่งด่วนไปกว่าการบรรลุธรรม เพราะทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปครับ


ผมดูดวงคุณแล้ว ดูฟ้าดูลายมือ ดุฮวงจุ้ย
ดุท่าจะไม่บรรลุธรรมง่ายๆหรอก :b32: จะยิ่งหลงทิฐิลึกไปกว่านี้อีกนะ
เหมือนเอาโซ่มาล่ามตัวเอง ล่ามทุกวัน หาอะไรมาพันตัวเองมากขึ้นทุกวันๆ


ศิรัสพล เขียน:
การลงทุนมีความเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมาก หากได้ย่อมได้มากเป็นธรรมดา แต่ต้องใช้ปัญญาก่อนจะเสี่ยง

น่าเป็นห่วงนะ

ถ้าอนาคตจะมีสงครามครูเสด เวอร์ชั่น "ศาสนาพุทธ" VS อะไรก้ตาม
ผมจะไม่แปลกใจเลยที่จะพบคุณอยู่ในนั้น :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามสบายเถอะพ่อคู๊น

เจอกันป้ายหน้า (หวังว่านะ) :b32:

*************************************
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า

[๑๑๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยในบ้าน
ภัณฑคามแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า มาไปกันเถิดอานนท์ เรา
จักไปยังบ้านหัตถีคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร ท่านพระอานนท์ทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโภคนคร
แล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดีย์ ในโภคนครนั้น ณ ที่นั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง
มหาประเทศ ๔ เหล่านี้ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี้
[๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส
ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้าน
คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวน
ในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึง
ทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงใน
พระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำ
สั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่หนึ่งนี้ไว้ ฯ
[๑๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้ฟังมา
ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของ
พระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว
พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง
ในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตร
ไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของ
พระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้ง
คำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระ
สูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของ
พระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สองนี้ไว้ ฯ
[๑๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ
ผู้เป็นเถระมากรูปอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม
ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็น
ธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึง
คัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี
แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร
เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความ
ตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้น
จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร
เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลง
ในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้น จำมาถูก
ต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สามนี้ไว้ ฯ
[๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ
ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรง
วินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน
คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบ
สวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง
ในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น
พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของ
พระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำ
มหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ

ที่มา : มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 888&Z=3915


********************

สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนเจ้าของกระทู้ และท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้

เพื่อไม่ให้กระทู้นี้กลายเป็นกระทู้ที่แตกออกนอกประเด็น และความมุ่งหมายของเจ้าของกระทู้

ท่านใดต้องการสนทนาประเด็นการดูจิตว่าผิดหรือถูกอย่างไร หรือต้องการเห็นว่ามีผู้ที่คิดเห็นต่างหรือตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไร เชิญเข้าไปร่วมสนทนาในกระทู้เฉพาะนี้จะดีกว่าครับ เพราะในนี้จะมีคนที่ผู้ที่ยกเหตุยกผลมาสนทนาธรรมกันอย่างตรงไปตรงมา (เว็ปนี้คนที่รู้พระสูตรก็มีมากนะครับ)

การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

http://board.palungjit.com/f4/การสอนดูจิตตอนนี้-ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล-212378.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โอย กรุ้ม :b5:

มีแต่คนถกเถียงว่าดุจิตนั้นผิด
แต่คนที่เถียงกันน่ะ ก็ไปเอาอันที่ผิดๆมาเถียงกัน
แล้วก็ไปเอาถูกเอาผิด กับคนที่เข้าใจผิด
:b10:
พูดราวกับว่าการดุจิตนั้นเป้นความชั่วช้าสามานย์ประเภทหนึ่ง


กระทู้ที่คุณให้ดุนะ ผมได้แต่สงสารคนพูดนะ
ไปยกพุทธพจน์มาซะดิบดี แต่ไม่มีปัญญาเข้าใจว่าอะไรคือ "จิตตั้งมั่น"
แล้วก็ไปเข้าใจว่า "การรู้เห้นตามเป็นจริง" คือตัวปัญญา

แล้วคุณศิรัสพลเองนี่ก็ ผมท้าอย่างหนึ่ง
บอกผมหน่อยว่าสติมีลักษณะเป้นอย่างไร
ไำม่ต้องไปยกพระไตรปิฏกอะไรมาทั้งนั้นแหละ
อธิบายประสพการณ์ตรงออกมาให้ฟังหน่อย

แล้วปัญญา 16 อย่าง (ญาน 16) น่ะ มีสักอย่างหรือยัง
มีดีอะไรถึงจะมาปกป้องพระสัทธรรม

ปากว่ากล้าอย่างนั้นกล้าอย่างนี้ที่จะปกป้องพระศาสนา
ผมไม่ได้ขอให้ฆ่าใครนะ ศีลข้อเดียวก็ไม่ได้ขอให้ละเมิด
ผมแค่ขอให้พูดประสบการณ์ตรงของคุณเอง
กล้าๆหน่อยนะ นี่ล่ะความกล้า กล้าพูดความจริงไหมล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2009, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


อืม ท้ากันอย่างนี้เลยหรือครับ หากไปทำอะไรกระตุ้นโทสะคุณ ก็ขออภัยนะครับ

สิ่งที่คุณท้า ผมสามารถอธิบายได้ครับ แต่อาจจะไม่ตรงใจคุณเท่านั้น เรื่องยิ่งกว่านี้ผมก็เคยได้ผ่านมาแล้วนะครับ แต่ไม่มีใครถามผมก็ไม่เล่า เพราะบางอย่างมันก็เสื่อมไปแล้ว เล่าไปก็หาว่าโกหก โม้เปล่าๆ เช่น รูปฌาน, อรูปฌาน, ปุพเพนิวาสานุสติญาณ, จักขุทิพย์, โสตทิพ เป็นต้น ผมเคยได้ผ่านมาจริงๆ ไม่ได้ตามปริยัติเท่านั้น และก็เคยสอบทานพิสูจน์กับพระปฏิบัติมาแล้ว ดังนั้นพูดไปก็เปล่าประโยชน์ครับ

ถึงแม้ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมเคยได้มาจะมีเสื่อมไปบ้างแล้ว แต่ประสบการณ์ไม่ได้เสื่อมสูญ เพราะความรู้ยังคงอยู่ ทำให้ผมแยกแยะได้ว่าว่าใครพูดจริง ใครพูดคลาดเคลื่อนกับเรื่องที่ผมเจอมาแล้วได้ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิรัสพล เมื่อ 13 พ.ย. 2009, 16:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 91 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร