วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2009, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

สั น ติ ว ร บ ท : ธ ร ร ม ๙ บ ท
ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ (ท่านเจ้าคุณนรรัตรราชมานิต)
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ


สันติวรบท ธรรม บท
เป็นโอวาทของท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ
ซึ่งท่านได้ปรารถว่า เป็นชื่อที่ดี
หมายถึง “หนทางอันประเสริฐคู่ควรความสงบ”


ท่านสอนให้เชื่อในเรื่องกรรม หมั่นทำความดี
ให้ศึกษาธรรมและปฏิบัติตามด้วย จึงจะทำให้ชีวิตพ้นทุกข์
ประสบความสำเร็จและมีความสงบได้อย่างแท้จริง

๑. “PERSONAL MAGNET”

เรื่องที่มีคนเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจนั้น
เป็นเพราะคุณธรรมความดีของตนเองหลายประการด้วยกัน
เป็นต้นว่า มี วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข็มแข็งแรงกล้า
และมี จิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง
เป็นเหตุให้ผู้แวดล้อมอยู่เกิดความเมตตากรุณา
รักใคร่เห็นอกเห็นใจคิดที่จะช่วยเหลือ

คนซึ่งมีกิริยามารยาทอ่อนโยน สุภาพนิ่มนวล
ย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ของคนที่ได้พบเห็น
และพยายามที่จะช่วยเหลือ


นี่เป็น “PERSONAL MAGNET” คือ เสน่ห์ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นจงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้
จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ
ทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2009, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


๒. เ ม ต ต า

อย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้
จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนาความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น
ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตา
และความเห็นอกเห็นใจไปยังท่านเหล่านั้น
แล้วก็จะรับความเมตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

นี่เป็นกฎของ จิตตานุภาพ
แล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนา
ก็จะบังเกิดแก่ตนสมประสงค์ทุกประการเป็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย


๓. ส บ า ย ใ จ

คำว่า “ไม่สบายใจ” อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป
“Let it go, and get out” ก่อนมันจะเกิด Let it go !
ปล่อยให้มันผ่านไป
อย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้
ถ้าเผลอไป มันแอบเข้ามาอยู่ใจในได้

พอมีสติรุ้สึกตัวว่าความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในใจ
ต้อง Get it out ! ขับมันออกไปทันที
อย่าเลี้ยงเอาความไม่สบายใจไว้ในใจ
มันจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอ ออดแอด
ทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัว

เพราะความไม่สบายใจนี่แหละเป็นศัตรู
เป็นมารทำให้ใจไม่สงบ ประสาทสมองไม่ปกติ
เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบ ไม่สบายไปด้วย
ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่ง เป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี
เป็นอุปสรรคกีดกั้นขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส

ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงเป็นจิตใจเสียใหม่
ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่
และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจแช่มชื่นรื่นเริง
เกิดปีติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้เกิดกำลังกายกำลังใจ Enjoy living
มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน
จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจจำได้ง่าย
เหมือนดอกไม้ที่แย้มเบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้าง
และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2009, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


๔. สันติสุข

พระพุทธเจ้าสอนว่า “นตฺถิ สนฺติปรมํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”
หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่น ความสุขในการดูละคร ดูหนัง
ในการเข้าสังคม Social ในการมีคู่รักคู่ครอง หรือในการมีลาภยศ
ได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็สุขจริง
แต่ว่าสุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยปรับปรุงกันอยู่เสมอ
ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติ ความสงบ
ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยทุกข์
และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมาก
เป็นความสุขที่ทำได้ง่ายๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง
อยู่ในที่เงียบๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้
ถ้าเรารู้จักแยกใจ หาสันติสุข กายนี้ก็เพียงสักแต่ว่า
อยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่งสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ

แม้เวลาเจ็บหนัก มีทุกขเวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย
แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้
ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ใจเดือดร้อนตามไปด้วย
เมื่อใจสงบแล้ว กลับจะทำให้กายนั้นสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วย
และประสบสันติสุข ซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น
พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ

• สอนให้สงบกาย วาจา ด้วยศีล
ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทางกายวาจา
เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นต้น

• สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิ
หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่องความกำหนัด ความโกรธ
ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ
ความลังเลใจทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด
เมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง

• ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ ความเห็นด้วยปัญญา
พิจารณาให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง
ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมสิ้นแปรปรวน ดับไปเรียกว่าเป็นทุกข์
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด
ให้เป็นไปตามความประสงค์ท่านเรียกว่า อนัตตา

เมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคง
เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย
เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอน
มันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสิ้นดับไป
ไม่อยู่ในอำนาจฝ่าฝืนของเรา อย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ
“คงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอ ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้น
เป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ในสันติสุข เป็นอิสระ เกิดอำนาจทางจิต Mind Power
ที่จะใช้ทำกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์”


“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”

It needs a Peaceful Mind to support a Peaceful Body,
and it needs a Peeaceful Body to support a Peaceful Mind,
and it needs Both Peaceful Body and
mind to attain all success that which you wish.

๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย
“DO NO WRONG IS DO NOTHING”


จงระลึกถึงคติพจน์ว่า “Do no wrong is do nothing !”
“ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย”


ความผิดนี้แหละ เป็นครูอย่างดี
ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด
และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด
จะได้ตรงกับคำว่า “เจ็บแล้วต้องจำ !”
ตัวทำเอง ผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ
เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี
เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป
แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท
อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว
แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า
“ระวัง ! อย่าประมาทนะ ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ !”

ผิดหนึ่งพึงจดไว้ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน !

จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี
และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี
ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรค ความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกันทุกท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้และความรู้ตัว)

ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ
ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย
ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ
ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด
จงนึกถึงคติพจน์ว่า “กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม”


ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ ตลอดทั้งพืชพันธุ์พฤกษาชาติ
เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า “Life is fighting” “ชีวิตคือการต่อสู้”
เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใด ก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย
เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใด ถึงตายก็ตายแต่กาย
เช่นกับชีวิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต
ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือธรรมที่ไม่ตาย
ตรงกับคำว่า immortal จึงเรียกว่า ปรินิพพาน
คือนามรูปสังขารร่างกายที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ๕
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น

เพราะฉะนั้นควรฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด)
สัมปชัญญะ (รู้ตัวอยู่ทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่)
เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตราพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร
หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป
ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่งๆ ขึ้นไป จนถึงที่สุด


๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล
จึงชนะข้าศึก คือ กิเลส อย่าหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดได้

๑. ชนะความหยาบคาย
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกาย วาจาได้ด้วย ศีล

ชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชัง
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วย สมาธิ

ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็นผิด จากความเป็นจริงของสังขาร
ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วย ปัญญา

๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้
โดยพร้อมมูล บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว
ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย

เพราะฉะนั้นจึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา
และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ทุกเมื่อเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2009, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


๘. ดอกมะลิ

ดอกมะลิ เป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่า
เป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุด
และขาวบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลาย
ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นอยู่ก็เช่นเดียวกับการเล่นละคร
ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุดเช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ
อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด และให้เห็นว่าดอกมะลินี้
จะบานเต็มที่เพียง ๒-๓ วัน ก็จะเหี่ยวเฉาไป

ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่
ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิที่เริ่มแย้มบานฉะนั้น


๙. “ทำดี ดีกว่าขอพร”

“จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ !”

เตือนให้เตรียมตัวไว้ ดำเนินชีวิตต่อไป
เป็นคำแทนคำอวยพระอย่างสูงสุดประกอบด้วยเหตุผล
เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี
เมื่อทำชั่วแล้วจะมาเสกสรรปั้นแต่ง อวยพรอย่างไรก็ดีไม่ได้

ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำ หินจะต้องจมทันที
ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะมาเสกเป่าอวยพรอ้อนวอนขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้
ทำกรรมชั่วจะต้องล่มจมป่นปี้เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียง
เหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ ทำดีเหมือนน้ำมันเบา
เมื่อเทลงน้ำ ย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบอยู่เหนือน้ำ

ทำกรรมดีย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง
มีแต่คนเคารพนับถือยกย่องบูชา เฟื่องฟุ้งฟูลอยน้ำ เหมือนน้ำมันลอย
ถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้าย
อิจฉาริษยา แช่งด่าให้จม ก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง
ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญพยายามทำแต่กรรมดีๆ
โดยไม่มีความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้ที่มีความเลื่อมในในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี
ผู้ที่มีความสุขและผู้ที่มีความเจริญ ประสงค์สิ่งใดสำเร็จสมประสงค์
ก็คือผู้ที่ประกอบกรรมทำแต่ความดีอย่างเดียวนั่นเอง


:b8: :b8: :b8: (คัดลอกจาก “สันติวรบท ธรรม ๙ บท” ใน พระกรรมฐานกลางกรุง
จากบันทึกของดำเกิง สงวนสัตย์, พิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๕๒ โดย กิจกรรมพัฒนาจิต
ชมรมพุทธศาสน์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และคณะศิษย์พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช)


:b44: รวมคำสอน “เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=46795

:b44: ประวัติและปฏิปทา “เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=46797


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2019, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2021, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2021, 19:38 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2022, 13:54 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร