วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือ แนะนำ ให้ข้อคิด ต่อประชาชนทั้งหลาย ทุกสาขาอาชีพ แม้จะดูเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบ้านการเมือง แต่แท้จริงแล้ว ก็เป็นเพียงรายละเอียด ของหลักธรรมตามแนวทางของข้าพเจ้า อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับสภาพสภาวะจิตใจ ตามหลักธรรมพื้นฐาน ทางศาสนาต่างๆ ในที่นี้จะหมายเอาเฉพาะหลักธรรมทางพุทธศาสนา และหลักธรรมตามแนวทางของข้าพเจ้าเป็นหลัก ข้าพเจ้าหวังว่า ผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน คงได้ทำความเข้าใจ และเกิดความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความรักใคร่สามัคคีปรองดอง ของประชาชนในประเทศได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ข้อคิด กับเหล่านักวิชาการบางกลุ่มบางคน หรือนักวิชาการทั่วๆไป ให้ได้สำนึก ได้แก้ไข ประพฤติ เพื่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีงาม ในสายตาของคนรุ่นหลัง

เรื่อง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้กับประชาชน
เรียน พณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี และบรรดา ส.ส. รวมถึง สมาชิก พรรคประชาธิปัตต์ ทุกท่าน

สวัสดีทุกท่าน ที่ข้าพเจ้าเขียนจดหมายมานี้ ก็เพื่อที่จะให้ข้อคิด กับพวกท่านทั้งหลาย ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ในบางเรื่อง ในบางอย่าง เป็นความเมตตา คือ ความรักใคร่ กิริยารักใคร่ ปรารถนาให้ได้ดีพบสุข ตามแต่สมควร
หลายๆท่าน อาจมีความรู้ เกี่ยวกับหลักวิชาการมากมาย แต่ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า หลักวิชาการทั้งหลายนั้น ควรเป็นความรู้ที่สามารถเป็นหลักการนำไปประพฤติปฏิบัติได้ ไม่ใช่นั่งพูด นั่งเขียน แต่ไม่รู้จริง ทำให้เกิดความเสียต่อภาพพจน์ของนักวิชาการไทย เพราะความรู้ทั้งหลาย หรือหลักวิชาการทั้งหลาย ล้วนย่อมต้องสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้ ไม่ใช่พูดแบบเลื่อนลอย ปฏิบัติไม่ได้
ปัญหาเศรษฐกิจในประชาชน อยู่ที่รายรับและรายจ่ายเป็นส่วนใหญ่ คุณค่าของเงินในมือประชาชนทั่วไป กับคุณค่าของเงินในมือของผู้มีอันจะกิน มีเงินเดือนหลายๆหมื่นนั้น แตกต่างจากกันมากนัก ท่านที่ประพฤติตัวเป็นนักวิชาการควรได้รู้ และทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากเป็นพิเศษ ไม่ใช่คิดว่า สินค้าอุปโภค บริโภค ขึ้นราคานิดน้อย ไม่มีผลกับประชาชน คิดอย่างนั้น มันไม่ใช่นักวิชาการ แต่มันเป็นนักคาดเดาที่ไม่ได้รู้จริงรู้แจ้งในความเป็นอยู่ของประชาชน ถ้าจะกล่าวตามหลักธรรมทางพุทธศาสนาแล้ว นักวิชการ หรืออื่นใด ควรได้ยึดถือเอาหลัก "สัปปุริสธรรม" ๗ ข้อ เป็นเครื่องมือ เป็นเครื่องช่วย ในการทำงาน ในการพูด ฯลฯ เพราะ หลัก สัปปุริสธรรม ๗ อันได้แก่ " รู้จักเหตุ ,รู้จักผล, รู้จักตน, รู้จักกาล ,รู้จักประมาณ,รู้จักชุมชน,รู้จักบุคคล" ย่อมสามารถใช้ได้ในเกือบทุกสถานะการณ์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความคิด เพื่อการแก้ไขปัญหา หรือการทำงานทุกชนิด ได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับแรงงาน ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีเสมอไป เพราะเมื่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว สินค้าอุปโภค บริโภค ก็มักจะขึ้นราคาตามไปด้วย หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว สินค้าต่างๆราคาสูงขึ้น กลับจะเป็นการทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน แทนที่จะได้รับความสุข ในข้อนี้ท่านทั้งหลาย ควรได้ใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณาให้ดี
แต่ถ้าหาก ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว สินค้าต่างๆ ไม่ขึ้นราคา อย่างนี้ ประชาชนก็จะมีความสุข มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น สินค้าก็ย่อมขายได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
สินค้าอุปโภค บางชนิด ควรช่วยเหลือมิให้ขึ้นราคา เช่น แก๊สหุงต้ม ก็ควรช่วยเหลือโดยตลอดไป เพราะหากขึ้นราคาเมื่อไหร่ ผู้ที่จะเดือดร้อน มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ก็คือ ประชาชนทั้งหลาย แม้จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ก็ยังคงทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน เพราะประชาชนจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค เกินกว่าที่ได้รับจากการขึ้นค่าแรง ดังนั้นแทนที่ประชาชนจะมีความสุข กับต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากกว่า ตอนที่ไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำด้วยซ้ำไป
อันนี้ ต้องคิดพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบ ในที่นี้จะไม่ยกตัวอย่าง เพราะมันจะเป็นการดูหมิ่นสมองสติปัญญา ของท่านทั้งหลาย ขอให้คิดพิจารณาดูเถิด
ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะสร้างความสุข และทำให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยได้เพิ่มมากขึ้น ก็คือ ราคาของสินค้าทั้งหลาย หากรัฐบาล สามารถตรึงราคา สินค้าทั้งหลายมิให้ขึ้นราคา ในขณะที่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำให้กับประชาชน แน่นอน ความสมดุล ของรายรับ และรายจ่าย ย่อมดีขึ้น ประชาชนมีความสุขเพิ่มขึ้น
จงอย่าคิดว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับประชาชนแล้ว ประชาชนจะสบายขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลับจะกลายเป็นการสร้างความทุกข์ให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น ขอให้ท่านทั้งหลายคิดพิจารณาให้ดี
สรุปรวมความแล้ว ไม่ว่านักการเมือง หรือนักวิชาการ ควรได้มีการคิด ตามหลักวิชาการต่างๆ ทั้งทางด้าน จุลภาค และมหภาค ต้องมี ศีลธรรม ทางศาสนา ต้องมีเครื่องมือ หรือเครื่องช่วย ทางพุทธศาสนา อันจักทำให้การทำงาน การคิดพิจารณา ในการเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง เป็นไปตามธรรมะ ทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวของทุกท่านอยู่แล้ว ให้เกิดความ สัมฤทธิ์ผล ต่อประชาชน เป็นสิ่งสำคัญ
ขอแสดงความนับถือ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2009, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแย้งนิดหน่อย คุณ buddha จะลบก็ตามใจ เพราะจุฬาภินันท์เคยโดนคุณลบความเห็นมาแล้วรอบนึง

อีโก้คุณเยอะตัง

เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ได้ขึ้นกับรายรับรายจ่ายเป็นหลักค่ะ มันขึ้นอยู่กับวินัยการเงิน การคลัง และสันดานคนค่ะ

จะแก้จริงๆ ต้องเกิดจากผู้ปกครองค่ะ แล้วทำทุกอย่างให้ก่อเกิดแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนถาวร เป็นไปในทางเดียวกัน ส่วนราคาสินค้าจะสูงขึ้นก็ช่างมัน ถ้าผู้ปกครองยังสามารถจัดสังคมและเศรษฐกิจให้คนมีรายได้ support ได้ ก็ถือว่าเป็นการยกมาตรฐานการใช้ชีวิต เศรษฐกิจดีขึ้น อะไรประมาณนั้น

สำคัญที่ผู้บริหารแผ่นดินค่ะ ตอนนี้และหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้บริหารแผ่นดินของไทยมันเลวกันด้วยสันดาน เลยทำให้เป็นไปตามหลักข้างต้นของจุฬาภินันท์ลำบาก

อนาคตค่ะ อนาคตจะมีแน่ อีกปีกว่าๆนี่เอง ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง น้ำเชี่ยวฉับพลัน แต่เย็นชื่นใจค่ะ

อ่านคำทำนายสมเด็จโต และ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ถอดความจากคำทำนายดูนะคะ นารีขี่ม้าขาวค่ะ

อย่าอคติกับโลกนัก ความดีและแสงสว่างยังคงมีให้เห็นค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณผู้ใฃ้ชื่อว่า chulapinan ขอรับ ขนาดภาษาไทย คุณยังไม่ค่อยจะกระดิก ไม่เข้าใจ ยังมีหน้า อวดทำเป็นใช้ศัพท์ ภาษาทาง จิตวิทยา
ข้าพเจ้าย่อมมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับ เศรษฐกิจ ดีพอสมควร จึงได้เขียนให้คำแนะนำ

แล้วที่คุณว่า ข้าพเจ้า ไปลบความเห็นอะไรของคุณหรือขอรับ คุณอย่าเข้าใจผิดขอรับ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ดูแลบอร์ดนะขอรับ
ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงสมาชิก เท่านั้น
คุณกลับไปเรียน และทำความเข้าใจในวิชา เศรษฐศาสตร์ ใหม่อีกครั้งนะขอรับ แล้วกลับมาอ่านกระทู้ นี้และทำความเข้าใจในภาษาไทยที่ข้าพเจ้าเขียนให้ดีขอรับ
หรือถ้าจะให้เร็ว ก็เปิด พจนานุกรมดูก็ได้ อ่านแล้วทำความเข้าใจ จะได้ฉลาดขึ้น
เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียน เป็นปัจจัย ปัจจัยหนึ่ง ในระบบเศรษฐกิจ และยังสามารถ ขยายหรืออธิบายไปได้ทุกปัจจัย ในวิชา เศรษฐศาสตร์
คุณไม่รู้ ก็อย่าสะเออะ เขียนมั่ว แสดงความเขลาเลยขอรับ


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 18 ธ.ค. 2009, 20:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อีกประการหนึ่่ง การที่คุณนำเอา โครงสร้างทางจิต ของ ฟรอยต์ มาเขียน คุณมีความรู้กี่มากน้อยเกี่ยวกับโครงสร้างทางจิต ทั้ง ๓ อย่างหรือไม่
หลักพุทธศาสนา เป็นแม่แบบของหลักวิชาการทั้งหลายอยู่แล้ว ใครอ่านพระไตรปิฎก แล้วมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็สามารถนำไปใช้ร่วมกับวิชาการต่างๆได้ทุกวิชาการ

[i]หลักโครงสร้างทางจิตของฟรอยต์ มันก็เป็นเพียงส่วนรายละเอียด ส่วนหนึ่งอันน้อยนิด ของ "จิต ,เจตสิก,และรูป" ในทางพุทธศาสนา[/i

อนึ่ง คุณผู้ใช้ชื่อว่า " chulapinan " คุณไม่มีความรุ้ เกี่ยวกับเรื่องของ " โลภ โกรธ หลง " อย่างแท้จริงดอกขอรับ และไม่ใช่คุณคนเดียวดอกขอรับ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางศาสนา และ ทั่วไป ไม่รู้เรื่องของกิเลส หรือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
จึงทำให้เกิดการบิดเบือนหลักธรรมคำสอน ในทางพุทธศาสนา ไปจนเสื่อมโทรม เพราะหลักพุทธศาสนาสอนอย่างหนึ่ง แต่พวกเขาเหล่านััน กลับบิดเบือน สอนไปอีกอย่างหนึ่ง

[b]ครั้น ข้าพเจ้าจะสอน ความรู้ของข้าพเจ้า ก็เปรียบเป็น ดาบสองคมสำหรับพวกเขา
ถ้าพวกเขาได้เรียนรู้ ได้รับรู้อย่างทั่วถึง ก็ดีไป ศาสนาเจริญไป
แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้รับรู้อย่างทั่วถึง ความเสื่อมก็จะเกิดกับตัวเขาและศาสนา


[/b]ข้าพเจ้าจึง กล่าวว่า คุณผู้ใช้ชื่อว่า chulapinan
คุณไม่รู้ อย่าสะเออะ เขียนมั่ว แสดงความเขลาเลยขอรับ


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 19:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอย่าเอาความแรงของคุณมาใส่สิคะคุณ buddha ความแรงต่างขั้วกับธรรม ธรรมที่แท้เข้ากับหลักประชาธิปไตยได้ค่ะ

ที่บอกว่าคุณลบความเห็น เพราะจุฬาภินันท์เคยใส่แย้งประเด็นของคุณ คุณแจ้งลบได้ จุฬาภินันท์ยังเคยลบของตัวเองเลย ลบเมื่อจุฬาภินันท์ใช้อารมณ์ในการตอบกระทู้ เพราะนั่นหมายถึงอคติที่อาจมีใส่ลงไป ซึ่งนั่นขัดกับหลักประชาธิปไตย

การแก้ไขเศรษฐกิจมีหลายรูปแบบ ของคุณขายของยาก เพราะคุณขายของที่ไม่ใช่เพื่ออุปโภคบริโภคทั่วไป การขึ้นต่าแรงจึงไม่ใช่ทางที่คุณคิดว่าถูก แต่สำหรับผู้ขายที่ขายสินค้าอาหารเครื่องใช้ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การขึ้นค่าแรงช่วยได้มาก แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การแก้จากเหตุุ การแก้จากเหตุ จุฬาภินันท์แสดงความเห็นไปแล้ว

อ้อ อย่าแฏิเสธเลยว่าคุณไม่ขายของ ใครๆก็ต้องขายแลกเงิน (ขายแรงงานก็อีกเรื่อง) ขายของเป็นอาชีพที่คนตกงานมักจะเลือกเป็นอย่างแรกค่ะ ครอบครัวของจุฬาภินันท์ขายข้าวสาร ค่าแรงเพิ่ม คนก็สามารถซื้อข้าวในปริมาณมากขึ้นได้ หรือในราคาที่สูงขึ้นได้ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ค่ะ เงินของคนซื้อมีมากขึ้น คนขายก็ขายแพงขึ้น เป็นไปตามดีมานซัพพลาย ซึ่งทฤษฎีนี้ก็ไม่ถูกนัก ไว้จะเปิดกระทู้ถกเรื่องนี้ค่ะ

จุฬาภินันท์ไม่อ้างทฤษฏีเพราะไม่เก่งขนาดจะจำมันได้ และไม่คิดจะจำ เพราะทฤษฎีมีการเปลี่ยนแปลงได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ค่ะ อาศัยความเข้าใจจากปัญญา สามารถกว่ากันเยอะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรคือความแรงของข้าพเจ้า
คุณอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่สะเออะ อวดรู้อวดฉลาด
คุณไม่ได้มีความรู้ เกี่ยวกับเรื่อง เศรษฐกิจ หรือ เศรษฐศาสตร์ อะไรเลย คิดเอาเอง แถมยัง อวดดี ไม่ได้จักว่าควรหรือไม่ควร
ถ้าข้าพเจ้าจะติเตือนคุณในศัพท์ภาษา วิชา จิตวิทยา แล้วละก้อ
อิด, อีโก้ และ ซุปเปอร์ อีโก้ ของคุณ อยู่ในเกณฑ์ ต่ำ ไม่ใช่ต่ำธรรมดา ต่ำแล้วยัง มีทิฏฐิ

และถ้าจะกล่าวในทางพุทธศาสนา "จิต ,เจตสิก, รูป" ของคุณ อยู่ในระดับต่ำ ไม่ใช่ต่ำอย่างเดียว มีมานะ มีทิฎฐิ อวดดี ไม่รู้ แต่ยังอวดแย้งผู้อื่น ไม่อยากจะกล่าวคำไม่สุภาพกับคุณนะขอรับ

อนึ่ง ที่คุณว่า ข้าพเจ้าแจ้งให้ลบที่คุณโต้แย้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณมัน สติเฟื่อง คิดเอาเอง
ข้าพเจ้าไม่เคยแจ้งให้ผู้ดูแลบอร์ด ลบข้อแสดงความคิดเห็นของใครเลยขอรับ เพราะข้าพเจ้าไม่เกี่ยว

ยังมีหน้ามาอวดรู้เรื่อง ประชาธิปไตย อีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณมันก็แค่หางอึ่ง
ขอถามสักหน่อย ระบบการเมืองการปกครองที่เขาเรียกกันว่า "คอมมูนิสต์" มีประชาธิปไตยหรือไม่
แล้ว "ระบบประชาธิปไตย" แบบฝรั่ง เนี่ย มันเป็นคอมมูนิสต์ หรือไม่
รู้หรือเปล่าละคุณ "จู"


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 20:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 01:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:28
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เศรษฐกิจพอเพียง
3 หลักการ + 2 เงื่อนไข

รู้ทั้งรู้ ยังปฏิบัติกันไม่ได้เล้ยยยยยยยยยยยยยยย
อันนี้คือตามสิ่งที่ผมเข้าใจนะครับ ถูกผิดไม่ทราบ จะรับความเห็นที่ดีมากกว่านี้ครับ

1. เหตุ และ ผล รองรับในการกระทำ ว่าสิ่งที่ทำไปมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด
2. พอเพียง การกระทำต่างๆเหมาะเจาะแค่ไหน ไม่ลำบาก และไม่เบียดเบียนใครหรือเปล่า
3. ภูมิคุ้มกัน การกระทำต่างๆ มีอะไรเป็นฟูกเพื่อรองรับเรา เมื่อตอนกำลังหกล้มอยู่บ้าง

3 หลักนั้นก็ดำเนินอยู่บน 2 เงื่อนไข
1. ความรู้ - มีความรู้ ความเข้าใจ มีวิสัยทัศน์ในสิ่งที่จะทำนั้นๆ หรือไม่?
2. คุณธรรม - ยากมากที่จะอธิบายสั้นๆ ศีล 5 น่าจะตอบโจทย์นี้ได้

สังเกตุไม๊ครับว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ต้องใช้ "ปัญญา" ขั้นเทพในการคิดขึ้นมา
และคนที่จะใช้ได้นั้นต้องมี "ปัญญา" ขั้นเด็กเพิ่งเกิดขึ้นไปเท่านั้นถึงจะทำได้

และอีกข้อสังเกตุนึงคือ ต้องมี "ขันติ" ในการดำเนินด้วยครับ

ลองทำดั่งเป็นเด็กแบเบาะหัดเดิน แล้วคุณก็จะเก่งเหมือนหลายสิ่งที่คุยเก่งในทุกวันนี้


(เตือนใจตัวเองเอาไว้นะ แล้วทำให้ได้นะไอ้คนเขียน!!!)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณผู้ใช้ชื่อว่า Juan คุณพล่ามเพ้อเจ้ออะไรของคุณขอรับ เขาเขียนเรื่องหนึ่ง คุณไปอีกเรื่องหนึ่ง ไปพบจิตแพทย์ซะบ้างนะขอรับ
หลักเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถใช้ได้กับคนทุกระดับชั้น ไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้าทุกคนทุกครัวเรือน รู้จักใช้เครื่องมือซึ่ง ทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ต่างๆ ก็รณรงค์ กันอยู่แล้ว มีแต่คุณนะซิที่ทำไม่ได้ คิดว่า ยาก ไม่รู้จักว่า อะไรคือ เหตุ อะไรหรือผล อะไรคือภูมิคุ้มกัน ในที่นี้ยังจะไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับ หลักเศรษฐกิจพอเพียง
เอาไว้จะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ ให้ได้ศึกษากัน ตามหลักวิชาการที่สามารถประพฤติปฏิบัติได้

อนึ่ง สืบเนื่อง จากการที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นทำนองว่า หลักวิชาการทางจิตวิทยา ของผู้รู้ชาวต่างชาติหลายๆท่านนั้น ล้วนเป็นเพียงรายละเอียดส่วนย่อย ของหลักธรรมทางพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายที่เป็นนักจิตวิทยา อย่าเข้าใจผิด คิดว่าข้าพเจ้าดูหมิ่นหรือลบหลู่หลักวิชา จิตวิทยา นะขอรับ เพราะ
ในข้อเท็จจริงแล้ว หลักธรรมทางพุทธศาสนา อันเกี่ยวกับ จิต ,เจตสิก รูป,ฯ ล้วนเป็นต้นตอของวิชาจิตวิทยา เพราะไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางจิต หรือ ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ หรืออื่นๆอีกมาก ล้วนมีปรากฎอยู่ในพุทธศาสนาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ในทางพุทธศาสนา กล่าวไว้เป็นทำนองว่า
มนุษย์มีความต้องการขั้นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ ๔ ประการ คือ
อาหาร
เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย
ยารักษาโรค
และปัจจัยทั้ง ๔ อย่างที่ได้กล่าวไป ก็เป็น ปัจจัยที่ก่อให้เกิด แรงจูงใจ และหรือ พฤติกรรม ในด้าน ต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนสอน การค้าขาย การตลาด การแสดงออกในทางสังคม และอื่นๆ
อีกทั้งยังมี หลักธรรมอีกหลายสิ่งหลายประการ ที่เป็นต้นตอ ของความคิด ความต้องการ สภาพจิตใต้สำนึก จิตที่ควบคุมไม่ได้ จิตที่ควบคุมได้ ฯลฯ
ส่วนนักวิชาการ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก็อย่าได้มองหรือมีความคิดว่า ข้าพเจ้าดูหมิ่นหรือลบหลู่พวกท่านทั้งหมด
ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวท้วงติงไป ก็เป็นเพียงนักวิชาการบางกลุ่มบางพวก ที่ไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ชอบให้ข่าว หรือให้สัมภาษณ์ ไปในทางที่ทำให้เกิดเสื่อมเสียภาพพจน์ ของนักวิชาการไทย
วิชาการทุกชนิด ล้วนมีต้นตอมาจากการปฏิบัติ
และ การปฏิบัติ ก็ต้องอาศัย หลักวิชาการ ที่เขาได้จดบันทึกไว้ เพื่อทำให้การปฏิบัติในแขนงการทำงานต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นไปด้วยความมีกฎเกณฑ์กติกา ถึงแม้จะมีวิชาการบางอย่าง ที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิ์ผลได้ อาจจะมีสาเหตุจากการที่นักวิชาการเหล่านั้น ไม่ได้คำนึงถึง หรือไม่ได้คิดถึง หรือไม่ได้รู้ถึง ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะชุมชน หรือลักษณะงาน ฯลฯ อันนั้น เป็นข้อยกเว้น เพราะวิชาการที่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิ์ผล ในที่หนึ่ง อาจทำไปปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิ์ผลได้ในอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
หลักวิชาการทางด้านเศรษฐกิจนั้น ย่อมมีส่วนประกอบหลายส่วน หลายอย่าง ที่สำคัญ ก็คือ
รายจ่าย คือ ความต้อง ที่จะจับจ่ายซื้อหา หรือ ความต้องการในการบริโภค
รายรับ คือ ความต้องการ ในการที่จะได้เงิน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย และเก็บออม ฯ หรือ ความต้องการในการที่จะสร้างผลิตต่างๆ เพื่อให้เกิดความเพียงพอ ต่อความต้องการของตลาด
ทั้งรายจ่าย และรายรับ ล้วนย่อมเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในระดับ จุลภาค และมหภาค
ในระดับ มหภาค นั้น ยังต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับกระทรวงทะบวงกรมต่างๆ หลายกระทรวงทะบวงกรม อีกทั้งยังเกี่ยวข้อง กับ ความขาดดุลการค้า และการได้เปรียบดุลทางการค้า ความสุขมวลรวมของประเทศ และอื่นๆอีกมากมาย
รายจ่าย รายรับ ในระดับ จุลภาค ย่อมเป็น ปัจจัยส่วนหนึ่ง ของ รายจ่าย รายรับ ในระดับ มหภาค
ถ้านักวิชการทั้งหลาย นายจ้างทั้งหลาย ลูกจ้างทั้งหลาย ผู้ค้าขาย ประกอบการทั้งหลาย นำเอาศีลธรรมในจิตใจของท่านออกมาปฏิบัติ ความสุขย่อมเกิดในประชาขนทั้งหลาย
อย่าให้ชาวต่างชาติที่มาตั้ง ศูนย์การค้า ต้องดูหมิ่่นคนไทย ดูหมิ่นศาสนาประจำชาติ เป็นทำนองว่า มีแต่ศูนย์การค้าของพวกเขาเท่านั้นที่ ไม่ขึ้นราคา มีแต่ลดราคา เพื่อให้ประชาชนได้จับจ่ายซื้อของในราคาถูก แต่คนไทยด้วยกัน มีแต่ จะซ้ำเติมคนไทยด้วยกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:28
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับสิ่งที่ท่านทำได้ถูกและควรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงจุฬาภินันท์ว่าจะจบที่ความเห็นที่สอง

แต่คุณเล่นด่า จุฬาภินันท์ไม่ว่า แต่จะแย้งว่า อีโก้น่ะ่ จุฬาภินันท์ไม่มีแล้ว เพราะปัญญาธรรมเข้าขั้นอริยบุคคล ชั้นไหนคุณอย่ารู้เลย เพราะไม่อยากอวด กลัวบุญรลด

จุฬารัตน์ อภินันท์รัตนกุล (จุฬาภินันท์เอง) เป็นกรรมการผู้จัดการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นะคะ ในหลวงทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ดูแลคน ดูแลเศรษฐกิจโดยเอาทรัพย์สินของท่านมาให้จุฬาภินันท์ใช้ ถ้าจุฬาภินันท์ทำมันได้ไม่ถูกทาง จุฬาภินันท์คงไม่มีหน้าไปพบท่านหรือใคร

งานของจุฬาภินันท์จะเริ่มปีหน้าแล้ว คุณคอยดูก็ได้ เปิดตัวในอีกไม่ช้านี้แหละค่ะ จุฬาภินันท์จะออกหน้าสอนธรรมด้วย

ในหลวงทรงหายจากพระอาหารประชวรแล้ว จุฬาภินันท์จะได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่วังไกลกังวล ได้ปรึกษากับปราชญ์ระดับพระมหาโพธิสัตว์เช่นพระองค์ จุฬาภินันท์ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นไม่ได้ก็ให้รู้ไป

เม็ดเงินที่จะถูกหว่านลงไป จะหว่านเพื่อแก้เหตุแห่งปัญหาค่ะ จุฬาภินันท์คิดไว้หลายวิธีมาก แล้ววันนั้น ทุกคนคงได้เห็นกันค่ะ

ขอแนะด้วยความหวังดี คุณ Juan และ จุฬาภินันท์เข้ามาให้ความเห็นที่แตกต่างไป คุณน่าจะเปิดใจรับฟังบ้าง ของคุณ Juan นั่นแหละค่ะที่ตรงใจและโดนใจ หลักแห่งเศรษฐกิจ แก้ได้ตามแบบที่คุณ Juan แนะนำ จุฬาภินันท์จะเอาไปใช้กับงานของตัวเองค่ะ

เหตุของปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ตัวปัญหาเสมอไป มันอยู่ไหร ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสาวไปถึงหรือเปล่า ทฤษฎีมีถูกผิด เปลี่ยนแปลงได้ จุฬาภินันท์ไม่คิดจะยึดทฤษฏีใดๆทั้งสิ้นตามที่คนฉลากมักทำกัน จุฬาภินันท์คิดไปทำไปแบบคนมีปัญญาดีกว่าค่ะ

เปิดใจให้กว้างไว้ผู้ที่ใช้คำว่า 'ข้าพเจ้า' เป็นสรรพนาม จุฬาภินันท์ไม่เข้ามาอีก เพราะถือว่าตอบกระทู้คุณหมดแล้ว

จุฬาภินันท์ไม่หลบ เพราะเปิดกระทู้ตามที่บอกคุณไว้จริงๆ ว่าด้วนธรรมแก้เศรษฐกิจ และนั่นแหละค่ะ ที่จะเป็นแนวทางที่เอ็มดีอย่างจุฬาภินันท์จะใช้

โชคดี และขอให้เจริญในธรรมค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
คุณผู้ใช้ชื่อว่า Juan หลักเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถใช้ได้กับคนทุกระดับชั้น ไม่ใช่เรื่องยาก
ถ้าทุกคนทุกครัวเรือน รู้จักใช้เครื่องมือซึ่ง ทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ต่างๆ ก็รณรงค์ กันอยู่แล้ว มีแต่คุณนะซิที่ทำไม่ได้ คิดว่า ยาก ไม่รู้จักว่า อะไรคือ เหตุ อะไรหรือผล อะไรคือภูมิคุ้มกัน ในที่นี้ยังจะไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับ หลักเศรษฐกิจพอเพียง
เอาไว้จะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ ให้ได้ศึกษากัน ตามหลักวิชาการที่สามารถประพฤติปฏิบัติได้

อนึ่ง สืบเนื่อง จากการที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นทำนองว่า หลักวิชาการทางจิตวิทยา ของผู้รู้ชาวต่างชาติหลายๆท่านนั้น ล้วนเป็นเพียงรายละเอียดส่วนย่อย ของหลักธรรมทางพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายที่เป็นนักจิตวิทยา อย่าเข้าใจผิด คิดว่าข้าพเจ้าดูหมิ่นหรือลบหลู่หลักวิชา จิตวิทยา นะขอรับ เพราะ
ในข้อเท็จจริงแล้ว หลักธรรมทางพุทธศาสนา อันเกี่ยวกับ จิต ,เจตสิก รูป,ฯ ล้วนเป็นต้นตอของวิชาจิตวิทยา เพราะไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางจิต หรือ ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ หรืออื่นๆอีกมาก ล้วนมีปรากฎอยู่ในพุทธศาสนาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ในทางพุทธศาสนา กล่าวไว้เป็นทำนองว่า
มนุษย์มีความต้องการขั้นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ ๔ ประการ คือ
อาหาร
เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย
ยารักษาโรค
และปัจจัยทั้ง ๔ อย่างที่ได้กล่าวไป ก็เป็น ปัจจัยที่ก่อให้เกิด แรงจูงใจ และหรือ พฤติกรรม ในด้าน ต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนสอน การค้าขาย การตลาด การแสดงออกในทางสังคม และอื่นๆ
อีกทั้งยังมี หลักธรรมอีกหลายสิ่งหลายประการ ที่เป็นต้นตอ ของความคิด ความต้องการ สภาพจิตใต้สำนึก จิตที่ควบคุมไม่ได้ จิตที่ควบคุมได้ ฯลฯ
ส่วนนักวิชาการ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก็อย่าได้มองหรือมีความคิดว่า ข้าพเจ้าดูหมิ่นหรือลบหลู่พวกท่านทั้งหมด
ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวท้วงติงไป ก็เป็นเพียงนักวิชาการบางกลุ่มบางพวก ที่ไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ชอบให้ข่าว หรือให้สัมภาษณ์ ไปในทางที่ทำให้เกิดเสื่อมเสียภาพพจน์ ของนักวิชาการไทย
วิชาการทุกชนิด ล้วนมีต้นตอมาจากการปฏิบัติ
และ การปฏิบัติ ก็ต้องอาศัย หลักวิชาการ ที่เขาได้จดบันทึกไว้ เพื่อทำให้การปฏิบัติในแขนงการทำงานต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นไปด้วยความมีกฎเกณฑ์กติกา ถึงแม้จะมีวิชาการบางอย่าง ที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิ์ผลได้ อาจจะมีสาเหตุจากการที่นักวิชาการเหล่านั้น ไม่ได้คำนึงถึง หรือไม่ได้คิดถึง หรือไม่ได้รู้ถึง ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะชุมชน หรือลักษณะงาน ฯลฯ อันนั้น เป็นข้อยกเว้น เพราะวิชาการที่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิ์ผล ในที่หนึ่ง อาจทำไปปฏิบัติให้เกิดสัมฤทธิ์ผลได้ในอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
หลักวิชาการทางด้านเศรษฐกิจนั้น ย่อมมีส่วนประกอบหลายส่วน หลายอย่าง ที่สำคัญ ก็คือ
รายจ่าย คือ ความต้อง ที่จะจับจ่ายซื้อหา หรือ ความต้องการในการบริโภค
รายรับ คือ ความต้องการ ในการที่จะได้เงิน เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย และเก็บออม ฯ หรือ ความต้องการในการที่จะสร้างผลิตต่างๆ เพื่อให้เกิดความเพียงพอ ต่อความต้องการของตลาด
ทั้งรายจ่าย และรายรับ ล้วนย่อมเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในระดับ จุลภาค และมหภาค
ในระดับ มหภาค นั้น ยังต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับกระทรวงทะบวงกรมต่างๆ หลายกระทรวงทะบวงกรม อีกทั้งยังเกี่ยวข้อง กับ ความขาดดุลการค้า และการได้เปรียบดุลทางการค้า ความสุขมวลรวมของประเทศ และอื่นๆอีกมากมาย
รายจ่าย รายรับ ในระดับ จุลภาค ย่อมเป็น ปัจจัยส่วนหนึ่ง ของ รายจ่าย รายรับ ในระดับ มหภาค
ถ้านักวิชการทั้งหลาย นายจ้างทั้งหลาย ลูกจ้างทั้งหลาย ผู้ค้าขาย ประกอบการทั้งหลาย นำเอาศีลธรรมในจิตใจของท่านออกมาปฏิบัติ ความสุขย่อมเกิดในประชาขนทั้งหลาย
อย่าให้ชาวต่างชาติที่มาตั้ง ศูนย์การค้า ต้องดูหมิ่่นคนไทย ดูหมิ่นศาสนาประจำชาติ เป็นทำนองว่า มีแต่ศูนย์การค้าของพวกเขาเท่านั้นที่ ไม่ขึ้นราคา มีแต่ลดราคา เพื่อให้ประชาชนได้จับจ่ายซื้อของในราคาถูก แต่คนไทยด้วยกัน มีแต่ จะซ้ำเติมคนไทยด้วยกัน


คุณผู้ใช้ชื่อว่า Juan ขอรับ ข้าพเจ้าเขียนผิดไปนิดหนึ่ง ที่ไม่ได้ใส่ชื่อ ของคนอีกคนหนึ่ง เพื่อให้เขาไปพบจิตแพทย์ แต่ดันเขียนเป็นชื่อคุณ ต้องขออภัยคุณผู้ใช้ชื่อว่า Juan มา ณ.ที่นี้ด้วยขอรับ
ความจริงแล้ว ข้าพเจ้า แนะนำ ให้ผู้ใช้ชื่อว่า chulapinan ไปพบจิตแพทย์ เพราะเขาไม่ใช่สติเฟื่อง ธรรมดา ซะแล้ว
เข้าขั้นโรคจิตประสาทแล้วขอรับ
แถมยังมีความคิด ไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น คิดว่าข้าพเจ้า ด่า ซะ อีก ไม่รู้เหมือนกันว่า ข้อความตรงไหน ที่เรียกว่า หรือที่เขาเห็นว่า ข้าพเจ้าด่า
คงเกิดความอายละซิ ถึงได้มีข้ออ้างไม่เข้ามาตอบอีก อิ อิ อิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:28
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับทั้ง 2 ท่านนะครับ

ต่อไปนี้ไม่ได้ว่าใครนะครับ เป็นความเห็นของผม

ผู้ใดพลาด ผู้ใดพลั้ง อย่าได้เหยียบซ้ำให้เขาช้ำน้ำใจ
ใช้ชีวิตที่มองแต่ด้านดีดี ดั่งคำสอนของท่านพุทธทาส
เพราะถ้าหากจับแต่จุดผิดๆ ของทุกๆ คน อาจเป็นเพราะคุณเจตนาดี
แต่บางครั้งสิ่งที่คนเขาได้ผ่านอาจจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่อยู่ในใจ

พวกเราแสวงหาความเย็นของใจ หาใช่ความร้อนดั่งไฟนรก
พวกเราแสวงหาความว่าง ใช่หาของหนักใส่ตัว

ด้วยความยินดีที่ได้เจอผู้มีปัญญาทุกท่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณผู้ใช้ชื่อว่า juan ขอรับ ประโยคที่คุณเขียนว่า "แต่บางครั้งสิ่งที่คนเขาได้ผ่านอาจจะสัมผัสได้ถึงความร้อนที่อยู่ในใจ" หมายถึงอะไรขอรับ
ถ้าคุณหมายถึงว่า ตัวผู้อ่าน อ่านแล้วได้สัมผัส ก็แสดงว่า โรคจิตประสาทแล้วขอรับ อ่านเอง คิดเอง แล้วก็ใส่ร้ายคนที่เขียนให้อ่าน ไปพบจิตแพทยได้เลยขอรับ
ยกเว้น ข้าพเจ้านะขอรับ แต่ไม่บอกนะขอรับเพราะว่า เดี๋ยวจะกล่าวให้ร้ายข้าพเจ้าว่า โอ้อวดอีก

อนึ่งคนทุกคน ย่อมมีข้อผิดพลาด เป็นธรรมดา แต่ถ้าผิดพลาด แล้วรู้จักขออภัย ก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง
แต่คนที่ผิดพลาด แล้ว ยังทำฟอร์ม อวดรู้ อวดฉลาด เขียนอะไรก็ไม่รู้ แล้วบอกว่า "ตอบให้แล้วนะ" อะไรของเขา
ยังมีอีก "ผู้ที่เรียกสรรพนามตัวเองว่า ข้าพเจ้า" ฮ่า ฮ่า ฮ่า สติเฟื่อง หลงตัวเองนะซิขอรับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร