วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




A031.jpg
A031.jpg [ 47.29 KiB | เปิดดู 6522 ครั้ง ]
:b41: ผลานิสงส์ :b42: กายคตา :b42: จะมีมาก
เจริญจาก :b42: กายเรา :b42: เข้ากุศล
มีสติ :b42: สมาธิ :b42: ที่ฝึกตน
จิตหลุดพ้น :b42: จากสัญโญชน์ :b42: โปรดอ่านดู

:b41: ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็น " ทุพภาษิต "
ชื่อว่าย่อมตัดตนด้วยศัสตราใด ๆ
ก็ศัสตรานั้นย่อมเกิดในปากของชนพาลผู้เกิดแล้ว

ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติเตียน
หรือติเตียนผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ
ผู้นั้นชื่อว่าสั่งสมโทษด้วยปาก
เพราะโทษนั้น.... เขาย่อมไม่ประสบความสุข

ความปราชัยด้วยทรัพย์
ในเพราะการพนันทั้งหลาย
พร้อมด้วยสิ่งของของตนทั้งหมดก็ดี
พร้อมด้วยตนก็ดี
ก็เป็นโทษเพียงเล็กน้อย

บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย
ความประทุษร้ายแห่งใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า
บุคคลผู้ตั้งวาจาและใจอันลามกไว้
เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้า....ย่อมเข้าถึงนรก
ซึ่งมีปริมาณแห่งอายุถึงแสนนิรัพพุท กับห้าอัพพุท

1 นิรัพพุทะ เท่ากับ 1 มี 0 ตามหลัง 36 ตัว(หน่วเป็นปีมนุษย์)

เจริญในธรรมครับ.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันกลับจาก บิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้อสนทนากันในระหว่างของภิกษุเหล่านั้น ค้างอยู่เพียงเท่านี้แล ฯ


ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลานั้น ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน และพวกเธอสนทนาเรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง ฯ

ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ณ โอกาสนี้ พวกข้าพระองค์ กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อสนทนากันในระหว่างของพวกข้าพระองค์ได้ค้างอยู่เพียงเท่านี้ พอดีพระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง ฯ


วิธีเจริญกายคตาสติที่มีผลานิสงส์มาก

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็กายคตาสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า

.........เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
.........เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว
.........หรือเมื่อหายใจ เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
.........เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
.........หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
.........สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก
.........ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า
.........สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
.........ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านมหาราชันย์ เจ้าคะ
ในภาพ ในการนั่งสมาธิเช่นนั้น
ขี้เกี้ยม เห็นผู้นั่ง ประสานมือไว้ตรงหน้าอก
ช่วยอธิบายได้รึเปล่าค่ะ...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




001.jpg
001.jpg [ 48.88 KiB | เปิดดู 6474 ครั้ง ]
เอรากอน เขียน:
ท่านมหาราชันย์ เจ้าคะ
ในภาพ ในการนั่งสมาธิเช่นนั้น
ขี้เกี้ยม เห็นผู้นั่ง ประสานมือไว้ตรงหน้าอก
ช่วยอธิบายได้รึเปล่าค่ะ...



สวัสดีครับคุณเอรากอน


เนื่องจากพื้นที่ที่นั่งมีจำกัด ต้องนั่งชิดกัน
เมื่อบรรลุฌานสมาบัติ ผู้ฝึกใหม่ยังควบคุมร่างกายในอาการปีติไม่ได้
ใช้มือขวาทับมือซ้ายตามที่นิยมกันแล้วมีมันหลุดจากกันได้
เพราะบางคนมีอุพเพงคาปีติที่แรงมาก
บางทีถึงกับเหวี่ยงมือไปฟาดผนัง หรือโต๊ะ หรือหน้า หรือตัวคนข้าง ๆ
เลยแก้ไขโดยให้เอามือประสานกันไว้ ป้องกันไม่ให้มือและส่วนของร่างกายไปกระทบคนอื่น รบกวนคนอื่น

จากการทดลองแล้ว การเอามือจับกันอย่างนี้ จิตเป็นสมาธิมีปีติสุขเกิดขึ้นได้เร็วครับ
สำหรับผู้ฝึกใหม่ ๆ ไม่เกิน 2 นาทีก็บรรลุปฐมฌานแล้วครับ


และการจับเอาไว้อย่างนี้ มีประโยชน์ต่อการฝึกอภิญญา 6 เพื่อการทำกายและจิตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการฝึกลอยขึ้นจากพื้นครับ เมื่อจิตใจเข้มแข็งดีแล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่อประหารกิเลสในอาสาวขยญาณต่อไปครับ



เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย มหาราชันย์ เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 01:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 15:38
โพสต์: 31

ชื่อเล่น: joy
อายุ: 0
ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุ :b48:

.....................................................
รู้รักษาใจ...เป็นยอดดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 01:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




guan-im38.jpg
guan-im38.jpg [ 25.03 KiB | เปิดดู 6393 ครั้ง ]
:b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: tongue


รูปภาพสาธุค่ะ :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
ขออนุญาตมีส่วนร่วมในธรรมทานนี้ด้วยค่ะ ท่านมหาราชันย์


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเดินอยู่ .... ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน
หรือยืนอยู่ ...... ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน
หรือนั่งอยู่ ...... ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง
หรือนอนอยู่ .... ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน
หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ .... ก็รู้ชัดว่ากำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ


เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ




รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระบี่ไร้เงา เขียน:
ขออนุญาตมีส่วนร่วมในธรรมทานนี้ด้วยค่ะ ท่านมหาราชันย์



:b41: สวัสดี :b42: กระบี่ไร้ ฯ :b42: ในยามเช้า
ที่น้อมเอา :b42: ธรรมทาน :b42: ท่านฝากไว้
เชิญเลยครับ :b42: นำมาตั้ง :b42: ครั้งต่อไป
ผู้อ่านได้ :b42: สุขสวัสดี :b42: มีกุศลธรรม



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุเดินอยู่ ...ก็รู้ชัดว่ากำลังเดิน
.....หรือยืนอยู่ ...ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน
.....หรือนั่งอยู่ ...ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง
.....หรือ นอนอยู่ ...ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน
.....หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ ...ก็รู้ชัดว่า กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน ธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ .


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ
.....ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขน และเหยียดแขน
.....ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลา ฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลา เดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิต
อันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ.



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล
.....ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป
.....ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา
.....มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
.....เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้
.....ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
.....ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
.....อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ
.....มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง ๒ ข้าง
.....เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ ชนิด
.....คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วทอง งา และข้าวสาร
.....บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นออกแล้ว
.....พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วทอง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
.....ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
.....ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา
.....มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
.....เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้
.....ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
.....ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย
.....อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ
.....มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความ เพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล
.....ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้
.....ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค
.....หรือลูกมือของคนฆ่าโค ผู้ฉลาด
.....ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ ใกล้ทางใหญ่ ๔ แยก ฉันใด
.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
.....ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
.....ตามที่ ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้
.....ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น


ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า
.....อันตายได้วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม
.....จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
.....แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา
.....มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้

เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ .



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง
.....หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ ชนิดฟอนกินอยู่บ้าง
.....จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้ เป็นธรรมดา
.....มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้

.....เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
.....ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
.....เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
.....จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่ แน่นิ่ง
.....เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ .



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


........ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างอยู่ด้วยกระดูก มีทั้งเนื้อและเลือด เส้นเอ็นผูกรัดไว้...
.....เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ไม่มีเนื้อ มีแต่เลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เส้นเอ็นยังผูกรัดไว้...
.....เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ปราศจากเนื้อ และเลือดแล้ว แต่เส้นเอ็นยังผูกรัดอยู่...
.....เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูกรัดแล้ว กระจัดกระจายไปทั่วทิศต่างๆ คือ กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง กระดูกเท้าอยู่ทางหนึ่ง กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าขาอยู่ทางหนึ่ง กระดูกสะเอวอยู่ทางหนึ่ง กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงอยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกอยู่ทางหนึ่ง กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง กระดูกคออยู่ทางหนึ่ง กระดูกคางอยู่ทางหนึ่ง กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะอยู่ทางหนึ่ง

.....จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา
.....มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้
.....เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
.....ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
.....เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
.....จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
.....เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ .




เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่กระดูก สีขาวเปรียบดังสีสังข์...
.....เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก เรี่ยราดเป็นกองๆ มีอายุเกินปีหนึ่ง...
.....เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่กระดูก ผุเป็นจุณ จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า
.....แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา
.....มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้

.....เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
.....ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
.....เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
.....จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
.....เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ.



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..........ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
.....เธอยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
.....ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือของพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด
.....โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว เคล้าด้วยน้ำให้เป็นก้อนๆ
.....ก้อนจุณสำหรับสรงสนานนั้น มียางซึม เคลือบ จึงจับกันทั้งข้างในข้างนอก และกลายเป็นผลึกด้วยยาง ฉันใด

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
.....ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุข เกิดแต่วิเวก
.....ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวก จะไม่ถูกต้อง


..... เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
.....ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
.....เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
.....จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
.....เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ .



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2009, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


........... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก .

.....ภิกษุเข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน
.....มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร
.....ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
.....เธอยังกายนี้แล ให้คลุกเคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
.....ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ ไม่มีทางระบายน้ำทั้งในทิศตะวันออก ทั้งในทิศตะวันตก
..... ทั้งในทิศเหนือ ทั้งในทิศใต้เลย และฝนก็ยังไม่หลั่งสายน้ำโดยชอบตามฤดูกาล
.....ขณะนั้นแล ธารน้ำเย็นจะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น
.....แล้วทำห้วงน้ำนั้นเอง ให้คลุกเคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยน้ำเย็น
.....ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งห้วงน้ำทุกส่วนนั้นที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
.....ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
.....ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง

.....เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
.....ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
.....เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
.....จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
.....เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น

.....ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ .



เจริญในธรรมครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร