วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 03:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคล็ดไม่ลับฟังธรรมหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
1.ฟังบ่อยๆ
2.ไม่ควรตั้งใจ จดจ่อฟังธรรม
3.ไม่ควรฟังหลายเรื่องต่อๆกัน
4.ฟังแบบสบาย อาจทำงานไปพร้อมก็ได้
5.เรื่องเดียวอาจฟังหลายรอบๆ
6.ฟังแบบไม่มีอคติ จ้องแต่จะให้ความเห็นความหมาย ใช่ ไม่ใช่ เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะ เรื่อง “ช่างมัน” โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
ณ วัดร่มโพธิธรรม
...........................................................................................................................................


ในความเป็นจริงมันก็ไม่เป็นตัณหาอยู่แล้ว ทีนี่ก็อย่าไปค้นหา เพ่งรู้หา เพ่งการดูหา เสาะแสวงหา รู้หา เห็น การนึก การคิด การจะต้องแบบนี้ แบบนั้น ไม่ต้อง ในความเป็นจริงไม่เป็นตัณหาอยู่แล้ว ไม่ต้องค้นหา ลงไปจะ ลงไปต้องอะไร ไม่ต้อง ไม่จะ ยังเป็นกรรมซ้อนธาตุ-ขันธ์ เป็นกรรมซ้อนธาตุ-ขันธ์มากๆ เป็นอุปทานซ้อนธาตุ-ขันธ์มากๆ ไปจะ ไปต้อง อะไรกับมันมากๆ กายธาตุ จิตธาตุ ก็เหนือเป็นกรรม เป็นวิบากอยู่เรื่อยๆ การคอยแช่ การคอยจม การคอยสาละวน การคอยนอนเนือง กับความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ การรู้ การเห็น มันก็แวะเวียนมาเรื่อย มันเป็นวิบาก

วิบากในการทำใจ วิบากในการทำตัว วิบากในการปฏิบัติ สาละวนห่วง กังวลต่อในการทำใจแบบนี้ แบบนั้น เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าเห็น มันก็กรรมวิบากเท่านั้น เหมือนเขาสร้างภาระ สร้างพันธะขึ้นเสียเอง จริงๆ แล้วไม่เป็นตัณหาอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่มีความหมายอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องหลงไปคิดว่ามันเป็นอะไร ไม่ต้องไปหลงให้ความหมายว่ามันเป็นอะไร จริงๆ ก็ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ก็อย่าไปมัวเห็นว่า เป็นอย่างนั้น อย่างนี้อะไร นั่งไปธรรมดา นั่งไปเฉยๆ นั่งไปปกติ

กายเป็นแบบไหนก็ช่าง จิตเป็นแบบไหนก็ช่าง ช่างมัน นิ่ง ไม่นิ่งก็ช่างมัน แต่ไม่ใช่ว่าทำให้เป็นแบบไหนขึ้นมา ไม่ใช่ ช่างมัน ไอแบบไหนก็ช่างมัน กายก็ช่างมัน จิตแบบไหน อย่างไร ช่างมัน นิ่ง ไม่นิ่งก็ช่างมัน นี่ไม่ไปยึดมัน ไม่ไปดันทุรังมัน แบบไหนกับมันทางกรรมกับกาย และจิต นั่นมันตรงต่อความไม่ยึดติดของมันไปเอง ตรงต่อความไม่ต้อง ไม่คาไปเอง ไอโรคที่มันอึดอัด ขัดเคือง มันก็หมดไปเอง ก็หายไปเองหมด

ไอสงบ ไม่สงบ ก็ช่างมัน นิ่ง ไม่นิ่งก็ช่างมัน ไม่ต้องทำมันแบบไหน ตามันจะเห็น หูจะได้ยิน ได้ฟังอย่างไร จมูกจะลิ้มรส สัมผัสอย่างไร โดยกายก็ช่างมัน แต่ไม่ใช่จะทำมันแบบไหน อย่างไร ทำมันขึ้นมาอย่างไร มันไม่ใช่ ก็มันตรงต่อความไม่ยึดติดอยู่แล้ว ตรงต่อการไม่ข้อง ไม่คาอยู่แล้ว มันก็เลิกเอาเอง ต่อความคัดเคือง คัดคาทั้งหลาย หงุดหงิด งุ่นง่านทั้งหลาย เลิกไปเอง หมดไปเอง ใจน้อย ใจใหญ่ แบบไหน ก็เลิกไปเอง หมดไปเอง นิ่ง ไม่นิ่งก็ช่างมัน สงบ ไม่สงบก็ช่างมัน

ช่างมันๆๆๆ มันก็ตรงต่อความไม่ยึดติดไปเอง นั่นแหละตรง ตรงต่อความไม่ยึดอยู่แล้ว ไม่ใช่เราไม่ยึด โดยความเป็นจริงมันก็ไม่ยึดอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่ยึด มันไม่ยึดอยู่แล้ว ความเป็นจริง จะแบบไหน อย่างไร ช่างมัน ไม่ใช่ว่าไปต้อง แบบไหนกับตา กับการเห็น มันก็ไม่ตรงต่อความถือสา ตรงต่อการไม่ยึดติดไปเอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนกันหมด ไม่แตกต่าง เหมือนกันหมด

ช่างมันๆ เหมือนกันหมด มันก็ตรงต่อการวางๆ ของมันไปเอง ตรงต่อการวางของมันอยู่แล้วไปเอง ตรงต่อความที่มันว่างของมันอยู่แล้วไปเอง วางอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราคอยไปวาง คอยไปว่าง ไม่ใช่ จะลืมตาก็ช่างมัน จะหลับตาก็ช่างมัน เหมือนเดิม ไม่ใช่จะคอยทำมันแบบไหน ลืมตา หรือ หลับตา ไม่ต้องอยู่แล้วเหมือนเดิม ไม่ต้องไปแบบไหน ไม่ต้องไปอย่างไรกับมันอยู่แล้ว มันเหมือนเดิม ไม่ต้องอยู่แล้วเหมือนเดิม ก็ไม่ต้อง มันก็เลยตรงต่อการวางอยู่แล้วไปเอง วางอยู่แล้ว ไม่ใช่เราวาง มันวางอยู่แล้ว ไม่ใช่เราไปยึดมัน มันยึดอยู่แล้ว มันก็ตรงกับการยึดติดอยู่แล้วไปเอง

ไม่ใช่คอยไปจัดแจงให้ตัวนี้มันหมดไป ให้เรื่องนั้นเป็นการนั้นดับไป มันไม่ใช่ มันจะมี ไม่มี ไม่เกี่ยว จะเป็น หรือไม่เป็น ไม่เกี่ยว ก็ช่างมันเถิด ไม่เกี่ยว ก็ไม่ต้องอยู่แล้ว ไม่ต้องคอยไปทำแบบไหน อย่างไรอยู่แล้ว ก็มันตรงต่อความไม่ยึดติดอยู่แล้วในที่สุด ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสาละวนต่อการมี หรือไม่มี มันจะเกิดก็ไม่เกิด จะดับหรือไม่ดับ ใจมันจะเป็นแบบไหน จะเป็นอย่างไร หรือไม่เป็นแบบไหน ไม่เป็นอย่างไร ไม่ต้องไปห่วง ไม่ต้องไปสาละวน ก็ช่างมัน

มันจะวาง หรือไม่วาง ก็ช่างมัน ตรงต่อตัณหาในความเป็นจริงที่ไม่เป็นตัณหา ไม่เป็นอุปทาน ซึ่งมันว่างจากตัณหา ว่างจากอุปทานอยู่แล้ว เกิดหรือไม่เกิด จะดับหรือไม่ดับ ก็ช่างมัน ไม่ใช่ต้องมี ต้องไม่มี มันเป็น ต้องไม่เป็น ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไอนี้มันก็เลิกไปเอง ไอความหลงกฎ หลงคม หลงคอยควบคุม หลงคอยบังคับ หลงคอยประคับประคอง ไอหลงๆ การเข้าไปกอดเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งในลักษณะนี้ เข้าไปเป็นผู้มีอำนาจ เป็นเจ้าของ สภาวะลักษณะกายธาตุ จิตธาตุ มันเลิกไปเองหมด

ไม่มีต้องมาเป็นวิบาก คอยประคับประคอง ในการเฝ้ารู้ เฝ้าเห็น ในการจะต้องแบบไหน ต้องอย่างไร ต้องคอยอยู่ ต้องคอยควบคุม ต้องอย่างไร มันไม่มีวิบากแบบนี้ แบบนี้พาให้ลำบาก ต้องมานั่งประคองจิต นอนประคองจิต แบบนั้น แบบนี้ มันเป็นภาวะวิบากทั้งนั้นแหละ อันนี้ไม่ต้อง ก็ช่างมัน จะว่าง ไม่วางก็ช่างมัน มันจะตรงต่อความไม่ยึดติดที่สุดก็ช่างมัน หยุด ไม่หยุด ก็ช่างมัน นิ่ง ไม่นิ่ง ก็ช่างมัน จะมีอาการ ไม่มีอาการ ก็ช่างมัน ก็ไม่ต้องทำแบบไหน อย่างไรอยู่แล้ว

ไอนี้จะตรงต่อ “ไม่อยู่แล้ว” ที่สุด นิพพานอยู่แล้ว “ไม่อยู่แล้ว” มันนิพพานอยู่แล้ว ไม่ต้องแบบไหน ไม่ต้องอย่างไร ไม่ใช่แบบไหน ไม่ใช่อย่างไรอยู่แล้ว ตรงต่อไม่อยู่แล้ว ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด ว่าง ไม่ว่างก็ช่างมัน จะนิ่ง ไม่นิ่งก็ช่างมัน จะรู้สึกหนัก รู้สึกเบาก็ช่างมัน จะนึกบ้าง ไม่นึกบ้างก็ช่างมัน จะคิดบ้าง ไม่คิดบ้างก็ช่างมัน ไม่ต้องไปคอยทำมันแบบไหน ไม่ต้องไปคอยทำมันแบบใด ไม่ต้อง นั้นแหละมันก็การไม่ยึดติดนั่นเอง

ไม่ใช่การยึดติด คอยยึดติด ไม่ใช่ ไอช่างมัน คือการไม่ยึดติดนั่นเอง คือการไม่ยึด คือการไม่ไปติด ช่างมัน มันก็ไม่ขังทุกข์แล้ว จะนิ่ง ไม่นิ่ง ก็ช่างมัน จะรู้มาก รู้น้อย ก็ช่างมัน จะรู้ ไม่รู้ ก็ช่างมัน จะเข้าใจ ไม่เข้าใจ ก็ช่างมัน นั่นแหละจะตรงต่อความไม่ยึดติดที่สุด ตรงต่อความไม่คล่องอะไร ตรงต่อความไม่คากับอะไรมากที่สุด ไม่คล่องอยู่แล้ว ไม่คาอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นอุปทานกับอะไรอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องไปทำมันนั่นแหละ แบบไหน อย่างไร ก็ไม่ต้อง ไม่ต้องไปทำ ไม่ต้องอยู่แล้ว

มันไม่หลงเข้าไปทำ ไม่ไปหลงกระทำ แบบไหน อย่างไร มันก็ไม่เป็นกรรมซ้อนธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมโดยธรรมของมันเองอยู่แล้วหมด ไม่มีกรรมไปซ้อนอยู่ ไม่ไปหลงกระทำแบบไหน อย่างไร มันก็ไม่เป็นกรรม ซ้อนธาตุ ซ้อนกรรม แค่นั้นแหละ แต่ถ้าคอยไปทำแบบไหน อย่างไร ทั้งกาย และใจ นอก ใน มันก็เป็นกรรม มันก็คอยไปสร้างกรรม การปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ขึ้นมา มันก็ต้องเป็นผล เป็นวิบากต่อไปอีก กายเป็นผล กายเป็นวิบาก เกิดอย่างนั้นเรื่อยๆ ชอบเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อยๆ ต่อไปอีก ไม่ใช่

ไอนี่ไม่ใช่ลักษณะของการมาคอยสร้างกรรม ผลวิบากอยู่ ไม่ใช่ๆ จะมีคอยธรรม มันแบบไหน อย่างไร ให้เป็นผล เป็นวิบากต่อไป ไม่ใช่ ก็มันจบอย่างเดียว สรุปอย่างเดียว มันจะแบบไหน อย่างไร ก็อย่าไปหลงตามมัน ก็ไม่ต้องนั่นแหละ จบอย่างเดียว สรุปอย่างเดียว ก็ตรงต่อไม่อยู่แล้วจริงๆ ตรงต่อไม่ยึดติดอยู่แล้วจริงๆ ไม่ยึดอยู่แล้วๆ ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว จะมี หรือไม่มี ก็ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง

กายจะแบบไหน ใจจะอย่างไร มันก็ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ทั้งกาย ทั้งใจ ทุกสิ่งทุกอย่าง สัมผัสจะแบบไหน นอก ใน อย่างไร สัมผัสอย่างไร มันไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่หลงคอยต้องแบบไหนกับมัน หรือว่ากาย หรือว่าจิต สรรพสิ่ง ต้องรู้ ต้องไม่รู้ ต้องเห็น ต้องไม่เห็น ต้องเข้าใจ ต้องไม่เข้าใจ ไม่ต้องทั้งหมด ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด ไม่อยู่แล้ว ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด แค่นั้น ไม่ต้องคอยไปทำมันแบบไหนให้เป็นลีลาของกรรมขึ้นมา ซ้อนกาย ซ้อนจิต ซ้อนธาตุ ขันธ์ ทั้งหลาย ซ้อนธรรมทั้งหลาย

ไม่ต้องสร้างลีลาของเจตนาของกรรมของตัณหา กรรมของอุปทานขึ้นมา ไม่ต้อง ต่อกรรมกิเลสทั้งหลาย ไม่ต้องเลย ไม่ต้องแบบไหนอยู่แล้ว ไม่ต้องอุปทานกรรม ตัณหากรรม ไม่ต้องเลย จะ ไม่ต้องจะอยู่แล้ว ไม่ต้อง ก็ไม่ต้องอยู่แล้ว ตั้ง ก็ไม่ตั้งอยู่แล้ว ไม่ต้องเลย ตรงต่ออนิจจังอยู่แล้ว ตรงต่อการไม่ยึดติดอยู่แล้ว........... สาธุ.................

.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2009, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะอิสระ ธรรมะหลุดพ้น ทบทวนทางจิตโดยการเตือนใจเสมอ ๆ ด้วยธรรมะศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า

ไม่อะไรกับอะไร คือ ไม่อะไรกับทุกอย่างไม่ว่ากาย จิต สรรพสิ่ง เพราะทุกอย่างไม่ยึดกันอยู่แล้ว

ไม่ฝืน คือ ไม่ขัดแย้ง ไม่ไหลตาม คือ ไม่เป็นไปกับมันกับทุกอารมณ์ใจกับทุกอณูความรู้สึก

ไม่ต้องทุกอย่างก็ว่างนิพพานอยู่แล้ว


ไม่ต้อง คือ ไม่ยุ่งวุ่นวายกับทุกอารมณ์ใจและทุกอย่างทั้งหมด

เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจังเสื่อมสลายในตัวของมันเองผันแปรเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลายอมรับสภาพตามสัจจะธรรมตามความเป็นจริงแล้วจะนอกเหนือสุขนอกเหนือทุกข์ นอกเหนือกรรมไปเองโดยอัตโนมัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องเล่าประสบการณ์ของคุณตู่ที่เคยไปศึกษาธรรมปฏิบัติที่วัดร่มโพธิธรรม แล้วโพส์ตไว้เลยอนุญาตนำมาให้เพื่อนและผู้สนใจได้อ่าน หากใครมีประสบการณ์ดีๆที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นที่เคยไปวัดร่มโพธิธรรมมาก็สามารถแชร์ประสบการณ์นั้นได้ขอรับ

คุณตู่
วันพฤหัส, 3. กันยายน 2009
ผมเคยศึกษาและปฏิบัติทำด้วยการเจริญสติ ทั้งดูกาย-ดูจิตมาประมาณ 7 ปีก่อนที่จะได้พบหลวงพ่อโพธิ์ศรี(ผมได้ฟังสัจธรรมจากองค์ท่านมาได้ประมาณ 2 ปีแล้วครับ) ผมขออนุญาตเรียนท่านทั้งหลายด้วยความจริงใจและมิใช่เป็นการลบหลู่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนะครับ คือว่า…เท่าที่ผมได้ศึกษาธรรมและปฏิบัติทำมาร่วม10ปี ใจผมเองมีความเห็นอย่างนี้ว่า ในยุคนี้ไม่มีใครสามารถแสดงธรรมะและสื่อธรรมะได้ตรงต่อสัจธรรมได้เท่ากับหลวงพ่อโพธิ์ศรี ผมเองอยากจะบอกว่านับเป็นโชคลาภของพวกเราอย่างแท้จริงที่ได้ฟังธรรมและได้พบท่าน ด้วยภาษาที่อาจจะไม่คุ้นหูบ้าง แต่…เชื่อเถอะครับว่า ด้วยภาษาที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของท่านนี่แหละที่จะปลุกท่านตื่นขึ้นจากความหลงทั้งจากความหลงแบบไหลตามและการไปหลงปฏิบัติทำ(มิใช่ปฏิบัติธรรมนะครับ)ในรูปแบบต่างๆ สื่อภาษาที่ท่านใช้จะไม่ขัดแย้งกับสัจธรรม อีกทั้งภาษาของท่านไม่ไปกระตุ้นต่อมอยาก ต่อมยึดของผู้ฟังให้กำเริบเสิบสานเกิดการดิ้นรน ค้นหา แสวงหา รอคอย แส่ส่ายทางใจ เมื่อได้สดับแล้วมีแต่อวิชชา โมหะ ตัณหาสลายไปๆๆ ไม่เหมือนกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆที่เมื่อท่านถ่ายทอดธรรมโดยใช้ภาษาอันเป็นสมมติบัญญัติแล้วกลับขัดแย้งกับสัจธรรม หรือเนื้อหากลับให้เกิดการดิ้นรนทางใจมากขึ้น รหัสนัยของสัจธรรมโดยเนื้อหาที่ท่านสื่อผ่านทางภาษา เมื่อนำมาเทียบเคียงกับเนื้อหาในทางปริยัติแล้วกลับลงตัวได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะเนื้อหาที่พุทธองค์ตรัสไว้ในธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางสุดโต่ง 2 ฝั่ง ทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)และอริยสัจ 4 สติปัฏฐาน 4 เป็นต้น ที่เด่นมากเป็นพิเศษก็คือท่านสามารถสะท้อนเนื้อหาของสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์)ได้อย่างแจ่มแจ้งถึงกึ๋นจริงๆชนิดไม่เคยได้ยินได้ฟังได้อ่านที่ใหนมาก่อน (สัจจญาณ) อีกทั้งท่านแสดงการละสมุทัยที่จะไม่กลับกลายเป็นการเจริญสมุทัยโดยเนื้อหาเหมือนกับที่นักปฏิบัติทำ ทำกันอยู่(กิจจญาณ) ผมจึงขออนุโมทนาด้วยกับทุกๆท่านที่จะได้ไปฟังธรรมต่อหน้าองค์ท่านนะครับ อ้อ..มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนผู้ที่ฟังธรรมของท่านเล็กๆน้อยๆและไม่เข้าใจในเนื้อหาแท้ๆแล้วนำไปกล่าวในเชิงปรามาสนั้นอันตรายมากกกก….อีกทั้งผู้ที่รู้ตัวว่ายังไม่เข้าถึงเนื้อหาจริงๆก็ต้องระมัดระวังในการสื่อสารดีๆ กรรมตีกลับในการที่เราไปปรามาสในสัจธรรมนั้นไม่เบาเลยทีเดียวนะจะบอกให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประสบการณ์ของคุณโยที่เคยไปศึกษาธรรมปฏิบัติที่วัดร่มโพธิธรรม แล้วโพส์ตไว้เลยขออนุญาตนำมาให้เพื่อนและผู้สนใจได้อ่าน
โย
วันศุกร์, 20. พฤศจิกายน 2009
ว่างสะท้อนว่าง ดับสะท้อนดับ สู่ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ โดยทั่วกันเทอญ….. สาธุ

ธรรมของท่านนั้นฉับพลันจริง ๆ ครับ

แจ้งในอนิจจัง ความดับของสรรพสิ่งโดยธรรมชาติของมันเอง ไม่ต้องไปหาทางดับอีก ถอนการซ้อนจิตซ้อนกาย เพื่อหยุดสร้าง เหตุ-กรรม คือ สมุทัย
ไม่ต้องไม่ตั้งโดยของมันเอง มันก็ว่างของมันเอง นิพพานอยู่แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่องค์เดียวกับที่บอร์ดพลังป่าวครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าองค์เดียวกันหรือป่าว เพราะท่านมีลูกศิษย์เยอะต่างคนก็นำออกมาเผยแผ่และไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว ขอรับ มีคำๆหนึ่งที่หลวงพ่อสอนและประทับในใจคือ หลักนี้แม้ควายมันยังไม่ชอบให้หาหลักมาผูกให้มัน และธรรมะขององค์พุทธะ นี้ไม่ใช่เป็นวิชาเฝ้ายาม ต้องมาคอยดูกาย ของดูจิต ดูธรรม เป็นการไม่ตรงต่อคำสอนท่าน สติปัฏฐาน หมายถึงการปลงฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนแต่ให้ปลง สักแต่ว่า ไม่อะไรกับอะไร ช่างมัน ไม่ใช่การเข้าไปในดำเนินการ การดำเนินการต่างที่เข้าไปดู สังเกต วิเคราะห์ การคอยรู้นี้ล้วนเป็นเหตุเป็นสมุทัย ท่านไม่ใช้สร้างเหตุ ที่เรียกว่ากรรมซ้อนธรรมนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศัพท์ใหม่ ใน พ.ศ.นี้ อาบัติในธรรม หมายถึงการไม่ต่อสัจธรรมคำสอน การคอยตั้ง คอยต้อง คอยอะไรกับอะไร ไม่ว่ากายหรือจิต ที่ไม่ตรงต่อวางอยู่เองแล้ว ผันแปรอยู่เองแล้ว ยึดไม่ไดอยู่เองแล้ว เดิมแท้ที่ไม่อะไรกับอะไรอยู่เองแล้ว จะเป็นการคอยอยู่ คอยดู คอยรู้ คอยดับ คอยละที่ว่าคอยๆทั้งหมดเรียกว่าอาบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เนื่องด้วยวิถี ไม่เนื่องวิธีการ นิพพานอยู่เองแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 00:05
โพสต์: 51

ชื่อเล่น:
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนาในบุญนี้ด้วย :b8:

สาธุสาธุ :b16:

....................................................................

''ไหว้พระตามแนวพุทธ ไหว้ด้วยใจ''


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 01:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งฟัง ยิ่งเพี้ยน
ฟังมากเพี้ยนมาก........ ยาพิษชัดๆ

สาธุชน พึงตระหนักว่า จิตนี้ต้องอบรม
สติวิโมกข์ ไม่มีในพระศาสนานี้

กิจต้องทำให้เสร็จ
การบำเพ็ญเพียรต้องปฏิบัติไปตามกำลังความสามารถ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 04 ม.ค. 2010, 01:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งฟังยิ่งเพี้ยนหมายความว่าอย่างไร
หมายถึงอย่างนี้หรือเปล่า คือฟังธรรมแล้ว ฟังเรื่องราว ไม่ดับตาม ไม่วาง ไม่ว่างตาม ฟังแล้วๆไป สักแต่ว่าฟัง ฟังแล้วเอาความคิดเราเองเป็นใหญ่ไปพิพากษ์พิจารณ์ สิ่งนี้ใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่ เป็นนักวิเคราะห์ วิจัยวิจารณ์ที่ไม่ได้รับเงินเดือน รางวัลอะไร ทำไปทำมาก็มีแต่จะมากด้วยมานะทิฐิซะงั้น

เห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน เจริญธรรมนั้นไว้เนืองๆ ?
เจริญๆไปเรื่อย พูดยังกะนิทานหลอกเด็ก คำพูดที่บอกให้เจริญไปเรื่อยแล้วจะจบได้งัย ก็มันไปเรื่อย ก็บอกอยู่ชัดๆในคำพูดนี้ ว่ามันไม่จบไม่สุด เห็นแจ้งธรรมในปัจจุบัน แล้วทำไม ไม่จบในปัจจุบันนี้ รอตายก่อนแล้วค่อยจบ ก่อนหรือชาติหน้าๆ
ท่านก็ศึกษาธรรมมา หลักกาลามสูตรไปไหนละ มีแค่ฟัง ยิ่งกว่า ตาบอด ลูบ ช้างเลย ว่าเป็นนั้นนี้แล้ว ต้องไปเห็นตัวจริงก่อนสัมผัสด้วยตัว ตาดู หูฟัง ไปถามไปคุยทำไมเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวกับเราเข้าใจอาจไม่ตรงกัน แล้วค่อยว่าค่อยกล่าวไป อย่าอินทิฐิตัวเองเกินไป ด่วนใจไป ระวังชนตอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสาวกในพุทธศาสนา ย่อมไม่บัญญัติสิ่งใดนอกคำสอนพระศาสดา ครับ
ท่านต้องไปเรียนให้เจ้าสำนักที่ท่านศรัทธาเองครับ และให้ท่านแสดงกาลมสูตรที่ท่านเข้าใจแก่เจ้าสำนักนั้นด้วยครับ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=14&A=7031

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6:
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น:

ยิ่งฟัง ยิ่งเพี้ยน
ฟังมากเพี้ยนมาก........ ยาพิษชัดๆ


หุ..หุ..หุ…ใครจะเพี้ยนไม่เพี้ยนยังงัย..นี้ไม่ทราบ..ไม่ได้มีญาณรู้อะไรกะเขานี้
แต่ที่..ยิ่งฟัง ยิ่งเพี้ยน ฟังมากเพี้ยนมาก..นี้มันอาการของผมเอง.. :b32:

อ้างคำพูด:
Yodchaw :

ยิ่งฟังยิ่งเพี้ยนหมายความว่าอย่างไร
หมายถึงอย่างนี้หรือเปล่า คือฟังธรรมแล้ว ฟังเรื่องราว ไม่ดับตาม ไม่วาง ไม่ว่างตาม

ช่ายย..เลย

อ้างคำพูด:
ฟังแล้วๆไป สักแต่ว่าฟัง ฟังแล้วเอาความคิดเราเองเป็นใหญ่ไปพิพากษ์พิจารณ์ สิ่งนี้ใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่ เป็นนักวิเคราะห์ วิจัยวิจารณ์ที่ไม่ได้รับเงินเดือน รางวัลอะไร ทำไปทำมาก็มีแต่จะมากด้วยมานะทิฐิซะงั้น

ม่ายย..ช่ายย..เลยนะ

อ้างคำพูด:
เห็นแจ้งธรรมที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน เจริญธรรมนั้นไว้เนืองๆ ?
เจริญๆไปเรื่อย พูดยังกะนิทานหลอกเด็ก คำพูดที่บอกให้เจริญไปเรื่อยแล้วจะจบได้งัย ก็มันไปเรื่อย ก็บอกอยู่ชัดๆในคำพูดนี้ ว่ามันไม่จบไม่สุด

ไหนว่า..ไม่ติดในสมมุติบัญญัติง่ายละ..

การที่..เจริญไปเรื่อย ๆ ..นี้เป็นคำสั่งของครู
ส่วนที่..จะจบได้งัย......นี้เป็นหน้าที่ของลูกศิษย์..จะต้องทำเอง :b12:

อ้างคำพูด:
เห็นแจ้งธรรมในปัจจุบัน แล้วทำไม ไม่จบในปัจจุบันนี้ รอตายก่อนแล้วค่อยจบ ก่อนหรือชาติหน้าๆ


ก็ถ้าเมื่อเห็นแจ้งในธรรมแล้ว..เรา ๆ จะไปรู้กะเจ้าตัวเขาหรือว่า..จบ..หรือไม่จบ..

การจำธรรมได้..กะ..แจ้งในธรรม..มันต่างกันคนละจักรวาล..

อ้างคำพูด:
ท่านก็ศึกษาธรรมมา หลักกาลามสูตรไปไหนละ มีแค่ฟัง ยิ่งกว่า ตาบอด ลูบ ช้างเลย ว่าเป็นนั้นนี้แล้ว ต้องไปเห็นตัวจริงก่อนสัมผัสด้วยตัว ตาดู หูฟัง ไปถามไปคุยทำไมเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ท่านกล่าวกับเราเข้าใจอาจไม่ตรงกัน แล้วค่อยว่าค่อยกล่าวไป อย่าอินทิฐิตัวเองเกินไป ด่วนใจไป ระวังชนตอ

หากท่านพบครูบาอาจารย์...ที่ทำให้ท่านเข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระผู้พระภาคเจ้าผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง...ได้..ก็ขอโมทนาสาธุ..ด้วยครับ :b8: :b8:

จริตใคร..ก็..จริตใคร..นะครับ :b12:

อ้างคำพูด:
เช่นนั้น:
พระสาวกในพุทธศาสนา ย่อมไม่บัญญัติสิ่งใดนอกคำสอนพระศาสดา ครับ

สาธุ..ครับ.. :b8:

แต่ทำไม?..กับ..วิสุทธิมรรค์..อรรถคาถา..หรือคำภีร์รุ่นหลัง ๆ อื่น ๆ ..ที่ไปอธิบายไปขยาย..คำสอนของพระศาสดา..ไม่เห็นมีใครไปว่า..อะไรเลยละครับ?..

ใช่เป็นเพราะ..คำที่พระองค์ทิ้งท้ายใว้ว่า..ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย..คลายกำหนัด..ธรรมนั้นเป็นธรรมของเราตถาคต..

ส่วนจะสามารถ..คลายกำหนัด..ได้กับพระตถาคต..พระองค์ใดนั้น..มันก็เรื่องของเขา..ไม่ใช่เรื่องของเรา...( จะมีใครว่า..ตัวเราของเรามีที่ไหน..มั้ยหน่า :b13: :b32: )

เถรไม่ตรง..คงไม่เป็นไร..มั้งครับ
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
ไม่เนื่องด้วยวิถี ไม่เนื่องวิธีการ นิพพานอยู่เองแล้ว




สวัสดีครับคุณเช่นนั้น

สบายดีนะครับ

เข้ามาเยี่ยมชมครับ



เจริญในธรรมครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร