วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1.jpg
1.jpg [ 21.78 KiB | เปิดดู 10090 ครั้ง ]
ตอนที่ 63

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ล้วนว่างเปล่า


อำมาตย์และนักประพันธ์ ซูตงพอ คบหากับพระอาจารย์ฝ๋อหยิ้นมานานแล้ว พวกเขาจะสนทนาธรรม
และปฏิบัติธรรมด้วยกันเสมอ

วันหนึ่งขณะที่พระอาจารย์กำลังจะแสดงธรรม ซูตงพอซึ่งมาล่าช้าไปเพราะติดธุระ ขณะที่เขามาถึง
ที่แสดงธรรมปรากฏว่าผู้คนนั่งเต็มไปหมดแล้ว

ในขณะที่เขาสอดส่ายสายตาหาที่นั่งอยู่นั้น พระอาจารย์เห็นเข้าจึงทักว่า “ประสก มาล่าช้าไปเสียแล้ว
ที่นี่ไม่มีที่นั่งสำหรับเจ้าเสียแล้ว”

ซูตงพอจึงตอบไปว่า “ที่นี่ไม่มีที่นั่ง งั้นก็ขอนั่งบนธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ของท่านแล้วกัน”

“ถ้าท่านตอบคำถามของอาตมาได้ อาตมาก็จะให้กายของอาตมาเป็นที่นั่งของท่าน ถ้าท่านตอบไม่ได้
ก็ขอให้ท่านนำหยกที่ติดกับเข็มขัดมาให้อาตมา”

ซูตงพอตอบอย่างไม่ต้องคิดก่อนว่า “ตกลง”

“ธาตุ ๔ ของอาตมาก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว ขันธ์ ๕ ก็ไม่มี แล้วท่านนักปราชญ์จะนั่งตรงไหน”
พระอาจารย์ถาม

ซูตงพออึกอักอยู่นานก็คิดอะไรไม่ออก ที่สุดก็ยอมแกะหยกที่ติดอยู่ที่เข็มขัดออก
หยกชิ้นนั้นยังปรากฏอยู่ที่วัดจนถึงทุกวันนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


นิทานสนุก ให้ข้อคิดดี
แต่ต้องอ่านวันละนิด จิตแจ่มใส...อนุโมทนาสาธุ :b8:

เจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




BABBU_wallpaper_004.jpg
BABBU_wallpaper_004.jpg [ 45.63 KiB | เปิดดู 10072 ครั้ง ]
ตอนที่ 64

สูงและไกล




ที่วัดเสือมังกร มีพระหลายรูปกำลังวาดรูปเสือกำลังต่อสู้กับมังกรที่บริเวณกำแพงวัด
ในรูปเป็นรูปมังกรกำลังม้วนตัวอยู่ในกลุ่มก้อนเมฆ และกำลังม้วนตัวลงมาด้านล่าง
ส่วนเสืออยู่บนภูเขา ทำท่าจะกระโจนใส่มังกร

แม้ว่าจะผ่านการแก้ไปหลายครั้ง ก็ยังรู้สึกว่า ลักษณะท่าทางไม่สมบูรณ์เท่าไหร่
พอดีพระอาจารย์เดินผ่านมา เหล่าลูกศิษย์จึงขอให้พระอาจารย์ช่วยชี้แนะ

พระอาจารย์ดูแล้ว จึงพูดว่า “ลักษณะภายนอกของเสือและมังกรดูแล้วไม่เลว
แต่ลักษณะเฉพาะตัวของพวกมันพวกเจ้ารู้บ้างหรือเปล่า?”
ตอนนี้พวกเจ้าควรจะเข้าใจถึง มังกรก่อนที่จะจู่โจม หัวต้องหดถอยไปด้านหลัง
ส่วนเสือเมื่อจะกระโจนออกไป หัวจะต้องก้มลงต่ำ หัวของมังกรยิ่งหดถอยไปด้านหลังเท่าไหร่
หัวของเสือยิ่งต่ำติดดินเท่าไหร่ พวกมันจะบุกได้ยิ่งเร็วและสูง”

เหล่าลูกศิษย์รู้สึกดีใจที่ได้รับคำชี้แนะจากพระอาจารย์
“คำของอาจารย์สามารถชี้ให้ทะลุธรรมได้ พวกข้าพเจ้าไม่เพียงแต่วาดหัวมังกรยื่นมาข้างหน้ามากเกินไป
หัวของเสือก็สูงเกินไป มิน่าถึงรู้สึกว่าท่าทางยังไงก็ดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่”

พระอาจารย์ยังฉวยโอกาสแสดงธรรมต่อไปว่า
“การจะทำอะไร หรือจะบำเพ็ญภาวนาก็เหมือนกัน การถอยหลัง 1 ก้าวเพื่อเตรียมตัว
จะบุกไปได้ไกลกว่า การอ่อนน้อมถ่อมตนรู้สำนึกในตัวเองถึงจะไปได้สูง”
เหล่าลูกศิษย์ไม่เข้าใจ ถามว่า
“คนถอยหลังจะไปหน้าได้อย่างไร คนอ่อนน้อมถ่อมตนจะไปได้สูงยังไง”

พระอาจารย์เลยพูดเป็นโศลกว่า
นำต้นกล้าไปปลูกทั่วแปลงนา
ก้มหน้าลงไปย่อมเห็นฟ้าในน้ำ

กายใจที่ใสสะอาดถึงจะเป็นมรรคปฏิปทา
ที่แท้การถอยหลังคือการก้าวไปหน้า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




BABBU_wallpaper_004.jpg
BABBU_wallpaper_004.jpg [ 51.06 KiB | เปิดดู 10068 ครั้ง ]
เรื่อง 65

หาร่มด้วยตัวเอง



มีอุบาสกท่านหนึ่ง ยืนหลบฝนอยู่ในชายคาบ้าน เห็นพระอาจารย์ท่านหนึ่งเดินกางร่มผ่านมา
อุบาสก : พระอาจารย์ โปรดฉุดช่วยผู้คน พาข้าพเจ้าไปฝั่งนั้นด้วยเถอะ ( พ้นจากวัฏสงสาร )
พระอาจารย์ : อาตมาอยู่กลางฝน เจ้าอยู่ในชายคา ในชายคาไม่มีฝน เจ้าไม่จำเป็นต้องให้อาตมาฉุดช่วย

อุบาสกนั้นรีบออกมาจากชายคา มายืนอยู่กลางฝน

อุบาสก : ตอนนี้ข้าพเจ้าก็อยู่กลางฝนแล้ว ควรจะช่วยได้แล้วกระมัง?

พระอาจารย์ : อาตมาก็อยู่กลางฝน เจ้าก็อยู่กลางฝน
อาตมาไม่โดนฝน เพราะมีร่มกันฝน
แต่เจ้าโดนฝน เพราะไม่มีร่ม
ดังนั้นไม่ใช่อาตมาฉุดช่วยเจ้า
แต่เป็นร่มช่วยอาตมา ถ้าเจ้าต้องการมีคนมาฉุดช่วย
ไม่จำเป็นต้องหาอาตมา โปรดหาร่มด้วยตัวเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




08uz0.jpg
08uz0.jpg [ 31.05 KiB | เปิดดู 10068 ครั้ง ]
เรื่องที่ 66

ก้าวพ้น



ทุกๆคืนพระอาจารย์ท่านหนึ่งจะไปที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง เพื่อไปนั่งสมาธิวิปัสสนา
มีวัยรุ่นเกเรกลุ่มหนึ่งแอบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ตามทางที่พระอาจารย์จะต้องผ่าน
เมื่อพระอาจารย์เดินผ่านจึงยื่นมือลงมา แล้วจับหัวของพระอาจารย์ไว้

วัยรุ่นนั้นนึกว่าพระอาจารย์ท่านนั้นจะต้องตกใจกลัวจนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง
แต่พระอาจารย์กลับอยู่นิ่งๆไม่ขยับตัว ปล่อยให้วัยรุ่นนั้นจับตามสบาย
แต่วัยรุ่นนั้นกลับตกใจเสียเอง นึกว่าเป็นผี เพราะเห็นไม่เคลื่อนไหว
รีบหดมือกลับไป พระอาจารย์ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเดินจากไป

รุ่งเช้าวัยรุ่นกลุ่มนั้นได้ไปหาพระอาจารย์ท่านนั้นที่วัด แล้วพูดกับพระอาจารย์ว่า
“ได้ข่าวว่า เมื่อคืนนี้มีผีอาละวาดอยู่แถวๆละแวกนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องเช่นนี้
เกิดขึ้นจริงหรือเปล่าครับ?” “ไม่เห็นมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเลย”พระอาจารย์ตอบ
“ใช่หรือ? แต่พวกเราได้ข่าวว่า มีคนเดินผ่านแถวนี้แล้วโดนผีจับหัวไว้”

“นั่นไม่ใช่ผี แต่เป็นวัยรุ่นในหมู่บ้านนี่เอง”
“ทำไมท่านพูดอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะว่า ผีไม่มีมือที่หนาและอุ่นอย่างนั้น”พระอาจารย์พูดต่ออีกว่า

“เมื่อจวนจะออกสนามรบแล้วไม่กลัวตาย เป็นความกล้าหาญของท่านนายพล
เมื่อจะเข้าป่าแล้วไม่กลัวเสือ เป็นความกล้าของนายพราน
เมื่อจะลงน้ำไม่กลัวมังกร เป็นความกล้าของชาวประมง”

แล้วความกล้าของพระภิกษุคืออะไร? กลุ่มวัยรุ่นนั้นถาม

"คือ “รู้” คำเดียวเท่านั้น
แม้แต่ความเกิดตายยังก้าวพ้นไปได้ แล้วยังจะมีความกลัวอยู่อีกหรือ?”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 03:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




oldpeoplesmilesa6lj6.jpg
oldpeoplesmilesa6lj6.jpg [ 45.88 KiB | เปิดดู 10054 ครั้ง ]
เรื่องที่ 67

มีชายหนุ่มคนหนึ่งไปเยี่ยมคารวะพระอาจารย์ท่านหนึ่ง หลังจากไต่ถามทุกข์
สุขแล้ว ชายหนุ่มก็ถามขึ้นว่า “จิตเดิมแท้คืออะไร?”

ปัญหานี้แท้จริงแล้วตอบได้ยาก พระอาจารย์เลยนึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้ว่า
ช่วงเย็นๆของวันหนึ่ง ท่านได้เห็นสตรีที่กำลังมีครรภ์คนหนึ่ง กำลังแบกตระกร้า
ใบหนึ่งเดินผ่านไป สวมใส่เสื้อผ้าที่เก่าๆขาดๆ ที่ขาเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
ตระกร้านั้นคงจะหนักจนทำให้หลังของหญิงคนนั้นต้องงอลงไป มือซ้ายของหล่อน
จูงเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่ง มือขวาอุ้มทารกไว้ในห่อผ้า กำลังเร่งรีบเดินทางอยู่

พระอาจารย์นึกว่าชีวิตที่ลำบากลำเค็ญของหญิงคนนั้น คงจะทำให้หล่อนไม่สามารถ
แบกรับได้ไหว แต่ว่าที่ใบหน้าของหล่อนกลับผ่องใสดั่งแสงจันทร์ที่แฝงไว้ด้วย
รอยยิ้มอันอบอุ่น

หล่อนเป็นเพียงหญิงธรรมดาสามัญ ต้องลำบากดิ้นรนเพื่อชีวิตและความเป็นอยู่
แต่หล่อนรู้ถึงชีวิตของตัวเองต้องการแสวงหาอะไร? ดังนั้นหล่อนจึงไม่รู้สึกว่าตัว
เองลำบากอะไร และยังรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข

คิดมาถึงตรงนี้ ทำให้พระอาจารย์เข้าใจถึงคำว่า อะไรคือจิตเดิมแท้ ท่านจึงเรียก
ชื่อชายหนุ่ม “ครับ” ชายหนุ่มนั้นรับคำพร้อมยกสองมือขึ้นมาคำนับ“คนที่ตอบ
รับข้าเป็นเพียงเปลือกของร่างกาย แต่ไม่ใช่ชีวิตที่สว่างใส”พระอาจารย์ตอบ

ชายหนุ่มคนนั้นก้มหน้าแล้วคิดในใจว่า “มีแต่กายนี้ที่มีปากมีลิ้นถึงจะตอบรับ
คำพระอาจารย์ได้ ชีวิตที่สว่างใสไหนเลยจะมีปากและลิ้น”

“จะตอบหรือไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่สำคัญที่ตัวเองต้องรู้สึกตัว ต้องเข้าใจถึงจุดมุ่ง
หมาย อย่าทำให้ความหมายของชีวิตต้องผิดพลาด จนทำให้ลักษณะทิศทางของ
การดำเนินชีวิตต้องผิดพลาด จนทำให้ตัวเองต้องกลายเป็นทาสของชีวิต”
พระอาจารย์กล่าวต่อ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 03:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




friutyokert-small.jpg
friutyokert-small.jpg [ 10.15 KiB | เปิดดู 10054 ครั้ง ]
เรื่องที่ 68

รสชาติของมะระ


ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งกำลังจะไปแสวงบุญตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
พระอาจารย์นำมะระมาลูกหนึ่ง แล้วพูดกับลูกศิษย์ว่า
“พวกเจ้านำมะระนี้ติดตัวไป และจำไว้ ทุกครั้งเมื่อผ่านแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
ให้นำมะระนี้ลงไปแช่ด้วย และเมื่อทำการบูชาถวายเครื่องสักการะ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้นำมะระนี้รวมลงไปเซ่นไหว้ด้วย”

ทุกครั้งที่ผ่านแม่น้ำหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหล่าลูกศิษย์ก็ทำตามที่พระ
อาจารย์สั่ง เมื่อกลับมาถึงวัด พระอาจารย์จึงสั่งให้นำมะระนั้นไปปรุงเป็นอาหาร

เมื่อถึงเวลาฉัน พระอาจารย์ฉันมะระลงไปหนึ่งคำ แล้วพูดขึ้นว่า
“แปลกจริงๆ มะระลูกนี้ผ่านพิธีกรรมจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งหลายแห่ง
ทำไมถึงยังไม่ได้กลายเป็นรสหวาน”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 03:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




CAQ0MPJC.jpg
CAQ0MPJC.jpg [ 33.88 KiB | เปิดดู 10054 ครั้ง ]
ตอนที่ 69

“เซน”เหมือนอะไร



พระอาจารย์ท่านหนึ่งเล่านิทานให้เหล่าลูกศิษย์ฟังว่า

ชายผู้หนึ่งเป็นขโมยอาชีพ ลูกของเขาพูดกับเขาว่า “ พ่อ พ่อก็อายุมากแล้ว
ถึงเวลาที่ควรจะถ่ายทอดวิชาขโมยให้ลูกได้แล้ว เพราะถ้าขโมยไม่เป็น
ต่อไปลูกจะดำรงชีวิตอย่างไร”

พ่อไม่ปฏิเสธ และรับปากจะสอนให้ คืนนั้นพ่อเลยพาไปขโมยของที่บ้านเศรษฐี
ท่านหนึ่ง เมื่อเข้าไปในบ้านได้แล้ว จึงใช้กุญแจผีเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วเรียกลูกเข้า
ไปในตู้นั้น เมื่อลูกเข้าไปในตู้แล้ว ผู้เป็นพ่อก็ปิดล็อกตู้ แล้วตะโกนว่า
“มีขโมย มีขโมย” ตะโกนแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไป

เมื่อคนในบ้านได้ยินว่ามีขโมยจึงเที่ยวหาจนทั่วว่าขโมยอยู่ไหน และสำรวจดู
ทรัพย์สินก็ไม่เห็นมีอะไรสูญหาย จึงพากันจะเข้านอน ร้อนถึงขโมยที่อยู่ในตู้
ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงจะออกไปได้ แล้วเขาก็คิดอะไรออกมาได้ จึงทำเสียงร้อง
เหมือนหนูที่กำลังกัดเสื้อผ้า สักประเดี๋ยวคุณผู้หญิงของบ้านก็สั่งให้คนรับใช้
นำตะเกียงมา เมื่อคนรับใช้เปิดประตูตู้ออกมา ขโมยรีบออกจากตู้แล้วผลัก
คนรับใช้ล้มลง พร้อมเป่าตะเกียงจนดับ แล้ววิ่งหนีออกไป

เศรษฐีเจ้าของบ้านรีบสั่งให้บ่าวไพร่ ไล่ตามจับขโมย เมื่อตามมาถึงริมแม่น้ำ
ถึงเวลาวิกฤติ ขโมยนั้นนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในน้ำ
ส่วนตัวเองก็แอบหลบไว้ แล้วก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “น่าสงสาร ขโมยหมด
หนทางต้องกระโดดลงน้ำไปแล้ว”

เมื่อขโมยผู้เป็นลูกกลับมาถึงบ้าน เห็นพ่อกำลังดื่มเหล้าอยู่ จึงต่อว่าพ่อไม่น่าจะ
ขังลูกไว้ในตู้ ผู้เป็นพ่อจึงถามถึงเหตุการณ์ที่พาตัวรอดกลับมาได้ ผู้เป็นพ่อดีใจมาก
แล้วพูดว่า “ต่อไปเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวกินแล้ว”

เมื่อเล่านิทานจบ พระอาจารย์พูดกับเหล่าลูกศิษย์ว่า “เซน”ก็เหมือนขโมย
ผู้เป็นลูก สามารถที่จะหาทางออกได้ เมื่อหมดหนทาง นั่นแหละคือ”เซน”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1229665295.jpg
1229665295.jpg [ 61.72 KiB | เปิดดู 10048 ครั้ง ]
เรื่องที่ 70

หอมกลิ่นเบญจมาศทั้งหมู่บ้าน


พระอาจารย์ท่านหนึ่งปลูกต้นเบญจมาศไว้หนึ่งกอภายในวัด
เมื่อผ่านไปสามปีภายในบริเวณวัดก็มีต้นเบญจมาศบานสะพรั่งทั่วไปหมด
และกลิ่นหอมของดอกเหล่านี้หอมอบอวลไปจนถึงหมู่บ้านใกล้ๆ

ผู้คนที่มาวัดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นดอกไม้ที่สวยจริงๆ”

วันหนึ่งมีผู้มาขอพระอาจารย์เพื่อนำไปปลูกที่บ้าน พระอาจารย์อนุญาตพร้อมกับ
แยกหน่อที่สมบูรณ์ให้ด้วยตัวเอง เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ก็มีผู้มาขอไปไม่
ขาดสาย พระอาจารย์รู้สึกว่าผู้ที่มาขอ ล้วนแต่มาขอด้วยใจรักต้นไม้และชมชอบ
ดอกไม้ทั้งนั้น ไม่นานดอกในบริเวณวัดก็ถูกขอไปจนหมดสิ้น

เมื่อไม่มีดอกไม้บริเวณวัดก็เงียบเหงาดั่งขาดแสงอาทิตย์ เหล่าลูกศิษย์ต่างพูดว่า
“เสียดายจริงๆ ปกติบริเวณนี้จะมีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว”
พระอาจารย์บอกว่า “พวกเจ้าลองคิดดูซิ เมื่อสามปีผ่านไปทั้งหมู่บ้านใกล้ๆนี้จะ
มีกลิ่นหอมของดอกเบญจมาศอบอวลไปทั้งหมู่บ้านมิเป็นการดีหรอกหรือ?”

“หอมอบอวลไปทั้งหมู่บ้าน” เหล่าลูกศิษย์อุทาน พร้อมกับเกิดความรู้สึกอบอุ่น
ขึ้นมาในจิต และเห็นรอยยิ้มของพระอาจารย์ที่ดูสว่างไสวยิ่งกว่าดอกเบญจมาศ
ทั้งปวง

พระอาจารย์พูดต่อว่า “พวกเราควรแบ่งปันสิ่งดีๆให้ผู้อื่นได้มีได้ใช้เหมือนๆกับเรา
ให้ทุกคนได้มีความสุขเหมือนๆกับเรา แม้ว่าตัวเองจะไม่เหลืออะไรอีกเลย
แต่ในจิตของเราก็มีความสุขได้เหมือนกัน นี่คือความสุขที่เราควรจะมีอย่างแท้จริง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




021879646copyjp2.jpg
021879646copyjp2.jpg [ 89.75 KiB | เปิดดู 10047 ครั้ง ]
เรื่องที่ 71

งอกงามกับแห้งเหี่ยว


พระอาจารย์ท่านหนึ่งมีลูกศิษย์สองคน วันหนึ่งขณะที่ศิษย์และอาจารย์
เดินขึ้นเขาเพื่อไปนั่งสมาธิวิปัสสนา พระอาจารย์เหลือบไปเห็นต้นไม้
ต้นหนึ่งเจริญเติบโตงอกงามเป็นต้นใหญ่โตมีใบดกเป็นพุ่มหนา
ส่วนอีกต้นหนึ่ง กลับยืนแห้งตายซากอยู่ข้างๆ พระอาจารย์จึงถามว่า

“ต้นที่งอกงามดี ? หรือว่า ต้นที่แห้งตายซากดี?”
“ต้นที่ใบดกหนาเป็นพุ่มดีกว่า” ศิษย์คนหนึ่งตอบ
“ต้นที่แห้งตายซากดีกว่า” ศิษย์อีกคนตอบ

บังเอิญขณะนั้น เณรน้อยเดินขึ้นมาสมทบพอดี พระอาจารย์จึงถามว่า
“เจ้าว่าต้นที่ใบดกหนาดี หรือว่า ต้นที่ตายซากดี”
“ต้นที่มีใบดกหนาก็ปล่อยให้ดกหนาไป ต้นที่ตายซากก็ปล่อยให้มันตายซากไป”

พระอาจารย์กล่าวต่อว่า “ต้นที่มีใบดกหนาก็ย่อมจะมีที่มาและเหตุปัจจัยของมัน
ต้นที่ตายซากก็ย่อมจะมีเหตุปัจจัยเช่นกัน

ปกติสิ่งที่พวกเราเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้เช่น ถูกหรือผิด บุญกุศลอกุศล
และอะไรอีกต่างๆนานาก็เป็นการเรียนรู้จากสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการหยุดอยู่แค่ในขอบเขตของการแบ่งแยก
แต่เณรน้อยสามารถจะมองเห็นสิ่งที่แปลกแยกกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีการแบ่งแยก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1229665295.jpg
1229665295.jpg [ 80.3 KiB | เปิดดู 10042 ครั้ง ]
ตอนที่ 72


มะเขือเทศกับคางคก


มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นคนเคร่งครัดรักษาศีลมาก ไม่ยอมผิดศีลแม้แต่นิดเดียว
วันหนึ่งมีธุระลงไปจากเขา ขากลับก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด
ขณะที่เดินผ่านสระน้ำแห่งหนึ่ง รู้สึกที่เท้าได้เหยียบอะไรนิ่มๆ แล้วก็มีเสียงดัง
ขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วเงียบหายไป

เหมือนกับได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของอะไรสักอย่าง พระรูปนั้นคิดในใจว่า
“ตายแล้ว...หรือว่าไปเหยียบคางคกตายเสียแล้ว รู้สึกนิ่มๆ มีเสียงร้องด้วย ไม่แน่
คางคกนั้นอาจตั้งท้องด้วย นี่...เรามิฆ่าสัตว์ทีเดียวไปตั้งหลายตัวหรือ?”
พระรูปนั้นยิ่งคิดยิ่งกลัว นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ยากที่จะข่มตาหลับลงได้

ขณะที่กำลังเคลิ้มๆจะหลับ รู้สึกเหมือนกับจะเห็นคางคกนับร้อยมาทวงขอชีวิต
พระนั้นตกใจจนเหงื่อตกเต็มตัว ร้องเสียงดังจนตกใจตื่น จึงรู้ว่านั้นเป็นเพียงความฝัน

นอนคิดวิตกต่อไปทั้งคืน ครั้นพอถึงรุ่งเช้า พระรูปนั้นรีบไปที่สระน้ำเมื่อคืน
ไม่เห็นมีคางคกที่ไหนตาย มีเพียงมะเขือเทศที่โดนเหยียบจนแบน
พระรูปนั้นถอนใจอย่างโล่งงอก รู้สึกเบาใจขึ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled..bmp
untitled..bmp [ 12.68 KiB | เปิดดู 10038 ครั้ง ]
เรื่องที่ 73

ชื่อกับโชคชะตา


นายเหี้-ยม นางขวัญ ด.ช.บ้า ด.ญ.ใจดี



มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมีพระลูกศิษย์ในวัดถึง 500 รูป หนึ่งในจำนวนนั้น
มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งชื่อ ผู้ร้าย พระรูปนั้นคิดจะให้พระอาจารย์เปลี่ยนชื่อดีๆ
ให้เขาสักชื่อ แต่พระอาจารย์ให้เขาไปหาชื่อดีๆจากข้างนอก ดังนั้นเขาเลย
เดินไปตามถนนและตามตรอกซอกซอย

ครั้งหนึ่ง พระรูปนั้นเห็นบรรดาญาติพี่น้องที่เดินไปตามขบวนแห่ศพ เขาเลย
เดินไปถามว่า “ผู้ตายชื่ออะไร?”
ญาติผู้ตายตอบว่า “ชื่อ มีชีวิต”
เขาฟังแล้ว ส่ายหัวไปมาแล้วถามว่า “ชื่อ มีชีวิต แล้วทำไมถึงไม่มีชีวิตแล้ว?”
ญาติผู้ตาย หัวเราะแล้วพูดว่า “มีชื่อว่า มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์
อย่างหนึ่ง คนจะหลีกเลี่ยงความตายไม่ได้ ท่านทำไมถึงเลอะเลือนอย่างนี้”

พระรูปนั้นเดินไปคิดไป จนผ่านบริเวณบ้านของเศรษฐีท่านหนึ่ง เห็นหน้าบ้านนั้นมี
สาวใช้คุกเข่าอยู่ เศรษฐีท่านนั้นกำลังใช้แส้ตีสาวใช้นั้น จึงรุดเข้าไปถามว่า
“ท่านตีนางทำไม?” เศรษฐีนั้นตอบด้วยความฉุนเฉียวว่า “นางยืมเงินข้าไปแล้ว
ไม่ใช้คืน ข้าไม่สมควรเฆี่ยนนางหรือ?” พระรูปนั้นถามว่า “สาวใช้นางนี้ชื่ออะไร?”
“ชื่อหยกล้ำค่า” “ชื่อหยกล้ำค่า ชื่อนี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง ทำไมถึงไม่มีเงินใช้หนี้
แล้วยังจะต้องถูกเฆี่ยนอีก?” เศรษฐีท่านนั้นฟังแล้วรู้สึกขำพูดว่า “ชื่อว่าหยกล้ำค่า
แล้วเป็นยังไง? หล่อนก็ยังเป็นแค่สาวใช้ ชื่อคนเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ที่ใช้
ไม่เห็นเกี่ยวกับใช้หนี้หรือไม่ใช้หนี้” พระรูปนั้นฟังแล้วจึงคิดตัดสินใจจะกลับวัด

ขณะที่กำลังจะเดินกลับวัด พบคนเดินหลงทางคนหนึ่ง จึงถามว่า “ท่านชื่ออะไร?”
ชายนั้นตอบว่า “ชื่อ ชี้เหนือ “ พระรูปนั้นรู้สึกแปลกใจ ถามว่า “ชื่อเจ้าหมายถึง
ชี้ไปทางทิศเหนือ ทำไมถึงยังหลงทาง?” คนหลงทางนั้นหัวเราเสียงดังลั่นแล้วพูดว่า
“ชื่อคนเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น ชื่อว่า ชี้เหนือก็จะทำให้ไม่หลงทางกระนั้นหรือ?”

สุดท้ายพระรูปนั้นก็ได้ละทิ้งที่จะยึดถือหรือคิดไม่ดีกับเรื่องชื่อของตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงที่วัด พระอาจารย์ถามว่า “เจ้าหาชื่อที่ถูกใจได้แล้วหรือยัง?”
พระรูปนั้นตอบอย่างได้สำนึกแล้วว่า “ศิษย์จะไม่ตามหาชื่ออีกแล้ว
ศิษย์ยังคงจะใช้ชื่อเดิมดีกว่า ชื่อเป็นเพียงแค่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ 74


กาลครั้งหนึ่ง.......

มีวัดในพุทธศาสนาเซน ๒ วัด อยู่ไม่ห่างกันมากนัก เวลาเช้าเด็กวัดก็ต้องออกไปซื้อของในหมู่บ้าน
เด็กคนหนึ่งต้องไปเอาผักในหมู่บ้าน จะต้องเดินสวนกับเด็กวัดอีกวัดหนึ่ง ไม่เว้นแต่ละวัน
พอเดินสวนกัน เด็กวัดหนึ่งก็ถามเด็กอีกวัดหนึ่งว่า...

"ไปไหน ?"

"ไปยังที่ที่เท้าฉันพาไปนั่นแหละ" เด็กอีกวัดตอบ

เด็กคนแรกได้ยินคำตอบดังนั้น ก็รู้สึกทึ่ง ตอบอย่างนี้ต้องไม่ธรรมดา เป็นการแสดงภูมิทางเซน
ครั้นจะพูดอะไร ก็ยังคิดไม่ทัน เดินสวนกันไปเสียก่อน เมื่อกลับถึงวัด จึงเล่าให้อาจารย์ฟัง
ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้อาจารย์ช่วยไขความหมายนั้น

"พรุ่งนี้ถ้าเจอก็ให้ถามอีก ถ้าเขาตอบว่า จะไปยังที่ที่เท้าพาไป ให้เจ้าถามกลับไปว่า
ถ้าเธอไม่มีเท้าล่ะ จะไปที่ใด ? หากเจ้าถามอย่างนี้ เขาจะจน"

เช้ารุ่งขึ้นวันต่อมา เด็กคนแรกก็ใช้คำถามเดิมตามอย่างที่ซักซ้อมไว้
โดยหวังจะต้อนเจ้าคนนั้นให้จนแต้ม

"ไปไหน ?"

"ไปยังที่ที่ลมพัดไป" เจ้าเด็กคนนั้นตอบ

พอได้ยินคำตอบเปลี่ยนไปอย่างนั้น คำถามที่อาจารย์สอนให้ ก็ใช้ไม่ได้
จึงต้องเดินสวนกันไป เมื่อกลับถึงวัดก็เล่าให้อาจารย์ฟัง

อาจารย์ได้ฟังศิษย์เล่า ก็ยิ้ม แล้วบอกว่า

"พรุ่งนี้ ถามอีก ถ้าเขาบอกว่าจะไปยังที่ที่ลมพัดไป ก็ให้ถามดักว่า หากไม่มีลมล่ะ จะไปยังที่ใด ?"

รุ่งขึ้น พอเดินสวนกันอีกเด็กวัดคนแรกก็ถามขึ้นอย่างเคยว่า

"ไปไหน ?"

"ไปซื้อผัก" เด็กอีกคนตอบ



เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า จะไปเอาอะไรกับทุกๆวินาทีที่เปลี่ยนไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ 75

นักหมากรุกผู้แสวงหา




ชายหนุ่มคนหนึ่ง ได้รับความผิดหวังอย่างหนักในชีวิต จึงไปที่วัดซึ่งตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง
และกล่าวกับสมภารว่า

“กระผมรู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิต จึงปรารถนาจะแสวงหาการรู้แจ้ง เพื่อให้หลุดพ้นจากความทรมานนี้
แต่กระผมไม่มีความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งใดติดต่อกันเป็นเวลานาน

กระผมไม่อาจใช้เวลานั่งสมาธิได้นานเป็นปีๆ หรือศึกษาเล่าเรียน และอดออมจากสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ
กระผมคงกลับไปเลวอย่างเก่าอีก และถูกชักนำกลับไปยังโลกอีกแน่ๆ..........

ถึงแม้กระผมจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด คนอย่างกระผมนี้จะพอมีหนทางสั้นๆ
เพื่อเข้าถึงพระธรรมได้ไหมขอรับ”

สมภารตอบว่า

“มีสิ ถ้าโยมตั้งใจจริง บอกอาตมาหน่อยว่า โยมศึกษาอะไรมาบ้าง
โยมได้ตั้งสมาธิในสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตของโยม”

“กระผมไม่ได้ศึกษา หรือตั้งสมาธิเรื่องใดหรอกขอรับ ครอบครัวของกระผมร่ำรวย
กระผมจึงไม่ต้องทำงาน กระผมคิดว่า สิ่งที่กระผมสนใจมากที่สุดก็คือ หมากรุก
กระผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเล่นหมากรุก เท่านั้นขอรับ” ชายหนุ่มตอบ

สมภารนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกลูกศิษย์ว่า

“จงไปตามตัวพระมาหาอาตมาที่นี่ บอกให้นำเอากระดานหมากรุก และตัวหมากรุกมาด้วย”

พระเดินถือกระดานหมากรุกมาวางลง สมภารจัดวางตัวหมากรุก และบอกให้ลูกศิษย์หยิบดาบมาให้

สมภารชูดาบให้พระและชายหนุ่มดู พลางพูดว่า

“พระรูปนี้ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะเชื่อฟังอาตมา ในฐานะที่เป็นสมภารเจ้าวัด บัดนี้
อาตมาขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตามคำสัญญา ท่านจงเล่นหมากรุกกับชายหนุ่มคนนี้

ถ้าท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อาตมาจะตัดศีรษะของท่านด้วยดาบเล่มนี้ แต่อาตมาสัญญากับท่านว่า
ท่านจะได้ไปเกิดใหม่ในสรวงสวรรค์

แต่ถ้าท่านเป็นฝ่ายชนะ อาตมาจะตัดศีรษะของชายหนุ่มคนนี้ เพราะชายหนุ่มพยายามอยู่อย่างเดียว
คือการเล่นหมากรุกเท่านั้น ถ้าเขาเล่นแพ้ เขาก็ควรสูญเสียศีรษะของเขาด้วย”

พระกับชายหนุ่มมองหน้าสมภาร และเห็นว่า สมภารมีทีท่าจิงจังในคำพูด......
ถ้าใครเป็นฝ่ายแพ้ คนนั้นจะต้องถูกตัดศีรษะด้วยดาบ

พระกับชายหนุ่มเริ่มต้นเล่นหมากรุกแข่งขันกัน

เมื่อเริ่มเล่น ชายหนุ่มรู้สึกว่า เหงื่อของเขาไหลย้อย หยดลงไปจนถึงปลายเท้า
ขณะที่เขาเล่นเพื่อเอาชีวิตรอด

กระดานหมากรุกกลายเป็นโลกทั้งโลกสำหรับเขา ชายหนุ่มมุ่งสมาธิอยู่ที่กระดานหมากรุกเท่านั้น

ในช่วงแรก ชายหนุ่มทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ แต่เมื่อพระเดินแต้มเพลี่ยงพล้ำ
ชายหนุ่มจึงฉวยโอกาสรุกอย่างหนักหน่วง

ขณะที่คู่ต่อสู้เขาเสียที ชายหนุ่มก็ลอบมองดูหน้าพระ เขาเห็นใบหน้าซึ่งแสดงความฉลาดและจริงใจ
มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาของความสมถะและพากเพียร แล้วเขาก็นึกถึงชีวิตอันไร้ค่าของตนเอง

ชายหนุ่มรู้สึกเมตตาสงสารพระอย่างสุดซึ้ง เขาจึงจงใจแสร้งเดินหมากรุกให้ตัวเอง
เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ......ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเขาเสียเปรียบ และไม่อาจป้องกันตัวเองได้อีกต่อไป

ทันใดนั้น สมภารก็ชะโงกหน้ามาพลิกกระดานหมากรุกล้มคว่ำ คู่แข่งขันทั้งสองต่างนิ่งงงงัน

สมภารพูดว่า

“ตกลงว่า ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ไม่ต้องมีใครเสียศีรษะ ต้องการเพียงสองอย่างเท่านั้น
คือสมาธิที่มุ่งมั่น และความเมตตาสงสาร.......” สมภารหันไปทางชายหนุ่มและบอกเขาว่า

“วันนี้โยมก็ได้เรียนรู้ทั้งสองอย่างนี้แล้ว โยมตั้งสมาธิมุ่งมั่นในการเล่นหมากรุก แต่ในสมาธินั้นเอง
โยมเกิดเมตตาสงสาร และยอมอุทิศชีวิตของตัวเอง เอาละ.....โยมจงอยู่ที่วัดนี้สักสอง-สามเดือน
เพื่อติดตามการฝึกจิตวิญญาณต่อไป แล้วการรู้แจ้งก็จะเป็นผลแน่ๆ”

ชายหนุ่มปฏิบัติตามที่สมภารบอก และได้รับสิ่งที่เขาปรารถนา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 00:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ 76

เมื่อโชอันตื่น



เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีเรื่องเล่าที่กล่าวถึงโชอันชาวเมืองเกียวโต ผู้ซึ่งในบั้นปลายได้บวชเป็นพระ
ในนิกายโซโตะเซน เล่ากันว่าตั้งแต่โชอันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ คนทั้งเมืองเกียวโตก็รู้จักโชอันกันถ้วนทั่ว
ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพราะโชอันเป็นลูกโทนของเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนั้น หรือว่าพ่อของโชอัน
จะเป็นคนใจบุญสุนทานโอบอ้อมอารีที่สุดในเมืองนั้น และไม่ใช่เพียงว่าโชอันเป็นเด็กที่ฉลาด
กว่าเด็กทั้งหมดในวัยใกล้เคียงกัน ทั้งไม่ใช่ว่าเพราะโชอันเป็นเด็กที่เรียบร้อยและมีจริยาวัตรงดงามที่สุด
คนหนึ่งในเมืองเกียวโต

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้จักโชอันดีเป็นพิเศษอยู่ที่ความล้มเหลวในกิจการงานในทุก ๆ ด้านของโชอัน
จนสุดท้ายเขาจำต้องหนีหายไปจากเกียวโตตั้งแต่ก่อนวัยกลางคน ไม่มีใครนึกฝันว่าในที่สุด
โชอันผู้ล้มเหลวในชีวิตไม่เป็นท่า จะกลายเป็นพระผู้รอบรู้ปฏิบัติเซน ที่มีชื่อเสียงด้านปัญญาก
ระเดื่องดังไปทั่วญี่ปุ่น ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาเกียวโตอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่ได้หายหน้าหายตาไปหลายสิบปี

กลับมาในฐานะของปรมาจารย์ผู้บรรลุธรรม ทั้ง ๆ ที่ก่อนนี้โชอันคือผู้ล้มเหลวโดยแท้

ความล้มเหลวของโชอันนั้นเป็นเรื่องที่ชาวเมืองเกียวโตทุกคนรู้กันทั่ว และบางคนถึงกับนำเอา
เกร็ดชีวิตของโชอันไปอุปมาอุปไมยสอนลูกสอนหลาน ถึงความหายนะของโชอันที่เป็นผล
ของความไม่เอาไหนอย่างไม่น่าเชื่อ

โชอันที่เป็นคนฉลาดที่สุดกลับบริหารทรัพย์สินสมบัติไม่เป็น หลังจากที่ท่านเศรษฐีผู้เป็นพ่อตายไป
โชอันไม่ดื่มเหล้าเล่นการพนันหรือเสเพล กลับสามารถทำให้ทรัพย์สินเงินทองต้องมลายสูญหาย
ไปจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็วจากการบริหารงานธุรกิจของเขา

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โชอันหมดตัวลง บรรดาลูกจ้างและคนในบ้านแทบทุกคนของโชอัน
พากันได้ดี หลายคนกลายเป็นเศรษฐีย่อย ๆ อีกหลายคนมีศักดิ์ศรีมีฐานะดีกว่าเดิม
หรืออย่างน้อยก็พอมีพอกินไม่ต้องอาศัยหรือเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป
นั่นล้วนเป็นผลดีผลพลอยได้จากโชอันทั้งสิ้น

ความล้มเหลวในทางเกียรติยศชื่อเสียงยิ่งไม่น่าเชื่อ แม้ว่าชาวบ้านทุกคนจะรู้จักโชอัน
หลายคนได้อาศัยใบบุญของเศรษฐีที่เป็นพ่อ แต่ด้วยนิสัยยินยอมประนีประนอมของเขา
ทำให้ไม่มีใครอยากเสนอตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดให้กับโชอัน

ตำแหน่งสำคัญ ๆ กลับไปได้กับคนที่เรียนหนังสือตกแล้วตกอีก จนอาจารย์ท้อใจ
หรือไม่ก็ได้กับคนตลบตะแลงขี้คุยขี้เหล้า ร้ายกว่านั้น ตำแหน่งที่เกี่ยวกับความปลอดภัย
และความยุติธรรม กลับไปได้กับนักเลงหัวไม้ซามูไรเศษสวะอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้ง ๆ ที่มีหญิงสาวทรงรูปโฉมฐานะและตระกูลดีหลายคนในเมือง ที่เพียงแต่โชอันสนใจบ้าง
หรือใช้ความพยายามบ้างแม้เพียงสักเล็กน้อย ก็จะมีโอกาสได้มาครอบครองอย่างแน่นอน
แต่โชอันไม่รู้ว่าไปทำอย่างไรจึงพลาดไปทั้งหมด ปล่อยให้พวกนักเลงคนขี้คุยรวมทั้ง
ลูกน้องลูกจ้างของโชอันเองคว้าเอาไปครองกันจนหมดสิ้น

ดังนั้นหลังจากที่โชอันกลับมาและเปิดสำนักโซโตะเซน หลายคนจึงสนใจที่จะเรียนรู้
หรือว่าความสำเร็จของการแสวงหาความจริงจะได้มาก็ด้วยความล้มเหลวซ้ำซ้อนที่ปวดร้าว

เมื่อหลายคนถาม โชอันจึงเล่าให้ฟังว่า เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความสำเร็จและเขาไม่สนใจตรงนั้น
โชอันเพียงบอกว่า เขารู้เพียงว่าเขาได้ตื่นขึ้นจากความฝันที่ไม่ใช่ความฝันเท่านั้น

โชอันบรรยายเป็นโคลงที่มีห้าบท ตามแนวที่ดัดแปลงมาจากร่ายของเดอเมลโลดังนี้ :

"ข้าเดินท่องเที่ยวอดมื้อกินมื้อมาสิบเจ็ดปี ท่องเที่ยวหาความสำเร็จในโลกกว้าง พายุฝน
เมฆที่มืดครึ้ม ฟ้าแลบฟ้าคะนอง ภาพที่ซ้อนภาพ ที่แท้ - เบื้องหลังคือฟ้าสีครามตะวันสีทอง"

"ข้าจำได้ว่าข้าเดินเข้าไปในถ้ำที่ลึกและมืดสนิท ข้าทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่ง คนเดียวแท้ ๆ
ข้าครุ่นคนึงถึงเรื่องของชีวิต ข้าครุ่นคะนึงถึงชีวิตที่เส็งเคร็ง ล้มเหลว ไร้ค่า ไร้ความหมาย"

"ข้าเห็นดอกไม้บนต้นไม้หลายต้นริมทางเดิน แต่ก็เห็นเมล็ดพันธุ์อีกมากกว่ามาก ที่ไม่สามารถเติบโต
เป็นต้นได้ หน่ออีกมากที่โตไม่ทันกับถูกเหยียบ ถูกสัตว์แทะวัวแพะกัดกิน แดดร้อนเฉาตาย"

"ข้าเห็นไข่แมลงไข่นกไข่ต่าง ๆ มากมาย โตเป็นตัวแล้วก็ถูกกัดกินตายไป บ้างไม่ทันโตก็ฝ่อ
ตกแตกตายไป ไข่เต่าทะเลเป็นพันเหลือเพียงหนึ่ง เพียงเพื่อหนึ่ง - พันหมื่นต้องเสียสละ"

"ข้าเห็นคนมากหลายแย่งชิงกันเพื่อเพียงหนึ่ง แย่งชิงกันเป็นนักแสดงนางงามเป็นดารา แย่งชิง
เป็นใหญ่...ขอข้าก่อนเป็นหัวหน้า แย่งชิงเป็นผู้แทนรัฐมนตรีมหาเสนา แย่งกันเป็นนักปราชญ์เป็นศาสดา"

"ข้าผ่านวันชั่วโมงที่ไร้ความหมายหลากหลาย คำพูดที่ไร้ค่าหลากหลาย ความคิดพลังงานไร้ผล
ที่หลากหลาย แผนงานโครงการที่ไร้ความหมาย เจ็บไข้เจ็บใจคือ...ความโง่ที่หามาเอง"

"ข้านึกถึงโอกาสทองแสงแห่งความสำเร็จ เกียรติยศศักดิ์ศรีที่ข้าทิ้งมันไป ความงามความยิ่งใหญ่
ที่ไม่สนใจ ละทิ้งไปทั้งที่ควรหาควรได้ นึกถึงสัญญาที่ข้าไม่เคยรักษามัน"

"ทั้งหมดและเดี๋ยวนี้...ข้าเข้าใจและวางเฉย ไม่เสียดายเสียใจหรือรู้สึกผิด ธรรมชาติหลากหลาย
ไม่เท่ากัน ลำไผ่มียาวมีสั้น...ทุกตอนทุกขั้นคือความหมาย หนึ่งหรือหมื่นหรือพัน...
ต่างกันที่ความหมาย..." (From The Kingdom by Anthony de Mello, 1984)





ไม่ชอบ ไม่ชัง ทุกอย่างล้วนมีเหตุ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร