วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงเรียก ร่างกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง


จากมหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑

.....แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง .....

(.....ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย.....ฯลฯ.....)

ตอบ

ในทัศนะของผม ทั้งหมดเป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ตัวต้นคือ สังขาร เป็นปัจจัย ให้เกิด วิญญาณ, แล้ววิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป และก็ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงภพ ชาติ และก็ชรามรณะ แล้วก็วนกลับมาใหม่(เวียนว่ายตายเกิด) ถ้ายังมีอวิชชาอยู่

1. จะเห็นว่า คำว่าสังขาร ที่สร้างวิญญาณนั้น คือ จิตสังขาร หรือจิตที่คิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงเรียก จิตสังขาร ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งต่อเนื่องมาจากสังขาร(จิต) นอกจากนี้ พระพุทธองค์จะเรียก สิ่งที่ต่อเนื่องลงมาอีก คือ นามรูป หรือ ขันธ์ 5 หรือร่ายกายว่า อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ก็ไม่ผิด เพราะเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน พวกมันว่าจากสังขาร(จิต)ทั้งนั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากจิต(สังขาร)ที่คิดปรุงแต่งเลย

ตัวอย่าง ทุกสรรพสิ่งประกอบด้วยสสาร มีโมเลกุลเป็นสิ่งเล็กสุดที่รับรู้ได้ในยุคหนึ่ง ต่อมาเมื่อพบว่า อะตอมเป็นสิ่งที่เล็กสุดในสสารหรือโมเลกุล เราจะเรียกสิ่งนั้นเป็นอะไรก็ได้ เป็น สสาร เป็นโมเลกุล เป็นอะตอม หรือจะแยกแยะออกไปอีกก็ได้ ตามแต่ว่าเราจะสื่ออะไรให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดในสาขาวิชานั้น

สมมุติ เราเรียกโมเลกุลว่าเป็น จิตสังขาร, โมเลกุลในไม้ เราเอามาใช้ทำบ้าน เราจะเรียกบ้านของเราว่า "บ้านไม้" ถ้าเราเอาไม้ไปทำอุปกรณ์ทุกชิ้นในบ้าน เช่น โต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ ตะเกียบไม้ เราจะเรียกอุปกรณ์เหล่านั้นว่า โต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ ตะเกียบไม้

หรือเราจะเรียกโมเลกุลของไม้ที่เป็นพื้นฐาน ก็ย่อมได้ จะเรียกเป็นอะตอมก็ได้ แต่คงจะสื่อกันยืดยาวหน่อย เราเลยเรียกเป็นชื่อ สิ่งสมมุตินั้นแทน ในกรณีนี้คือ โต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้ ตะเกียบไม้

2. พระพุทธเจ้าบางครั้งก็เรียกสังขาร(จิต) ว่า "โลก" บางครั้งก็เรียกว่า "อุปทาน" บางครั้งก็เรียก "อัตตานุทิฎฐิ" บางครั้งก็เรียก "สังสารวัฏฏ์" บางครั้งก็เรียก "อนัตตา" ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ว่าท่านจะแสดงธรรมระดับไหน

ที่องค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เทศน์ว่า

แม้ จิตสังขาร คือสัญญาเวทนาก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีสัญญามีเวทนา จิตจึงจะคิดนึกตรึกตรอง วิญญาณจึงเกิดขึ้นในเรื่องที่จิตคิดนึกตรึกตรองนั้น ...

องค์สมเด็จพระญาณสังวร จะเรียก จิตว่ากายก็ได้ เพราะตัวกาย(นามรูป)นั้นย่อมต้องมีจิตสังขาร( กายทิพย์, โอปาติกะ, เจตภูต, อทิสมานกาย)อยู่ในกาย หรืออยู่ในขันธ์ 5(นามรูป - รูปขันธ์,เวทนาขันธ์,สังขารขันธ์, สัญญาขันธ์, วิญญาณขันธ์) ชีวิตจึงจะมีขึ้นได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




d_5_3.jpeg
d_5_3.jpeg [ 33.2 KiB | เปิดดู 7190 ครั้ง ]
อสูรกายครวญ- :b13:

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=296

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32: อย่าครวญ...นานนักนะ...

เสียงมันน่ากลัว...ชะมัดเลยยยย.... :b12: :b12: :b12:

:b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 12:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1.BMP
1.BMP [ 152.84 KiB | เปิดดู 7172 ครั้ง ]
:b17: :b17: :b17: อยากอ่าน comment ที่กดให้นี้จังเลยค่ะ……. :b17: :b17: :b17:

:b16: :b16: :b16: บอกหน่อยได้มั๊ย ๆ ๆ
:b16: :b16: :b16:

บอกหน่อยได้ไหม…นันทิดา

http://www.idekba.com/%E0%B8%9A%E0%B8%A ... B8%A1.html

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
อยากอ่าน comment ที่กดให้นี้จังเลยค่ะ…


หากให้กดอนุโมทนาให้ในแง่ความอึดความอดทน อสูรกาย เอ้ย..กรัชกาย พอกดให้ได้ขอรับ ไม่มีปัญหา

ประเด็นนี้

แต่กดอนุโมทนา (สาธุ)ที่หมายถึงเห็นด้วยกับข้อความนั้นๆ ยังกดไม่สนิทใจขอรับ :b3:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณsirisukครับ


ผมหาได้สนใจคำอนุโมทนา หรือcomment ไม่ว่าจะชมหรือด่า ผมไม่สนทั้งนั้น ผมมาเพื่อเผยแพร่พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
...แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ...
(...ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย...ฯลฯ...)



<= กลับตาลปัตต์กันหมดเหมือนคนเดินถอยหลัง=>

“ภิกษุทั้งหลาย การที่บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าไปยึดถือร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน เพราะว่าร่างกายนี้ ยังปรากฏให้เห็นว่า
ดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง 2 ปีบ้าง 3-4-5 ปีบ้าง 10-20-30-40-50 ปีบ้าง 100 ปีบ้าง
เกินกว่านั้นบ้าง
แต่สิ่งที่เรียกว่าจิต มโน หรือ วิญญาณ นี้เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งคืนทั้งวัน”
(สํ.นิ.16/231/114)

เลยทำให้หลงไปกันใหญ่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 14:05, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
คุณsirisukครับ


ผมหาได้สนใจคำอนุโมทนา หรือcomment ไม่ว่าจะชมหรือด่า ผมไม่สนทั้งนั้น ผมมาเพื่อเผยแพร่พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเดียว



ก็เพราะเข้าใจแบบนั้นไงค่ะ...จึงสงสัย...และอยากอ่าน :b16: :b16:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
...แต่ตถาคตเรียก ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ...
(...ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย...ฯลฯ...)



<= กลับตาลปัตต์กันหมดเหมือนคนเดินถอยหลัง=>

“ภิกษุทั้งหลาย การที่บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าไปยึดถือร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน เพราะว่าร่างกายนี้ ยังปรากฏให้เห็นว่า
ดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง 2 ปีบ้าง 3-4-5 ปีบ้าง 10-20-30-40-50 ปีบ้าง 100 ปีบ้าง
เกินกว่านั้นบ้าง
แต่สิ่งที่เรียกว่าจิต มโน หรือ วิญญาณ นี้เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งคืนทั้งวัน”
(สํ.นิ.16/231/114)

เลยทำให้หลงไปกันใหญ่


ก็จะไม่หลงได้อย่างไรค่ะ...

คุณกรัชกายพูดถึงเรื่อง...ตัวตน...ว่าถือเอาร่างกายเป็นตัวตน ยังดีกว่าถือจิตว่าเป็นตัวตน เพราะ...

ส่วนคุณคนดีที่โลกลืมพูดถึงเรื่อง...ร่างกาย = จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

ก็เลยกลับตาลปัตต์กันไงค่ะ... :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 14:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
...แต่ตถาคตเรียก ร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง



สหายธรรมกล่าวตู่ธรรมโดยอ้างตถาคต (ไม่ทราบว่าตำราเล่มนั้นใครเขียน) ที่ว่า => (ตถาคตเรียก ร่างกาย...นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง)

อยากจะแนะนำให้เอาหนังสือเล่มนั้นไปเผาไฟเสียก่อนแล้วเอาขี้เถาไปลอยปากอ่าวเจ้าพระยา ให้กระแสน้ำพัด

ออกไปน่านน้ำสากล :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Global%205000large-thumb-800x533.jpg
Global%205000large-thumb-800x533.jpg [ 45.97 KiB | เปิดดู 7092 ครั้ง ]
หากมีทุนรอนหนาหน่อยก็เอาขี้เถาขึ้นเครื่องไปโปรยห่างๆเลย :b1: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ กรัชกาย และคุณ sirisuk ครับ


ผมพูดถึงความจริง และกำลังอธิบายความจริง แต่คุณกรัชกาย ไปพูดถึงการยึดมั่นถือมั่น มันคนละเรื่องเลยครับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูก็สักแต่ว่าดู เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน "

นี่เป็นเรื่องของการไม่ยึดมั่นถือมั่น

แต่คุณกรัชกายไปพูดถึงการยึดถือว่าเป็นตัวตน โดยมิได้อ่านประโยคแรกของพระพุทธองค์ให้ดี พระพุทธเจ้าตรัสว่า

" ภิกษุทั้งหลาย การที่ปถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าไปยึดถือร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน...."

คุณกรัชกายเป็นปถุชนผู้มิได้เรียนรู้(ไม่ได้ปฏิบัติ)หรือเปล่าล่ะครับ?


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 17:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่หลุดได้แก่ท่อนที่ว่า เรียกกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

(ตถาคตเรียก ร่างกาย...นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง)

ถามสหายธรรม หนังสือเล่มนั้นใครเป็นคนเขียนครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อตั้งโจทก์ผิดเสียแล้ว ผลลัพธ์จะออกมายังไงได้เท่าไหร่ ผิดหมดครับ

มองธรรมะหรือจะศึกษาธรรมมองง่ายๆคือมองที่คน หรือ มนุษย์

คนหรือมนุษย์แบ่งย่อๆ ได้สองส่วน คือ กายหรือร่างกาย ที่เรียกกันว่า รูปธรรมส่วนหนึ่ง

อีกส่วนหนึ่งคือจิตหรือใจ ที่เรียกกันว่า นามธรรม เริ่มต้นตรงนี้ก่อน

แต่หนังสือเล่มนั้นกลับกล่าวตู่ธรรม กล่าวตู่พระพุทธเจ้า กล่าวตู่ตถาคตว่า ว่าเรียกร่างกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง

วิญญาณบ้าง นี่คือการตั้งโจทก์ผิดของผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น :b1:

กรัชกายจึงบอกว่า เอาไปเผาไฟเสีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตฺตํ นาม มโน ฯ เตน จุราทิคเณ

จิตตํ มโน มานสํ วิญญาณํ หทยํ มนํ

นามาเนตานิ โวหาร- ปเถ วตฺตนฺติ ปายโตติ วุตฺตํ ฯ

จินฺเตตีติ จิตฺตํ อารมฺมณํ วิชานาตีติ อตฺโถติ อภิธมฺมตฺถสงฺคหฎีกา ฯ

(คำแปล) มโน ชื่อว่า จิต. ด้วยเหตุนั้น ในหมวดธาตุมีจุรธาตุเป็นต้น ท่านจึงกล่าวว่า

“ชื่อเหล่านี้คือ จิตตะ มโน มานสะ วิญญาณะ หทยะ มนะ ย่อมเป็นไปในคลองแห่งโวหาร

(คือใช้พูดกัน) โดยมาก.

ฎีกาภิธัมมัตถสังคหะว่า “ธรรมชาตที่ชื่อว่า จิต เพราะอรรถว่า ย่อมคิด. อธิบายว่า ย่อมรู้แจ้งซึ่ง

อารมณ์.

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ศัพท์เหล่านี้

จิตตะ มโน มานัส วิญญาณ หทัย มนะ

เหมือนกันโดยอรรถ ต่างกันแต่พยัญชนะ พบเห็นที่ไหน มีความหมายเดียวกัน เป็นไวพจน์กัน

คือใช้แทนกันได้ เป็นนามธรรม

ไม่ใช่รูปธรรม หรือ ส่วนร่างกายอย่างที่เข้าใจนั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 มี.ค. 2010, 10:57, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร