วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 13:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)

วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

“พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร” หรือ “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร” เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เวลา ๒๑.๐๐ น. เดือนยี่ แรม ๒ ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๙ บ้านเกิดคือ บ้านหนองสองห้อง ต.ยางโยภาพ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านนี้มีบ้านเรือนประมาณ ๘๐ หลังคาเรือน แบ่งออกเป็น ๓ คุ้ม คือ หมู่บ้านน้อย ๑ หมู่บ้านใน ๑ และหมู่บ้านนอก ๑ ที่หมู่บ้านนอกนี้มีวัดตั้งอยู่ พระอาจารย์ลีได้เกิดในหมู่บ้านที่มีวัดตั้งอยู่ บ้านทั้ง ๓ คุ้มนี้มีหนองน้ำอยู่ตรงกลาง ๓ หนอง บริเวณรอบๆ หมู่บ้านมีต้นยางใหญ่ขึ้นอยู่ล้อมรอบนับเป็นสิบๆ ต้น ทางด้านทิศเหนือของหมู่บ้านมีเนินบ้านเก่าๆ มีพระอุโบสถร้างๆ ๒ แห่ง ปรากฏว่าผีดุมาก บางคราวถึงกับมาพาเอาคนไปอยู่ที่ศาลเจ้า สังเกตดูรู้สึกว่าจะเป็นฝีมือของขอมเป็นผู้สร้างขึ้น

นามเดิมของพระอาจารย์ลี คือ นายชาลี นารีวงศ์ เป็นบุตรของนายปาว และนางพ่วย นารีวงศ์ ปู่ชื่อนายจันทารี ย่าชื่อนางสีดา ตาชื่อนายนันทะเสน ยายชื่อนางดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๙ คน เป็นชาย ๕ คน หญิง ๔ คน เมื่อเกิดมาได้ ๙ วัน เกิดมีอาการรบกวนพ่อแม่เป็นการใหญ่ เช่น มักร้องไห้เอาแต่ใจเสมอๆ ถึงกับโยมบิดามารดาทั้งสองได้แตกจากกันไปหลายวัน เมื่อโยมผู้หญิงออกไฟได้ ๓ วัน ตัวเองเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคบนศีรษะ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเป็นเวลาหลายวัน เลี้ยงยากที่สุด ไม่มีใครสามารถจะเลี้ยงให้ถูกใจได้

ต่อมาอายุได้ ๑๑ ปี โยมมารดาถึงแก่กรรม ยังมีน้องเล็กๆ คนหนึ่งเป็นผู้หญิง ได้เลี้ยงดูกันมา ส่วนคนอื่นๆ เขาโตแล้วต่างคนก็พากันไปทำมาหากิน ยังเหลืออีก ๒-๓ คน พ่อลูกพากันทำนาเป็นอาชีพ

ช่วงอายุได้ ๑๑ ปีนี้จิตคิดขึ้นเองว่า “ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ ในเรื่องที่จะตอบแทนบุญคุณข้าวป้อนของพ่อแม่” แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำไม่ได้ จึงพูดกับแม่ว่า “แม่...มีอยู่เรื่องเดียวที่ลูกจนใจที่สุด ก็แต่เลือดในอกที่ดื่มเข้าไปเท่านั้นที่หามาตอบแทนพ่อแม่ไม่ได้”


พออายุได้ราว ๑๒ ปี ได้เรียนหนังสือไทยพออ่านออกเขียนได้ เรียนก็ไม่เก่ง สอบชั้นประถมก็ตกเสียอีกคิดว่า “ช่างหัวมันปะไร” ถึงจะสอบตกแต่จะไปเรียนจนครูให้ออก พอดีอายุ ๑๗ ปีจึงได้ออกจากโรงเรียน

ต่อจากนั้นมาก็คิดหาแต่เงินเท่านั้น ในระหว่างนี้เกิดมีการขัดอกขัดใจกับโยมผู้ชายบ่อยๆ คือโยมต้องการให้เราทำการค้าขายของที่เราไม่ชอบ เช่น ไปหาซื้อหมูมาขาย ซื้อวัวมาขาย เป็นต้น ถึงเวลาอยากจะไปทำบุญก็คอยขัด การงานก็คอยขัดคอเสมอ บางทีต้องการไปทำบุญกับเขาก็หายอมให้ไปไม่ กลับบอกให้ไปทำไร่ทำนาเสีย บางวันน้อยใจนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวกลางทุ่งนา นึกแต่ในใจว่าเราจักไม่อยู่ในหมู่บ้านนี้ แต่ก็ต้องอดทนอยู่ไปก่อน ต่อมาโยมบิดาได้ภรรยาใหม่คนหนึ่งชื่อ แม่ทิพย์ ตอนนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี ได้ออกเดินทางจากบ้านลงมาหาพี่ชาย ซึ่งมาทำงานรับจ้างอยู่ที่ตลาดหนองแซง อ.หนองแซง จ.สระบุรี ทราบว่าเขาทำงานได้เงินเดือน เพราะทางการชลประทานกำลังมีการก่อสร้างประตูน้ำ พอเดือน ๑๑ ก็ได้มาพักอยู่กับพี่ชายๆ ก็ไม่พอใจ เหตุที่จะไม่พอใจนั้นก็เพราะได้บอกกับเขาว่า พี่ควรขึ้นไปบ้านบ้างซี เขาก็ปฏิเสธ ไม่อยากจะไป เราจึงหนีออกเดินทางลงมาเที่ยวแสวงหาเงิน เพราะเห็นว่าเงินเป็นของคู่กับชีวิต ในระหว่างนี้กำลังตกอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ แต่มีความรู้สึกว่าตนของตนเองยังเป็นเด็กอยู่เสมอ เช่น มีเพื่อนฝูงแนะนำชักจูงไปเที่ยวผู้หญิง ก็ไม่สนใจ เพราะเรื่องผัวๆ เมียๆ คิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก

ชีวิตที่ผ่านมาแล้วนั้น ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีมีความรู้สึกนึกแต่ในใจ มีคติธรรมฝังแน่นในหัวใจ ๓ อย่าง คือ

(๑) ในจำนวนคน ๘๐ หลังคาเรือนในหมู่บ้านเดียวกันนี้ จะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบหัวแม่ตีนเป็นอันขาด

(๒) ในบรรดาคนที่เกิดปีเดียวกัน จะไม่ยอมแพ้ใครในเชิงหาเงิน

(๓) ถ้าอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี จะไม่ยอมมีเมีย ถ้าเงินไม่ติดอยู่ในกำมือถึง ๕๐๐ บาทให้พอเสียก่อน เราจะไม่ยอมแต่งงานกับใครๆ ถ้าจะมีเมียเราต้องเป็นผู้เลือกเอง ใครจะมาข่มเหงคลุมถุงชนไม่ได้ และผู้ที่จะเป็นเมียจะต้องมีพร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ และสกุลสมบัติ ตั้งใจว่าเราคนเดียวมีความสามารถและมีเงินที่จะเลี้ยงดูเขาได้อย่างน้อย ๓ คนขึ้นไป เราจึงจะยอมเกี่ยวข้องกับผู้หญิง จะไม่ยอมแบมือขอใครกิน


ทั้งยังมีข้อร้งเกียจอยู่อีกข้อหนึ่งคือ เวลาเป็นเด็กเริ่มรู้เดียงสา ถ้าได้เห็นหญิงตั้งครรภ์จวนจะคลอดทำให้เกิดความรู้สึกทั้งเกลียดทั้งกลัว เพราะคนทางโน้นเวลาจะคลอดบุตร มักเอาเชือกผูกบนขื่อ มือจับปลายเชือกห้อยแขวนทำการคลอด บางคนถึงกับร้องเอะอะโวยวาย หน้าบิดคอเบี้ยว บางครั้งเผอิญไปเห็นเข้าต้องเอาปิดหูปิดตา นอนไม่หลับเพราะความทั้งเกลียดทั้งกลัว เรื่องเหล่านี้มีความรู้สึกติดตาติดใจมาตั้งแต่เด็ก

ต่อมาอายุผ่านเข้า ๑๙-๒๐ ปี ในระหว่างนี้พอจะมีความคิดนึกในทางบุญและทางบาป แต่ก็ไม่มีนิสัยในการทำบาป ตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุ ๒๐ ปี ได้เคยฆ่าสัตว์ใหญ่ตายครั้งเดียวคือสุนัข เหตุที่ฆ่าสุนัขนั้นจำได้ว่า วันหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวอยู่แล้วเอาไข่ไปหมกไว้ในกองไฟ สุนัขก็มาคาบเอาไข่ไปกินเสีย ลุกขึ้นได้คว้าไม้ตีสุนัขตายคาที่ พอสุนัขตายก็นึกเสียใจว่าเราจะแก้บาปครั้งนี้โดยวิธีไหน จึงได้ค้นหาหนังสือเก่าๆ ท่องจำคาถากรวดน้ำได้ ก็มาไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้สุนัขตัวนั้น ใจก็ดีขึ้น แต่นิสัยใจคอระหว่างนั้นก็นึกอยู่ในใจว่าเราอยากจะบวช

พอดีอายุครบ ๒๐ ปี ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๖๘ โยมมารดาเลี้ยงถึงแก่ความตาย วันนั้นได้ไปอยู่กับญาติที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม พอปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็ได้กลับขึ้นไปบ้าน โยมบิดาก็แนะนำให้บวช ขณะนั้นมีเงินติดตัวอยู่ประมาณ ๑๖๐ บาท เมื่อไปถึงบ้านใหม่ๆ โยมพี่ชาย พี่เขย พี่สาว ฯลฯ ก็พากันมากลุ้มรุมเยี่ยมเยียนถามข่าวคราวต่างๆ แล้วขอกู้เงินยืมเงินไปซื้อควายบ้าง ซื้อนาบ้าง ค้าขายบ้าง ก็ยินยอมให้เงินเขาไปตามที่เขาต้องการ เพราะตัวเองคิดจะบวช ตกลงเงิน ๑๖๐ บาท ที่มีอยู่คงเหลือเพียง ๔๐ บาท

รูปภาพ
หลวงปู่อ้ม เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองสองห้อง


ถึงเวลาเทศกาลบวชนาค โยมบิดาก็จัดแจงให้บวชจนสำเร็จ ได้ทำการบวชเป็นพระฝ่ายมหานิกายเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ณ พัทธสีมาวัดบ้านหนองสองห้อง ต.ยางโยภาพ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยมี หลวงปู่อ้ม เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองสองห้อง (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีเพื่อนๆ บวชด้วยกันในวันนั้นรวม ๙ องค์ ทุกวันนี้พวกที่บวชวันเดียวกันมรณภาพไปบ้าง ลาสิกขาบ้าง ยังคงเหลือที่เป็นพระภิกษุอยู่เพียง ๒ องค์ คือ เพื่อนหนึ่ง กับตัวเอง เมื่อบวชแล้วก็ได้เรียนสวดมนต์และพระธรรมวินัย แล้วตรวจดูภาวะของตนและพระภิกษุอื่นๆ ในสมัยนั้น เห็นว่าไม่ไหวแน่ เพราะแทนที่จะปฏิบัติสมณกิจ กลับมั่วสุมแต่การสนุกมากกว่า เป็นต้นว่า นั่งเล่นหมากรุกกันบ้าง เล่นมวยปล้ำกันบ้าง เล่นดึงหัวไม้ขีดไฟกับผู้หญิง (เวลามีงานเฮือนดี) บ้าง เล่นนกกันบ้าง เล่นชนไก่กันบ้าง บางทีถึงกับมีการฉันข้าวเย็น พูดถึงเรื่องฉันข้าวเย็นแม้แต่ตัวเองซึ่งรวมอยู่ในสังคมเช่นนั้น ในสมัยนั้นนึกได้ว่าเคยประพฤติรวม ๓ ครั้ง คือ

ครั้งที่ ๑ วันหนึ่งรู้สึกหิวได้คว้าเอาข้าวที่บูชาไว้บนหิ้งพระมาฉันเวลากลางคืน

ครั้งที่ ๒ ได้รับนิมนต์ไปเทศน์มหาชาติในงานบุญมหาชาติที่วัดบ้านโนนแดง ต.ไผ่ใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี พอดีกัณฑ์เทศน์ของตัวเองไปตรงกับเวลาเพล พอเทศน์จบก็หมดเวลาฉัน ขณะเดินทางกลับวัด มีลูกศิษย์สะพายย่ามใส่ข้าวสุก ข้าวต้มมัด และปลาย่าง เมื่อเดินเท้ามาระหว่างทางเวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. เศษ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหิว จึงเรียกให้ลูกศิษย์เอาของในย่ามมาดู อดใจไม่ไหวเลยนั่งลงฉันปลาย่างกับข้าวเหนียวที่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง เมื่อฉันเสร็จแล้วจึงได้เดินทางกลับวัด

ครั้งที่ ๓ เข้าป่าไปทำงานลากไม้มาสร้างศาลาการเปรียญ ตกเวลากลางคืนเกิดความหิว จึงได้ฉันข้าวเย็นอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องเหล่านี้มิได้ทำแต่ลำพังคนเดียว เพื่อนฝูงก็ทำกันมาก แต่พากันปิดบัง ในระหว่างที่บวชอยู่ในระยะเวลานั้น ที่รู้สึกเบื่อที่สุดคือการรับนิมนต์ไปสวดมนต์คนตาย เพราะรู้สึกรังเกียจมาก ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ ๒๐ ปี ถ้าบ้านไหนเกิดมีคนตายจะไม่ยอมไปกินข้าวกินน้ำในบ้านนั้น แม้กระทั่งคนอยู่ที่บ้านเดียวกันออกไปช่วยงานศพ เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ก็คอยสังเกตดูว่า เขาจะกินน้ำกระบวยไหน กินข้าวกล่องไหน แล้วจดจำไว้แต่ไม่พูด แล้วตัวเองจะไม่ยอมกินข้าวกินน้ำร่วมภาชนะกับคนนั้น


• เมื่อบวชแล้วนิสัยนี้ก็ยังติดอยู่

ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงอายุ ๑๙ ปี ป่าช้าไม่เคยเหยียบ แม้ญาติหรือโยมมารดาจะตายก็ไม่ยอมไปเผา วันหนึ่งได้ยินเสียงร้องไห้โวยวายในหมู่บ้าน ก็ทราบว่ามีคนตาย พอดีเห็นคนเดินถือขันพร้อมดอกไม้ธูปเทียนมานิมนต์พระไปสวด พอคนมานิมนต์เดินเข้าห้องสมภาร ตัวเองก็รีบหนี พระบวชใหม่ๆ ที่เป็นลูกน้องก็พลอยหนีตาม หนีไปแล้วก็แยกย้ายกันไปละแห่ง ปีนขึ้นต้นมะม่วงคนละต้นแล้วต่างคนต่างนิ่งเงียบ สักครู่หนึ่งพระอุปัชฌาย์ท่านตามหาไม่พบ ได้ยินแต่เสียงท่านเอ็ดอยู่บนกุฏิ นึกกลัวอยู่อย่างหนึ่งคือลูกกระสุน เพราะพระอุปัชฌาย์ท่านชอบยิงกระสุนไล่ค้างคาวตามต้นไม้ ในที่สุดท่านก็ใช้ให้สามเณรค้นหาจนพบ ต่างคนต่างต้องลงจากต้นมะม่วง

เป็นอยู่อย่างนี้จนตลอดเวลา ๒ พรรษา จึงมาตรวจค้นดูพระธรรมวินัย ก็รู้สึกยุ่งยากลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง นึกแต่ในใจว่าเราต้องสึก ถ้าไม่สึกเราต้องหนี พอล่วงถึงพรรษาที่ ๒ จึงตั้งใจอธิษฐานให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณธรรมว่า “เวลานี้ข้าพเจ้ามุ่งหวังเอาดีทางพระศาสนา ในกาลต่อไปนี้ ขอจงให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ภายใน ๓ เดือน”


รูปภาพ
พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล

รูปภาพ
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต


• เทศน์มหาชาติที่วัดบ้านโนนรังใหญ่

ต่อมาเดือนพฤศจิกายน ข้างแรม ได้ไปเทศน์มหาชาติที่วัดบ้านโนนรังใหญ่ ต.ยางโยภาพ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี พอดีไปพบพระกรรมฐานองค์หนึ่งกำลังเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ รู้สึกเกิดแปลกประหลาดในจิตขึ้นโดยโวหารของธรรมะน่าเลื่อมใส จึงได้ไต่ถามญาติโยมว่าท่านองค์นั้นเป็นใคร มาจากไหน ได้รับตอบว่า “เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ชื่อ พระอาจารย์บท” ท่านได้พักอยู่ในป่ายางใหญ่ใกล้บ้านราว ๒๐ เส้น พองานเทศน์มหาชาติแล้วเสร็จก็ได้ติดตามไปดู ได้เห็นปฏิปทาความประพฤติของท่านเป็นที่พอใจ จึงถามท่านว่าใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านตอบว่า “พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ เวลานี้พระอาจารย์มั่นได้ออกเดินทางจากจังหวัดสกลนครไปพักอยู่ที่วัดบูรพา จ.อุบลราชธานี”

พอได้ความเช่นนั้นก็รีบเดินทางกลับบ้าน นึกแต่ในใจว่า “เราคงสมหวังแน่ๆ” อยู่มาไม่กี่วันจึงได้ลาโยมผู้ชาย ลาพระอุปัชฌาย์ (หลวงปู่อ้ม เจ้าอาวาสวัดบ้านหนองสองห้อง) ท่านทั้งสองนี้ก็พูดจาขัดขวางทุกด้านทุกมุม แต่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่า “เราต้องไปจากบ้านนี้โดยเด็ดขาด จะให้สึกก็ต้องไป จะให้อยู่เป็นพระก็ต้องไป พระอุปัชฌาย์และโยมผู้ชายไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งหมด ถ้าขืนก้าวก่ายสิทธิ์ในตัวเรานาทีใด ต้องลุกหนีไปนาทีนั้น” ได้พูดกับโยมผู้ชายอย่างนี้ ในที่สุดโยมผู้ชายและพระอุปัชฌาย์ก็ยอม ครั้นถึงเดือนอ้าย ข้างแรม เวลาเพลแล้วประมาณ ๑๓.๐๐ นาฬิกา ได้ออกเดินทางพร้อมด้วยบริขารโดยลำพังองค์เดียว

รูปภาพ
พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม

รูปภาพ
พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล


• เดินทางมุ่งจังหวัดอุบลราชธานี

โยมผู้ชายได้ติดตามออกไปส่งถึงกลางทุ่งนา เมื่อได้ร่ำลากันแล้วต่างคนก็ต่างไป วันนั้นเดินทางผ่าน อ.ม่วงสามสิบ มุ่งไปสู่ จ.อุบลราชธานี ได้ทราบข่าวว่าพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พักอยู่ที่บ้านกุดลาด ต.กุดลาด อ.เมือง อยู่ห่างจาก จ.อุบลราชธานี ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรเศษ พอดีพระบริคุตฯ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอม่วงสามสิบ แล้วถูกปลดออกจากราชการ ขี่รถยนต์ผ่านมา พบเรากำลังเดินทางอยู่คนเดียว ท่านผู้นี้ได้นิมนต์ขึ้นรถขนย้ายครอบครัวของท่าน ไปส่งถึงสนามบิน จ.อุบลราชธานี ทางไปบ้านกุดลาด บัดนี้ก็ยังระลึกถึงบุญคุณของท่านผู้นี้อยู่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย เวลาประมาณ ๕ โมงเย็นก็เดินทางถึงสำนักวัดป่าบ้านกุดลาด แต่ได้ทราบว่าพระอาจารย์มั่นกลับมาพักอยู่วัดบูรพาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

รุ่งเช้าเมื่อฉันอาหารแล้วได้เดินทางกลับมา จ.อุบลราชธานี ได้ไปนมัสการกราบเรียนความประสงค์ของตนต่อพระอาจารย์มั่น ท่านก็ได้ช่วยแนะนำสงเคราะห์เป็นที่พอใจ สอนคำภาวนาให้ว่า “พุทโธฯ” เพียงคำเดียวเท่านี้ พอดีท่านกำลังอาพาธ ท่านได้แนะนำให้ไปพักอยู่บ้านท่าวังหิน ซึ่งเป็นสถานที่เงียบสงัดวิเวกดี ที่นั่นมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล มีพระภิกษุสามเณรราว ๔๐ กว่าองค์พักอยู่ ได้เข้าไปฟังธรรมเทศนาของท่านทุกคืน รู้สึกว่ามีผลเกิดขึ้นในใจ ๒ อย่าง คือ เมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ ของตนที่เป็นมาก็ร้อนใจ เมื่อนึกถึงเรื่องใหม่ๆ ที่กำลังประสบอยู่ก็เย็นใจ ทั้ง ๒ อารมณ์นี้ติดตนอยู่เสมอ


รูปภาพ
พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ

รูปภาพ
พระอาจารย์สาม อกิญฺจโน


• ได้พบพระอาจารย์มั่น

พอดีได้พบเพื่อนที่หวังดี ๒ องค์ได้ร่วมอยู่ ร่วมฉัน ร่วมศึกษาสนทนากันตลอดมา เพื่อน ๒ องค์นั้นคือ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ และพระอาจารย์สาม อกิญฺจโน ได้พากเพียรพยายามภาวนาอยู่เสมอทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ได้ชวนพระอาจารย์กงมาออกเดินทางไปเรื่อยๆ ไปพักตามศาลเจ้าผีปู่ตาของหมู่บ้านตำบลต่างๆ แล้วได้เดินทางกลับไปถึงบ้านเดิม เพื่อบอกข่าวกุศลให้โยมผู้ชายทราบว่าได้พบพระอาจารย์มั่นเป็นพอใจในชีวิตแล้ว อาตมาจักไม่กลับมาตายบ้านนี้ต่อไป

คือได้นึกเป็นคติในใจอยู่ว่า “เราเกิดมาเป็นคน ต้องพยายามไต่ขึ้นอยู่บนหัวคน เราบวชเป็นพระ ต้องพยายามให้อยู่บนหัวพระที่เราเคยพบผ่านมา”

ตอนนี้รู้สึกว่าเกิดสมหวังในความคิด ฉะนั้น จึงกลับบอกเล่าให้โยมผู้ชายฟังว่า “ฉันลาไม่กลับ เงินทองข้าวของใช้ส่วนตัวมอบเสร็จ ทรัพย์สินเงินทองของโยมจักไม่เกี่ยวข้องตลอดชีวิต” แต่ยังไม่เคยตัดสินใจว่าเราบวชแล้วจะไม่ยอมสึก แต่ก็นึกในใจว่า “เราไม่ยอมจนในชีวิต” โยมป้าได้ทราบเรื่องก็มาพูดต่อว่า “ท่านจะเกินไปละกระมัง” จึงได้ตอบไปว่า “ถ้าฉันสึกมา ถ้าฉันมาขอข้าวป้ากิน ขอให้ป้าเรียกฉันว่าสุนัขก็แล้วกัน”

เมื่อได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเช่นนี้ ก็ได้สั่งกับโยมผู้ชายว่า “โยมอย่าเป็นห่วงอาตมา จะบวชอยู่ได้ก็ตาม จะสึกออกมาก็ช่าง อาตมาพอใจแล้วที่ได้สมบัติจากโยม ได้ทรัพย์วิเศษแล้วจากโยม คือ ตา ๒ ข้าง หู ๒ ข้าง จมูก ปาก ครบอาการ ๓๒ จัดเป็นก้อนทรัพย์อย่างสำคัญ แม้โยมจะให้ทรัพย์อย่างอื่นอาตมาก็ไม่อิ่มใจ” เมื่อได้สั่งโยมผู้ชายเสร็จแล้ว ก็ลาโยมผู้ชายเดินทางกลับ จ.อุบลราชธานี เดินทางไปถึงหมู่บ้านวัดถ้ำ ก็ได้พบพระอาจารย์มั่นพักอยู่ในป่า จึงได้เขาไปพักอาศัยอบรมอยู่กับท่านเป็นเวลาหลายวัน

ต่อจากนั้นได้ดำริว่า “เราต้องสวดญัตติใหม่ ล้างบาปเก่าเสียที” เมื่อได้หารือกับพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านเห็นดีเห็นชอบด้วย จึงได้ทำการหัดขานนาค เมื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้ติดตามท่านไปเที่ยวในตำบลต่างๆ ได้รู้สึกมีความเสื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้รับความอัศจรรย์จากท่านหลายอย่าง อาทิเช่น บางเรื่องคิดอยู่ในใจของเราไม่เคยแสดงให้ท่านทราบเลย ท่านกลับทักทายถูกต้อง ยิ่งเพิ่มความเคารพเสื่อมใสยิ่งขึ้นทุกที การทำสมาธิก็หนักแน่นหมดความห่วงใยอะไรต่ออะไรหลายๆ อย่าง

ได้อบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่นเป็นเวลา ๔ เดือน ท่านก็ได้นัดหมายให้ไปสวดญัตติใหม่เป็นพระฝ่ายธรรมยุต ที่วัดบูรพาราม จ.อุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นผู้ให้ไตรสรณคมน์และศีล, พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) วัดสระปทุม จ.พระนคร เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอธิการเพ็ง วัดใต้ จ.อุบลราชธานี เป็นกรรมวาจาจารย์ ได้อุปสมบทใหม่เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้นามฉายาว่า “ธมฺมธโร” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “พระผู้ทรงไว้ซึ่งศีลธรรม” อุปสมบทแล้วเพียง ๑ วัน ก็ได้ถือธุดงค์อย่างเคร่งครัดคือฉันมื้อเดียว ได้พักอยู่วัดบูรพารามคืนเดียวก็ได้ออกไปอยู่ป่าบ้านท่าวังหินตามเคย


รูปภาพ
พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ)

รูปภาพ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)


• พระอาจารย์มั่นและพระปัญญาพิศาลเถร

เมื่อพระอาจารย์มั่นและพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ได้เดินทางกลับ จ.พระนคร เข้าจำพรรษาวัดสระปทุม ท่านได้มอบหมายให้ไปอยู่กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ในระหว่างนี้ได้เดินทางเที่ยววิเวกไปในสถานที่ต่างๆ พระอาจารย์สิงห์และพระอาจารย์มหาปิ่น ก็ได้เที่ยวเทศนาอบรมศีลธรรมประชาชนโดยการขอร้องของพระยาตรังฯ เจ้าเมืองอุบลราชธานี เมื่อจวนเข้าพรรษาได้ไปพักจำพรรษาอยู่วัดบ้านหัวงัว อ.ยโสธร พอดีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เจ้าคณะมณฑลและเจ้าคณะธรรมยุตในภาคอีสาน ได้เรียกตัวพระอาจารย์มหาปิ่นกลับ จ.อุบลราชธานี ตกลงจึงได้อยู่จำพรรษาในตำบลนั้น

มีเพื่อนอยู่ด้วยกัน ๔-๕ องค์ ในพรรษานั้นได้พากเพียรทำสมาธิอย่างเข้มแข็ง บางคราวก็นึกเสียใจอยู่บ้างเพราะอาจารย์ผู้ใหญ่หนีไปหมด จิตบางขณะก็นึกอยากจะลาเพศ แต่หากมักมีเหตุบังเอิญให้สำนึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ วันหนึ่งเวลากลางวันประมาณ ๑๗.๐๐ นาฬิกา ขณะกำลังเดินจงกรม จิตกำลังแกว่งไปในทางโลก พอดีมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาข้างๆ วัด เธอได้ร้องรำเป็นเพลงขึ้นโดยภาษาว่า “กูได้เล็งเห็นแล้ว หัวใจนกขึ้ถี่ (นกทึดทือ) ปากมันหัก ร้องทึดทึอ ใจเลี้ยวใส่ปู (นกชนิดนี้ชอบกินปู)” ก็ได้จำเพลงบทนี้มาบริกรรมเป็นนิจว่า เขาว่าใส่เรา คือเราเป็นพระกำลังก่อสร้างความดีอยู่ แต่ใจมันใส่ไปในอารมณ์ของโลก ก็นึกละอายใจตนเองเรื่อยๆ มา ว่าเราจะทำใจของเราให้อยู่กับภาวะของเรา จึงจะไม่สมกับที่ผู้หญิงคนนั้นมาพูดเช่นนั้น เรื่องเหล่านี้ได้กลายมาเป็นธรรมหมด

เรื่องอื่นๆ ยังมีอยู่อีกมาก ล้วนเป็นคติเตือนใจ ครั้งหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนหงายได้ตกลงนัดหมายกับเพื่อนว่า เรามาเดินจงกรมกัน อดนอนทำสมาธิกัน ในพรรษานั้นมีพระเพื่อนอยู่ด้วยกันรวม ๕ องค์ สามเณร ๑ องค์ เราตั้งใจว่าจะปฏิบัติให้อยู่เหนือพวกเหล่านี้ทุกองค์ เช่น เพื่อนฉันข้าวได้ ๑๐ คำ เราจะต้องฉันได้ ๘ คำ เพื่อนนั่งสมาธิได้ ๓ ชั่วโมง เราจะต้องนั่งได้ถึง ๕ ชั่วโมง เพื่อนเดินจงกรมได้ ๑ ชั่วโมง เราจะต้องเดินได้ ๒ ชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องนึกอย่างนี้ แต่รู้สึกว่าทำได้อย่างที่นึก สิ่งนี้เป็นความลับในตนคนเดียว

อยู่มาวันหนึ่งได้พูดกับเพื่อนว่า “เรามาทดลองกันดูว่าใครจะนั่งสมาธิและเดินจงกรมเก่งกว่ากัน” จึงได้ตกลงกับเพื่อนว่า “เวลาผมเดินจงกรม ให้ท่านนั่งสมาธิ เวลาผมนั่งสมาธิ ให้ท่านเดินจงกรม ว่าใครจะอดทนได้นานมากกว่ากัน” ถึงวาระที่เราเดินจงกรม พระองค์นั้นได้ไปนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิใกล้ทางเดินจงกรม สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงดังโครม จึงได้เปิดประตูหน้าต่างชะโงกหน้าออกไปดู ได้เห็นเพื่อนองค์นั้นนอนหงายขาชี้อยู่ สังเกตเหตุการณ์ว่าท่านคงนั่งสมาธิขัดสมาธิเพชรแล้วเกิดง่วงนอน เลยหงายหลังหลับไป ตัวเราเองก็ง่วงเต็มที แต่ต้องอดทนให้ชนะเพื่อนให้ได้ เมื่อได้เห็นอาการของเพื่อนเป็นอย่างนี้แล้ว ก็นึกละอายใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนี้บ้างคงแย่ แต่ก็ดีใจว่าเราได้ชนะเขา


(มีต่อ ๑)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ออกพรรษาแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป

เรื่องต่างๆ ที่เล่ามานี้รู้สึกว่าเป็นคติเตือนใจได้เสมอว่า คนที่ทำอะไรไม่จริง ต้องมีสภาพอย่างนี้ พอออกพรรษาแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักอยู่ตามป่าช้าโดยลำพังองค์เดียว ในพรรษานี้รู้สึกตัวว่า ทำจิตทำสมาธิได้ดีมาก จิตสงบอย่างละเอียดประณีต มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นในใจอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาแต่กาลก่อน คือเมื่อจิตสงบได้ดีแล้ว มีอะไรๆ ผุดขึ้นต่างๆ ภาษาบาลีซึ่งไม่เคยแปลออกก็แปลได้ เช่น บทสวดมนต์พุทธคุณ หรือ ๗ ตำนานที่สวดมาก็นึกแปลได้เป็นส่วนมาก พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ย่อที่เคยสวดมาแต่กาลก่อนแปลได้เกือบหมด รู้สึกว่ามีการแตกฉานขึ้นพอสมควรในเรื่องธรรม อยากรู้อะไร ทำใจนิ่งก็รู้ ไม่ต้องใช้ความนึกคิด เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังนี้จึงได้นำเรื่องไปเล่าถวายพระอาจารย์กงมา ท่านก็ชี้แจงว่า พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่ได้เรียนรู้มาก่อนถึงเรื่องการเรียนหรือเทศน์ พระองค์ท่านได้ปฏิบัติรู้ในใจก่อนแล้วจึงได้บัญญัติไว้เป็นพระปริยัติธรรม ฉะนั้น การรู้ของเราเป็นการไม่ผิด เมื่อได้ทราบดังนี้ก็มีจิตอิ่มเอิบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วก็คิดถึงโยมผู้ชาย เพราะเห็นว่ายังติดๆ อะไรอยู่มาก นึกจะไปโปรดโยมจึงได้ออกเดินทางไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเรียกว่าบ้านโนนแดง ไปพักอยู่ใกล้ศาลเจ้าดอนปู่ตา ได้พักอยู่คนเดียวในป่านั้น ญาติในหมู่บ้านนั้นทราบเรื่องจึงได้ส่งข่าวไปถึงโยมผู้ชาย

รุ่งขึ้นเช้าโยมผู้ชายเดินทางมาหาแต่ดึก เตรียมอาหารมาถวายอย่างดีตามภาษาบ้านนอก แต่ก็มิได้ฉันฉลองศรัทธาให้โยมเป็นที่น่าเสียใจมาก เพราะขณะนั้นกำลังถือเคร่งในพระธรรมวินัยและเป็นสิ่งควรเคร่งด้วย คือ ไม่ยอมฉันอาหารที่เป็นอุททิสมังสะ คือ การฆ่าสัตว์มีชีวิตเพื่ออุทิศเจาะจงให้เฉพาะบุคคล วันหลังมานึกสงสารโยมผู้ชายแทบน้ำตาไหล เมื่อโยมผู้ชายเห็นบุตรที่บวชไม่ฉันอาหารแล้ว ก็ได้ยกไปกินเองเสร็จ

แล้วได้ติดตามโยมมาพักอยู่ที่ป่าช้าของบ้านเกิดเมืองนอน แล้วได้ไปพักอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง เป็นป่าที่ชาวบ้านถือกันว่าผีดุ ได้ไปพักอยู่เป็นเวลาหลายวัน มีญาติโยมหลายหมู่บ้านพากันเดินทางมาฟังเทศน์ ได้ทำการปราบเรื่องการเชื่อถือผิดๆ ของชาวบ้านเหล่านั้น เช่น ปราบพวกถือผีปอบ ผีกระสือ ผีไท้ ผีแถน มนต์กลที่เป็นเดียรัจฉานวิชาต่างๆ ได้ทำการชำระล้างสิ่งหนักใจของญาติพี่น้องโยมให้หมดไป เช่น ผีปู่ตาในดงเนินบ้านเก่า และที่พักอยู่นั้นด้วย ได้ทำการสวดมนต์แผ่เมตตากำจัดปัดเป่าจนสิ้นเชิง เวลากลางวันได้ทำการเผาเครื่องเซ่นสรวง ผีเต้น ผีรำ ผีมด ผีหมอมากมาย บางวันมีแต่ควันเผาเครื่องเซ่นทั้งวัน แล้วอบรมญาติโยมให้รับนับถือพระไตรสรณาคมน์ให้สวดมนต์ภาวนาทางพระ ไม่ให้ยุ่งเรื่องภูตผีปีศาจ

มานึกถึงภาพเก่าๆ ที่เคยผ่านมา รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ จึงได้ช่วยคิดแก้ไข คือเรื่องที่ญาติโยมเชื่อถือกันว่าผีปู่ตาต้องกินหมูเห็ดเป็ดไก่ทุกปี ดังนั้น พอถึงฤดูกาลไหว้ผีปู่ตา ชาวบ้านต้องเอาไก่เป็นหรือหมูมาบ้านละ ๑ ตัว คำนวณแล้วสัตว์มีชีวิตต้องถูกฆ่าเพื่อการเซ่นสรวงในปีหนึ่งๆ นับเป็นร้อยๆ ตัว เพราะบางคราวเกิดการเจ็บป่วยก็ต้องเซ่นตามที่บนบานไว้ พิจารณาเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรในการที่ทำดังนั้น เรื่องผีถ้ามีจริงต้องเป็นผู้ไม่กินของเซ่นอย่างนี้ ให้รับส่วนแบ่งกุศลดีกว่า มิฉะนั้นจะต้องบังคับให้หนีโดยเด็ดขาด ต้องใช้อำนาจอาชญาทางธรรมเข้าช่วย จึงได้สั่งเผาศาลผีปู่ตาจนหมดสิ้น ชาวบ้านบางคนเสียขวัญ กลัวจะเกิดความไม่ปลอดภัยในอนาคต จึงได้เขียนคำสวดมนต์แผ่เมตตาให้ทุกคน แล้วก็สั่งรับรองว่าไม่เป็นไร ในกาลต่อมาได้ทราบว่าสถานที่นี้กลายเป็นเรือกสวนไร่นาไปหมด ดงที่ผีเคยดุกลายเป็นหมู่บ้านขึ้นหมู่บ้านหนึ่ง ได้พักอบรมญาติโยมอยู่เป็นเวลาพอสมควร การประพฤติปฏิบัติก็อื้อฉาวโด่งดังขึ้น เกิดมีคนอิจฉาริษยาพยายามหาวิธีขับไล่ไสส่งด้วยวิธีการต่างๆ

อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้นิมนต์พระผู้ใหญ่มาเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ เราเป็นองค์ที่ ๔ จึงได้ตกลงรับนิมนต์ไปเทศน์ พระผู้ใหญ่ที่ได้รับนิมนต์ไปเทศน์คือ พระครูวจีสุนทร เจ้าคณะอำเภอม่วงสามสิบ, พระอุปัชฌาย์ลุย เจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ, พระอาจารย์วอ มีความรู้ทางบาลี และตัวเราเอง รวม ๔ องค์ นึกในใจว่า พรุ่งนี้ต้องฟันถึงขนาด ใครจะมาท่าไหนไม่นึกหวาดเสียวใดๆ ทั้งหมด มีคนมาฟังกันมากมาย สรุปว่าการเทศน์ได้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเรื่องอะไรขัดคอกัน

ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง ยังมีพระบางรูป คนบางคน เห็นว่าเราเป็นคนอวดดี จึงหาเรื่องคอยยุแหย่พระอื่นให้เข้าใจผิด วันหนึ่งนายชัยเป็นผู้แทนชาวบ้านตำบลยางโยภาพ ได้ไปฟ้องถึงนายอำเภอว่าเราเป็นพระจรจัด ใจก็รู้สึกยิ่งเข้มแข็งยิ่งกล้าว่าจะมาไล่กันท่าไหน การที่เรามานี่ไม่ได้มาสร้างความชั่ว เป็นอะไรก็เป็นกัน ต้องสู้กันด้วยวาทะให้ถึงที่สุด ผลที่สุดศึกษาธิการอำเภอก็ไม่มีอำนาจจะมาขับไล่เราจากหมู่บ้านนี้ ได้บอกเขาไปว่าเรื่องอย่างนี้ ถ้าขืนมีอีกเราจะอยู่จนหมดเรื่อง ถ้าเรื่องยังไม่หมดยังไม่หนี วันหนึ่งนายอำเภอได้ออกไปตรวจราชการ ได้ไปพักอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย ผู้ใหญ่บ้านที่เป็นญาติเรา จึงได้เรียนเรื่องราวให้นายอำเภอทราบ นายอำเภอตอบว่า พระที่มาอบรมสั่งสอนญาติโยมอย่างนี้หาได้ที่ไหน ฉะนั้นให้ท่านอยู่ไปตามสบาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เป็นอันว่าสงบเรียบร้อยดี

ต่อมาก็ได้ลาญาติโยมเดินทางต่อไปยัง อ.ยโสธร พอดีได้พบพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม กับพระภิกษุสามเณรรวมกันถึง ๘๐ รูป พักอยู่ที่ป่าช้า อ.ยโสธร ซึ่งบัดนี้ตั้งเป็นเรือนจำ ต่อจากนั้น พระเทพบัณฑิต (หลวงปู่มหาอินทร์ ถิรเสวี) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพิศาลสารคุณ เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธรรมยุต) วัดศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้มีจดหมายมานิมนต์ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งชาวอำเภอยโสธรมีพระอาจารย์ริน พระอาจารย์แดง พระอาจารย์อ่อนตา เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยชาวบ้านร้านตลาดได้จ้างเหมารถยนต์ให้ ๒ คัน ได้พากันออกเดินทางจาก อ.ยโสธร โดยทางรถยนต์ไปพักแรมอยู่ จ.ร้อยเอ็ด ๑ คืน แล้วออกเดินทางไปพักอยู่ที่ จ.มหาสารคาม ที่ดอนปู่ตาที่ชาวบ้านพากันเซ่นสรวงว่าผีดุ มีชาวบ้านร้านตลาดและข้าราชการพากันมาฟังเทศน์มากมาย พระอาจารย์ที่ได้พบกันครั้งแรกก็ได้ไปด้วยกัน

เมื่อพิจารณาเห็นว่าที่นั่นไม่ใคร่จะสงบ จึงได้ลาพระอาจารย์สิงห์ไปเยี่ยมญาติ มีสามเณรติดตามไปด้วย ๑ องค์ เมื่อเดินทางไปถึงบ้านญาติที่ อ.น้ำพอง คือ ขุนมหาวิชัย พี่ชายของแม่ซึ่งเป็นญาติของแม่ฝ่ายพี่ ได้พบเครือญาติที่นั่นหลายครอบครัว พอพวกญาติๆ เห็นหลานไปถึง ต่างคนต่างดีอกดีใจมาเยี่ยมเยียนถามข่าวคราวถึงบ้านเกิดเมืองนอน พวกญาติได้จัดที่พักให้ ณ ริมฝั่งน้ำพอง ในป่ายางใหญ่ ได้พักอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายวัน สามเณรที่ไปด้วยได้ลากลับไปเยี่ยมบ้านที่ จ.สกลนคร ตนเองก็พักอยู่แต่เพียงคนเดียว ป่านี้มีแต่ลิงแต่ค่างมากมาย

อยู่มาวันหนึ่ง รู้สึกว่าไม่สบาย มีอาการปวดศีรษะ เจ็บแก้วหู ก็ได้บอกเล่าให้โยมป้าฟัง คือโยมป้าแม่เงิน โยมป้าได้แนะนำฝากกับหลานเขยซึ่งอยู่ที่ อ.พล รับราชการกรมตำรวจ หลานเขยได้นำมาส่งฝากคนรถให้ ได้อาศัยเขามาถึง จ.นครราชสีมา ไปพักอยู่ที่วัดสะแก ในระหว่างนั้นได้เที่ยวเดินตามหาญาติเป็นเวลา ๓ วัน แต่ไม่พบ

การที่ต้องการพบปะญาติในครั้งนี้ เหตุเพราะอยากจะเดินทางไป จ.พระนคร เพื่อรักษาตัวและไปหาพระอาจารย์มั่น อยู่มาวันหนึ่งคนลากรถเจ๊กได้นำไปส่งถึงบ้านพักเจ้าหน้าที่กรมทาง จึงได้พบกับโยมพี่สาวชื่อแม่วันดี ซึ่งเป็นภริยาขุนก่ายฯ ทุกคนได้แสดงความดีอกดีใจในการที่พบหลาน และได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่ จ.นครราชสีมา แต่ตนเองไม่ยอมอยู่ บอกเขาว่าประสงค์จะไปรักษาตัวที่ จ.พระนคร โยมพี่สาวจึงได้จัดแจงซื้อตั๋วรถไฟส่งถึงสถานีหัวลำโพง ขณะรถไฟวิ่งผ่านดงพญาเย็น แล้วโผล่ออกมาเห็นทุ่งเขต จ.สระบุรี ก็ได้ระลึกถึงโยมพี่ชายที่มามีครอบครัวอยู่ที่ประตูน้ำหนองตาโล่ ซึ่งตัวเองเคยไปอยู่มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส เมื่อรถไฟมาถึงสถานีชุมทางบ้านภาชี จึงได้ลงจากรถไฟแล้วเดินเท้าไปถึงบ้านโยมพี่ชาย ได้ทราบว่า โยมพี่ชายได้อพยพครอบครัวขึ้นไปอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ เสียแล้ว จึงได้พบแต่เพื่อนฝูงและคนเฒ่าคนแก่ที่เคยนับถือกันมา ได้พักอาศัยอยู่ในตำบลนั้นพอสมควร

รูปภาพ
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)


ประมาณจวนสิ้นเดือนพฤษภาคม ได้บอกกับเพื่อนว่าจะเดินทางไป จ.พระนคร เพื่อนได้จัดแจงซื้อตั๋วรถไฟถวายแล้วพาไปส่งที่สถานี ได้เดินทางโดยรถไฟเข้าสู่ จ.พระนคร ลงรถไฟที่สถานีหัวลำโพง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมา จ.พระนคร เลย จะไปวัดสระปทุมก็ไปไม่ถูก จึงได้เรียกรถลากคันหนึ่งมาถามว่า ไปวัดสระปทุม จะเอาค่ารถเท่าไร ทั้งๆ ที่ขณะนั้นตัวเองก็ไม่มีสตางค์เลย คนลากรถตอบว่าเอา ๕๐ สตางค์ จึงได้พูดต่อรองกับเขาว่า วัดสระปทุมอยู่ไม่ไกล ใกล้ๆ แค่นี้เอง ทำไมเอามากนัก ตกลงเขาลดให้เหลือ ๑๕ สตางค์ แล้วพาไปส่งถึงวัด เมื่อถึงวัดสระปทุมแล้วได้ไปกราบนมัสการพระอุปัชฌาย์ๆ ได้เล่าให้ฟังว่า เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้นิมนต์พระอาจารย์มั่นให้ขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่ จ.เชียงใหม่

ตกลงว่าในปีนั้นได้อยู่จำพรรษาที่วัดสระปทุม กุฏิที่พักอยู่ห่างไกลจากกุฏิของพระอุปัชฌาย์ ในพรรษานี้ได้ตั้งใจพยายามปฏิบัติตนตามเคย กิจวัตรของวัดก็พยายามไม่ให้ขาด อุปัชฌายวัตรไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ยอมให้ขาด เวลานั้นกำลังถือเคร่งปลีกตัวอยู่โดยลำพังเป็นส่วนมาก รักษาความสงบเป็นใหญ่ ทำวัตรสวดมนต์ทั้งเช้าและค่ำ ช่วยปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ทั้งเช้าทั้งเย็น ได้สังเกตเห็นความเป็นอยู่ของพระอุปัชฌาย์ยังมีช่องโหว่ อันเป็นสิ่งที่เราพึงพอใจมากที่จะได้มีโอกาสปฏิบัติท่าน อาทิเช่น ที่นั่ง ที่นอน กระโถน หมากพลู เสื่อสาด อาสนะ ไม่มีใครสนใจและเอาใจใส่ นั่นคือช่องโหว่ที่เราเห็นว่าเราควรจะได้ปฏิบัติ

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ได้เอาใจใส่ปฏิบัติหน้าที่อุปัชฌายวัตรอย่างเต็มกำลังความสามารถ ได้รู้สึกว่าเป็นที่รักที่พอใจของท่านเป็นอย่างมาก ออกพรรษาแล้วท่านก็เรียกตัวให้ไปอยู่ประจำที่คลังสงฆ์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านฉันจังหัน คือกุฏิหอเขียว ซึ่งใช้เป็นที่เก็บพัสดุต่างๆ ของสงฆ์ ได้ตั้งใจปรนนิบัติท่านเสมือนอย่างบิดาบังเกิดเกล้า แต่ไม่เคยนึกคิดเลยว่าความรักความดีจะมีภัย เมื่อย่างเข้าฤดูแล้งจึงได้กราบลาท่านเพื่อออกเดินทางไปวิเวกเดินธุดงค์ ได้ออกเดินทางจาก จ.พระนคร ผ่าน จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สระบุรี จ.ลพบุรี อ.ตาคลี อ.ภูเขา อ.ภูคา ล่วงเข้าเขต จ.นครสวรรค์ ผ่าน อ.ท่าตะโก และ อ.บึงบรเพ็ด ได้ไปโปรดโยมพี่ชายและเพื่อนฝูงที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เวลายังไม่ได้บวช

ในระหว่างที่อยู่ จ.นครสวรรค์นี้ ได้ออกไปพักอยู่ในป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๒๐ เส้น วันหนึ่งได้ยินเสียงช้างป่ากับช้างตกมันร้องเสียงดัง เพราะกำลังสู้กันอยู่ สู้กันอยู่ประมาณ ๓ วัน ช้างป่าสู้ไม่ได้และตาย ส่วนช้างตกมันไม่เป็นอะไร เมื่อเป็นดังนี้ช้างตกมันก็ยิ่งดุร้าย พลุกพล่านอาละวาดหนักขึ้น ได้วิ่งขับไล่ใช้งาทิ่มแทงผู้คนซึ่งอยู่ในบริเวณป่าที่เราพักอยู่ เจ้าของช้างตกมันคือขุนจบฯ กับชาวบ้านซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ขอนิมนต์ให้เข้าไปพักในบ้าน เราไม่ยอมไป รู้สึกหวาดเสียวอยู่บ้าง แต่อาศัยขันติและเชื่ออำนาจแห่งความเมตตา

ต่อมาวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ช้างตกมันตัวนั้นได้วิ่งมายืนอยู่ข้างที่พักเรา ห่างจากที่เราพักประมาณ ๒๐ วา ขณะนั้นเรากำลังบำเพ็ญภาวนาอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องจึงได้โผล่หน้าออกไปจากที่พัก เห็นช้างตกมันงาขาว ยืนหูชัน ทำท่าทางน่ากลัว นึกขึ้นในใจว่า ถ้ามันวิ่งพุ่งมาหาเรา ชั่วระยะเวลาไม่ถึง ๓ นาทีก็ถึงตัว เมื่อนึกได้เช่นนั้นก็เกิดความหวาดกลัว จึงกระโดดวิ่งออกจากที่พัก ไปถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ห่างจากที่พักประมาณ ๓ วา ขณะที่กำลังเอามือเหนี่ยวต้นไม้ ก้าวขาปีนต้นไม้ได้ข้างหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคล้ายคนมากระซิบที่หูว่า

“เราไม่จริง กลัวตาย คนกลัวตาย จะต้องตายอีก”

เมื่อได้ยินเสียงเตือนเช่นนี้ จึงปล่อยมือ ปล่อยเท้า รีบเดินกลับไปที่พัก นั่งเข้าที่ไม่หลับตา หันหน้าไปทิศที่ช้างยืนอยู่ นั่งภาวนาแผ่เมตตาจิต ในระหว่างนี้ได้ยินเสียงชาวบ้านโห่ร้องกันดังสนั่นหวั่นไหว ตกอกตกใจว่าพระองค์นั้น (หมายถึงเรา) คงจะแย่ ไม่มีใครไปช่วยเหลือท่าน ได้ยินแต่เสียงพูดอย่างนี้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีคนใดกล้าเข้ามาใกล้ตัวเราเลยแม้แต่คนเดียว ได้นั่งแผ่เมตตาจิตอยู่ประมาณ ๑๐ นาที มองเห็นช้างตัวนั้นตีหูโบกขึ้นลงเสียงพุ่บพั่บๆ อยู่ประมาณสักครู่หนึ่ง แล้วมันก็หันหลังหลับ เดินเข้าป่าไป เมื่อช้างตกมันตัวนั้นเดินเข้าป่าไปแล้ว ประมาณสักพักหนึ่งเราได้ออกจากที่พักเดินออกไปกลางทุ่งนา ขุนจบฯ เจ้าของช้าง และญาติโยมได้พากันมาหาเราอย่างล้นหลาม พากันประหลาดใจว่าเราปลอดภัยมาได้อย่างไร

รุ่งขึ้นวันที่สอง ประชาชนและชาวบ้านซึ่งอยู่บริเวณป่านั้นได้แห่กันมาหาเราอย่างมากมาย พากันมาขอของดีจากเรา เขาพูดกันว่า “ท่านองค์นี้คงจะมีอะไรดี ช้างตกมันจึงไม่กล้าเข้ามาแทง” เมื่อเป็นดังนี้ความไม่สงบก็เกิดขึ้น ได้พักอยู่เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็เตรียมตัวร่ำลาญาติโยมเพื่อเดินทางกลับ จ.พระนคร ต่อไป ประมาณเดือนพฤษภาคม ได้เดินทางกลับ จ.พระนคร พักอยู่วัดสระปทุมตามเดิม

ในพรรษาปีที่ ๒ นี้ พระอุปัชฌาย์มอบให้รับหน้าที่ทำงานแทนพระใบฎีกาบุญรอด เพื่อนฝูงได้แนะนำชักชวนให้เรียนพระปริยัติธรรมคือนักธรรมตรี ทำให้มีภาระหนักขึ้น เพราะไหนจะต้องปฏิบัติอุปัชฌาย์ ไหนจะต้องทำหน้าที่บัญชีพัสดุและบัญชีเงินสดของวัด ซ้ำยังต้องเรียนพระปริยัติธรรมและเรียนกรรมฐานอีก เมื่อต้องมีภาระยุ่งยากหลายอย่าง อาการของจิตใจรู้สึกว่ามีอาการเสื่อมคลายไปบ้างเล็กน้อยในทางปฏิบัติ โดยมีข้อสังเกตได้ดังนี้

พรรษาแรกที่มาพักอยู่ บรรดาพระเณรเด็กเล็กที่เป็นหนุ่มได้มาชวนคุยเรื่องทางโลก เรื่องผู้หญิงมั่ง รู้สึกในใจว่าเกลียดที่สุด พอถึงพรรษาที่สอง ได้ยินเขาสนทนากันเรื่องความเจริญมั่งมี และเรื่องทางโลกชักชอบฟัง ต่อมาพรรษาที่สาม ได้เริ่มเรียนบาลีไวยากรณ์ ส่วนนักธรรมตรีนั้นสอบได้แล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ งานการก็หนักขึ้นทุกที ตอนนี้ชักขยับคุยกับเขาได้ในเรื่องโลก เมื่อความเป็นอยู่ของตนเป็นเช่นนั้น ก็มักจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นเครื่องเตือนใจทั้งภายนอกวัดและภายในวัด

อยู่มาวันหนึ่งเวลาจวนออกพรรษา ปรากฏว่าเงินสงฆ์ขาดบัญชีไป ๙๐๐ กว่าบาท ได้ตรวจบัญชีทบทวนดูเป็นเวลาหลายวัน ก็ตรวจไม่พบว่าได้ขาดหายไปอย่างไร ตามธรรมดาที่ปฏิบัติอยู่ทุกๆ วันที่ ๑ ของเดือนจะต้องนำเรื่องกราบเรียนพระอุปัชฌาย์ พอถึงวันที่ ๑ เดือนนี้ยังไม่ได้นำเรื่องไปกราบเรียน สอบถามเพื่อนฝูงที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดกัน ต่างคนต่างปฏิเสธไม่รับรู้เรื่องอะไรทั้งหมด ในที่สุดก็พอพิสูจน์ได้อยู่ทางหนึ่ง คือมีเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระอุปัชฌาย์ชื่อ นายบุญ บางวันนายบุญได้ขอลูกกุญแจไปเก็บไว้ในเวลาเราออกไปบิณฑบาต เมื่อนึกได้เช่นนี้ก็ได้ขอความช่วยเหลือจากพระใบฏีกาบุญรอดให้ช่วยสอบถามนายบุญดู จึงได้ความว่า นายบุญรับว่าได้ขโมยไปในเวลาที่เราออกไปบิณฑบาต

เหตุนี้เกิดขึ้นจากพระอุปัชฌาย์นั่นเอง เรื่องมีว่าวันหนึ่งพระอุปัชฌาย์ท่านได้รับนิมนต์ไปรับ ๓ หาบของเจ้านายองค์หนึ่ง พัดประจำ ย่ามประจำของท่านเก็บไว้ในห้องนอนของเรา เมื่อเรานำลูกกุญแจติดตัวไปในเวลาออกบิณฑบาต ท่านก็เอาไม่ได้ ท่านจึงได้สั่งให้มอบลูกกุญแจไว้แก่นายบุญเวลาเราออกไปบิณฑบาต ด้วยเหตุนี้เงินจึงได้สูญไป เคราะห์ดีที่นายบุญรับสารภาพว่าได้เอาเงินไปจริง ได้ตรวจบัญชีดูโดยละเอียดปรากฏว่าเงินของสงฆ์หายไป ๗๐๐ บาทเศษ นอกนั้นเป็นเงินของพระอุปัชฌาย์ เมื่อได้ตรวจทบทวนดูและสืบสวนได้ความจริงจากนายบุญเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม เวลาบ่าย ๕ โมงเย็น ก็ได้บอกกับเพื่อนสององค์ มีพระใบฏีกาบุญรอด และพระเชื่อม ซึ่งเป็นที่รักใคร่ชอบพอกันว่า “ผมจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไปกราบเรียนพระอุปัชฌาย์ในวันนี้”

“อย่าไปกราบเรียนท่านดีกว่า เมื่อสูญหายจริงผมจะใช้ให้”

รู้สึกขอบใจเพื่อนรักเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็คิดว่าอย่าทำเช่นนั้นเลย ต้องเปิดเผยเรื่องราวกันดีกว่า มิฉะนั้นเด็กจะเสียหาย และเคยตัวต่อไป เพื่อนทั้งสององค์นี้ได้เคยถูกพระอุปัชฌาย์ดุมาหลายครั้งด้วยเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้น พอถึงเวลาเราจะกราบเรียนท่าน เพื่อนทั้งสององค์หลบเข้ากุฏิปิดประตูมิดชิด ปล่อยให้เราเข้าไปกราบเรียนท่านแต่เพียงคนเดียว ก่อนจะนำเรื่องกราบเรียนท่านได้เข้าไปนั่งกวาดถู ตำหมาก ปูที่นั่งที่กุฏิหอเขียนไว้คอยท่า...

เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ท่านได้ลงมาจากกุฏิตึกหลังใหญ่ที่คุณหญิงตลับ ภริยาเจ้าพระยายมราช เป็นผู้สร้างถวาย แล้วเดินขึ้นมานั่งที่กุฏิหอเขียว เมื่อเห็นท่านฉันหมาก ฉันน้ำร้อนเรียบร้อยดีแล้ว ก็ได้นำเรื่องเงินของสงฆ์และเงินของท่านหายไปเล่าให้ท่านฟัง พูดยังไม่ขาดคำท่านก็ดุเอาว่า “ทำไมแต่ก่อนนี้ วันที่ ๑ ได้มาบอกเรา เดือนนี้ล่วงไปถึงวันที่ ๕ จึงมาบอก” จึงได้กราบเรียนว่า “การที่ไม่ได้นำมากราบเรียนในวันที่ ๑ นั้น เพราะยังกำลังสงสัยในตัวบุคคลและบัญชีอยู่ บัดนี้ได้ตัดสงสัยแน่นอนว่าหายจริง และได้สืบสวนหาตัวก็ได้ตัว” ท่านถามว่า “ใครล่ะ” ก็ตอบถวายว่า “นายบุญเขารับสารภาพแล้ว” พอพูดคำนี้ท่านก็สั่งว่า “ไปเรียกตัวมันมา” และกำชับว่า เรื่องนี้อย่าพูดไปอื้อฉาวไป อายเขา ท่านได้สั่งให้ปิดเงียบ พอดีพระใบฏีกาบุญรอดได้นำตัวนายบุญมาเล่าเรื่องถวายท่าน นายบุญเองได้รับสารภาพต่อหน้าท่าน ในที่สุดตกเป็นภาระของนายบุญที่จะต้องหาเงินมาใช้ต่อไป

เมื่อเสร็จเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็ขอลาออกจากหน้าที่ หนีออกธุดงค์ ขณะเกิดเรื่องนี้นอนไม่หลับอยู่คืนหนึ่ง ตลอดคืนคิดแต่ในใจว่า จะต้องสึกไปหาเงินมาใช้แทนสงฆ์ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจะสึก คิดรบกันไปรบกันมาอยู่อย่างนี้จนตลอดรุ่ง จึงได้เล่าเรื่องถวายให้ท่านฟัง ท่านไม่ยอมอนุญาตให้หนีไปตามความต้องการ ท่านพูดแต่ว่า เราไม่มีพระใช้ เราเห็นแต่เธอ ฉะนั้นต้องอยู่กับเราไปเสียก่อน เพราะเราแก่แล้ว ในที่สุดต้องทนอยู่ต่อมาเป็นพรรษาที่ ๓ ในพรรษานี้ท่านได้เรียกให้ไปอยู่กุฏิใหม่ที่ท่านอยู่ประจำ ได้ช่วยท่านแก้นาฬิกา แต่งที่โน่นที่นี่ ส่วนงานที่เคยทำได้มอบให้แก่พระเชื่อม รู้สึกเบาใจไปได้บ้าง

ในระยะนี้ได้ตรวจดูจิตใจของตนเองรู้สึกว่าเสื่อมในทางปฏิบัติ คือจิตชักจะหันหน้าไปทางโลกเสียบ้าง ได้คิดต่อสู้อยู่จนตลอดพรรษา อยู่มาวันหนึ่งได้เกิดความคิดในใจว่า “ถ้าเราอยู่ในพระนครนี้เราต้องสึก ถ้าเราไม่สึก เราต้องออกจากพระนครไปอยู่ป่า” เราจึงได้ทำการบริกรรมอารมณ์ทั้งสองอารมณ์นี้ทั้งกลางวันและกลางคืน

อยู่มาวันหนึ่งได้ขึ้นไปบนยอดพระเจดีย์ซึ่งมีโพรง แล้วเข้ามานั่งสมาธิ ได้บริกรรมในใจว่า “เราจะอยู่ หรือเราจะสึก” มันก็นึกขึ้นในใจว่า เราอยากจะสึกมากกว่า จึงได้ซักซ้อมสอบถามตัวเอง ที่ที่เราอยู่ขณะนี้มีบ้านสวยๆ ถนนงามๆ คนมากๆ เจริญรุ่งเรืองไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองอะไร ตอบได้ว่า พระนคร (กรุงเทพฯ ผู้เขียน) คือเมืองสวรรค์ของมนุษย์ ได้ไต่ถามไปถึงบ้านเกิดเมืองนอนของเราเองว่า เราเกิดที่ไหน ตอบได้ว่า เราเกิดอยู่บ้านหนองสองห้อง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี แล้วเวลานี้เราได้เข้ามาอยู่ในพระนคร แล้วก็นึกอยากจะสึก ถามตัวเองว่า เราอยู่บ้านของเราเอง เรากิน เรานอน เราจะนุ่งห่มอย่างไร บ้านช่องถนนหนทางเป็นอย่างไร อาชีพอะไร ก็นึกได้ทุกอย่างว่ามันไม่เหมือนพระนครสักอย่างเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะนั่งนึกคิดห่วงความเจริญของเขาทำไม ก็นึกตอบในใจขึ้นว่า คนที่อยู่ในพระนคร เขาก็มิใช่เทวบุตรเทวดาอะไร เขาก็คน เราก็คน ทำไมเราจะทำตนให้เหมือนเขาไม่ได้ ก็ได้ไล่เลียงชีพไต่ถามกันเองอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายวัน

ในที่สุดก็ตกลงใจว่าอย่ากระนั้นเลย ถ้าเราจะสึกลาเพศจริงๆ เราต้องเตรียมเครื่องสึกไว้ก่อน คนอื่นที่เขาจะสึกเขาต้องเตรียมเครื่องนุ่งห่มและทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราจะไม่ทำเช่นนั้น เราควรเตรียมอย่างอื่น คือเตรียมตัวสึกทางใจดูเสียก่อน วันนั้นกลางคืนเดือนหงายเงียบสงัด ได้ขึ้นไปนั่งอยู่ในโพรงพระเจดีย์ แล้วก็นั่งนึกว่า ถ้าเราสึกไปเราจะทำอย่างไร ได้คุยสนทนาอยู่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวดังต่อไปนี้

ถึงตอนนี้ท่านพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร จินตนาการวางแผนถึงเหตุการณ์ในอนาคตว่า ถ้าสึกลาเพศไปจะต้องทำอย่างไรบ้าง และจะต้องเจออะไรบ้าง และควรจะแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง ฯลฯ ผู้พิมพ์ขอตัดตอนไปถึงเหตุการณ์ที่ท่านพระอาจารย์ลีประสบ ในระหว่างที่นึกคิดในอารมณ์ทางโลกที่ต้องการจะลาสึก

ในระหว่างที่นึกคิดอยู่นั้น มีเหตุบันดาลเกิดขึ้นต่างๆ เช่น บางคืนฝันเห็นพระอาจารย์มาด่าบ้าง ดุบ้าง แต่เหตุการณ์สำคัญๆ ที่นับว่าแปลกเกิดขึ้น ๔ ครั้ง

ครั้งที่ ๑ ในเวลากลางคืนขณะกำลังนึกคิดอยู่ในอารมณ์ของโลกเช่นกัน วันหนึ่งรู้สึกท้องผูกไม่สบายจึงได้ฉันยาถ่ายเวลาตอนบ่าย กะว่าตอน ๓ ทุ่มก็จะต้องไปถ่ายตามที่ได้เคยฉันมา ก็เกิดเหตุบังเอิญเมื่อฉันแล้วเป็นปกติไม่ปวดถ่าย รุ่งขึ้นเช้าจึงได้เดินทางไปบิณฑบาตในตรอกวังสระปทุม พอเดินไปถึงหน้าบ้านที่เขาจะใส่บาตร ก็เกิดรู้สึกปวดอุจจาระอย่างหนักจนทนแทบไม่ไหว จะเดินออกไปรับบาตรก็เดินไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก มัวแต่อดกลั้นขยับขาเดินได้ทีละคืบไป ถึงป่ากระถินแห่งหนึ่งรีบวางบาตรลอดรั้วเข้าป่ากระถิน มันนึกอยากเอาหัวตำดินให้ตายเสียดีกว่า เมื่อทำธุระเสร็จแล้วก็ออกจากป่าอุ้มบาตรเดินบิณฑบาตต่อไปตามเคย วันนั้นได้ข้าวไม่พอฉัน กลับมาถึงวัดก็ได้เตือนตัวเองว่า มึงสึกไปแล้วต้องเป็นอย่างนี้ ใครจะมาใส่บาตรให้กิน เรื่องนี้ได้เป็นคติเตือนใจอย่างดี

ครั้งที่ ๒ ออกเดินทางไปบิณฑบาตแต่เช้า เดินข้ามสะพานหัวช้าง ผ่านสามแยกวกไปถนนเพชรบุรี ข้าวแม้แต่ทัพพีเดียวก็ไม่ลงบาตร พอดีได้เห็นหญิงแก่อายุประมาณ ๕๐ ปี ไว้ผมมวยกับตาแป๊ะแก่ไว้หางเปีย ยืนส่งเสียงดังเอะอะอยู่ในห้องแถว ขณะนั้นเราเดินมาถึงตรงหน้าบ้านเขาก็หยุดยืนนิ่งดู ประมาณสัก ๒ อึดใจ เห็นยายแก่คว้าไม้กวาดตีหัวตาแป๊ะๆ คว้ามวยผมถีบหลังยายแก่ ตัวเองก็เริ่มนึกว่า ถ้าเป็นเราโดนเข้าอย่างนี้จะทำอย่างไรกัน ก็ตอบขึ้นว่า มึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาดแน่ การที่ได้ประสบพบเหตุการณ์อย่างนี้กลับดีใจยิ่งกว่าบิณฑบาตได้ข้าวเต็มบาตร วันนั้นบิณฑบาตได้ข้าวเกือบไม่พอฉัน ตกเวลากลางคืนก็นึกถึงเรื่องนี้อยู่เป็นนิจ กำลังดวงจิตก็รู้สึกมีการเบื่อหน่ายเรื่องของโลกออกไปโดยลำดับ

ครั้งที่ ๓ วันนั้นเป็นวันเทศกาล ได้ออกบิณฑบาตตั้งแต่เวลาเช้ามืด เดินไปถึงตลาดประตูน้ำสระปทุม แล้ววกกลับมาทางหลังวัด บริเวณนั้นมีคอกม้า มีถนนดิน เวลาฝนตกถนนลื่น ได้เดินอย่างสำรวมมาตรงหน้าบ้านของโยมคนหนึ่ง บิณฑบาตได้ข้าวเต็มบาตร ใจก็นึกคิดไปในอารมณ์ของโลก นึกจนเผลอตัวก้าวลื่นถลาล้มลงไปในบ่อข้างถนน หัวเข่าทั้งสองจมลงไปอยู่ในโคลนประมาณ ๑ คืบ ข้าวสุกในบาตรหกหมด เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน ต้องรีบเดินทางกลับวัด เมื่อกลับถึงวัดแล้ว เก็บเอามาเป็นคติเตือนใจสอนตนเองว่า การนึกในเรื่องทางโลกของเรา เพียงแต่นึกคิดมันก็ยังมีโทษติดตามมาได้ถึงเพียงนี้ ใจก็ค่อยคลายค่อยเบื่อออกไปโดยลำดับ คิดว่า เรื่องครอบครัวนั้นมันเป็นเรื่องของเด็ก ไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ กลับความคิดเห็นเป็นอย่างนี้

ครั้งที่ ๔ เวลารุ่งเช้าออกบิณฑบาต เดินไปตามถนนเพชรบุรีตามเคย เดินไปถึงวังพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ พระองค์ท่านเคยใส่บาตรประจำวันแก่พระทั่วๆ ไป วันนั้นบังเอิญมีขันข้าวตั้งอยู่ตรงข้ามวังอีกขันหนึ่ง จึงได้เดินไปรับขันตั้งใหม่เสียก่อน เมื่อรับเสร็จแล้ว หันกลับมาจะไปรับขันตรงข้าม พอดีมีรถเมล์ขาวนายเลิศวิ่งมาอย่างรวดเร็ว วิ่งเฉียดศีรษะไปห่างประมาณ ๑ คืบ คนโดยสารร้องตะโกนโวยวายขึ้น ตัวเองก็ผงะยืนตกตะลึงอยู่เป็นเวลาหลายอึดใจ วันนั้นเกือบถึงแก่ความตายเพราะถูกรถเมล์ชน ขณะกลับไปรับบาตรที่วังพระองค์เจ้าธานีนิวัติ ต้องสะกดตัวไว้อย่างเข้มแข็ง มีอาการสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว เมื่อรับบาตรเสร็จแล้วก็เดินกลับวัด เรื่องต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นคติเตือนใจ เพราะในสมัยนั้นความคิดทางโลกกำลังกำเริบอยู่ไม่เว้นวาย

ลุถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ออกพรรษาแล้ว ในปีพรรษาที่ ๓ ก็นึกว่า เราต้องออกจากพระนครแน่ๆ ถ้าพระอุปัชฌาย์ยังหวงห้ามกีดกันอีก เห็นจะต้องแตกกันในคราวนี้ มิฉะนั้นก็ขออำนาจคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงช่วยข้าพเจ้าโดยทางอื่น

วันหนึ่งเวลากลางคืนนอนหงายดูหนังสือพร้อมภาวนา พอเคลิ้มหลับได้เห็นพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาดุว่า “ท่านอยู่ทำไมในกรุงเทพฯ ไม่ออกไปอยู่ป่า” ก็ได้ตอบท่านว่า “พระอุปัชฌาย์ไม่ยอมให้ไป” ท่านตอบคำเดียวว่า “ไป” จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงท่านว่า “เมื่อออกพรรษาแล้ว ขอให้ท่านมาโปรดเราเอาไปให้จงได้”

รูปภาพ
พระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร)


ต่อมาไม่กี่วัน เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส เกิดอาพาธขาหัก พระอาจารย์มั่นก็ได้เดินทางมานมัสการเยี่ยมเจ้าคุณพระอุบาลีฯ วันหนึ่งคุณนายน้อย มารดาเจ้าคุณมุขมนตรีได้ถึงแก่กรรม เจ้าภาพได้กำหนดการฌาปนกิจที่วัดเทพศิรินทราวาส คุณนายคนนี้ได้มีอุปการะแก่พระอาจารย์มั่นสมัยที่อยู่ จ.อุดรธานี ท่านได้ตั้งใจมาในงานศพนี้ด้วย เรากับพระอุปัชฌาย์ก็ได้รับนิมนต์ไปในงานฌาปนกิจครั้งนี้ด้วย ได้ไปพบพระอาจารย์มั่นบนเมรุเผาศพ มีความดีใจอย่างยิ่ง แต่ไม่มีโอกาสได้สนทานากับท่านแม้แต่คำเดียว จึงได้เข้าไปถาม เจ้าคุณพระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร) วัดบรมนิวาส ท่านก็เล่าให้ฟังว่า พระอาจารย์มั่นได้มาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส จึงได้ลาพระอุปัชฌาย์ไปแวะวัดบรมนิวาสเพื่อพบพระอาจารย์มั่น

นับแต่อุปสมบทล่วงแล้วได้ ๔ พรรษา เพิ่งจะได้มาพบท่านอีกในคราวนี้ ก็ได้เข้าไปกราบไหว้ ท่านก็เมตตาแสดงธรรมให้ฟังว่า ขีณาชาติ วุสิตัง พรหมจริยันติ แปลได้ใจความสั้นๆ ว่า พระอริยเจ้าขีณาสพทั้งหลาย ท่านทำตนให้เป็นผู้พ้นจากอาสวะแล้วมีความสุข นั้นคือ พรหมจรรย์อันประเสริฐ จำได้เพียงเท่านี้ แต่รู้สึกว่าเราไปนั่งฟังคำพูดของท่านเพียงเล็กน้อยใจนิ่งเป็นสมาธิดีกว่าเรานั่งทำคนเดียวมากมาย ในที่สุดท่านก็สั่งว่า คุณต้องไปกับเราในคราวนี้ ส่วนอุปัชฌาย์นั้นเราจะไปเรียนท่านเอง สนทนากับได้เพียงเท่านั้นแล้วได้ลากลับวัดสระปทุม

ได้เล่าเรื่องที่ได้ไปพบพระอาจารย์มั่นให้พระอุปัชฌาย์ฟัง ท่านก็นั่งฟังแล้วนิ่งอยู่ วันรุ่งขึ้นพระอาจารย์มั่นได้ไปที่วัดสระปทุม แล้วพูดกับพระอุปัชฌาย์ว่า จะให้พระรูปนี้ติดตามไปด้วยในเมืองเหนือ พระอุปัชฌาย์ก็อนุญาต จึงได้จัดแจงตระเตรียมบริขารของตน ร่ำลาสั่งเสียเพื่อนฝูงและศิษย์ ได้ถามลูกศิษย์ถึงมูลค่าปัจจัยในการเดินทาง ได้รับตอบว่าเหลือเพียง ๓๐ สตางค์ เฉพาะค่ารถจากวัดสระปทุมไปถึงสถานีหัวลำโพง จะต้องจ่ายถึง ๕๐ สตางค์ คิดแล้วค่ารถจากวัดไปถึงสถานีหัวลำโพงก็ไม่พอเสียแล้ว จึงได้กราบเรียนให้พระอาจารย์มั่นทราบ ท่านก็รับรองว่าจะจัดการให้

ก่อนจะถึงกำหนดเวลาประชุมเพลิงคุณนายน้อย ๑ วัน ท่านได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมที่บ้านเจ้าพระยามุขมนตรี เจ้าภาพได้ถวายผ้าไตร ๑ ไตร น้ำมันก๊าด ๑ ปีบ และเงิน ๘๐ บาท ท่านเล่าให้ฟังว่า ผ้าไตรได้ถวายพระวัดบรมนิวาส น้ำมันก๊าดถวายพระมหาสมบูรณ์ ปัจจัยได้แจกจ่ายแก่ผู้ไม่มี เหลือไว้พอดีค่ารถ ๒ คน คือเรากับท่าน เมื่อได้พักผ่อนพอสมควรแล้ว เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ก็ให้ท่านกลับขึ้นไปเมืองเหนือ ได้เดินทางขึ้นไปพักอยู่ที่วัดศัลยพงศ์ จ.อุตรดิตถ์ ก่อนที่จะขึ้นรถด่วนที่สถานีหัวลำโพง ได้พบโยมแม่ง้อ เนตรจำนงค์ ซึ่งจะได้ลงมาในงานฌาปนกิจศพคุณนายน้อยหรืออย่างไรไม่ทราบ โยมแม่ง้อเคยเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น จึงได้รับเป็นโยมอุปัฏฐาก ขณะเดินทางในรถไฟไปตลอดทาง เมื่อเดินทางถึง จ.อุตรดิตถ์ แล้ว ได้ไปพักอยู่ที่วัดศัลยพงศ์หลายวัน แล้วได้ออกไปพักอยู่ในป่าละเมาะแห่งหนึ่งห่างจากกุฏิ เป็นที่เงียบสงัดวิเวกทั้งเวลากลางวันและกลางคืน

วันหนึ่งได้เกิดขัดใจกับพระอาจารย์ ท่านก็ได้เอะอะขับไล่ให้หนี ตัวเราเองก็รู้สึกชักโมโห รู้สึกฉิวๆ อยู่ในใจ แต่ก็อดกลั้นไว้มิได้แสดงความโกรธออกมา ได้เคยปฏิบัติท่านมาอย่างไร ก็คงทำไปอย่างนั้น ก็ได้อยู่กับท่านตลอดมา รุ่งขึ้นวันใหม่เดือนยี่จวนจะสิ้นเดือน ได้รับข่าวว่าศิษย์คนหนึ่งทาง จ.เชียงใหม่ ป่วยหนัก มีพระ ๒ รูปติดตามพระอาจารย์มั่น เมื่อแจ้งข่าวให้ทราบ เสร็จแล้วพระ ๒ รูปนั้นก็เดินทางไป จ.พระนคร ในสมัยนั้นพระอาจารย์ตันเป็นเจ้าอธิการวัดศัลยพงศ์ วัดศัลยพงศ์นี้เจ้าคุณพระอุบาลีฯ วัดบรมนิวาส เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างเป็นคนแรก

จากจังหวัดอุตรดิตถ์ เรากับพระอาจารย์มั่นได้ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อนายเบี้ยว อยู่ อ.สันกำแพง มีอาการป่วยหนักมาก พี่ชายและพี่สะใภ้ได้นำตัวไปให้พระอาจารย์มั่น โรคที่นายเบี้ยวเป็นนั้นคือโรคจิต ในปีนั้นได้อยู่จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง มีพระกรรมฐานที่เป็นเพื่อนฝูงพักอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ต่างคนต่างไปจำพรรษาอยู่ตามบ้านนอก แม้ตัวเราเองท่านก็ให้ออกไป แต่เราไม่ยอมไป โดยเรียนท่านว่าเราตั้งใจจะอยู่ปฏิบัติพระอาจารย์จนตลอดพรรษา ท่านก็ยินยอม ตกลงจึงได้อยู่กับท่าน

ปีนั้นตรงกับ พ.ศ. ๒๔๗๕ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ได้มรณภาพในพรรษานั้น ระหว่างเข้าพรรษาได้ตั้งใจปฏิบัติกับพระอาจารย์อย่างใกล้ชิด ท่านก็ได้ทรมานสั่งสอนทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาตอนเย็นก็ได้นั่งสมาธิอยู่บนองค์พระเจดีย์ทางทิศเหนือ มีพระพุทธรูปใหญ่องค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้ยังคงมีอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ท่านบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นมหามงคล เคยมีพระบรมธาตุเสร็จมาบ่อยๆ ให้ไปนั่งสมาธิตรงนั้น ก็ได้ทำตามท่านบอกทุกอย่าง บางวันนั่งจนไม่ได้นอน ระหว่างที่พักอยู่กุฏิหลังเล็กๆ ในป่าดงกล้วย กุฏิหลังนี้คุณนายทิพย์และหลวงยง ผู้กำกับการตำรวจ เป็นผู้สร้างถวาย นายทิพย์ เสมียนคลังจังหวัด กับภริยาคือนางตา ได้ปฏิบัติส่งเสียอาหารพระอาจารย์เป็นอย่างดี ในระหว่างพรรษาก็ได้ออกติดตามบิณฑบาตกับท่านเป็นนิจ ระหว่างเดินบิณฑบาตท่านได้สอนกรรมฐานเตือนอกเตือนใจอยู่เสมอ พอเห็นผู้หญิงสวยๆ งามๆ ท่านก็บอกว่า “มองดูทีรึนั่นเป็นอย่างไร สวยไหม ดูให้ดีๆ ดูเข้าไปข้างใน” ไม่ว่าจะเห็นอะไร เช่นบ้านหรือถนน ท่านก็คอยสอนเตือนใจทุกวัน

เวลานั้นอายุเพิ่งได้ ๒๖ ปี พรรษา ๕ กำลังหนุ่ม ท่านก็คอยตักเตือนอยู่เสมอ รู้สึกว่าท่านสนใจในตัวเรามาก แต่มีที่แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องใช้บริขารของเราดีๆ ใหม่ๆ ท่านคอยชี้มือบอกให้ย้อม ให้ซัก ให้ทำลายสีเดิม ของดีๆ ก็ไม่ค่อยยอมให้ใช้ บางทีก็ขอเอาไปให้คนอื่น ตัวเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านมีความหมายอย่างไร พูดหลายครั้งหลายหนเข้า เราไม่ทำตาม เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ซึ่งเป็นสีขาว ก็ให้ย้อมเป็นสีแก่นขนุน ถ้าเราทำเฉยไม่ย้อม ท่านก็ลงมือย้อมให้เอง ชอบหาจีวรสบงเก่าๆ ขาด ๆ มาปะแล้วก็ให้เราใช้สอย

วันหนึ่งเดินออกไปบิณฑบาตพร้อมกับท่าน เดินไปทางสถานีตำรวจ ได้เดินสวนทางกับหญิงหาบของขายในตลาด แต่ก็ใจดีเหลือเกินไม่ได้เดินออกจากทางบิณฑบาต สำรวมใจแน่วแน่ สำรวมตนเต็มที่ ต่อมาอีกวันหนึ่งได้เดินตามท่านไปบิณฑบาต เราเดินห่างจากท่านนิดหน่อย ท่านเดินเร็ว แต่เราเดินช้า เห็นท่านเอาเท้าเตะกางเกงขาดของตำรวจที่ทิ้งไว้ข้างถนน ท่านเตะไปเตะมา เราก็นึกในใจว่าเราต้องเข้าในทางเสมอ พอถึงรั้วสถานีตำรวจ ท่านก็ก้มลงเก็บกางเกงขาดตัวนั้นเหน็บไว้ใต้จีวร เราก็แปลกใจว่าของเขาทิ้งแล้วท่านจะเอาไปทำไมกัน เมื่อกลับถึงกุฏิแล้วท่านก็นำเอาไปพาดไว้ที่ราวผ้าแห่งหนึ่ง เราก็ได้ทำการปัดกวาดปูอาสนะ เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องปูที่นั่งที่นอนของท่าน บางวันท่านก็ดุเอาว่า ทำอะไรไม่เรียบร้อย แต่ไม่ยอมบอกว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจ เราก็ต้องพยายามทำให้ถูกใจท่านทุกเวลา จึงกระนั้นก็ต้องถูกเคี่ยวเข็ญอยู่จนตลอดพรรษา

ต่อมาวันหลังได้เห็นกางเกงขาดตัวนั้น กลายเป็นถุงย่ามและสายรัดประคดห้อยแขวนอยู่ด้วยกันที่ข้างฝา วันหนึ่งท่านบอกว่าถุงย่ามใบนี้และรัดประคดอันนี้เอาไปใช้เสีย เรารับเอามามองดูมีแต่รอยปะหลายแห่ง ของดีๆ ก็มีอยู่แต่ท่านไม่ยอมให้ การได้ปฏิบัติพระอาจารย์นี้เป็นการดีที่สุด ยากที่สุด ต้องยอมฝึกหัดทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นนักสังเกตที่ดี และละเอียดรอบคอบจึงจะอยู่ได้ เวลาเดินพื้นกระดานทำเสียงดังไม่ได้ เดินไปแล้วมีรอยเท้าติดพื้นก็ไม่ได้ เวลากลืนน้ำเสียงดังก็ไม่ได้ เวลาเปิดประตูมีเสียงดังไม่ได้ เวลาตากผ้า เก็บผ้า พับผ้า ปูที่นั่ง ที่นอน ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำอย่างเป็นผู้มีวิชา มิฉะนั้นจะต้องถูกไล่หนีทั้งๆ กลางพรรษา แต่ถึงอย่างนั้นต้องอดทน พยายามใช้ความสังเกตของตน บางวันเมื่อฉันแล้ว จัดแจงเก็บบาตร เก็บจีวร ผ้าปูนั่ง ปูนอน กระโถน กาน้ำ หมอน ฯลฯ และทุกสิ่งทุกอย่างในห้องของท่าน ต้องเข้าไปจัดไว้ก่อน ท่านเข้าไปข้างใน จัดเสร็จแล้วก็จดจำไว้ในใจแล้วรีบกลับออกไปอยู่ในห้องของตน ซึ่งกั้นไว้ด้วยใบตองเจาะช่องฝาไว้พอมองเห็นบริขารในห้องของท่าน เมื่อท่านเข้าไปในห้องแล้ว เห็นท่านมองข้างล่าง ข้างบน ตรวจตราดูบริขารของท่าน บางอย่างท่านก็หยิบย้ายที่ บางอย่างท่านก็ปล่อยวางที่เดิมไม่จับต้อง เราก็ต้องคอยมองดูแล้วจดจำเอาไว้ วันหลังก็ทำใหม่ จัดใหม่ให้ถูกต้องอย่างที่ท่านทำ ว่าท่านทำเองท่านทำอย่างไร เราก็จัดทำอย่างที่เรามองเห็น

ต่อมาวันหลังเมื่อเข้าไปจัดเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องของตน มองลอดช่องฝาสังเกตดูว่าเวลาท่านเข้าไปในห้อง เห็นท่านเข้าไปแล้วนั่งนิ่ง มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง มองดูข้างบน ข้างล่าง แล้วก็ไม่จับต้องอะไรอีก ผ้าปูนอนก็ไม่กลับ แล้วท่านก็กราบพระ สักครู่หนึ่งท่านก็จำวัด เมื่อเห็นเช่นนี้ เราก็ดีใจว่าได้ปฏิบัติเป็นที่ถูกอกถูกใจพระอาจารย์ นอกจากเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ในการนั่งสมาธิก็ดี เดินจงกรมก็ดี ก็ได้ฝึกหัดจากท่านไปจนเป็นที่พอใจทุกอย่าง แต่ก็เอาอย่างท่านได้อย่างมาก ๖๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

อยู่ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้ว ทางวัดบรมนิวาสได้จัดงานเพื่อฌาปนกิจศพ เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) พระผู้ใหญ่ที่อยู่วัดเจดีย์หลวงได้ทยอยมาเพื่อช่วยงานเกือบหมด เจ้าอาวาสได้มอบให้พระอาจารย์มั่นเฝ้าวัดเจดีย์หลวง เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจ ได้เห็นหนังสือฉบับหนึ่งมีถึงพระอาจารย์มั่น ตั้งให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้เปิดออกอ่านมีใจความว่า พระอาจารย์มั่น ขอให้ท่านรับเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง พร้อมทั้งตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ สั่งให้เจ้าแก้วนวรัตน ณ เชียงใหม่ เป็นผู้เเทนการ ขอให้พระอาจารย์มั่นทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสเดิมต่อไป สรุปได้ใจความสั้นๆ อย่างนี้ พอพระอาจารย์มั่นได้ทราบเรื่องราวแล้ว ท่านก็เรียกไปหาแล้วพูดว่า “เราต้องออกจากวัดเจดีย์หลวงไปอยู่ที่อื่น”


(มีต่อ ๒)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อยู่ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วได้ ๒ วัน ท่านได้สั่งให้เราไปวิเวกบนหลังดอยจังหวัดลำพูน ซึ่งเคยเป็นที่พักของท่านมาแต่ก่อน ได้พักอยู่ที่ตีนเขาประมาณ ๑๐ กว่าวัน ต่อมาเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงได้ปรากฏเหตุการณ์คล้ายๆ กับว่ามีคนมาบอก ได้ยินทางหูขณะกำลังนั่งสมาธิว่า ท่านต้องขึ้นไปอยู่บนยอดเขาในวันพรุ่งนี้ พอรุ่งขึ้น ก่อนเดินทางถึงยอดเขาได้ไปพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งเป็นวัดร้างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วันใดที่ตรงกับวันพระมักจะปรากฏมีแสงสว่างเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ป่านั้นเป็นป่าลึก มีเสือและช้างชุม เดินทางไปคนเดียว กลัวก็กลัว กล้าก็กล้า แต่เชื่อมั่นในอำนาจธรรมและพระอาจารย์ ได้ค้างนอนอยู่ ๒ คืน คืนแรกสงบสบายดี คืนที่สองเวลาประมาณ ๑ หรือ ๒ นาฬิกา ได้มีสัตว์ป่าคือเสือมารบกวน คืนนั้นเป็นอันไม่ได้นอน นั่งสมาธิตัวแข็ง เสือก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ กลด รู้สึกว่าตัวแข็งและมึนชา สวดมนต์ก็คล่องแคล่วเหมือนน้ำไหล ที่ลืมแล้วก็นึกได้ ด้วยอำนาจแห่งการสำรวมจิตและคิดกลัว นั่งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เวลา ๒ นาฬิกา ถึง ๕ นาฬิกา เสือตัวนั้นจึงได้หนีไป

รุ่งขึ้นได้เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านเพียง ๒ หลังคา เจ้าของบ้านออกไปทำสวนชั่วคราว เมื่อพบกับเขาๆ เล่าว่าเมื่อคืนนี้มีเสือมากินวัว เราก็นึกกลัวมากขึ้น ในที่สุดเมื่อฉันอาหารแล้วได้เดินทางขึ้นไปบนยอดดอย เมื่อขึ้นไปยอดดอยแล้วมองลงไปเบื้องล่างจะแลเห็นพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน ดอยลูกนี้เขาเรียกกันว่า ดอยค่อม่อ (ดอยหัวแม่มือ) บนหลังดอยมีบ่อน้ำลึกแห่งหนึ่ง หยั่งไม่ถึง มีน้ำในสะอาด มีเศียรพระพุทธรูปตั้งอยู่รอบบ่อเดินลงจากพื้นราบ เหยียบหินลึกลงไปประมาณ ๒ เมตรก็ถึงน้ำ เขาเล่ากันว่าเวลามีคนตกลงไปในบ่อไม่จมน้ำ จะดำน้ำก็ดำไม่ได้ ถ้าเป็นผู้หญิงลงไม่ได้เด็ดขาด ขืนลงไปจะต้องมีอาการชัก ดอยนี้ชาวบ้านถือกันว่าเป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า มีปีศาจสำคัญ ๑ ตนอยู่ประจำที่ดอยนี้ แต่ไม่เป็นไร เขาไม่รบกวนอะไร เพราะเขารู้จักพระธรรมและพระสงฆ์

วันแรกที่ขึ้นไปถึงยอดดอย พอวันรุ่งขึ้นไม่ได้ฉันอาหาร ถึงเวลากลางคืนเป็นลมตลอดคืน รู้สึกว่าดอยนั้นไหวเหมือนเรือลอยอยู่กลางทะเลมีคลื่นลมจัด แต่จิตดีไม่หวาดกลัวอะไร วันที่สองได้นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่ในบริเวณวิหารเก่า สถานที่พักอยู่ห่างหมู่บ้านที่จะไปบิณฑบาตได้ประมาณระยะทาง ๘๐ เส้น จึงได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า เราจะไม่ฉันจังหัน ถ้าไม่มีคนมาส่งถึงที่ ในคืนนั้นรู้สึกว่าปวดท้อง มีลมกวน แต่ไม่เหมือนวันก่อน พอเวลาประมาณ ๕.๐๐ นาฬิกาเศษ ใกล้จะสว่าง ได้ยินเสียงดังฮึดๆ ฮาดๆ ข้างวิหาร ครั้งแรกนึกว่าเสือ แต่ฟังๆ ไปคล้ายเสียงคน แต่ดอยด้านนั้นชันมาก ถ้าจะปีนขึ้นพอปีนได้ แต่ถ้าจะปีนลงรับรองว่าลงไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นจะมีใครขึ้นมา นึกสงสัยอยู่ในใจแต่ยังไม่กล้าออกจากกลดและวิหารร้าง

รอจนสว่างรุ่งอรุณจึงได้ลุกออกจากกลดเดินออกมาข้างนอกวิหาร ได้พบหญิงชราคนหนึ่งอายุประมาณ ๗๐ ปี มานั่งพนมมือถือข้าวห่อใบตองมา ๑ ห่อ ขอใส่บาตร พร้อมทั้งถวายยาให้ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นรากไม้ อีกอย่างหนึ่งเป็นเปลือกไม้ แล้วกล่าวว่า ขอให้ท่านใช้ยานี้ฝนกินพร้อมกับอธิษฐานเอาแล้วจะหายปวดท้อง ขณะนั้นเรากำลังถือเคร่ง ไม่กล้าพูดกับผู้หญิงหลายคำ พอรับบิณฑบาตแล้วก็ฉันข้าวเหนียวแดงหนึ่งก้อน และยา ๒ ชิ้นนั้น เสร็จแล้วได้ยถาสัพพีให้แก แกก็ลากลับเดินหายไปทางทิศตะวันตกของดอย

ต่อมาเวลาบ่ายประมาณ ๕ โมงเย็น มีคนถือจดหมายของพระอาจารย์มั่นขึ้นไปให้บนยอดดอย ในจดหมายนั้นมีใจความว่า ให้ท่านรีบเดินทางกลับวัดโดยด่วน เพราะผมจะต้องออกเดินทางจากวัดเจดีย์หลวงในตอนเช้า เพราะรถด่วนจะถึงเชียงใหม่ในตอนเย็น พอทราบเช่นนี้ก็รีบเดินทางลงจากยอดดอยเดินทางมาถึงหมู่บ้านป่าเห้ว พอดีพลบค่ำจึงได้ไปพักในป่าช้า ๑ คืน แล้วออกเดินทางต่อเข้าเมือง ได้ทราบพระอาจารย์มั่นเดินทางออกจากวัดเจดีย์หลวงตั้งแต่เช้า สอบถามดูก็ไม่มีใครทราบว่าไปทางไหน ตกลงเราเองก็ไม่รู้ว่าจะติดตามไปทางไหนจึงจะพบ แต่นึกในใจว่าท่านคงออกจากเชียงใหม่ไปทางเชียงตุง ฉะนั้นต้องรีบติดตามไปทางเชียงตุงโดยด่วน แต่ยังไปไม่ได้เพราะจำได้ว่าท่านเคยสั่งไว้ในระหว่างเข้าพรรษา ๒ อย่างคือ

๑. ท่านสั่งว่า ให้คุณช่วยฉันนะในเรื่องข้อปฏิบัติ เพราะฉันมองไม่ใครเห็นใครที่จะช่วยได้ ตัวเองก็ไม่เคยนึก และไม่สนใจว่า ท่านหมายความว่าอย่างไร

๒. ท่านสั่งว่า จังหวัดเชียงใหม่นี้เป็นสถานที่อาศัยวิเวกของบรรดานักปราชญ์ในกาลก่อน ฉะนั้น ก่อนที่ท่านจะออกจากจังหวัดนี้ให้ท่านไปวิเวกอยู่บนดอยค่อม่อแห่งหนึ่ง ให้ไปพักวิเวกในถ้ำบวบทองแห่งหนึ่ง และให้ไปพักวิเวกอยู่ในถ้ำเชียงดาวอีกแห่งหนึ่ง

ได้พักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ๒-๓ วัน แล้วก็ออกเดินทางจากวัดไปถึงอำเภอสะเก็ด ได้เข้าไปพักในถ้ำมืด บ้านเมืองอ่อน ถ้ำนี้เป็นแปลกน่าอัศจรรย์ บนยอดเขามีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง สันนิษฐานไม่ได้ว่าสร้างไว้แต่ครั้งไหน กลางเขามีช่องโหว่เป็นรูลึกลงไปในพื้นเขา เดินลงไปพบท่อนไม้สักทอดเป็นสะพานข้ามเหว เดินไต่ไปตามท่อนไม้สักจนถึงแท่นหินอีกฟากหนึ่งของเหว ปรากฏว่ามีลานหินกว้างขวาง เดินต่อไปอีกสักพักก็มีแต่ความมืดมองไม่เห็นแสงสว่าง จึงได้จุดไฟแล้วเดินต่อไปอีก ไปพบสะพานอีกแห่งหนึ่งใช้ซุงไม้สักทั้งต้นพาดไปยังก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง ถึงตอนนี้รู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็น

เมื่อเดินข้ามสะพานนี้ไป ก็ไปถึงลานหินราบเรียบกว้างขวาง คะเนดูว่าบรรจุคนได้ไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ คน ภายในพื้นถ้ำเป็นคลื่น ดูคล้ายน้ำพัดเป็นระลอก ได้พบหน่อหินหน่อหนึ่งเป็นของแปลกประหลาดมาก หน่อหินนี้โตประมาณ ๒ อ้อมแขน สูงประมาณ ๓ วา ๓ ศอก ๑ คืบ สีขาวเหมือนปุยเมฆ ตั้งตรงพุ่งขึ้นบนเพดาน รอบๆ หน่อหินก้อนนี้มีหินเป็นปุ่มๆ เหมือนปุ่มฆ้องติดๆ กันไป ลักษณะที่เป็นปุ่มๆ สูงประมาณ ๑ ศอก ระหว่างปุ่มลึกแลดูราบรื่นขาวโพลนสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่อากาศทึบ ไม่มีแสงสว่างเข้าถึง

ท่านอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟังว่า ในพื้นถ้ำนั้นมีพญานาคเข้าไปนมัสการ ท่านบอกว่าหน่อหินก้อนนี้เป็นพระเจดีย์ของพญานาค นึกอยากจะนอนอยู่สัก ๑ คืน แต่อากาศทึบรู้สึกอึดอัดมาก หายใจไม่ค่อยสะดวกจึงไม่กล้าอยู่ จึงได้เดินทางกลับออกมา เขาลูกนี้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ภูเขาลูกนี้ร้องเสียงดัง ถ้าปีไหนมีเสียงร้องดังมาก มีฝนดี ทำนาทำไร่ได้ผลมาก

วันนั้นได้เดินทางกลับมาพักอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง เขต อ.ดอยสะเก็ด เมื่อได้พักผ่อนพอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางต่อไปยังบ้านโป่ง ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อเขียน เคยอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น จึงได้ถามท่านว่า ทราบหรือไม่ว่าพระอาจารย์ไปไหน ได้รับตอบว่า ไม่ทราบ จึงชวนพระเขียนเดินทางธุดงค์ไป อ.ดอยสะเก็ดอีก ได้ไปพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง อยู่ไกลจากหมู่บ้านมากตั้งอยู่ในกลางดงลึก เขาเรียกว่า ถ้ำบวบทอง ที่เรียกอย่างนี้เพราะภายในถ้ำนี้มีขี้ทองคำไหลออกมาติดอยู่ในแอ่งน้ำ ก่อนจะไปถึงถ้ำแห่งนี้ต้องเดินบุกป่าไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เราสองคนกับพระเขียนได้พากันไปวิเวกอยู่ภายในถ้ำบวบทองนั้น ซึ่งที่ถ้ำแห่งนี้ชาวบ้านญาติโยมลือกันว่ามีผีดุมาก ถ้าใครเข้าไปค้างคืนในถ้ำ ขณะนอนหลับอยู่จะมีผู้มาเหยียบขาบ้าง เหยียบท้องบ้าง เหยียบหลังบ้าง ทำให้คนกลัวกันมาก เมื่อได้ยินข่าวลืออย่างนี้ เราจึงต้องการจะพิสูจน์ว่ามีความจริงเป็นประการใด จึงได้ไปพักค้างอยู่ ๑ คืน

พระอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า พระภิกษุชัยเคยเดินทางไปค้างในถ้ำนี้ ๑ คืน ไม่ได้นอนตลอดคืน ได้ยินแต่เสียงคนเดินเหยียบหินเข้าๆ ออกๆ ทั้งคืน ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่ลึกมาก แต่ท่านเคยสั่งให้เราไปที่ถ้ำนี้ ผลการพิสูจน์ปรากฏว่า ไม่ได้พบและไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในคืนนั้น ออกจากถ้ำบวบทองได้ลงมาพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้พบพระภิกษุอีกองค์หนึ่งชื่อเชย จึงได้ร่วมสนทนากันเป็นที่ถูกอัธยาศัย จึงชวนกันไปเดินธุดงค์ในละแวกอำเภอดอยสะเก็ดอีก ส่วนพระภิกษุเขียนได้ลาแยกทางไปพักที่บ้านโป่งตามเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างเดินธุดงค์กับพระเชย โยมได้สร้างที่พักให้ในกลางป่าช้าอันกว้างใหญ่ บริเวณป่าช้าแห่งนี้มีหลุมฝังศพอยู่ทั่วไป ซึ่งเต็มไปด้วยกองฟอนเผาผี มีแต่กระดูกขาวโพลนไปหมด ได้พักอยู่กับพระเชย ณ บริเวณป่าช้านั้นเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งโยมได้นิมนต์พระเชยไปพักอยู่ ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง เราต้องพักอยู่คนเดียว ที่พักอยู่ห่างกองฟอนเผาผีประมาณ ๓ วา รุ่งขึ้นเช้าอีกวันหนึ่ง มีโยมถือกรวยดอกไม้ธูปเทียนมาตั้งแต่ดึก แล้วบอกกับเราว่าจะเอาลูกศิษย์มาถวาย ก็นึกอุ่นใจว่าต่อไปนี้เห็นจะหายกลัว เพราะขณะนั้นตัวเองก็รู้สึกกลัวมาหลายวันแล้ว นั่งสมาธิจนรู้สึกว่าตัวชาไปหมด วันนั้นพอฉันแล้ว เวลาสายได้เห็นชาวบ้านหลายคนได้หามศพคนตายมาด้วย ศพนั้นไม่ได้ใส่โลงแต่ใช้ผ้าพันไว้ พอเห็นศพก็นึกในใจว่าคราวนี้เราแย่ จะหนีไปหรือก็รู้สึกอายชาวบ้านญาติโยม จะอยู่ต่อไปหรือก็กลัว นึกขึ้นมาได้ว่าที่โยมพูดเมื่อวันก่อนว่าจะถวายลูกศิษย์ คงจะเป็นศพๆ นี้เอง

พอตกบ่ายเวลาประมาณ ๔ โมงเย็น โยมได้ทำการเผาศพนั้นใกล้ๆ ที่นอนของตัว ทำให้ได้เห็นศพนั้นชัด ขณะศพนั้นถูกไฟเผาได้ยกแขนยืดขาขึ้น ตัวเหลืองประดุจทาขมิ้น เผาอยู่จนค่ำตัวขาดแค่บั้นเอว ตัวยังดำอยู่ในกองไฟ พอใกล้เวลาค่ำโยมพากันลากลับไปหมด เหลือเราอยู่คนเดียว จึงรีบเข้าไปในกระต๊อบฝาใบตองทันที นั่งสมาธิห้ามจิตไม่ให้ออกไปนอกกระต๊อบ จนกระทั่งหูดับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่มีสัญญากำหนดรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ความกลัว ความกล้าไม่มี แต่จิตยังมีความรู้สึกประจำใจอยู่จนกระทั่งสว่าง

พอดีพระเชยเดินทางกลับมา เมื่อมีเพื่อนเราก็ค่อยอุ่นใจ ปกติพระภิกษุเชยชอบเทศน์ ชอบคุยธรรมให้เราฟังเสมอๆ เราเองได้แต่นั่งฟังเฉยๆ แต่พอจะจับสำเนียงเสียงพูดได้ว่า ทำไม่ได้จริงเหมือนอย่างที่พูด คือครั้งหนึ่งเคยมีโยมคนหนึ่งมาถามว่า ท่านกลัวผีไหม พระภิกษุเชยก็ไม่ตอบไปว่ากลัวหรือไม่กลัว แต่กลับตอบว่า กลัวทำไม คนตายแล้วไม่มีอะไร วัวควาย เป็ดไก่ เมื่อตายแล้วโยมยังกินได้ ท่านชอบพูดอย่างนี้เสมอมา เราได้ยินแล้วก็นึกในใจว่า พระอวดดีไม่แสดงความกลัวให้โยมทราบ อย่ากระนั้นเลยวันพรุ่งนี้ เราจะต้องทดลองเพื่อนคนนี้ดูว่าจะจริงแค่ไหน พอดีมีโยมในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางอำเภอสะเก็ดดอยมานิมนต์ไป ดังนั้นจงให้พระภิกษุเชยอยู่เฝ้าที่พัก ตัวเราเองเป็นผู้รับนิมนต์ เป็นอันว่าตกลงตามนี้ เราจึงได้เดินทางไปกับโยม วันรุ่งขึ้นกลับมาที่พักไม่พบพระภิกษุเชย ได้ความว่าในคืนวันที่เรารับนิมนต์ไปในหมู่บ้านนั้น มีคนเอาเด็กผู้หญิงที่ตายแล้วคนหนึ่งมาฝังที่ป่าช้าในเวลาดึก พระภิกษุเชยเห็นเช่นนั้นก็รีบเก็บกลดเก็บบาตรและจีวรแล้วเปิดหนีไปในคืนวันนั้น

ตั้งแต่บัดนั้นก็ได้จากกันกับพระภิกษุเชย ต่างคนต่างไปคนละทาง เราเองก็มุ่งเดินทางกลับไปหาพระเขียนที่บ้านโป่ง แล้วได้พักอยู่พระเขียนเป็นเวลา ๓-๔ วัน ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางจากบ้านโป่ง ผ่านตำบลแห่งหนึ่งเรียกว่า ห้วยอ้อมแก้ว มีซากวัดเก่าผุๆ พระพุทธรูปเก่าๆ เมื่อได้ทราบดังนี้ก็อยากไปดูสถานที่นั้น ถึงระยะนี้รู้สึกเบื่อโยมเบื่อเพื่อน ไม่อยากอยู่กับมนุษย์ คิดแต่อยากจะขึ้นไปอยู่บนยอดดอยแต่เพียงคนเดียว เมื่อเดินทางไปถึงห้วยอ้อมแก้วจึงเลิกไม่ยอมฉันอาหาร ฉันแต่ใบมะเดื่อและใบขี้เหล็ก เพื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งยากกับมนุษย์อีกต่อไป บริเวณสถานที่นี้มีห้วยอ้อมวกไปเวียนมาเป็นห้วยตื้นๆ แต่สงบเงียบสงัดวิเวกดีมาก

อยู่มาวันหนึ่ง เวลากลางคืน ขณะกำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่ในกระต๊อบมืดๆ ได้รู้สึกว่าปรากฏมีแสงสว่างกลมโตกว้างยาวประมาณ ๑.๕๐ เมตร แสงนั้นพุ่งมาจากยอดเขาสูงแล้วมาจ่ออยู่ข้างกระต๊อบ คืนนั้นจึงได้นั่งสมาธิอยู่ตลอดคืนจนกระทั่งสว่างคาที่ นั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรู้สึกว่า ลมหายใจหยุด ลมไม่เดิน เงียบสนิท รู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอน

ต่อมาวันหลังได้เคลื่อนย้ายลงไปอยู่ในเกาะอ้อมแก้ว เพราะมีโยมคนหนึ่งได้มีศรัทธาสร้างกระต๊อบเล็กๆ ให้หลังหนึ่ง ยกพื้นพอพ้นพื้นดิน ฝาใบตอง เมื่อเข้าอยู่ในสถานที่นี้แล้ว ได้ทำความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว อดนอน ฉันแต่น้อย วันหนึ่งๆ ฉันแต่ใบมะเดื่อและใบขี้เหล็ก ๔ กำมือ ในวันแรกรู้สึกว่าสบายดี และไม่ปรากฏเหตุการณ์อะไร ถึงวันที่สองเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม หลังจากสวดมนต์และได้เดินจงกรมเสร็จแล้ว ได้ล้มตัวลงนอนหงายปล่อยอารมณ์พักผ่อนตามสบาย เลยหลับไป ในขณะนอนหลับอยู่นั้นได้ปรากฏเหตุการณ์ขึ้น คือมีหญิงคนหนึ่งรูปร่างอ้วนท้วน สวมเสื้อนุ่งผ้าถุง ใบหน้าขาว รูปร่างสวย เขาบอกว่า เขาชื่อนางสีดา ยังเป็นสาวโสด ไม่มีสามี ต้องการมาอยู่กับท่าน ในนิมิตฝันนั้นรู้สึกว่าเขาต้องการมีสามี

จึงได้ถามเขาว่า “เธออยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า อยู่บนยอดเขาสูง บนนั้นมีสถานที่กว้างขวางมีบ้านหลายหลัง อยู่สบายดี ขอให้ไปเป็นสามีของเขา แต่เราไม่ยอม เขาได้อ้อนวอนอยู่หลายอย่างหลายประการ แต่เราก็คงยืนกระต่ายขาเดียว เขาจึงพูดว่า เมื่อไม่ยอมเป็นสามีก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้สมสู่เป็นชู้กัน เราก็คงยืนกรานไม่ยอมอีก ผลที่สุดเมื่อเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ดังที่ปรารถนา จึงได้ตกลงกันว่าขอให้เราทั้งสองนับถือเป็นเพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมกันก็แล้วกัน เมื่อได้ทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็จากไป

ในวันนั้นเวลากลางวัน ประมาณบ่าย ๒ โมงเศษ เราได้ไปอาบน้ำที่ห้วย มีขอนใหญ่ล้มขวางห้วยอยู่ โยมเล่าให้ฟังว่าห้วยนี้สำคัญนัก ตรงที่น้ำไหลออกมีพระเจดีย์องค์เล็กๆ องค์หนึ่ง แต่เป็นการน่าประหลาดว่า พระเจดีย์องค์นี้บางคราวคนก็เห็น บางคราวก็ไม่เห็น ได้ฟังโยมเล่าเรื่องแล้วตัวเองไม่สนใจ ก่อนอาบน้ำได้เก็บก้อนหินก้อนโตๆ มาอุดน้ำให้ล้นขอนเพื่ออาบได้ง่าย อาบเสร็จแล้วไม่ได้เก็บหินออก

ตอนเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากได้สวดมนต์และเดินจงกรมเสร็จแล้ว เวลาประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ได้ล้มตัวนอนเล่น ภาวนาไปก็ได้ปรากฏเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้งนึง รู้สึกเหมือนกับมีคนเอามือมาลูบขา ทำให้ตัวชาไปถึงบั้นเอวตลอดจนถึงศีรษะเกือบหมดความรู้สึกนึกว่าเป็นลม ก็รีบลุกขึ้นทำจิตให้เป็นสมาธิ จิตก็สงบแน่นิ่ง ใสสว่าง ตัดสินใจว่า ถ้าเราตาย เราต้องยอม ในใจก็นึกแต่ว่าเราเป็นลม เพราะกินแต่ใบมะเดื่อ และใบขี้เหล็กเป็นอาหาร พอจิตเข้าที่เบ่งตัว อาการที่เสียวชาไปหมดก็ค่อยคลายหายออก เปรียบประดุจก้อนเมฆลอยผ่านแสงอาทิตย์ คลายออกไปทั้งข้างบน ข้างล่าง จนกระทั่งอาการเช่นนั้นคลายออกไปหมด ดวงจิตก็กลับเป็นปกติ มีแสงสว่างพุ่งออกจากจิตไปจ่ออยู่ที่ขอนอาบน้ำในลำห้วย ว่าให้ไปเก็บก้อนหินออกให้หมด เพราะทางนั้นเป็นทางเดินของปีศาจ เมื่อได้ตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้นจึงได้ไปเก็บก้อนหินที่นำมาอุดไว้ออกหมด เพื่อให้น้ำไหลไปได้ตามปกติ

พอตอนค่ำวันนั้นก็ชักจะมีเหตุการณ์อย่างเดิมปรากฏขึ้นอีก แต่ไม่สู้รุนแรง มาปะทะแค่ฝากระต๊อบที่จำวัดอยู่เพียงไหวๆ แล้วก็หายเงียบไป จึงได้ล้มตัวนอนภาวนา เพราะรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วได้เคลิ้มหลับไป ฝันเห็นภาพๆ หนึ่ง มีสัตว์ชนิดหนึ่งตัวโตขนาดหมู เดินมาจากยอดน้ำตกเป็นฝูง หางสัตว์ที่เห็นนี้มีขนปุกปุยเหมือนหางกระรอก หัวเหมือนแพะ พากันเดินลงมาตามลำห้วยอย่างมากมายก่ายกอง ได้เดินผ่านที่จำวัดของเราไป ต่อมาสักครู่หนึ่งก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปี ใส่เสื้อสีครามนุ่งผ้าถุงสีครามยาวเลยหัวเข่าเล็กน้อย ในมือถือวัตถุอย่างหนึ่งไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร เขาได้พูดขึ้นว่าเขาเป็นคนประจำอยู่บนยอดน้ำตก เขาต้องออกเดินทางอย่างนี้ไปจนถึงทะเลเสมอๆ เขาบอกว่าเขาชื่อ นางจัน คืนหลังต่อมาก็ได้ทำการบำเพ็ญภาวนาอย่างเข้มแข็งแต่ไม่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น

ต่อจากนั้นก็ได้ออกเดินทางไปยังบ้านโป่ง ซึ่งเป็นสำนักเก่าของพระอาจารย์มั่น ได้พบกับพระภิกษุเขียน จึงได้ปรึกษาหารือกันว่า เราทั้งสองคนจะต้องออกติดตามพระอาจารย์มั่นให้พบให้ได้ เมื่อได้ตกลงกันแล้วก็พากันร่ำลาญาติโยมออกเดินทางไปยังถ้ำเชียงดาว ได้ขึ้นไปพักอาศัยอยู่ในถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งพระอาจารย์มั่นเคยมาพักแล้วเดินทางต่อไปถึงถ้ำเชียงดาว เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๓ บำเพ็ญความพากเพียรภาวนาทั้งเวลากลางวันและกลางคืน

ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๓ ได้ตั้งใจนั่งสมาธิเพื่อเป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นถึงเวลากลางคืนประมาณ ๓ ทุ่มเศษ จิตสงบแน่วแน่ดี ปรากฏลมและแสงสว่างพุ่งออกจากตัวโดยรอบในบริเวณนั้น ในขณะนั้นได้กำหนดลมหายใจอันละเอียดเกือบไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ใจเงียบ จิตสงบ รู้สึกว่าเวลานั้นลมในตัวไม่เดิน สงบนิ่งไปเฉยๆ จิตไม่มีความคิดปรุงแต่งใดๆ ทั้งหมด ความคิดหายไปอย่างไรไม่ทราบ แต่รู้สึกโล่งโปร่งสว่างสบายใจ เกิดมีอิสรภาพในตัวระงับทุกขเวทนาได้ทุกอย่าง

นั่งต่อไปอีก ๑ ชั่วโมง ก็ปรากฏธรรมบางข้อขึ้นในจิตโดยมีใจความสั้นๆ ว่า ให้เพ่งดู พิจารณาดู ภพ ชาติ ตาย เกิดอวิชชาว่าเป็นมาอย่างไร ได้ปรากฏนิมิตขึ้นเหมือนเรามองเห็นด้วยตาเปล่าว่า ความเกิดเหมือนฟ้าแลบ ความตายก็เหมือนฟ้าแลบ จึงได้เพ่งพิจารณาต่อไปถึงเหตุแห่งความเกิดและเหตุแห่งความตาย ได้เพ่งพิจารณาถึงคำว่าที่ว่า อวิชชา ความไม่รู้คือไม่รู้อะไร รู้อย่างไรจึงจะเรียกว่ารู้อวิชชา รู้อย่างไรจึงจะเรียกว่ารู้วิชา ได้ทบทวนเพ่งพินิจพิจารณาอยู่อย่างนี้ เป็นเวลาเกือบสว่าง เมื่อเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็ได้ออกจากสมาธิ รู้สึกตัวว่า ใจเบา กายเบา ปลอดโปรง อิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างมาก

วันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๓ ได้ออกเดินทางจากถ้ำเชียงดาว ไปพักอยู่ที่ถ้ำปากเพียงและถ้ำจันทร์ ต่างคนต่างอยู่กับพระภิกษุเขียน ไปพักอยู่ที่ถ้ำนี้ก็สบายดี ไม่มีเหตุการณ์อันใดปรากฏขึ้น

ต่อจากนี้ได้ออกเดินทางมุ่งไปอำเภอฝาง ไปพักอยู่ที่ถ้ำตับเต่า บริเวณถ้ำตับเต่าในสมัยนั้นยังไม่มีหมู่บ้านคน ได้ไปพบหลวงพ่อแก่ๆ องค์หนึ่งชื่อหลวงตาพา ได้เดินเข้าไปถึงตีนถ้ำ ปรากฏว่ามีสวนกล้วย สวนมะละกอ มีธารน้ำไหลใสสะอาด มีถ้ำใหญ่อยู่ ๒ ถ้ำ ถ้ำยาว ๑ ถ้ำ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปโบราณเก่าแก่ตั้งเรียงรายอยู่หลายสิบองค์ หลวงตาพาได้ทำการก่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่งในถ้ำนี้องค์ใหญ่โตมาก ครั้งแรกเดินเข้าไปหาท่านที่กุฏิไม่พบ จึงได้ลงเดินไปตามลำห้วยขึ้นเขาไปทางทิศตะวันออก ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งนุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อแขนสั้นสีแดงคล้ำเหมือนสีย้อมอวนใหม่ๆ ในมือถือมีดกำลังถางป่า ท่าทีแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม จึงเดินไปหาแล้วถามขึ้นว่า “หลวงพ่อพาอยู่ที่ไหน” พอมองเห็นตัวกันถนัด แกก็รีบเดินมาหาเราพร้อมทั้งถือมีดอยู่ในมือ เมื่อนั่งลงมองดูท่าทีกลายเป็นพระ แล้วแกก็พูดขึ้นว่า “ตัวฉันนี่แหละ หลวงพ่อพา” เราจึงได้แสดงความเคารพ หลังจากนั้นท่านได้พามายังที่พัก เมื่อถึงกุฏิแล้วได้เข้าไปถ่ายเสื้อถ่ายกางเกง ห่มจีวรสีคล้ำ มีผ้ารัดอก ในมือถือลูกประคำ แล้วท่านได้เล่าเรื่องถ้ำต่างๆ ให้ฟัง พร้อมทั้งพูดว่า ถ้าอยากจะอยู่จำพรรษากับผมก็อยู่ได้ ถ้าเป็นศิษย์อาจารย์มั่น แต่อย่ามาถือผมไม่ได้นะ เพราะขณะนี้ผมกำลังสร้างพระพุทธรูป ต้องขายกล้วย ขายมะละกอ เพื่อรวบรวมเงินไว้สร้างพระพุทธรูป แต่ท่านฉันข้าวมื้อเดียว

ตอนเย็นหลวงพ่อพาท่านได้พาไปชมสวนกล้วย สวนมะละกอ ที่ท่านทำขึ้นแล้วชี้มือให้ดูพร้อมกับพูดว่า “ถ้าท่านอยากหรือหิว เก็บไปฉันได้ ไม่หวง แต่พระองค์อื่นห้าม เอาไม่ได้” เราเองก็ไม่เคยคิดอยากจะฉัน แต่ก็รู้สึกขอบใจที่ท่านมีความเมตตาแก่เรา ทุกเวลาเช้ามืดได้ให้ลูกศิษย์นำกล้วยและมะละกอมาถวายทุกวัน ได้สังเกตเห็นเรื่องน่าแปลกประหลาดอยู่หลายอย่าง เช่น นกยูงที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ไม่กลัวหลวงพ่อพา พวกนกเขาเวลาท่านฉันข้าว ท่านก็หว่านให้กินไป บางคราวจับตัวได้ พวกลิงพอถึงเวลาเย็นๆ พากันลงมากินมะละกอกันดื่นดาดไปหมด ถ้ามีชาวบ้านผ่านมาไหว้พระ สัตว์พวกนี้จะหนีไปหมด

ภายในถ้ำตับเต่านี้ มีพระพุทธรูปเก่าแก่อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนถ้ำยาวเวลาจะเข้าไปต้องจุดตะเกียงเจ้าพายุ เดินเข้าไปสูงบ้าง ต่ำบ้าง ผ่านซอกหินเข้าไปประมาณ ๓๐ นาที จะได้พบพระเจดีย์เล็กๆ องค์หนึ่งอยู่ในถ้ำลึก ใครจะไปสร้างไว้ในสมัยใดไม่มีใครทราบ เมื่อได้เที่ยวดูถ้ำพอสมควรแล้ว ก็ได้ออกเดินทางข้ามดงไปพักที่บ้านแม่น้ำกก บ้านนี้เป็นหมู่บ้านใหญ่ มีเนินเขาสูงอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ได้พักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ในเวลากลางคืนหนาวมาก ได้ยินแต่เสียงเสือร้องสวนไปสวนมาข้างๆ เขา ในหมู่บ้านนี่ไม่มีวัด แต่มีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่องค์หนึ่ง หน้าตักกว้างประมาณ ๑ ศอกคืบ รูปร่างสะสวย มีผู้ไปอาราธนามาจากกลางดง

ได้พักอยู่ในบ้านแม่น้ำกกเป็นเวลา ๒ คืน แล้วก็ได้ร่ำลาศรัทธาญาติโยมออกเดินทางต่อไป ได้เดินข้ามดงใหญ่ เดินทางตลอดเวลา ๒ คืน ไม่ได้พบหมู่บ้านเลย ตอนก่อนจะออกเดินทาง พอญาติโยมรู้เข้าก็พากันห้ามปราม เพราะระหว่างทางไม่มีหมู่บ้านที่จะบิณฑบาตได้ จึงได้พูดว่า “ไม่เป็นไรโยม ระยะเวลาเพียง ๒ วันเท่านั้น ฉันพอทนได้ ขอให้มีน้ำกินก็แล้วกัน” อยู่มาวันหนึ่งก่อนออกเดินทาง ขณะเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ขากลับได้พบโยมผู้ชายคนหนึ่งแจ้งว่าเขาเองก็จะออกเดินทางไปเชียงแสนในวันนี้ จึงได้เพื่อนเดินทางอีกคนหนึ่ง โดยได้มีโยมแก่ๆ คนหนึ่ง มาสั่งไว้ก่อนออกเดินทางว่า การเดินทางคราวนี้จะไปพบสถานที่ที่เขาบวงสรวงแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงสถานที่นี้ ถ้ายังไม่พลบค่ำไม่ควรนอน ให้ไปพักนอนที่อื่น เพราะที่ตรงนั้นผีป่าดุมาก ไม่ว่าใครไปพักนอนเป็นต้องถูกรบกวนนอนไม่หลับตลอดคืน บางคราวเป็นนก เป็นเสือ หรือเป็นกวาง มาคอยรบกวนไม่ให้นอนในเวลากลางคืน

ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินทางข้ามดงใหญ่ คณะที่เดินทางมีด้วยกัน ๓ คน คือ เรา พระภิกษุเขียน และโยมผู้ชาย เมื่อเดินเข้าดงไปก็ได้ไปพบสถานที่ที่เขาบวงสรวงดังกล่าวเข้าจริงๆ พระภิกษุเขียนได้ทราบเรื่องที่โยมแก่ได้สั่งไว้ จึงพูดว่า “ท่านอาจารย์อย่าพักที่นี่เลย” จึงได้ตอบว่า “ต้องพักเป็นอะไรก็รู้กันในคืนนี้” ตกลงก็ต้องพัก ณ ศาลาแห่งนี้ แล้วได้พูดกับโยมว่า “เครื่องบูชาเซ่นสรวงต่างๆ ให้โยมรื้อออกเอาไปเผาไฟให้หมด ผีอะไรจะมาดีกว่าพระ ฉันไม่กลัว” แต่ชำเลืองดูหน้าพระภิกษุเขียนเห็นหน้าซีดเซียวไปหมด

พอถึงเวลาค่ำ จึงได้ก่อไฟขึ้น นั่งประชุมทำวัตรสวดมนต์ แล้วบอกว่า ขอให้เชื่อมั่นในพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นจริงๆ ในคืนนั้นเราเองก็ได้ตั้งอธิษฐานเข้ารุกขมูล ผูกกลดติดกับต้นไม้ และใช้ท่อนไม้หนุนศีรษะ นอนอย่างทรมานตัว ไม่กลัวต่อความทุกข์ยากลำบาก ทุกคนให้นอนอยู่ห่างๆ กัน พอร้องเรียกได้ยินถึงกัน ต่างคนต่างอยู่ อย่าเห็นแก่นอนให้มากนัก เมื่อสั่งเสร็จแล้วต่างคนต่างก็เข้ากลดของตัว เนื่องด้วยได้ตรากตรำเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เรากำลังนั่งสวดมนต์อยู่ โยมลูกศิษย์กำลังนอนหลับ ได้ยินเสียงพระภิกษุเขียนนอนกรนและละเมอ แล้วก็เงียบไป ตัวเองก็ชักรู้สึกเหนื่อยจึงได้ล้มตัวเอนหลังลงนอน ประมาณสักครู่หนึ่งได้ยินเสียงเหมือนคนมากระซิบบอกว่า รีบลุกขึ้น จะมีเหตุ จึงสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงซู่ๆ ซ่าๆ ห่างจากที่พระภิกษุเขียนนอนอยู่ประมาณ ๕ วา จึงได้รีบจุดเทียน แล้วร้องเรียกปลุกให้ลุกขึ้นทุกคน ได้ก่อไฟขึ้นแล้วนั่งสวดมนต์อยู่กลางดงใหญ่อันเงียบสงัด นั่งสวดมนต์อยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงนกร้องแปลกหู ตรงกับคำเล่าของโยมว่า ถ้าได้ยินเสียงนกร้องชนิดนี้ห้ามนอน เพราะจะมีผีตะมอยมาดูดเลือดกิน ทุกคนจึงต้องนั่งอดนอนกันจนกระทั่งสว่าง ตอนเช้ามืดได้ต้มข้าวฉัน เมื่อฉันแล้วได้เดินดูรอบๆ ที่พัก ได้เห็นรอยเสือขุดดินเป็นทางยาวพร้อมทั้งขี้ใหม่ของมัน ในคืนนั้นได้ปรากฏเหตุขึ้นเพียงเท่านี้

รอจนสว่างเห็นลายมือก็ออกเดินทางต่อไปวันยังค่ำ ไปถึงภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งมีน้ำตกสะอาด เสียงน้ำตกดังสนั่นหวั่นไหว จึงได้พากันหยุดพักนอน ๑ คืน ในคืนนั้นไม่ปรากฏว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น ตื่นเช้าต้มข้าวต้ม ฉันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป พอถึงเวลาประมาณบ่าย ๑ โมง ได้พากันนั่งพักผ่อนอยู่ภายใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง โยมผู้ชายคนที่ไปด้วยกันก็เข้ามากราบลาจะรีบออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน จากกันตั้งแต่วันนั้นแล้วไม่ได้พบกันอีก สองคนกับพระภิกษุเขียนพากันเดินทางต่อไปจนเกือบมืดจึงถึงหมู่บ้านคน ได้ถามโยมในหมู่บ้านนั้นว่า เห็นโยมคนหนึ่งผ่านมาในหมู่บ้านนี้ไหม ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เรื่อง

วันรุ่งขึ้น ได้ออกเดินทางไปจนถึงเชียงแสน เข้าพักอาศัยอยู่ในสวนแห่งหนึ่งประมาณ ๒-๓ วัน แล้วก็ออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดเชียงราย เมื่อถึงจังหวัดเชียงรายแล้วได้ไปพักที่ป่าช้าเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกเมือง ก็ได้พบกับหลวงพ่อองค์หนึ่ง เคยเป็นลูกศิษย์เรามาตั้งแต่ยังไม่ได้บวชชื่อหลวงตาหมื่นหาญ ซึ่งหลวงตาได้พาไปแนะนำให้รู้จักผู้กำกับการตำรวจจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปจังหวัดลำปาง ผู้กำกับการก็ยินดีต้อนรับช่วยเหลือเต็มที่ ได้พาไปฝากกับรถยนต์โดยสาร จึงได้ขึ้นรถยนต์โดยสารเดินทางต่อไปถึง อ.พะเยา ได้ลงรถยนต์ที่ อ.พะเยา แล้วออกเดินทางต่อไปเดินผ่านถ้ำผาไท ทางรกมาก จนทะลุเข้าเขตจังหวัดลำปาง ได้ไปพักอยู่ในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสถานีลำปาง ๑ คืน รุ่งขึ้นได้ออกเดินทางต่อไปตามทางรถไฟ ไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่เขาเรียกว่า ถ้ำแก่งหลวง ได้พักอยู่ที่ถ้ำนี้เป็นเวลา ๓ คืน รู้สึกสบายเพราะเป็นสถานที่สงบสงัดดี ได้ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครสนใจใส่บาตร ต้องฉันข้าวเปล่าอยู่ ๒ วัน เกลือแม้แต่ก้อนเดียวก็ไม่มี

ถึงวันที่สามก่อนออกไปบิณฑบาตได้ตั้งอธิษฐานไว้ในใจว่า วันนี้ถ้าไม่มีกับข้าวตกลงในบาตร เราจะไม่ฉัน ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่ก้อนข้าวเหนียว เมื่อกลับมาถึงที่พัก ก็มานั่งคิดพิจารณาดูถึงการที่จะเดินทางต่อไปข้างหน้า จึงได้พูดกับพระภิกษุเขียนว่า วันนี้ผมจะเอาข้าว (ให้เป็น) ทานปลา ผมจะไม่ฉันจังหัน จะมีคนเอามาถวายมากเท่าไรผมก็ไม่ฉัน ท่านเขียนจะว่าอย่างไร จะยอมทำอย่างผมไหม พระภิกษุเขียนตอบว่า ผมทำอย่างท่านไม่ได้ เพราะฉันข้าวเปล่ามา ๒ วันแล้วชักจะอ่อนเพลีย จึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องออกเดินทางก่อน ท่านอยากฉัน ท่านก็ต้องอยู่ก่อน บางทีอาจมีคนเอามาถวาย พูดแล้วก็จัดเตรียมบริขารออกเดินทาง

นึกในใจว่า วันนี้จะไม่ขอข้าวใครกินโดยการเข้าไปบิณฑบาตและโดยการพูด ถ้ามีใครมาไหว้แล้วนิมนต์ให้ฉัน จึงจะฉัน ออกเดินทางไปได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็มีโยมหญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีประมาณ ๓ หลังคาเรือน ยกมือไหว้ขอนิมนต์ไปฉันอาหารในบ้าน แล้วก็พูดว่า เมื่อวานนี้สามีของดิฉันไปยิงเก้งได้มาตัวหนึ่ง นึกกลัวบาปจึงอยากทำบุญกับพระ ฉะนั้นขอนิมนต์ท่านไปให้ได้ เราเองก็รู้สึกหิวอยู่บ้าง เพราะฉันข้าวเปล่าๆ มา ๒ วันแล้ว ซ้ำวันนี้ก็ยังไม่ได้ฉันเลย จึงนึกว่า ฉันอีเก้งเสียบ้างเถอะ จึงรับนิมนต์ เดินจากทางรถไฟไปนั่งพักอยู่ในป่าเบญจมาสใกล้ๆ บ้าน โยมนิมนต์ขึ้นบ้านก็ไม่ไปพูดว่า นั่งตรงไหนฉันตรงนั้น โยมจึงได้ยกอาหารมาให้ ๒ สำรับ พร้อมด้วยข้าว ๑ กล่อง เมื่อรับประเคนแล้วก็นั่งฉันเสียเต็มอิ่ม ฉันเสร็จยถาสัพพีให้แล้วก็ลาโยมเดินทางมาตามทางรถไฟอีก ๒ คืน จึงถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ ในจังหวัดนี้มีลูกศิษย์อยู่หลายคนแต่ไม่ยอมบอกให้ใครทราบ ได้เดินทางผ่านตลาดไปพักอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่งใกล้วัดท่าโพธิ์ แล้วได้ไปนอนคอยพระภิกษุเขียนอยู่ที่วัดท่าเสา ๒ คืน ก็ไม่เห็นมา จึงตัดสินใจว่าเราจากกัน ต่างคนต่างไป ไม่ต้องห่วงกัน


(มีต่อ ๓)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
รูปปั้นพระเจ้าอโศกมหาราช ณ วัดอโศการาม


พอดีปีนั้นได้เดินทางมาถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ พักอยู่ที่วัดเก่าๆ ข้างสถานีชุมทางบ้านดารา ต่อมาไม่กี่วันได้ไปนั่งพักเล่นอยู่ที่ศาลา เวลาประมาณบ่าย ๒ โมงเศษได้มีโยมคนหนึ่งกับพระองค์หนึ่งเดินเข้ามาพักร้อนในศาลานั้นด้วย จึงได้สนทนากัน ต่างได้ทราบเรื่องของกันและกัน คือพระกับโยมสองคนนี้มีหนังสือลายแทง ออกเดินทางเที่ยวหาขุดทรัพย์ตามสถานที่ปรากฏในลายแทง จะเดินทางไปขุดที่จังหวัดพิษณุโลก โยมผู้ชายคนนั้นชื่อ พ.ท.สุดใจ เป็นนายทหารนอกราชการ พอตอนเย็นๆ เขาก็ออกเดินทางไป จะไปพักที่ไหนไม่ทราบ

ตอนเช้ามืดในคืนนั้นเวลาจวนสว่างได้ยินเสียงคนมาเรียกเราแต่ดึก นึกในใจว่า เอ ใครวะมาเรียก จึงลุกออกดู มองเห็น พ.ท.สุดใจ คนที่ได้พบกันเมื่อวานนี้เอง จึงถามว่า โยมมีธุระอะไร เขาตอบว่า ผมนอนไม่หลับตลอดคืน ในเวลานอนมันให้คิดถึงหน้าท่านเสมอๆ ว่าท่านจะไปอย่างไรคนเดียว จะไปถึงเมืองโคราชโน้นนึกแล้วก็อดสงสารท่านไม่ได้ ฉะนั้น ผมขอถวายค่ารถท่านเพื่อเดินทางไปโคราช ๑๐ บาท เราก็แสดงความยินดีรับไว้ โดยได้เรียกโยมวัดนั้นมารับแทนและเก็บไว้ให้ พอตกเวลากลางคืนได้เกิดมีความคิดขึ้นมาว่า เขาจะมาหลอกเราเสียละกระมัง นึกถึงธนบัตรที่เขามาถวายคงจะเป็นธนบัตรปลอมกระมัง พอคิดได้ดังนี้ จึงเรียกโยมให้เอาธนบัตรที่คนถวายไว้มาดูว่ามันปลอมหรือเปล่า โยมก็รับรองว่าไม่ปลอม

รุ่งขึ้นคืนที่สอง พ.ท.สุดใจ ได้มาอีก แล้วพูดว่า ผมใจไม่ดี กลัวว่าค่ารถที่ถวายท่านไว้จะไม่พอ แล้วเขาได้ถามว่า “ท่านจะไปเมื่อไร” จึงตอบเขาว่า “ไปพรุ่งนี้” เขาตอบว่า “ผมจะจัดการซื้อตั๋วให้และไปส่งที่สถานี” แล้วเขาก็ลากลับ พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ได้ไปจัดการซื้อตั๋วเป็นเงิน ๑๑ บาท เดินทางได้ถึงโคราช และจัดการส่งขึ้นรถไฟโดยเรียบร้อย ได้เดินทางโดยทางรถไฟมาสถานีนครสวรรค์ เมื่อถึงสถานีนครสวรรค์ก็เป็นเวลากลางคืน หาที่พักก็ลำบาก มองเห็นศาลาหลังหนึ่งว่างๆ อยู่ก็ได้เข้าไปพักที่นั่น ผูกกลดวางบาตรแล้วก็นั่งพักผ่อน มีโยมผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณกลางคนได้มาขอพักเป็นเพื่อน เราก็นึกว่า คืนนี้ถ้าเขาเป็นขโมย บาตรและบริขารของเราคงหมด เพราะรู้สึกเหนื่อยมาก คงนอนหลับสนิท แต่เอาละ ช่างมันเถอะ ในที่สุดก็มิได้มีเหตุการณ์อะไร กลับไปได้ประโยชน์จากแกเสียอีก คือพอรุ่งเช้าแกได้จัดซื้ออาหารมาถวายเสียด้วยซ้ำ เวลาประมาณ ๑ โมงเช้าก็ได้รีบขึ้นรถไฟพร้อมกับโยมคนนั้นเพื่อเดินทางต่อไป โยมคนนี้แกอยู่ที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี แกได้เดินทางขึ้นไปเยี่ยมลูกสาวของแกที่จังหวัดพิจิตร

เมื่อรถไฟถึงสถานีชุมทางบ้านภาชี เราได้จับรถขบวนใหม่ไปจังหวัดนครราชสีมา เดินทางถึงจังหวัดนครราชสีมา เป็นเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ได้ไปพักกับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งได้มาตั้งสำนักอยู่ในจังหวัดนี้เป็นเวลา ๓ ปีแล้ว ครั้นได้สนทนากันก็มิได้ทราบข่าวท่านพระอาจารย์มั่นเลยว่าท่านไปทางไหน ตกลงก็ต้องจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดนี้ จวนๆ เข้าพรรษาได้มีโยมทางอำเภอกระโทก (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอโชคชัย) มานิมนต์พระสงฆ์ไปจำพรรษาในอำเภอนั้น พระอาจารย์สิงห์ได้ขอให้เราไปโปรด โยมคนนี้คือขุนอำนาจอำนวยกิจ นายอำเภอกระโทก จึงได้ตอบตกลงรับไปโปรดโยมตามคำสั่งของพระอาจารย์สิงห์ ได้ไปทำการอบรมสั่งสอนพระเณร ศรัทธาญาติโยม อยู่ที่อำเภอนี้เป็นเวลาสองปี

ปีแรกเมื่อออกพรรษาแล้วได้ทราบข่าวว่าโยมผู้ชายป่วยมาก ก็ได้ดำริจะเดินทางกลับไปบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมเยียนโยมผู้ชาย ครั้นเมื่อวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ขุนอำนาจอำนวยกิจ นายอำเภอได้นิมนต์ไปเทศน์ที่บ้าน ก่อนจะออกจากวัดได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือเวลาประมาณบ่าย ๕ โมงเย็น ได้มีกระรอกฝูงหนึ่งประมาณ ๑๐๐ ตัวเศษ ได้วิ่งขึ้นไปอยู่หน้ากุฏิลูกศิษย์คนหนึ่ง ชื่อพระภิกษุเย็น ตั้งแต่จำพรรษามาจนตลอดพรรษาไม่เคยมีเหตุแปลกประหลาดเหมือนวันนั้น ฉะนั้น ก่อนออกจากวัดเราจึงเรียกพระเณรทั้งหมดมาประชุมกันที่กุฏิ แล้วสั่งว่า คืนนี้ต้องมีเหตุ ขอให้ทุกคนพากันระมัดระวังตัว และให้ปฏิบัติ ดังนี้

๑. เมื่อทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว ให้ทุกคนกลับไปกุฏิของตัวแล้วนั่งสมาธิอย่างสงบ ห้ามคุยกัน ต่างคนต่างอยู่

๒. ใครมีธุระส่วนตัวที่จะต้องปฏิบัติ อาทิเช่น การเย็บจีวรห้ามทำในคืนนี้

สั่งเสร็จแล้วก็เดินทางไปบ้านนายอำเภอ

เวลาประมาณ ๑ ทุ่มได้นั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ แสดงถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และอุปการคุณ ให้นายอำเภอพร้อมทั้งข้าราชการและญาติโยมชาวตลาดฟัง เทศน์ไปได้ประมาณ ๓๐ นาที ก็มีโยมผู้ชายทางวัดวิ่งมาหา ๒ คน ขณะนั้นเราก็มัวหลับตานั่งเทศน์อยู่ โยม ๒ คนไม่กล้าบอก รอจนเทศน์จบเขาก็รายงานนายอำเภอว่า พระเย็นถูกฟันที่คอ แต่ไม่เข้า

เมื่อได้ทราบดังนั้น นายอำเภอจึงได้เรียกปลัดอำเภอพร้อมทั้งตำรวจพากันไปสืบสวนเรื่องราวที่วัดป่าช้าบ้องชี เราเดินตามไปเพื่อกลับวัด เจ้าหน้าที่ได้วิ่งติดตามคนร้ายไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไปพบนายอินกับเพื่อนของเขาคนหนึ่งนอนยังไม่หลับ นายอำเภอจึงได้จับตัวทั้งสองมาขังไว้ที่สถานีตำรวจ ทางอำเภอได้ทำการสอบสวนอยู่หลายวัน ส่วนทางวัดเราได้สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงได้ความสรุปได้ว่า การที่เรามาจำพรรษาที่วัดนี้ได้รับการยกย่องในการปฏิบัติจากนายอำเภอ ข้าราชการ ชาวตลาด และคนในหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นส่วนมาก วัดต่างๆ จึงเกิดการอิจฉาไม่ปรารถนาให้เราอยู่ จึงวางแผนขู่ขวัญโดยการทำร้ายพระ ฝ่ายตำรวจก็ได้สอบถามนายอินว่าเหตุไรจึงไปฟันพระ ก็ไม่ได้ความเพราะนายอินไม่ยอมรับ

ในที่สุด หัวหน้าสถานีตำรวจได้มาบอกว่า มันจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผมต้องขังไว้ก่อน เพราะอยู่ในอำนาจของผม พรุ่งนี้ผมจะนำตัวส่งไปจังหวัด เมื่อได้ทราบเช่นนี้ก็รู้สึกสงสารนายอิน จะว่าไปนายอินผู้นี้เป็นนักเลงโตเก่า แต่เราเคยใช้สอยเขา เช่นให้ช่วยหาฟืนให้วัด จึงเท่ากับเป็นศิษย์ของเราคนหนึ่ง ฉะนั้น จึงขอให้หัวหน้าสถานีตำรวจนำตัวนายอินและเพื่อนของเขามาหาในวันนี้ เวลาประมาณบ่าย ๓ โมง หัวหน้าสถานีตำรวจก็ได้นำคนทั้งสองมาที่วัด จึงได้พูดสอนนายอินว่า เรื่องนี้ถ้าเราทำจริงๆ ต่อไปขออย่าได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ขอให้ละเว้น ถ้าไม่ได้ทำจริงก็นับว่านายอินเป็นคนดี ฉะนั้น วันนี้อาตมาขอบิณฑบาตนายอินจากหัวหน้าสถานีตำรวจ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปขออย่าให้นายอินมาสร้างความเดือนร้อนอีก หัวหน้าสถานีตำรวจปล่อยนายอินเสียแต่บัดนี้ ไม่ต้องก่อเวรกันต่อไป เป็นอันว่าเลิกคดีกันไป

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายอินกลายเป็นคนสนิทของวัด ใช้การใช้งานได้ทุกอย่าง ชาวอำเภอโชคชัยที่เคยอิจฉาริษยาต่างพากันหวาดเกรงมาก คือพูดกันว่าลูกศิษย์ท่านพ่อ คือพระเย็นถูกฟันด้วยมีดขอเต็มเหนี่ยวแต่ไม่เข้า มีแผลยาวเป็นรอยลากมีดถึง ๑ คืบเศษ เพียงลูกศิษย์ของท่านยังถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นตัวอาจารย์จะถึงขนาดไหน ความจริงในเรื่องนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ไม่ใช่เกี่ยวกับว่าพระเย็นเหนียวอยู่ยงคงกระพัน แต่เป็นเพราะวันที่จะถูกฟันนั้น พระเย็นได้ยกเก้าอี้และจักรผ้ามาไว้ที่พะไลกุฏิซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร แล้วนั่งเย็บจีวรอยู่บนเก้าอี้ คนร้ายยืนอยู่บนพื้นดิน ใช้มีดขอด้ามยาวฟันไหล่ซ้าย ด้ามมีดไปปะทะเข้ากับเก้าอี้เลยมีแผลเป็นรอยลากมีดเท่านั้นเอง ต่อมาเราได้เรียกพระเณรทั้งวัดมาประชุมอบรมสั่งสอนในเรื่องนี้ว่า “ต่อไปนี้เมื่อมีเหตุอะไรอย่าพากันหวาดเกรง ขอให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ผมจะลาไปเยี่ยมโยมผู้ชายที่ จ.อุบลฯ”

ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางออกไป จ.อุบลฯ เมื่อเดินทางไปถึงบ้าน พอดีโยมผู้ชายป่วยหนักเป็นโรคชราเพราะอายุได้ ๖๙ ปีเศษแล้ว ได้พยายามดูแลรักษาพยาบาลโยมอย่างใกล้ชิด พอสมควรจวนเวลาจะเข้าพรรษาก็ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าช้าบ้องชีตามเดิม นับได้เป็นพรรษาที่ ๒ เมื่อกลับมาแล้วได้ทราบว่า โยมถึงแก่อนิจกรรมเมื่อเดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ

เมื่อออกพรรษาแล้ว รู้สึกคิดถึงพระอาจารย์มั่นมากเข้าทุกที จึงคิดแต่ในใจโดยมิได้บอกกับใครๆ ว่าในฤดูแล้งนี้เราจะต้องไปจากที่นี่ จึงได้ออกเดินทางไปที่วัดสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพื่อกราบลาพระอาจารย์สิงห์ ท่านก็อนุญาตให้ไปได้ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เดินทางกลับไปลาพระเณรญาติโยมที่อำเภอโชคชัย มีเพื่อนที่รักกันมากเป็นคนดูแลก่อสร้างวัดอย่างเข้มแข็ง เขาได้พูดกับเราว่า ไปแล้ว ถ้าไม่กลับมาจำพรรษาอีก จะแช่งให้ตายนะ จึงได้ตอบว่า เราได้พูดกันมามากแล้วในเรื่องไม่เที่ยง จะมาเอาอะไรกันอีกเล่า เพื่อนคนนี้คือหมอวาด เป็นหมอประจำอำเภอโชคชัยนั่นเอง

ตั้งแต่บัดนั้นก็ออกเดินทางเข้าป่าลึกในดงอีสาน ผ่านไปทางกิ่งอำเภอนางรอง จนกระทั่งถึงภูเขาพนมรุ้ง ใกล้เขต จ.บุรีรัมย์ได้ขึ้นไปพักวิเวกอยู่บนยอดเขาสูง บนยอดเขาลูกนี้มีปราสาทหลายหลัง มีสระว่ายน้ำใหญ่ๆ อยู่บนยอดเขา เขาลูกนี้อยู่ห่างไกลหมู่บ้านมาก วันหนึ่ง ไม่ได้ฉันจังหันแต่นั่งนอนภาวนาได้ดี ต่อมาวันหลังได้ลงจากยอดเขามาพักอยู่ที่สระใหญ่เชิงเขา ๑ คืน ได้อาศัยบิณฑบาตมาฉัน ต่อจากนี้ได้เดินทางไปอีกหลายคืน จนกระทั่งถึงอำเภอตะลุง จ.บุรีรัมย์ ที่อำเภอนี้ขุนอำนาจอำนวยกิจได้ถูกย้ายมาจากอำเภอโชคชัยมาเป็นนายอำเภอที่นั่นพอดี เมื่อได้พบกันเข้าก็พากันดีใจ ได้พักอยู่พอสมควรแล้วได้ลานายอำเภอ เดินทางไปประเทศเขมร นายอำเภอก็เป็นธุระจัดออกหนังสือเดินทางชั่วคราวให้

ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปทางประเทศเขมรต่ำ ถึงบ้านฉล็อกอำปืน ผ่านดงใหญ่ ถึงอำเภอสวายเจก จากอำเภอสวายเจกเดินต่อไปถึงศรีโสภณ เมื่อถึงได้มีประชาชนมาสนทนาธรรมด้วย ประชาชนเหล่านั้นได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเดินตามเราเป็นฝูงๆ เมื่อได้ลาจากเขา บางคนทั้งหญิงชาย พากันร้องไห้ ที่อำเภอสวายเจกมีโยมคนหนึ่งนับถือเรามาก ได้พาลูกสาวมาคุยด้วยทุกๆ วัน ลูกสาวเขาบอกกับเราว่าเขาไม่เคยมีสามีเลย ฟังดูสำเนียงเขาอยากให้เราอยู่ในเมืองนี้ เขาจะยินดีช่วยเหลือเราทุกๆ อย่าง ขอให้อยู่เถอะ นานวันเข้าก็ชักจะรู้สึกชอบพอกันมากขึ้นทุกที เห็นท่าจะไม่ได้การ เราต้องรีบหนีไปจึงได้ลาเขาออกเดินทางตรงลงมาทิศตะวันตกถึงอำเภอศรีโสภณเดินทางต่อไปถึงจ.พระตะบอง ไปพักอยู่ที่ป่าช้าวัดตะแอก อยู่ห่างจากในเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร ได้ไปพบโยมคนหนึ่งเป็นเพื่อนของขุนอำนาจอำนวยกิจ ได้ทำการต้อนรับอย่างดี แนะนำให้รู้จักใครต่อใครมากมาย เมื่อได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ลาเขาเดินทางต่อไปยัง จ.เสียมราฐ ไปพักอยู่ในดงที่ป่าช้าแห่งหนึ่งได้มีคนมาทำบุญด้วย ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางไปพักที่นครวัด ไปเที่ยวดูวัตถุโบราณของเก่าๆ มากมาย

ได้พักอยู่ที่นครวัด ๒ คืน วันแรกได้ฉันจังหัน วันที่สองไม่ได้ฉัน รู้สึกว่าเวลาออกบิณฑบาตไม่ค่อยมีคนใส่บาตร จึงตัดสินใจว่าเราไม่ต้องกินวันนี้ ในการเดินทางไปครั้งนี้ได้มีลูกศิษย์ติดตามไป ๒ คนเป็นเด็ก พระอีกสององค์ รวมเป็น ๕ คนด้วยกัน

ออกจากนครวัดได้เดินทางต่อไปยังเมืองพนมเปญ ได้เดินทางขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่ง เป็นภูเขาที่ใหญ่โตและสูงมาก มีที่สงัดวิเวกดีน้ำท่าก็บริบูรณ์ เขาเรียกว่า พนมกิเลน บนยอดเขาสูงลูกนี้มีต้นลิ้นจี่ป่ามากมาย มีลูกแดงสุกอร่าม คำว่า พนมกิเลน แปลเป็นภาษาไทยว่า ภูเขาลิ้นจี่ป่า มีหมู่บ้านเล็กๆ ประมาณ ๒๐ หมู่อยู่รอบๆ เขา ได้พักอาศัยอยู่ที่วัดญวนแห่งหนึ่ง มีพระพุทธรูปสลักติดไว้บนเงื้อมผาใหญ่ ได้พักอยู่ที่นี่ประมาณ ๓-๔ คืน ระหว่างพักอยู่ได้ถือโอกาสไปเที่ยวดูถ้ำต่างๆ ใกล้ๆ ที่พักมีบ้านประมาณ ๑๐ กว่าหลังคาเรือน พอได้อาศัยบิณฑบาต ทีวัดญวนนี้มีพระเขมรอายุประมาณ ๕๐ ปี ๑ รูป พระองค์นี้ตาเสีย ๑ ข้าง มีลูกศิษย์อยู่ ๑ คน ว่างๆ ก็นั่งคุยธรรมะกับท่าน ส่วนถ้ำนี้มีอยู่ ๒ ถ้ำ ถ้ำหนึ่งได้พักอาศัยอยู่กับศิษย์ ถ้ำที่ ๒ อยู่ห่างจากถ้ำพระประมาณ ๕ วา มีเสือใหญ่มาอาศัยอยู่ แต่ในขณะนั้นเสือมันได้ออกไปอยู่ป่าต่ำ เพราะเป็นเดือนเมษายน ถึงฤดูเข้าพรรษาจึงกลับมาเข้ามาอยู่ถ้ำตามเคย ตอนบ่ายได้เดินทางออกจากถ้ำไปพักอยู่ที่วัดญวนตามเดิม ได้พักอยู่ประมาณ ๑ อาทิตย์ แล้วได้ออกเดินทางลงจากภูเขาทางด้านทิศตะวันตก ใช้เวลาเดินทางข้ามเขาประมาณ ๑๐ ชั่วโมงเศษจึงถึงที่ราบแล้วได้เดินทางผ่านมาทิศใต้ของภูเขา พักอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีโยมมาเล่าเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ ให้ฟัง ก็นึกชอบใจเรื่องที่เขาเล่านั้นมีใจความดังนี้

มีเขา ๓ ลูกอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๘๐ เส้น บนภูเขา ๓ ลูกนี้มีป่าเต็งรัง มีธารน้ำไหลผ่าน เรื่องที่น่าแปลกประหลาด ก็คือถ้าใครไปตัดไม้ในบริเวณภูเขา ๓ ลูกนี้ มักตายโหงหรือมิฉะนั้นก็เจ็บป่วยหรือมีอาการเป็นไปต่างๆ อยู่เสมอๆ ถึงเวลากลางคืนที่เป็นวันธรรมสวนะ ปรากฏมีแสงสว่างพุ่งออกมาจากยอดภูเขาสูงลูกที่ ๓ เคยมีพระสงฆ์ไปจำพรรษาอยู่บนยอดเขาลูกที่ ๓ บางทีก็ต้องหนีไปกลางพรรษา เนื่องด้วยปรากฏมีลม มีฝน มีฟ้าผ่า เมื่อเป็นเช่นนี้จึงอยากนิมนต์เราให้ขึ้นไปพิสูจน์ดูว่ามีอะไรอยู่บนยอดเขานั้น

ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ออกเดินทางไปบนภูเขาลูกที่ ๓ เมื่อขึ้นไปถึงแล้วได้ตรวจพิจารณาดูสถานที่ รู้สึกเป็นที่พอใจและน่าอาศัย แต่ศิษย์ที่ติดตามไปต่างคนต่างพากันหวาดกลัวร้องทุกข์ไม่อยากให้เราอยู่ ในที่นั้น ในที่สุดก็ต้องพากันกลับลงมา ขากลับได้เดินทางผ่านเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วผ่านออกไปพักอยู่ในป่าที่สงัด พอวันรุ่งขึ้นได้ออกบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น ได้มีหญิงแก่คนหนึ่งถือขันข้าววิ่งตามมาข้างหลัง ร้องตะโกนดักหน้าดักหลัง เลยต้องหยุดรอให้แกได้นั่งใส่บาตร เมื่อรับบาตรเสร็จแล้วก็เดินกลับที่พัก แกได้เดินตามมาด้วย เมื่อถึงที่พักแล้วแกได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนนี้จวนสว่างฉันได้ฝันไปว่า มีคนๆ หนึ่งมาบอกว่าให้รีบลุกขึ้นจัดข้าวปลาอาหารเตรียมใส่บาตรพระธุดงค์จะมาโปรด แกจึงได้รีบลุกขึ้นจัดการเตรียมการอย่างแกฝัน พอดีได้พบเราในเวลาบิณฑบาตจริงๆ แกจึงมีความตื่นเต้นมาก แกเล่าได้ให้ฟังอย่างนี้

ถึงเวลาเย็นชาวบ้านได้ป่าวประกาศบอกกล่าวกันให้มาฟังเทศน์ พอตกเวลาค่ำได้มีชาวบ้านพากันมาฟังเทศน์มาก ตัวเองได้เข้าไปวนเวียนอยู่ในประเทศเขมรเป็นเวลาเดือนเศษ จนสามารถแสดงธรรมเป็นภาษาเขมรได้ ฟังรู้เรื่องกันดี อยู่ต่อมาไม่กี่วัน ได้ทราบข่าวจากโยมว่ามีพระเขมรที่เรียนพระไตรปิฏกสามารถแปลภาษาบาลีได้คล่อง อยากจะมาไล่ธรรมะกับเรา จึงได้ตอบกับโยมว่า ไม่เป็นไร ให้เขามาเถอะ

รุ่งขึ้นเวลาบ่ายพระเขมรรูปนั้นก็ได้มาจริง จึงได้ไต่ถามถกเถียงธรรมะกัน ได้ทำความเข้าใจในข้อปฏิบัติของกันและกันเป็นอย่างดี เรื่องเป็นไปด้วยความสงบระงับเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้น ได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน จนเกิดความสนิทสนมกับบรรดาญาติโยมอย่างมากมาย ต่อจากนั้นได้ร่ำลาญาติโยม เพื่อเดินทางกลับไปยังอำเภอศรีโสภณ ญาติโยมหญิงชายก็ได้ทำส่งเสียติดตามกันมาเป็นทอดๆ เมื่อถึงอำเภอศรีโสภณแล้วพักอยู่ ๒ คืน แล้วได้ออกเดินทางไปเยี่ยมถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง เป็นที่สงัดวิเวกดี มีพระจีนองค์หนึ่งได้มาอาศัยวิเวกอยู่ในถ้ำนั้น จึงได้สนทนาธรรมะกัน เกิดความชอบพอถูกอกถูกใจกัน แกได้ชวนให้อยู่จำพรรษาด้วยกันในถ้ำนั้น แต่ลูกศิษย์ไม่อยากจะอยู่

ต่อจากนั้นได้เดินทางต่อไปจนถึงเขตแดนอำเภออรัญประเทศเข้าเขตประเทศไทย ได้พักอยู่ที่อำเภออรัญประเทศพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางวิเวกไปตามชายเขาบรรทัด ตัดเข้าลึกจะข้ามเข้าเขต จ.นครราชสีมา มาทางช่องบุพราหมณ์ ขณะนั้นเป็นเวลาจวนเข้าพรรษา มีฝนตกมากตลอดทาง ทากชุม การเดินทางไม่ค่อยจะสะดวก จึงพากันเดินวกออกมาทางชายเขาพะงอบ เดินทางเรื่อยไปทาง ช่องวังหอก จนถึงบ้านตะคร้อ อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เส้นทางช่องวังหอกนี้ ถ้าเดินตรงเรื่อยไปข้ามดงอีกดงหนึ่งก็เข้าเขตอำเภอกิ่งสะแกบ่าง และถึงนครราชสีมา แต่ตกลงใจไม่เดินทางต่อไปเพราะฝนกำลังตกชุกมาก และได้อยู่จำพรรษาในหมู่บ้านตะคร้อนี้ นับเป็นปี พ.ศ. ๒๔๗๗

หมู่บ้านตะคร้อนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขา มีห้วยใหญ่ไหลลงมาอำเภอประจันตคาม ได้พักจำพรรษาอยู่ที่เชิงเขา มีศิษย์องค์หนึ่งชื่อพระภิกษุสนธิ์ไม่ยอมอยู่ด้วย เขาได้เดินทางกลับผ่าน จ.ปราจีนบุรี ไปจำพรรษที่เขาคอก จ.นครนายก ตกลงจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ๒ รูปและลูกศิษย์อีก ๒ คน ได้พักจำพรรษาอยู่ที่ศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งริมห้วยใหญ่น้ำลึก ในพรรษานั้นได้ถูกน้ำป่าท่วมถึง ๗ ครั้ง บางครั้งท่วมมากถึงกับต้องขึ้นไปนอนอยู่บนขื่อศาลา รู้สึกว่าได้รับการทรมานอยู่มากในกลางพรรษานี้ หมู่บ้านนี้หนาแน่นด้วยยาเบื่อ ราษฎรนิยมการขโมยวัวขโมยควายมาฆ่า โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมได้พยายามอบรมญาติโยมให้ละความชั่ว ประพฤติแต่ความดีจนกระทั่งบางคนถึงกับละทิ้งเรื่องยาเบื่อ และงดเว้นการฆ่าสัตว์ใหญ่ๆ อาทิเช่น วัวควาย ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ได้โด่งดังไปเข้าหูเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี วัดมะกอก

เมื่อออกพรรษาแล้ว เจ้าคณะจังหวัดปราจีนฯ ได้ขึ้นไปติดตามจนพบแล้วได้เรียกให้เราลงมาอยู่ด้วย เพราะท่านต้องการพระกรรมฐาน จึงได้พร้อมกับท่านเดินทางไปยัง จ.ปราจีนบุรี ท่านได้นำไปให้รู้จักกับผู้กำกับการตำรวจปราจีนบุรี ได้นำไปหาผู้ว่าราชการจังหวัด คือ หลวงสินธุสงคราม ซึ่งหลวงสินธุสงครามได้พูดกับเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรีคำหนึ่งว่า ให้ขอร้องให้เราอยู่สั่งสอนปราบคนร้ายตามชายเขาในเขตจังหวัดนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นตัวเองนึกในใจว่า เราต้องรีบหนีออกจากจังหวัดนี้ มิฉะนั้นจะมีข้อผูกมัด เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็ได้นมัสการลาเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรีเดินทางไปอยู่ถ้ำหลวงตาเคน เขาอีโต้ แล้วเดินทางไปยังกิ่งอำเภอสระแก้ง อำเภอกบินทร์บุรีได้เดินทางเข้าดงลึก ไปสำรวจที่พักในเขาแห่งหนึ่งชื่อ เขาสิงห์โต เมื่อไปเห็นถ้ำแล้ว ไม่ชอบเพราะเป็นถ้ำทึบ จึงออกเดินทางหันหลังกลับลงมาจากเขา วันนั้นได้เดินลัดตัดดงจะข้ามไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้เดินหลงทางเพราะเป็นเวลากลางคืน ได้เดินอยู่จนกระทั่งเวลาประมาณตี ๔ บุกดงบุกป่าเพื่อมุ่งตรงไปหาหมู่บ้าน แต่กลับวกคืนกลับมาทางเดิม จนเกือบถึงกิ่งอำเภอสระแก้ว

วันรุ่งขึ้นเมื่อฉันจังหันเสร็จแล้ว ได้ออกเดินตัดดงมุ่งไปยังเขาฉกรรจ์ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากกิ่งอำเภอสระแก้วประมาณ ๑๕ กิโลเมตร พอไปถึงหมู่บ้านนี้ก็ได้เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำเขาฉกรรจ์ ภายในถ้ำนี้เป็นสถานที่เงียบสงัดวิเวกไม่มีคนรบกวน เพราะเขาลูกนี้อุดมไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด เช่น เสือ หมี ซึ่งอาศัยอยู่รอบๆ เชิงเขา เวลากลางคืนดึกสงัด ขณะนั่งสมาธิได้ยินเสียงช้างร้องเดินเอางวงหักกิ่งไม้รอบๆ เชิงเขา มีหมู่บ้านตั้งห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร ได้พักอยู่เป็นเวลาหลายวัน ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางตัดข้ามดงใหญ่ซึ่งไม่มีบ้านคนเลยเป็นระยะทางประมาณ ๗๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ๒ คืน ระหว่างทางต้องพักนอนกลางดงทั้ง ๒ คืนเพราะไม่มีหมู่บ้านเลย

เดินทางเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าเขต จ.จันทบุรี เดินทางผ่านบ้านตาเรือง บ้านตามูล แล้วผ่านเข้าเขตอำเภอมะขาม จ.จันทบุรี เดินวกไปตามชายดงหลังเขาสระบาป จนทะลุถึงอำเภอขลุง จ.จันทบุรี เมื่อมาถึงอำเภอขลุงได้ทราบข่าวว่าขุนอำนาจอำนวยกิจได้ลาออกจากราชการ และมาพักอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีแล้ว ก็รู้สึกดีใจมาก จึงได้ออกเดินทางผ่านเข้าไปในเมืองจันทบุรี ได้ออกไปพักอยู่กลางทุ่งตรอกบ้านประดู่ ด้านทิศใต้ของตลาดจันทบุรี แล้วได้เข้าไปเยี่ยมขุนอำนาจฯ ที่บ้าน ท่านได้จัดหาที่พักอันสงัดให้แห่งหนึ่ง เป็นป่าช้าผีดิบ อยู่ห่างจากตลาดประมาณ ๒๐ เส้น สถานที่นี้เป็นป่าไผ่ ป่าไม้แต้ว มีหญ้าขึ้นรกหนาแน่น มีที่ว่างพอจะพักอยู่ ๑ แห่งคือ ที่สำหรับเผาผี ที่นี้เขาเรียกว่า ป่าช้าคลองกุ้ง จึงได้ออกไปจำวัดพักอาศัยอยู่ในป่าช้านี้ ตอนนี้มีพระแก่ติดตามมาจาก จ.ปราจีนบุรี องค์หนึ่งและเด็กลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง นอกจากนั้นขอลากลับบ้านหมด

พอถึงเวลาจวนเข้าพรรษา ญาติโยมชาวจันทบุรีได้นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาในป่าช้านั้น จึงได้นำเรื่องไปเรียนเจ้าคณะผู้ปกครองท่านก็ไม่รับรอง จึงได้สั่งให้ขุนอำนาจฯ ไปกราบเรียนเจ้าคณะมณฑลที่กรุงเทพฯ คือเจ้าคุณราชกวี วัดเทพศิรินทราวาส ท่านได้มีหนังสือถึงเจ้าคณะผู้ปกครองว่าให้อนุญาตให้เราอยู่จำพรรษาในที่นั้นได้

ในพรรษาที่เดินทางถึง จ.จันทบุรี และได้อยู่ที่ป่าช้าคลองกุ้งนี้ ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ. ๒๔๗๘ ในพรรษาแรกชาวจันทบุรีต่างคนต่างพากันตื่นเต้นสนใจปฏิบัติธรรม ในปีแรกนี้มีพระ ๑ องค์ เณร ๑ องค์ได้มาจำพรรษาอยู่ด้วย เมื่อออกพรรษาแล้วได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ ได้มีคนสนใจในเรื่องธรรมปฏิบัติกันมากขึ้น ขณะเดียวกับฝ่ายตรงกันข้าม พวกที่อิจฉาริษยาที่เป็นพระก็มี ที่เป็นโยมก็มี ได้เริ่มโจมตีเป็นการใหญ่ บางวันก็ปรากฏมีบัตรสนเท่ห์เขียนปิดไว้ตามป้ายกลางตลาดก่อเรื่องเสียหายหนักขึ้นๆ ทุกที

วันหนึ่งมีผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ได้แสดงตนเป็นลูกศิษย์เราออกไปเที่ยวเรี่ยไรบอกบุญตามตลาด ว่าได้ติดตามเรามาด้วย ขอสตางค์เขาบ้าง ขอข้าวสุกบ้าง ขอข้าวสารบ้าง ได้ตระเวนเดินเที่ยวขอจากชาวตลาดทั่วเมือง จนกระทั่งไปถึงบ้านหม่อมอนุวัตรวรพงศ์ฯ หม่อมฯจึงได้พูดเรียกตัวเข้าไปในบ้าน แล้วเปรียบเปรยมาถึงตัวเรา ทั้งๆ ที่เรายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย หม่อมได้พูดตามข้างถนนบ้าง ตามบ้านร้านตลาดบ้าง ว่าเราเป็นพระเหลวไหล จรจัด ปล่อยให้ศิษย์เที่ยวมาบอกบุญชาวบ้าน...........

เรื่องนี้ได้โด่งดังแพร่สะพัดไปทั่วทั้งตลาดจันทบุรี ตัวเองก็ไม่ได้ทราบมูลความจริงเลย เผอิญคุณนายกิมลั้งภริยาขุนอำนายฯ และนางเฟือง ซึ่งเป็นผู้รู้จักเราอย่างดีว่าเป็นอย่างไร ได้ทราบเรื่องกล่าวหานี้ จึงได้ตรงไปถึงบ้านหม่อมอนุวัตรวรพงศ์ฯ ได้ไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีอยู่ที่บ้านนั้นด้วย จึงได้เอ่ยต่อหม่อมอนุวัตรวรพงศ์ฯ ว่า ท่านได้เที่ยวพูดเหยียดหยามหาเรื่องใส่พระอาจารย์โดยไม่มีมูลความจริง ต่อไปนี้ขออย่าได้พูดอีก จึงได้เกิดการโต้เถียงกันต่อหน้าผู้ว่าราชการจังหวัด

ในที่สุดเมื่อได้สืบสวนแล้วได้ความจริงว่า ยายแก่คนนั้นเป็นคนที่มาอาศัยอยู่กับพระที่วัดใหม่ แกไม่ใช่ศิษย์ของเรา และตัวเราเองจะไปไหนก็ไม่เคยปรากฏว่ามีศิษย์หญิงติดตาม เรื่องจึงได้สงบเงียบไป

รูปภาพ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
(หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) วัดราชบพิธ



ต่อมาถึงพรรษาที่สอง ได้เกิดมีเรื่องอีก ได้มีฆราวาสบางคนนำเรื่องราวของเรามากราบเรียนถวายสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ (คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (มจ.ภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน)) โดยกล่าวหาว่าเราเป็นพระหลอกลวง สมเด็จพระสังฆราชจึงได้มีหนังสือสั่งให้พระครูคุรุนาถ วัดจันทนาราม เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี ไปสืบถามเรา จึงได้คัดลอกหลักฐานใบสุทธิส่งไปถวายโดยด่วน ท่านได้รับสั่งว่ารอให้ออกพรรษาเสียก่อนจะไปดูด้วยตนเอง เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ได้เดินทางไป จ.จันทบุรี พอเราได้ทราบข่าวว่าเรือเมล์ที่ท่านโดยสารมาถึงท่าแฉลบ จึงได้ชักชวนญาติโยมไปทำการต้อนรับท่านได้ไปพักอยู่ที่วัดจันทนาราม ๑ คืน

รุ่งเช้าเมื่อฉันจังหันเสร็จแล้ว ท่านได้มาเยี่ยมเราที่วัดป่าคลองกุ้ง จึงได้นิมนต์ท่านให้แสดงธรรมะแก่บรรดาญาติโยม ท่านรับสั่งตอบว่า เราไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน จะให้มาแสดงธรรมะกรรมฐานได้อย่างไร ประการต่อไปท่านได้รับสั่งว่า เราได้ทราบว่า มีคนนิยมเลื่อมใสเธอมาก เรานึกว่าพระอย่างเธอนี้หายาก เมื่อได้รับสั่งเสร็จแล้วก็กลับไปวัดจันทนาราม แล้วเดินทางกลับพระนคร

ต่อมาถึงพรรษาที่สาม ประชาชนชาวจันทบุรียิ่งเกิดความนิยมเลื่อมใสมากขึ้น มีคนในตลาดและตามบ้านมาฟังเทศน์ที่วัดกันมากขึ้น จนกระทั่งนายซองกุ่ยเจ้าของรถยนต์โดยสารเกิดความศรัทธาออกประกาศว่า ถ้าใครนั่งรถยนต์ของเขามาฟังเทศน์พระอาจารย์องค์นี้ (หมายถึงตัวเรา) เขายินดีลดราคาค่าโดยสารให้เป็นพิเศษ สำหรับตัวเราเองตลอดจนกระทั่งพระเณรในวัดจะเดินทางไปไหนมาไหนไม่ต้องเสียค่ารถ นับวันก็มีคนรู้จักมากขึ้นๆ ทุกวัน ตลอดจนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทุกอำเภอ

เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้ออกเดินทางเที่ยวธุดงค์ไปเทศน์สั่งสอนอบรมประชาชนตามตำบลต่างๆ ทุกอำเภอในจังหวัดจันทบุรีเมื่อเดินทางกลับมาถึงจังหวัดแล้วได้เขาไปแสดงธรรมะในเรือนจำเกือบทุกวันอาทิตย์ ในเวลานั้นพระนิกรบดีเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ขุนภูมิประศาสน์เป็นนายอำเภอท่าใหม่ ทั้งสองท่านนี้รู้สึกว่าเป็นผู้ห่วงใยให้ความสะดวกในการไปมาอยู่เสมอ บางคราวก็ได้นิมนต์ไปเทศน์อบรมนักโทษและผู้ต้องหาที่วัดบ้าง ที่อำเภอบ้าง บางครั้งก็นำไปเทศน์อบรมราษฎรตามตำบลต่างๆ ในเขตอำเภอท่าใหม่ โดยเฉพาะตำบลนายายอามซึ่งเป็นตำบลที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก เพราะพื้นที่เป็นป่าทึบ ได้พยายามติดต่อสั่งสอนอบรมประชาชนอยู่อย่างนี้เสมอมา

เหตุการณ์ต่างๆ และเรื่องราวของบุคคลที่อิจฉาฯ คอยก่อนกวนปั้นข่าวใส่ร้ายต่างๆ นานา ก็ยังคงมีอยู่อย่างหนาแน่นในจังหวัด แต่ไม่เคยรู้สึกหวาดหวั่นเกรงกลัวสิ่งใดๆ ทั้งหมด บางวันคุณนายกิมลั้ง ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากนับถือประดุจมารดาได้มาเตือนว่า เขาจะต้องเล่นงานท่านหลายวิธี ทางผู้หญิงบ้าง ทางนักเลงโตบ้าง ให้คอยจับผิดเพื่อหาโอกาสใส่ร้ายบ้าง ท่านจะสู้เขาไหวไหม ถ้าสู้ไม่ไหว ขอนิมนต์ไปอยู่เสียที่อื่นเถอะ จึงได้ตอบไปว่า ขอให้ยกกันมาอีก ๒ จันทบูรณ์ ฉันก็ไม่หนี แต่ถ้าเรื่องราวต่างๆ สงบลงเมื่อไร ฉันอยากหนีเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ได้พยายามสร้างความดีติดต่อกันเรื่อยมา ได้มีบางหมู่บ้านต้องการพระปฏิบัติไปอยู่ประจำ ก็ไม่มีพระจะให้เขา เฉพาะอย่างยิ่งขุนภูมิประศาสน์ นายอำเภอท่าใหม่ต้องการนิมนต์ให้ไปอยู่บ้านนายามอาม เพื่อเป็นการช่วยทางบ้านเมืองปราบปรามโจรผู้ร้าย จึงได้รับปากว่าจะหาพระให้ แล้วได้มีจดหมายไปขอพระจากวัดพระอาจารย์สิงห์ ท่านก็ได้จัดส่งพระมาให้รวม ๕ รูป ได้ไปตั้งสำนักขึ้นที่ตำบลนายามอาม บ้านนี้เป็นบ้านที่อัตคัดขาดแคลนมาก จะหาแม้เพียงเสียมขุดหลุมปักเสากุฏีก็หาไม่ได้

เมื่อได้ส่งพระไปจัดตั้งสำนักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้พาญาติโยมไปเยี่ยม อาทิ คุณนายหงส์ ภริยาหลวงอนุทัยฯ คุณนายกิมลั้ง ภริยาขุนอำนาจฯ เป็นหัวหน้าคณะญาติโยม พอไปถึงสำนักที่พักตำบลนายายอาม ได้เห็นภาวะความเป็นอยู่ของชาวบ้านและพระเณรที่ได้ส่งไป อยู่ในฐานะอัตคัดขาดแคลน คุณนายกิมลั้งทำท่าทางโฉงฉางแล้วพูดเอ็ดขึ้นว่า พาเอาพระมาอดๆ อยากๆ ตกระกำลำบาก ขอพวกท่านอย่าอยู่กันเลย กลับไปอยู่ จ.จันทบุรี เสียเถิด พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ซึ่งเป็นหัวหน้าอยู่ที่สำนักพอได้ยินเช่นนี้ก็ใจเสีย คิดกลับจันทบุรีจริงๆ ในที่สุดสำนักนี้ก็เลยร้างไม่มีพระอยู่จำพรรษาต่อไป

ต่อมาได้ออกไปจำพรรษาอยู่บ้านหนองบัว อ.เมืองจันทบุรี ได้อบรมญาติโยมให้ออกไปช่วยกันเผยแผ่ใน จ.จันทบุรี ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ จ.จันทบุรี นี้ ได้ออกไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ หลายจังหวัด ครั้งหนึ่งได้เดินทางไปจังหวัดตราดได้ไปพักอยู่ป่าช้าวัดลำดวน มีญาติโยมพากันมาฟังเทศน์ประมาณ ๒๐๐ คน มีญาติโยมจากจันทบุรี ติดตามไปด้วยอีกประมาณ ๑๐ กว่าคนในคืนวันนั้นเวลาหัวค่ำ กำลังจะแสดงธรรมเทศนา ได้มีเหตุเกิดขึ้นโดยมีคนร้ายขว้างปาอิฐเข้ามาในกลุ่มคน ๓ ก้อนโตๆ ตนเองก็ไม่รู้ความหมายว่าเหตุไรจึงมีคนแกล้งเช่นนั้น พวกญาติโยมก็พากันแตกฮือขึ้น ปีนั้นกำลังเกิดสงครามอินโดจีน เราเองเคยได้ยินเสียงปีนใหญ่ยิงอยู่ในทะเลเสมอๆ พอเกิดเหตุขึ้นก็นึกถึงลูกปืน บางคนลุกขึ้นจะวิ่งตาหาตัวคนร้าย เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้กล่าวเตือนญาติโยมว่า โยมอย่างยุ่ง อย่าตาม ถ้าเขาเป็นคนดีควรตาม ถ้าเป็นคนร้าย อย่าตามตามฉันดีกว่า ฉันไม่กลัวอะไรเลย อย่าว่าแต่ก้อนอิฐ ต่อให้เอาปืนมายิงอกฉัน ฉันก็ไม่กลัว ยิงปากก็ออกก้น ไม่ต้องกลัวคน พอได้ฟังเช่นนี้บรรดาญาติโยมก็นิ่งเงียบหมด จึงได้แสดงธรรมให้ฟัง มีใจความโดยย่อว่า การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก

เมื่อได้พักผ่อนพอสมควรแล้ว ได้ออกเดินทางไปอำเภอแหลมงอบเพื่อไปเยี่ยมญาติโยม คือภริยาของนายอำเภอแหลมงอบได้ไปพักอยู่ ๒ วัน แล้วพาญาติโยมลงเรือข้ามทะเลไปพักอยู่ในป่าลึกเงียบสงัดที่เกาะช้างได้เทศน์อบรมญาติโยมพอสมควรแล้วก็เดินทางกลับอำเภอแหลมงอบ ได้พักอยู่ที่ตำบลหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอ มีต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง มีญาติโยมมาพักด้วยเกือบ ๒๐ คน ต่างคนต่างจัดเตรียมที่พักของตน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเวลาประมาณ ๓ โมงรู้สึกเหนื่อยจึงเข้ากลด พักอยู่สักครู่หนึ่งก็ไม่หายเหนื่อย เพราะหนวกหูพวกโยม ก่อไฟบ้าง คุยกันบ้าง หักฟืนเสียงดังบ้าง จึงลุกขึ้นจากกการนั่งสมาธิเปิดกลดออกไปร้องถามว่าเรื่องอะไรกัน พูดได้ไม่กี่คำก็เห็นยุงทะเลบินเป็นกลุ่มมืดมาทางร่มไทรใหญ่ นึกในจิตใจของตนว่า เรามีเมตตาไม่เคยคิดฆ่าสัตว์เลยตั้งแต่บวชมา คิดเช่นนั้นแล้วก็เปิดมุ้งตลบขึ้น ร้องสั่งญาติโยมและพระเณรทุกคนว่า ให้ทุกคนดับไฟเดี๋ยวนี้ จุดธูปแล้วตลบมุ้งขึ้น นั่งสมาธิรวมกันทุกคน ฉันจะภาวนาแผ่เมตตาต่อสู้ยุงโดยไม่ต้องแสดงมารยาท บรรดาสานุศิษย์เมื่อได้ยินดังนั้นก็พากันทำตามทุกคน จึงได้แสดงธรรมะเมตตาอยู่ประมาณ ๕ นาที ยุงก้อนนั้นก็จางหายไปเกือบหมด ไม่ปรากฏว่ากัดหรือตอมผู้ใดแม้แต่ตัวเดียว

คืนนั้นได้พักอยู่ที่นั่น ตอนเย็นได้มีญาติโยม นายอำเภอ พร้อมทั้งข้าราชการ ชาวบ้านร้านตลาดได้พากันมาฟังเทศน์มาก จึงได้แสดงธรรมะให้เขาฟัง เมื่อได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ออกเดินทางผ่านตำบลคลอดใหญ่ ข้ามเขาอีโต้ เผอิญมาพบศิษย์คนหนึ่งที่แหลมยางเขาเอาเรือมาขนไม้หัวหมู (คันไถ) เขาได้นิมนต์ขึ้นเรือของเขาชื่อ กุมารทอง บ้านเขาอยู่ตลาดแหลมสิงห์ใกล้ จ.จันทบุรี ได้เดินทางกลับมาถึงวัดป่าคลองกุ้งตามเคยแล้วได้อยู่จำพรรษาทีนี้

ในพรรษานี้เกิดอาพาธมีอาการปวดท้องเป็นกำลัง ฉันยาอะไรก็ไม่หายเลย นั่งสมาธิจนเกือบสว่าง นั่งไปถึงเวลาประมาณตีสี่ ได้เคลิ้มฝันว่า โรคนี้เป็นโรคกรรม ไม่ต้องกินยา คือมีความรู้สึกเวลานั่งสมาธิแล้วก็เงียบสนิทคล้ายหลับ แล้วเห็นนิมิตปรากฏขึ้นในใจ มองเห็นกรงนกเขากรงหนึ่ง นกเขาที่อยู่ในกรมตัวผอมโซได้ความว่า ครั้งหนึ่งเคยเลี้ยงนกเขาไว้แล้วลืมให้ข้าวให้น้ำแก่นกเป็นเวลาหลายวัน กรรมอันนั้นจึงติดตามมาสนอง ให้ตัวเองเกิดเป็นโรคกระเพาะขึ้นในครั้งนี้ ฉะนั้นมีทางเดียวโรคนี้จะหายขาดคือการทำความดีในทางจิต ด้วยเหตุนี้จึงได้คิดออกเดินทางไปวิเวก

เมื่อออกพรรษาแล้วจึงได้ออกเดินทางไปยังอำเภอท่าใหม่ ได้เทศน์อบรมญาติโยมเรื่อยๆ ไป ได้เดินทางไปจนถึงปากน้ำประแสร์ อำเภอแกลง ได้ไปพักอยู่ข้างตลาดแห่งหนึ่ง มีชาวตลาดเจ๊กจีนมา ทำบุญใส่บาตรกันมากมาย มีหญิงจีนคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปี มาขอโกนผมแล้วพูดว่าจะขอติดตามหลวงพ่อ เขามีบุตรเพิ่งคลอดได้ ๒ เดือน เตรียมตัวบวชนุ่งผ้าขาวมาเสร็จ แต่ได้เกิดมีเรื่องขึ้นคือ มีลูกชายได้ติดตามมาขอร้องให้กลับบ้าน แกก็ไม่ยอมกลับ จึงได้เกิดวุ่นวายกันขึ้น เวลานั้นได้ถูกญาติโยมรบกวนมาก กลางวันไม่มีเวลาพัก กลางคืนเทศน์

อยู่มาวันหนึ่งได้เดินข้ามไปทางทิศตะวันตกของตลาด คือคิดจะหนีผู้หญิงจีนคนนั้น พอดีแกลากลับบ้านไปเก็บของ ลูกชายแกเดินสวนทางมา วันนั้นพอฉันจังหันเสร็จก็หาทางปลีกตัวไปอยู่แต่ลำพังในป่าช้าอันลึก รกด้วยหนาม ได้เข้าพักอยู่ในร่มไม้เตี้ยๆ แห่งหนึ่ง ปูเสื่อกระจูดนั่งนอนพัก ยังไม่ทันได้หลับตา ขณะนั้นได้อธิษฐานใจว่า ถ้าไม่ถึงบ่าย ๒ โมงจะไม่ออกไป สักครู่เดียวได้ยินเสียงซ่าๆ บนยอดไม้เตี้ยๆ มองขึ้นไปเห็นรังมดแดงแตก ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเถาวัลย์พันอยู่ที่รังมดแดง เรานั่งทับโคนเถาวัลย์เข้า มันก็แตกกระจายร่วงหล่นลงมาบนที่นอน รุมกัดเป็นการใหญ่ เราลุกขึ้นนั่ง มดแดงเกาะแข้งขาเต็มไปหมด ได้ตั้งใจแผ่เมตตาจิตอุทิศกุศลให้สัตว์ทั้งปวง ตั้งสัตยาอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าตั้งแต่บวชมาไม่เคยนึกเลยว่าจะฆ่าสัตว์เบียดเบียนสัตว์นี้ข้อหนึ่ง

ข้อสองถ้าชาติก่อนภพก่อนข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนกินท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็ขอให้กัดกินเสียให้พอ แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่เคยเบียดเบียนท่านมาแต่กาลก่อน ขอจงเลิกแล้วต่อกัน อย่ากัดข้าพเจ้าเลย อธิษฐานเสร็จก็นั่งสมาธิ จิตสงบ เงียบสงัด เสียงซู่ๆ ซ่าๆ ของมดแดงก็เงียบหายไป มดแดงแม้แต่ตัวเดียวก็ไม่เกาะติดหนัง รู้สึกเป็นอัศจรรย์ยิ่งในธรรมะ พอลืมตาดูเห็นมดแดงเกาะอยู่ตามริมขอบเสื่ออย่างมากมาย เกาะกันเป็นแถว

พอได้เวลาจวนเพล ได้ยินเสียงมีโยม ๒ คนเดินมาหา เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเป็นเสียงเจ๊ก ได้ยินเสียงตีพุ่มไม้แล้วร้องดังๆ ไอ๊ย่าๆ เราได้ยินก็นึกขันอยู่ในใจ จึงร้องถามว่า เรื่องอะไรกัน เขาตอบว่า มดแดงกัด ผลที่สุดโยมเจ๊กสองคนนั้นไม่สามารถเข้าไปหาเราได้ ได้เวลาบ่ายสองโมงก็ออกจากที่นั่งพักกลับมาสู่ที่พักข้างนอก จึงได้ความว่าจีนสองคนนั้นเป็นลูกชายของโยมจีนที่จะขอติดตามเราไป จึงได้นั่งสนทนากับเขา ลูกชายพากันร้องไห้ไหว้วอนขอให้หลวงพ่อช่วย ขออย่าให้แม่ติดตามไป เพราะน้องยังเล็กอยู่ พ่อหรือก็แก่แล้ว

ถึงเวลาค่ำหญิงจีนคนนั้นก็มาถึงในมือถือร่ม สะพายย่าม นุ่งขาวห่มขาว แกมาบอกว่า จะติดตามหลวงพ่อ ก็ได้พูดขู่เข็ญแกต่างๆ แกก็พูดอย่างห้าวหาญว่า ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ขอให้ได้ไปด้วยก็แล้วกัน จึงบอกแกว่า ถ้าฉันไม่กินข้าว โยมจะทำอย่างไร แกก็ตอบว่า ไม่กิน ถามว่า ถ้าฉันไม่กินน้ำละ แกตอบว่า ไม่กินเหมือนกัน ยอมตายทุกอย่าง แกพูดต่อไปว่า ฉันทุกข์เรื่องครอบครัวมาหลายปีแล้ว พอได้พบหลวงพ่อรู้สึกใจเย็นเบิกบานกล้าหาญ เวลานี้ฉันสามารถพูดธรรมะให้ญาติโยมฟังแทนหลวงพ่อได้ ทั้งๆ ความจริงแกพูดไทยก็ยังไม่ชัด จึงลองขยับถามเรื่องธรรมะกับแก แกก็ชี้แจงเหตุผลล้วนแต่เป็นธรรมะทั้งสิ้น เป็นการน่าอัศจรรย์ ญาติโยมที่แก่ธรรมะต่างยกมือขึ้นสาธุเมื่อได้ฟังแกพูดจบลง แต่ตนเองหนักใจมาก

ในที่สุดต้องปลอบใจสั่งสอนอบรมว่า เพศหญิงจะไปกับพระไม่ได้ แสดงธรรมะให้แกฟังอยู่เป็นเวลา ๒-๓ วัน ในระยะนั้นในระหว่างเวลาเดินทางเป็นโรคปวดท้องทุกวัน พอได้พบเหตุการณ์นี้เข้าอาการปวดท้องหายไปหมดสิ้น นับตั้งแต่วันออกเดินทางเป็นโรคปวดท้องอยู่รวมทั้งสิ้น ๓๑ วัน

ได้เทศน์อบรมอยู่จนแกยอมปฏิบัติตามคำสอนทุกอย่าง ในที่สุดได้ยอมกลับไปอยู่บ้าน จึงได้พูดบอกกับแกว่า จะหาเวลามาโปรดเสมอๆ ไม่ต้องกลัว ฉันพักอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้งนี่เอง ที่พบกันนั้นเขายังไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน แต่พอเห็นเข้าก็แสดงความยินดีและพอใจ เมื่อได้ทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ออกเดินทางกลับจันทบุรี โรคปวดในท้องก็หายไป


(มีต่อ ๔)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า


เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาก็ได้พักอบรมชาวจันทบุรีอีกตามเคย ในระหว่างที่อยู่จันทบุรีนี้ เมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้วได้ออกเดินธุดงค์ทุกปี ได้เที่ยวไปตามจังหวัดต่างๆ เช่น ระยอง ชลบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา เป็นต้น แล้วได้กลับไปจำพรรษาอยู่ที่ จ.จันทบุรี จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ในปีนี้นึกอยากออกไปเที่ยวประเทศพม่าและประเทศอินเดีย ได้จัดการขอหนังสือเดินทางได้สำเร็จ

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ออกเดินทางจาก จ.จันทบุรี มา จ.พระนคร พักที่วัดสระปทุม ได้ไปติดต่อกับทางราชการและสถานทูตก็ได้รับความสะดวกทุกอย่าง มีหลวงประกอบนิติสาร เป็นผู้รับรองและช่วยติดต่อทางทูต รับรองทางการเงิน รับรองความบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส เป็นอันเรียบร้อยตามกฎหมายทุกประการ เมื่อได้รับหนังสือเดินทางเรียบร้อยแล้วก็ได้ออกเดินทางไป จ.พิษณุโลก แล้วไปสุโขทัย ตาก และได้ไปพักอยู่ที่วัดหนึ่งๆ โยมได้ติดต่อตั๋วเครื่องบิน เพื่อข้ามเขาไปยัง อ.แม่สอด แต่ไม่สำเร็จเพราะมีคนโดยสารเต็มทุกเที่ยว ในการไปครั้งนี้ได้มีศิษย์คนหนึ่งชื่อ นายชิน ติดตามไปด้วย เป็นคนไม่ค่อยเต็มบาท แต่ใช้งานใช้การได้ดี

รุ่งเช้าฉันจังหันแล้ว ได้ออกเดินทางจาก จ.ตาก ข้ามเขาผาวอ กว่าจะถึงอำเภอแม่สอดต้องสิ้นเวลานอนกลางทาง ๒ คืน ได้ไปพักอาศัยอยู่ในวัดพม่าชื่อวัดจองตัวยะ (วัดป่า) วัดนี้ไม่มีพระสงฆ์เลย มีแต่คนๆ หนึ่งเป็นชาวกุลาอาศัยอยู่ เป็นคนรู้ภาษาพม่าได้พักอยู่กับแกหลายวัน จนได้รู้จักภาษาพม่าบ้าง รวมเวลาที่พักอยู่ประมาณ ๑ อาทิตย์เศษ จึงได้ออกเดินทางต่อไป ได้เดินข้ามแม่น้ำเมย พอเดินข้ามไปก็ถึงตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีโยมผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปีวิ่งเข้ามาต้อนรับ ขอนิมนต์ให้ขึ้นรถเขาจะไปส่ง เขาบอกว่าเขาเป็นคนไทย ชาวเมืองกำแพงเพชร ได้จากบ้านเดิมมาอาศัยอยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว สองคนกับนายชินได้รับนิมนต์ขึ้นรถของเขา รถวิ่งเข้าป่า ขึ้นเขาสูง วกไปเวียนมา เวลาประมาณบ่ายสองโมง รถจึงวิ่งพ้นเขาเทือกนี้ ถึงที่ราบแล้ววิ่งต่อไปถึงหมู่บ้านกร๊อกแกร๊ก (กุดจิก) ถึงเวลามืดพอดีจึงถึงบ้านของแก จึงได้พักอยู่ที่บ้านของโยมผู้นี้ เวลาประมาณตีสี่ มีหญิงพม่านำข้าวต้มมาถวาย มาบอกให้ฉัน เราไม่ยอมฉันเพราะยังไม่สว่าง เขาจึงออกไปรออยู่ข้างนอกจนสว่าง

พอสว่างฉันจังหันแล้ว ภริยานายคนนั้นได้ส่งขึ้นรถยนต์ไปท่าจงโต (ท่าเรือไฟ) แล้วได้ขึ้นเรือเดินทางไปเมืองมะละแหม่ง เดินทางทางเรือประมาณ ๔ ชั่วโมง ระหว่างอยู่ในเรือเมล์มีแขกและพม่ามาชวนสนทนาด้วย แต่เราไม่ค่อยรู้ภาษาเท่าไรนัก เวลาประมาณ ๔ โมงเย็นเรือเมล์ถึง จ.มะละแหม่ง จากจังหวัดนี้จะต้องข้ามเรือถึงฝั่งเมาะตะมะ ข้ามแม่น้ำไปอีกหลายนาทีจึงถึงเมาะตะมะ เมื่อมาถึงฝั่งนี้แล้วมองเห็นสถานีรถไฟอยู่ลิบๆ เวลาประมาณ ๑ ทุ่ม รถไฟจึงจะออกจากสถานีเมาะตะมะ ระหว่างที่รถไฟยังไม่ออก ได้ไปนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้คอยเวลารถออก ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปี สังเกตดูเป็นคนมีอัธยาศัยดีงาม ได้เข้ามาหาแล้วพูดบอกว่า อนุญาตให้ท่านขึ้นไปนั่งพักบนรถไฟได้เป็นพิเศษก่อนรถจะออก เพราะท่านเป็นพระไทยมาจากแดนไกล เขาเรียกเราว่า โธยาคงยี เราก็ได้พูดแสดงความขอบใจกับเขาว่า Thank you very much เขาก็ยกมือไหว้อย่างยิ้มแย้มแล้วถามว่า Where do you come from ? เราตอบเขาว่า I come from Siam พูดกันเสร็จแล้ว เราก็ขึ้นไปนั่งพักบนรถไฟ เจ้าหน้าที่รถไฟก็มาติดต่อสนทนากันพอรู้เรื่อง พูดภาษาพม่าบ้าง ภาษาอังกฤษบ้างปนกันไป

เมื่อได้เวลารถไฟออก เป็นเวลากลางคืน อากาศหนาว เรานอนคลุมโปง นายชินนั่งเฝ้าบริขาร ขณะรถไฟถึงสถานีหงสาวดี มีหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๓๐ ปี ขึ้นมานั่งใกล้ๆ ที่นอนของเรา เขามาถามเป็นภาษาพม่าฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็ได้ลุกขึ้นสนทนากับเขาโดยมรรยาท เราพูดว่า ตะวาย่างกุ้ง เขาถามว่าจะไปพักที่ไหนโดยภาษาพม่า เราตอบว่า ชเวดากอง ได้สนทนากันโดยใช้ภาษาใบ้ๆ แกก็เกิดความเลื่อมใส รถวิ่งไปถึงเวลาประมาณตี ๕ แกได้ลงจากรถไฟจากกันไป เราได้โดยสารรถไฟไปจนถึงเมืองย่างกุ้ง พอดีสว่างพระบิณฑบาต มีโยมคนหนึ่งวิ่งมาบนรถไฟ มาช่วยรับข้าวของทำตัวประดุจคนรู้จักคุ้นเคยกัน เขาได้นิมนต์ขึ้นรถของเขา เราก็พากันขึ้นไปนั่งโดยไม่พูดอะไร เขาได้พาไปส่งจนถึงที่พักบนพระเจดีย์ชเวดากอง โยมคนนั้นเลยกลายเป็นโยมอุปัฏฐากส่งเสียให้ความสะดวกทุกสิ่งทุกอย่าง เขาชื่อ นายหม่องแคว๊น ได้พักแรมอยู่บนองค์พระเจดีย์เป็นเวลา ๑๒ วัน ได้รู้จักคุ้นเคยญาติโยมชาวพม่าหลายคน สนทนารู้เรื่องราวพอสมควร แล้วก็ได้ออกเดินทางจากเมืองย่างกุ้ง ลงเรือเมล์ที่ท่าเรือใหญ่เดินทางต่อไปยังประเทศอินเดีย

เรือวิ่งข้ามมหาสมุทรอยู่สองคืนสามวัน มืดพอดีถึงท่าเรือกัลกัตตา ได้พบพระแขกองค์หนึ่งมาจากเมืองกุสินารายน์ ได้สนทนาภาษาธรรมะ โดยภาษาบาลีบ้าง ภาษาแขกบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง พูดคุยกันครั้งหนึ่งต้องใช้ถึง ๓ ภาษาประกอบกันจึงรู้เรื่อง บางคราวขึ้นต้นภาษาแขก ตอนกลางภาษาบาลี ตอนปลายภาษาอังกฤษ แต่ไม่เคยรู้สึกนึกอายเขาว่าเราพูดไม่เป็น เพราะเราก็พูดไม่เป็นจริงๆ แม้จะพูดได้ก็ไม่ถูกสำเนียง รู้สึกได้สนิทสนมกันมาก ในระหว่างเดินทางในเรือ

เมื่อขึ้นจากเรือที่ท่าเรือแล้ว ได้ขึ้นรถลากไปที่วัดพุทธสมาคมที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Maha Bodhi Society แล้วได้พักแรมคืนอยู่ที่นารันทะ Buddhist Temple ที่นั่นได้พบเพื่อนคนไทยซึ่งเป็นลูกศิษย์พระโลกนาถและพักอยู่ที่นั่นชื่อพระใบฏีกาสด สิงหเสนีย์ จึงได้สนทนาพอรู้เรื่องราวต่างๆ ในประเทศอินเดีย ในสมาคมนี้ได้ให้สิทธิเราเป็นพิเศษ อยู่สบาย ฉันก็สบาย มีพระพักอยู่รวมแปดรูปด้วยกัน ได้พักอยู่ในวัดนี้ต้องฉันอาหารเจ ถึงเวลาฉันจังหัน นั่งวงรอบรวมกัน มีภาชนะคนละชิ้น ต่างองค์ต่างตักกับตักข้าวใส่ภาชนะของตน

พักอยู่พอสมควรแล้วได้ออกเดินทางไปเที่ยวดูวัตถุโบราณเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา รู้สึกมีความสังเวชสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ดูสภาพของพระพุทธศาสนาเสื่อมโทรม เกือบไม่มีเหลือในด้านปฏิบัติ เช่นพระสงฆ์นอนห้องเดียวกับผู้หญิงบ้าง ฉันจังหันยามวิกาลบ้าง ขึ้นรถลากกับผู้หญิงบ้าง ดูเขาไม่พิถีพิถันในพระวินัยเสียเลย พอนึกถึงตอนนี้ก็ไม่อยากจะอยู่ในอินเดียต่อไปอีก เวลานั้นอินเดียยังไม่ค่อยสนใจในทางพระพุทธศาสนาเท่าไรนัก ตามสถิติของพุทธสมาคมมีคนนับถือพุทธทั้งประเทศประมาณสามแสนเศษ ประกอบด้วยพระภิกษุหลายชาติ หลายภาษา อาทิ พระฝรั่ง พระจีน พระธิเบต พระมองโกเลีย พระเยอรมัน ฯลฯ รวมทั้งหมดในประเทศอินเดียวอยู่ประมาณแปดสิบรูปเศษ มีความเป็นอยู่อย่างกันดารเพราะไม่มีผู้นิยมใส่บาตรกันเท่าไรนัก

ได้ออกเดินทางจะไปพุทธคยา ได้ขึ้นรถไฟที่สถานีกัลกัตตาเวลา ๑ ทุ่มตรง ถึงเมืองพาราณสีพอดีเพล แล้วได้ขึ้นรถม้าออกไปตำบลสารนาถ ที่เรียกว่า ป่ามฤคทายวันเก่า เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรโปรดพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นปฐมเทศนา อยู่ห่างจากเมืองพาราณสีไปประมาณแปดไมล์ เมื่อได้ไปถึงสถานที่นี้แล้วรู้สึกร่มรื่น เบิกบานใจ เป็นสถานที่กว้างใหญ่ไพศาล มีพระเจดีย์เก่าๆ มีพระพุทธรูปตั้งไว้ในพิพิธภัณฑ์มากมาย ได้ไปอาศัยพักอยู่ที่นั้นหลายวัน แล้วได้ออกเดินทางไปนมัสการสถานที่ดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าที่เมืองกุสินารา บัดนี้เรียกว่า กาเซีย

บ้านเมืองแต่ก่อนกลายเป็นทุ่งนาไปหมด ขณะนั่งรถยนต์ผ่านทุ่งใหญ่ แลเห็นแต่ต้นข้าวสาลีเขียวชอุ่มรู้สึกเย็นตาเย็นใจ ไปเห็นรกรากเก่าของวัด และสถานที่ดับขันธปรินิพพานซึ่งได้ขุดฟื้นฟูขึ้นมา มีพระเจดีย์องค์หนึ่งตั้งตระหง่านเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า แต่องค์ไม่ใหญ่โตเท่าที่สารนาถ

วันรุ่งขึ้นได้เดินทางต่อไปนมัสการสถานที่ถวายพระเพลิงของพระพุทธเจ้า สถานที่นี่อยู่ห่างจากสถานที่ดับขันธปรินิพพานประมาณหนึ่งไมล์ แต่บัดนี้ได้กลายเป็นทุ่งนาไปหมด มีพระเจดีย์หักพัง เหลือแต่อิฐ มีต้นไทรใหญ่เกิดขึ้นเกาะอยู่ที่พระเจดีย์พัง มีพระจีนรูปหนึ่งทำที่พักไว้บนต้นไทรและนั่งภาวนาอยู่ที่นั้น ถึงเวลาตอนเย็นก็เดินทางกลับที่พัก

รุ่งเช้าเมื่อฉันจังหันแล้วขึ้นรถยนต์เดินทางกลับมาขึ้นรถไฟกลับไปเมืองพราราณสี ในระหว่างที่พักอยู่ได้ไปดูการล้างบาปตามลัทธิพราหมณ์ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ซึ่งไหลผ่านมาในบริเวณตลาดพาราณสี ดูเทือกเถาบ้านเมืองเก่าแก่พิลึกพิลั่น ได้ถามอาจารย์ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ เขาบอกว่า เป็นเวลาห้าพันปีมาแล้วเมืองนี้ไม่เคยร้าง ย้ายสถานที่ตั้งเมืองไปตามลำน้ำคงคาเสมอ แม่น้ำคงคานี้เขาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะไหลมาจากยอดเขาหิมาลัย ใครได้อาบตามเทศกาล เขาถือว่าเป็นการล้างบาป สมัยครั้งก่อนคนที่ป่วยหนักใกล้จะตายเขาก็หามไปวางไว้ริมฝั่งแม่น้ำ พอขาดใจศพกลิ้งลงไปในน้ำ ใครทำได้เช่นนี้ถือว่าได้บุญมาก ตายไปไม่ตกนรก ถ้าใครไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็นำกระดูกมาทิ้ง ปัจจุบันนี้ลัทธิเช่นนี้ได้หายไป ยังมีเหลืออยู่แต่ลัทธินิยมอาบน้ำล้างบาป เมื่อถึงฤดูเทศกาลของเขา คือ เดือนยี่กลางเดือนถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ถ้าเราไปดูจะเห็นคนแต่งตัวสวยๆ มีผ้าโพกศีรษะ เดินไปมาเป็นกลุ่มก้อนแถวแนวมากมายแทบไม่มีทางหลีก แล้วพากันลงไปไหว้พระตามริมตลิ่ง บางแห่งก็มีโบสถ์ของพราหมณ์

ก่อนที่ลงอาบน้ำต้องทำพิธีไหว้พระศิวะเสียก่อน คือทำนิมิตเครื่องหมายไว้สองชนิด มีของลับผู้หญิงและผู้ชายตั้งไว้กลางโบสถ์ใหญ่ประมาณกระด้งฝัดข้าว ผู้คนพากันเอาน้ำไปสรง ไปพรม โปรยข้าวตอกดอกไม้และเงินทอง เสร็จแล้วก็ลงไปริมตลิ่งแลเห็นยืนกันเป็นแนว ไปเห็นโยคีนั่งบริกรรมหนวดเครายาวรุงรังขนมาก บางคนก็ไม่นุ่งผ้า นั่งบริกรรมภาวนาอยู่ตามริมน้ำ หญิงชายที่จะไปอาบน้ำล้างบาปก็พากันลงเรือจนเต็มลำ แล้วแจวเรือออกไปกลางแม่น้ำล่มเรือลง แล้วต่างคนต่างก็ดำน้ำผุดขึ้นฝั่ง ก็ถือว่าเป็นการล้างบาปได้ครั้งหนึ่ง บางพวกก็เห็นชี้มือขึ้นบนฟ้า บางพวกก็ยืนขาเดียว บางพวกก็แหงนหน้าดูตะวัน ถ้าจะพรรณนาลัทธิต่างๆ เหล่านี้ยังมีอีกมากมาย

วันนั้นไปเที่ยวดูเสียค่ำ พอเวลาตอนเย็นก็กลับเข้าที่พัก บริเวณสารนาถนี้เป็นสถานที่ใหญ่โตกว้างขวางมาก มีเนื้อที่ประมาณ ๕๐๐ ไร่เศษเป็นอย่างต่ำ มีต้นไม้ขึ้นหย่อมๆ มีกุฏิวิหารรกร้างมากมาย มีคนไปนมัสการพระพุทธรูปในวิหาร วิหารเหล่านี้ก่อสร้างด้วยหินทั้งสิ้น มีหญิงคนหนึ่งเกิดมีศรัทธาแรงกล้า ได้มอบเงินให้ท่านธัมปาละ มาฟื้นฟูสร้างพุทธสมาคม หญิงคนนี้เป็นชาวฮาวายลูกครึ่งฝรั่ง

ในบริเวณนี้มีวัดอยู่สี่วัดคือ
๑. วัดลังกา วัดนี้เป็นสาขาของสมาคมมหาโพธิ
เลขานุการของสมาคมเป็นพระ ทำหน้าที่เผยแผ่พุทธศาสนาทั่วโลก
๒. วัดพม่า
๓. วัดจีน วัดนี้นายโอวบุ้นโฮ้ว เจ้าของห้างขายยาตราเสือเองอันต๋อง
เป็นผู้อุปการะ พระที่วัดนี้มาจากปักกิ่ง
๔. วัดพราหมณ์ วัดนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆ พระเจดีย์ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างไว้
เวลานี้ยอดหักพังลงมาเหลือสูงประมาณแปดวา สถานที่นี้ปรากฏว่า
เคยมีพระบรมธาตุ แต่บัดนี้ได้นำเอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองกัลกัตตา

ได้พักอาศัยเที่ยวสำรวจดูบริเวณนี้อย่างถี่ถ้วน ก็เชื่อมั่น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าพระพุทธเจ้าได้เคยทรงแสดงธรรมจักรจริง สถานที่พระองค์นั่งแสดงก็ปรากฏอยู่ มีวิหารแห่งหนึ่งหักร้าง จารึกชื่อผู้สร้างไว้ว่า มหาราชา มีแท่นหินแห่งหนึ่งขนาดโตประมาณครกตำข้าว สูงประมาณเจ็ดศอก หักออกไปท่อนหนึ่งแล้ว ขณะนี้มีปรากฏอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ มีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งมีศิลาจารึกว่า พระเจ้าอโศกมหาราชาเป็นผู้สร้าง หน้าตักกว้างประมาณ ๑ ศอกคืบยาวๆ มีความสูงตามส่วนของรูปสวยงามมาก สร้างด้วยหิน

เมื่อได้สำรวจดูพอรู้เรื่องราวพอสมควร ก็ได้เดินทางออกจากเมืองพาราณสีกลับลงมาพุทธคยา ที่เมืองพุทธคยานี้มีพักในเมืองแห่งหนึ่งเป็นสาขาของพุทธสมาคม พอลงจากรถไฟแล้วก็ขึ้นรถม้าวิ่งไปตามถนน เมืองนี้เป็นเมืองที่ร่มรื่นกว้างขวาง มีภูเขาดินเป็นเนินสูง มีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งชื่อ เนรัญชรา แต่ตื้นเขิน มีน้ำตลอดปี แม้ในฤดูแล้งก็มีน้ำไหลผ่านเสมอ ตรงกลางเมืองเป็นสันเนิน ที่กลางสันเนินนี้เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าได้เคยไปประทับเรียกว่า นิโครธาราม และมีเทือกบ้านของนางสุชาดาอยู่ในแนวนี้ ต่อจากนั้นไปเป็นแม่น้ำอโนมา แม่น้ำนี้กว้างใหญ่เต็มไปด้วยทราย ในฤดูแล้งเวลาน้ำแห้งแลดูเหมือนทะเลทราย มีน้ำไหลนิดๆ เดินทางวกกลับคืนข้ามแม่น้ำเนรัญชราได้สักหน่อยก็ถึงพระเจดีย์แห่งหนึ่ง มีต้นทองกวาวขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ที่ตรงนี้เรียกว่า มุจลินทร์ คือสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในสมัยกลางนาคปรก ในระหว่างบริเวณต้นโพธิที่พระองค์ตรัสรู้มีพระพุทธรูปแกะด้วยหิน มีพระเจดีย์เก่าเล็กๆ แกะด้วยหินมากมาย มีเจ้าลัทธิต่างๆ ไปนมัสการมิได้ขาด

พักแรมอยู่ที่เมืองพุทธคยาพอสมควร ก็ได้กลับมาเมืองกัลกัตตา พักอยู่ที่นารันทะสแควร์ บุดดิสต์ เทมเปิล (Buddhist Temple) ได้พักอยู่พอสมควรแล้ว ก็ได้ร่ำลาเพื่อนฝูงที่สนิทสนมคุ้นเคยกันกลับลงเรือที่ท่าเมืองกัลกัตตา ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ปลายปีในตอนนี้ไอมหาสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังคุกกรุ่นใกล้ถึงจุดระเบิดขึ้นทางประเทศเยอรมัน ได้แลเห็นเรือรบวิ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียหลายลำ ได้มองเห็นเวลาเรือแล่นผ่านมา นอนอออยู่ในเรือกลางมหาสมุทรอินเดีย สองคืนสามวันก็ถึงท่าเรือเมืองย่างกุ้ง ได้ขึ้นไปพักอยู่บนพระเจดีย์ชเวดากอง ได้ไปเยี่ยมโยมที่เคยมีอุปการะได้พักอยู่พอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางกลับประเทศไทยโดยทางรถไฟ สมัยนั้นเครื่องบินโดยสารยังไม่มี จึงต้องเดินทางกลับตามเส้นทางสายเดิม

เมื่อมาถึงอำเภอแม่สอดรู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางข้ามเขา จึงได้ติดต่อขอซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบินไทยที่อำเภอแม่สอด ขึ้นเครื่องบินจากอำเภอแม่สอดมาลงที่ จ.พิษณุโลก จับรถไฟจาก จ.พิษณุโลก ไป จ.อุตรดิตถ์ พักอยู่ที่วัดศัลย์พงศ์ ได้ไปเยี่ยมญาติโยมและศิษย์เก่าพอสมควรแล้ว ได้ออกเดินทางไปพักอยู่ที่พระแท่นศิลาอาสน์ เป็นเวลาพอสมควรแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ พักที่วัดสระปทุม ต่อจากนั้นได้เดินทางกลับไปจำพรรษาที่ จ.จันทบุรี อีกตามเคย ได้จำพรรษาอยู่ใน จ.จันทบุรี เป็นเวลานานถึง ๑๔ พรรษา จนเกือบถือได้ว่าเป็นบ้านของตัวเอง ปัจจุบันนี้มีสำนักที่ได้จัดตั้งขึ้นใน จ.จันทบุรี รวมทั้งสิ้น ๑๑ สำนักคือ

๑. วัดป่าคลองกุ้ง อ.เมือง
๒. วัดทรายงาม บ้านหนองบัว อ.เมือง
๓. วัดเขาแก้ว อ.เมือง
๔. วัดเขาน้อย ท่าแฉลบ อ.เมือง
๕. วัดยางระหง อ.ท่าใหม่
๖. วัดเขาน้อย อ.แหลมสิงห์
๗. วัดเขาจำฮั่น อ.ท่าใหม่
๘. วัดแหลมยาง อ.แหลมสิงห์
๙. วัดใหม่ดำรงธรรม อ.ขลุง
๑๐. วัดบ้านอีมั่ง อ.ขลุง
๑๑. สำนักสงฆ์สามแยก สถานีทดลองกสิกรรมน้ำตกเขาสระบาป

สำนักเหล่านี้ได้มีพระประจำอยู่ทุกแห่ง ได้ตั้งเป็นวัดถาวรแล้วก็มี ยังเป็นสำนักสงฆ์อยู่ก็มี

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้เกิดสงครามอินโดจีน และมหาสงครามโลกครั้งที่สอง ในระหว่างสงครามได้ท่องเที่ยวไปในจังหวัดต่างๆ วกไปเวียนมาอยู่ตลอดเวลาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เมื่อสงครามโลกสงบลงแล้ว ก็นึกจะออกไปประเทศอินเดียอีก พอถึงเดือนพฤศจิกายนก็ได้เตรียมการขอหนังสือเดินทาง

การไปประเทศอินเดียครั้งนี้ออกจะยุ่งยาก เพราะสงครามเพิ่งสงบใหม่ๆ พอเตรียมการทำหนังสือขออนุญาตก็ได้ถามโยมอุปฐากและไวยาวัจกร คือ ขุนอำนวยฯ ว่า มีมูลค่าปัจจัยอยู่เท่าไร ได้รับคำตอบว่ามี ๗๐ บาท แต่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมหนังสือเดินทางประมาณ ๑๒๐ บาท เมื่อเป็นดังนี้ญาติโยมที่ทราบเรื่องต่างพากันมาร้องทุกข์ห้ามไม่ให้ไป แต่ได้ตอบว่า ฉันต้องไป โยมตอบว่ามีเงินเท่านี้ ๗๐ บาท ไปไม่ได้ จึงได้ตอบว่า ฉันไม่ได้ให้เงินไป ฉันเอาตัวฉันไปต่างหาก เมื่อพูดเช่นนี้สานุศิษย์ก็เข้าใจว่าเราต้องไปจริงๆ ต่างคนต่างช่วยกันบริจาคทรัพย์เป็นค่าพาหนะเดินทาง

อยู่มาวันหนึ่ง พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ กับนายชำนาญ ลือประเสริญ ได้เดินทางไปพักอยู่ที่วัด เมื่อได้ทราบว่าเราจะเดินทางไปประเทศอินเดีย จึงได้สนทนากัน พระยาลัดพลีฯ ได้ตั้งปัญหาขึ้นสองข้อว่า

๑. ท่านจะไปทำไม ธรรมะมีกับตัวเราทุกคน
๒. ท่านรู้จักภาษาของเขารึ

จึงได้ตอบว่าพม่า แขก ก็เป็นคนเหมือนกันอาตมา คนกับคนไม่รู้จักภาษากันมีหรือในโลกนี้

พระยาลัดพลีฯ ท่านจะไปยังไง เงินของท่านมีพอไหม

ตอบ พอเสมอ

พระยาลัดพลีฯ ถ้าเงินท่านขาด ท่านจะไปได้อย่างไร

ตอบ เงินที่จะขาดไปนั้น มันก็คงขาดเหมือนผ้านุ่งขาด คือค่อยๆ ขาดทีละช่อง ทีละตอน ฉันใด อาตมาก็ฉันนั้น ก่อนเงินหมด จะไม่รู้อะไรบ้างหรือ

พระยาลัดพลีฯ ท่านรู้จักภาษาฝรั่งใหม ?

ตอบ อาตมาอายุ ๔๐ ปี ถ้าไปเรียนภาษาฝรั่งหรือภาษาแขก อาตมาเห็นว่า จะสามารถเรียนได้ดีกว่าลูกแขกหรือลูกฝรั่ง

ในที่สุดก็หมดโอกาสคุยกัน แล้วพระยาลัดพลีฯ ได้พูดขึ้นอีกว่า แกล้งพูดกับท่านเฉยๆ เราจึงพูดว่า สำหรับอาตมาไม่ได้ถือสาเจ้าคุณ แต่ต้องพูดไปอย่างนี้แหละ

ต่อจากนั้น ญาติโยม พระเณร ต่างพากันบริจาคช่วยเป็นค่าเดินทางได้มูลค่าทั้งสิ้นประมาณ ๑ หมื่นเศษ จึงได้เดินทางจาก จ.จันทบุรี มาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ได้ติดต่อสถานทูตขอวีซ่าหนังสือเดินทาง ก็ได้รับความสะดวก โดยการอนุเคราะห์ของศิษย์ฝ่ายตำรวจ มี พ.ต.อ.สุดสงวน ตัณสถิตย์ เป็นผู้จัดการช่วยเหลือ ส่วนการขอแลกเงินตราต่างประเทศได้วิ่งเต้นช่วยเหลือกันเกือบไม่สำเร็จ เพราะขณะนั้นราคาเงินปอนด์ในตลาดมืดขึ้นสูงถึงปอนด์ละ ๕๐ บาท แต่อัตราของทางราชการ ๑ ปอนด์ต่อ ๓๕ บาท การวิ่งเต้นขอแลกเงินตราต่างประเทศนี้รู้สึกว่ายุ่งยากมาก เกือบๆ จะหมดหวัง จึงได้ตั้งอธิษฐานจิตว่า เราจะไปเยี่ยมเพื่อน และสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับ เพราะไปมาคราวก่อนยังไม่ชัด จึงอยากไปอีกครั้งหนึ่ง ได้ตั้งอธิษฐานว่า ถ้าจะไปได้จริงในครั้งนี้ขอให้มีคนใดคนหนึ่งมาช่วยให้แลกเงินตราต่างประเทศได้สำเร็จ

หลังจากนั้น ๔ วัน นายบุญช่วย ศุภสีห์ (ขณะที่บันทึกนี้มียศเป็น ร.ต.ท. ตำรวจม้า)
ได้ถามว่า ท่านพ่อ แลกเงินได้รึยังครับ

ตอบ ยังไม่ได้

นายบุญช่วย ผมจัดการเอง

จากนั้นเขาได้วิ่งเต้นติดต่ออยู่ประมาณ ๑ อาทิตย์ได้ไปติดต่อกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย เขาได้หนังสือแนะนำจากเพื่อนฝูง และหนังสือรับรองหนึ่งฉบับจากอดีตรัฐมนตรีเลียง ไชยกาล ส.ส. อุบลราชธานี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปติดต่อกับธนาคารชาติ ครั้งแรกไปติดต่อได้รับคำชี้แจงว่า ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะอนุญาตให้แลกได้ นายบุญช่วยฯ จึงได้ปรึกษากับนายจรัส แตงน้อย และนายสมปอง จันทรากูล ซึ่งทำงานที่ธนาคารชาติ ตกลงผลสุดท้ายได้มีสิทธิ์แลกเปลี่ยนเงินปอนด์ตามอัตราราชการได้โดยนายจรัสได้เสนอให้ความเห็นสนับสนุนว่าควรให้แลก เพราะเป็นการเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนรวมแก่ประเทศชาติและศาสนา จึงแลกเงินปอนด์ได้ทั้งสิ้น ๙๘๐ ปอนด์

เมื่อแลกเงินฯ ได้แล้ว ก็ได้ไปติดต่อขอวีซ่าหนังสือเดินทาง ทางด้านกระทรวงต่างประเทศ ก็มีนายประชา โอสถานนท์ เป็นหัวหน้าแผนกออกหนังสือเดินทาง ได้ช่วยจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยทุกอย่าง ตลอดจนกระทั่งการติดต่อกับเพื่อนที่อยู่ประจำในสถานฑูตไทยในต่างประเทศ แล้วได้ไปขอวีซ่าที่สถานเอกอัคราชฑูตอังกฤษเป็นอันเรียบร้อยทุกอย่างในการออกเดินทาง

เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ออกเดินทางจากประเทศไทยโดยเครื่องบิน นางประภาซึ่งเป็นศิษย์ทำงานอยู่บริษัทเดินอากาศไทยได้ช่วยซื้อตั๋วให้ในราคาพิเศษ ได้ส่วนลดเกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เครื่องบินออกจากท่าอากาศยานดอนเมืองเวลาประมาณ ๐๘.๐๐ นาฬิกา การเดินทางครั้งนี้มีพระภิกษุติดตามไป ๑ รูป ชื่อพระสมุทร มีศิษย์หนึ่งคน ชื่อนายธรรมนูญ เวลาประมาณฉันเพล เครื่องบินก็ถึงสถานีการบินเมืองย่างกุ้ง มีเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำประเทศพม่ามาต้อนรับที่สนามบิน คือ ม.ล.ปีกทิพย์ มาลากุล นายสุปัน เศวตมาลย์ และนายสนั่น เขาได้พาไปอยู่ในวิหารบนพระเจดีย์ชเวดากอง ได้พักอยู่ในประเทศพม่า ๑๕ วัน ได้ไปเที่ยวดูสถานที่ต่างๆ ในเมืองย่างกุ้ง ตอนนี้ได้แลเห็นแต่ซากระเบิดตามสถานที่ต่างๆ สงครามกะเหรี่ยงก็กำลังกำเริบอยู่ทางเมืองมัณฑเล

วันหนึ่งได้ออกเดินทางไปเมืองหงสาวดี เพื่อนมัสการพระพุทธรูปนอนใหญ่ในตำบลหนึ่ง พบทหารพม่าซึ่งมารักษาการณ์อยู่ในบริเวณนั้น คณะทหารได้ให้ความสะดวก เวลาจะไปไหนมาไหนมีทหารติดตามไปด้วย ๑๒ คน เวลาที่นอนพักในเวลากลางคืนก็เฝ้ารักษาการณ์ให้ความปลอดภัย ไปนอนอยู่บนพระเจดีย์มุเตาซึ่งมียอดหัก เวลากลางคืนได้ยินแต่เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว จึงถามทหารที่ไปด้วยว่า ยิงอะไรกัน เขาตอบว่า ยิงขู่คอมมิวนิสต์ เวลาเช้ามืดมีหญิงพม่าสองคนมาสนทนาด้วยเกิดศรัทธาได้นิมนต์ไปฉันที่บ้าน เมื่อได้เที่ยวดูสถานที่ต่างๆ ในเมืองย่างกุ้งเสร็จแล้ว ก็ตระเตรียมการเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศอินเดีย

ระหว่างพักอยู่ในเมืองย่างกุ้ง ได้มีพระภิกษุไทยองค์หนึ่งบวชในพม่า ชื่อสายหยุด ได้นำไปติดต่อแนะนำให้รู้จักกับเจ้านายพม่า จึงพากันเข้าไปในวัง เจ้าพม่าองค์นี้เป็นลูกสาวของพระเจ้าทีบอ กรุงมัณฑเล ได้สนทนาเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยให้จ้าวแม่ฟัง เจ้าแม่เล่าขนบธรรมเนียมประเพณีของพม่าให้เราฟัง ระหว่างกำลังสนทนากัน จ้าวแม่รับสั่งว่า ฉันเป็นคนไทย จ้าวแม่องค์นี้อายุประมาณ ๗๗ ชันษา เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าทีบอ กรุงมัณฑเลได้สั่งเป็นภาษาไทยว่า ท่านชอบฉันขนมต้มไหม แต่ไม่อยากพูดกันยาว ฟังเรื่องราวดูแล้ว พม่าเห็นจะได้ตัวไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาแตก จ้าวแม่องค์นี้มีพระนามว่า สุทันตะจันทเทวี ได้รับสั่งขอความช่วยเหลืออย่างหนึ่งว่า เวลานี้รายได้ขาดไปหมด ขอให้ท่านช่วยบ้าง เราจึงตอบว่า ไม่เป็นไรตะกามะ อาตมาจะช่วย ที่เป็นดังนี้เพราะประเทศพม่าได้เปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลใหม่ พระบรมวงศานุวงศ์พม่าที่เคยได้รับเงินเดือนถูกตัดหมด จึงไม่มีรายได้ใดๆ ขอให้ท่านสงสารเถอะ เพราะเป็นไทยด้วยกัน ถ้าแนะนำให้สถานเอกอัครราชทูตไทยช่วยได้บ้างก็จะดี จ้าวแม่ได้เล่าเรื่องให้ฟังและขอร้องดังกล่าวนี้

ต่อมาได้นำเรื่องจ้าวแม่องค์นี้ไปเล่าให้ ม.ล.ปีกทิพย์ มาลากุล ฟัง ท่านผู้นี้มีใจบุญใจกุศลมากทั้งสามี ภรรยา ขณะนั้นพระมหิทธาฯ ดำรงตำแหน่งเอกอัคราชทูต ม.ล.ปีกทิพย์ฯ ได้พาเราไปพบปะสนทนากับพระมหิทธาฯ เมื่อได้พบปะกันรู้สึกว่ามีความดีอกดีใจเหมือนญาติได้พบกัน บรรดาคณะทูตทั้งหมดก็ได้ช่วยเหลือทุกอย่างก่อนที่จะออกเดินทางไปประเทศอินเดีย ได้แนะนำให้ความสะดวกทั้งทางราชการและส่วนตัว

ปลายเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้ออกเดินทางจากเมืองย่างกุ้งโดยทางเครื่องบินได้ถึงสนามบินกัลกัตตาประมาณ ๔ โมงเย็น กัปตันเครื่องบินลำนี้เคยเป็นเพื่อนรักกัน บัดนี้ได้ถึงแก่กรรมเพราะเครื่องบินตกที่ฮ่องกง เวลาออกเดินทางเขาได้คุยว่าจะให้ขับแบบไหนสูงต่ำโลดโผนก็ได้ เขาได้บอกว่าจะพาขึ้นสูงถึง ๑ หมื่นฟุต ระหว่างเดินทางรู้สึกว่ามีคลื่นมาก บริเวณภูเขาหิมาลัยอากาศหนาวจัด จนกระทั่งนั่งอยู่ที่ห้องกัปตันไม่ได้ ต้องกลับมานั่งที่เก้าอี้แล้วห่มผ้า

เมื่อถึงสนามบินแล้ว ต่างคนก็ต่างไป เพราะคนขับมีสิทธิพิเศษไม่เหมือนผู้โดยสาร ส่วนเราต้องถูกตรวจเข้าของ ตรวจโรคสำหรับการเข้าห้องมืดเขายกให้เราเป็นพิเศษ ในห้องมืดนี้ภายในห้องสว่างจ้า คนที่เข้าไปให้ตรวจนั้นต้องแก้ผ้าหมด แต่เคราะห์ยังดี มีแขกคนหนึ่งพอเห็นเราเข้าไปในห้อง ก็ยิ้มแสดงว่าเขาจะช่วยเรา แขกคนนี้เป็นแขกซิก ในที่สุดเขาก็ให้ความสะดวกเรา ข้าวของไม่ต้องตรวจ ได้พักอยู่จนย่ำค่ำ จึงได้มีฝรั่งคนหนึ่งมาขอโทษแล้วบอกว่าเดี๋ยวรถของบริษัทจะมารับ ต่อมาอีกสักครู่หนึ่งก็ได้ขนข้าวของขึ้นรถยนต์วิ่งเข้าไปในเมืองกัลกัตตาหลายไมล์ ได้ไปพักอยู่ที่สมาคมมหาโพธิ

ขณะที่ไปถึงเลขานุการใหญ่ของสมาคมซึ่งเคยเป็นเพื่อนเก่าไม่อยู่ ได้ความว่าเขานำพระบรมธาตุไปทำการฉลองที่เมืองหลวงแล้วเลยเดินทางไปกัษมีระ พวกพระที่อยู่ที่สมาคมได้จัดแจงให้ความสะดวกทุกประการ เพราะเราเป็นสมาชิกของสมาคมมาหลายปี เขาได้จัดให้ไปพักตึกชั้นที่สาม

ระหว่างที่พักอยู่ได้ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับเรื่องหนังสือเดินทางอยู่หลายวันจึงเป็นที่เรียบร้อย ได้พักอยู่ที่สมาคมมหาโพธิจนถึงเวลาจวนเข้าพรรษา คิดว่าจะเดินทางไปประเทศลังกาได้นำดร๊าฟท์ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร ปรากฏว่าดร๊าฟท์ใบนี้ธนาคารที่ออกให้ไม่มีสาขาธนาคารในอินเดีย ธนาคารจึงไม่ยอมให้ขึ้นเงิน เขาชี้แจงว่าต้องไปขึ้นเงินที่สาขาธนาคารกรุงลอนดอน ตอนนี้ชักเกิดความยุ่งยาก ตรวจดูเงินที่ลูกศิษย์เหลืออยู่ประมาณ ๑๐๐ รูปี จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก ขณะเดียวกันมีเงินปอนด์ติดตัวอยู่ถึง ๘๐๐ ปอนด์ แต่ธนาคารอินเดียวไม่ยอมรับ เพราะกำลังเกลียดชังอังกฤษไม่ต้องการใช้เงินปอนด์ ไม่ต้องการพูดภาษาอังกฤษ เว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ เราเลยต้องพลอยฟ้าพลอยฝนลำบากกับเขาไปด้วย

ในที่สุดได้ตั้งใจสวดมนต์ภาวนาแล้วตั้งอธิษฐานว่า ขอจงให้ข้าพเจ้าได้รับความสะดวกในเรื่องที่เกี่ยวกับเงินคราวนี้ อยู่มาวันหนึ่งเวลาประมาณบ่ายห้าโมงเย็นมีคนๆ หนึ่งชื่อนายถนัด นาวานุเคราะห์ เป็นทูตพาณิชย์ไทย ได้มาเยี่ยมแล้วถามว่า ท่านอาจารย์มีเงินใช้ไหม จึงตอบเขาไปว่า มีไม่พอ เขาจึงได้ล้วงกระเป๋าถวายให้เป็นจำนวน ๒,๐๐๐ รูปี เมื่อได้รับเงินรูปีมาเรียบร้อยแล้ว ในตอนเย็นวันนั้นเพื่อนคนที่เป็นเลขานุการใหญ่ของสมาคมมหาโพธิก็ได้เดินทางกลับมา เขาได้นิมนต์ไปคุยที่ห้องพัก แสดงความดีอกดีใจ แล้วสนทนากันเป็นภาษาบาลี


(มีต่อ ๕)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เขาถามว่า มีเงินใช้พอไหม ต้องการเท่าไร ไม่ต้องเกรงใจเรียกได้ทุกเวลา

ได้ตอบเขาเป็นภาษาอังกฤษว่า Thank you very much เขาก็ยิ้มตอบ

ตั้งแต่วันนั้นก็ได้รับความสบายใจทุกประการ พอจวนได้เวลาเข้าพรรษา มีพระองค์หนึ่งซึ่งรักใคร่กันมาก เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่สารนาถชื่อ สังฆรัตนะ ได้ชวนไปอยู่จำพรรษาที่โน่น จึงได้ตอบตกลงไปกับท่าน วันรุ่งขึ้นท่านได้ออกเดินทางไปก่อน ถึงวัน ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เราจึงได้ออกเดินทางตามไป พอดีเพลวัน ๑๕ ค่ำ ก็ถึงวัด เพื่อนฝูงได้จัดหาที่พักให้ตึกหลังใหญ่มี ๔๐ ห้อง อยู่กันคนละห้อง แล้วได้จำพรรษาที่สารนาถนี้ ในระหว่างจำพรรษาก็ได้รับความสะดวกสบาย เพื่อนที่รู้จักกันเมื่อมาครั้งก่อนก็ยังอยู่ การขบฉันก็สะดวก คือในเวลาเช้า เขาได้นำนม โอวัลติน โรตี ๓-๔ แผ่น มาส่งให้ถึงที่ทุกวัน ฉันเท่านี้ก็รู้สึกอิ่ม แต่พอสายหน่อยเขาก็ให้ฉันข้าวสวย แกงถั่วแกงงา ไม่มีเนื้อสัตว์ ฉันเจ บางวันก็มีอาหารคาว

ระหว่างอยู่จำพรรษามีการสวดมนต์เย็น เสร็จแล้วไปนมัสการพระเจดีย์องค์ใหญ่ยอดหักอยู่เหนือวิหาร บางวันก็ไปเที่ยวเมืองพาราณสี ไปเที่ยวดูสถานที่ของพวกพราหมณ์ วัดธิเบต วัดพม่า วัดฮินดู วัดลังกา ฯลฯ

จวนๆ เวลาออกพรรษา เดือนหงาย สวดมนต์แล้วขึ้นไปนั่งพักอยู่หน้าวิหารคนเดียว การสวดมนต์ก็สวดเหมือนพระไทย แต่เร็วที่สุด วันที่นั่งพักอยู่หน้าวิหารเป็นเวลากลางคืนเดือนหงาย ได้นั่งสมาธิเพ่งมองดูยอดพระเจดีย์ ระลึกถึงพระเจ้าอโศกมหาราช ว่ามีบุญคุณมากต่อพระศาสนา มองเพ่งไปนานๆ เกิดแสงสว่างวูบวาบกระจายตามต้นไม้และพระเจดีย์ นึกในใจว่า พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าคงมีจริง

อยู่มาวันหนึ่งเวลาจวนออกพรรษา เจ้าหน้าที่พุทธสมาคมได้มานิมนต์ไปรับพระธาตุ และพระอัฐิธาตุของพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ซึ่งทางราชการได้นำไปสมโภชที่กรุงนิวเดลฮี และได้นำส่งกลับมาโดยเครื่องบิน จึงได้พากันไปต้อนรับที่สนามบิน เครื่องบินถึงเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. เศษ เมื่อเครื่องบินจอดเรียบร้อยแล้ว เขาได้ให้เราเข้าไปรับพระเจดีย์ทองเหลืององค์เล็กๆ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระธาตุพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร จึงได้นำมาถึงพุทธสมาคม แต่ไม่ได้ขอเขาดู เพราะใจรู้สึกเฉยๆ ต่อจากนั้นเขาได้จัดส่งพระธาตุนั้นไปรักษาไว้ที่สำนักงานเมืองกัลกัตตา เป็นอันว่าเราไม่มีโอกาสได้เห็น

พอออกพรรษาแล้ว ก็ได้รับจดหมายด่วนบ้าง ธรรมดาบ้าง ซึ่งส่งไปจากประเทศไทยและประเทศพม่า มีใจความในจดหมายว่า ขอให้เรากลับไปเมืองย่างกุ้งด่วน เพราะเจ้าแม่สุทันตะจันทเทวีได้รับเงินเดือนแล้ว ดีอกดีใจ ลูกชายลูกสาวของท่านได้ชักชวนเพื่อนฝูงจะสร้างวัดถวายที่เมืองย่างกุ้ง ขอให้มารีบจัดการ เมื่อได้ทราบ ดังนั้นจึงได้รีบเดินทางกลับเมืองกัลกัตตา เมื่อมาถึงแล้วได้เตรียมวีซ่าพาสปอร์ตกลับมาเมืองย่างกุ้ง วันที่ไปถึง คณะกรรมการสร้างวัดได้พากันไปรับที่สนามบิน แล้วก็พาไปวังเจ้าแม่ในวันนั้น ณ ที่นั้นมีกรรมการนั่งประชุมกันอยู่ประมาณ ๓๐ กว่าคน คณะกรรมการประกอบด้วย เจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้าคหบดี ได้มาประชุมหารือกัน จะซื้อที่ดินถวายให้สร้างวัด ที่ดินที่จะซื้อมีลักษณะเป็นเนินเขาดินสูงๆ มีเนื้อที่ประมาณ เก้า เอเคอร์ เจ้าของจะขายในราคาราว ๓ หมื่นรูปี เมื่อได้ทราบโครงการย่อๆ แล้ว ก็ได้กลับไปพักอยู่ที่พระเจดีย์ตามเคย

ต่อมาได้นำเรื่องความนี้ไปหารือเอกอัครราชทูตไทย ตอนนั้น พระมหิทธาฯ ได้ย้ายไปประจำประเทศอื่นแล้ว คงเหลืออยู่แต่ ม.ล.ปีกทิพย์ มาลากุล ดำรงตำแหน่งแทน จึงได้นำเรื่องนี้มาหารือ ท่านกล่าวว่า เรื่องเช่นนี้ถ้าทำเป็นทางราชการได้จะดีมาก ทางทูตจะได้ช่วยเหลือได้เต็มที่ ความเห็นทางฝ่ายคณะกรรมการก็อยากให้ทางไทยได้ช่วยเหลือ เพราะมีความประสงค์จะสร้างวัดให้เป็นแบบไทยทุกอย่าง ประธานกรรรมการเป็นคนแก่อายุมาก เป็นที่เกรงขามของคนในสมัยก่อน เพระในอดีตเคยเป็นนักการเมืองสำคัญคนหนึ่งของพม่า อายุประมาณ ๗๐ ปี เป็นอาจารย์ของตะขิ่นนุ นายกรัฐมนตรีของพม่า (ในสมัยนั้น- ผู้พิมพ์) ในเรื่องนี้เราเองก็นึกว่าคงสำเร็จ ได้ไปติดต่อกับคนไทยซึ่งอยู่ในเมืองย่างกุ้งหลายสิบคน ต่างคนต่างพากันดีใจ

อยู่ต่อมาไม่นานก็ได้รับจดหมายจากกรุงเทพฯ บ่อยๆ ได้ทราบข่าวเรื่องไม่ดีบางเรื่องเกี่ยวถึงนายบุญช่วย ศุภสีห์ จึงได้คิดกลับประเทศไทยเพื่อที่จะได้มาติดต่อกับคณะรัฐบาลไทยและคณะสงฆ์ไทยให้ทราบเรื่องด้วย

เดือนธ.ค.พ.ศ.2494 ได้โดยสารเครื่องบินจากสนามบินย่างกุ้งถึงกรุงเทพฯ ตอนนี้พระที่ได้ติดตามไปได้กลับมาก่อนหลายวันได้มาพักอยู่กับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ที่วัดบรมนิวาส และได้นำเรื่องการสร้างวัดที่เมืองย่างกุ้งกราบเรียนสมเด็จฯ สมเด็จฯ ได้ตรึกตรองอยู่เป็นเวลาหลายวัน เกือบๆ จะได้รับอนุญาตให้ไปประเทศพม่าอีก ก็เผอิญมีเรื่องบางอย่างแทรกซึมเข้ามา คือมีพระสงฆ์บางรูปเมื่อได้ทราบข่าวว่าจะตั้งวัดขึ้นในเมืองย่างกุ้ง ก็ได้แสดงตัวติดต่อเป็นเจ้ากี้เจ้าการ เขาแสดงความหมายว่า พระอาจารย์ลีทำไม่สำเร็จนอกจากเขา เรื่องนี้ทางเมืองย่างกุ้งได้มีจดหมายมาบอกข่าวอย่างนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรไม่ทราบ พระองค์ที่แสดงตัวเป็นเจ้ากี้เจ้าการนี้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ทรงสมณศักดิ์ ซึ่งอยู่ในพระนครนี้เอง เมื่อได้รับทราบเรื่องราวเช่นนี้เราก็ปล่อยมือ ไม่เกี่ยวข้อง โดยได้มีจดหมายไปถึงเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่าขอถอนเรื่องนี้ ในที่สุดเรื่องนี้เป็นอันยุติไป จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครไปก่อสร้างขึ้น

เมื่อเหตุการณ์ได้เป็นไปดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้ออกเดินทางจากวัดบรมนิวาส กลับไปเยี่ยมญาติโยมที่ จ.จันทบุรี ระหว่างนี้ได้มีคนบางจำพวกซึ่งอิจฉาริษยาพยาบาทเรา ได้หาเรื่องทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณทุกวิถีทาง มีอยู่มากมายหลายคน แต่จักไม่ขอกล่าวชี้ตัว เพราะถือเสียว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ช่วยสร้างความดีให้แก่เราๆ ยิ่งมีมานะสูงขึ้นทุกทีๆ อยู่มาจวนจะเข้าพรรษาก็ได้เดินทางจาก จ.จันทบุรี กลับมาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาสตามเคย แล้วได้เดินทางไปอบรมญาติโยมที่วัดเสน่หา จ.นครปฐม ต่อจากนั้นได้ไปพักอยู่ที่วัดประชุมนารี จ.ราชบุรี ที่วัดนี้มีเจ้าจอมทรัพย์วัฒนาเป็นประธาน ได้ไปนิมนต์มา ได้ไปพักอยู่ที่วัดนี้หลายวัน ได้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง

เช้าวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี เข้ามานั่งอยู่หน้าธรรมาสน์สักครู่หนึ่งก็เกิดอาการชัก จึงได้ทำน้ำมนต์รดให้ ไล่เลียงถามดูได้ความว่ามีปีศาจตนหนึ่งเป็นผู้ชายได้ถูกฆ่าตายโหง ได้อาศัยอยู่ในบริเวณนี้แล้วได้เข้าสิงคน จนเกิดมีโรคขึ้นในตัว เป็นปุ่มแผลโตเท่านิ้วหัวแม่มือ พอทราบเรื่องราวอย่างนี้ เราก็ไม่มียาอะไร เวลานั้นกำลังนั่งฉันหมากอยู่ จึงเอาชานหมากขว้างไปให้เขากิน อาการที่เป็นปุ่มแผลในตัวหายไป ได้ปรากฏเหตุการณ์อย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง และมีคนเห็นอยู่หลายคนด้วยกัน

อยู่มาวันหนึ่งจวนๆ จะออกเดินทาง มีหญิงคนหนึ่งชื่อนางสมร หลานสาวนางเง็กที่อยู่กรุงเทพฯ เคยบวชเป็นชี สึกออกไปมีสามีอยู่ที่ราชบุรี อายุประมาณ ๔๐ ปี สามีเป็นอดีตผู้พิพากษา มีบุตรชาย ๑ คน อายุ ๑๕ ปี คนๆ นี้ นับถือเรามาก ไปคราวไหนก็ไปหาทุกที วันนั้นเวลาประมาณห้าโมงเย็น นางสมรได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย จึงได้พูดถามขึ้นคำหนึ่งว่า แม่สมรต้องการอะไร เขาตอบว่า จะมาขอลูกจากหลวงพ่อ

เจ้าของเองได้ยินแล้วรู้สึกใจไม่ค่อยดี เพราะมีคนน้อยและแกก็พูดเบาๆ เสียด้วย เลยพูดออกมาว่า อย่าเพิ่งพูดกัน เพราะนึกคิดไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าว่า ถ้าเกิดมีความจริงขึ้นเราก็แย่ ฉะนั้น เรื่องนี้จึงขอเปิดเผยความจริงให้ทราบทั่วกันว่าเป็นอย่างไร

ถึงเวลาประมาณ ๑ ทุ่มเศษ ได้มีญาติโยมมาประชุมกันบนศาลาประมาณร้อยคนเศษ แม่สมรมานั่งอยู่ใกล้ๆ ข้างธรรมาสน์ พอให้ศีลแสดงธรรมะอบรมจิตใจเพื่อสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมีแล้ว แม่สมรก็พูดขึ้นดังๆ ว่า อะไรๆ ฉันไม่อยากได้ทั้งนั้น ฉันอยากได้แต่ลูก จะขอลูกจากหลวงพ่อ เราจึงพูดกับแกว่า ไม่เป็นไร หลวงพ่อจะให้ ที่ตอบดังนี้เพราะเคยทราบเรื่องในพระสูตรอยู่บ้าง จึงได้พูดเป็นทีเล่นๆ ว่า ขอให้ตั้งใจ ทำจิตให้ดีในวันนี้ ฉันจะอธิษฐานอาราธนาให้เทวดาเอาลูกมาให้ เมื่อแกนั่งสมาธิเสร็จแล้ว แกก็บอกว่า รู้สึกสบายใจ ดีใจ เคยนั่งหลายหน ไม่เหมือนวันนี้ จึงบอกว่า นั่นจะสำเร็จละ

พอวันรุ่งขึ้น ได้ออกเดินทาง จ.ราชบุรี โดยทางรถไฟไป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขุนทัศนวิภาคเป็นศิษย์ติดตามไป ได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าข้างสถานีปราณบุรีฯ ๑ คืน ตื่นเช้าให้ขุนทัศน์ฯ ไปติดต่อซื้อตั๋วรถไฟ ขุนทัศน์ฯ มีเงินอยู่ ๑๒๐ บาท สมัยหลังสงครามใช้ธนบัตรที่พิมพ์จากอเมริกาใบละ ๑๐๐ บาท และใบละ ๒๐ บาทเหมือนกัน ได้ตั๋วมาแล้วใบละ ๑๐๐ บาทหายไป เพราะเข้าใจว่าใบละ ๑๐๐ บาทเป็นใบละ ๒๐ บาท จึงได้ส่งให้คนขายตั๋วไป ขุนทัศน์ฯ จะกลับไปที่สถานีอีกเพื่อทวงคืน แต่ได้พูดห้ามว่า เราโง่อย่าไป อายเขา ขุนทัศน์ฯ มีความเสียใจคิดอยากจะกลับบ้าน จึงได้พูดปลอบใจไว้ ป่าช้าที่พักนี้อยู่บนเนินสูง เป็นป่าเขาดิน เขาว่าที่นั่นคนอยู่ไม่ได้ ผีดุ ได้พักอยู่หนึ่งคืน ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์อันใด

ต่อจากนั้นได้เดินทางโดยรถไฟจนถึง จ.สุราษฏร์ธานี ไปพักอยู่ที่เนินดินเขาสูง ข้างสถานีสุราษฏร์ธานี ตกเวลาค่ำได้มีคนมาสนทนาด้วย ได้พบคนสำคัญสองคน คือ นายพ่วงและนายผาด ได้เข้ามาหาแล้วเปิดเผยความลับให้ฟังว่า บ้านผมอยู่ จ.นครปฐม แต่ก่อนเคยเป็นคนร้ายชั้นเสือ เคยฆ่าคนตายหลายศพ ครั้งสุดท้ายได้ฆ่ายายแก่คนหนึ่งตายคาที่ เพราะมีคนบอกว่ามีเงิน ๔,๐๐๐ อยู่ใต้หมอน จึงได้ลอบขึ้นไปฟันคอยายแก่ ค้นใต้หมอนได้เพียง ๔๐ บาท ตั้งแต่วันนั้นมาก็เสียใจ คิดเลิกทำการโจรกรรม ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกเสียวลูกปืน ขอให้หลวงพ่อช่วยหาเครื่องป้องกันภัยให้ด้วย จึงพูดว่า ถ้าโยมเว้นได้จริงจะให้ของดี จะไม่ให้ตายด้วยปืน แกก็ปฏิญาณสาบานว่า ผมเลิกแน่ จึงได้ให้คาถาให้แกภาวนาประจำตัว

พอวันรุ่งขึ้นแกมาหาอีก แล้วเล่าว่าเวลานี้น้องชายกำลังต่อสู้กับตำรวจอยู่ที่อำเภอ นอกเขตจังหวัด มีพรรคพวกเก้าคน ที่ตำรวจจับตัวไว้ได้ก็มี แต่ขณะนี้ยังจับตัวน้องชายไม่ได้ เรื่องนี้เกรงจะเกี่ยวพันมาถึงตัวด้วย จะให้ทำอย่างไรดี จึงได้แนะนำว่าให้โยมรีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจด่วน แล้วให้นำเจ้าที่ตำรวจออกติดตาม แกได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทุกอย่าง ต่อมาวันหลังปรากฏว่าพวกปล้นได้ยอมจำนนแก่ตำรวจทั้งหมด นายพ่วงเป็นผู้ประกันตัวน้องชายออกมาได้ ในที่สุดเมื่อคดีถึงศาลพวกปล้นรับสารภาพหมดทุกคน ศาลตัดสินให้จำคุก แต่เพราะรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง

การที่มาพักที่นี่ไม่สู้สบายใจนัก เพราะมักจะมีคนไม่ดีมาติดต่ออยู่เสมอ ที่ทำไปล้วนแต่เป็นเรื่องดี ถึงกระนั้นก็ยังหวาดว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าเราช่วยโจร จึงได้รีบเดินทางต่อไปยัง อ.ทุ่งสง แล้วไปนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์ที่ จ.นครศรีธรรมราช ตอนนี้ขุนทัศน์ฯ ได้ขอลากลับกรุงเทพฯ เขาได้ซื้อตั๋วรถไฟให้แล้วส่งขึ้นรถไฟให้เดินทางไปคนเดียว ตอนเย็นได้เดินทางไปถึงองค์พระเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช ได้พักอยู่ในวัดพระมหาธาตุ มีคนเลื่อมใสในการปฏิบัติ พระองค์หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกันและอยู่ที่วัดนี้ก็สนใจ จึงได้อยู่อบรมญาติโยมพระเณรพอสมควร แล้วได้ออกเดินทางไปยัง จ.สงขลา เมื่อถึง อ.หาดใหญ่ ได้พักอยู่ที่ป่าช้าปักกริม ซึ่งเป็นที่รกรุงรังและ เงียบสงัด พักอยู่ไม่กี่วัน พระมหาแก้วเพื่อนของเราได้มาติดตาม พบกันตรงนั้น ได้พักอยู่พอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางวิเวกไปตามตำบลต่างๆ

ในปีนี้ได้อยู่จำพรรษาที่วัดควนมีด ได้ทำการอบรมพระเณรญาติโยมทางจิตใจแทบทุกคืน มีการแสดงธรรมะเกือบทุกคืน เมื่อทอดกฐินเสร็จออกพรรษาแล้ว ได้เดินทางกลับมาพักที่เขาควนจง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ใกล้คลองเรียน อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นญาติโยมไหลหลั่งกันมามากมายเป็นเวลาหลายวันจึงได้สอบถามดูได้ความว่า เขาจะมาดูงูใหญ่รัดผู้หญิงที่เขาควนจง เขาลือกันว่ามีงูใหญ่หงอนแดง รัดผู้หญิงไว้บนยอดเขาไม่ถึงเวลาไม่ยอมปล่อย เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวนี้ จึงพากันแตกตื่นมาดูพลุกพล่านอยู่บริเวณใกล้ที่เราพักอยู่ แต่ในหมู่บ้านที่เราไปพักอยู่ไม่ปรากฏว่ามีใครได้ยินข่าวนี้ เป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างยิ่ง พักอยู่ที่นี้พอสมควรแล้วได้ออกเดินทางไปพักบ้านทุ่งโพธิ์ ตลาดคลองแงะและอำเภอสะเดา เวลานั้นผู้บังคับกองสถานีตำรวจอำเภอสะเดาถูกโจรจีนยิงตาย เนื่องในการต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ ขณะที่ไปพักอยู่นั้น ตอนกลางวันมีคนมาหามาก แต่พอค่ำลงก็รีบพากันกลับ เขาบอกว่ากลัวพวกคอมมิวนิสต์มาปล้น จึงได้พูดว่า ขอให้โยมพากันมาฟังเทศน์เถอะ รับรองว่าคืนนี้ไม่มี พอตกค่ำเวลาประมาณสองทุ่ม มีคนมาเต็มโบสถ์ จึงได้เทศน์อบรมญาติโยม

วันหลังก็กลับไปป่าช้าปักกริม อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่เคยพักมาก่อน เมื่อกลับมาพักครั้งนี้ชาวอำเภอหาดใหญ่พากันมาอบรมศีลธรรมจิตใจ และฟังเทศน์ทุกคืน

ต่อจากนี้ได้เดินทางกลับมา จ.นครศรีธรรมราช ได้แวะเยี่ยมสำนักปฏิบัติที่อำเภอร่อนพิบูล แล้วเดินทางต่อไปพักที่อำเภอทุ่งสง นายสังเวชเสมียนแผนกศึกษาธิการได้เป็นศิษย์ติดตามมาด้วยได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำทะลุมาพอสมควรแล้ว ออกเดินทางต่อไป จ.ชุมพร จับรถไฟจาก จ.ชุมพร ถึง จ.เพชรบุรี ถึงตอนนี้ได้ทราบว่าสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้มีจดหมายติดตามให้กลับจึงได้เดินทางต่อไปยังราชบุรี พักทีวัดประชุมนารี หลวงอรรถฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และนายอำเภอเมืองได้ไปตามตัวให้กลับกรุงเทพฯ เพราะสมเด็จฯ วัดบรมนิวาส ต้องการพบ ระหว่างที่พักอยู่ที่วัดประชุมนารี ได้มีพระองค์หนึ่งถูกจับ มาพักอยู่ที่เขาแก่นจันทร์ มีหญิงนุ่มขาวห่มขาว ๔-๕ คน ทราบว่ามาจากบ้านโป่ง เขาอยากมาพบเราแต่ไม่กล้าขึ้นมาหา เพราะพระกำลังมีคดี ไม่ใช่เรื่องของตัวแต่น่าเล่า คือเขาเล่าว่าพระองค์นั้นนั่งเทศน์มาก ภาวนามาก เมื่อยขา ขอให้ชีนวดให้ ชีก็นวดให้จริงๆ เลยเกิดเหตุ สืบสวนดูแล้วเป็นพระไม่มีใบสุทธิ ทราบว่าทางการได้จับสึกไป

ระหว่างที่พักอยู่ที่ราชบุรี แม่สมรได้ออกมาหาแล้วบอกว่า ฉันตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าแล้วหลวงพ่อ เขาพูดต่อไปว่า ขอถวายลูกแก่หลวงพ่อเดี๋ยวนี้เพราะเป็นลูกหลวงพ่อ ไม่ใช่ลูกคุณหลวง สังเกตว่าเขาพูดจริงๆ จังๆ แต่เราเฉย แต่แปลกใจว่าไม่เคยมีบุตรถึงสิบห้าปีแล้ว (แม่สมร) แล้วทำไมเป็นได้อย่างนั้น ต่อจากนั้นได้เดินทางกลับพระนครพักที่วัดบรมนิวาส พอดีสมเด็จฯ อาพาธ จึงได้พยาบาลท่านพอสมควร

ระหว่างที่พักอยู่ที่วัดบรมนิวาสนี้ ได้มีผู้มาฝึกสมาธิกันมาก มีพวกธนบุรี พระนคร และลพบุรี วันหนึ่งปรากฏเหตุการณ์แปลก มีหญิงคนหนึ่ง ชื่อแม่ขอม คนลพบุรี ได้นำเอาพระธาตุมาถวายสามองค์ จึงได้ถามแกว่า เอามาจากไหน ได้รับตอบว่า ได้อาราธนาขอจากพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนหัวนอนของท่านพ่อนั้นเอง

พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระได้มาจากเชียงตุง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นพระของนายอุดมฯ มีเหตุการณ์แปลกประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ ตามที่นายอุดมฯ ได้เล่าให้ฟัง

ตอนนี้จะขอย้อนกล่าวถึงประวัติพระพุทธรูปองค์นี้ แต่เดิมมานายอุดมฯเป็นคนไม่เชื่อพระ เป็นข้าราชการทำงานแผนกสื่อสารเกี่ยวกับวิทยุ ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้ติดตามกองทัพไทยไปเมืองเชียงตุง มีพลโทประพันธ์เป็นแม่ทัพ วันหนึ่งนายอุดมฯ ได้ไปพักอยู่ที่วัดเก่าแก่หนึ่งกับพวกพลทหาร เวลาค่ำได้เอนหลังลงนอนยังไม่ทันหลับก็ได้เห็นแสงสว่างพุ่งจากหัวนอน นายอุดมฯจึงได้รีบลุกขึ้นตรวจดูว่ามีอะไร ธรรมดาวิสัยของนายอุดมฯขณะนั้นถึงจะได้อยู่ใกล้พระก็ไม่เคยกราบไหว้ วันนั้นเกิดแปลกประหลาดขึ้นในใจ ก็ยืดคอดูบนแท่นพระได้เห็นพระพุทธรูปสำริดสีดำองค์หนึ่งสูงหนึ่งคืบเศษ หน้าตักกว้างประมาณสามนิ้วเศษดำใสเป็นเงาเหมือนมีคนขัดทุกวัน เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบฉวยพระพุทธรูปองค์นั้นใส่กระเป๋า ตั้งแต่นายอุดมฯ ได้พระองค์นี้ไว้ ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก มีคนนิยมช่วยเหลือ ชักจะเป็นผู้มีเงินใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย คือได้เงินจากชาวบ้านในถิ่นนั้นๆ เอง

ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้สงบลง นายอุดมฯ ได้เดินทางกลับ ได้มาพักอยู่ริมฝั่งแม่จัน ในคืนวันนั้นพระพุทธรูปองค์นี้ได้เข้าฝัน บอกกับนายอุดมฯ ว่า อ้ายดมมึงจะเอากูข้ามไป กูไม่ไปกับมึง นายอุดมฯ ก็ไม่สนใจ คิดว่าพระโลหะจะมีอำนาจอะไร ในที่สุดได้นำพระพุทธรูปองค์นั้นกลับไป จ.จันทบุรี ตัวเองได้ลาออกจากราชการ ไปทำการค้าขาย ในระหว่างนี้หน้านายอุดมฯ ดำลง ผอมลง ฐานะก็ฝืดเคืองลงทุกที

อยู่มาวันหนึ่งลูกเมียเกิดเจ็บป่วยไปตามๆ กัน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย หลวงพ่อได้มาเข้าฝันอีก กูไม่ยินดีอยู่กับมึง มึงต้องเอากูไปส่งที่เก่าของกู พอดีปีนั้นเราได้ออกธุดงค์ไป จ.ปราจีนบุรี พักอยู่ที่เขาฉกรรจ์ ประมาณเดือนเมษายนได้ออกเดินทางข้ามดงทะลุ ถึง จ.จันทบุรี นายอุดมฯ ทราบข่าววิ่งไปหาและพูดว่า ผมแย่หลวงพ่อ ลูกเมียเจ็บ ยากจน พระพุทธรูปเข้าฝันว่าให้นำกลับไปส่งที่เดิม จะให้ผมทำอย่างไรดี จึงตอบว่า หลวงพ่อท่านอยู่ป่า ชอบวิเวก เอามาไว้กับเราก็ได้ นายอุดมฯ จึงนำพระพุทธรูปองค์นั้นมาให้ไว้ แต่จะฝากหรือถวายไม่ทราบชัด ก็ได้เก็บไว้บูชาตามธรรมดา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการป่วยของลูกเมียนายอุดมฯ ก็หายหมด และนายอุดมฯ ได้เดินทางมาอยู่ จ.พระนครปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ยังมีแปลกประหลาดอีกหลายอย่างแต่ขอเล่าย่อๆ ไว้เพียงเท่านี้ก่อน

ต่อมาก็นึกสงสัยในเรื่องพระบรมธาตุว่าเป็นมาได้อย่างไร เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่เคยสนใจมาเลยตั้งแต่บวช แต่ก็ได้รับไว้จากแม่ขอมและเก็บไว้บูชา

กาลต่อมาได้ทราบว่าแม่ขอมได้พระบรมธาตุอีก แต่พระพุทธรูปองค์นี้เวลานั้นได้นำมาฝากไว้ที่วัดบรมนิวาส กุฏิรามแข ส่วนเราได้กราบลาสมเด็จฯ เดินทางไป จ.ลพบุรี ปีนั้นได้ทำงานวิสาขบูชาที่วัดมณีชลขันธ์ ในวันพฤหัสบดีกลางเดือนหก ในวันนั้นได้คิดขึ้นในใจว่า พระบรมธาตุนี้ถ้าไม่ได้เห็นกับตาไม่ยอมเชื่อ เพราะจะจริงหรือไม่จริงก็ยังไม่ทราบ

ต่อจากนั้นรู้สึกว่าท่านสนใจนั่งสมาธิได้นานๆ บางวันนั่งได้ตั้งสองชั่วโมง ขณะที่ท่านนั่งท่านก็ให้เราพูดธรรมะให้ฟังประกอบไปด้วย เมื่อจิตของท่านได้ตั้งสงบดีแล้ว เราพูดธรรมะถวายพระเดชพระคุณท่าน รู้สึกจิตของท่านเป็นไปตามคำพูดของเรา วันหนึ่งท่านได้พูดขึ้นว่า เราได้บวชมาเป็นเวลานาน ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้เลย

หลังจากนี้ เราไม่เคยพูดธรรมะให้ท่านฟังยืดยาวอย่างนี้อีกเลย พอเอ่ยขึ้นเพียงสองสามคำ ท่านก็รู้ในความหมาย ส่วนตัวเราก็ดีใจ วันหนึ่งท่านได้กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า นักศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะ ต่างมาติดข้องกันอยู่แค่ความคิดเห็นนี้เอง จึงไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ถ้าทุกคนมีความคิดเห็นถูกต้อง การปฏิบัตินั้นเป็นเหตุไม่เหลือวิสัย

ในระหว่างที่จำพรรษากับท่าน ก็รู้สึกเบาในใจการที่จะต้องชี้แจงเหตุผล ท่านได้บอกเราว่า แต่ก่อนเราไม่เคยนึกว่า การทำสมาธิเป็นของจำเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านได้รับสั่งอีกว่า พระเณรก็ดี ญาติโยมก็ดี ประโยชน์ยังไม่พอ ขอให้คุณช่วยหาโอกาสอบรมให้ด้วย

ต่อจากนั้นท่านได้สั่งพระเถระผู้ใหญ่ในวัดให้ทราบความประสงค์จึงได้เกิดมีการอบรมกันขึ้นที่ศาลาอุรุพงษ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้มีญาติโยม พระ เณร หลายวัดมาร่วมรับการอบรมด้วย คุณท้าวสัตยานุรักษ์ก็ได้ออกมาพักอยู่กุฏิเนกขัม ปฏิบัติจิตใจได้ผลดี มีความรู้เกิดในจิตแปลกประหลาด จนกระทั่งยอมเสียชีวิตอยู่ที่วัดบรมนิวาส

พอออกพรรษแล้วได้ลาท่านไปเที่ยวต่างจังหวัด เพราะอาการของสมเด็จฯ ค่อยทุเลาลง กลับมาอยู่วัดบรมฯ ในปีที่สองได้เข้ามาทำวิสาขบูชา ในวันนั้น ได้เข้านั่งในโบสถ์ทำสมาธิ ได้ปรากฏเหตุการณ์อีกคือเห็นพระบรมธาตุเสด็จ เพราะคืนนั้นได้นึกว่า เราตาลูกเล็ก อยากได้ตาโตๆ มองทางไกลๆ ได้ร้อยเส้นพันวา หูเราเล็ก อยากได้หูโตๆ ฟังได้รอบโลก ปากเราเล็ก อยากได้กว้าง เทศน์กัณฑ์เดียวให้ก้องอยู่ห้าวัน ห้าคืน นึกอย่างนี้จึงตั้งใจปฏิบัติตนเองในอาการสามอย่างคือ

๑. ปากใหญ่ คืออย่ากินมาก พูดมาก ในวันสำคัญ

๒. หูอยากโต คือ อย่าไปสนใจฟังเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระ ตัดปาก อดข้าว ตัดหู อย่าไปรับรู้อะไรทั้งหมด

๓. ตาโต คืออย่าเห็นแก่นอน

เมื่อนึกอย่างนี้ จึงไม่ยอมนอนในวันวิสาขะ ประมาณตีห้าเศษ ได้พระบรมธาตุหลายองค์ที่โบสถ์วัดบรมนิวาส

ต่อมาได้อยู่จำพรรษากับสมเด็จฯ อีก ปีนี้ญาติโยมแตกตื่นสนใจมากกว่าปีก่อน แต่ปรากฏมีเหตุไม่ดีเข้าแทรก เพราะมีพระบางองค์เกิดอิจฉา คอยหาเรื่องราวตัดรอนทำร้ายให้เสื่อมเสีย แต่ไม่อยากออกนามในทีนี้ ใครอยากทราบรายละเอียดขอให้ติดตามไปถามท้าวสัตยานุรักษ์หรือสมเด็จฯ

วันหนึ่งตอนค่ำหนึ่งทุ่ม มีพระองค์หนึ่งชื่อพระครูปลัดเทียนเข้าไปหาในกฏิ พูดค่อยๆ ว่า อาจารย์อย่าน้อยใจ ผมสนับสนุนอาจารย์ทุกอย่าง ตอบว่า สาธุ มีเรื่องอะไรขอให้ทราบ ไม่เคยคิดน้อยใจเสียใจ ท่านจึงบอกความจริงให้ทราบทุกอย่างว่า เรื่องนี้รู้ถึงสมเด็จฯ แล้ว ถ้าสมเด็จฯ สงสัยคงเรียกตัวมาถาม ถ้าเรียกเมื่อไรให้ไปบอกผม ผมรู้เรื่องของอาจารย์หมดแล้ว ในที่สุดสมเด็จฯ ก็ไม่เคยพูดสักคำ ไม่เคยถามสักอย่าง มีแต่สนทนาธรรมะเป็นนิจ ได้มีบัตรสนเท่ห์เกิดขึ้นมีใจความว่า พระครูธรรมสารชอบแต่งคัมภีร์ พระอาจารย์ลีชอบคุยกับแม่ออก มหาเปรมหัวหงอกอยากเป็นสมภาร หลวงตาปานขี้คุยธรรมะ หนังสือสนเท่ห์ฉบับนี้ พระครูธรรมสารได้ถูกซักไซ้เกือบแย่ คือหาว่า พระครูเป็นคนด่าเรา ในที่สุดเราไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ดูเหตุการณ์ต่างๆ รู้สึกว่าไม่เหมาะสมหลายเรื่อง แต่เราไม่สนใจ

พอออกพรรษาแล้ววันหนึ่ง มหาณรงค์ได้มาเยี่ยมสมเด็จฯ แล้วลงมาขอหลักฐานจากใบสุทธิ เสร็จแล้วไปเรียนสมเด็จฯ ว่าจะขอสมณศักดิ์ให้เป็นพระครู ซึ่งสำนักงานมหามกุฏได้ทาบทามมา สมเด็จฯได้เรียกตัวไปถามว่า เขาว่าอย่างนี้ เราจะว่าอย่างไร จึงตอบว่า เกล้าฯ เป็นพระ ไม่จำเป็น ไม่อยากเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรมา นึกถึงแต่การสร้างความดีให้แก่หมู่คณะเท่านั้น ท่านจึงพูดว่า เราจะตอบเขาเอง ต่อมาท่านได้เล่าคำตอบให้ฟังว่า พระอาจารย์ลีนี้เธอมาอยู่กับเรา เพราะเราเป็นคนเรียกตัวมา เธออยู่ด้วยความเคารพนับถือเรา พวกท่านจะมาตั้งสมณศักดิให้เธอ เราถือว่าจะมาไล่พระอาจารย์ลีนี้หนีไปจากเรา ท่านว่าท่านจะตอบอย่างนี้ เราก็ สาธุ พอใจ ในที่สุดก็ยกเลิกกันไปในปีนั้น

ต่อมาออกพรรษา สมเด็จฯ บรรเทาป่วย ก็ได้กราบลาเดินทางออกไปวิเวกอีกตามเคย ปีนี้เป็นปีครบรอบ ๑๐๐ ปี ในการที่ได้สร้างวัดสุปัฏวนาราม จ.อุบลราชธานี สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่า งานนี้ให้คุณขึ้นไปช่วยเขา ฉันจะให้พระบรมธาตุที่เธอถวาย ไปเป็นเครื่องระลึกของวัดด้วย พูดแล้วท่านให้ตรวจดูพระบรมธาตุบนที่บูชาซึ่งอยู่เบื้องบนศีรษะท่าน ปรากฏว่ามีพระบรมธาตุเสด็จมาอยู่ในครอบแก้วเป็นจำนวน ๔๐ กว่าองค์ จึงได้ยกมาถวายท่านๆ รับสั่งว่า แปลกๆ ตั้งแต่เราบวชมาไม่เคยปรากฏอย่างนี้ จึงได้คัดเลือกเอาของเราและของคุณไปด้วย เมื่อได้พูดสั่งอย่างนี้ ก็ได้ตั้งใจไปงานฉลองพระคุณท่าน

งานสมโภชวัดสุปัฏฯ ครั้งนี้กลายเป็นงานใหญ่โตขึ้น ทางราชการได้มอบเงินให้ก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นการฉลองวัดสุปัฏฯ ครั้งนี้ได้กำหนดการออกเดินทางจาก จ.พระนคร ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ในกำหนดการมี จอมพลผิน ชุณหวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และพลโทหลวงสวัสดิ์ฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน ก็ได้ร่วมไปในงานนี้

วันหนึ่งได้เดินทางไป จ.ลพบุรี แล้วได้ทราบข่าวมีการเปลี่ยนแปลงวันกำหนดการ จึงได้รีบกลับมา จ.พระนคร เมื่อมาถึงสมเด็จฯ ได้เรียกตัวไปหาว่า เขาเปลี่ยนแปลงกำหนดวันเดินทางแล้ว ให้คุณออกเดินทางไปตามขบวนเขา ฉันจะมอบพระบรมธาตุให้เป็นภาระของตัว ส่วนตัวเองไม่ได้พูดว่าอย่างไร ในที่สุดกลับมาตรองดูเหตุการณ์ที่กุฏิแล้ว เราจะทำตามไม่ได้ จึงได้กราบเรียนท่านว่า เกล้าฯ ไปไม่ได้ เพราะใบกำหนดการซึ่งกระทรวงได้กำหนดขึ้นเป็นตราครุฑว่า วันที่สิบเจ็ด จะตั้งให้ประชาชนเข้าชม มาบัดนี้ล้มโครงการหมด เกล้าฯ แจกใบกำหนดการไปแล้ว วันที่ ๑๗ คงมีคนมามาก เมื่อเกล้าฯ ไปเสียก่อนก็ต้องถูกตำหนิ เหตุนี้เกล้าฯ จึงไม่ไป พระผู้ใหญ่ต่างก็จะไม่ไป คือนายเชาวน์ฯ เป็นคนก่อเหตุ ไม่ได้แจ้งให้คณะสงฆ์ทราบ คือเรื่องมีว่า จอมพลผินฯ ได้ปรารภว่า เราค่อยๆ เดินทางไปพักที่นครราชสีมา เพื่อเปิดโอกาสให้คณะทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพ่อค้า ประชาชนได้มีโอกาสนมัสการพระบรมธาตุเสียหนึ่งคืนก่อน เหตุนี้กำหนดการจึงผิดไป

ในที่สุด ในกระบวนแรกก็ไม่ได้ไปด้วย เพระท่านสั่งว่า ให้คุณอยู่ ถ้ามีคนมาก็ให้เอาพระบรมธาตุให้ชมที่ศาลาก็แล้วกัน เป็นอันตกลงกันตามท่านสั่ง วันรุ่งขึ้นได้จัดพระบรมธาตุสีมุกดาหารสามองค์โตกว่าเมล็ดผักกาดไปใส่ภาชนะแก้วให้ญาติโยมชมที่ศาลาอุรุพงษ์ คนนั้น คนนี้ก็อยากดูเพราะไม่เคยเห็น พอเปิดสำลีออกเห็นสามองค์ คนนั้นก็แหย่ คนนี้ก็หยิบ เลยหายไปสององค์ เหลือเพียงหนึ่งองค์ พอถึงวันที่สิบแปด ได้ขึ้นรถด่วนไปอุบลราชธานี มีคนติดตามไปรวม ๑๔ คน

พอไปถึงอุบลฯ แล้ว ก็ได้ไปทำพิธีฉลองสมโภชพร้อมทั้งฝังศิลาฤกษ์ ตึกมหาเถระที่จะสร้างขึ้นในวัดสุปัฏฯ อยู่มาคืนหนึ่ง ได้มีปรากฏการณ์ขึ้นในประมาณเวลาสี่ทุ่มเศษ กำลังนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ เวลานั่งหลับตาได้บังเกิดแสงวาบๆ ขึ้นเหมือนแสงนีออน เปิดๆ ดับๆ ทุกคนต่างพากันลืมตาขึ้น ก็ปรากฏว่ามีคนเก็บพระบรมธาตุได้ ๒-๓ คน พอดึกเข้าก็มีปริมาณมากเข้าทุกที มีคนนั่งอยู่ประมาณห้าสิบคน ชักให้เกิดความสงสัยและฉงนสนเท่ห์แก่คนภายในและภายนอกโบสถ์โดยลำดับ เมื่อดึกพอสมควรได้หยุดพัก

รุ่งขึ้นเวลากลางวันก็มีเรื่องอื้อฉาวขึ้นในตลาด ได้มีชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเข้าวัดเลยมาเล่าว่า เมื่อคืนฝันเห็นดาวตกที่วัดสุปัฏฯ เยอะแยะ นึกว่าคราวนี้ ถ้ามีสิ่งใดศักดิสิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็ขอจงได้แสดงออกมา

ต่อมาตอนเย็นมีนายพิศ ประมงจังหวัด ได้นำเพื่อนครูหญิงคนหนึ่งมาหา ครูคนนั้นได้มาสนทนาสอบถามอย่างโลดโผน และจะขอลาสามีขอติดตามหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อพูดธรรมะเป็นอย่างอัศจรรย์ จึงตัดสินใจว่าจะหนีจากบ้านให้ได้ในคราวนี้ ส่วนสามีของเขาชื่อนายประสงค์ ทำงานอยู่ธนาคารออมสิน จ.อุบลฯ เป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ ก็เข้าใจว่าภริยาเป็นคนมีจิตผิดปกติจึงคอยติดตามอยู่เสมอ มีคนมาบอกว่า เขาถือคริสต์แต่ทำไมมานั่งอยู่ในโบสถ์ทั้งผัวทั้งเมีย ครูคนนี้เกิดจิตใจห้าวหาญขึ้นมา ได้เข้ามานั่งใกล้เราประมาณสองศอก ตัวเรานั่งบนเก้าอี้ สามีนั่งห่างไปประมาณห้าหกศอก มีคนนั่งอยู่ด้วยประมาณห้าสิบคน จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า วันนี้ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงช่วยข้าพเจ้า เพราะมีข่าวลือเกี่ยวกับพระบรมธาตุเกิดขึ้นว่า พระอาจารย์ลีมีอุบายหลอกลวงให้หลงเชื่อ พอทราบข่าวอย่างนี้ไม่มีที่พึ่งอันใด นอกจากเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะช่วยได้ หากมิฉะนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาจะได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม ขณะนั้นมีพระอริยคุณาธาร นั่งอยู่หน้าพระประธาน พระนอกนั้นหนีหมด เพราะเป็นเวลาดึกแล้ว

ต่อจากนั้นได้สั่งให้ทุกคนนั่งเข้าสมาธิ แล้วพูดว่า ถ้าใครไม่เชื่อให้นั่งดูอยู่นิ่งๆ พอสักครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาวนเวียนอยู่รอบๆ ก็ได้บอกโยมทุกคนให้ลืมตา แล้วบอกนายประสงค์สามีครูคนนั้นว่า ลืมตาดูอาตมาๆ จะลุกเดี๋ยวนี้ พูดเสร็จก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนสะบัดจีวรและอาสะให้เขาดู ขณะเดียวกันก็นึกถึงเทพยดาให้ช่วย อย่าให้เขาดูหมิ่นศาสนาของเขาได้ แล้วพูดดังๆ ว่า โยมพระบรมธาตุเสด็จ คนที่นั่งตรงหน้าฉันนี่จะได้พระธาตุ แต่เมื่อลืมตาแล้วอย่าไหวตัว ฉันเองก็ไม่ไหวตัว พูดเสร็จได้ยินเสียงวัตถุชิ้นหนึ่งตกลงบนพื้นโบสถ์ มีโยมหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นจะตะครุบ เมื่อตะครุบก็วิ่งหลุดจากง่ามมือมาใกล้ที่นั่งเรา มีคนอีกคนหนึ่งวิ่งตามมา เราจึงร้องห้ามไว้ ต่อมาวัตถุนั้นได้แล่นไหวตัวไปตรงหน้าหญิงที่เป็นครูจึงพูดว่า ของคุณ นายประสงค์ดูให้ดี ครูคนนั้นหยิบวัตถุนั้นขึ้นมา เป็นหัวแหวนสวยงาม สิ่งนั้นคือเครื่องสักการะพระบรมธาตุ ครูคนนั้นบางคราวก็หลับตา บางคราวก็ลืมตา แต่เขาพูดว่า หลวงพ่อพาฉันไปนั่งบนยอดเขา ฉันเห็นแต่โครงกระดูกของฉันเอง แต่ฉันอยู่ได้อย่างไร ได้เงินเดือนๆ ละ ห้าร้อยบาท ไม่มีสุขเหมือนนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ แกได้พูดแปลกๆ ขึ้นทุกที ในที่สุดคืนวันนั้น มีคนได้พระบรมธาตุไม่ต่ำกว่าสิบคน ทุกคนลืมตาดูในที่สว่างทั้งหมด เมื่อสว่างเช้ามืดมีนายแพได้กำเอาพระบรมธาตุมาถวายอีกหนึ่งชุด เขาบอกว่าได้มาเมื่อคืนนี้ สิ่งเหล่านี้ได้มอบไว้เป็นสมบัติของวัดสุปัฏฯ งานคราวนี้มีห้าวันห้าคืน

วันหนึ่งเป็นวันถวายผ้าไตรแก่พระที่ไปงาน คนในเมืองอุบลฯ ที่ยังสงสัยเราอยู่มีหลายคน แต่เขาไม่พูด คนที่เปิดเผยคือ แม่ทองม้วน เซียสกุล แกอธิษฐานว่า ถ้าอาจารย์องค์นี้ปฏิบัติดีจริง ขอให้ผ้าไตรของแกตกเป็นพระอาจารย์องค์นี้ เมื่อทำการจับฉลากแล้ว ผลปรากฏว่าผ้าไตรของนางทองม้วนฯ ได้ตกแก่เราจริงๆ

พองานนี้เสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ได้เที่ยวจารึกไปในสถานที่ต่างๆ ถึงเวลาเข้าพรรษาก็ได้มาเฝ้าสมเด็จฯ อีกตามเคย พรรษานี้อาการอาพาธของสมเด็จฯ หนักมากขึ้น การนั่งสมาธิมีน้อยมีแต่นอนทำ ต่อมาออกพรรษาแล้วสมเด็จฯ ก็มรณภาพ

ในระหว่างพรรษา สมเด็จฯ อาพาธมาก หืดกำเริบนอนไม่หลับ วันหนึ่งเวลาประมาณตีสองได้ให้พระมาตามเรา พระเณรวุ่นวายไปตามๆ กัน ท่านสั่งให้ไปรับหมอมาด่วน เจ้าคุณสุเมธีฯ ให้พระไปตามโดยทันที ให้เรามาพูดกับสมเด็จฯ เพราะพระองค์อื่นพูดไม่เชื่อ เพราะเป็นเวลาดึกจะไปตามหมออย่างไร จึงได้ขึ้นไปถามดูว่า วันนี้พระเดชพระคุณฉันยากี่เม็ด กี่เวลา ยาอะไร ท่านรับสั่งว่า มีอาการหายใจไม่ออก ได้คลำดูตามตัวปรากฏว่าร้อนผ่าว จึงจับได้ข้อหนึ่งว่าท่านฉันยาเกินไปหนึ่งเม็ด หมอสั่งให้ฉันเวลาละหนึ่งเม็ด ท่านขี้เกียจฉันสองหน เลยฉันรวมทีเดียวสองเม็ด อาการก็จุกแน่น หายใจไม่ออก เราจับเหตุนี้ได้ เรียนถวายว่า อาการอย่างนี้เคยพบผ่านมา ไม่เป็นไร อีกประมาณสิบห้านาทีจะสงบ สักครู่ท่านก็หลับตาทำสมาธิ พระเณรเฝ้าอยู่หลายองค์ ท่านรับสั่งว่า สบายดีแล้ว ไม่ต้องตามหมอ

ต่อมาอีกหลายวันโรคเกิดกำเริบอีก ตอนนี้ออกพรรษาแล้วอาการป่วยหนักขึ้นมีอากาศเย็น เป็นเวลาฤดูหนาว วันหนึ่งตอนเช้าท่านให้เณรไปตาม เรากำลังมีแขก เณรมาบอก ท่านถามเณรว่า อาจารย์ลีอยู่ไหม เณรตอบว่า อยู่ ถ้าอยู่ไม่ต้องมา เราสบาย ถ้าไปนอกวัด ให้ไปตามมา

ต่อมาบ่ายประมาณห้าโมงเย็น ให้เณรไปดูอีก แต่เณรไม่ได้บอกเราเพราะกำลังนั่งสมาธิ เณรมานมัสการว่า ท่านอาจารย์ลีอยู่ ต่อมาครู่เดียวเวลาประมาณหกโมงเย็น เณรมาตามอีก ตอนนี้เราจึงรีบขึ้นไป เมื่อขึ้นไปพบแล้ว ท่านก็ได้รับสั่งอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับวัด พอเสร็จการพูดสนทนาท่านก็เงียบ เราลงไปพักสักครู่เดียวก็เกิดเอะอะกันขึ้นอีกจึงรีบขึ้นไป มีพระปฏิบัติหนึ่ง เจ้าคุณธรรมปิฏกหนึ่ง มองดูอาการเห็นจะไม่ไหว พระเณรต่างพากันแตกตื่น หมอก็วุ่นวาย ในที่สุดดูอาการป่วยของท่านเห็นว่าหมดหวัง จึงพูดห้ามหมอ อย่ายุ่ง คือหมอเอามือล้วงคอเอาเสลดออก แต่ไม่เกิดผล จึงห้ามให้หมอหยุด สักครู่ก็สิ้นลมหายใจ เมื่อได้ชำระศพเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างหารือกัน วันรุ่งขึ้นเตรียมการสรงน้ำ

ต่อมาคณะกรรมการสงฆ์ได้ทำบุญถวาย คณะกรรมการสงฆ์ได้มอบให้เราเป็นเจ้าหน้าที่โรงครัว ก็รับปากกับคณะสงฆ์ มีคุณนายตุ่น โกศัลยวิทย์ เป็นผู้ช่วย ในระหว่างเจ็ดวันแรก ไม่มีการเบิกจ่ายเงินจากกองกลางเลย มีแต่คนช่วย ทำบุญอยู่ถึง ๕๐ วัน ในระหว่าง ๕๐ วันนี้ได้เบิกเงินกองกลางมาจ่ายบ้าง เมื่อทำบุญครบแล้วนึกว่าเราจะต้องไปวิเวกพักผ่อนบ้าง จึงได้ออกเดินทางไปลำปางในวันที่ ๑๐ เมษายน เนื่องในงานผูกพันธสีมาวัดสำราญนิวาส แล้วได้ไปทำบุญอยู่เป็นเวลาหลายวัน

เสร็จจากงานนี้แล้วได้เข้าไปพักในถ้ำพระสบาย โรคกระเพาะเกิดกำเริบ มีอาการถ่ายท้อง ปวดท้องเป็นกำลัง มีข่าวลือว่าหลวงพ่อแย่ วันหนึ่งได้เข้านอนในข้างในเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งจุกอยู่ปากถ้ำสูงประมาณสิบวา จึงเกิดความคิดว่าอยากสร้างเจดีย์ในถ้ำนี้ ได้ร้องสั่งญาติโยมผลักก้อนหินก้อนนี้ให้หลุดออกจากปากถ้ำ หินก็หลุดจริงๆ ช่วยกันขุดหลุม ตีต่อยหิน จนถึงเวลาประมาณบ่ายโมง มีรถยนต์จากลำปางไปรับว่ามารับไปโรงพยาบาล แต่เราหายแล้วไม่รู้ตัว ได้บอกเขาว่าจะสร้างพระเจดีย์ก่อนจะกลับจากถ้ำนี้ ได้ยืนหน้าถ้ำมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีทิวป่า เขียวชอุ่ม เมื่อเห็นต้นไม้เขียวสดดีก็นึกถึงต้นโพธิว่า ถ้าได้มาปลูกสักสามต้นจะดีมาก ได้พูดกับพระเณรอย่างนี้แล้วออกเดินทางกลับลำปาง แล้วเดินทางมาอุตรดิตถ์ เพราะมีโยมขึ้นไปตามให้กลับอุตรดิตถ์ด่วน เพราะมีศิษย์แก่คนหนึ่งอายุมากเป็นหญิงได้เกิดเป็นโรคจิตฟุ้งซ่านมาหลายวัน ได้มาพักช่วยเหลือให้พอสมควร ก็เดินทางมาพักอยู่พิษณุโลก พักอยู่ที่วัดราษฏร์บูรณะใกล้บ้านบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เรื่องบุตรบุญธรรมนี้น่าเล่าสู่กันฟัง แต่เป็นเรื่องที่ได้ผ่านมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งไปจำพรรษาบ้านผาแด่นแสนกันดารในคราวก่อน

แม่คนนี้ชื่อฟื้น สามีชื่อมหาน้อม วันหนึ่งได้ไปอบรมสมาธิอยู่ป่าวัดอรัญญิกไกลจากพิษณุโลก ประมาณหกกิโลเมตร มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนไปนั่งสมาธิกันหลายคน อาทิ ผู้กำกับการตำรวจ หลวงพ่อสัมฤทธิฯ หลวงชื้นฯ ขุนเกษมฯ ร.อ.แผ้ว ฯลฯ ล้วนเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะปฏิบัติ ขณะกำลังนั่งสนทนาธรรมะกันอยู่ก็มีคนไปตาม บอกว่า ขอนิมนต์ไปเยี่ยมคนป่วยที่บ้าน ก็ได้รับปากกับเขา ผู้กำกับการฯ ได้นำไปส่งให้ถึงที่บ้านคนป่วย เมื่อไปถึงบ้านเขา เขาได้เล่าว่ามีพระธุดงค์องค์หนึ่งได้เดินทางมาจากภาคเหนือ มาทำน้ำมนต์ให้ ท่านบอกว่า ฉันรักษาไม่หายดอกโยม จะมีพระองค์หนึ่งมาโปรดโยมเร็วๆ นี้ แล้วท่านก็เดินธุดงค์ต่อไป พอมหาน้อมทราบว่าเรามาก็ตามไปจนพบ ได้สนทนากับมหาน้อม เขาเล่าว่า แม่ฟื้นภริยาเขาคนนี้เป็นโรคเกิดในสมัยอยู่ไฟ ได้ป่วยเป็นเวลาสามปีแล้ว ฉีดยาหมดเงินไปแปดพันกว่าบาทแล้วยังไม่หาย นอนอยู่อย่างนี้มาสามปีแล้ว ลุกไปไหนไม่ได้ พูดไม่ได้มาหนึ่งปีแล้ว แม้จะไหวตัวก็ไม่รอด เมื่อได้ฟังมหาน้อมเล่าแล้ว ก็ตอบเขาว่าฉันจะไปดู

พอเราเดินผ่านเข้าในธรณีประตู เห็นคนป่วยยกมือไหว้ผงับๆ เราไม่นึกว่าภาวะเขาเป็นอย่างไร ได้นั่งสมาธิ แม่ฟื้นพูดได้สองสามคำ แล้วไหวตัวยกมือไหว้จนกระทั่งลุกขึ้นนั่งหมอบอยู่กับหมอนได้ ก็บอกว่า ให้หาย หมดเวรหมดกรรม วันนั้นสั่งให้แกหยิบไม้ขีดจุดบุหรี่ถวาย แกก็ทำได้ วันรุ่งขึ้นสั่งไม่ให้ใครป้อนข้าว ให้หาข้าว หาแกงวางไว้ เขากินได้เอง สามีเขาเองเป็นผู้ไปถวายอาหารเรา พอกลับมาถึงบ้านเห็นแม่ฟื้นกินข้าวหมด ล้างถ้วยชามได้เรียบร้อย ลุกขึ้นคลานได้ พอตอนบ่ายไปเยี่ยมอีก เห็นญาติโยมของเขาหิ้วหม้อไหไปบ้านมหาน้อม ว่าจะไปเอาน้ำมนต์วิเศษ เมื่อเห็นดังนั้นเราลำบากใจ จึงรีบออกหนีเดินทางกลับ แต่ได้มีจดหมายถามข่าวคราวอยู่เสมอประมาณเดือนเศษ

แม่ฟื้นลุกเดินได้ ปีที่สองไปวัดใส่บาตรได้ ปีที่สามได้ติดตามมาอยู่ที่วัดบรมนิวาส เดินจากหัวลำโพงถึงวัดบรมฯ เดินจากที่พักขึ้นศาลาฟังเทศน์ได้เป็นปกติดี นี้ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างหนึ่ง

ในสมัยที่เดินทางจากอุตรดิตถ์นั้น ได้เดินทางไปเพชรบูรณ์เพื่อไปเยี่ยมศิษย์ซึ่งไปตั้งสำนักอยู่ที่อำเภอหล่มเก่า มีนายอำเภอปีน เป็นผู้อุปการะ ได้พักผ่อนวิเวกอยู่พอสมควร ก็เดินทางเข้าดง ขึ้นเขาลงห้วยไปหลายคืน ตกถึงเขาลูกหนึ่ง ต่อจากนั้นได้ออกเดินทางไปตามเนินเขา เดินทางไปถึงเขาสูงลูกหนึ่ง มีป่าเต็งรังโปร่ง มองเห็นยอดเขายอดหนึ่งสูงลิ่ว เขาเรียกว่า เขาหอ ส่วนเพื่อนได้เดินทางไปล่วงหน้า เราเดินตามหลัง พอไปถึงเขานั้นรู้สึกว่าใจสบาย นึกไปถึงสมบัติอันหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุเหลือวิสัยว่า เราอยากจะบินไปยอดเขาหอ ยืนตัวตรงสะพายบาตรอยู่ครู่หนึ่ง ได้เคลิ้มฝันเห็นก้อนเมฆลอยต่ำลงมาจากอากาศ ได้ยินเสียงดังแว่วๆ ว่า ท่านอย่านึก ถึงคราวเป็นเอง แล้วนิมิตก็หายไป เวลาเดินทาง คราวนี้หิวน้ำจัดที่สุด รีบๆ ทางเดินมีแต่ฝูงหมาจิ้งจอก เพราะห่างบ้านคนมาก ก็ได้เดินทางเรื่อยมา มาพักอยู่บ้านวังน้ำใส เดินพุ่งไปข้ามห้วยข้ามดง เมื่อพ้นจากดงก็ถึงภูผาบิ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระอาจารย์มั่นเคยมาพักอยู่ ทีนี้มีถ้ำ และเขาเล็กๆ ได้พักอยู่หลายวัน

ระหว่างพักอยู่นี้ วันหนึ่งเวลากลางคืนเงียบสงัด นั่งสมาธิแล้วเคลิ้มไป ปรากฏเหตุการณ์ขึ้นว่า มองเห็นยอดเขาสูงยอดหนึ่งมีต้นไม้อยู่หลายต้น อยู่ทางตะวัตตกของภูกระดึง มีบุรุษคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โตสูงนุ่งผ้าเหลืองแก่ เอามือคว้าบนอากาศ เราไปยืนอยู่ใต้รักแร้ แกบอกว่า ต่อไปนี้มนุษย์จะลำบาก จะเกิดโรคตายด้วยน้ำเป็นพิษ และพิษนี้มีอยู่ ๒ ชนิดคือ

๑. น้ำหมอกน้ำค้าง เมื่อตกรดลงมาในนา คุณภาพของข้าวจะเสื่อม คนกินอาจเกิดโรค
๒. เกิดจากน้ำฝน ถ้าพบน้ำฝนแปลก อย่าฉัน ให้สังเกตดังนี้

(ก) น้ำฝนสีแดง
(ข) น้ำฝนสีเหลือง มีรสผิดธรรมดา

น้ำฝนที่มีลักษณะดังนี้ ถ้ากินเข้าไปแล้วจะเกิดถ่ายท้อง เกิดเป็นเม็ดผื่นคัน ถ้ากินมากเข้าก็อาจถึงแก่ความตาย นี้ ข้อหนึ่ง

ข้อสอง แกเอามือชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นน้ำทะลุขึ้นจากแผ่นเดิน น้ำนี้ไหลไปถึงที่ไหน มนุษย์จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าใช้น้ำนี้รดผลไม้ๆ จะเกิดโรค อายุมนุษย์จะสั้นเข้าทุกที

ข้อสาม ได้ปรากฏเหตุการณ์บนยอดเขา พอแกยื่นมือออกไปทางไหนต้นไม้ก็หักเป็นระนาว จึงถามว่า เรื่องอะไร แกตอบว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่มีศีลธรรมจะลำบากในกาลหน้า จึงได้ถามว่า เรื่องราวเป็นอย่างนี้แก้ได้ไหม แกตอบว่า โรคที่เกิดจากน้ำแก้ทันไม่เป็นไร ถ้าแก้ไม่ทันต้องตายภายใน ๓ วัน ๕ วัน ๙ วัน ถามว่า ตัวอาตมาจะเป็นอย่างไร แกตอบว่า ตัวท่านไม่เป็นอะไร เพราะท่านรู้จักบุญคุณของผู้ใหญ่ จะบอกยาให้หนึ่งขนาน ถ้าท่านทราบข่าวว่าโรคเกิดขึ้นที่ใด ให้รีบไปช่วยโดยเร็ว จึงถามว่า ท่านบอกยาให้เขาเองไม่ได้หรือ แกตอบ ได้ แต่ไม่เกิดประโยชน์ แต่ท่านต้องประกอบยาเอง ให้เอามะขามมาปอกเปลือกออก แช่น้ำเกลือ แล้วรินน้ำให้กิน หรือจะใช้น้ำกระเทียมดองกิน อาการโรคก็จะหาย แต่ท่านต้องทำเอง เขาบอกต่อไปว่าเขาชื่อ สันจิตโจเทวบุตร เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖


(มีต่อ ๖)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร เมื่อครั้งยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก


พอออกเดินทางจากภูผาบิ้งมาพักอยู่ที่ตำบลหนึ่ง ชาวบ้านบอกเล่าเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด คือเมื่อคืนนี้มีหมอกไหลผ่านไปในสวนใบยา ใบยาร่วงโรยไปหมด อีกครั้งหนึ่งที่อำเภอเถิน ลำปาง ชาวบ้านได้รองน้ำฝนมีสีชากินตายไปสิบกว่าคน ทั้งสองเรื่องที่ได้ฟัง รู้สึกว่าแปลก เพราะตรงกับเรื่องที่ได้เคลิ้มฝัน

ต่อจากนั้นได้เดินทางไปอำเภอวังสะพุง แล้วเดินทางขึ้นภูกระดึงไปพักอยู่ที่ตีนเขาหนึ่งคืน มีลูกศิษย์ติดตามไปด้วย คือเด็กสองคน พระสามองค์ได้เดินทางขึ้นภูกระดึง ถึงสันแปเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เดินจากสันแปไปที่พักราวสามกิโลเมตรเศษ เมื่อขึ้นถึงยอดเขาอากาศเย็นเฉียบ หนาว มีป่าสน วันนั้นพอปีนถึงยอดเขาฝนก็ตก จึงพากันเดินหาที่พัก เห็นขอนต้นสนต้นหนึ่งล้มอยู่ในป่าหญ้าก็ได้ขึ้นนอนบนขอน มีทั้งฝนทั้งลม คืนนั้นเป็นอันไม่ได้หลับนอน พระเณรหนีไปหลบอยู่ทีอื่น พอสว่างขึ้นก็เดินหากัน เมื่อได้พบกัน แล้วได้ไปหาที่พัก พบถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งมีลานหินสวยงาม มีบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่ง ฝนตกลงมาคืนนั้นน้ำเต็มบ่อพอดี ได้อยู่วิเวก ดูสถานที่ใหญ่กว้าง มีต้นสนมาก มีหญ้าหนา มีความยาวประมาณเจ็ดกิโลเมตร กว้างประมาณเจ็ดกิโลเมตร เมื่อขึ้นไปบนนั้นรู้สึกราวกับว่าเราอยู่บนพื้นดิน แต่ต้นไม้อื่นไม่เกิด มันเกิดอยู่ตามเชิงเขา สันนิษฐานว่าเป็นเพราะบนยอดเขานี้เป็นพลาญหินเสียโดยมาก เพราะสังเกตดูต้นสนที่ล้มลง รากต้นสนแหย่ลงตามซอกหิน

สถานที่นี้อยู่วิเวกสงัดสบายดี ถึงเวลาประมาณบ่ายห้าโมง วันไหนฝนไม่ตก พากันออกมานั่งสมาธิบนลานหิน นึกว่าเราไม่อยากกลับเมืองมนุษย์อยากอยู่ตามป่าตามดงอย่างนี้ ถ้าสามารถเป็นไปได้ ขอให้ข้าพเจ้าสำเร็จในทางอิทธิฤทธิ์ ถ้าไม่สำเร็จขอให้สิ้นภายในกำหนดเจ็ดวัน ขอให้นิพพานในวันที่เจ็ด มิฉะนั้นขอให้เทพเจ้าชักจูงให้ไปอยู่วิเวกห่างชุมนุมชนสักสามปี เมื่อคิดเช่นนี้ คิดยังไม่เสร็จฝนตกลงมาทุกที จึงต้องกลับเข้าถ้ำ

มีเพื่อนพระองค์หนึ่ง ชื่อพระปลัดศรี ไม่เคยเดินดงไปไหน ระหว่างทางชอบขายข้าวขายของ เราก็รำคาญ คือท่านชอบคุยในเรื่องทางโลกมาก เมื่อเดินทางไปพบบ้านใดกันดาร ก็เอาเรื่องลพบุรีมีปลาชุมมาเล่าให้ชาวบ้านฟัง เล่าว่าปลาร้าลพบุรีส่งไปขายถึงจังหวัดชัยภูมิ ได้ฟังแล้วรู้สึกรำคาญใจ เพราะเราไม่ได้มาค้าขาย มาปลีกวิเวก ต้องคอยเตือนเสมอ แต่ท่านมีพรรษามากกว่าเรา เมื่อขึ้นไปอยู่บนเขาก็ชอบก่อไฟ ผิงไฟ เวลาเรานอน ถ้าเราหลับไม่นอนก็ไม่กล้าผิงไฟแล้วก็คุยกัน มีนายมั่นกับนายมนูร่วมวงด้วย

อยู่ได้หลายวันชักจะไม่สงบ วันแรกสบายดี ไม่มีใครพูดคุยกัน เพราะกลัวเสือ ช้าง เพราะเขานี้มีเสือและช้างมาก ได้พักอยู่ห้าคืน พอดีข้าวสารหมด จึงเตรียมการเดินทางกลับ

เมื่อลงจากเขาแล้ว ได้นั่งพักอยู่พื้นราบ มีลูกน้องของฝรั่งเอาเสื่อมาปูนิมนต์ให้นั่ง เราไม่นั่งจึงนิมนต์ปลัดศรีไปนั่ง ท่านไปนั่งได้สักครู่ได้ยินเสียงฟ้าร้องทั้งๆ ที่มีแดด พร้อมๆ กับเสียงฟ้าร้อง กิ่งไม้รังก็หักลงจากต้นใกล้ศีรษะพระปลัดศรีประมาณหนึ่งคืบ ปลัดศรีหน้าเสียรีบลุกขึ้น เราจึงพูดว่า นั่นแหละการไม่สำรวม มักมีเหตุ ตั้งแต่นั้นมาพระปลัดศรีเลยเป็นผู้สงบ

ต่อจากนี้ได้เดินทางมาพักอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้ผานกเค้า ตกเวลาค่ำดึกสงัด ลูกศิษย์เหนื่อยอ่อน พอตกดึกได้ยินเสียงเดินบุกป่าบุกดง รุ่งขึ้นได้ถามพระที่ไปด้วยว่า เมื่อคืนทำอะไรกัน ได้รับตอบว่า ขโมยกินน้ำตาลของหลวงพ่อ หาบมาหลายวันไม่เห็นฉัน เลยต้มกินกันหมด เมื่อฉันจังหันแล้วพากันออกเดินทางข้ามดงใหญ่ เดินมาได้หนึ่งกิโลเมตร ก่อนจะออกเดินทางได้ตั้งใจไว้ว่า เราจะขี่รถของเราเองให้ถึงอำเภอชุมแพ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักประมาณแปดสิบกิโลเมตร ว่าเราจะไม่ยอมขึ้นรถ จะเที่ยววิเวกไปตามป่า คิดอยู่ไม่กี่อึดใจก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งสวน เลยไปจอดอยู่ข้างหน้าประมาณ ๔-๕ เส้น เห็นผู้หญิงวิ่งมาจากรถ บอกว่า ขอนิมนต์ขึ้นรถๆ เพิ่งซื้อใหม่ มองดูหน้าพระเณรล้วนอยากขึ้น แต่เราไม่พาขึ้น เขาอ้อนวอนอยู่นานก็ไม่ยอมขึ้น พวกเราพากันแบกกลด สะพายบาตรเดินไปทั้งร้อนทั้งแดด เดินไปประมาณ ๔ กิโลเมตร เห็นเขามีศาลเจ้าอยู่ข้างหน้า จึงหยุดพักตรวจดูถ้ำ มีหญิงอุ้มลูกมาคนหนึ่ง สะพายตะกวดมา ๓ ตัววางไว้ใกล้ที่เราพัก นึกอยากบิณฑบาตตะกวดกับแก แต่ไม่กล้าออกปาก พักอยู่ครู่หนึ่งมีรถ ร.ส.พ. วิ่งมาจากเลย ได้รับเอานายมั่น กับปลัดศรีติดรถมาด้วย คนขับรถกระโดดลงจากรถวิ่งมาหา เขาพูดว่า เห็นท่านเดินถนนหลายวันแล้ว ขอนิมนต์ขึ้นรถ เขาได้อ้อนวอนอยู่หลายนาทีและบอกว่า ไม่คิดค่ารถทั้งหมดรวมทั้งลูกศิษย์ด้วย ลูกศิษย์ต่างเดินอยู่ข้างหน้าก็มี ข้างหลังก็มี จึงตอบว่าขอบใจ ฉันไม่ขึ้น ลูกศิษย์เลยต้องพากันลงจากรถ เดินทางผ่านเข้าดงลาน ดงนี้เป็นป่าดงดิบ

พอถึงเวลาประมาณบ่ายห้าโมง พระปลัดศรีก็เกิดเป็นโรคบิด จึงได้อนุญาตให้ขึ้นรถไปพักคอยที่อำเภอชุมแพ นายมั่นก็เดินไม่ไหว ก็ได้อนุญาตให้ขึ้นรถไปด้วย ตกลงวันนั้นเดินด้วยกันสามคนคือ เรา พระจูม และนายมนู เด็กชาวอุตรดิตถ์ มาถึงที่พักเป็นเวลามืดประมาณสองทุ่ม เรียกว่าบ้านกระทุ่ม หาที่พักลำบาก ได้ไปพักในป่าใกล้น้ำแห่งหนึ่ง ตื่นเช้าบิณฑบาตในบ้าน ฉันแล้วเดินทางต่อ เดินมาได้หนึ่งกิโลเมตร กำลังแดดจัดนั่งพักอยู่ร่มไม้แห่งหนึ่งพอสมควร เวลาประมาณห้าโมงเย็น ฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ศิษย์ที่เป็นเด็กเหนื่อยเต็มที่ ไม่ยอมไปพักในป่า ขอตัวจะขึ้นรถไปขอนแก่นก่อน แต่เมื่อเรียกรถทุกคันก็ไม่มีคันใดหยุดรับ สักครู่หนึ่งเกิดมีพายุลมฝนตกใหญ่ เด็กได้เข้าอาศัยพักในบ้านโยม แต่บ้านหลังนั้นได้ถูกลมพัดหลังคาเปิด ตัวเองกับพระจูมเดินทางพักข้างทางรถยนต์ เห็นกระต๊อบหลังหนึ่งกว้างประมาณหนึ่งเมตร ยาวสองจุดห้าเมตร มุงด้วยหญ้าคา ฝนตกหนักพายุแรงพัดกิ่งต้นรังขาด ได้ชวนพระจูมพักที่กระต๊อบ

ท่านจูมกั้นกลดพักอยู่ได้หลังคากระต๊อบซีกหนึ่ง อีกซีกหนึ่งเรายืนพักอยู่ ลมพัดมาอย่างแรงหลังคาซีกที่ท่านจูมกั้นกลด ลมพัดตีปลิวไปกลางทุ่ง ครู่เดียวต้นเต็งรังหักฟาดลงมา ท่านจูมได้วิ่งมาหาเรา กระต๊อบนั้นอาศัยไม่ได้ ได้วิ่งไปพักใต้กอเบญจมาศ หมอบอยู่อย่างสบาย ทั้งหนาวทั้งสั่นประมาณหนึ่งชั่วโมง ลมเงียบ ฝนหยุดตก ผ้าผ่อนเปียกปอน ได้หากระต๊อบพบอีกหลังหนึ่ง จึงก่อไฟขึ้นแล้วนอนอยู่ในกระต๊อบ

ตอนกลางคืนฝนตกลงมาอีก รุ่งขึ้นก็เดินทางมาอำเภอชุมแพ ส่วนเด็กที่ติดตามเดินไม่ไหว ได้ส่งขึ้นรถไปคอยอยู่ชุมแพ จึงต้องเดินทางกับพระจูมเพียงสององค์ เวลาตอนเย็นประมาณห้าโมง ถึงอำเภอชุมแพ พระปลัดศรีเป็นบิดยังไม่หายดี หน้าซีดเซียว แล้วได้พักอยู่ที่นั่นจนสบายพอสมควร ได้ทราบข่าวการจัดงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ ว่าจะจัดทำในเร็วๆ นี้ จึงออกเดินทางจากขอนแก่นโดนขบวนรถเร็วถึงกรุงเทพฯ ราวเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗

มาถึงวัดบรมนิวาส คณะสงฆ์ได้หารืองานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ วันนั้นได้มีการประชุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่รวม ๑๑ รูป ตั้งคณะกรรมการดำเนินงานนี้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วไปประชุมที่หอเขียว มีสมาชิกสมาคมอีสานไปร่วมประชุมกันประมาณ ๑๐๐ คน นายเลื่อน บัวสุวรรณ เป็นประธาน พอผ่านขึ้นหอเขียว ได้เห็นพระธรรมปิฏกและพระธรรมดิลก นั่งอยู่ในที่ประชุมด้วย ไม่ได้พูดอะไรเลย ได้ยินแต่หมอฝน แสงสิงห์แก้วพูด เรายืนฟังอยู่ข้างนอก แต่การที่พูดกันในที่ประชุมนั้น เราไม่พอใจ คือเขาวางนโยบายเก็บเงินไปสร้างโรงพยาบาลโรคจิตให้หมอฝน ที่อุบลราชธานี ในนามสมเด็จฯ จึงได้เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ขอโทษที่ประชุมแล้วกล่าวว่า เรื่องที่สนทนานี้ ผมเสียใจ ผมปฏิบัติสมเด็จฯ มาสามปี ตายไปแล้ว ๑๐๐ กว่าวัน ครูบาอาจารย์และพวกสมาคมมานั่งฟังอยู่ ผมไม่ได้ยินว่าได้ปรารภเพื่อทำงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯเลย ทางโรงพยาบาลนั้น ผมฟังดูว่าได้ตั้งงบประมาณ ๗ แสนบาท แต่งบประมาณของสมเด็จฯ ไม่เห็นมีใครตั้ง ผมเสียใจมาก ขอโอกาสพูดด้วย

พอพูดเสร็จแล้วหมอฝนพูดว่า เรื่องนี้ได้เรียนจอมพลผินแล้วว่าเงินไม่พอ อยากเก็บเงินในงานนี้ไปสบทบ ท่านจึงได้อนุโมทนามาหนึ่งหมื่นบาท จึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้น เลยตอบไปว่า ผิน ผันไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องโรงพยาบาล แต่เป็นเรื่องศพ ได้ยินดังนี้หมอฝนก็ลุกหนีไป นายเลื่อนนั่งนิ่งพูดว่า เมื่อเป็นดังนี้ อาจารย์ว่าอย่างไร เจ้าคุณธรรมดิลก เจ้าคุณญาณฯ นั่งนิ่งกันหมด เขาถามอีกว่า อาจารย์จะให้ทำอย่างไร จึงได้ตอบเขาว่า เรื่องโรงพยาบาลไม่รังเกียจ ขอเอาไว้พูดทีหลัง เพราะศพสมเด็จฯ ยังเหม็นอยู่ ควรทำเสียก่อน เมื่อพูดจบแล้ว คุณนายตุ่นฯ ยกมือเห็นด้วยอยู่ข้างหลัง ได้ให้ที่ประชุมบันทึกการประชุมไว้รวม ๓ ข้อดังนี้

๑. เงินจะได้มาโดยวิธีใด ขอให้รวบรวมทำศพสมเด็จฯ เสียก่อน จนเป็นที่พอใจคณะกรรมการ

๒. เมื่อมีเงินเหลือจาการทำศพ ให้ตั้งคณะกรรมการพิจารณามอบหมายเงินก้อนนี้ไปให้โรงพยาบาลต่อไป

๓. ไม่ต้องให้เลยก็ได้

เมื่อได้บันทึกเสร็จแล้ว ได้มีคนๆ หนึ่งถามขึ้นว่า ศพนี้ใครจะเป็นคนจัดการ ก็ไม่มีพระองค์ใดตอบ จึงได้ตอบแทนว่า คณะสงฆ์วัดบรมฯ เป็นผู้ดำริทำ มหาวิเชียรฯทำงานอยู่กระทรวงวัฒนธรรมได้พูดขึ้นว่า ท่านเป็นพระ ท่านจะทำศพ ท่านจะใช้จ่ายเงินได้อย่างไร จึงได้ตอบเขาว่า มือของฉันมีมาก กลัวแต่จะไม่มีเงินเก็บ ฉันเก็บไม่ได้ใช้ไม่เป็น ศิษย์ของฉันก้อมี ได้ฟังดังนี้ มหาวิเชียรเลยเงียบ

ในที่สุดวันนั้นจึงได้เสนอว่าคณะกรรมการเก่าขอยกเลิก ขอตั้งใหม่มอบให้เจ้าคุณธรรมปิฎกเป็นประธาน แล้วก็เลิกประชุม

รุ่งเช้าวันหนึ่ง ได้เดินผ่านท่านเจ้าคุณธรรมปิฎก ท่านได้เรียกเข้าไปในห้องและบอกว่า ผมจะบอกอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องสมเด็จฯ เพราะผมปิดเป็นความลับ ท่านพูดต่อไปว่า

๑. สมเด็จฯ สั่งให้ผมเป็นผู้จัดการฌาปนกิจศพท่านเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว

๒. ท่านมอบหมายเครื่องบริขารให้เป็นสิทธิของผม

๓. ให้ช่วยปกครองดูแลพระเณรคณะวัดบรมฯ

ก็ตอบท่านว่า “ดีมาก” ต่อมาได้เปิดเผยเรื่องคำสั่งของท่านสมเด็จฯ ในที่ประชุมคณะสงฆ์จึงได้มอบกิจการถวายท่านเจ้าคุณธรรมปิฏก ก่อนออกจากที่ประชุมได้พูดขึ้นอีกคำหนึ่งว่า ขอโทษพระเดชพระคุณ เมื่อวานผมหมั่นไส้ ทนไม่ไหว เวลาสมเด็จฯ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีใครพูดเรื่องโรงพยาบาลของท่าน เวลาท่านตายก็ไม่พูดเรื่องทำศพ กลับมาพูดเรื่องโรงพยาบาล ถ้าผมได้พูดไปไม่ดี ไม่ถูก เป็นการเสียหาย ผมจะขอลาออกหนีจากวัด ไม่ขอเกี่ยวข้องในงานศพครั้งนี้ เจ้าคุณธรรมปิฎกจึงได้อ้อนวอนไม่ให้ไป แล้วพูดว่า ที่ท่านอาจารย์พูดนั้นไม่ผิด จึงเป็นอันได้ร่วมมือร่วมใจกันทำงานครั้งนี้ไปจนสำเร็จ

อีกไม่ช้าก็ได้จัดเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ อำเภอบางเขน ซึ่งท่านได้เคยเป็นสมภารคนแรกในการสร้างวัดนี้ วัดนี้เป็นวัดที่คณะรัฐบาลได้จัดสร้างขึ้น เมื่องานได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ได้ออกไปจำพรรษาอยู่ที่นาแม่ขาวที่เรียกว่า วัดอโศการาม ทุกวันนี้

ที่ตั้งวัดอโศการามนี้ เดิมเรียกว่า นาแม่ขาว เจ้าของที่ดินคือ นางกิมหงษ์ และนายสุเมธ ไกรกาญจน์ ได้ถวายที่ดินให้สร้างวัดมีเนื้อที่ประมาณ ๕๓ ไร่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงได้ตั้งสำนักเป็นครั้งแรก โดยให้พระลูกศิษย์คือ พระครูใบฎีกาทัศน์ มาเฝ้าสำนักแทน พร้อมทั้งพระลูกศิษย์อีก ๕ รูป รวมที่พระที่สำนักนี้ในครั้งนี้เริ่มตั้งจำนวน ๖ รูป

เมื่อออกพรรษาและได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ เรียบร้อยแล้ว ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงได้ออกไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม ในระหว่างนี้ได้เริ่มคิดดำริจัด งานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ การดำริในเรื่องนี้ได้ดำริมานานปีแล้ว คือตั้งแต่ปีที่ได้เดินทางออกมาจากดงบ้านผาแด่นแสนกันดาร

ในระหว่างที่คิดดำริจะจัดงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษอยู่นี้ ได้เที่ยววิเวกไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งได้ไปตั้งสัจจอธิษฐานอยู่ที่ถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ได้ตั้งปัญหาขึ้นว่า “งานที่จะทำครั้งนี้เป็นงานใหญ่ แต่เราไม่มีสมบัติอะไร จะทำดีหรือไม่ดีหนอ ขอพระธรรมเจ้าจงบันดาลให้ปรากฏทราบในใจ มิฉะนั้นก็ขอให้เทพเจ้าผู้ปกปักรักษาประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเทวดาผู้คุ้มครองรักษาพระแก้วมรกต อันเป็นมิ่งขวัญของคนไทยทั้งหมด จงช่วยกันบันดาลบอกช่องทางให้แก่ข้าพเจ้าด้วย”

อยู่มาวันหนึ่ง ได้เข้าไปในถ้ำลึกอยู่หลังถ้ำพระสบายเข้าไป จุดไฟตะเกียงรั้วไว้หน้าพระพุทธรูป ตรงหน้าพระพุทธรูปปูด้วยกระดาน ส่วนตัวเจ้าของเองไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ หันหน้าเข้าฝาในถ้ำ จุดไฟสว่างไว้ตลอดคืน แล้วก็ตั้งอธิษฐานความดำริในใจ

คืนนั้นเวลาประมาณตีสอง จิตใจก็สบายดี ได้มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น มีเสียงดังเกรียวกราวลงหน้าพระพุทธรูป ฟังดูไม่ใช่เสียงหิน แต่เป็นเสียงกระจกแตก รอสักครู่หนึ่งจึงได้ลุกขึ้นมาดู เดินรอบๆ สังเกตดูห่างจากตัวประมาณเจ็ดศอก แสงไฟก็สว่างทั้งถ้ำ เพราะถ้ำเล็กมีความกว้างเพียง ๔ วาเศษเป็นวงกลม สูงประมาณ ๑๐-๑๕ เมตร มีช่องทะลุขึ้นไปบนอากาศ เดินดูรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย จึงกลับเข้าที่เดิมนั่งสมาธิต่อไป ได้นั่งเคลิ้มฝันไป ปรากฏเป็นเทพเจ้ามาพูดบอกว่า “เรื่องการทำงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษนี้ ท่านไม่ต้องคิด แต่ท่านต้องทำ จะทำเมื่อไรต้องสำเร็จ” หลังจากนั้นมาก็มิได้วิตกเรื่องนี้เท่าไรนัก ได้พักวิเวกอยู่เป็นเวลาพอสมควร

ในการมาถ้ำพระสบายคราวนี้ ก่อนจะกลับจากถ้ำ ได้ปรารภถึงเรื่องต้นโพธิ์ว่าอยากได้ต้นโพธิ์สักสามต้น มาปลูกไว้ที่ถ้ำนี้

ต่อมาได้เดินทางกลับลพบุรี ไปพักอยู่ที่วัดเขาพระงาม พอดีเป็นเวลาตรงกับวันมาฆบูชา จึงได้ชักชวนญาติโยมชาวพระนครและลพบุรี ทำพิธีมาฆบูชาเป็นเวลาสามวัน ได้แสดงธรรมะให้แก่พวกคณะทหารประมาณสามร้อยคน ที่มาทำการเวียนเทียนในคืนนั้น เสร็จแล้วได้เข้าสมาธิอธิษฐานจิตว่า เรื่องงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษนั้น ไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างไรรู้สึกข้องใจอยู่ แล้วจึงได้ตั้งอธิษฐานขอถวายชีวิตในวันที่ ๑๕ ค่ำ คือไม่ฉันจังหัน ถวายตาคือไม่ยอมหลับ พากเพียรพยายามอยู่อย่างนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์อันใด

ถึงเวลาจวนสว่างประมาณตีห้า ได้เคลิ้มฝันไปครู่หนึ่งได้เห็นแผ่นดินแยกออก มองลึกลงไป เห็นก้อนอิฐสีแดงๆ หักพังเกลื่อนกลาดทับถมอยู่ใต้ดิน ก็สำนึกขึ้นว่า นี่คือสถานที่บรรจุพระบรมธาตุในสมัยก่อน ได้ผุพังจมดินลงไปมากแล้ว ฉะนั้น ท่านต้องเป็นผู้อุปการะช่วยเหลือสร้างพระเจดีย์เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุต่อไป ภายหลังงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ มิฉะนั้นจะไม่หมดกรรมหมดเวร แล้วได้เคลิ้มฝันต่อไปอีกครั้งหนึ่งว่า

ในสมัยครั้งก่อนโน้น พระสงฆ์มีธุระประชุมใหญ่กันในประเทศอินเดีย เมื่อได้นัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว ตัวเราไม่ได้ไปประชุมกับหมู่คณะ การประชุมนี้เนื่องด้วยการฉลองสมโภชพระบรมธาตุของพระบรมศาสดา ซึ่งเป็นงานสำคัญยิ่ง แต่เราไม่ได้ไปประชุม เพื่อนๆ จึงลงโทษว่า ต่อไปท่านต้องเป็นผู้อุปการะรวบรวมพระบรมธาตุบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทต่อไป

เมื่อเคลิ้มฝันได้ดังนั้นแล้ว การดำริที่จะทำงานสมโภชฯ ก็หนักเข้ามาทุกที

อยู่มาวันหนึ่งเวลาจวนสว่างๆ จึงได้ตั้งอธิษฐานในใจว่า ถ้าข้าพเจ้าจะทำการฉลองสมโภชฯ ให้สำเร็จด้วยดี ขอจงให้พระบรมธาตุที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้านี้ขอให้บังเกิดมีให้ครบจำนวน ๘๐ องค์ มีอยู่ขณะนั้นประมาณ ๖๐ องค์เศษเท่านั้น เมื่ออธิษฐานเสร็จ สว่างแล้ว ฉันจังหันเสร็จก็เปิดผอบออกนับดู ปรากฏว่ามีพระบรมธาตุครบ ๘๐ องค์บริบูรณ์

ต่อมาในคืนที่สอง ก็ได้ขึ้นไปนั่งสมาธิอยู่บนพระพุทธรูปใหญ่เชิงเขา คืนนั้นมิได้นอน นั่งสมาธิเดินจงกรมอยู่รอบๆ พระพุทธรูป แล้วก็ได้จัดตั้งพานไว้พานหนึ่งพร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน ทำการอธิษฐานว่า “ถ้ามีการฉลองสมโภชฯ จะสำเร็จ ขออัญเชิญพระบรมธาตุให้เสด็จมาเพิ่มเติมอีก จะเสด็จมาจากไหนก็ตาม” พอรุ่งสว่างก็ได้พระบรมธาตุประมาณ ๑๐ องค์ เล็กๆ มีพลอยสีแดงปนอยู่ด้วย ก็รีบจัดเก็บเข้าภาชนะ ไม่บอกให้ใครทราบ แต่นึกว่าเราคงทำงานครั้งนี้สำเร็จ

ในปีนั้นได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดอโศการามเป็นปี พ.ศ. ๒๔๙๙

เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ทราบข่าวว่าได้ปรากฏมีต้นโพธิ์เกิดขึ้นหน้าถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง รวมสามต้น สวยงามเพราะขึ้นอยู่บนแท่นหิน ปัจจุบันนี้สูงประมาณแปดศอก

ในระหว่างจำพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ที่วัดอโศการาม ความดำเรื่องจัดงานฉลองสมโภชฯ ก็หนักแน่นเข้าทุกทีๆ แต่ขณะนั้นยังไม่ตกลงใจว่าจะทำงานนี้ที่ไหนแน่ เพราะเป็นงานใหญ่ไปๆ มาๆ ก็เลยตัดสินใจว่า ต้องทำที่วัดอโศการาม การทำงานนั้นมีอยู่สองอย่างคือ

๑. พร้อมเพรียงกันกับพุทธบริษัททั้งหลายจัดทำขึ้น
๒. ทำด้วยลำพังตนเองคนเดียว

๑. ทำพร้อมกับพุทธบริษัทนั้นมีสามชั้นคือ
ชั้นต่ำ
ชั้นกลาง
ชั้นสูงสุด

ความดำรินี้ไม่ได้บอกใคร เป็นแต่ตั้งข้อสังเกตในการทำไว้คนเดียวเฉยๆ

เมื่อได้ทำงานสมโภชฯ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าการทำงานครั้งนี้ตกอยู่ในชั้นกลางเท่านั้น ถ้าหากทำได้ถึงชั้นสูงสุดจะไปสร้างฉัตรถวายพระพุทธรูปใหญ่ที่เขาพระงาม ในที่สุดก็ไม่สำเร็จถึงชั้นสูงสุด

๒. ทำด้วยลำพังตัวเองคนเดียวๆ นั้นดีมากที่สุด แต่ไม่เกิดประโยชน์แก่ปวงชน การกระทำอย่างนี้มีสามวิธีคือ

วิธีที่หนึ่ง อย่างชั้นต่ำ ต้องปลีกตัวหนีจากมนุษย์ หลบอยู่ในป่าดงถึงสามพรรษา จึงจะออกมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ได้

วิธีที่สอง อย่างชั้นกลาง ต้องเข้าไปอยู่ในป่าลึกโดยลำพัง ทำความพากเพียรจนครบไตรมาส สามเดือน ไม่กังวล

วิธีที่สาม อย่างสูงสุด ต้องเอาผ้าแดงผูกคนตัวเองไว้ ๗ วัน คือ หมายความว่าภายในเจ็ดวันนี้ จะพยายามสร้างความดี ๒ ชนิดคือ

ชนิดที่หนึ่ง ขอให้สำเร็จวิชชา ๘ ประการภายใน ๗ วัน เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องมือไว้ประกอบศาสนากิจ

ชนิดที่สอง ถ้าไม่สามารถเป็นไปได้ในชนิดที่หนึ่ง ขอให้ถึงที่สุดในวันที่เจ็ดพร้อมด้วยชีวิต เป็นอันไม่หวังกลับ

เมื่อทำได้ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จึงจะเป็นผู้หมดโทษและเวรกรรมซึ่งได้ทำกับเพื่อนไว้แต่ปางก่อนในความฝันครั้งนั้น

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ก่อนงานฉลองกึ่งพุทธกาล ๒๕ พุทธศตวรรษ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูสุทธิธัมมาจารย์

ต่อมาปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ก็จวนแจเวลา แต่ก็ได้เริ่มลงมือทำกิจการไว้บ้างแล้ว คือได้สร้างพระพุทธรูปแบบใบโพธิ์ ซึ่งได้ไปจำลองมาจากเมืองพาราณสี ในสมัยที่ได้เดินทางไปอินเดีย และได้รวบรวมผงต่างๆ ไว้หลายสิบแห่ง อาทิเช่น ดินจากสังเวชนียสถานในอินเดีย พระเครื่องที่แตกหักตามกรุต่างๆ และเพื่อนฝูงกับลูกศิษย์ได้ส่งจากจังหวัดต่างๆ มาถวายบ้าง มีน้ำมนต์เก่าๆ ซึ่งบรรดานักปราชญ์ได้ทำไว้ในสมัยโบราณ ผสมผงเกสรและอักขระ รวบรวมพิมพ์ขึ้นได้สองชนิดคือ

๑. พระผงไม่ได้เผา
๒. พระผสมแล้วเผาไฟ

คิดอยู่ในใจว่า เราจะต้องสร้างพระพิมพ์ถึง ๑ ล้านองค์ เมื่อลงมือทำแล้ว ได้มานับสำรวจตรวจตราดูในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้จำนวนพระรวมทั้งสิ้นประมาณ ๑ ล้าน ๑ แสนองค์เศษ

วันหนึ่งเกิดนิมิตแปลกประหลาด คืนวันหนึ่งเงียบสงัด กำลังนั่งพิมพ์พระพุทธรูปอยู่มีพระบรมธาตุองค์หนึ่งได้เสด็จปาฏิหาริย์มาอยู่บนเตียงนอน มีลักษณะคล้ายรูปพระใบโพธิ์ที่กำลังพิมพ์อยู่ แต่พระใบโพธิ์ที่พิมพ์อยู่เป็นแบบพระแสดงธรรมจักร คือยกพระหัตถ์ สองข้างแบบแสดงพระธรรมเทศนา จึงได้ตั้งชื่อพระพิมพ์นี้ว่า “พระโพธิจักร” พระบรมธาตุองค์นั้นเดี๋ยวนี้ก้อยังอยู่ ยังมิได้บรรจุและยังมีพระบรมธาตุอีกองค์หนึ่ง เป็นแบบพระพุทธรูปนั่งสมาธิเดี๋ยวนี้ก้อยังอยู่

อีกวันหนึ่งไปนั่งสมาธิที่ลพบุรี เงียบสงัด จวนจะสว่างได้เห็นพระบรมธาตุอีกครั้งหนึ่ง เวลาประมาณตีห้า จวนสว่าง ได้มีรูปๆ หนึ่งแปลกประหลาดตกลงมา เป็นรูปคนทำด้วยแก้วเจียระไนสีดำชมพู จึงได้เขียนจำลองรูปไว้จนบัดนี้

เหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ เหล่านี้ได้เกิดมีขึ้นมาก ขึงได้สั่งเตรียมการเรียกบรรดาพระลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดแล้วแจ้งให้ทราบว่า เราต้องทำการฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่วัดอโศการามนี้แน่นอน ได้ตัดสินใจเด็ดขาดในกลางพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นั่นเอง

เมื่อได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ตรวจดูมูลค่าปัจจัยของตัวเองมีอยู่ประมาณ ๒๐๐ บาทเศษ แต่ก็ได้สั่งลงมือเตรียมการก่อสร้าง ปลูกปะรำ ทำฉัตร พอเริ่มลงมือก็ปรากฏว่า มีผู้นำเงินมาถวายให้เรื่อยๆ สร้างที่พักได้สองหลังก้อหมดเงิน ระยะนั้นได้ขึ้นไปเยี่ยมจันทบุรี เมื่อกลับมาถึงวัดอโศการาม พ.ต.ท.หลวงวีรเดชกำแหง ได้รายงานว่า เงินจวนหมดแล้วครับ ท่านพ่อจะไปหาที่ไหนในการทำงานครั้งนี้ได้วางแผนไว้ดังต่อไปนี้

๑. วัตถุประสงค์ของงาน มีดังนี้

๑.๑ สร้างพระพุทธรูป ๙๓๒,๕๐๐ องค์ และต้องเพิ่มให้เป็นจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ เป็นพระผงและพระดินเผาขนาดหนึ่งนิ้ว เพื่อแจกจ่ายแก่พุทธบริษัททั้งหลาย โดยไม่คิดมูลค่า เหลือจากนั้นแล้วบรรจุในรากฐานพระเจดีย์ต่อไป และจะสร้างพระทองเหลืองอีกสี่ปาง มีจำนวนห้าองค์ คือ ตรัสรู้ ๑ แสดงธรรมจักร ๑ แสดงโอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ตอนใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ นิพพานไสยาสน์ ๑ พระประธานนั่งสมาธิเพื่อไว้ในโบสถ์ ๑ พระเงินขนาดเล็กหนึ่งนิ้ว พระนาก พระทองคำโตขนาดเดียวกัน (หนักหนึ่งบาท สร้างได้ราวสี่องค์) จะสร้างชนิดละห้าร้อยองค์ จะได้บรรจุในองค์พระเจดีย์เพื่อประโยชน์สูงสุดของกุลบุตร กุลธิดาแห่งเราท่านหลายในภายภาคหน้า

๑.๒ สร้างพระไตรปิฎก สามปิฎก คือ ๑. พระสูตร ๒. พระวินัย ๓. พระปรมัตถ์ รวมเป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่แปลเป็นภาษาไทย

๑.๓ อุปสมบทพระภิกษุ ๘๐ รูป บรรพชาสามเณร ๘๐ รูป บวชนุ่งขาวถือศีล ๘ อุบาสกชาย ๘๐ คน อุบาสิกาหญิง ๘๐ คน ถ้ามีจำนวนเกินไปจากที่กำหนดไว้ก็ยิ่งดีการบวชมีกำหนดเจ็ดวัน เป็นอย่างต่ำ เริ่มทำพิธีอุปสมบทตั้งแต่วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ถึง วันแรม ๗ ค่ำ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ จนถึงวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐

๑.๔ เมื่องานนี้สำเร็จจะไปแล้วด้วยดี มีวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งคือจะสร้างพระเจดีย์ไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งได้เกี่ยวเนื่องในวันสำคัญนี้ เพื่อไว้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๑ เพื่อบรรจุพระพุทธรูป ๑ เพื่อบรรจุพระธรรม ๑ อันเป็นส่วนของข้อธรรม และบริขารอื่นๆ ซึ่งเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา พระเจดีย์นั้นจะสร้างกลุ่มเดียวกัน ๓ ชั้นๆ ละ ๔ องค์ องค์กลางอีกองค์หนึ่ง องค์กลางเป็นองค์ใหญ่ ๔ เหลี่ยม กว้างยาว ๓ วา สูง ๑๓ วา นอกนั้นองค์เล็กโดยรอบ

การวางรากฐานพระเจดีย์นี้จะเริ่มกระทำไว้ก่อนงาน สถานที่คือวัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งต้องการจะให้เป็นสถานที่อบรมพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในทางวิปัสสนาธุระ (บำเพ็ญสมาธิภาวนา) ต่อไป

๒. พิธีฉลองสมโภชบำเพ็ญกุศลในงาน มีดังนี้

๒.๑ นิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันละ ๒๐ รูป ๗ วัน

๒.๒ สวดพุทธาภิเษกวันละ ๘ รูป นั่งปรกวันละ ๘ รูป ๗ วัน

๒.๓ เทศน์สังคายนา ๕ กัณฑ์ วันละ ๑ กัณฑ์ สวดแจงกัณฑ์ละ ๔๐ รูป เพื่อเป็นการบำเพ็ญกุศลอุทิศส่วนบุญให้ญาติของพุทธบริษัทที่ล่วงลับไปแล้ว (ญาติพลี)

๒.๔ ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่นิมนต์มาวันละ ๕๐๐ รูป ๗ วัน ต่อจากนั้นยังมีการบำเพ็ญกุศลเป็นนิจอีกจนครบ ๒ สัปดาห์ สัปดาห์ท้ายเลี้ยงพระวันละ ๓๐๐ รูป ๗ วัน

๒.๕ ในระหว่าง ๗ วันนี้ มีการเวียนเทียนสมโภชทุกวัน

๒.๖ ในวันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ทำพิธีบรรจุวัตถุต่างๆ ในรากฐานพระเจดีย์

๒.๗ มีการบำเพ็ญกุศลในลัทธิทางจีน คือสวดกงเต๊ก ๓ วันและมีเทศน์ตามลัทธินิยมนั้นอีก (วิธีการบำเพ็ญกุศลนอกจากนี้ยังมีอีก)

นอกจากนี้จะสร้างที่พักให้ความสะดวกแก่พระเณรทุกเหล่า สร้างที่พักให้อุบาสก อุบาสิกาได้รับความสะดวก และต้องตั้งโรงครัวประจำในงาน

เมื่อได้เขียนโครงการขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็ได้ดำเนินงานไปตามโครงการโดยลำดับ ได้เอาโครงการที่เขียนไว้นี้ให้ศิษย์ดูหลายท่านหลายคน ต่างคนต่างส่ายหัวไปมาแล้วพากันพูดว่า ท่านพ่อจะทำอย่างไร กิจการงานใหญ่โตอย่างนี้ จะไปหาเงินทองที่ไหน แต่ตัวเจ้าของเองนึกรำพึงแต่ในใจว่า เราทำบุญ คนใจบุญต้องมาช่วยไม่ต้องออกฎีกา

ต่อมา เมื่อได้กลับจากจังหวัดจันทบุรีแล้ว จวนเวลาจะเริ่มงานก็มีคนได้นำเงินมาถวายอยู่เรื่อยๆ ปรากฏว่าได้เงินเป็นจำนวนเกือบหนึ่งแสนบาท มีคนๆ หนึ่งคือ ดร.หยุด แสงอุทัย กลัวว่าจะทำงานครั้งนี้ไม่สำเร็จ จึงได้ไปทาบทามขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ได้ไปเจรจากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คือ พลโทหลวงสวัสดิ์ฯ ซึ่งยังไม่เคยคุ้นเคยกันกับเรา แต่น่าขอบใจท่านๆ ได้พูดกับ ดร.หยุดว่า ถ้าต้องการเงิน จะช่วยจัดการให้ เรื่องนี้คุณหญิงวาด เลขวณิชธรรมพิทักษ์ ได้นำมาเล่าให้ฟัง จึงได้ตอบไปว่า ไม่ต้องการ

การปลูกสร้างก็ได้เริ่มขึ้นเรื่อยๆ เงินก็มีคนมาทำบุญเรื่อยๆ โดยไม่ได้แจกฎีการ้องขอจากผู้ใด เป็นแต่บอกเล่าแจกใบปลิวกำหนดการให้ทราบในคณะสานุศิษย์เท่านั้น

ได้เตรียมการภายในวัดก็ได้สำเร็จไปเป็นส่วนมาก สำหรับศาลาโรงพิธีได้มอบหมายให้อาจารย์สุณี (แม้น) ชังคมานนท์ ครูซ่วน อัชกุล คุณทองสุข แม่กิมหงษ์ ไกรกาญจน์ เป็นเจ้าหน้าที่ปลูกสร้างจนสำเร็จ แต่ยังไม่เพียงพอ ได้สั่งให้ขยายหลังคาจากเพิ่มเติมอีกทั้ง ๔ ด้าน พ.ต.ท.หลวงวีรเดชฯ พร้อมด้วยพระเณรได้ช่วยกันสร้างนอกจากนี้ยังได้ช่วยกันสร้างโรงครัวชั่วคราว และที่พักชั่วคราวขึ้นอีกหลายหลัง

ที่พักชั่วคราวสร้างเป็นหลังคาจากฝาจากยาวสี่สิบวา
โรงครัวยาวสามสิบวาเศษ กว้างประมาณสามวาหลังคาจาก
ที่พักพระเณรมีห้าหลังๆ หนึ่งยาวสี่สิบวา กว้างห้าวา หลังคาจาก ฝาจาก
ที่พักอุบาสก อุบาสิกาจัดแยกให้อยู่คนละที่ห้าหลัง ยาวหลังละสี่สิบวา กว้างห้าวา

การปลูกสร้างที่พักชั่วคราวเหล่านี้สิ้นเงินไปประมาณหนึ่งแสนเศษ ศาลาโรงพิธีสิ้นเงินหนึ่งแสน หกหมื่น ห้าพัน ซ่อมถนน รอบวัดโดยมีคุณหญิงวาดฯ เป็นผู้ทำ สิ้นเงินหกหมื่น รวมทั้งหมดสิ้นเงินสองแสนเศษ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะต้องใช้จ่ายในงานนี้มีอีกมากมาย เงินที่มีอยู่ก็ค่อยๆ หมดไปทุกที แต่ก็ได้มาทุกวัน พอข้างขึ้นเดือนเมษายน ก็ได้จัดเตรียมการเป็นการใหญ่ญาติโยม พระเณร ที่อยู่ต่างจังหวัดได้เดินทางเข้ามาประชุมกันเป็นจำนวนมาก นาคที่มาสมัครบวชทั้งหญิงและชายมากมายทวีขึ้นทุกทีจนเลยจำนวนที่ได้กำหนดไว้แต่เดิม


(มีต่อ ๗)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๓๐ พรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์
ถวายแด่ท่านพ่อลี ธมฺมธโร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์”



ถึงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ได้เริ่มบวชนาค ในการบวชนาคนี้ได้นิมนต์พระอุปัชฌาย์มาหลายองค์ คือ

๑. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดมกุฎกษัตริยาราม
๒. พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศนิหาร
๓. พระศาสนโศภณ วัดราชาธิวาส
๔. พระธรรมดิลก วัดบรมนิวาส
๕. พระธรรมปิฏก วัดพระศรีมหาธาตุ
๖. พระญาณรักขิต วัดบรมนิวาส

นอกจากนี้พระอุปัชฌาย์ที่เป็นเพื่อนบ้าง ศิษย์บ้างช่วยกัน เพราะพิธีบวชนาคได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จึงได้มอบเรื่องนี้ให้พระอาจารย์แดง เป็นผู้ฝึกหัดอบรมสั่งสอนนาคตลอดงาน และให้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย นอกจากนี้ก็มี พระครูวิริยังค์ จ.จันทบุรี (พระธรรมมงคลญาณ หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ในปัจจุบัน) พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร จ.สกลนคร ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย ช่วยกันฝึกซ้อมจัดบริขารในการบวชพระบวชเณรจนสำเร็จ

สรุปแล้วการพิธีบวชนี้มีคนช่วยทั้งหมดโดยไม่ต้องจ่ายเงินกองกลาง บวชจนกระทั่งไม่มีนาคจะให้เขาบวช ต้องประกาศงดรับเจ้าภาพบวชนาคทางเครื่องกระจายเสียง ในพิธีบวชนี้มีคณะศิษย์เป็นเจ้าภาพในการบวช คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๑๓๘,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนสามหมื่นแปดพันบาทเศษ)

พิธีบวชเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๑ ถึง ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ผู้บวชในงานครั้งนี้จำนวนประเภทดังต่อไปนี้ คือ

อุปสมบทพระภิกษุ มีจำนวน ๖๓๗ รูป
บรรพชาสามเณร มีจำนวน ๑๔๔ รูป
บวชอุบาสิกา (ชี) มีจำนวน ๑,๒๔๐ รูป
บวชพราหมณี มีจำนวน ๓๔๐ คน
บวชตาปะขาว มีจำนวน ๓๔ คน
บวชพราหมณ์ มีจำนวน ๑๒ คน
รวมจำนวนนักบวชทั้งสิ้น ๒,๔๐๗ ท่าน

ในงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ได้กำหนดกิจวัตรประจำบรรดาพุทธบริษัทไว้ดังต่อไปนี้

เวลาเช้า
๑. หลังจากพระฉันจังหันเสร็จแล้ว มีการสวดมนต์ถวายนมัสการพระบรมธาตุ
๒. สวดมนต์ถวายพรพระ
๓. นั่งสมาธิ

เวลาบ่าย
๑. สวดมนต์ถวายนมัสการพระบรมธาตุ
๒. สวดมนต์สมโภช
๓. นั่งสมาธิหรือแสดงธรรมะ

เวลา ๑๖.๐๐ น. หยุดพัก
เวลา ๑๗.๐๐ น. เริ่มเข้าสู่ที่ประชุม แล้วสวดมนต์ถวายนมัสการพระบรมธาตุเวียนเทียน สวดพุทธาภิเษก สวดมนต์สมโภช นั่งสมาธิจนถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ให้ปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปจนเสร็จงาน

ในระหว่างกำลังทำงานนี้อยู่ ก็ได้ดำริขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า อยากจะทอดผ้าป่าที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นการทดแทนความคิดที่เสียไป คือเรื่องมีว่า

ครั้งแรกได้ดำริตั้งมูลนิธิเป็นส่วนกลางของคณะสงฆ์ไทย จึงได้ทำรายงานกราบเรียนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดมกุฏฯ มีใจความว่า “นิตยภัตของพระสงฆ์ผู้ดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ทุกรูปในประเทศไทย ขอให้ท่านเสียสละเสีย ๑ เดือน ในเดือน ๖ นี้เพื่อเป็นเครื่องระลึกในโอกาสที่ได้จัดการฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ส่วนตัวเองจะได้หาเงินทุนมาสมทบด้วย ขอให้สมเด็จฯ ได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะสังฆมนตรีด้วยว่า จะเห็นด้วยกับความคิดเห็นอันนี้หรือไม่ประการใด”

สมเด็จฯ ได้เอ่ยขึ้นคำหนึ่งจับใจเรามากว่า “ผมให้ทั้งหมด ๑ เดือน ท่านต้องการบริขารอย่างอื่นอีกในงานนี้ ก็ยินดีจะช่วย เมื่อได้ฟังแล้วนึกในใจว่า สาธุ สาธุ สาธุ”

ในที่สุดสมเด็จฯ ได้เห็นชอบด้วยในความคิดอันนี้ จึงได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสังฆมนตรีได้ทราบภายหลังว่า ในที่ประชุมสังฆมนตรีวันนั้นต่างองค์ต่างเกี่ยงกัน เป็นอันไม่สำเร็จ

เมื่อเป็นดังนี้จึงคิดทอดผ้าป่าถวายหลวงพ่อแก้วมรกตดีกว่า จึงได้นำความคิดนี้ถวายพระพรพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ขอให้พระองค์ท่านทรงเป็นเจ้าภาพในกองผ้าป่าทั้งหมดเป็นจำนวน ๑๖ กอง (กองหนึ่งให้ถวายหลวงพ่อแก้วมรกต) พระองค์ยินดีทรงเป็นเจ้าภาพ ให้ความสะดวก พระองค์ท่านได้รับสั่งให้บริษัท บริวาร ตลอดจนกระทั่งเจ้านาย และพระบรมวงศานุวงศ์ มีคณะองคมนตรี เป็นต้น ให้จัดเตรียมการต้อนรับกองผ้าป่าอย่างเต็มขนาด จึงได้จัดกองผ้าป่าขึ้น ได้มูลค่าปัจจัยประมาณ ๓ หมื่นบาทเศษ แบ่งให้กองผ้าป่า ๑๕ กองๆ ละ ๓๐๐ บาทเศษ เงินที่เหลือนอกจากนี้ถวายหลวงพ่อแก้วมรกต เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๔,๑๒๒.๓๐ บาท (สองหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยยี่สิบสองบาทสามสิบสตางค์) โดยตั้งเป็นบุญนิธิซื่อว่า “บุญนิธิ ๒๕๐๐ ปี คณะศิษย์พระอาจารย์ลี วัดอโศการาม” เพื่อเก็บดอกผลจากบุญนิธินี้ส่งเข้าบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดารามต่อไป ต่อมาได้นำส่งสมทบภายหลังอีกรวมเป็นเงินบุญนิธิทั้งหมด ๕ หมื่นบาทเศษ

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ได้นำขบวนแห่พระพุทธรูป พระบรมธาตุ และกองผ้าป่า ๑๓ กอง จากวัดอโศการามไปทอดที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ได้มีรับสั่งให้ทางสำนักพระราชวังจัดการต้อนรับ ได้มีการแห่รอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๓ รอบ องค์ท่านพร้อมทั้งคณะองคมนตรี ได้เสด็จมารับกองผ้าป่าในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท่านได้มีรับสั่งให้ทางสำนักพระราชวังจัดภัตตาหารถวายพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับนิมนต์มารับกองผ้าป่ารวม ๑๕ รูป พระเถระที่พระองค์ท่านนิมนต์มานั้น โดยมากนิมนต์จากวัดต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีอุปการะมาแต่กาลก่อน เมื่อได้ถวายภัตตาหารเพลแก่พระสงฆ์เรียบร้อยแล้ว พระองค์ท่านก็ได้นำถวายกองผ้าป่าแก่พระเถระที่ได้นิมนต์มาในวันนั้น

เมื่อเสร็จพิธีถวายกองผ้าป่าแล้วได้นำขบวนแห่ออกจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปรับต้นโพธิ์ที่วัดพระศรีมหาธาตุ อำเภอบางเขน ซึ่งได้ขอจากทางราชการและได้รับอนุญาตแล้ว

ถึงวัดพระศรีมหาธาตุแล้วทำพิธีรับต้นโพธิ์ ๒ ต้น แห่เวียนพระอุโบสถ ๓ รอบ ประกอบพิธีตามทางการ เสร็จแล้ว นำขบวนแห่เคลื่อนออกจากวัดพระศรีมหาธาตุ ไปยังจังหวัดนนทบุรี ต่อจากนั้นคณะศิษย์ได้นำพระบรมธาตุ ต้นโพธิ์ ไปทำการฉลองที่สวนพุทธรักษา อำเภอบางบัวทอง ๑ คืน

รุ่งขึ้น วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ พระฉันจังหันแล้ว นำพระพุทธรูป พระบรมธาตุ ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ ลงสู่ขบวนแห่ทางเรือจากอำเภอบางบัวทอง ล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งถึงท่าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ คณะกรรมการทางวัดอโศการาม พร้อมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ข้าราชการ และพุทธบริษัทได้มาต้อนรับอย่างคับคั่ง นำขบวนขึ้นจากเรือ แล้วแห่จากศาลากลางเข้าตลาดเมืองสมุทรปราการ นำขบวนแห่ไปจนถึงวัดอโศการามในตอนบ่าย ฝ่ายพุทธบริษัททั้งหลาย มีท่านเจ้าคุณพระอมรมุนี วัดจันทนาราม เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี เป็นหัวหน้าต้อนรับขบวนแห่ เมื่อถึงวัดอโศการาม แล้วได้นำขบวนแห่เวียนศาลา ๓ รอบ แล้วนำขึ้นประดิษฐานไว้บนศาลาโรงพิธีพุทธาภิเษก ได้ทำการถวายนมัสการพระบรมธาตุ พระพุทธรูป ต้นโพธิ์ และพระสถูปเจดีย์ เสร็จแล้วพักผ่อน เวลา ๑๘.๐๐ น. ตีระฆังประชุมสวดมนต์สมโภช สวดพุทธาภิเษก เวียนเทียน มีพุทธบริษัทมาร่วมสมโภชกันมากมาย

รุ่งขึ้นเช้า วันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้ทำพิธีปลูกต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์ที่วัดอโศการาม รวม ๔ ต้น ได้มาจากวัดพระศรีมหาธาตุ ๒ ต้น อีก ๒ ต้น ได้มาจากประเทศอินเดีย ต่อมาได้มีศิษย์นำต้นโพธิ์จากประเทศอินเดียมาถวายอีก ๒ ต้นปัจจุบันนี้ที่วัดอโศการามจึงมีต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ์รวม ๖ ต้น

ต่อจากนั้นก็ได้ทำการสมโภชกันตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งการเงินชักเบาบาง ฝ่ายคณะกรรมการได้ประชุมหารือกัน จัดทำหนังสือร้องเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือจากคณะรัฐบาล มีนางกิมเหรียญ กิ่งเทียน และนางตุ่น โกศัลวิตร เป็นหัวหน้า ได้จัดทำหนังสือขึ้น ๑ ฉบับ แล้วนำมาอ่านให้ฟัง ใจความในหนังสือนั้นมีว่า ขอร้องเรียนนายกรัฐมนตรี คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้ช่วยเหลือเป็นเป็นจำนวน ๕ หมื่นบาท เมื่อได้ทราบเช่นนั้น เขาอ่านให้ฟังยังไม่ทันจบ ก็สั่งให้เผาไฟทิ้งทันที แล้วพูดกับเขาว่า “ไม่มีกินในงานครั้งนี้ยอมตาย”

ในที่สุดเงินก็ได้ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ขาด บางท่านก็ได้มาช่วยเลี้ยงพระ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง เป็นจีนบ้าง ไทยบ้าง ในงานนี้ได้มีการสวดพุทธาภิเษกอยู่ถึง ๑๕ วัน โดยมีพลตรีพงษ์ ปุณณกันต์ เจ้ากรมการขนส่งทหารบก เป็นเจ้าภาพพุทธาภิเษกตลอดงาน

คุณหญิงวาด เลขวณิชธรรมวิทักษ์ รับพระมาสวดมนต์ ๓ วันๆ ละ ๑๐ รูปพร้อมด้วยเครื่องไทยทาน และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระอีก ๗ วันๆ ละ ๓๕๕ รูป มีเทศน์ ๒ กัณฑ์ มีสวดกงเต๊ก ๓ คืน มีการลอยกระทงและจับสลากให้รางวัลแทนการทิ้งกระจาด คุณนายทองสุข ชุ่มไพโรจน์ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระ ๓๐๐ รูป ๗ วัน นอกจากนี้ยังมีชาวจีนมาเลี้ยงอาหารเจช่วยอีกหลายวัน และมีญาติโยมคณะศิษย์จัดให้มีการเทศน์สังตายนาอีก ๑๑ เจ้าภาพ ชุดหนึ่งใช้จ่ายเป็นประมาณ ๕,๐๐๐ บาท

นอกจากนี้ทางด้านโรงครัวก็มีผู้ศรัทธามาบริจาคอาหาร ถ้วยชาม ข้าวสาร ฟืน ถ่านทุกอย่าง โดยมากไม่ค่อยได้ซื้อ มีแต่ผู้มีศรัทธานำมาบริจาคเป็นส่วนมาก ฉะนั้น ทางโรงครัวจ่ายเป็นค่ากับข้าววันหนึ่งๆ ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ฝ่ายคณะศิษย์ต่างคนต่างได้ช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ

ฝ่ายพยาบาล ได้รับความช่วยเหลือจากพลตรีถนอม อุปถัมภานนท์ นายแพทย์ใหญ่ทหารบก และคุณหญิงสุดใจฯ ได้ส่งหน่วยพยาบาล พร้อมด้วยนายแพทย์และนายสิบพยาบาลมาประจำตลอดงาน เพื่อช่วยรักษาพยาบาลคนป่วยระหว่างงาน

ฝ่ายรักษาความสงบและจราจร มี พ.ต.อ. สุดสงวน ตัณสถิตย์ หัวหน้ากองสวัสดิภาพประชาชน กรมตำรวจ ได้สั่งให้ตำรวจจราจรไปรักษาการณ์จนตลอดงาน พร้อมทั้งส่งรถดับเพลิงมาประจำตลอดงาน ๑ คัน

ระหว่างนี้การงานก็ดำเนินไปด้วยดี การเงินก็สะดวกขึ้น กิจวัตรประจำวันก็ทำไปตามเคย การบวชก็มีทุกวัน ตลอดงานดินฟ้าอากาศอำนวยให้เป็นอย่างดี ในงานนี้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น ปลอดภัยดีทุกด้าน มีบ้างเล็กน้อยก็ไม่สำคัญอะไรเลย

วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เจ้าภาพได้ทำการหล่อพระพุทธรูปรวม ๔ องค์ หน้าตักกว้าง ๘๐ เซ็นติเมตร คุณหญิงวาด เลขวณิชธรรมวิทักษ์ เป็นเจ้าภาพ ๒ องค์ (องค์หนึ่งหล่อถวายท่านพ่อ อีกองค์หนึ่งเพื่อตัวคุณหญิงวาดฯ เอง) พระยาเลขวณิชธรรมวิทักษ์ เป็นเจ้าภาพ ๑ องค์ พ.ต.ท. หลวงวีรเดชกำแหง และคุณนายน้อย วีรเดชกำแหง เป็นเจ้าภาพ ๑ องค์ ราคาองค์ละ ๖,๗๙๐ บาท นายกวงหั้ง แซ่เหีย พร้อมทั้งบุตรภริยาหล่อถวายอีก ๑ องค์ ได้ทำการหล่อตั้งแต่งานมาฆบูชา นำมาสมทบในงานนี้ด้วย ราคา ๓๔,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าฉลองเสร็จ พระพุทธรูปเหล่านี้ทางวัดไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าภาพจ่ายเอง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๑,๑๖๐ บาท ได้ทำการสมโภชจนสำเร็จ

ฝ่ายมหรสพไม่ค่อยมีคนสนใจดู เพราะตั้งใจมาทำศาสนพิธีมากกว่า คณะศิษย์ชาวจีนนำงิ้ว ๑ โรงมาช่วย ๓ คืน คุณวารี ฉัยกุล อำเภอหาดใหญ่ นำละครมโนห์ราและหนังตลุงอย่างละ ๑ ชุด มาช่วย อยู่จนตลอดงาน มีหมอลำอีสาน ๑ ชุด แอ่วอยู่ ๑ คืน ก็ต้องเลิก มีภาพยนตร์มาช่วยอีก ๒ จอ กิจการเหล่านี้ไม่ต้องจ่ายเป็นเพราะคณะศิษย์นำมาช่วย

ได้ทำการฉลองอยู่อย่างนี้ โดยวิธีการสวดมนต์สมโภช เวียนเทียน สวดพุทธาภิเษก นั่งสมาธิ มีการแสดงธรรมะ ได้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่มาช่วยแสดงธรรมะ อาทิ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดมกุฎฯ ได้มาเทศน์โปรด ๑ กัณฑ์ พระศาสนโศภณ มาเทศน์ ๑ กัณฑ์ นอกนั้นก็แสดงธรรมเป็นครั้งเป็นคราว เจ้าของแสดงเองบ้าง พระอาจารย์ตื้อแสดงบ้าง ได้บำเพ็ญกิจวัตรอย่างนี้ จนกึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สรุปแล้วงานครั้งนี้มีสถิติรายรับรายจ่ายทั้งหมดดังต่อไปนี้

ยอดรายรับ ถึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม จำนวน ๘๔๐,๓๔๐.๔๙ บาท
ยอดรายจ่าย ถึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม จำนวน ๔๓๓,๓๒๖.๗๕ บาท

หักแล้วคงเหลือเงิน ๓๐๗,๐๑๓.๗๔ บาท
(สามแสนเจ็ดพันสิบสามบาทเจ็ดสิบสี่สตางค์)

เงินทั้งหมดนี้เป็นเงินที่พุทธบริษัทได้บริจาคด้วยจิตใจศรัทธา นอกนั้นเป็นเงินแห้ง เช่น บวชนาค เจ้าภาพจัดกันเอง กองกลางไม่รับเงินจำนวนนี้ เทศน์สังตายนา เลี้ยงพระสวดมนต์ สร้างพระพุทธรูป สร้างศาลาโรงพิธี ซ่อมถนนเข้าวัด สวดกงเต็ก เหล่านี้เป็นประเภทเงินแห้ง รวมแล้วหยาบๆ เป็นเงินประมาณ ๓ แสนเศษ เมื่อเสร็จงานแล้วเหลือเงินสดอยู่ในบัญชีเป็นจำนวนเงิน ๓๐๗,๐๑๓.๗๔ บาท (ซึ่ง พ.ต.ท. หลวงวีรเดชกำแหง ได้ฝากไว้ในธนาคาร ตามคำสั่งของท่านพ่อ เงินจำนวนนี้ได้ใช้จ่ายสมทบทุนบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๓ หมื่นบาท และก่อสร้างเพิ่มเติมภายในวัด อาทิเช่น ซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพร้อมทั้งเสาและสายไฟ สร้างโรงครัวถาวร สร้างพระอุโบสถสำรองชั่วคราว ฯ ลฯ รายละเอียดรายจ่ายเหล่านี้อยู่กับ พ.ต.ท. หลวงวีรเดชฯ ท่านพ่อได้ตรวจดูแล้ว ส่งหลักฐานการจ่ายให้ พ.ต.ท. หลวงวีรเดชฯ เก็บรักษาไว้ เงินเหลือนอกจากนี้ ได้มอบให้คณะกรรมการก่อสร้างพระอุโบสถและพระเจดีย์ เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป พระอุโบสถนั้นได้เริ่มลงมือก่อสร้างตั้งแต่วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๒ ตามแบบแปลนของกรมศิลปากร)

ในพิธีฉลองครั้งนี้ มีคณะสงฆ์ พุทธบริษัทมาร่วมอนุโมทนา ตลอดจนกระทั่งพระเถระ อุบาสก อุบาสิกา ถึง ๔๕ จังหวัด ต่อจากนั้นก็เป็นอันสำเร็จการ การจัดงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐

ต่อมาเวลาจวนเข้าพรรษา ได้มีเจ้าภาพคนหนึ่งชื่อ นายธนบูลย์ กิมานนท์ พร้อมด้วยภริยาและบุตร สร้างพระพุทธรูปถวายในปี ๒,๕๐๐ นี้อีก ๑ องค์ คิดราคาค่าก่อสร้างเป็นเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท หน้าตัก ๔ ศอก ๔ นิ้ว ทำการฉลองและสร้างแท่นอีก รวมทั้งสิ้นเงินทั้งหมด ๑ แสน ๕ พันบาทเศษ

ระหว่างอยู่จำพรรษา ยังคงมีพระ เณร อุบาสิกา ซึ่งได้บวชเมื่องานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ และยังคงบวชอยู่ร่วมกันบำเพ็ญกุศลต่อมาในพรรษาอีกเป็นจำนวนมาก

เมื่อออกพรรษาแล้ว ต่างคนต่างกลับไปเยี่ยมบ้านของตน ยังคงเหลืออยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมี ส่วนตัวเราได้ออกไปเยี่ยมความทุกข์สุขของคณะศิษย์ที่ได้มาร่วมงานสมโภชครั้งนี้หลายแห่ง

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นี้ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในนามที่ “พระครูสุทธิธัมมาจารย์” เมื่อวันที่ ๕ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งตนของตนไม่เคยคิดนึกและไม่รู้ตัว ต่อจากนั้น เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้ขึ้นไปเยี่ยมจังหวัดลำปาง อยากไปสร้างพระเจดีย์สัก ๑ องค์ที่ถ้ำพระสบาย เมื่อได้ไปถึงจังหวัดลำปางก็ได้ทราบว่า ได้มีต้นโพธิ์เกิดขึ้นแล้ว ๓ ต้น ที่หน้าถ้ำพระสบาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ บัดนี้ต้นโตสูงแล้วก็รู้สึกดีใจมาก ในที่สุดก็ได้สร้างพระเจดีย์ไว้องค์หนึ่งแล้วบรรจุพระบรมธาตุไว้ที่ถ้ำนั้น มีเจ้าแม่สุข ณ ลำปาง คุณนายกิมเหรียญ กิ่งเทียน แม่เลี้ยงเต่า จันทรวิโรจน์ และคณะอุบาสก อุบาสิกา ได้ช่วยร่วมมือกันเป็นผู้อุปการะ พร้อมคณะศิษย์ทั้งพระและฆราวาสช่วยกันจนสำเร็จสมความปรารถนา ได้นำต้นโพธิ์อินเดีย ๑ ต้นไปปลูกไว้ที่ถ้ำด้วย

ต่อจากนั้น ได้เดินทางไปเชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี เที่ยวจาริกสัญจรไปในระหว่างเวลาออกพรรษาทุกปี การทำเช่นนี้ ก็เพราะได้คิดเห็นว่า การที่จะอยู่ประจำวัดเฉยๆ ก็เปรียบเหมือนรถไฟที่จอดนิ่งอยู่ที่สถานีหัวลำโพง ประโยชน์ของรถไฟที่จอดนิ่งอยู่กับที่มีอะไรบ้าง ทุกคนคงตอบได้ ฉะนั้น ตัวเราเองจะมานั่งอยู่ที่เดียวนั้น เป็นไปไม่ได้จำเป็นจะต้องออกสัญจรอยู่อย่างนี้ตลอดชาติ ในภาวะที่ยังบวชอยู่

การประพฤติเช่นนี้ บางครั้งหมู่คณะก็ตำหนิโทษ บางคราวก็ได้รับคำชมเชย แต่ตนเองเห็นว่าได้ผลทั้งนั้นเพราะได้รู้จักภูมิประเทศ เหตุการณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณีของพระศาสนาในสถานที่ต่างๆ บางอย่างบางชนิดเราอาจโง่กว่าเขา บางอย่าง บางหมู่คณะ บางสถานที่เขาอาจดีกว่าเรา ฉะนั้น การสัญจรไปมาจึงไม่ขาดทุน นั่งอยู่นิ่งๆ ในป่าก็ได้ประโยชน์ ถ้าถิ่นไหนเขาโง่กว่าเรา เราก็เป็นอาจารย์ให้เขา หมู่ไหนฉลาดกว่าเรา เราก็ยอมตนเป็นศิษย์เขา ฉะนั้น การสัญจรไปมาจึงไม่เสียประโยชน์ อีกประการหนึ่งที่เราชอบไปอยู่ตามป่าตามดงนั้นได้เกิดความคิดหลายอย่าง คือ

๑. เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า ดับขันธ์ปรินิพพานในป่า แต่ทำไมพระองค์จึงสามารถทำความดีไปฝังไว้กลางพระมหานครได้ เช่น ได้ไปทรงขยายกิจการ พระศาสนาให้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งกรุงราชคฤห์ เป็นต้น

๒. พิจารณาเห็นว่าการหลบ ดีกว่าการสู้ เพราะเรายังไม่ได้เป็นผู้วิเศษ ตราบใดถ้าเราได้เป็นผู้มีหนังเหนียว สามารถทนทานต่อลูกปืน หอก ดาบได้แล้ว เราจึงควรอยู่ในที่ชุมนุมชน ฉะนั้น จึงคิดว่าหลบดีกว่าสู้ คนที่รู้จักหลบ เขาบอกว่า “รู้จักหลบเป็นปีก รู้จักหลีกเป็นหาง” แปลความหมายว่า ลูกไก่ออกมาจากไข่ตัวเล็กๆ ถ้ามันเข้าใจหลบ มันก็ไม่ตาย มีโอกาสได้เติบโตออกปีกออกขน สามารถช่วยตนเองในกาลข้างหน้าได้ รู้จักหลีกเป็นหาง เช่นหางเสือที่วิ่งในน้ำ ถ้าคนถือท้ายรู้จักงัดหรือกด ก็สามารถนำเรือนั้นวิ่งหลบการเกยตอและหาดได้อย่างดี เรือจะหลบได้ต้องอาศัยหางเสือ ตนของตนเองเมื่อคิดได้เช่นนี้ จึงมีนิสัยชอบอยู่ป่า

๓. มานึกถึงหลักธรรมชาติ ก็เป็นสถานที่ที่สงัดสงบ ได้สังเกตเหตุการณ์ในภาวะของภูมิประเทศ เช่น สัตว์ป่าบางเหล่าเวลานอนนอนผิดกับสัตว์ในบ้าน มันก็เป็นข้อเตือนใจได้ ตัวอย่างเช่น ไก่ป่า หูตาว่องไว หางกระดก ปีกแข็ง ขันสั้น วิ่งเร็ว บินไกล ลักษณะเหล่านี้เกิดจากไหน ได้นำมาเตือนใจแล้วเกิดความคิดว่า ไก่บ้าน ไก่ป่า เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันแต่ไก่บ้าน ปีกอ่อน ขันยาว หางตก งุ่มง่าม มีกิริยามารยาทต่างกัน ก็นึกได้ว่า เกิดจากความไม่ประมาท เพราะสถานที่นั้นมีภัยอันตรายรบกวน จะไปทำตนเหมือนไก่บ้านก็ต้องเสร็จงูเห่าและพังพอน

ฉะนั้น เวลาจะกิน จะนอน ลืมตา หลับตา มารยาทของไก่ป่าต้องเข้มแข็ง จึงจะปลอดภัยอยู่ได้ ตัวเราฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าขืนแช่อยู่ในหมู่คณะก็เหมือนมีดเหมือนจอบปักจมอยู่ในพื้นดิน ทำให้สึกหรอได้ง่าย ถ้าถูกหินถูกตะไบขัดถูอยู่เป็นนิจ สนิมก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ใจของเราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ฉะนั้น จึงชอบอยู่ในป่าเสมอมา เป็นการได้ประโยชน์ ได้คติเตือนใจหลายอย่าง

๔. มาระลึกถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในครั้งแรก ซึ่งเป็นประเพณีของสมณะเป็นคำสอนที่ชวนให้คิดอยู่มาก คือครั้งแรกพระองค์ทรงสอนธรรมะก่อนพระวินัย เช่นเวลาอุปสมบทได้สอนพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็สอนกรรมฐาน ทั้ง ๕ มีเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ต่อจากนั้นก็ได้ให้โอวาทแก่ผู้บรรพชาอุปสมบท มีใจความอยู่ ๔ อย่าง คือ

(๑) ให้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร แสดงตนเป็นผู้ขอ แต่พระองค์ไม่ให้แสดงตนเป็นคนยากจน เช่น เขาให้เท่าไรก็ยินดีเท่านั้น

(๒) พระองค์ทรงสอนให้ไปอยู่ในที่สงัด ที่เรียกว่า “รุกขมูลเสนาสนะ” มีบ้านร้าง สูญญาคาร หิมมิยัง เงื้อมผา คูหาถ้ำ สถานที่ต่างๆ เหล่านี้ มีปัญหาว่าพระองค์ทรงเห็นประโยชน์อะไรหรือ จึงได้สอนเช่นนั้น แต่ตัวเองก็นึกเชื่อออยู่ในใจว่า ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ พระองค์คงไม่สอน ถึงกระนั้นก็ยังมีความรู้สึกลังเลใจอยู่ จนเป็นเหตุให้สนใจในเรื่องนี้

(๓) พระองค์สอนให้ถือผ้าบังสุกุลเป็นเครื่องใช้สอย ตลอดจนให้ถือเอาผ้าพันผีตายมาใช้นุ่งห่ม ก็เป็นเหตุให้ตัวเองนึกถึงเรื่องตายว่า การนุ่งห่มผ้าพันผีตายมีประโยชน์อะไรบ้าง ข้อนี้พอได้ความง่ายๆ คิดดูโดยหลักธรรมดาก็จะเห็นได้ว่า ของตายนั้นไม่มีใครต้องการอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือของตายเป็นของไม่มีพิษไม่มีโทษ

ในข้อนี้พอจะน้อมนึกตรึกตรองได้อยู่บ้าง ว่าพระองค์ได้สอนไม่ให้เป็นผู้ทะนงตัวในปัจจัยลาภ

(๔) พระองค์สอนให้บริโภคยารักษาโรคที่หาได้อย่างง่ายๆ เช่นให้ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า

คำสอนต่างๆ ของพระองค์ดังกล่าวมาข้างต้นนี้ เมื่อเราได้รับฟังเข้าแล้วเป็นเหตุให้เกิดความสนใจ แต่เมื่อสรุปแล้ว จะได้รับผลหรือไม่ได้รับผลก็ตาม แต่เรามีความเชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่าพระองค์ไม่ใช่บุคคลที่งมงาย เรื่องใดที่ไม่มีเหตุผลพระองค์คงไม่ทรงสั่งสอนเป็นอันขาด

ฉะนั้น จึงได้มาระลึกนึกคิดว่า ถ้าเราไม่เชื่อในคำสอนของพระองค์ เราก็ควรยอมรับนับถือตามโอวาท หรือถ้าเราไม่เชื่อความสามารถของผู้สอนเรา เราก็ควรทำตามไปก่อนโดยฐานะที่ทดลองดูเพื่อเป็นการรักษาสังฆประเพณี ระเบียบแบบแผนของผู้ที่เราเคารพนับถือกราบไหว้เอาไว้ก่อน

อีกประการหนึ่งได้ระลึกถึงคำพูดของพระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นผู้ถือเคร่งครัดในธุดงค์ เช่น ถือการอยู่ป่า ฉันอาหารแต่มื้อเดียว ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ท่านได้ขอปฏิบัติตัวของท่านอย่างนี้ตลอดชีพ ในเรื่องนี้พระองค์ได้ทรงซักถามพระมหากัสสปะว่า “ท่านเป็นผู้สิ้นอาสวะแล้ว ท่านขวนขวายเพื่อเหตุอะไร”

พระมหากัสสปะตอบว่า “ข้าพระองค์มุ่งประโยชน์ของกุลบุตรผู้จะเกิดตามมาสุดท้ายภายหลังไม่ได้มุ่งประโยชน์ส่วนตัว เมื่อข้าพระองค์ไม่ทำ จะเอาใครเป็นตัวอย่าง เพราะการสอนคนนั้นถ้ามีตัวอย่างสอนได้ง่าย เปรียบเสมือนการสอนภาษาหนังสือ เขาทำแบบหรือรูปภาพประกอบการสอน เป็นเหตุให้ผู้เรียน เรียนได้สะดวกขึ้นอีกมาก ถ้าพระองค์ประพฤติเช่นนี้ฉันใด ก็ฉันนั้น”

เมื่อได้ระลึกถึงคำพูดของพระมหากัสสปะ ซึ่งได้ทูลตอบพระบรมศาสดาเช่นนี้ ก็สงสารพระมหากัสสปะท่านอุตส่าห์ตรากตรำทรมาน ถ้าเปรียบในทางโลกท่านก็เป็นถึงมหาเศรษฐี ควรได้นอนที่นอนที่ดีๆ กินอาหารที่ประณีต ตรงกันข้ามท่านกลับสู้อุตส่าห์มาทนลำบากนอนกลางดิน กินกลางหญ้า ฉันอาหารก็ไม่ประณีต เปรียบเทียบกับตัวเราเสมอเพียงแค่นี้ จะมาหาแต่ความสุขใส่ตัวแค่อามิส ก็บังเกิดความละอายใจ สำหรับพระมหากัสสปะเวลานั้นท่านจะบริโภคอาหาร นั่ง นอน ในที่สวยงามเท่าไรก็ตาม ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ที่จะเป็นไปเพื่ออาสวะกิเลสเสียแล้ว แต่ว่าเป็นของไม่แปลก ท่านกลับเห็นประโยชน์ที่จะเกิดแก่บรรดาสานุศิษย์

ฉะนั้น เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นข้อสะกิดใจเรามานับตั้งแต่เริ่มบวชในครั้งแรก

เมื่อพูดถึงเรื่องการอยู่ป่า ก็เป็นของแปลกประหลาดเตือนใจเราอยู่มาก เช่น บางคราวได้มองเห็นความตายอย่างใกล้ชิด และได้รับคำเตือนใจหลายอย่าง บางคราวก็เกิดจากคนในป่า บางคราวก็เห็นพฤติการณ์ของสัตว์ในป่า สมัยหนึ่ง มีตาแก่ยายแก่สองคนผัวเมีย พากันไปตักน้ำมันยางในกลางดงใหญ่ เผอิญไปพบหมีใหญ่ตัวหนึ่ง ได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น เมียหนีขึ้นต้นไม้ทัน แล้วร้องตะโกนบอกผัวว่า “ถ้าสู้มันไม่ไหว ให้ลงนอนหงายนิ่งๆ ทำเหมือนคนตาย อย่ากระดุกกระดิก” ฝ่ายผัวพอได้ยินเมียร้องบอกดังนั้นก็ได้สติ แกจึงแกล้งล้มลงนอนแผ่ลงกลางพื้นดิน และนอนนิ่งๆ ไม่ไหวตัว เมื่อหมีเห็นดังนั้นก็ขึ้นคร่อมตัวตาแก่ไว้ ปล่อยมือปล่อยตีน ไม่ตะปบตาแก่อีก เป็นแต่มองดูตาแก่ที่กำลังนอนหงายอยู่นั้น ตาแก่ก็ได้แต่นอนบริกรรมภาวนาได้คำเดียวว่า “พุทโธ พุทโธ” พร้อมทั้งนึกในใจว่า “เราไม่ตาย” หมีก็ดึงขา ดึงศีรษะแกแล้วใช้ปากดันตัวแกทางซ้ายทางขวา แกก็ทำเป็นนอนตัวอ่อนไปอ่อนมาไม่ยอมฟื้น หมีเห็นดังนั้นก็คิดว่าตาแก่คงตายแล้ว มันจึงหนีไป ต่อจากนั้นสักครู่หนึ่งแกก็ลุกขึ้น เดินกลับบ้านกับเมีย บาดแผลที่แกได้รับคือหัวถลอกปอกเปิกแต่ไม่ตาย

แกก็สรุปให้ฟังว่า “สัตว์ป่าต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเห็นว่าจะสู้ไม่ไหว ต้องทำตัวเหมือนคนตาย” เมื่อเราได้ฟังแกเล่าแล้ว ก็ได้ความรู้ขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า คนตายไม่มีใครต้องการ เราอยู่ในป่าเราก็ควรทำตนเหมือนคนตาย ฉะนั้นใครจะว่าดีหรือชั่วประการใด เราต้องนิ่งสงบกาย วาจา ใจ จึงจะรอดตาย เป็นอุทาหรณ์เตือนใจได้อีกอย่างหนึ่งในทางธรรมะว่า “คนที่จะพ้นตาย ต้องทำตนเหมือนคนตาย” ก็เป็นมรณสติเตือนใจได้เป็นอย่างดี

อีกครั้งหนึ่ง ได้ไปพักอยู่ในดงใหญ่แห่งหนึ่ง วันหนึ่งเวลาเช้าสางๆ ได้พาลูกศิษย์ออกบิณฑบาต พอเดินผ่านดงไปได้ยินเสียงแม่ไก่ร้อง “กะต๊ากๆ” ฟังเสียงดูเป็นเสียงไก่แม่ลูกอ่อน เพราะเมื่อส่งเสียงร้องแล้วไม่ยอมบิน จึงให้ลูกศิษย์วิ่งไปดู แม่ไก่ตกใจก็บินข้ามต้นไม้สูงหนีไป เห็นลูกไก่วิ่งอยู่หลายตัว มันพากันวิ่งหนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในกองใบไม้ร่วง แล้วทุกตัวก็นิ่งเงียบ ไม่ยอมไหวตัวไม่ยอมกระดุกกระดิก แม้จะเอาไม้คุ้ยเขี่ยดู ก็ไม่ยอมกระดุกกระดิก เด็กลูกศิษย์ไปหาอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้พบลูกไก่เลยแม้แต่ตัวเดียว แต่เรานึกในใจว่ามันไม่ได้หนีไปไหน แต่มันทำตัวเหมือนใบไม้ร่วง ในที่สุดลูกไก่ตัวนิดๆ จับไม่ได้สักตัวเดียว เรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้นึกถึงสัญชาตญาณการป้องกันภัยของสัตว์ ว่ามันก็มีวิธีการที่ฉลาด มันทำตัวของมันให้สงบ ไม่มีเสียงในกองใบไม้ร่วง จึงได้เกิดการนึกเปรียบเทียบขึ้นในใจตนเองว่า “ถ้าเราอยู่ในป่า ทำจิตให้สงบไม่ไหวตัวเช่นเดียวกับลูกไก่ เราก็ต้องได้รับความปลอดภัย พ้นความตายแน่นอน” ก็เป็นคติเตือนใจได้อีกเรื่องหนึ่ง

นอกจากนี้ เมื่อนึกถึงธรรมชาติอื่นๆ เช่น ต้นไม้ เถาวัลย์ สัตว์ป่า แต่ละอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องปลุกใจได้เป็นอย่างดี เช่น เถาวัลย์บางชนิดพันต้นไม้ไม่มีเลี้ยวไปทิศทางอื่นต้องพันเลี้ยวไปทางทักษิณาวัตรเสมอ สังเกตเห็นเช่นนี้ก็มาระลึกถึงตัวหากเราจะทำจิตให้ก้าวไปสู่ความดีอันยิ่งยวด เราต้องเอาอย่างเถาวัลย์คือเดินทางทักษิณาวัตร เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า “กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง ปทักขิณัง” ฉะนั้น เราต้องทักษิณาวัตรคือ เวียนไปทางทักษิณเสมอ นั่นคือเราต่อสู้ทำตนให้เหนือกิเลสที่จะลุกลามใจ มิฉะนั้น เราก็สู้เถาวัลย์ไม่ได้ ต้นไม้บางชนิดมันแสดงความสงบให้เราเห็นด้วยตา ที่เราเรียกกันว่า “ต้นไม้นอน” ถึงเวลากลางคืนมันหุบใบ หุบก้าน เมื่อเราไปนอนอยู่ใต้พุ่มไม้ต้นนั้น จะมองเห็นดาวเดือนอย่างถนัดในเวลากลางคืน แต่พอถึงเวลากลางวันแผ่ก้านแผ่ใบมืดทึบอย่างนี้ก็มี เรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคติเตือนใจว่าขณะเรานั่งสมาธิหลับตาภาวนานั้น ให้หลับแต่ตา ส่วนใจเราต้องให้สว่างไสว เหมือนต้นไม้นอนในเวลากลางคืน ซึ่งใบไม้ไม่ปิดตาเรา

เมื่อระลึกนึกคิดได้อย่างนี้ ก็ได้แลเห็นประโยชน์ของการอยู่ป่า จิตใจก็เกิดความห้าวหาญ ธรรมะธรรมโมที่ได้เรียนมา หรือที่ยังไม่ได้เรียนรู้ ก็ได้ผุดมีขึ้นเพราะธรรมชาติเป็นผู้สอน จึงได้มานึกถึงหลักวิทยาศาสตร์ของโลก ที่ทุกประเทศพากันทำฤทธิ์ทำเดชต่างๆ นานา และทำได้อย่างสูงๆ น่ามหัศจรรย์ ล้วนแต่ไม่ปรากฏว่ามีตำราในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมาแต่ก่อน นักวิทยาศาสตร์พากันคิดได้จากหลักธรรมชาติ ซึ่งปรากฏมีอยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น เรามาหวนคิดถึงธรรมะก็มีอยู่ตามธรรมชาติเหมือนวิทยาศาสตร์นั่นเอง เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็หมดห่วงในเรื่องการเรียน แล้วมาระลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ล้วนแต่ได้เรียนสำเร็จจากหลักธรรมชาติทั้งนั้นไม่ปรากฏว่าเคยมีตำรับตำรามาแต่ก่อน

ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ตัวเราจึงยอมโง่ทางแบบและตำรา ต้นไม้บางชนิดมันนอนกลางคืน แต่ตื่นกลางวัน บางชนิดก็นอนกลางวันแต่ตื่นกลางคืน สัตว์ป่าก็เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังได้ความรู้จากพฤกษชาติ ซึ่งมันคลายรสในตัวของมันออก บางชนิดก็เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย บางชนิดก็เป็นโทษแก่ร่างกาย อาทิ เช่น บางคราวเราเป็นไข้ เมื่อเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้บางชนิด อาการไข้ก็หายไป บางคราวเราสบายดี แต่พอเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้บางชนิด ธาตุก็เกิดแปรปรวน บางคราวเราหิวข้าวหิวน้ำ แต่พอเข้าไปอยู่ใต้ต้นไม้บางชนิด อาการหิวเหล่านั้นก็หายไป การได้ความรู้ต่างๆ จากพฤกษชาติเช่นนี้ เป็นเหตุให้นึกถึงแพทย์แผนโบราณ ซึ่งนิยมสร้างรูปฤๅษีไว้เป็นที่เคารพบูชา ฤๅษีนั้นไม่เคยได้เรียนตำรายามาแต่ก่อน แต่มีความสามารถสอนแพทย์แผนโบราณให้รู้จักยารักษาโรคได้ โดยวิธีการเรียนธรรมชาติโดยทางจิตเหมือนอย่างตัวเรานี้เอง น้ำ พื้นแผ่นดิน หรืออากาศธาตุก็เช่นเดียวกัน

ฉะนั้น เมื่อทราบเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เราก็ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องยารักษาโรค คือเห็นว่ามันมีอยู่ทั่วไป ส่วนที่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ อันนั้นเป็นเรื่องของตัวเราเอง นอกจากนั้นยังมีคุณความดี อย่างอื่นที่จะต้องบริหารตัวเอง นั่นคืออำนาจแห่งดวงจิตที่สามารถทำให้สงบระงับลงได้อย่างไร ก็ยิ่งมีคุณภาพสูงขึ้นไปยิ่งกว่านี้อีกหลายสิบเท่า ซึ่งเรียกว่า “ธรรมโอสถ” สรุปแล้ว คุณประโยชน์ที่ได้รับในการอยู่ป่าที่สงัดเพื่อปฏิบัติทางจิตนี้ เห็นจริงตัดข้อสงสัยในคำสอนของพระตถาคตได้เป็นข้อๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงยอมปฏิบัติตนเพื่อ “วิปัสสนาธุระ” ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเนื้อที่ในการที่ได้ปฏิบัติทางจิตนี้ ถ้าจะนำมาพรรณนาก็มีอยู่มากมาย แค่จะขอกล่าวแค่เพียงสั้นๆ เสมอเพียงเท่านี้


(มีต่อ ๘)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
วิหารสุทธิธรรมรังสี ในปัจจุบัน ณ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เป็นอาคารจตุรมุข ๓ ชั้น ส่วนยอดของวิหารเป็นมณฑปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
ภายในวิหารฯ เป็นที่เก็บสรีระศพของพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)



มาบัดนี้จึงได้เริ่มสร้างวัดอโศการาม เพื่อให้เป็นหลักแหล่งของกุลบุตรกุลธิดาสืบต่อไป ในระหว่างอยู่วัดอโศการาม วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๓๐ พรรษา ก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในราชทินนามที่ “พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์” จึงได้ตั้งใจอยู่จำพรรษาในวัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ มาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒

ในพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๒ รู้สึกว่าอาการป่วยมารบกวน เริ่มป่วยตั้งแต่กลางพรรษา มานึกถึงการเจ็บป่วยของตัว บางวันบางเวลาก็เกิดความท้อถอยในการที่จะมีชีวิตอยู่คือไป บางวันก็รู้สึกว่าจิตใจขาดกระเด็นไปจากศิษย์ มุ่งไปแต่ลำพังตนคนเดียว มองเห็นที่วิเวกสงัดว่าเป็นบรมสุขอย่างเลิศในทางธรรมะ บางวัน บางเวลา อาการป่วยทุเลา บางวันก็ป่วยตลอดคืนแต่พอทนได้ มีอาการปวดเสียดในกระเพาะ มีอาการจับไข้วันหนึ่งเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ฉะนั้น เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้มาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า

ครั้งแรกได้มารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ จนถึงวันที่ ๕ เดือนเดียวกันก็กลับไปวัด เมื่อกลับไปวัดแล้ว อาการอาพาธชักกำเริบ พอถึงวันอังคารที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ก็ได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าอีกครั้งหนึ่ง อาการป่วยก็ค่อยทุเลาเบาบาง

อยู่มาวันหนึ่งมานอนนึกอยู่คนเดียวว่า เราเกิดมาก็ต้องการให้เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น แม้เราจะเกิดอยู่ในโลกที่มีการเจ็บป่วย ก็มุ่งทำประโยชน์ให้แก่โลกและพระศาสนาตลอดชาติ ทีนี้เราเจ็บป่วยเราก็อยากได้ประโยชน์อันเกิดจากการเจ็บป่วยในส่วนตนและคนอื่น ฉะนั้น จึงได้เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งมีใจความดังต่อไปนี้คือ

ห้องพิเศษ โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ
(โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า)

เรื่องอาหารของท่านพ่อนั้น ใครๆ อย่าได้ห่วงอาลัย ทางโรงพยาบาลมีทุกอย่างว่าจะต้องการอะไร ฉะนั้น ถ้าใครๆ หวังดีมีศรัทธาแล้ว ให้คิดค่ารถที่นำไปนั้นเสีย คิดค่าอาหารที่พวกเราจ่ายไปนั้นเสีย เอาเงินจำนวนนั้นๆ ไปทำบุญในทางอื่นจะดีกว่า เช่น หลวงพ่อใช้ยาของโรงพยาบาลไปเท่าไร เหลือจากท่านพ่อแล้วยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่อนาถาต่อไป ให้พากันคิดเช่นนั้นจะดีกว่ากระมัง และตึกที่ท่านพ่อพักอยู่นั้นเป็นตึกพิเศษ ยังมิได้เปิดรับคนป่วยเลย นายแพทย์ก็ให้เกียรติท่านพ่อเต็มที่ แม้มูลค่าบำรุง ๑ สตางค์ ไม่เคยพูดกันสักคำ

ฉะนั้น ผู้ใดหวังดีแก่ท่านพ่อ ควรนำไปคิดดูก็แล้วกัน ในที่สุดนี้ท่านพ่อจะสร้างเตียงไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ใครมีศรัทธาติดต่อท่านพ่อได้ หรือผู้อำนวยการและผู้ช่วยอำนวยการที่โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ

(ลงนาม) พระอาจารย์ลี


(หมายเหตุ โรงพยาบาลบุคคโล ทหารเรือ ได้รับอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมให้เปลี่ยนชื่อใหม่ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า หลังท่านพ่อเข้ามาพักรักษาตัว ๑ วัน ทั้งๆ ที่ทางโรงพยาบาลได้ขอเปลี่ยนชื่อนี้ไปเป็นเวลานานแล้ว)

เมื่อได้เขียนหนังสือดังกล่าว ได้นึกอยู่ในใจว่า อย่างน้อยควรได้มูลค่าปัจจัยในการช่วยเหลือโรงพยาบาลครั้งนี้จำนวน ๓ หมื่นบาท จึงได้ออกประกาศแจ้งความจำนงแก่บรรดาสานุศิษย์ ต่างคนต่างมีศรัทธาบริจาคร่วมกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ มีคนจังหวัดสมุทรปราการ มาเล่าให้ฟังที่โรงพยาบาล มีใจความ ๒ อย่างคือ

(๑) ได้เกิดมีรถยนต์ชนกัน มีคนตายอีกแถวโค้งมรณะบางปิ้ง
(๒) บางคนก็ว่ามีผีคอยหลอก แสดงให้ปรากฏต่างๆ นานา

เมื่อได้ทราบดังนี้ จึงได้คิดดำริทำบุญอุทิศกุศลให้คนตายด้วยอุปัทวเหตุทางรถยนต์บนถนนสายนี้ จึงได้ไปปรึกษาปลัดจังหวัดสมุทรปราการ และคณะศิษย์ ก็ตกลงกันว่าต้องทำบุญ ได้กำหนดการทำบุญกันขึ้น โดยเริ่มงานตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๐๒ มีการสวดมนต์เย็นที่ปะรำข้างถนนสุขุมวิท ใกล้ที่ทำงานของตอนการทางสมุทรปราการ จัดการผ้าป่า ๕๐ กอง มีคณะศิษย์ไปร่วมอนุโมทนา คราวนี้ได้เงินสมทบทุนช่วยโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรปราการทั้งสิ้น ๑๒,๖๐๐ บาทถ้วน (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยบาทถ้วน)

วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๒ ได้ถวายอาหารพระ ๕๐ รูป ทอดผ้าป่า ๕๐ กองเปลี่ยนชื่อโค้งใหม่ดังนี้

๑. ที่เรียกว่าโค้งโพธิ์แต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า “โค้งโพธิ์สัตว์”
๒. ที่เรียกว่าโค้งมรณะแต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า “โค้งปลอดภัย”
๓. ที่เรียกว่าโค้งมิได้แต่เดิมนั้น ให้ชื่อใหม่ว่า “โค้งชัยมงคล”

เมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้กลับมาโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่ายของวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๐๒ ก็ได้พักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาหลายวัน นายแพทย์และจ่าพยาบาลได้เอาใจใส่ศึกษาและให้ความสะดวกเป็นอย่างดี เช่น พลเรือจัตวาสนิท โปษกฤษณะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้เอาใจใส่มาก ทุกวันเวลาเช้ามืดได้นำอาหารมาถวายเป็นนิจ คอยปฏิบัติดูแลเหมือนกับลูกศิษย์

รูปภาพ
ครูบาศรีวิชัย


เขียนหนังสือชื่อ “คู่มือบรรเทาทุกข์”

ในระหว่างนี้ก็ได้คิดเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ชื่อว่า “คู่มือบรรเทาทุกข์” เพื่อแจกเป็นธรรมทาน ในการสร้างหนังสือนี้เราก็ไม่ได้รับความลำบาก มีลูกศิษย์รับจัดพิมพ์ช่วย ๒,๐๐๐ เล่ม คือ คุณนายละมัย อำนวยสงคราม ๑,๐๐๐ เล่ม และ ร.ท.อยุธ บุณยฤทธิรักษา ๑,๐๐๐ เล่ม รู้สึกว่าการคิดนึกของตนก็ได้เป็นไปตามสมควร เช่น ต้องการเงินบำรุงโรงพยาบาล มาถึงวันที่ได้ออกจากโรงพยาบาล คือ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๓ รวมเวลาอยู่ในโรงพยาบาล ๔๕ วัน ก็มียอดเงินประมาณ ๓๑,๕๓๕ บาท แสดงว่าเราเจ็บเราก็ได้ทำประโยชน์ แม้จะตายไปจากโลกนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าซากกเฬวรากที่เหลืออยู่ ก็อยากให้เกิดประโยชน์แก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่

ตัวอย่างที่เคยเห็นมา เช่น ครูบาศรีวิชัย ซึ่งชาวเมืองเหนือเคารพนับถือมาก ท่านได้ดำริสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง แต่ยังไม่สำเร็จก็ตายเสียก่อน ต่อจากนั้นได้มีคนเอาศพของท่านไปตั้งไว้ใกล้ๆ สะพาน ถ้าลูกศิษย์หรือพุทธบริษัทอื่นๆ ต้องการจะช่วยทำการฌาปนกิจศพท่าน ก็ขอให้ช่วยกันสร้างสะพานให้สำเร็จเสียก่อน ในที่สุดครูบาศรีวิชัยก็นอนเน่าทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้

ฉะนั้น ชีวิตความเป็นมาของตน ก็ได้คิดมุ่งอยู่อย่างนี้เรื่อยมา นับตั้งแต่ได้ออกปฏิบัติในทางวิปัสสนากรรมฐานมาแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๒ นี้ได้อบรมสั่งสอนหมู่คณะสานุศิษย์ในจังหวัดต่างๆ ได้สร้างสำนึกให้ความสะดวกแก่พุทธบริษัท เช่น จังหวัดจันทบุรี มี ๑๑ สำนัก การสร้างสำนักนี้มีอยู่ ๒ ทาง คือ

๑. เมื่อลูกศิษย์ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ยังไม่สมบูรณ์ก็ช่วยเป็นกำลังสนับสนุน

๒. เมื่อเพื่อนฝูงได้ดำริสร้างขึ้นยังไม่สำเร็จ บางแห่งก็ขาดพระ ก็ได้ส่งพระที่เป็นศิษย์ไปอยู่ประจำต่อไปก็มี บางสำนักครูบาอาจารย์ได้ไปผ่านและสร้างขึ้นไว้แต่กาลก่อน ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมและอบรมหมู่คณะเรื่อยมาจนบัดนี้ จังหวัดจันทบุรีมีสำนักปฏิบัติ ๑๑ แห่ง นครราชสีมามี ๒-๓ แห่ง ศรีสะเกษมี ๑ แห่ง สุรินทร์ก็มี เป็นเพื่อนกรรมฐานทั้งนั้น อุบลราชธานี มีหลายแห่ง นครพนม สกลนคร อุดรธานี ขอนแก่น เลย ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี ระยอง ตราด ลพบุรี ชัยนาท ตาก นครสวรรค์ พิษณุโลก เป็นวันที่ผ่านไปอบรมชั่วคราวไม่มีสำนัก สระบุรีมี ๑ แห่ง อุตรดิตถ์ก็เป็นจุดผ่าน ไปอบรมลำปาง เชียงราย เชียงใหม่ นครนายก นครปฐม ได้ผ่านไปอบรมชั่วคราว ยังไม่มีสานัก ราชบุรีได้ผ่านไปอบรม ยังไม่มีสำนัก เพชรบุรี มีพระเณรเพื่อนฝูงตั้งสานักไว้บ้าง ประจวบฯ ได้เริ่มสร้างสำนักที่อำเภอหัวหิน ชุมพร มีสำนักอยู่ ๒-๓ แห่ง สุราษฎร์ธานีผ่านไปอบรมชั่วคราว ไม่มีสำนัก นครศรีธรรมราชก็ผ่านไปอบรมมีสำนักขึ้นก็รกร้างไป พัทลุงมีศิษย์ผ่านไปอบรมยังไม่มีสำนัก สงขลามีสำนักที่วิเวกหลายแห่ง ยะลามีศิษย์ไปเริ่มอบรมไว้เป็นพื้นที่และได้เคยไปอบรม ๒ ครั้ง ระหว่างออกพรรษาได้สัญจรไปเยี่ยมศิษย์เก่าๆ ของครูบาอาจารย์ที่เคยไปพักผ่อนมาแล้ว ก็ได้ไปอยู่เสมอมิได้ขาด

บางคราวก็ได้หลบหลีกไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนตัวบ้าง นับตั้งแต่ได้อุปสมบทมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่มาสวดญัตติใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จำเดิมแต่นั้นมา ปีแรกที่ได้สวดญัตติแล้วได้จำพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี ๖ พรรษา มาจำพรรษาที่วัดสระปทุม พระนคร ๓ พรรษา ไปจำพรรษาที่จังหวัดเชียงใหม่ ๒ พรรษา จำพรรษาที่จังหวัดนครราชสีมา ๒ พรรษา จังหวัดปราจีนบุรี ๑ พรรษา มาสร้างสำนักที่จันทบุรี จำพรรษาอยู่ ๑๔ พรรษา ต่อจากนั้นไปจำพรรษาที่ประเทศอินเคย ๑ พรรษา กลับจากประเทศอินเดียผ่านประเทศพม่า ไปจำพรรษาที่วัดควนมีด จังหวัดสงขลา ๑ พรรษา จากนั้นได้จำพรรษาที่วัดบรมนิวาส ๓ พรรษา ครั้นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) มรณภาพแล้ว ได้ออกไปจำพรรษาอยู่วัดอโศการาม ๔ พรรษา พรรษาที่ ๔ นี้ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๕๐๒

เวลาที่ได้เขียนประวัติขึ้นนี้ กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล สมเด็จพระปิ่นเกล้าธนบุรี

เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. ท่านได้ทิ้งขันธ์จากศิษยานุศิษย์ของท่านไป ณ วัดอโศการาม สิริอายุรวมได้ ๕๕ ปี ๓ เดือน พรรษา ๓๓

รูปภาพ
“พระธุตังคเจดีย์” เจดีย์แห่งพระอรหันต์ ในปัจจุบัน ณ วัดอโศการาม
เป็นเจดีย์หมู่รวม ๑๓ องค์ อันเป็นที่ระลึกถึงธุดงควัตร ๑๓ ประการ
ซึ่งเจดีย์แต่ละองค์ได้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้


รูปภาพ
รูปเหมือนท่านพ่อลี ธมฺมธโร ประดิษฐาน ณ พระธุตังคเจดีย์ วัดอโศการาม



.............................................................

:b8: รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
(๑) หนังสือชีวประวัติพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
โดยมี ดิเรก มณีรัตน์ เป็นผู้บันทึก
http://www.dharma-gateway.com
(๒) หนังสือพระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สรีระสังขาร “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร” หลังท่านได้มรณภาพอย่างสงบ
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น.
ณ กุฏิของท่าน วัดอโศการาม สิริอายุรวมได้ ๕๕ ปี พรรษา ๓๓


รูปภาพ
จากซ้าย : พระโสภณคุณาธาร (หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ),
พระวิจิตรธรรมภาณี (หลวงปู่สิงห์ สุขปญฺโญ),
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต)
และพระครูญาณวิศิษฏ์ (ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก)
บันทึกภาพร่วมกันในงานบำเพ็ญกุศลศพและสวดมนต์อุทิศถวาย
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
ณ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


:b42: -------------------- :b42:

หลังจาก “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร” ได้มรณภาพลงอย่างสงบ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
วัดมกุฏกษัตริยาราม ราชวรวิหาร
มีบัญชาให้เก็บสรีระสังขารของท่านพ่อลีไว้ ยังไม่ให้ถวายเพลิง

เอาอย่าง “ท่านพระมหากัสสปเถระ”
ที่ในวันหนึ่งในอนาคตกาลจะมีพระศรีอริยเมตไตรย
มาถวายเพลิงสรีระสังขารพระมหากัสสปเถระอย่างสมศักดิ์ศรี


ในเวลาที่พระมหากัสสปเถระจักนิพพาน
พระเถระได้เข้าไปอยู่ในระหว่างภูเขา ๓ ลูกที่เมืองฮ่อ
(สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในประเทศจีน)
ภูเขา ๓ ลูกนั้นได้ประชุมรวมกันเข้าเป็นลูกเดียว
ปกปิดกำบังร่างของพระเถระเพื่อมิให้ปรากฏแก่มหาชนทั้งหลาย
ต่อเมื่อในอนาคต พระศรีอริยเมตไตรยได้เสด็จลงมา
ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกแล้ว
พระองค์ก็จะนำเอาร่างของพระมหากัสสปเถระ
ยกขึ้นไว้บนฝ่าพระหัตถ์เบื้องขวา
ชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระ
แล้วเตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่าน
บนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้านั้น


เนื่องจากเวรกรรมที่ท่านทั้งสองได้เคยทำต่อกันในอดีตชาติ
เมื่อคราวที่พระศรีอริยเมตไตรยเกิดเป็นนายควาญช้าง
และพระมหากัสสปเถระเกิดเป็นพญาช้างเผือก
อดีตชาติในครั้งนั้น “นายควาญช้างได้สั่งให้พญาช้างเผือก
เอางวงอุ้มเหล็กแดงเอาไว้เพื่อเป็นการลงโทษ
ที่พญาช้างเผือกวิ่งหนีเข้าป่าติดตามกลิ่นสาปของนางช้าง
พญาช้างเผือกได้รับความเจ็บปวดจากแท่งเหล็กนั้น
จนกระทั่งล้มตายในที่สุด สรุปคติธรรมที่ได้จากเรื่องนี้คือ
ราคะนี้มีความเผ็ดร้อนทารุณยิ่งกว่าไฟ
มีพิษร้ายยิ่งกว่าพิษของพญานาค”


นัยของท่านพ่อลีก็ขอให้เอาเยี่ยงอย่างนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า
“ผู้มีบุญกรรมที่เกี่ยวข้องกับท่านในวันข้างหน้า
จะได้มาถวายเพลิงสรีระร่างของท่านอย่างสมศักดิ์ศรี
ที่เป็นอัศวินนักรบธรรมกรรมฐานผู้มีพลังจิตแก่กล้า
สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต”


พร้อมนี้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านยังมีบัญชาอีกว่า
ให้บำเพ็ญกุศลและสวดมนต์อุทิศถวายท่านพ่อลีทุกคืน
บรรดาบรรพชิตซึ่งเป็นคณะศิษยานุศิษย์ของท่านพ่อลี
ก็ได้ปฏิบัติตามบัญชามาโดยตลอด
และคณะทายกทายิกาได้ทำบุญอุทิศถึงด้วยความเคารพ
จุดธูปเทียนบูชาด้วยความศรัทธาเลื่อมใส


ต่อมาระยะหนึ่ง บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้ใหญ่ทางฆราวาส
ปรารภจะทำฌาปนกิจศพของท่านพ่อลีด้วยว่าพระกรรมฐานไม่เก็บศพไว้นาน
และอีกฝ่ายหนึ่งปรารภจะเก็บไว้บูชาสักการะให้เป็นที่อบอุ่นอยู่ตลอดไป

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีเสียงขึ้นเป็น ๒ เสียง ๒ ฝ่าย
เสียงฝ่ายหนึ่งจะทำฌาปนกิจศพของท่าน
อีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่ควรทำ ควรเก็บไว้อย่างนี้
เป็นเหตุให้มีการประชุมใหญ่ของบรรดาศิษยานุศิษย์
ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ลงคะแนนเอาเสียงข้างมาก

ก็ปรากฏว่าเสียงที่ไม่ให้ทำการฌาปนกิจศพเป็นเสียงข้างมาก
เนื่องด้วยชาวจันทบุรีที่เลื่อมใสท่านพ่อลี
พากันแห่มาออกเสียงเป็นจำนวนนับหมื่นคน
สรุปคือไม่ได้ถวายเพลิง
จึงได้เก็บสรีระสังขารท่านไว้ตลอดมาจนทุกวันนี้
โดยอัญเชิญไว้ในโลงทอง ณ วิหารสุทธิธรรมรังสี วัดอโศการาม


เป็นที่น่าอัศจรรย์ !! ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ดอกไม้บูชาท่านพ่อลีไม่เคยเหี่ยวแห้ง
เพราะมีผู้คนนำดอกไม้มากราบไหว้บูชาท่านไม่เคยขาด
เสียงสวดมนต์ปฏิบัติบูชาจากสานุศิษย์
ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึง ๔ ทุ่มของทุกวัน ดังกึกก้องมาไม่รู้จบ
วันมรณภาพเวียนมาบรรจบประชาชนจะหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
พระกรรมฐานมารวมกันในคราวจำเป็นในข้อธรรมวินัย ณ วัดอโศการาม
ซึ่งมีพระธุตังคเจดีย์อันยิ่งใหญ่ได้ปรากฏมาจนกระทั่งทุกวันนี้

นี่คือท่านพ่อลี ที่รักเคารพบูชาอย่างหาที่สุดมิได้
สายธารธรรมหลั่งไหลไปไม่มีวันหยุด
สายน้ำแห่งคุณงามความดีของท่านแผ่ซึมซับไปโดยทั่ว
ท่านคือพระผู้รุ่งเรืองด้วยเดช ด้วยยศ
และเป็นพระผู้สละโลกได้อย่างสิ้นเชิง
สมศักดิ์ศรีเป็นพุทธสาวกที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้ว่า
ในยุคกึ่งพุทธกาลพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิ
อันเป็นดินแดนสุดท้ายที่ยังมีท่านผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์


นับเป็นบุญของพวกเราชาวไทยจริงๆ ที่ผืนแผ่นดินแห่งนี้มีสิ่งอันเป็นมิ่งมงคล
เรามีทั้งพระพุทธศาสนา มีพระผู้แกร่งกล้า คือ
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล, ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต,
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร และหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ฯลฯ
ตลอดจนมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี ป.ธ.๙)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=20007

:b8: :b8: :b8: คัดลอกและปรับปรุงเนื้อหามาจาก...
หนังสือ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42731

:b42: -------------------- :b42:

• รวมคำสอน “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38679

• “พระธุตังคเจดีย์-วัดอโศการาม-ท่านพ่อลี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42731

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 49

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ขออนุโมทนากับข้อมูลดีดีนะค่ะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2011, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆ ขอบพระคุณค่ะ

อัศจรรย์จริงหนอ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร