วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 13344 ครั้ง ]
tongue ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร?

จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และรู้ได้อย่างไร?
:b8:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 10:00, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 08:25
โพสต์: 19

อายุ: 0
ที่อยู่: เชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร? - กะคือวิญญาณ

จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? - อารมภายนอก มากระทบวัตถุภายใน จึงเกิด

รู้ได้อย่างไร? - รู้ด้วยสติที่ประกอบด้วย อริยสัจ4


:b8: โมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




meditation_05.jpg
meditation_05.jpg [ 55.13 KiB | เปิดดู 13249 ครั้ง ]
.bmp
.bmp [ 352.18 KiB | เปิดดู 13214 ครั้ง ]
ทำฌาณ4ให้ได้ก่อนเถิด แล้วสติก็จะกลั่น(บริสุทธิ์)กล้าตามฌาณจิตไปด้วย :b8: อย่างอื่นยังไกลอยู่...ไม่มีฌาณ บริสุทธฺ์สูงๆ สติปัฏฐาน4 ก็เพียงลูบๆคลำๆ

เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายใน...


จะเห็นจิตต้องกล่าวเห็น


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 12:22, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




8path.gif
8path.gif [ 103.1 KiB | เปิดดู 13236 ครั้ง ]
ladyectiouc00102.jpg
ladyectiouc00102.jpg [ 32.27 KiB | เปิดดู 13235 ครั้ง ]
.jpg
.jpg [ 4.94 KiB | เปิดดู 13218 ครั้ง ]
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:


สัตว์ไปเกิดมาเกิดได้อย่างไร?
จุดกำเนิดธาตุธรรมเดิมอยู่ที่ไหน? ๆลๆ


สวัสดี :b8: smiley


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 12:18, แก้ไขแล้ว 7 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




3733499268_f1dfd0a32c.jpeg
3733499268_f1dfd0a32c.jpeg [ 87.42 KiB | เปิดดู 13201 ครั้ง ]
หลับอยุ่ เขียน:
ทำฌาณ4ให้ได้ก่อนเถิด แล้วสติก็จะกลั่น(บริสุทธิ์)กล้าตามฌาณจิตไปด้วย :b8: อย่างอื่นยังไกลอยู่...

เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายใน...


tongue ถ้าทำฌาณ 4 ให้เกิด แล้วตัวรู้จะรู้ตามจริงได้เอง(โดยอัตโนมัติ)จากผัสสะที่เกิดนั้นๆ
โดยที่เราไม่ต้องตามดูจิต กล่าวเช่นนี้ได้มั๊ยค่ะ

ถ้าหากฌาณ 4 เสื่อม ตัวรู้ จะเสื่อมตามมั๊ยค่ะ
:b8: :b8:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 08:25
โพสต์: 19

อายุ: 0
ที่อยู่: เชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


:b25:
รออ่าน

cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยย่อ

ก็คือคำว่า "จิต" ในปรมัตถธรรม 4 (รูป เจตสิก จิต และนิพพาน)
คุณลองค้นหาในรายละเอียดเอาได้ว่า จิตคืออะไร มีหน้าที่อะไร คุณสมบัติเป้นอย่างไร

ปกติเรามีผู้รู้กันอยู่แล้วทุกคน
สัตว์ทั้งหมด ตั้งแต่นรกขุมต่ำสุด จนถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด มีจิตกันทุกผู้ทุกนาม

เพราะมีจิต ถึงเวียนว่าย
ถ้าไม่มีจิต ก็เช่น ก้อนหินดินทราย
ซึ่งไม่มีจิต มีแต่รูปธรรม ก็ไม่ต้องเวียนว่ายด้วยกรรม


ปกติผู้รู้ของเรา มีกำลังอ่อน ไม่สามารถรู้ว่าตัวเองนั้นเป้นอิสระได้
ถูกอำพรางว่าตนนั้นเป้นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งต่างๆ
คำว่าสิ่งต่างๆ ก้คือสังโยชน์ 10 ประการ

เช่นสังโยชน์ข้อแรก ชื่อ สักกายทิฐิ คือความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา
พระพุทธเจ้าท่านว่า ร่างกายไม่ใช่เรา
เราก็พยักหน้าหงึกๆ แต่เอาเข้าจริงๆ เราก้เห้นว่ามันเป้นของเราอยู่ดี
มี"ตัวตนถาวร"อันหนึ่ง เป้นผู้รู้ร้อนรู้หนาว ดีใจเสียใจ จดจำคิดครวญ

ลองมองดูเก้าอี้ ถ้ามีคนมาบอกว่า เก้าอี้พวกนี้ไม่ใช่เรา
อันนี้เราพยักหน้ารับว่าจริง อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเก้าอี้ไม่ใช่เรา
ไม่ได้เป้นส่วนหนึ่งของเรา

แต่ให้ลองดูร่างกายตนเอง ยกย่างยืนเดิน
ความรู้สึกของเรามันไม่มีคราวใดเลยที่บอกว่านี่ไม่ใช่เรา
มันบอกแต่ว่านี่เราๆ เรายก เราย่าง เราเดิน
เรากิน เรานอน เราโกรธ เราเสียใจ เราดีใจ เรามีความสุข ฯลฯ

เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด
คนทั่วไป ไม่มีใครเลยที่เห้นว่าร่างกายนี้เป้นอื่น ไม่ใช่เรา


(ในเบื้องต้น ขอพูดเฉพาะขอบเขตของรูป)
ผู้รู้ ก้คือ จิตที่ได้สัมผัสเห็นถึงความเป้นอิสระของจิตที่ไม่ได้เป้นเนื้อเดียวกันกับกาย
อย่างนี้เรียกว่า ตั้งมั่นขึ้นมารู้กาย
จะมีความรู้เห้นขึ้นมาเลยว่า มี"เรา" อยู่ใน"ร่างกาย" เหมือนผีตัวเอง สิงตัวเองอยู่
คือจำกัดวงเข้ามา จากเดิมที่คำว่า"เรา" หมายถึงเราตามปกติ
ที่ทุกวันทุกคืนเราก้คือตัวเราที่เป้นอันหนึ่งอันเดียวกับร่างกาย

แต่ตอนที่ผู้รู้ตั้งมั่นขึ้นมาได้ คำว่า"เรา" จะไม่เป้นอันหนึ่งอันเดียวกับร่างกาย
นี่คือสภาพของผู้รู้ ไม่ได้มีความวิเศษณ์อะไรกว่านี้
คือรู้ว่า แท้จริงแล้วตัวเองเป็นอิสระจากกาย
(ที่จริงยังมีอีก 9 อย่าง ที่เราสามารถเป้นอิสระจากมันได้ ดุใน สัังโยชน์ทั้ง 10)

การทำผู้รู้ให้ตั้งมั่น ก็มีคำตอบเดียว คือการเพียรทำสัมมาสมาธิ
ก้คือสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
เป้นสิง่ที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งยง

ผมคิดว่าคุณควรลองศึกษาหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ให้มากๆก่อน
ในความเห็นผม ท่านสอนเรื่องสมาธิได้ดีที่สุดสำหรับ beginner
แล้วเมื่อไปศึกษาครุบาอาจารยืท่านอื่นๆ ก้จะเข้าใจง่ายขึ้น
และเห็นความเชื่อมโยงเป้นอันหนึ่งอันเดียวกันของคำสอนตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา
จนถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านอื่น

คร่าวๆเท่านี้ ลองศึกษาดูครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้ คืออะไร..?? คือ จิตที่ผสมอยู่กับสติ จิตที่มีสติ สติระลึก มีสัมปชัญญะเกิดร่วมกับจิตทำงานร่วมกันอยู่ เป็นผู้รู้ รู้สภาวะอยู่
ตัวอย่างเช่น.....กายเคลื่อนไหว -แล้วก็มีผู้รู้ไปดูความเคลื่อนไหว เท่ากับว่า ความเคลื่อนไหวก็อันหนึ่ง ตัวผู้รู้ก็อันหนึ่ง..
จะต้องระลึกรู้ทั้ง สองอันในขณะนั้นๆ(เป็นสภาพธรรม ต้องฝึกหัดบ่อยๆ)
สติที่เกิดขึ้นมาทีหลังก็เป็นผู้รู้เหมือนกัน แต่มันไปรู้ผู้รู้ ขณะหนึ่งไปรู้ความไหว ขณะหนึ่งไปรู้ตัวผู้รู้ รู้ตัวมันเองแต่คนละขณะ ผู้รู้อันใหม่มารู้ผู้รู้เมื่อกี้นี้
รวมความแล้ว...ปัญญา พิจารณาเห็สภาวะความเป็นจริง เห็นแจ้ง รู้แจ้ง แต่ปัญญาก็สักแต่ว่าเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นแก่นสาร ความเป็นตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ผู้รู้ ที่เป็นจิตประกอบไปด้วยสติปัญญาก็สักแต่ว่าเป็นธรรมชาติ รู้ แล้วก็หายไป หมดไป รู้ หมดไป หมดไป สิ่งที่เกิดแล้วหมดไป จะหามีตัวตนที่ไหนก็ไม่ ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นตัวตน.

ขอทุกท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป เทอญ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 16:58
โพสต์: 6

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้ก็คือผู้ไม่หลง หรือจิตที่แยกตัวออกมาจากอารมณ์ทั้งหลาย มีสัมปชัญญะ มีสติ เป็นธรรมชาติรู้ที่ทำหน้าที่รู้ที่ไม่ใช่คิด ในอารมณ์ทั้งหลายตามที่มันเป็น
ทำให้เกิดขึ้นได้ โดยการสังเกตุ และการทำสัมมาสมาธิ
การสังเกตุอย่างง่ายก็ ให้รู้สึกลงไปที่กายก่อนก็ได้ให้สังเกตูดูว่ากายนี้เป็นสิ่งที่ถูกรู้สึกอยู่หรือเปล่าเป็นสิ่งที่ถูกรู้ไหม หรือสังเกตุที่อารมณ์ภายในพวกความคิด ความสุข ความทุกข์ ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้สึกว่ามันมีอยู่หรือเปล่า ถ้าเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้อยู่ก็จะรู้จัก ผู้รู้ เอง
หรือทำสมถกรรมฐาน โดยรู้อารมณ์เดียวไปเรื่อยๆด้วยความตื่นรู้สบายๆ เมื่อมันจับอารมณ์ได้บ่อยขึ้นอารมณ์อื่นก็จะหายไปเอง พอทำไปเรื่อยๆ มันจะวางอารมณ์ที่เรารู้อันเดียวนั้นด้วย เกิดความตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ สั้นก็เท่านนี้นะแต่ต้องหมั่นประพฤติบ่อยๆอย่าขี้เกียจเท่านั้นเอง :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบตามความเห็น และตามที่คำเหล่านี้ควรจะเป็น ดังนี้

ถาม : "ตัวรู้, ผู้รู้, ธาตุรู้" คืออะไร?

แก้ว่า :

"จิต" คือ ตัวรู้... ไม่ใช่มี "เรา" ไปรู้
"จิต" คือ ผู้รู้..... ไม่ใช่มี "เรา" เป็นผู้รู้
"จิต" คือ ธาตุรู้.. ไม่ใช่มี "เรา" เป็นธาตุรู้


ถาม : ทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร และรู้ได้อย่างไร?

แก้ว่า : ทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการหมั่นเจริญ "สติ" กับ "สัมปชัญญะ" ควบคู่กันไป โดยหมั่นระลึกรู้ด้วย "สติ" ที่กาย - เวทนา - จิต - ธรรมต่างๆ เมื่อระลึกรู้สิ่งใดแล้ว ให้มี "สัมปชัญญะ" คือ รู้สึกตัวเป็นตัวปัญญา โดยพิจารณาลงไปว่าสิ่งที่ถูกรู้เป็นรูปหรือเป็นนาม สิ่งที่ไปรู้อยู่เป็นจิตเป็นนามธรรมเหมือนกัน เพียรกระทำอยู่เนื่องๆ บ่อยๆ ก็จะรู้ จะเห็นได้เองว่าสิ่งที่ถูกรู้ คือ รูปกับนามเท่านั้น และสิ่งที่ไปรู้ก็เป็นจิตอันเป็นนามธรรมไปรู้ ไม่ใช่มีเรา เป็นเรา เป็นอัตตาของเราเข้าไปรู้ครับ

ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
tongue ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร?

จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และรู้ได้อย่างไร?
:b8:


ตัวรู้ กับ ธาตุรู้ ควรจะเป็นสิ่งเดียวกัน

แต่ "ผู้รู้" ต้องแยกออกไป เพราะคำว่า ผู้รู้ หมายถึงตัวบุคคล ไม่ได้หมายถึง ส่วนใดส่วนหนึ่ง

ตัวรู้ กับ ธาตูรู้ หากจะให้ความหมาย ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก ย่อมมีควาหมายดังนี้

"ตัวรู้ ก็คือ จิต "
" ธาตุรู้ ก็คือ สิ่งที่ทรงสภาวะหรือสภาพของตัวมัน อยู่เอง ตามธรรมดาของเหตุและปัจจัย หรือ หากจะกล่าวในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือ สิ่งที่มีรูปร่าง หรือสิ่งที่ตั้งอยู่ได้ ด้วยตัวมันเอง ตามธรรมดาของเหตุและปัจจัย(สิ่งที่ทำให้เกิดผล เป็นหนทางที่ทำให้เกิดผล)

"จิต" หมายถึง ธรรมชาติรู้อารมณ์ คือ รู้ที่เป็น กุศลจิตบ้าง รู้สิ่งที่เป็นอกุศลจิตบ้าง อันสัมพันธ์กับ วิญญาณ คือ ความรับรู้ เมื่ออายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก

จะทำให้เกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยปัจจัยประกอบอย่างครบถ้วน อันได้แก่ รูป,เวทนา,สัญญา,สังขาร,จิตวิญญาณ เมื่อมีปัจจัยประกอบครบถ้วนแล้ว ยังต้องอาศัย เจตสิก คือ ความรู้หรือธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต อันเกิดจากการได้รับการขัดเกลา ฯ,เรียนรู้ และยังต้องอาศัย ความมีสมาธิ เป็นปัจจัยสำคัญในอันที่จะทำให้เกิด สติสัมปชัญญะ เพื่อจักระลึกถึงความรู้ หรือธรรมที่ประกอบอยู่ในจิต ซึ่ง จิต ก็ย่อมประกอบอยู่ใน รูป,เวทนา,สัญญา สังขาร ฉะนี้
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
เขียนเมื่อ 25 มีนาคม 2553


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีแต่ตัวรู้เต็มไปหมดเลย

ไม่มีใครไม่รู้เลย

แล้วตกลงใคร รู้ ตัว ผู้ใครกัน :b5:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 22:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
tongue ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร?
.
.


ธาตุรู้..เป็นคุณสมบัติดั้งเดิม..หนึ่ง.ใน...ห้า...ของจิตประภัสสร..
หรือจะเรียกว่า..ความสามารถของจิตก็ได้..ได้แก่

วิญญาณธาตุ..หรือ..ธาตุรู้..มีหน้าที่..คือรู้
เวทนาธาตุ..มีหน้าที่.รู้สึก
สังขารธาตุ..หน้าที่คือ..คิด
สัญญาธาตุ..หน้าที่คือ..จำ
อภิชฌา..เป็นความสามารถ..ส่งพลังงาน..รับพลังงาน..ทำให้สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของจิตอื่นได้..และอื่น ๆ อีก

แม้กระทั้งเกิดรูปนามคือสิ่งมีชีวิต..คุณสมบัติเหล่านี้..ก็ยังปรากฏอยู่ในรูปนามที่เรียกว่า..นามขันธ์ .คือเปลี่ยนจากธาตุ..มาเป็นขันธ์..ยกเว้ณอภิชฌาที่ไปอยู่รวมกับวิญญาณขันธ์

ส่วน..ผู้รู้..คือจิต..ที่มีธาตุรู้รวมอยู่ในนั้นด้วย


อ้างคำพูด:
จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? :b8:


จะเรียกว่า..ทำให้เกิด..ก็ไม่ค่อยจะถูกนัก..เพราะมันมีอยู่แล้ว..และจะปรากฏให้เห็นอยู่ทุกขณะ..ทุกขณะเมื่อมีผัสสะ..เกิดวิญญาณ..(การรู้คือการปรากฏขึ้นของวิญญาณ)..นั้นแหละ..

ส่วนใหญ่..ไม่มีใครเห็น..เพราะตาใจที่รับธรรมารมณ์..มันไม่ค่อยได้ถูกใช้เพราะอวิชชา..ตาใจจึงเสื่อม..อย่าง..ใจลอย..ก็คืออาการหยาบ ๆ ของอาการเสื่อมแห่งตาใจ..หรือที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า..ไม่รู้ลงในปัจจุบัน..

แต่การทำให้มันรู้..ตามความเป็นจริงนี้ซิ..ปัญหา

ทุกวันนี้มันก็รู้..แต่รู้ผิด..ที่เรียกอีกอย่างว่า..หลง..นั้นแหละ..เพราะมันรู้แค่ระดับเวทนาขันธ์..(รู้แค่สุขเวทนา..ทุกข์เวทนา)..
หยั่งลงไม่ลึกเกินไปกว่า..เวทนา..จึง..หลงในเวทนา..คิดว่าเวทนานั้น ๆ เป็นของจริง..

เมื่อยึดถือในเวทนา..จึงเกิดตัณหา..แล้วมายึดมั่นในตัณหาจึงเกิดอุปาทาน..จนเกิดภพเกิดชาติอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น..

อ้างคำพูด:
และรู้ได้อย่างไร? :b8:

ในตอนแรก ๆ จึงต้องคอยบอกคอยสอนมัน..(วิปัสสนากรรมฐาน)..จนมันรู้ด้วยตัวของมันเอง..(ปัญญาอัตโนมัต)..ถึงจะเรียกว่า..รู้..ของจริง


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 22:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ทำฌาณ4ให้ได้ก่อนเถิด แล้วสติก็จะกลั่น(บริสุทธิ์)กล้าตามฌาณจิตไปด้วย :b8: อย่างอื่นยังไกลอยู่...ไม่มีฌาณ บริสุทธฺ์สูงๆ สติปัฏฐาน4 ก็เพียงลูบๆคลำๆ

เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายใน...


จะเห็นจิตต้องกล่าวเห็น



อ้างคำพูด:
เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายใน...


ท่านหลับอยู่ธรรมเอกผุดขึ้นไม่ได้เกิดจากฌาน 4 นะงับ


เกิดจากความรู้จริงของจิต อย่าอ้างแบบลอยๆมาตำราสิงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามสบาย :b30:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร