วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 09:31
โพสต์: 292

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งไม่อยากคิด ยิ่งคิดใช่มั้ยค่ะ บอกตัวเองว่าให้เลิกคิดถึง แต่มันก็ยังคิดถึงอยู่ดี...
ดิฉันเองก็เลยตั้งหน้าตั้งตาคิดๆๆๆๆๆๆๆ....จะคิดถึงแต่เขาละ ทีนี้พอตั้งใจคิดถึงจริงๆจัง มันก็ไปคิดเรื่องอื่น ไปคิดอย่างอื่น ตอนนี้อยากคิดถึงเหมือนเมื่อก่อน อยากร้องไห้เหมือนเมื่อก่อน ก็ทำไม่ค่อยได้แล้ว สิ่งที่เคยเกิดขึ้น เคยตั้งอยู่ มันเริ่มจะดับไปแล้วค่ะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกับความคิดถึงหรือไม่คิดถึงนี้หรอกค่ะ เพราะมันจะค่อยๆหายไปเอง ยิ่งแวะเวียนมาลานธรรมจักรแห่งนี้บ่อยๆรับรองค่ะ หายชัวร์... :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

เห็นบางคนบอกว่าการเพ่งกสิณก็ช่วยได้ ก็เลยอยากจะเพิ่มเติมสักเล็กน้อยนะครับ ซึ่งถ้าทำให้ผิดอกผิดใจกระผมต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ย้อนกลับไปตอนที่พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้ไปศึกษาการทำสมาธิกับอุทกดาบส กับ
อาฬารดาบส พระพุทธองค์ได้สำเร็จ ฌาณ ๘ แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงบอกว่านี่ยังไม่ใช่ทางแห่งการหลุดพ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่า พระพุทธองค์พบว่าในขณะที่ทำสมาธิอยู่นั้นก็มีความสุข แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้วนั้น ทุกข์ของความเป็นอยู่ก็ยังมีอยู่ ถ้าจะให้เปรียบเหมือนดังกอหญ้าที่โดนก้อนหินทับไว้ เมื่อเอาก้อนหินออกกอหญ้าก็สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ ผมจึงเอาความคิดตรงนี้มาใช้ตอบว่า
ลำพังกสิณนั้นก็ไม่สามารถทำให้ตนหลุดแห่งบ่วงรักได้ พระพุทธองค์บอกว่าการที่เราจะหลุดพ้นจากทุกข์นั้นเราต้องรู้จักความทุกข์เสียก่อน ซึ่งการจะรู้จักกับความทุกข์นั้นเราต้องมีปัญญญา คือ รู้เหตุแห่งทุกข์นั้นเสียก่อน ซึ่งในที่นี้เราใช้สมาธิเป็นตัวปิดกั้นความฟุ้งซ่านเสียก่อน คือ
เหมือนเอาก้อนหินมาทับกอหญ้าไว้ แล้วจึงค่อยนำมาถอนรากถอนโคน คือ การพิจารณาโดยปัญญาเพื่อสืบหาสาเหตุต้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วจึงแก้ไขในความทุกขืนั้นๆไป

สรุปใจความก็คือ สมาธินั้นเป็นเพียงตัวเล็งไปที่ปัญญา แต่ไม่ใช่ตัวที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์เช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้วการเพ่งกสิณก็จะสามารถบำบัดทุกข์ได้เฉพาะในช่วงที่ยังดำรงอยู่ในการบำเพ็ญกสิณ
จึงอยากให้เข้าใจใหม่ว่า การที่จะพ้นทุกข์ได้แท้จริงนั้น เราต้องรู้จักกับทุกข์ คือ เราต้องเห็นทุกข์ในกองทุกข์ก่อนแล้วจึงค่อยพ้นจากทุกข์ได้

ผิดพลาดประการใดกระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

จิตคนเรามีดวงเดียว
เกิดดับตลอดเวลา
เดี๋ยวคิดถึง เดี๋ยวไม่คิดถึง
คิดถึงแล้วไง ไม่คิดถึงแล้วไง
ศึกษาตามความเป็นจริง ค่อยๆ วางลงนะคะ :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b41: บุคคลล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร :b41:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สวัสดีครับ ผมขอฝากตัวเป็นลูกๆ ของบอร์ด ลานธรรมจักร ด้วยครับผม ผมอ่านกระทู้หลายๆกระทู้
มีแต่ข้อมูลที่สำคัญมาก และเห็น พี่ๆ น้าๆ พ่อ แม่ ทั้งหลาย ตอบกระทู้ก็มีแต่เก่งๆ ผมพึ่งปฏิบัติธรรม
ครับ อ่านไปก็งง เพราะลึกซึ้งมาก
ผมมีปัญหาอยากจะถาม พ่อแม่ทุกๆท่านเลยนะครับ ผมมีปัญหาทางจิตใจครับ เพราะผมคิดถึงคนๆหนึ่ง
ที่ผมรัก แต่ผมไม่อยากคิดถึงเขา ควรจะปฏิบัติแบบไหนดีครับ ขอบคุณครับ

ก้ทำใจให้เป็นกลาง อย่าไปถึงกับไม่ชอบเขาเลยเผื่อกลับมารักกันได้อีก แต่ให้เป้นความรักที่เป้นการให้
ให้ไปแล้วเขาไม่สน ก้ไม่เปนไร แต่เราสบายใจ และเราก้จะไม่ร้สึกอึดอัดหากจะรักเขาต่อหรือจะลืมเขา
ทำได้ง่ายเลย และก้หาเวลาส่วดมนตให้จิตสงบด้วยจะดีมากๆๆเลยคับ

อ้างคำพูด:
.....................................................
ลีลาสติให้ตั่งมั่น ขันติให้ตั่งเที่ยง ขะแล้วขะพักผ่อนย่อนที่ใจ อันวินัยของสงฆ์พระองค์เจ่า
ให้นำกุมทางทุกคนอันนี้ เพินว่าถือไม้เท้าบุลังเฮาจังได๋อ่าน

จิตจะตั้งมั่นได้ ต้องมีสมาธิและสติกำกับอยู่ด้วย โดยใช้ปัยยาคิดตาม

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ชื่อกระทู้...ทำยังไงถึงจะไม่คิดถึงคนรัก...
...เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะไม่คิดถึงกันอ่ะนะ...
...เพราะคนเรามีสายสัมพันธ์และความห่วงใยกัน...
...อันยากที่จะตัดความสัมพันธ์นั้นลงได้...
:b1:
...ธรรมชาติของจิตมันมีอะไรให้ต้องคิดหลายอย่าง...
...เพราะเกิดมาแล้ว 1 ชีวิตมีความเกี่ยวข้องกับอีกหลายชีวิต...
...1 คนมีหลายบทบาทจากลูกเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อน...
...เป็นคนรัก เป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นคนไทย เป็นคนพิการ สารพัดสมมุติ...
:b6:
...สรุปว่ามนุษย์เกิดมาต้องมีสังคม มีเพื่อน มีญาติพี่น้อง โดยเฉพาะคนรักนี้...
...ถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นผู้ถูกรัก...ซึ่งมีอิทธิพลโดยตรงต่อจิตใจของผู้ให้ความรัก...
...เป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน...เวลาเกิดการสูญเสียหรือพลัดพรากก็จะทุกข์มากๆ...
...ดังนั้นเมื่อทุกคนหลีกเลี่ยงการเป็นผู้ให้ความรักไม่ได้...จึงควรฝึกการสละและสลัดออก...
:b12:
...ในที่นี้คือให้ฝึกจิตใจให้อดทนและอดกลั้นที่อยากได้ความรักเมื่อให้ความรักออกไป...
...ให้คิดบ่อยๆว่าไม่จากเป็นก็จากตาย...ชีวิตนี้มันไม่ยืนยาวแค่ลมหายใจเข้า-ออก...
...เพราะเราคิดแต่วันพรุ่งนี้จะต้องได้พบเจอกัน...ใจก็จดจ่อต่อความคิดนั้นไม่ละไม่วาง...
...กลายเป็นย้ำคิดย้ำทำ...บางคนคิดอยู่คนเดียวไม่รู้คนถูกรักเขารู้เรื่องรึป่าวอ่ะนะ...
:b20:
...ฝึกการคิดในเวลา ณ ปัจจุบันว่า บทบาทเวลานี้เราทำอะไร อยู่ที่ไหน ควรคิดเรื่องอะไร...
...ให้จิตจดจ่อกับการใช้ชีวิตเป็นปัจจุบันขณะ...ลมหายใจเนี่ยมันเป็นยังไงเวลานี้...
...มี2อย่างคือหายใจเข้าและหายใจออก...ถ้าเข้าแล้วไม่ออกกับออกแล้วไม่เข้าก็หาชีวิตไม่แล้ว...
...ให้ฝึกการปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิต...เพราะชีวิตมี2สิ่งให้ดูแลคือร่างกายและจิตใจ...
:b16:
...คนส่วนใหญ่ดูแลแต่ร่างกายคือทำมาหาเลี้ยงชีพให้ได้เงินมาเลี้ยงร่างกายให้สุขสบาย...
...และลืมนึกถึงจิตใจที่ตัวเองก่อทุกข์ให้ตลอดเวลา...ทุกข์ใจจากอะไร...ก็รัก โลภ โกรธ หลง...
...เพราะหลงสมมุติต่างๆบนโลกใบนี้ โลภเพราะอยากได้ พอไม่สมหวังก็โกรธ หาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้...
...กรรมฐานเป็นการฝึกฝนหาหนทางสิ้นสุดของจิตใจ...จะรู้ได้ด้วยตนเองให้เร่งลงมือปฏิบัติกันเถอะ...
:b13:
...การละ วาง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดเป็นเรื่องไม่ง่าย โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด คนรัก...
...ต้องอาศัยการพิจารณาอยู่เนืองๆ...ศึกษาไปเรื่อยในลานธรรมจักรนี้มีตัวอย่างมากมาย...
...เลือกเอาสิ่งที่เหมาะกับตัวเองไปใช้...เพราะตัวเองหลงยึดมั่นในตัวของตนมานานมาก...
...การตัดขาดความคิด ทำได้ไม่ง่ายนัก รักพ่อ แม่ พี่ น้อง คนรัก เพื่อนก็อยู่เหมือนเดิม...
...เพียงแต่การฝึกกรรมฐาน...จะช่วยให้เราเปลี่ยนและปล่อยวางความคิดที่เราไปยึดติดนั้นลงได้ค่ะ...
:b27:
:b4: :b4:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 01 เม.ย. 2010, 11:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร