วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดย แทนไท ณ รามัญ

หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต แห่งวัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 อ.หนองหิน จ.เลย เป็นพระภิกษุผู้อยู่ป่าตรึกตรองธรรมบนภูกระดึงมาช้านานเกี่ยวกับสัจธรรม ที่สุดคำว่าสัจธรรมทั้งปวงที่ปรากฏอยู่แล้ว ก็ปรากฏชัดเมื่อจิต ...ไม่ต้อง..ไม่ตั้ง..เพราะจบอยู่แล้ว....นิพพานอยู่แล้วเป็นธรรมะที่หลวงพ่อเน้นย้ำอยู่เสมอๆ
ไม่ต้อง...ตามความเข้าใจของผม หลวงพ่อปรารถนาที่จะสอนสาธุชนทั้งหลายว่า.. ไม่ต้องไปกำหนดอะไรกับสิ่งทั้งปวงทั้งใจและกาย คำว่า ไม่ตั้ง...ตามความเข้าใจของผม หลวงพ่อปรารถนาที่จะสอนสาธุชนทั้งหลายว่า อย่าไปตั้งกฎเกณฑ์และหลักการอะไรให้กับสรรพสิ่งของชีวิตทั้งใจและกายมากนัก

เมื่อเราไม่ต้องไม่ตั้ง อะไรๆ ที่เราเคยยึดเคยถือแม้แต่เคยปฏิบัติก็จะคลายออกหลุดออก ไม่เกร็ง ไม่กลั้น ไม่อั้น ไม่เครียด ก็จะว่างเบา เพราะตามความเป็นจริงสรรพสิ่งแห่งสัจธรรมนั้นจบอยู่แล้ว มันจบอยู่แล้วในทุกสิ่งอย่าง แต่มนุษย์มักนิยมไปสร้างรูปแบบ ไปสร้างวิธี ไปสร้างการกระทำ การกระทำนี้ในภาษาธรรมะเรียกว่า กรรม พอไปสร้างมากๆ เข้าสิ่งที่สร้างก็ไปซ้อนในสิ่งที่มีอยู่แล้ว... เมื่อไปซ้อนอย่างนั้นแล้วจึงเป็นการยากที่เราจะได้พบสิ่งเดียวกับที่พระพุทธองค์ท่านสอน

ไม่มีทางแน่นอนเมื่อเราไปสร้างกรรมขึ้นเพื่อซ้อนลงไปในสิ่งที่มีอยู่แล้วในสรรพสิ่งทั้งปวง หลวงพ่อท่านเรียกว่า กรรมซ้อนธรรม เมื่อไปทำสิ่งต่างๆ ไปยึดในสิ่งต่างๆ ก็ยิ่งจะทำให้สิ่งที่เรียกว่า มีอยู่แล้ว คือ สัจธรรมนั้นถูกครอบคลุมไปอีก จึงไม่ได้พบสัจธรรมเสียที เพราะไปสร้างกรรมซ้อนลงไปในธรรมนั่นเอง

หลวงพ่อท่านจึงนำเอาธรรมะธรรมดาง่ายๆ ขึ้นมาสอนสาธุชน ที่ว่าธรรมดาเพราะว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ต้องไปสร้างไม่ต้องไปทำ ฟังแล้วเมื่อเข้าใจแล้วก็จบเลย

มนุษย์ที่เครียดกันอยู่ทุกวันนี้เพราะว่า จิตใจไปยึดไปเหนี่ยวเอาไว้ในสิ่งต่างๆ มันจึงไม่วางไม่คลายเลย เป็นทุกข์หน้าดำหน้าแดง เครียดตลอดเวลา แต่หากเราไม่ต้องไม่ตั้งก็ว่างทันที เบาทันทีโล่งทันที

อ.ธันยวัต ธีรเชษฐมงคล ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อแนะนำผมเสมอว่า ไม่เป็นไรเป็นเหมือนมหาคาถาอันยิ่งใหญ่ นำเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เมื่อขับรถแล้วถูกปาดหน้าก็ว่าไม่เป็นไร..ใจก็เบาทันที...พอทำอะไรที่เสียหายไปบ้างก็บอกว่าไม่เป็นไร เริ่มต้นใหม่ใจก็เบาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่หากเราไปต้องไปตั้งกับชีวิตมากเพียงไหนเราก็เครียดมากเท่านั้น แล้วสิ่งที่เราปรารถนาจะมาปรากฏได้อย่างไร ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผมแสวงหาสัจธรรม ได้ทำมาทุกอย่างทั้งปฏิบัติธรรมอย่างเข้ม อดอาหาร กินมื้อเดียว อยู่ในถ้ำ เป็นนักธุดงค์ เป็นนักเรียนแบบแผน...วันนี้หยุดหมดแล้ว ไม่แสวงหาสิ่งใดๆ อย่างนั้นอีกแล้ว เพียงแค่บอกกับใจตัวเองว่าไม่ต้องไม่ตั้ง...ทุกอย่างจบอยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว ไม่ว่าจะคำว่า นิพพาน คำว่า จบกิจ คำว่า หมดทุกข์ หรือ แม้แต่คำว่า อรหันต์หมดกิเลส ทุกอย่างเป็นเพียงภาษามนุษย์ที่มีเอาไว้สำหรับสื่อ แต่ผู้ที่ว่าง...แล้วไม่ยึดติดในความว่างใดๆ เพราะไม่ต้องไม่ตั้ง
งานฟื้นฟูสัจธรรมของวัดร่มโพธิธรรม เริ่มในวันที่ 9-16 กุมภาพันธ์ หากท่านใดปรารถนาสัจธรรม ไปกราบหลวงพ่อแล้วฟังธรรม จะเข้าใจในสรรพสิ่งได้ดี ผมไปกราบมาแล้ว วัดนี้ไม่มีตู้รับบริจาคใดๆ ทั่วทั้งวัด ทุกอย่างอยู่ที่ไม่ต้อง ไม่ตั้ง อย่างที่หลวงพ่อสอนนั่นแล.


ที่มา http://www.ryt9.com/s/tpd/794436


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่เดี่ยว
January 25, 2010 in what i like | Tags: สัจธรรม


พระภิกษุรูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่รูปเดียว ไกลลิบๆ เป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เดินตระกองกอดกันอยู่
สาวเห็นพระจึงชี้ชวนหนุ่มดู แล้วพูดว่า “ดูสิ น่าสงสารนะ พระท่านต้องอยู่รูปเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่เหมือนเราสองคน ที่มีกันและกัน”
พระรูปนั้น ได้ยินอยู่ลิบๆ จึงกล่าวกับตัวเองว่า “เฮ้ออ ไม่รู้ใครกันแน่ที่น่าสงสารกว่า ฉันอยู่คนเดียวฉันก็มีความสุขได้ แต่สาวหนุ่มคู่นั้นสิ ต้องมีกันและกันถึงจะมีความสุข ถ้าจากกันไปสักคนก็ต้องมานั่งทุกข์อยู่ดี”

เรื่องของ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต

ที่มาhttp://wswt.wordpress.com/2010/01/25/%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%b9%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7/#respond


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรับปรุงใหม่
คำขอขมาอโหสิกรรม

ตั้ง นะโม 3 จบ

ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ กรรมใดก็ตาม ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เคยประมาท พลาดพลั้ง ละเมิด ล่วงเกิน ต่อองค์คุณเบื้องสูง คุณพุทธะ มหาพุทธะ คุณพระธรรม คุณพระอรหันต์ มหาอรหันต์ คุณพระโพธิ์สัตว์ มหาโพธิ์สัตว์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณศีล คุณทาน คุณบารมีทั้งหลาย คุณเทพเทวาทั้งหลาย คุณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย กรรมใดก็ตามที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บัดนี้ข้าพเจ้าได้สำนึกแล้ว จึงขอขมาอโหสิกรรม ขอกรรมทั้งหลาย ทั้งปวงจงเป็นโมฆะกรรม ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย มีความไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
05-0298w.jpg
05-0298w.jpg [ 97.67 KiB | เปิดดู 6568 ครั้ง ]
กรวดน้ำที่เขาตรีอูน ประเทศอีนเดีย
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 21:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
DSC05931.JPG
DSC05931.JPG [ 65.48 KiB | เปิดดู 6554 ครั้ง ]
คำอธิบาย: หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
05-0292.JPG
05-0292.JPG [ 86.75 KiB | เปิดดู 6553 ครั้ง ]
ดูเองครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำมาฝาก
ขอเชิญชมภาพสวยจากประเทศจีน
http://www.rombodhidharma.com/Pg-03-Act ... A2553.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


มาคุยกันเรื่องดูจิตในนี้ดีกว่า

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 00:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

กระทู้เขามาดี ๆ เดียวจะถูกล๊อค..นะครับ.. :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 05 เม.ย. 2010, 00:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




think.jpeg
think.jpeg [ 5.37 KiB | เปิดดู 6517 ครั้ง ]
:b32: :b32: :b32:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โปรดนิยามคำว่า"ด่า"

เพื่อป้องกันคุณขงเสียประโยชน์
ผมคิดว่าคุณขงควรกลับไปทำความเข้าใจจากต้นฉบับ

ไม่ควรฟังๆผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว มือสอง มือสาม
ไปดูว่าท่านด่าพุทธโธจริงไหม ท่านปฏิเสธพุทธโธจริงหรือ
ที่ท่านว่า พุทธโธได้สมถะ ทำไมท่านว่าอย่างนั้น


เรื่องพุทธโธได้แค่สมถะ ผมคิดว่าท่านพูดถูก

คุณขงลองไปไล่องค์ฌานดูสิ
วิตกวิจารณ์ดับไปแล้ว ยังมีพุทธโธอีกหรือ

วิปัสนามันเริ่มพูดกันตอนเอกัคตาจิตนู่น
ตอนนี้ไม่ได้ท่องพุทธโธแล้ว
ถ้าไม่มีอุเบกขาและสภาพตั้งมั่น จะรู้ตามความเป้นจริงได้อย่างไร

ดังนั้นที่ท่านพูดว่า "พุทธโธได้แต่สมถะ" จึงถูกของท่าน
ที่สุดของพุทธโธ ก็ไม่เกิน "วิจารณ์"
ถามว่าเป้นขั้นสมถะหรือเปล่าล่ะ

แต่ถ้าคุณๆเข้าใจไปในทางที่ว่า
ท่านห้ามท่องพุทธโธ อันนี้ขอบอกเลยว่าเข้าใจผิด

ผมให้ไปหาเลย คำพูดทำนองที่ว่าท่านปฏิเสธพุทโธ หรือห้ามท่องพุทธโธ
ผมฟังผมอ่านมาจนป่านนี้แล้ว ผมยังไม่เคยเจอเลยนะคูณขง

ถ้ามีเช่นว่า ผมก็คนนึงล่ะ ไม่เอาหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว
ไม่ต้องอะไรมากเลย เอาเรื่องเดียวเนียะเลย
ว่าถ้าท่านปฏิเสธพุทธโธ หรือห้ามท่องพุทธโธ ผมเลิกเลย ไม่ต้องดูเรื่องอื่น

ผมเคยแต่ได้ยินว่าเวลาท่องพุทธโธ ให้รู้ว่าจิตกำลังคิดคำว่าพุทธโธอยู่
บางคนก็ปากเสียนะ
หาว่าท่านบอกชาวบ้านว่า ทำอะไรก็ผิดหมด ถ้าเสริมวิธีหลวงพ่อปราโมทย์แล้วจะถูก

ซึ่งอุบาทว์มากที่คิดแบบนี้

หลวงพ่อปราโมทย์สอนให้มีสติเวลาท่องพุทธโธ มันผิดตรงไหน
นี่มันพระพุทธเจ้าสอนชัดๆ หลวงพ่อปราโมทย์ก็สอนตามพระพุทธเจ้าสอนชัดๆ
คือมีสติ
สมาธิที่มีสติสิ เป็นสัมมาสมาธิ

พวกปากหอยปากปูมันก็พูดไปได้เนาะ ว่า "วิธีหลวงพ่อปราโมทยฺ์"

อุบาทว์นะ ผมว่า

คูณขงระวังไว้ เวลาคราวหน้าไปแนะนำใครทำพุทธโธ แล้วไปสอนให้เขามีสติ
ระวังมันจะมีคนมาด่าคุณขงว่า "ถ้าทำให้ถูก ต้องวิธีของคูณขง"


อิอิ

ท่านชาติสยาม มาอธิบายเรื่องนี้ในนี้ด้วยนะงับ

เพราะท่าน yodchaw ก็ต่อต้านพระโกหกนะงับ จะได้ร่วมแสดงความคิดเห็น

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พอตัวกลับมาสอนพุทโธ ก็สอนผิดอีก เฮ้อ เวรกรรม


พระปราโมทย์ ไม่ได้ห้ามบริกรรมพุทโธ

พระปราโมทย์เคยบอกว่า พุทโธ ปลอดภัย มันไม่ไปติดเพ่งง่าย เหมือน อานาปานสติ หรือ พองยุบ

พระปราโมทย์เคยบอกว่า พุทโธ ไปได้แค่ อุปจารสมาธิ ในขณะที่ หลวงพ่อสงบ บอกว่า พุทโธ ไปได้ถึง อัปปนาสมาธิ

พระปราโมทย์ ห้ามบริกรรมพุทโธ สำหรับคนที่บริกรรมพุทโธแล้วอึดอัด อะโธ่เอ๊ย ใหม่ๆ มันก็อึดอัดทุกคนแหละ ดูหลวงตาสิ กลับมานึกพุทโธใหม่ๆ อกแทบแตก หลวงตายังเปรียบเทียบเลย ภาวนาใหม่ๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน

พวกดูจิต(แบบพระปราโมทย์) ปล่อยให้จิตเร่ร่อนไป "ตามธรรมชาติ" ลองกลับไปพุทโธสิ ตอนแรกๆ ลำบากกันทุกคนแหละ

พระปราโมทย์บอกว่า บริกรรมพุทโธมากๆ แล้วจิตจะซึม สำหรับบางคน -- ไปตามหาคำสอนครูบาอาจารย์ซิ มีมั้ย พุทโธแล้วเพ่ง แล้วซึม แล้วจะติดสมถะ

สมถะน่ะ ให้มันมีขึ้นมาเสียก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงน่ะ ท่านแก้ให้ได้เอง

ส่วนเรื่องพระปราโมทย์ คนนอก เขารู้กันทั้งบางแล้ว ว่า เป็น สมี ๘ พรรษา หลักฐานพร้อมมูล ไม่จำเป็นต้องหยุดปรามาส แต่อย่างใด

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำไมตอแหลอย่างนี้ล่ะ
ตอนแรกก็หาว่าหลวงพ่อปราโมทย์ห้ามพุทธโธ

พอเราแก้เกี้ยวได้ ก้มาบอกแบ่งรับแบ่งสู้ว่าท่านไม่ไม่ห้ามพุทธโธ

คูณน่ะ ไปถามหลวงพ่อสงบสิว่า
การมีสติรู้ทันการท่องพุทธโธ ผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าหรือไม่


สติจำเป็นในทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ.. นี่เป็นพุทธพจน์
พระพุทธเจ้าสอนให้มีสติในกาลทุกเมื่อ
หลวงพ่อสงบจะมาลบล้างพระพุทธเจ้าหรือ

จะเอาแต่สงบก็ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าแล้ว
ก่อนพระพุทธเจ้าเขาสงบเก่งจะตายไป
ไม่ง้อพระพุทธเจ้าหรอก

แต่เพราะอะไรล่ะ ถึงมีพระพุทธเจ้า
ก็เพราะแม้แต่ความสงบก็ต้องมีสติน่ะสิ
อ่านคำว่า "ในกาลทุกเมื่อ" ไม่ออกหรือไง
ฝากไปสอนท่านด้วย

อ้างคำพูด:
fakemonk เขียน:
ต้องนึกพุทโธคือการดูจิตเป็นหลัก พุทโธเป็นตัวรองเท่านั้นเอง พุทโธให้รู้ทันจิต จิตเป็นไงให้รู้ไว้ไม่ใช่พุทโธเพื่อให้จิตนิ่ง ของคุณพุทโธแล้วน้อมจิตไปสู่ความนิ่งมากเกินไป


แ้ล้วตรงนี้ กรุณาแหกตาดูคำว่า "ของคุณ"
แปลว่าท่านพูดเฉพาะบุคคล แก้เฉพาะบุคคล

คนบางคนพอทำความสงบก้ติดนิ่ง กายหาย จิตหาย ความรับรู้หายหมด
เรื่องติดนิ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องแก้
ถ้าปล่อยให้กายหาย จิตหาย ไม่รู้สึกตัว มันจะต่างจากนอนหลับตรงไหน
ถ้าจะมาบอกว่าความสงบถอดกิเลสได้ งั้นคนนอนหลับมากๆก็คงจะบรรลุก่อนเพื่อน
ลำพังแค่สงบนิ่ง มันถอดถอนกิเลสได้ยังไง
ฝากไปถามหลวงพ่อสงบด้วยว่า ถ้าทำความสงบแล้วมันถอดถอนกิเลสได้ยังไง
สงบแล้วยังไง สงบก็ไม่มีกิจกรรมของจิต
แล้วจะวิปัสสนากับพระแสงอะไร อะไรเป้นสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อจิตสงบ

แล้วฝากอีกข้อด้วยว่า เมื่อมีสติรู้ลงที่จิต ชั่วขณะนี้เป็นสมาธิหรือไม่
คำถามนี้ จะได้วัดขาดกันไปเลย ว่าใครจำมาสอนกันแน่
อยากจะรู้นักว่าจะตอบว่าอะไร

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


fakemonk เขียน:

พระปราโมทย์เคยบอกว่า พุทโธ ปลอดภัย มันไม่ไปติดเพ่งง่าย เหมือน อานาปานสติ หรือ พองยุบ

พระปราโมทย์เคยบอกว่า พุทโธ ไปได้แค่ อุปจารสมาธิ ในขณะที่ หลวงพ่อสงบ บอกว่า พุทโธ ไปได้ถึง อัปปนาสมาธิ



เรื่องนี้ไม่ยาก อัปปนาหรืออุปจาระ
พุทธโธคือความคิด ที่คิดคำว่าพุทธโธ
ก็พากันเปิดตำราสิว่า สมาธิชั้นไหน ที่พ้นวจีสังขาร



อ้างอิงคำพูด:
พระปราโมทย์ ห้ามบริกรรมพุทโธ สำหรับคนที่บริกรรมพุทโธแล้วอึดอัด อะโธ่เอ๊ย ใหม่ๆ มันก็อึดอัดทุกคนแหละ ดูหลวงตาสิ กลับมานึกพุทโธใหม่ๆ อกแทบแตก หลวงตายังเปรียบเทียบเลย ภาวนาใหม่ๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน

ก็แปลกเนาะ อะไรๆก็หลวงตา ไม่มีปัญญาแล้วยังเอาของสูงมาเล่นไม่รู้เรื่อง
หลวงตาก้คือหลวงตา คนอื่นๆก้คือคนอื่นๆ
การทำกรรมฐานกองใดกองหนึ่งแล้วไม่ถูกจริต แล้วเปลี่ยน มันเป้นความชั่วมากนักหรือยังไง

ถ้าโลกนี้ทำพุทธโธกันได้ทุกคน แล้วจะมีกรรมฐานตั้ง 40 กองไว้หาพระแสงอะไร

ถ้าผมอยากจะพาลหาเรื่องนะ
ผมจะพูดว่า พุทธโธเป็นกรรมฐานกองไหน ช่วยหาอ้างอิงมาหน่อยสิ
พระพุทธเ้จ้าสอนหรือ อยู่ตรงไหน ยกมาอ้างอิงหน่อย

คนเรามีจริตแตกต่างกัน ทำอันไหนไม่ได้ ก้ทำอันอื่น
นับเป็นความฉลาดที่รู้จักหาสิ่งที่ตนเองทำได้

นี่อะไร จะให้ทุกคนท่องพุทธโธหมด ถึงจะแปลว่าเป็นคนดี



อ้างอิงคำพูด:
พวกดูจิต(แบบพระปราโมทย์) ปล่อยให้จิตเร่ร่อนไป "ตามธรรมชาติ" ลองกลับไปพุทโธสิ ตอนแรกๆ ลำบากกันทุกคนแหละ

ร่อนเร่เพราะมันทำไม่เป้นน่ะสิ

มันจะร่อนเร่ได้ยังไง ก้ท่านสอนให้รู้กาย รู้ใจ
พวกร่อนเร่มันเอาสติไปไว้ไหนล่ะ
เห็นนมผู้หญิงใหญ่ๆ มีราคะ ไอ้พวกโง่มันก็เอาสติไปอยู่ที่นมเขานู่น
ที่ถูกต้องคือมีสติระลึกรู้ลงวที่ใจนี่ ว่ามันชอบ มันมีราคะ
เอาเรื่องนมไปถามหลวงพ่อสงบสิ ดูสิจะวายังไง
จะยังว่าร่อนเร่ไหม

ถ้ารู้หายรู้ใจแล้วว่าร่อนเร่ ก็ขอบอกว่าอาจหาญมาก
พระพุทธเจ้าสอนให้มีสติรู้หายรู้ใจ
ถ้าใครคิดว่าผิดไปจากนีเ้ ให้สาธยายประจานตัวเองให้ชาวโลกฟังได้เลย



อ้างอิงคำพูด:
พระปราโมทย์บอกว่า บริกรรมพุทโธมากๆ แล้วจิตจะซึม สำหรับบางคน -- ไปตามหาคำสอนครูบาอาจารย์ซิ มีมั้ย พุทโธแล้วเพ่ง แล้วซึม แล้วจะติดสมถะ

- ก็ไม่แหกตาดูอีก ตรงคำว่า สำหรับบางคน
ท่องห่าเหวอะไรมันก้ซึมทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีสติที่คอยเพียรรู้หายรู้ใจ
ไม่ต้องท่องพุทธโธมันก้ซึมได้อยู่แล้ว เกิดมาไม่เคยซึมหรือไง

แล้วไอ้เรื่องไปตามหาคำสอนครุบาอาจารย์นะ
ผมท้าหนักกว่านี้ ท้าให้ไปหาคำสอนพระพทุธจ้าที่สอนทำพุทธโธ หามาสิ


อ้างอิงคำพูด:
สมถะน่ะ ให้มันมีขึ้นมาเสียก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงน่ะ ท่านแก้ให้ได้เอง

คนอย่างคุณไม่มีปัญญารู้หรอกว่าการเจริญสติ เป้นการเจริญสมาธิที่ชื่อขนิกสมาธิ
ดีแต่จับผิดคำพูดหลวงพ่อ จนไม่ปฏิบัติให้เห็นว่าสมาธิจริงๆเป็นอย่างไร
จิตตั้งมั่นทรงสมาธิเป็นอย่างไร




อ้างอิงคำพูด:
ส่วนเรื่องพระปราโมทย์ คนนอก เขารู้กันทั้งบางแล้ว ว่า เป็น สมี ๘ พรรษา หลักฐานพร้อมมูล ไม่จำเป็นต้องหยุดปรามาส แต่อย่างใด :b43:

อันนี้มันตอบไม่ได้จริงๆ คือมันโง่จนไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
มันเชื่อว่าเขาไ่ม่ใช่ มันก็คิดว่ามันถูกแล้ว
อุปาทานขึ้นมาแล้วยึดเอาเป้นเอาตายว่ากูถูกกูใช่
แล้วก็ไปสร้างความคิดหลอกตัวเองอีกว่าปรามาสได้
สามารถคิดหาเหตุผลมาสนับสนุนความเลวของมันได้หมด
ยึดทิฐิเป้นใหญ่

มีสิทธิอะไรมาถอดพระที่บวชถูกต้องตามประธรรมวินัย
นึกอยากจะคิดว่าใครไม่ใช่พระก็คิดเอาตามอำเภอใจ ด่าเอาตามอำเภอใจ
ยังมีหน้ามาเสนอเป้นผู้รักษาพระสัทธรรม

ไม่เคยแหกตาดูตำรวจเขาจับพระเหรอ
ขนาดเป็นโจร เป็นเกย์ มั่วสีกา จับคาหนังคาเขา
เขายังมาให้พระท่านสึกกันก่อน

ใหญ่มาจากไหน ถึงจะมาเที่ยวถอดพระเอาตามอำเภอใจแบบนี้

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปให้ยกยอดมาคุย ที่นี่งับ

จะได้มีคนมาร่วมด้วย

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
ขอถามหน่อยขอรับ ท่านเช่นนั้น คุณเป็นพระหรืออุบาสก ถ้าคุณเป็นพระ ถามต่อไปว่า พระที่ศึกษาอยู่กับคุณมีกี่องค์ พื้นที่วัดของคุณมีกี่ไร่ แม่ชี ที่ศึกษากับคุณมีกี่คน ?

ปัจจุบันนี้วัดร่มโพธิธรรม โดยมีหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต เป็นประธานสงฆ์ มีพระเณรศึกษาธรรม ในพรรษาที่แล้ว 138 รูป แม่ชี และอุบาสกอุบาสิกา 100 คน มีขนาดพื้นที่วัด 1,000 ไร่ ถามว่าทำไมเหตุใดผู้คน พระสงฆ์ มหาชน ทำไมท่านเหล่านั้นมารวมมาศึกษาสิ่งที่ตรัส กล่าวแสดง ที่มีทุกสาขาอาชีพ
หากธรรมคำสอนเป็นอย่างที่ท่านว่ามาผู้คนเหล่านั้นย่อม ไม่มา ศึกษา ตามท่านหรอ
การคอยอยู่กับกะลาครอบตัวเอง แบกความรู้ทิฐิ เที่ยว ติ ตำหนิ นั้นนี้ แค่ ติ ตำหนิ ติเตียน ล้วนมันเป็นของโลก คำว่าโลก คือปุถุชน ชอบติเตียน หากในอริยะแล้ว ท่านจะมีแค่ทักท้วงเท่านั้น
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนขัดแย้ง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านกล่าว แต่หากเข้าฟังศึกษาธรรมท่านดีๆแล้ว ก็จะมีแต่ก้มกราบ ก้มกราบอีก มันอัศจรรย์อย่างนี้หนอ มันเป็นเข่นนั้นจริงๆหนอ แต่นี้มันเป็นเช่นคุณคิดเองแล้วหนอ เป็นเช่นคุณคิดเอาแล้วหนอ มันไม่ใช่เช่นนั้นเองแล้วหนอ ที่มัน จบเอง วางเอง ว่างเอง ไม่อะไรกับอะไรอยู่เอง เป็นเช่นนั้นเอง อยู่เองแล้ว



โอ้อวดดีจัง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร