วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลามีพระเกเรในหมู่คณะ ว่ากล่าวก็ไม่ได้แล้ว
บรรดาพระท่านก็ทำสิ่งที่เรียกว่า ไม่ร่วมสังฆกรรม

กล่าวคือบอยคอต ไม่ร่วมสังกรรมด้วย

ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่า คุณ enlight สมควรได้รับการลงโทษจากพฤติกรรมของเขา
ขอให้บอยคอต ไม่ตอบ ไม่หือ ไม่อือ กับบุคคลคนนี้ ไม่ว่าทางดีหรือร้าย
ไม่ว่าทางตรงทางอ้อม ไม่เสียดไม่พูดถึง
จงทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศธาตุ ไร้ตัวตน และไม่มีความสำคัญ

หากเห็นด้วย ก็เพียงแต่กดปุ่มอนุโมทนาก็พอนะครับ
ไม่ต้องอธิบายพูดอะไรอีก
เผื่อเจ้าตัวจะได้รู้ตัวมีสำนึกอะไขึ้นมาบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กฎ ระเบียบ ขนบธรรมเนียม ประเพณี เป็นผลจากการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันมากขึ้น จำเป็นจะต้องมีการจัดระเบียบทางสังคมขึ้น เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข
หาไม่แล้ว จะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายแก่สังคมนั้นๆ ได้ ในระยะแรกอาจจะเป็นกฎระเบียบ กติกาของกลุ่ม ของหมู่บ้าน หรือชุมชน ก่อนพัฒนาขึ้นเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีและกฎหมายในที่สุด
มนุษย์เป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ เพื่อจัดสังคมให้มีระเบียบ ในขณะเดียวกันระเบียบทางสังคมเหล่านี้ก็สร้างสังคมมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบได้ในที่สุด
ไม่เว้นแม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ก็ต้องมีกฎระเบียบให้ยึดถือปฏิบัติ
ในสมัยพุทธกาล มาตรการทางวินัยที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ เพื่อให้สงฆ์ใช้เป็นเครื่องมือ สำหรับลงโทษพระภิกษุที่ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยนั้น เรียกว่า "นิคหกรรม"
นิคหกรรม (นิก-คะ-หะ-กำ) แปลว่า การข่ม เป็นวิธีการลงโทษภิกษุตามพระธรรมวินัยเพื่อให้เข็ดหลาบ
นิคหกรรม ใช้สำหรับลงโทษภิกษุผู้ทำเสียหาย เช่น ก่อการทะเลาะวิวาทบาดหมาง ทำความอื้อฉาว มีศีลวิบัติ ติเตียนพระรัตนตรัย เล่นคะนอง ประพฤติอนาจาร ลบล้างพระบัญญัติ ประกอบมิจฉาชีพ เป็นต้น
นิคหกรรม เป็นกิจที่พึงทำอย่างหนึ่งของผู้ปกครองหมู่คณะ เมื่อมีผู้ประพฤติมิชอบ สมควรแก่นิคหกรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานอนุญาตให้สงฆ์ทำนิคหกรรมแก่ผู้นั้นตามพระธรรมวินัย
นิคหกรรม เป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา เป็นสังฆกรรมประเภทที่สงฆ์ใช้ลงโทษพระภิกษุที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัยหรือประพฤติตนไม่สมควรแก่สมณสารูป ซึ่งมีอยู่ 6 วิธี คือ
1.ดัชนียกรรม คือ วิธีลงโทษด้วยการตำหนิโทษไว้
2.นิยสกรรม คือ วิธีลงโทษด้วยการถอดยศ ให้กลับไปเริ่มต้นใหม่ ทำให้หมดอำนาจหน้าที่
3.ปัพพาชนียกรรม คือ วิธีลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากไปหมู่คณะหรือจากวัด
4.ปฏิสารณียกรรม คือ วิธีลงโทษด้วยการให้ระลึกถึงอุปการคุณของผู้อื่นหรือให้ไปขอขมาโทษ
5.อุกเขปนียกรรม คือ วิธีลงโทษด้วยการห้ามอยู่ร่วม ห้ามฉันร่วมกับภิกษุทั้งหลายทั่วไป
6.ตัสสาปาปิยสิกากรรม คือ วิธีลงโทษด้วยการพิจารณาตามความเหมาะสมหรือควรจะเพิ่มโทษอีก
ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 และมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มหาเถรสมาคม ตรากฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม


จะลงข้อหาไหนดีครับ ท่านชาติสยาม เพราะว่า

ท่าน enlight ก่อกวนทุกบอรด์ และ กระทู้

จะลงโทษโดย

1.ดัชนียกรรม ทำหนิดีมั้ยงับ โดยการแบน 7 วัน อะไรประมาณนี้

2.นิยสกรรม วิธีลงโทษด้วยการถอดยศ ถอดออกจากปกติบุคคล ไปอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง

3.ปัพพาชนียกรรม วิธีลงโทษด้วยการขับไล่ ออกจากลาน

4.ปฏิสารณียกรรม วิธีลงโทษด้วยการให้ขอขมาทุกคนเป็นเวลา 15 วัน

5.อุกเขปนียกรรม วิธีลงโทษด้วยการห้ามอยู่ร่วมกันในลาน ให้อยู่ในห้องถังขยะ

6.ตัสสาปาปิยสิกากรรม วิธีลงโทษด้วยการพิจารณาตามความเหมาะสม โดย ทางคณะท่าน Admin

เห็นสมควร ว่าอย่างไรงับ ทุกท่าน

หรือว่า จะไม่ร่วม สังฆกรรม ละงับ แล้วแต่พิจารณา ให้ความเห็น

ส่วนในความคิดผม ควร

3.ปัพพาชนียกรรม วิธีลงโทษด้วยการขับไล่ ออกจากลาน เป็นเวลา 2 เดือน

ถ้าเห็นด้วยก็ให้อนุโมทนานะครับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พรหมทัณฑ์ หรือครับ?

น่าจะยาก... อาจเปลี่ยนโปรใหม่เข้ามาได้อีก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
พรหมทัณฑ์ หรือครับ?

น่าจะยาก... อาจเปลี่ยนโปรใหม่เข้ามาได้อีก :b32:


เราก็ดูจากพฤติกรรมสิงับ

ก้ลง ไปเรื่อยๆ

เดี๋ยวก็

ไม่เข้ามาเอง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 19:28
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: :b9: :b9:

ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยค่ะ ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นนะคะ

เห็นด้วย เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา พระพุทธองค์ไม่ได้เห็นความแตกต่างในสัตว์โลกทั้งหลาย การลงโทษจึงเป็นเพียงอุบายที่จะใช้ได้กับผู้ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ไม่ใช่การลงโทษด้วยจิตที่เคลือบด้วยอกุศลหรือแม้แต่กุศล ใช่ป่าวคะ ???

ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าภายนอกทำเป็นไม่สนใจ ไม่ตอบ ไม่เสียด ไม่พูดถึง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในขณะที่ภายในใจรุ่มร้อนไปด้วยความหมั่นไส้ ชิงชัง รังเกียจ จิตหวั่นไหวในทุกครั้งที่ได้พบเจอ และเห็นว่าการบอยคอตเป็นการลงโทษอย่างรุนแรงจริงจังจึงทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นเต็มที่ ก็จะแตกต่างเป็นทางตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธองค์ ใช่ป่าวคะ ??

ถ้าทำโดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลย ว่างจากตัวตนจริงๆ ก็ขออนุโมทนาค่ะ

:b8: :b8: :b8:

ปล.อีกนิดส์นุงนะคะ ถ้าทำแล้วเกิดอึดอัดเองแต่เจ้าตัวเค้าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลยละก้อ... :b5: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
เวลามีพระเกเรในหมู่คณะ ว่ากล่าวก็ไม่ได้แล้ว
บรรดาพระท่านก็ทำสิ่งที่เรียกว่า ไม่ร่วมสังฆกรรม

กล่าวคือบอยคอต ไม่ร่วมสังกรรมด้วย

ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่า คุณ enlight สมควรได้รับการลงโทษจากพฤติกรรมของเขา
ขอให้บอยคอต ไม่ตอบ ไม่หือ ไม่อือ กับบุคคลคนนี้ ไม่ว่าทางดีหรือร้าย
ไม่ว่าทางตรงทางอ้อม ไม่เสียดไม่พูดถึง
จงทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศธาตุ ไร้ตัวตน และไม่มีความสำคัญ

หากเห็นด้วย ก็เพียงแต่กดปุ่มอนุโมทนาก็พอนะครับ
ไม่ต้องอธิบายพูดอะไรอีก
เผื่อเจ้าตัวจะได้รู้ตัวมีสำนึกอะไขึ้นมาบ้าง


ผู้ให้การอนุโมทนาสาธุ 2 ท่าน ให้กับคุณ ชาติสยาม สำหรับตอบข้อความนี้:
mes, ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์

อิอิ

เลขไฮโลว์ ออก 2 ต่ำ คร๊าบบ

มีสมาชิกกดปุ่มอนุโมทนาแล้ว สองท่าน จากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 14588 ท่าน

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


innocent เขียน:
:b9: :b9: :b9:

ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยค่ะ ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นนะคะ

เห็นด้วย เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา พระพุทธองค์ไม่ได้เห็นความแตกต่างในสัตว์โลกทั้งหลาย การลงโทษจึงเป็นเพียงอุบายที่จะใช้ได้กับผู้ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ไม่ใช่การลงโทษด้วยจิตที่เคลือบด้วยอกุศลหรือแม้แต่กุศล ใช่ป่าวคะ ???

ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าภายนอกทำเป็นไม่สนใจ ไม่ตอบ ไม่เสียด ไม่พูดถึง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในขณะที่ภายในใจรุ่มร้อนไปด้วยความหมั่นไส้ ชิงชัง รังเกียจ จิตหวั่นไหวในทุกครั้งที่ได้พบเจอ และเห็นว่าการบอยคอตเป็นการลงโทษอย่างรุนแรงจริงจังจึงทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นเต็มที่ ก็จะแตกต่างเป็นทางตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธองค์ ใช่ป่าวคะ ??

ถ้าทำโดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลย ว่างจากตัวตนจริงๆ ก็ขออนุโมทนาค่ะ

:b8: :b8: :b8:

ปล.อีกนิดส์นุงนะคะ ถ้าทำแล้วเกิดอึดอัดเองแต่เจ้าตัวเค้าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลยละก้อ... :b5: :b14:


อิอิ

รู้สึกว่าหนู่น่ารักจังเยย

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

อุๆๆ :b1: :b32:

เพิ่งนึกได้ว่ามีเพลง "เฒ่าหัวงู"

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=1834

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 16:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


innocent เขียน:
ถ้าทำโดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลย ว่างจากตัวตนจริงๆ ก็ขออนุโมทนาค่ะ





" ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลย ว่างจากตัวตน " อาการเป็นยังไงหรือ?
แล้วถ้ามีอาการว่างเปล่าจากตัวตนจริงๆ สมมุติน่ะ สมมุติว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ
ยังมีเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยอีกหรือคะ? :b14:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 16:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


innocent เขียน:
:b9: :b9: :b9:

ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยค่ะ ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นนะคะ

เห็นด้วย เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา พระพุทธองค์ไม่ได้เห็นความแตกต่างในสัตว์โลกทั้งหลาย การลงโทษจึงเป็นเพียงอุบายที่จะใช้ได้กับผู้ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ไม่ใช่การลงโทษด้วยจิตที่เคลือบด้วยอกุศลหรือแม้แต่กุศล ใช่ป่าวคะ ???


ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าภายนอกทำเป็นไม่สนใจ ไม่ตอบ ไม่เสียด ไม่พูดถึง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในขณะที่ภายในใจรุ่มร้อนไปด้วยความหมั่นไส้ ชิงชัง รังเกียจ จิตหวั่นไหวในทุกครั้งที่ได้พบเจอ และเห็นว่าการบอยคอตเป็นการลงโทษอย่างรุนแรงจริงจังจึงทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นเต็มที่ ก็จะแตกต่างเป็นทางตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธองค์ ใช่ป่าวคะ ??

ถ้าทำโดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเลย ว่างจากตัวตนจริงๆ ก็ขออนุโมทนาค่ะ

:b8: :b8: :b8:

ปล.อีกนิดส์นุงนะคะ ถ้าทำแล้วเกิดอึดอัดเองแต่เจ้าตัวเค้าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลยละก้อ... :b5: :b14:


ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น
ควรจะมองโลกตามความเป็นจริง

คนประเภทเดียวที่ว่างจากตัวตน ไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างที่คุณว่านั้น คือพระอรหันต์
สรรถนะเช่นว่านั้น มีแต่พระอรหันต์
ถ้าเว็บบอร์ดนี้ มีแต่พระอรหันต์ ศีลแม้แต่ข้อเดียวก็ไม่ต้องมี
ไม่ต้องมีการลงโทษอะไรทั้งสิ้น


แต่ในโลกความเป็นจริง เช่นในเว็บบอร์ดนี้
ก็เป็นสังคมเล็กๆที่ทุกคนไม่ได้เป็นพระอรหันต์
จึงไม่พ้นเื่องรักโลภโกรธหลง
เราๆท่านก็ก้คือคนธรรมดาที่มีรักโลภโกรธหลง

แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้คนที่มีรักโลภโกรธหลงอยู่กันได้อย่างสงบ
อะไรที่ทำให้เว็บบอร์ดนี้อยู่กันได้อย่างสงบ
ผมกำลังพูดเส้นมาตรฐานอะไรบางอย่างที่เป็นเครื่องกั้นว่า
ถ้าทำอย่างนี้อย่างนั้นแล้ว ถือว่าเหมาะสม หรือถือว่าไม่เหมาะสม

เส้นแบ่งเครื่องกั้นนี้ มีทั้งที่จารึกไว้เป็นกฏ
และแบบที่เป็นนามธรรม คือ ทิฐิ ค่านิยม ความรู้สึก ที่ร่วมกันของสังคมนี้

ผมรู้สึกว่าคุณ enlight ไม่ใช่สมาชิกที่ "ปกติ"
ไม่ใช่สมาชิกธรรมดาๆที่พูดกันดีๆรู้เรื่อง
แต่มีพฤติกรรมสร้างความปั่นปวนชวนทะเลาะไปทั่ว
ก็เลยเรียกร้องให้ใช้มาตรการทางสังคมอะไรบางอย่าง
เพื่อให้เขารู้สำนึกขึ้นมาบ้าง ว่าการทำความรำคาญและก่อกวนผู้อื่น ไม่ใช่สิทธิ์

และอยากจะรบกวนให้คุณตามไปดูพฤติกรรมของเขา
ว่าเขาใช่คนที่ทำตัวเป็นปกติชน ที่แสดงความคิดเห็นอย่างรับผิดชอบหรือเปล่า
เขาใช้คนที่สนใจว่าการกระทำคำพูดของตนนั้นจะทำให้คนอื่นเดืิดร้อนวุ่นวายหรือไม่

คนที่ทำอะไรอย่างนี้ มีเหตุผลเดียวเท่านั้น
คือเขาเป็นคนที่ nobody ในโลกของความจริง ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม เข้ากับใครไม่ได้
จึงมาปล่อยของอย่างบ้าคลั่ง
หรือพูดง่ายๆคือปล่อยโทสะอย่างแรง
เพราะเก็บกดมาก อันเนื่องมาจากไม่สามารถปล่อยได้ในโลกของความจริง
เลยต้องมาเอาเว็บบอร์ดเป็นกระโถน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:

มีสมาชิกกดปุ่มอนุโมทนาแล้ว สองท่าน จากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 14588 ท่าน

อิอิ


ผมมีคนกดให้สองคน
ฝั่งคุณ มีสักคนไหมครับ
สักคนนึง ที่เขามาแสดงเจตนาสนับสนุนคุณในเรื่องนี้น่ะ

แล้วก็ดูคะแนนอนุโมทนาตัวเองด้วยนะครับ
ว่าทำไมคะแนน "ให้การอนุโมทนา = 0 "
คนอะไร หามุทิตาจิตไม่มี
ไม่เคย"จับถูก" คนอื่น มีแต่"จับผิด" อย่างเดียว

ถ้าจะเอาคะแนนอนุโมทนามาสู้กับผม
กรุณาไปดูคะแนนของผมดีกว่านะครับ
เมื่อเทียบกับคุณแล้ว มันบอกอะไรได้เยอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




385172nu0kffzxkf.gif
385172nu0kffzxkf.gif [ 47.05 KiB | เปิดดู 6641 ครั้ง ]

หุหุ .... เขาเรียกอะไรน๊าคุณชาติ
ลางเนื้อ ชอบลางยาใช่ป่ะ :b10:

คนที่ชื่นชอบสไตล์แบบนี้ก็มีนา

viewtopic.php?f=1&t=31451&start=15


บางคนใช้หลายยูสเซอร์ก็คงเนื่องจากสาเหตุเดียวกันแหละคุณชาติ
หลายหมอ หลายยา อย่างนี้มันต้องถอน :b32:

http://solno07.exteen.com/20090714/entry-2

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีพุทธพจน์หนึ่ง ที่อ้างกันมากเกี่ยวกับความไม่ยึดมั่น คือ สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย

แปลว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น หรือ สิ่งทั้งปวงไม่อาจยึดมั่นไว้ได้

อภินิเวส เป็นไวพจน์หนึ่งของอุปาทาน


การที่นิพพิทาจะเกิดขึ้น หรือ การที่จะถอนทำลายอุปาทานได้นั้น เป็นเรื่องที่เกิดจากความรู้ ความเข้าใจ

คือ เมื่อรู้เข้าใจสภาวะแล้ว นิพพิทาก็เกิดเอง อุปาทานก็หมดไปเอง เป็นเรื่องของกระบวนธรรมแห่งเหตุ

ปัจจัย หรือ ภาวะที่เป็นไปเอง ตามเหตุปัจจัยของมัน


บางทีเราพูดกันว่า จงอย่ายึดมั่นถือมั่น หรือว่า อย่ายึดมั่นกันไปเลย หรือว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียเท่านั้น

ก็หมดเรื่อง ฯลฯ

การสอนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดี และควรสอนกัน แต่พร้อมนั้นก็จะต้องระลึกถึงหลักการ ที่กล่าวแล้วข้างต้นด้วย

คือ จะต้องพยายามให้ความที่จะไม่ยึดมั่นนั้น เกิดขึ้นโดยถูกต้อง ตามทางแห่งกระบวนธรรม

มิฉะนั้น ก็อาจกลายเป็นการปฏิบัติผิดพลาดและมีโทษได้ โทษที่จะเกิดขึ้นนี้คือความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น

การปฏิบัติ ด้วยความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่นนั้น ย่อมก่อให้เกิดโทษได้ เช่นเดียวกับการกระทำ ด้วยความยึดมั่น

โดยทั่วไป



นำมาเป็นข้อคิดเพียงนิดหน่อย ผู้ต้องการศึกษาทั้งหมดก็ที่

viewtopic.php?f=2&t=23043

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 18:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
บางคนใช้หลายยูสเซอร์ก็คงเนื่องจากสาเหตุเดียวกันแหละคุณชาติ
หลายหมอ หลายยา อย่างนี้มันต้องถอน :b32:

http://solno07.exteen.com/20090714/entry-2[/color]


สังหรณ์อยู่ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron