วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 226 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ท่านธรรมภูต
การที่ เช่นนั้น เฝ้าถาม เรื่องจิต ต่อท่านธรรมภูต เพียงเพื่อสะกิดท่านธรรมภูต ให้รู้ว่า
เว้นเสีย จาก นิพพาน เป็นอสังขตะธรรม แล้ว ธรรมทั้งปวงหรือ สิ่งทั้งปวง เป็นสังขตะ

ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุไฟ แม้แต่วิญญาณธาตุ ก็เป็นสังขตะ ล้วนแล้วแต่ ไม่พ้นไปจาก สามัญลักษณะทั้ง 3 คือไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น


ที่ยกมาแสดงนั้น ขอแจกแจงความให้เข้าใจชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ คือ ธาตุ ๖ ที่มาประชุมรวมกันเป็นรูปร่างกาย
แน่นอนเมื่อมาประชุมรวมกันแล้ว ย่อมปรวนแปร ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
เพราะเมื่อมาประชุมรวมกันแล้ว ย่อมกลายเป็นสังขตธรรม
อันเข้าคุณลักษณะของสังขตธรรม คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑
ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑

แต่ถ้ากล่าวกันถึงที่มาที่ไปของธาตุทั้ง ๖ ล่ะ
ก็จะได้ความที่ชัดเจนลงไปอีกว่า
ธาตุทั้ง ๖ เป็นแม่ธาตุ เป็นธาตุแท้ดั้งเดิม ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆ
เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นแดนเกิดของธาตุผสมต่างๆทุกชนิดในโลกนี้ทีเดียว

ธาตุทั้ง ๖ ต่างรักษาคุณสมบัติเดิมของตนเองไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปร
หรือเสื่อมสิ้นไปตามกาลเวลาที่ล่วงไปๆ เช่น
ธาตุดิน ก็ย่อมรักษา ความแค่นแข็งของตัวเองไว้ ไม่กลับกลายหรือเสื่อมเป็นธาตุน้ำ ไฟ ลม
ฯลฯ
วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ก็ทรงความรู้ทุกกาลสมัย ไม่กลับกลายหรือเสื่อมเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
ซึ่งแน่นอนย่อมเข้าคุณลักษณะของอสังขตธรรม คือ
ไม่ปรากฏความเกิด ๑
ไม่ปรากฏความเสื่อม ๑
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑

ถ้าเห็นว่า นิพพานเท่านั้นเป็นอสังขตธรรม คงต้องดูปสาทสูตร
ซึ่งทรงตรัสว่า
“สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด
วิราคธรรม (นิพพาน) เลิศกว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น”

ถ้านิพพานเป็นอสังขตธรรมเท่านั้น จะตรัสหรือว่า
วิราคธรรม(นิพพาน) เลิศกว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปสาทสูตร

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรม ก็ดี อสังขตธรรม ก็ดี มีประมาณเท่าใด
วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย
ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน
บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่า สังขตธรรม และ อสังขตธรรม เหล่านั้น"

๑.จากพระพุทธพจน์นี้ เราจะเห็น ๓ ข้อธรรม คือ
สังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม(นิพพาน)

๒.ถ้า อสังขตธรรม ตามที่เล่าเรียนกันมาว่า หมายถึง พระนิพพาน เท่านั้น
ความที่ว่า สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด
วิราคธรรม(นิพพาน) เลิศกว่า สังขตธรรม และ อสังขตธรรม เหล่านั้น

ก็จะเทียบเคียงได้ว่า
สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรม(นิพพาน)ก็ดี มีประมาณเท่าใด
วิราคธรรม(นิพพาน) เลิศกว่า สังขตธรรม และ อสังขตธรรม(นิพพาน)

ซึ่งจะขัดแย้งกันเองในประโยค!!!
ธรรมะของพระพุทธองค์ย่อมไม่ทรงขัดแย้งกันเองมิใช่หรือ???
ซึ่งคงไม่ใช่พุทธปัญญาแน่นอน ถ้าจะทรงกล่าวขัดแย้งกันเองในประโยค...โปรดพิจารณา

๓. และถ้า อสังขตธรรม หมายถึง นิพพาน เท่านั้น
จะกล่าวว่า สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด เยี่ยงนี้หรือ???

เพราะคำว่า มีประมาณเท่าใด นั้น
บ่งบอกให้เห็นว่า อสังขตธรรม ที่ทรงกล่าวถึง เป็น พหูพจน์ มีมากกว่าหนึ่ง
ไม่ใช่ นิพพาน ซึ่งมีแค่ หนึ่งเดียว เท่านั้น...โปรดพิจารณา

ที่มา ธรรมทั้งหลายหาได้หมายรวมพระนิพพานไม่

http://luangpu.exteen.com/20090830/entry

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
ที่ยกมาแสดงนั้น ขอแจกแจงความให้เข้าใจชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ คือ ธาตุ ๖ ที่มาประชุมรวมกันเป็นรูปร่างกาย
แน่นอนเมื่อมาประชุมรวมกันแล้ว ย่อมปรวนแปร ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
เพราะเมื่อมาประชุมรวมกันแล้ว ย่อมกลายเป็นสังขตธรรม
อันเข้าคุณลักษณะของสังขตธรรม คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑
ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑

แต่ถ้ากล่าวกันถึงที่มาที่ไปของธาตุทั้ง ๖ ล่ะ
ก็จะได้ความที่ชัดเจนลงไปอีกว่า
ธาตุทั้ง ๖ เป็นแม่ธาตุ เป็นธาตุแท้ดั้งเดิม ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆ
เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นแดนเกิดของธาตุผสมต่างๆทุกชนิดในโลกนี้ทีเดียว


:b39:

ธาตุ6ที่คุณบอกมาไม่ใช่เป็นสังขตธาตุหรือครับคุณธรรมภูต
เท่าที่ผมอ่าน ธาตุ ธรรม คืออย่างเดียวกันหรือ ? ผมคิดว่าธาตุก็ธาตุธรรมก็คือ ธรรม :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 29 พ.ค. 2010, 09:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณธรรมภูติเอาธาตุมาปนกับธรรมหรือเปล่าครับ??? :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค



มหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑



[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ
แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ


Quote Tipitaka:
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๒๕๑๙ - ๒๕๖๖. หน้าที่ ๑๐๔ - ๑๐๕.
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... agebreak=0

:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลิ้มธรรม เขียน:
smiley

ท่านธรรมภูต คัมภีโร.. :b38: :b38: ทานกาเเฟ ก่อนนะ
ลิ้มธรรม..อยากทราบจุดประสงค์ของท่านคัมภีโร...คืออะไร? ขอทบทวนก่อน ที่จะถาม :b12:

brb....จิบกาเเฟ ทบทวนไปก่อน เด่วมา...

วัน...มิสซีสซิปปี่
ทู...นิวยอร์ค
ทรี...เเบงคอค.....
โฟร์...สุขานารี... :b9:

:b30:
:b30:
:b30: :b30: :b30:


คุณลิ้มธรรม อยากถามอะไรเชิญถามตรงๆได้เลย

ไม่ต้องมาแบบกึ่งเหน็บ กึ่งถามแบบนี้หรอก

ดูแล้วไม่เหมือนคนที่ชอบปฏิบัติธรรมเลย

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ท่านธรรมภูต

ก้อนหิน มีปัจจัยให้ธาตุรู้ เข้าไปตั้งอยู่ได้หรือไม่
ธาตุรู้ มีปัจจัยให้ธาตุดิน เข้าไปตั้งอยู่ได้หรือไม่
สัญญีภพ มีปัจจัยให้ธาตุดินปรากฏหรือไม่

เมื่อไม่ปรากฏสิ่งใดๆ ธาตุชนิดหนึ่งจะเรียกว่า ธาตุรู้ หรือไม่



smiley smiley smiley อยากรู้เหมือนกันครับ :b10: ว่าพวกเครื่องราง เสือ,ปลัดขิก,กุมารทองหนุมาน กระโดดได้

นี่ยังไง ปลุกเสกเรียกขันธ์ ใช้อำนาจจิตบังคับ เรียกวิญญาณเข้ามาอยู่ หรือ ๆลๆ ยังไง กัน บ้างก็ว่ามีวิทยาธรคอยบังคับ :b10:
เคยได้คุยกับจอมขมังเวทย์คนนึง เขาบอกว่า "ถ้าเป็นกุมารทองของเก่าอายุ 200-300ปีขึ้นไป เป็นแค่เศษดินเศษไม้แล้ว วิญญาณมันไปเกิดแล้ว..."

คุณหลับอยู่ เชื่อผมเถอะครับ มาฝึกฝนอบรมให้รู้จักจิตที่มีวิชชาภาวนากำกับดีกว่า

จนเข้าถึงจิตที่แท้จริง ย่อมมีพลังที่สูงส่งกว่าพลังทั้งหลายที่คุณกล่าวมาเสียอีก

ส่วนเรื่องเชิญวิญญาณนั้น เป็นเรื่องของคนที่ร้อนวิชา ต้องอาศัยพลังจิตเช่นกัน

แต่พลังจิตที่เกิดจากวิชาทางด้านนั้น ไม่ช่วยให้จิตพ้นทุกข์ไปได้หรอกครับ

ต้องมาฝึกฝนอบรมสมาธิกรรมฐานภาวนา เพื่อให้จิตมีฐานที่ตั้งของสติอย่างมั่นคง

นั่นเองแหละครับ ที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้

:b39:




คุณธรรมภูตเข้าใจผมผิดนะครับ เมื่อก่อนพวกนี้ผมเล่นมาพอควรแต่ในฐานะผู้ใช้ไม่ใช่ผู้สร้างเสก :b1:

เอาง่ายๆผมถามคุณธรรมภูตว่า พวกกุมารทอง ๆลๆ พวกนี้ เป็นธาตุ แบบที่คุณธรรมภูตยกมา แล้วของพวกนี้ มีธาตุรู้ ครองอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ??? smiley แจกแจงหน่อยก็ดีนะ

คุณหลับอยู่ ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจเรื่องพลังของจิตว่า สามารถถ่ายเทไปสู่วัตถุได้

ที่คนทั่วไปมักชอบเรียกว่าปลุกเสก จริงๆแล้วเป็นการถ่ายเทพลังจิตนั่นเอง

เรื่องแบบนี้ผมเคยทดลองมาแล้วครับว่า เป็นไปได้จริงๆ

โดยเคยนำเอาของสองชิ้น ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไปให้ผู้ที่มีพลังจิตช่วยอธิฐานจิตให้

และนำของสองสิ่งนั้นที่ปนเปไปกับของชิ้นอื่นอีกหลายชิ้น ให้คนที่เค้าสามารถเช็คพลังได้

เค้าสามารถบอกได้ว่าของสองชิ้นนั้น มีพลังที่เหมือนกัน มาจากคนๆเดียวกัน

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อันนี้เขาเรียกว่า จับพลังครับ

แต่ที่อยากรู้คือ พวกกุมารทองนี้แหละครับ ว่า ธาตุรู้ จะไปเข้าสถิตในตัวกุมาร ปั้นหล่อได้หรือไม่ครับ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภัทรพงศ์ เขียน:
ท่านธรรมภูตครับ พุทธศาสนาปฏิเสธ อัตตามาตลอดนะครับ ไม่ว่า จะเป็นส่วนรูปหรือนาม สังขตธรรมหรืออสังขตธรรม ผมคงยุติประเด็น การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนวนี้แล้วครับ
สุดท้ายนี้หากได้ล่วงเกินขอได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมด้วยครับ tongue

คุณภัทรพงศ์ครับ พระพุทธศาสนของเรานั้น ต้องยืนอยู่บนหลักเหตุผลที่ถูกต้อง

พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธอัตตา(ขันธ์๕) ด้วยคำว่าอนัตตา(ไม่ใช่ตน)หาอ่านเอาในอนัตตลักขณสูตรเอา

คำว่าอนัตตาความหมายชัดเจนว่าไม่ใช่ตน ไม่ได้บอกว่าไม่มีตนที่เป็นที่พึ่งได้สักหน่อย

เช่นนายก.ไม่ใช่พ่อนายข. แสดงว่านายข.มีพ่อแต่ไม่ใช่นายก. ไม่ได้บอกว่านายข.ไม่มีพ่อ

คุณต้องรู้จักเรื่องอัตตาเสียใหม่ คำว่าอัตตาแปลได้หลายนัยยะ

เช่นรูปร่างกายที่เป็นตัวๆ การเข้าไปยึดถืออารมณ์ความรู้สึกนึกมาเป็นของๆตน

การอยู่ในอารมณ์รูปฌาน-อรูปฌาน และที่สำคัญคือ สิ่งเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ฯลฯ

ส่วนเรื่องสังขตธรรมหรืออสังขตธรรมนั้น ตามอ่านที่ผมเอามาลงให้ดีๆครับ แล้วจะเข้าใจ

อย่าเชื่ออะไรโดยที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ด้วยการลงมือกระทำเพื่อเห็นเกิดผล เห็นจริงแล้วค่อยเชื่อครับ

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
ก้อนหินเป็นธาตุผสมระหว่างธาตุสี่ เป็นรูปที่ไม่มีจิตครองหรือที่เรียกว่าอนุปาทินกสังขาร
ส่วนรูปร่างกายมนุษย์เป็นธาตุผสมระหว่างธาตุสี่เหมือนกัน
แต่เป็นรูปที่มีจิตครอง(ธาตุรู้)หรือที่เรียกว่า อุปาทินกสังขาร
ดังนั้นมนุษย์จึงรู้อะไรได้ เพราะจิตเป็นธาตุรู้ ถึงไม่รู้ก็รู้ว่าไม่รู้
ส่วนภพคือที่อาศัยของจิต
เมื่อไม่ปรากฏสิ่งใดๆ ธาตุชนิดหนึ่งจะเรียกว่า ธาตุรู้ หรือไม่
คุณกำลังจะสื่ออะไรบอกให้ชัดเจนหน่อย อย่ามัวอมพะนำอยู่เลย
อยากจะพูดอะไรแสดงได้เต็มที่ จะได้รู้ว่ารู้อะไรบ้าง รู้สึกว่าจะไม่เข้าใจเรื่องจิตนะ


ท่านธรรมภูต
การที่ เช่นนั้น เฝ้าถาม เรื่องจิต ต่อท่านธรรมภูต เพียงเพื่อสะกิดท่านธรรมภูต ให้รู้ว่า
เว้นเสีย จาก นิพพาน เป็นอสังขตะธรรม แล้ว ธรรมทั้งปวงหรือ สิ่งทั้งปวง เป็นสังขตะ

ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุน้ำ ธาตุไฟ แม้แต่วิญญาณธาตุ ก็เป็นสังขตะ ล้วนแล้วแต่ ไม่พ้นไปจาก สามัญลักษณะทั้ง 3 คือไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น

เมื่อท่าน รู้ธาตุดิน เป็นเพียงความเป็นธาตุดิน
เมื่อท่านรู้ ธาตุน้ำ เป็นเพียงความเป็นธาตุน้ำ
เมื่อท่านรู้ ธาตุลมเป็นเพียงความเป็นธาตุลม
เมื่อท่านรู้ ธาตุไฟ เป็นเพียงความเป็นธา่ตุไฟ
เมื่อท่านรู้ ธาตุรู้ เป็นเพียงความเป็นธาตุรู้
...

สักกายะ หรืออัตตาย่อมตั้งขึ้นได้

เพราะท่านไม่เห็นปัจจัย แห่งธาตุ เหล่านั้น

ในบรรดาธาตุดิน ธาตุดินอันเป็นภายนอกก็มี ธาตุดินอันเป็นภายในก็มี
ในบรรดาธาตุน้ำ ธาตุน้ำอันเป็นภายนอกก็มี ธาตุน้ำอันเป็นภายในก็มี
ในบรรดาธาตุลม ธาตุลมอันเป็นภายนอกก็มี ธาตุลมอันเป็นภายในก็มี
ในบรรดาธาตุไฟ ธาตุไฟอันเป็นภายนอกก็มี ธาตุไฟอันเป็นภายในก็มี

ธาตุ ทั้ง4 นั้นจะปรากฏ โดด ก็หามิได้ เพราะ ธาตุทั้ง 4 นั้นล้วนเป็นปัจจัยแก่กันและกัน
ผู้ศึกษาย่อมไม่อาจสำคัญในความเป็นธาตุดิน
ผู้ศึกษาย่อมไม่อาจสำคัญในความเป็นธาตุน้ำ
ผู้ศึกษาย่อมไม่อาจสำคัญในความเป็นธาตุลม
ผู้ศึกษาย่อมไม่อาจสำคัญในความเป็นธาตุไฟ

แม้แต่ ธาตุรู้ ก็ยังมีธาตุ 4 อันเป็นภายในเช่นกัน
รู้หนักแน่น รู้โอนเอน รู้ซ่านไป รู้เร่าร้อน รู้มาก รู้น้อย ย่อมมีปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุอันเป็นภายใน เป็นปัจจัย แม้ธาตุรู้ ยังต้องอาศัยวิญญาณเป็นอาหาร เช่นกัน

แม้แต่จุติจิต ปฏิสนธิจิต ที่เคลื่อนไป ดำเนินไป ก็ยังมีกรรมเป็นอาหาร

ท่านเพียงแต่เข้าใจคุณสมบัติของธาตุ ว่ามีลักษณะเฉพาะอย่างไร แต่ท่านยังไม่เข้าใจ สังขตะ และอสังขตะ ซึ่งเหตุการณ์หรือลักษณะ ความเข้าใจที่ท่านเป็นอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่ประการใด
เพราะ สิ่งที่ท่านรู้ท่านเข้าใจ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ ใน มูลปริยายสูตร ในพระสูตรแรกสุด ที่มีบันทึกไว้ในมัชฌิชมนิกาย มูลปัณณาสก์

เช่นนั้น ถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อให้ท่านได้ มีฉันทะเข้าไปศึกษาในพระสูตร บทนั้นให้ดี ซึ่งแม้แต่ เช่นนั้น เองก็ยังต้องศึกษาอีกมากเช่นกัน

จิตนั้นเที่ยวไปดวงเดียว ... แต่เมื่อท่านค้นหาที่จิตนั้นย่อมไม่เจอ สิ่งทั้งปวงล้วนมีเหตุปัจจัย เว้นเสียแต่อสังขตะธรรม คือนิพพาน อันเป็นความดับแห่งเหตุ ปัจจัย

คุณเช่นนั้นครับ ผมไม่แปลกใจที่คุณเข้าใจเช่นนั้น

เพราะคนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกับคุณ เพราะเลือกจะเชื่อจากตำราโดยไม่เคยนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง

ถ้าพระนิพพานเป็นอสังขตธรรมเพียงเดียวแล้ว และสิ่งที่เข้าถึงพระนิพพานหละเป็นอสังขตธรรมด้วยมั้ย?

พระนิพพานมีอยู่เดิมนะใช่ ถ้าไม่มีสิ่งที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว จะบอกได้มั้ยว่าพระนิพพานมีอยู่จริง

แล้วของที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น ต้องมีคุณลักษณ์ที่เป็นของมีอยู่เดิม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้มีใช่มั้ย???

อย่าลืมความจริงสิว่า พระนิพพานเป็นคุณลักษณะของอะไรสักอย่างหนึ่งใช่มั้ย???

พระนิพพานคือความสิ้นไปแห่งโลภะ โทสะ โหละ แสดงคุณลักษณะของพระนิพพานว่างจาก โลภะ โทสะ โมหะ

ผมถามว่าอะไรหละที่ว่างจากโลภะ โทสะ โมหะ ???

ในปฐมพระพุทธพจน์ก็ชัดเจนอยู่แล้วนะว่า

"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
ที่ยกมาแสดงนั้น ขอแจกแจงความให้เข้าใจชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณธาตุ คือ ธาตุ ๖ ที่มาประชุมรวมกันเป็นรูปร่างกาย
แน่นอนเมื่อมาประชุมรวมกันแล้ว ย่อมปรวนแปร ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
เพราะเมื่อมาประชุมรวมกันแล้ว ย่อมกลายเป็นสังขตธรรม
อันเข้าคุณลักษณะของสังขตธรรม คือ
ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑
ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑

แต่ถ้ากล่าวกันถึงที่มาที่ไปของธาตุทั้ง ๖ ล่ะ
ก็จะได้ความที่ชัดเจนลงไปอีกว่า
ธาตุทั้ง ๖ เป็นแม่ธาตุ เป็นธาตุแท้ดั้งเดิม ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆ
เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นแดนเกิดของธาตุผสมต่างๆทุกชนิดในโลกนี้ทีเดียว


:b39:

ธาตุ6ที่คุณบอกมาไม่ใช่เป็นสังขตธาตุหรือครับคุณธรรมภูต
เท่าที่ผมอ่าน ธาตุ ธรรม คืออย่างเดียวกันหรือ ? ผมคิดว่าธาตุก็ธาตุธรรมก็คือ ธรรม :b1:

เมื่อผสมปนเปกันเข้า ย่อมจัดอยู่ในพวกสังขตธรรมทั้งสิ้นครับ

คุณต้องเข้าใจคำว่าแม่ธาตุให้ดีครับ แม่ธาตุแต่ละธาตุมีลักษณะเฉพาะ

เมื่อผสมปนเปกัน ความเป็นลักษณ์เฉพาะก็หายไป เช่นก้อนหินก็ยังมีช่องโพรงอากาศอยู่ในนั้นฯลฯ

ใช่ครับธาตุกับธรรมใช้แทนกันได้ แต่เราควรต้องแยกระหว่าง ธาตุแท้กับธาตุผสม โลกุตรธรรมกับโลกียธรรม

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค



มหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑



[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอา
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะ
เข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปี
บ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปี
บ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ
แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็น
ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ


Quote Tipitaka:
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๒๕๑๙ - ๒๕๖๖. หน้าที่ ๑๐๔ - ๑๐๕.
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... agebreak=0

:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:


ผมเปรียบจิตเหมือนน้ำ น้ำแดง แกงส้ม ต้มฟัก กล้วยบวชชีฯลฯ น้ำเป็นต้นนั้น ก็เหมือนที่เป็นต้นนั้น

ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ในพระสูตรนั้น ล้วนแต่เป็นจิตสังขารทั้งสิ้น

เป็นจิตที่มีการผสม(เข้าไปยึด)กับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดแล้วทั้งนั้น ดวงหนึ่งจึงเกิดขึ้น ดวงหนึ่งจึงดับไป

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
อันนี้เขาเรียกว่า จับพลังครับ

แต่ที่อยากรู้คือ พวกกุมารทองนี้แหละครับ ว่า ธาตุรู้ จะไปเข้าสถิตในตัวกุมาร ปั้นหล่อได้หรือไม่ครับ :b10:

เป็นการใช้พลังจิตในการอันเชิญวิญญาณให้เข้าไปสถิตในวตถุสิ่งของครับ

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


แสดงว่าจิตต้องมีการเกิดดับนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
อันนี้เขาเรียกว่า จับพลังครับ

แต่ที่อยากรู้คือ พวกกุมารทองนี้แหละครับ ว่า ธาตุรู้ จะไปเข้าสถิตในตัวกุมาร ปั้นหล่อได้หรือไม่ครับ :b10:

เป็นการใช้พลังจิตในการอันเชิญวิญญาณให้เข้าไปสถิตในวตถุสิ่งของครับ

:b39:

แสดงว่า ธาตุรู้เข้าไปสถิตในตัวกุมารทองได้ โดยไม่ต้องผ่านการปฏิสนธิ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยซึ่งคืออะไรก็ไม่รู้ เช่นปลุกธาตุ เรียกขันธ์ ตั้งธาตุ ๆลๆ :b10:
และจากสิ่งที่ไม่มีวิญญาณครองก็กลายมาเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณครอง :b10:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 29 พ.ค. 2010, 10:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 226 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร