วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 18:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ได้หลายอย่างนะค่ะ มีกฐิน ผ้าป่า ปิดทอง ลูกนิมิตและมี สัญญาและปัญญา ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
ขอให้เป็นไปด้วยความเอื้อเฝื้อ เกิดความรู้เกิดปัญญานะค่ะ

โมทนานะค่ะทุกท่าน สาธุคะ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย แก้วกัลยา เมื่อ 01 มิ.ย. 2010, 08:15, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:06
โพสต์: 46

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนถามคุณ Eikewsang

อัตตา คืออะไร?
อนัตตา คืออะไร?

ถือว่าแบ่งปันความรู้นะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดอกรัก เขียน:
เรียนถามคุณ Eikewsang

อัตตา คืออะไร?
อนัตตา คืออะไร?

ถือว่าแบ่งปันความรู้นะครับ :b8:


ยินดีครับ คุณดอกรัก

อัตตา คือ ตัวตน เช่น มีความเป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา
มนุษย์สะสมความเห็นผิดไว้ โดยการยึดว่า มีเรา มีเขา มีสัตว์ บุคคล เรียกว่า อัตวาทุปาทาน

สังเกตุคำนี้นะครับ มาจากคำว่า อัตตะ + วาทะ + อุปาทาน
ก็คือ แม้แต่คำที่บัญญติขึ้นเพื่อใช้เรียก ท่านยังต้องใส่คำว่า "วาทะ" ไว้ด้วย
เน้นว่า อัตตา ที่จะให้อุปาทานเข้าไปยึดไว้นั้นไม่มี

แต่ที่ไปยึดไว้นั้น เป็น "วาทะ" ของมนุษย์ที่ว่า มีอัตตาอยู่ แล้วจึงเข้าไปยึดไว้

ซึ่งแท้จริงแล้ว เราไม่มีอยู่จริง แต่เกิดจากการประชุมกันของขันธ์ ๕

สรุป

อัตตา คือ ตัวตน เรา เขา

อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:06
โพสต์: 46

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณนะคร้าบบ
ขอต่ออีกนิดครับ ที่ว่านิพพานเป็นอนัตตานี่ รู้เห็นเองหรือว่าพูดตามตำราครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ขออนุญาติ จขกท ด้วยครับออกนอกเรื่องไปไกล
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัตตา และอนัตตา เป็นนิรุตที่อธิบายองค์ธรรม ต่างหัวข้อธรรม

อัตตา เป็นนิรุต ที่อธิบาย ถึงความยึดมั่นว่าเป็นตน เป็นของตน มีในตน กล่าวโดยย่อคือ อุปาทานขันธ์ 5. ความเห็นยึดถือเกี่ยวกับอัตตา เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน.

อนัตตา เป็นนิรุต ที่อธิบายถึงสัจจะหนึ่ง ในสามัญลักษณะของสิ่งทั้งปวง และธรรมทั้งปวง ซึ่งสามัญลักษณะของสิ่งทั้งปวง หรือสังขารธรรมทั้งปวง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. และธรรมทั้งหลาย ก็มีลักษณะ อนัตตา ด้วยเช่นกัน คือไปอาจเป็นไปตามอำนาจได้.

ดังนั้น แม้แต่อัตตาเอง ก็มีสภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน.

นิพพาน ไม่ใชสังขารธรรม เป็นวิสังขารธรรม จึงพ้นสภาพที่อธิบายโดย สามัญลัษณะ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ แต่มีลักษณะนิจจัง สุขขัง และอนัตตา.

เหตุที่นิรุต ได้แสดงไว้ว่าเป็น นิจจัง สุขขัง อนัตตา ก็เพราะ นิพพาน นั้นไม่มีสภาวะเกิด มีแต่สภาวะดับ
นิพพาน ไม่ได้มีสภาวะที่เกิดขึ้นในขันธ์ 5 แต่มีสภาวะที่ขันธ์5 เข้าถึงความดับ, นิพพานไม่มีสภาวะ สุข ทุกข์ อทุกขมสุข แต่จิตเสวยวิมุติสุข, จิตเป็นขันธ์ 4 ไม่อาจทำนิพานให้เกิดในจิตได้ แต่จิตเข้าถึงนิพพานได้.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนิพพาน ขอแค่นี้นะค่ะ ไม่ใช่วิสัยผู้ที่ไม่บรรลุธรรมจะแสดงธรรมที่ตนเองไม่ได้บรรลุ
ขอความกรุณานะค่ะ สาธุคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


[url]30315.นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา[/url]


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 01 มิ.ย. 2010, 14:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ถูก-ผิดประการใด...ขอท่านอื่นชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ...ข้าพเจ้าเสนอความคิดดังนี้...
:b1:
...ขันธ์ 5 ประกอบด้วย กายกับจิตของมนุษย์ (รวมอาการ32ประกอบด้วยธาตุ4ดิน น้ำ ลม ไฟ) ...
...เมื่อไข่+อสุจิเกิดปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์เป็นขันธ์ 5 เกิดรูปธรรมในกายกับนามธรรมในจิต...
...กลายมาเป็นขันธ์ 5 อันประกอบด้วย รูปธรรมคือรูป(กายของเราทุกคน)...
...นามธรรมคือจิต (แสดงออกมาเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)...
...สัญญาเป็นหนึ่งในนามธรรมที่จิตแสดงออกเกี่ยวกับความจดจำสิ่งต่างๆ...
...ซึ่งสัญญาเป็นนามธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิตผ่านอายตนะ6คือ...
...ตามองเห็น หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส ใจปรุงแต่งเกิดกิเลส...
:b16:
...โดยการรับรู้ผ่านอายตนะ6ทำให้เกิดเวทนาก่อน จึงเกิดสัญญา สังขารและวิญญาณตามลำดับ...
...สัญญาเกิดจากมีการรับรู้ความรู้สึกเวทนาสุข-ทุกข์ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...ซ้ำๆนานเข้าเกิดการจดจำว่าสิ่งใดทำให้สุขสิ่งใดทำให้ทุกข์แล้วปรุงแต่งเป็นสังขาร...
...เกิดการยึดติดในมโนวิญญาณแล้วสร้างภาพการเกิด-ดับของจิตต่อสิ่งที่รับรู้หลายๆอย่าง...
...ปรุงแต่งสุข-ทุกข์ตลอดเวลา...เมื่อสิ่งใดทุกข์ก็ไม่ปรารถนา...สิ่งใดสุขก็ปรารถนาจะให้ได้มา...
...เกิดการเรียนรู้และจดจำและเลือกในสิ่งที่จิตปรุงแต่งไปในทางชอบใจมาเก็บไว้ในความทรงจำ...
...การกระทำจึงทำเพื่อให้ได้ดั่งใจตนปรารถนาที่ได้สะสมไว้เป็นความโลภ โกรธ หลงที่ใจตนแล้วนั่นเอง...
:b4: :b4:
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
...ต่อเนื่องจากข้างบน...ต่อเมื่อได้เข้ามาปฏิบัติธรรมคือกรรมฐาน 2 อย่าง...
...คือใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดของตนเองเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของจิตใจ...
...โดยฝึกการสละออกของจิตใจที่ตนเองสั่งสมไว้มานานเพื่อให้ละโลภ โกรธ หลง...
:b17:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 22:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดอกรัก เขียน:
ขอบพระคุณนะคร้าบบ
ขอต่ออีกนิดครับ ที่ว่านิพพานเป็นอนัตตานี่ รู้เห็นเองหรือว่าพูดตามตำราครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ขออนุญาติ จขกท ด้วยครับออกนอกเรื่องไปไกล
:b8:


มาจากตำราครับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา

สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

สังขารธรรม (สัพเพสังขารา)........คือ จิต เจตสิก รูป

ส่วนธรรมทั้งหลาย (สัพเพธรรมา)...คือ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน

ขออนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 00:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Eikewsang เขียน:
คุณกบฯ เส้นผมบังภูเขาหรือไงครับ


จะว่าอย่างนั้น..ดูจะชมเกินไปมั้งครับ :b12:

อ้างคำพูด:
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา

สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

สาธุ.. :b8:

อ้างคำพูด:
สังขารธรรม (สัพเพสังขารา)........คือ จิต เจตสิก รูป
พอจะเข้าใจ..คับ

อ้างคำพูด:
ส่วนธรรมทั้งหลาย (สัพเพธรรมา)...คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
ก็พอจะเข้าใจ..คับ

อ้างคำพูด:
ดังนั้น จิต เจตสิก และ รูป จึงอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ เป็น อนิจจัง ทุขัง อนัตตา
ตรรกะแบบนี้..ก็พอได้..นะคับ

อ้างคำพูด:
สัญญา เป็นเจตสิกกลุ่มที่เข้าประกอบได้ทั้งจิตที่เป็นกุศล อัพพากต และ อกุศล
...ครับ
อ้างคำพูด:
ปัญญา เป็นเจตสิกที่เข้าประกอบจิตที่เป็นกุศล
..แน่แล้วหรือคับ..เดียว????..ใว้ก่อนคับ
อ้างคำพูด:
เพราะฉะนั้น ทั้งสัญญา และปัญญา......เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
..????ใว้ก่อนคับ

อ้างคำพูด:
กล่าวโดยเฉพาะ คือ
เป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่อาจตั้งอยู่ได้ตลอดไป เมื่อมีเกิด ก็มีแปรปรวน
เป็นทุกขัง คือ เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องดับไปในที่สุด
เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ บังคับการเกิด-ดับไม่ได้

..ครับ

หากจะกล่าวถึง..ปัญญา..คือรู้..ต้องรู้ตามความเป็นจริงเท่านั้น..จึงเรียกปัญญา..อันนี้เข้าใจตรงกันนะครับ

อย่างไร..จึงเรียกว่ารู้ตามความเป็นจริง..???..รู้อริยะสัจ 4 จึงเรียกรู้ตามความเป็นจริง..อันนี้เข้าใจตรงกันนะครับ

ทีนี้..ผู้ที่กำลังเพียรเพื่อการพ้นทุกข์..ก็เพราะรู้มันทุกข์...จึงปรารถณาพ้นทุกข์
เมื่อ..รู้.อย่างนี้แล้ว..ความรู้นี้..เปลี่ยนแปลงไปไหม??

ใน..อริยะบุคคล..ขึ้นชื่อว่า..ไม่ย้อนกลับคืนสู่ปุถุชน..รู้ทุกข์..ย่อมไม่แปรเป็นไม่รู้..
ความรู้ในทุกข์..ของอริยะบุคคล..ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงเป็นความไม่รู้ไปได้..

จากตัวอย่างนี้..
ความรู้..หรือปัญญานี้..ยังจะจัดเป็นเจตสิกอันเป็นส่วนของสังขารอันไม่เที่ยง..ได้หรือ??

..ข้อนี้..กัลณยาณมิตร..คิดอย่างไร???

เป็นไปได้หรือไม่..ที่ปัญญาของพระอริยะบุคคลอยู่นอกสังขารธรรม..???

..ข้อนี้..กัลณยาณมิตร..คิดอย่างไร???

เอาแค่นี้ก่อน..นะครับ
:b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 02 มิ.ย. 2010, 00:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:06
โพสต์: 46

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Eikewsang เขียน:
ดอกรัก เขียน:
ขอบพระคุณนะคร้าบบ
ขอต่ออีกนิดครับ ที่ว่านิพพานเป็นอนัตตานี่ รู้เห็นเองหรือว่าพูดตามตำราครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ขออนุญาติ จขกท ด้วยครับออกนอกเรื่องไปไกล
:b8:


มาจากตำราครับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา

สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

สังขารธรรม (สัพเพสังขารา)........คือ จิต เจตสิก รูป

ส่วนธรรมทั้งหลาย (สัพเพธรรมา)...คือ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน

ขออนุโมทนาครับ


ขอบคุณคร้าบบบ อิอิ.. เดียวโดนดุ สาธุ :b8: :b28: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดอกรัก เขียน:
ขอบคุณคร้าบบบ อิอิ.. เดียวโดนดุ สาธุ :b8: :b28: :b32:

เปล่าดุนะค่ะ :b32: แค่อยากให้อยู่ในกรอบของกระทู้เท่านั้นคะ :b28:
สาธุคะ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย แก้วกัลยา เมื่อ 02 มิ.ย. 2010, 12:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แก้วกัลยา เขียน:
สัญญา กับ ปัญญา นี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ขอขอบพระคุณนะค่ะ สาธุคะ :b8:

สัญญา คือ จำได้หมายรู้ เหมือนเรียนหนังสือ เรียนแล้วก็จำได้ ฟังเขาเล่าก็จำได้ ท่านกล่าวว่า สัญญาเป็นอนัตตา อยากให้ลืมก็ไม่ลืม ให้จำก็ไม่จำ ตั้งใจรักษาไว้ ก็ยังลืม บอกก็ไม่ได้ ห้ามก็ไม่ฟัง เอาใจยาก ไม่อยู่ในบังคับบัญชา

ความจำแบบสัญญา เป็นความจำเป็นตรงไปตรงมา ไม่ประกอบด้วยเหตุผล ผู้มีความจำแบบสัญานี้ มักจะสำคัญผิดว่า ตนเป็นผู้มีปัญญา ตนเป็นผู้มีความรู้มาก เป็นเลิศเหนือใคร ทำให้เกิดทิฏฐิมานะ เกิดความหลงตน ไม่ยอมลงใครง่าย ๆ ทั้ง ๆ กิเลสตัวเดียวก็ถอนไม่ได้ เรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

สัญญา ไม่ใช่ ปัญญา แต่เป็นแนวทางให้เกิดปัญญา สัญญา ต่างจาก สติ ความระลึกได้ ที่ระลึกได้พร้อมด้วยเหตุผล สัญญาจะเป็นปัญญาได้นั้น ต้องเป็นสัญญาประกอบกับสติ

ปัญญา คือ ความรู้เห็นตามความเป็นจริง ความเข้าใจ ปัญญาทางธรรม คือ ปัญญาพร้อมที่จะถอดถอนทิฏฐิมานะ ความสำคัญมั่นหมายที่ผิดๆ อันเป็นกิเลสตัณหาน้อยใหญ่ทั้งมวล ออกไปจากใจ ยิ่งมีปัญญามาก จิตก็ยิ่งสงบมาก ปัญญามีกำลังมากเท่าใด ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ก็ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้นเท่านั้น

โปรดอ่านด้วยความพินิจพิเคราะห์ เพราะมีผิดมีถูก
พิจารณาให้มากๆ นะขอรับ สาธุครับทุกท่าน.. :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อไปเรื่องสังฆทาน :b32: :b12: มีความเป็นมาอย่างไรดูกันที่

viewtopic.php?f=23&t=26035

ไม่ใช่ง่ายนักนะครับเกี่ยวกับสังฆทานเนี่ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร