วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1.bmp
1.bmp [ 378.86 KiB | เปิดดู 7071 ครั้ง ]
เจริญกรรมฐานด้วยสติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้


คนเราที่จะอยู่อย่างดีนี้ จะต้องดำเนินชีวิตเป็น คือ รู้จักดำเนินชีวิตนั่นเอง
ถ้าใครรู้จักดำเนินชีวิต ชีวิตนั้นก็เป็นชีวิตที่ดีงาม เป็นชีวิตที่พัฒนาเจริญก้าวหน้า
ประสบประโยชน์สูง


แต่ถ้าดำเนินชีวิตไม่เป็น ก็จะมีแต่ขาดทุน และประสบแต่ความทุกข์ และความเสื่อม
ฉะนั้น จะต้องรู้จักดำเนินชีวิต หรือดำเนินชีวิตเป็น


ญาติโยมเอ๋ย โปรดทราบไว้เถอะว่า
บุญกรรมนั้นมีจริง บาปกรรมนั้นมีจริง ยมพบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด

จดทุกวันคืออารมณ์ เรื่องจริงแน่ จดทุกกระเบียดนิ้ว บาปบุญคุณโทษ บันทึกเข้าไว้
ถ้าเราทำกรรมดี ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไป


วันนี้ อาตมาขออนุโมทนาสาธุการส่วนกุศลที่ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญกุศล

เจริญวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ตนเอง โดยเฉพาะด้วย การเจริญสติปัฏฐาน ๔

กาย เวทนา จิต ธรรม พิจรณาโดยปัญญา ตลอดกระทั่งยืน เดิน นั่ง นอน

จะคู้เหยียดขาทุกประการก็มีสติครบ รับรองได้เลยว่า ถ้าโยมทำถึงขึ้น ปิดประตูอบายได้เลย




เพราะเหตุใด เพราะกิเลสทั้งหลาย โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น โยมก็กำหนด
ขณะมีโลภะก็กำหนดโลภะ โลภะก็หายไป


จิตวิญญาณตายขณะมีโลภะ ตายไปเป็นเปรต
กำลังมีโทสะตายไปขณะนั้นลงนรก
มีโมหะรวบรวมอยู่ในจิตไว้มาก ตายไปกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน



แต่ถ้ามีสติปัฏฐาน ๔ มีสติสัมปชัญญะดี อบายภูมิไม่ต้องไป
ปิดประตูนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
ทางอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ทุกประการ


ขอกุศลที่ญาติโยมได้บำเพ็ญไว้แล้ว จงเป็นพลวปัจจัยย้อนกลับเป็นบุญกุศลให้แก่ญาติโยมทั้งหลาย

ประสบความสุขสันต์นิรันดรทุกท่าน และจงพยายามก้าวหน้าผ่านอุปสรรคถึงฝั่งฟากคือพระนิพพาน

โดยทั่วหน้ากัน ณ โอกาสนี้เทอญ

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม



มีชีวิตใหม่ เปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่

ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔



หลวงปู่หล้าเขียนไว้ว่า รู้ตามความเป็นจริง ปฏิบัติตามความเป็นจริง สิ้นสงสัยตามความเป็นจริง ...

พวกเราทั้งหลาย อย่าได้นอนใจในวัฏสงสารเลย จงรีบหลุดพ้นตามคำสั่งของพระบรมศาสดาที่ว่า


" เมื่อพวกเธอทั้งหลาย ยังไม่มีญาณว่าพ้นทุกข์ โดยสิ้นเชิง พวกเธออย่าได้นอนใจนะ "



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงกล่าวไว้ว่า ...

ชีวิตนี้น้อยนัก ... แต่ ... ชีวิตนี้สำคัญนัก

เป็นหัวเลี้ยว หัวต่อ เป็นทางแยก
จะไปสูง หรือ ไปต่ำ จะไปดี หรือ ไปร้าย

เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น

พึงสำนึกข้อนี้ให้ดี แล้วจงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด



หลวงพ่อ พระครู ภาวนานุกูล ชูชัย ( วัดนาค บางปะหัน ) จะสอนเสมอๆว่า ..
ให้ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น รู้ลงไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อยู่กับมัน ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่ดิ้นรนคิดเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข ไม่แทรกแซงสภาวะ เมื่อวิปัสสนา( เห็นตามความเป็นจริง ) หรือ วิปัสสนาญาณ (เห็นแจ้ง ) เมื่อเขาจะเกิด เขาจะเกิดเอง จงขจัดความอยากที่เกิดขึ้นในจิตออกไปให้หมด



พระอาจารย์ปรีชา ( วัดนาค บางปะหัน ) ท่านสอนว่า
จงทำตัวเหมือนแมงมุม ที่กางใยดักเหยื่อ จงจับเหยื่อกินให้หมด



ธรรมทั้งหลายที่ครูบาฯทั้งหลาย
ได้เมตตาถ่ายทอดมาให้นั้น
เราจะสามารถเข้าถึงธรรมและเข้าใจความหมายของธรรมนั้นๆ
ต้อง เจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น จึงจะเข้าถึงและเข้าใจอย่างถ่องแท้

จงเป็นผู้มีความเพียรเจริญสติปัฏฐานกันเถิด

วันเวลานับวันจะล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ
เราไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่า วินาทีต่อไป เราจะมีโอกาสได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่





โชคชะตา เกิดจากอะไร เกิดจากตัวเราเองทำทั้งนั้น ไม่ใช่ใครทำให้เลยแม้แต่สักนิดเดียว
เราทำเขา เขาทำเรา เราไม่ทำเขา เขาก็ไม่ทำเรา

วิธีแก้ ให้แก้ที่ต้นเหตุ คือ หยุดการกระทำทั้งสิ้น คนที่หยุดคือเราเอง ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย
ถ้าเรายังต่อหรือยังกระทำใดๆลงไป นั่นคือ เราก่อภพก่อชาติออกไปเรื่อยๆ

การเลือกที่จะนิ่ง มันดีกว่า เลือกที่จะขยับตัวนะ พอมีการขยับตัว นั่นคือเราไปคิดแก้ไข
เท่ากับเราไปแทรกแซงสภาวะ มันวุ่นวายกว่าเดิมอีกนะ แทนที่จะจบลงด้วยตัวของสภาวะนั้นๆเอง
เหตุที่กระทำ และ ผลที่ได้รับ เราไม่ได้สร้างเหตุ ผล ย่อมไม่มีเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

กิเลสนี่มันซ้อนๆลึกๆมากๆหลายๆชั้น กิเลสในใจของแต่ละคนที่มีอยู่จริงนั้นน่ากลัว
ถ้ายังไม่รู้จักตัวกิเลสที่แท้จริง ที่มีอยู่ในใจของแต่ละคน ฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
ที่คนเราทำอะไรส่วนมากเป็นไปตามกิเลสของแต่ละคน เพราะสติ สัมปชัญญะที่มีมากหรือน้อยไม่เท่ากัน
จึงไม่สามารถที่จะแยกแยะ ดี ชั่ว ผิด ถูก ได้ตามความเป็นจริง มีแต่กระทำทุกอย่างตามความคิดของตัวเองที่คิดว่า นั่นถูก นี่ผิด

ถ้าเราเห็นแล้ว จะทำให้เข้าใจคนอื่นๆมากขึ้น รู้จักให้ความเมตตาและให้อภัยต่อผู้คนเเหล่านั้นมากขึ้น
ทุกคนทำสิ่งต่างลงไปด้วยความไม่รู้ ถ้าทุกคนสารถเห็นตามความเป็นจริงได้ การมาทำร้ายกัน จะไม่มีเกิดขึ้นเลย

เจ้าตัว " กูรู้ กูเก่ง กูดี " ตัวนี้แหละ ตัวก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ ถ้าเราคิดว่า เราดี เมื่อไหร่นะ
จำไว้เลย ชีวิตเรากำลังเข้าสู่มุมอับแล้ว

เจ้าตัว ดี ตัวนี้แหละ ตัวทำลายชีวิตของเรา มี กู เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ภพชาติเกิดใหม่ทันที
การปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นต้องเห็นกิเลสของตัวเอง ต้องรู้จักกิเลสในใจของตัวเองนะ
ไม่ใช่ไปรู้เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องชาวบ้าน รู้นอกตัวแบบนั้น มันไม่ใช่เลย อันนั้นรู้ผิดทางแล้ว

ก่อนที่เราจะเข้าใจ หรือ รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคนอื่นๆได้ เราต้องเข้าใจ
และรู้จักกิเลสที่มีอยู่ในใจของเราก่อน

เหมือนที่หลวงพ่อจรัญ ท่านสอนบ่อยๆนะ " อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น "
ถ้าเราเห็นกิเลสและรู้จักกิเลสที่แท้จริงในใจเราได้เมื่อไหร่ เราถึงจะใช้ตัวเป็น
ใช้แบบถูกต้อง ภพชาติก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าใช้ ถูกผิดเอาตามความคิดของตัวเอง
นั่นเท่ากับเป็นการก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ



ผู้ดู ผู้รู้ ตัวผู้รู้ คือใคร

มีคนอีกจำนวนมากที่พยายามหาว่า " ผู้รู้ " ครูบาฯกล่าวถึงนี่คือใคร .. บ้างก็นำมาถกเถียงกัน
บ้างก็นำมาเอ่ยอ้างกัน แต่ไม่มีใครขยายใจความเลยสักคนเดียว แล้วผู้รู้คือใครกันล่ะ
ผู้รู้นี่ก็คือ จิตเรานี่เอง แต่มีหลายสภาวะ ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะ

ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา จนกระทั่งปิดเปลือกตาลง จะมีสองสิ่งที่เกิดขึ้น ...
เมื่อเราลืมตาขึ้น .. จะมี ผู้ดู เกิดขึ้น ... และ สิ่งที่เกิดขึ้น
ซึ่งมันมี มันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีผู้ดูหรือไม่มีผู้ดูก็ตาม
พอลืมตาได้สักพัก ... เริ่มมองเห็นสภาพรอบๆตัวชัดเจน

ตอนนี้เริ่มมี ผู้รู้ เกิดขึ้น กับ สิ่งที่ถูกรู้
ทำไมถึงเรียกว่าผู้รู้ เพราะเขารู้ และ สิ่งที่เขาเห็นแล้วเรียกนั้น เป็น สิ่งที่ถูกรู้

ต่อมา มี ตัวผู้รู้ เกิดขึ้น .. ตัวผู้รู้ เกิดขึ้นจากอะไร เกิดจากเอาตัวตน
ที่ตัวเองคิดว่าตัวเองมีตัวตน เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเห็น

แล้วสิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนสภาพเป็น ใช่ และ ไม่ใช่ ถูก และ ผิด พอใจ และ ไม่พอใจ
เลยเป็นการก่อภพก่อชาติ ก่อเหตุขึ้นมาใหม่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

เมื่อคนๆนี้ ได้เจริญสติปัฏฐาน 4 ย่อมมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น ...
ตัวผู้รู้ ที่มีอยู่ ย่อมลดน้อยลงไป สุดท้ายเหลือเป็นเพียงแค่ ผู้รู้
ส่วนสิ่งที่มีคำว่า ใช่ และ ไม่ใช่ ถูก และ ผิด พอใจ และ ไม่พอใจ ย่อมแปรสภาพกลับมา เป็น สิ่งที่ถูกรู้

ต่อมาเมื่อ มีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น ผู้รู้ ย่อมหายไป จะเปลี่ยนเป็น ผู้ดู และ
สิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

และสิ่งที่เกิดขึ้นจะแสดงเป็นไตรลักษณ์ให้เห็น ซึ่งมันมีของมันอยู่แล้ว
เพียงแต่เรายังมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เพราะตราบใด ที่ยังมีเราเขา( ตัวผู้รู้ )เข้าไปเกี่ยวข้อง
ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้เลย

ผู้ดู (มี สติ สัมปชัญญะดี ) สิ่งที่มากระทบ คงสภาพตามที่เป็นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ..
ไม่มีเหตุ ( ไม่มีการกระทำ ) ย่อมไม่มีผล ( ผลที่ได้รับจากการกระทำ )

ผู้รู้ (เริ่มมีตัวตน )สิ่งที่มากระทบกลายเป็น สิ่งที่ถูกรู้ ... มีเหตุนิดๆคือความคิด ผลย่อมมีแน่นอน
( กรรมคือการกระทำ วิบากคือผล ถึงจะเป็นเพียงความคิด ก็ต้องรับผลแน่นอน มากน้อยอยู่ที่คิด )

ตัวผู้รู้ ( สิ่งที่มากระทบ + ตัวกู ) ... สภาวะเปลี่ยนไป เป็น ชอบใจ ไม่ชอบใจ ถูก ผิด ทุกข์ สุข
ตามความคิดของตัวเอง ตัวนี้แหละสำคัญก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ

มิจฉาสติ กับ สัมมาสติ

ในเมื่อกรรมฐานมีตั้ง 40 กอง เท่าที่อ่านๆมา แล้วที่นอกเหนือกว่านั้นอีกก็มี
ถ้าได้อ่านเรื่องราวในสมัยพุทธกาล

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นนักหนา เรื่อง สติปัฏฐาน ๔

สติ แปลว่า แปลว่า ความระลึกได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น

สติเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมกับจิต รับอารมณ์เดียวกับจิต โดยองค์ธรรมได้แก่ สติเจตสิก

สติ ตามแนวปฏิบัติ มีอยู่ ๓ ประเภท

๑. สติขั้นต่ำ ได้แก่ สติของบุคคลธรรมดาสามัญ ซึ่งมีอยู่กันทุกคน เช่น จะขับรถก็ต้องมีสติ
จะเขียนหนังสือก็ต้องมีสติ จะอ่านหนังสือก็ต้องมีสติ จะลุก จะยืน ฯลฯ ก็ต้องมีสติด้วยกันทั้งนั้น
ต่างกันตรงที่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่ากันเท่านั้น
ถ้าใครขาดสติจะทำอะไรผิดๆพลาดๆ ลืมโน่น ลืมนี่บ่อยๆ

๒. สติขั้นกลาง ได้แก่ สติของผู้บำเพ็ญมหากุศล เช่น ทำทานรักษาศิล เรียนธรรม
ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เจริญสมถกรรมฐานเป็นต้น

๓. สติขั้นสูง ได้แก่ สติของนักปฏิบัติธรรม ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน
ตามแนวแห่งมหาสติปัฏฐาน ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงไว้


ในการใช้ชีวิตโดยทั่วๆไป ปกติเราท่านทุกรูปทุกนามล้วนมีสติเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว
แต่ทุกคนลืมตรงนี้กันไป " สัมปชัญญะ "

สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว หรือ ความรู้สึกตัว
รู้ตัวหรือรู้สึกตัวอะไร รู้ตัวหรือรู้สึกตัว ในขณะที่กำลังกระทำการอยู่


เช่น เราหยิบแก้วน้ำ เรามีสติระลึกว่า กำลังจะหยิบแก้วน้ำ แล้วถ้ามีสัมปชัญญะเกิดร่วมด้วย
เราย่อมมีความรู้สึกตัวหรือรู้ตัวขณะที่หยิบแก้ว

แต่ถ้าในกรณีที่ไม่มีสัมปชัญญะเกิดร่วมด้วยนั้น บางทีเราระลึกว่า จะหยิบแก้วน้ำนะ
แต่บังเอิญว่า มีสิ่งอื่นมากระทบที่หักเหความสนใจในการหยิบแก้วน้ำ
คุณอาจจะหยิบแกวได้ แต่อาจจะหล่น หรืออาจจะลืมหยิบ เพราะมัวไปสนใจสิ่งที่มากระทบ
บางทีต้องมายืนคิดว่า เอ ... เมื่อกี้เราคิดจะทำอะไร?


เหตุที่พระพุทธองค์ทรงเน้นนักหนาเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ นั้น ก็เนื่องจากเหตุของสติ ที่ขาดสัมปชัญญะ
ในการเจริญสติปัฏฐานนั้น ไม่ว่าจะ กาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนก่อให้เกิดทั้งสติ และ สัมปชัญญะ

เช่น การเดินจงกรม ทำไมบางจึงต้องมีรูปแบบ ทำไมบางที่ไม่ต้องมีรูปแบบ
เหตุที่บางที่ มีรูปแบบเนื่องจาก ผู้แนะนำในการสอน ท่านปฏิบัติได้เช่นนั้น ท่านจึงแนะนำแบบนั้น
เหตุที่ไม่มีรูปแบบ ก็เนื่องจากเหตุเช่นเดียวกัน

บางที่อาจจะใช้คำพูดว่า เดินยังไงก็ได้ ให้รู้สึกตัว หรือ รู้ตัว นี่คือ สัมปชัญญะ
เพียงแต่อาจไม่คุ้นหูของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาปริยัติ ว่า ความรู้ตัวหรือรู้สึกตัวนี่คืออะไร
รู้แต่ว่าเขาให้เดิน ก็เดิน เพียงแต่อาจจะเป็นพวกที่ไม่ขี้สงสัย ก็เลยไม่ถามกัน

เหตุที่ต้องมาฝึกเจริญสติกัน เพื่อให้มีสัมปชัญญะเกิด
ปกติ สติในคนทั่วๆไป ย่อมมีสติเป็นปกติอยู่แล้ว



แต่สัมปชัญญะ ไม่อาจจะมีได้ตลอดเวลา จึงต้องมาเจริญสติกันเพราะเหตุนี้


สติที่เป็นมิจฉาสติ เพราะไม่มีสัมปชัญญะเป็นองค์ประกอบ
สติที่เป็นสัมมาสติ เพราะมี สัมปชัญญะเป็นองค์ประกอบ

ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีแต่สติ แต่ขาด สัมปชัญญะ
หรือมีสัมปชัญญะ แต่ขาดสติ ถือว่าเป็น มิจฉาสติทั้งสิ้น



ทั้งสติและสัมปชัญญะ จะรู้ได้โดยสภาวะ ไม่ใช่รู้เพียงแค่บัญญํติ
ต้องเข้าใจด้วยว่า สติโดยสภาวะที่เกิดนั้นมีอาการอย่างไร
สัมปชัญญะโดยสภาวะที่เกิดนั้นมีอาการอย่างไร


นี่คือ คำตอบของคำถามที่ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงเน้นนักหนาเรื่อง สติปัฏฐาน
เพราะในการเจริญสติปัฏฐานนั้น จะได้ทั้งสติ และสัมปชัญญะ
ไม่ใช่แค่สติ แต่ขาดสัมปชัญญะ หรือ มีสัมปชัญญะแต่ขาดสติ
ขึ้นชื่อว่า สติ สัมปชัญญะ ถ้าองค์ธรรมตัวใดตัวหนึ่ง นั่นคือ มิจฉาสติ

ที่พึ่งที่แท้จริงของเรานั้นคือ สติ สัมปชัญญะ เท่านั้น ไม่ใช่ไปพึ่งนอกตัวแต่อย่างใด
เรามีพระรัตนตรัย ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้ตั้งใจที่จะกระทำความดี
และเป็นผู้มีความเพียรอย่างต่อเนื่อง

ดั่งคำที่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า " อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ " ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
เหตุเป็นมาดังนี้แลฯ

คำว่า " มีที่พึ่งแห่งตน " มาจากคำว่า คำเต็มๆว่า

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
ขุ. ธ. ๒๕/๓๖.

ตนแล เป็นที่พึ่งของตน คนอื่น ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 26 พ.ค. 2010, 19:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจากกระทู้นี้
viewtopic.php?f=7&t=25996&st=0&sk=t&sd=a


May 17

เจริญสติ ปฎิบัติให้ต่อเนื่องไป แล้วสภาวะเขาจะนำทางเอง
แล้วหมูจะได้คำตอบทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเชื่อคำพูดใคร




" เจริญสติ ปฎิบัติให้ต่อเนื่องไป แล้วสภาวะเขาจะนำทางเอง
แล้วหมูจะได้คำตอบทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเชื่อคำพูดใคร"


ประโยคนี้ คือประโยคที่พี่น้ำพูดย้ำกับเราบ่อยๆ จนขึ้นใจ
ช่วงที่เราเริ่มปฎิบัติกับพี่น้ำใหม่ๆ ตอนนั้นไม่เข้าใจอะไรเลย

อะไรคือจะได้คำตอบทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วจะรู้ได้ยังไงถ้าไม่มีใครบอก
สภาวะนำทางคืออะไร อะไรคือสภาวะ มีแต่ เรื่องไม่เข้าใจทั้งนั้น


แต่เราก็ปฎิบัติเรื่อยมา ทำน้อยบ้าง มากบ้างตามแต่สถาณการณ์จะอำนวย
แต่ไม่เคยทอดทิ้งสักวันเดียว

ถึงจะรู้สึกว่าล้มเหลว ทำไม่ได้ ไม่ได้ผล ถอยหลัง หรือไม่ก้าวหน้า เราก็ยังทำ....
แล้วเราก็เริ่มรู้สึกเข้าใจมากขึ้น โดยไม่มีคำอธิบาย จากการเจริญสติ

ถามว่าเข้าใจอะไร จะอธิบายก้อยาก เอาเป็นว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น


1. ถ้าเป็นสมัยก่อน ต้องสบายใจถึงจะปฎิบัติได้ ต้องรอให้ทุกอย่างพร้อม ไม่มีคนกวน เงียบ
มีเวลาไม่ติดงาน ไม่มีเรื่องเครียด แต่ก่อนถ้าหงุดหงิดแล้วจะปฎิบัติไม่ได้เลย

บางทีไม่หงุดหงิด ปฎิบัติแล้วก็หงุดหงิดจนเลิกไปเอง แต่ตอนนี้เมื่อเรามีปัญหา
ความเครียด หรือความทุกข์ ทันทีที่เราปฎิบัติ เหมือนธรรมมะจะช่วยบำบัดสภาพจิตใจของเรา
ให้เข้าที่และปลอดโปร่ง ช่วยเราแก้ไขปัญหาที่ว่าเครียดๆนั้นได้
คือให้ปล่อยวางไปเลย อย่างน้อยก็ช่วงนั้นๆ

เพราะฉะนั้นยิ่งมีปัญหายิ่งต้องรีบปฎิบัติ แล้วจะแก้ไขปัญหาได้เอง
ไม่ได้หมายความว่า ได้ไอเดียบรรเจิดอะไร แต่สำหรับเราคือเบาใจ
สบายใจขึ้น ไม่เก็บมาเครียดมากๆต่อเนื่อง

แต่ก่อนคือต้องหาอะไรทำเพื่อลืม หรือว่าปล้ำกับความคิดที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น
แต่ยิ่งห้ามก็กลายเป็นยิ่งคิดจนบางที อยากหลับแบบไม่ตื่น

2. ไม่เหงา ไม่ต้องการใครมาเติมเต็มจิตใจ เหมือนแต่ก่อน

3. สิ่งที่เคยทำให้เราทุกข์ แต่เราไม่รู้จักมัน เริ่มวนกลับมาให้เราเห็น อย่างตอนนี้ 4 วันแล้ว
ที่เราทุกข์เรื่องเพื่อน อ่านแล้วอาจจะขัดแย้งกับข้อสอง แต่จริงๆแล้ว มันเป็นสภาวะ

หมายถึงก่อนหน้านี้เราไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนะ กับเพื่อน ยังคงเหมือนเดิมคือการติดต่อ
ก็ไม่ได้ติดต่อกันบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่มีรักษาระยะ ไม่ได้ใกล้ชิด แต่ก็ไม่ได้ลืมกัน
แล้วอยู่ๆ ก็กลับมารู้สึกว่าคิดถึงเพื่อน อยากคุยกับเพื่อน กลัวเพื่อนหาย

ซึ่งเป็นความทุกข์อย่างมากของเราตอนสมัยก่อนก่อนที่จะรู้จักพี่น้ำ แต่เราลืมไปแล้ว
ตั้งแต่เริ่มมาปฎิบัติมันไม่ได้รู้สึกแบบนี้อีก ยกเว้นนานๆครั้ง

แล้วอยู่ๆ ครั้งนี้มันก็เกิดขึ้น เป็นความรู้สึกเหมือนสมัยก่อน คิดแต่วางไวกว่า ตัดไวกว่า
คือทุกข์น่ะแหละ แต่ไม่หนักเท่าแต่ก่อน สมัยก่อนรุนแรงมาก จะกลัว กังวล เที่ยวโทรหาเพื่อน
และคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งวันเลย (ออกแนวโรคจิตนะนี่ )
คือสรุปแล้วอะไรที่เป็นปัญหาของเรา ที่เป็นกิเลสหลักๆ

แล้วทำให้เราทุกข์ เราจะได้เจอมัน จะได้เรียนรู้มัน เพื่อที่จะได้ปล่อยวางมัน
นี่คือความหมายของสภาวะ ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เพราะมี ปัญหา คือความยึดติดที่แตกต่างกันตามการสะสมของกิเลส ....
นี่คือความเข้าใจที่เกิดขึ้นเอง ถึงแม้พี่น้ำจะพุดให้ฟังบ่อยๆ แต่เราไม่เข้าใจแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกได้แบบนี้


4. สภาวะความอยาก ความอยากนี่บางครั้งง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
คือเห็นแสงสว่างแล้วปล่อยวางได้เลย แต่วินาทีถัดไปก็พลิกกลับมาโจมตีได้ใหม่

ตอนเดินวันนี้มีความอยาก แล้วเรารู้แล้วไม่ขัดขืนมัน ไม่อะไรกับมันทั้งนั้น
รู้เท้าต่อไปหน้าที่คือรู้เท้า รู้กาย มันก็เบาสบาย

แต่อีกแค่ไม่กี่นาทีมันกลับมาแผลงฤทธิ์อีกแล้ว แล้วก็พยายามคิดว่าให้รู้เท้ารุ้กาย
ไม่ต้องอะไรกับมัน แล้วใจก็แน่นขึ้น ก็รู้เลยว่าเสร็จมัน ต้องหายใจยาวๆกำหนดรู้เพราะสติไม่พอ
ไปแก้ไขมัน การไปแก้ไขใดๆ กับความอยาก มันคืออยากนั่นแหละ

ถ้าถามตอนนี้ว่างั้นต้องทำไง คำตอบก้อคือไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำจริงๆ
ไม่ต้องคิดว่าจะทำไงกับมัน ไม่ต้องคิดว่าต้อง รู้เท้ารู้กาย ไม่ต้องคิดว่าห้ามคิดทำอะไรกับมัน

ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องหา และไม่มีอะไรผิด ก็แค่รู้เท้าต่อไปรู้แค่ไหนนั่นก็คือรู้
แต่ที่รู้สึกว่าไม่รู้ รู้ไม่ถูก
นั่นเพราะหลงอยาก


5. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่คงที่ ทั้ง 4 ข้อ ที่พูดมาข้างต้น คือความรู้สึกช่วงนี้ จะจริงหรือไม่จริง
ถูกหรือไม่ถูก ถ้ายึดถือก็คือกับดักของความทุกข์
จะเป็นการสร้างกรอบของความถูกต้องมากักขังตัวเอง ผลคือความทุกข์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


18 พค.53



ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

60/30
เดินก็ แวบเป็นภาพ แวบๆ แล้วก็รู้กาย รู้เท้า แล้วก็แวบๆ เรื่อยๆ
มีความอยาก ก็รู้เท้าไปต่อ มีมดกัด มีเย็นแปล็บ ชาๆตามกาย

มดกัดจะขึ้นหลายจุดมา 1 ครั้ง แล้วหายไป จี๊ดๆ ไม่แรงค่ะ
มีร้อนผ่าววูบ 2 ครั้งได้ที่เท้า ตอนริ่มเดิน แล้วหายไป มีฟุ้งหลังๆ แล้วก็หมดเวลา

พอมานั่ง
ก็รู้กายนั่ง มีง่วงๆ และไปคิดๆ ข้างใน
แล้วก็ มีช่วงที่มือหนักๆ มารู้มือ มีตึงๆที่แก้ม ก็รู้แก้ม ตึงหาย สลับไป
ก็นั่งไปจนจบค่ะ เด๋วจะไปขึ้นอีกรอบค่ะพี่

รอบสอง 40/28 ค่ะ
40 มีคนโทรมา คุยแป๊ปหนึ่งกำหนดรู้ไปด้วย แล้วเดินต่อเลยค่ะ
ตอนยืนรอบนี้จะมีสมาธิมากขึ้นคืออยู่กับกายชัดขึ้น
ตอนเดินก้รู้เท้าได้เงียบขึ้น ไม่มีภาพแวบๆ ถี่ๆเหมือนรอบแรก ก็รู้เท้าได้
มีมดกัด มีแปลบๆ เย็นๆ หลังๆเริ่มมีฟุ้ง การรู้เท้าจะสั้นกว่า ความคิด
แล้วก็กลับมารู้เท้าได้ ชัดขึ้นอีก

พอมานั่ง
ก็มีสภาวะหลายอย่าง มีทั้งหยึยๆที่แขน มีเหมือนเนื้อเป็นเหน็บที่หู แต่ไม่ได้เจ็บ
มันคล้ายเวลาเป็นเหน็บชาที่จะเต้นๆ เบาๆ ก็ดูที่หูไป

ท้องก็รู้ว่าขยับ เวลาหายใจเขาก็รู้ว่าท้องขยับ แล้วก็รู้ถึงชีพจรที่เต้น ที่ท้ายทอย
เด๋วก็ไปรู้ปาก เด๋วก็รู้ชีพจร เด๋วก็รู้ท้อง บางทีก็รู้รวมๆกัน ไปหมด

แล้วก็มีคิดเป็นภาพแล้วก็หลงไปในคิด แวบหนึ่ง ก็หลุด
มีเวทนามดกัดตอนนั่ง ที่ในรูหู 1 ครั้งแล้วหายไป ที่แขนบ้างขาบ้างอย่างละครั้งแล้วหายไป
มีจิตจะปรามาสเป็นคำต่ำๆ ก็กำหนดรู้แล้วก็ ดูกายต่อ หมดแล้วค่ะ

เสร็จแล้วค่ะพี่
60/30 ค่ะ ก็รอบนี้หลักๆ
เดินก็มีฟุ้งซ่านบ้าง มีรู้กายยืน เดินบางช่วงก็รู้ได้ชัด บางชั่วงก็มีภาพแวบๆ
มีจิตจะปรามาสก็หยุดแล้วกำหนดรู้หนอ มีมดกัดมีคัน

พอมานั่ง
ก็ รู้ท้องแผ่วๆ มีมดกัดชัด กัดเจ็บ กำหนดรู้หนอไป 3-4 ครั้งจางลง
บางทีก้ไม่ต้องกำหนดก็หายไป

ตอนนั่งนี่ สรุปแล้วคือมีเวทนามดกัด กะ รู้กายนั่ง กะสลับกะหลงไปคิด
สลับกันไปจนจบค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


19 พค‏

60/30

เดินฟุ้งด้วย รู้เท้าด้วย มีอยากด้วย มีมานะ มีเพ่งโทษก็กำหนด ก็มารู้เท้าต่อ มีชาๆ บางจุดแล้วหายไป พอมานั่ง ก็ง่วงๆ รู้กายได้บ้าง กะเหมือนหลับใน

กะจะทำมากกว่านี้แต่ เหตุการณ์ไม่สงบ มีระเบิดตึกใกล้ๆหอที่เราพกอยู่ กลิ่นควันลอยมาถึงหอเลย
เฮ้อ จะปิดทีวีเพื่อปฎิบัติอย่างเดียวไม่ได้ต้องคอยฟังข่าว จะได้หลบทัน

60/15

เดินไม่ต่อเนื่อง บางทีเพื่อนถามข่าวคราวสถาณการตอนนี้ สักพักก็มาเดินต่อ เปิดทีวีไปด้วย
แล้วเดิน ตอนเดินก็รู้เท้าได้ ยืนหนอก็รู้กายได้ แต่ไม่ชัด มีความรู้สึกฟุ้งเครียดนิดๆในอก ก็รู้ไป มีมดกัด
มีแปลบๆชาๆเย็นตามผิวกาย สภาวะนี้เริ่มมามากขึ้น มีมดกัดแต่หายไว และมาไม่เยอะ
มีจิตจะสบถหยาบคาย ปรามาส ก็หยุดก่อนพอมานั่ง
ก็รู้ท้องขยับ มีฟุ้ง มีมดกัดรู้แล้วยังไม่ได้กำหนดรู้หนอก็หายไป มีแปลบๆเย็นๆ ตอนพิมพ์นี่

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เสร็จแล้วค่ะพี่ รอบนี้ 40/20

ก็รู้เท้า กะฟุ้ง แล้วก็กลับมารู้เท้า แล้วก็มีภาพของ อดีตที่เราทำร้ายสัตว์ขึ้นมา
ก็ทุกข์ สลด คือมันรู้สึกว่าต้องยอมรับในผล แล้วมีคั่นจังหวะ ทำอย่างอื่น แปปนึงแล้วกลับมาเดินต่อ
ก็มีตึงๆ ที่จมูก มีมดกัด

พอมานั่ง
ก็รู้อกขยับ รู้ลมหายใจ มีมดกัด มีจิตสบถ มีฟุ้ง ฟุ้งแล้วก็มารู้กายต่อ หมดแล้วค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
นั่งน้อยลง รู้สึกเป็นยังไงมั่งคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็ยังเฉยๆค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ไม่รู้สึกว่าฟุ้งน้อยลงหรือคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คือช่วงนี้จะฟุ้งง่ายเลยลดนั่งคะเพราะจะมีคนติดต่อเข้ามาเป็นระยะ
แต่เวลานั่งน้อยลง ก็จะไม่หลับในน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ นั่นแหละ เราจะรู้ตัวเองดี
การหลับในคือ กำลังของสมาธิมากกว่า ให้มีความรู้สึกตัวน่ะแหละดีแล้วค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็ถ้านั่งน้อยลงส่วนใหญ่จะรู้สึกตัว ค่ะ จะมีฟุ้งบ้าง แต่ก็จะคลอๆกะรุ้กายนั่ง
เด๋วหมูเก็บข้อมูลแล้ว จะไปทำอีกค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ เรื่องสมาธิ ไม่ต้องไปกังวลหรือไปจดจ้องว่าสมาธิจะเกิดไหม รับรองได้เลยค่ะ ว่าเกิดแน่นอน
แล้วหมูจะรู้ด้วยตัวเอง ฉะนั้น แค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพอค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ได้ค่ะพี่ เสร็จแล้วค่ะพี่
40/20 ค่ะ
การเดินก็มีรู้เท้า รู้กายยืน
ก็มีภาพบ้าง ความคิดบ้าง แต่จะยังรู้กายอยู่
มีช่วงหนึ่งที่หลุดไป ฟุ้ง ก็รู้แล้วก็กลับมาอยู่กับกายใหม่
มีจิตจะสบถหยาบคาย หรือจะปรามาสต่ำ ก็หยุดไป แล้วรู้กายต่อ

มีเวทนา เจ็บเท้าเหมือนโดนทิ่มเข้าไปแปลบๆ
ขึ้นประมาณ 5 - 6 ครั้งเป็นจังหวะ
แล้วก็ มีกายสั่นๆเบาๆ เหมือนเซลล์ข้างในสั่นเบาๆ ละเอียดๆ
มีหัวตึงหน้าตึง จมูกตึง แต่ไม่ได้เพ่ง

พอมานั่ง
รู้กายขยับเบามากๆ รู้ลมบ้าง มีเวทนมาดกัดบ้าง ส่วนใหญ่จะรู้กายขยับแวเบามากๆ
กะมีคิด แล้วรู้ว่ามันพูด เบาๆแต่มาจับกาย หมดแล้วค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 01:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


20 พค.

60/30 , 60/30 , 30/30 กิเลสเอาไปกิน--ทอนให้สั้นลงจะได้ไม่เบื่อ แค่เดิน 20/10

รอบแรก 60/30

กำหนดยืนหนอ รู้ได้บางส่วน ของกาย มีความอยากให้รู้ทั่วกาย มีแรงของจิตที่จะเค้นให้ชัด ก็รู้ไป
แล้วก็เบาบางลง บางรอบของการยืนก้อเห้นกายได้ชัดขึ้น
มีจิตตัวที่อกุศล ดึงครูบามาปรุงอคติ หยุดไว้ แล้วกำหนดรู้หนอสำทับไป ตัวอกุศลนี้ จะมาบ่อยๆ
และไวมาก เมื่อปรุงขึ้นมาแล้วก็รีบหยุดไว้ทุกครั้ง ปรุงขึ้นมาไวไม่ทันมัน
แต่พอรู้แล้วก็จบไว มีไปปรุงไม่พอใจต่อ รู้ไปอีกก็คลายไม่พอใจ เวทนาปวดกระดูกเท้า ตอนย่าง
แปลบเดียวแล้วหายไป มีเวทนามดกัด ขึ้นมาจุดละครั้งแล้วหาย ไม่ชัดเท่าไร
เวลากำหนดยืนหนอ หรือตอนเดิน จะตึงหน้า ตึงแก้ม ตึงที่ฟัน บ่อยและนาน เทบตลอดเดิน
แต่ไม่ได้เพ่ง ใจก็ไม่ได้เครียด ก็รู้ไปว่าตึง

ตอนนั่งรู้ลม แล้วแก้มตึง จมูกตึง ก็รู้ที่ตึง สลับกับ รู้ลมบ้าง ท้องขยับบ้าง หลังๆ ตึงหายไป ได้กลิ่นข้าวที่หุงอยู่แล้ว
กำหนดกลิ่นหนอ กำหนดสักพักเผลอไปฟุ้งเรื่องของกิน ก็ดึงกลับมาอยู่ที่การนั่ง
มารู้ที่ท้องส่วนตรงอก ขยับแผ่วๆ เป็นจังหวะ ความคิดเงียบ
เสียงของหม้อหุงข้าวดัง ก็ลืมตาแล้วแต่ ยังคงเงียบและรู้อกขยับเป้นจังหวะอยู่ หลับตาต่อนั่งแบบนั้นไปจนจบ



ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
60/30 ค่ะ
เดินก็มีความอยากแทรก ก็รู้ไปค่ะ การรู้เท้าก็รู้ได้ค่ะ มีไปฟุ้ง ด้วย แล้วก็มารู้เท้าต่อ
มีเวทนามดกัดแต่มีน้อยค่ะ กัดแล้วหายไป ในแต่ละจุด
แล้วก็เวทนาที่ชัด จะเป็นเหมือนอะไรเต้นๆเบาๆคล้ายแมลงหรือเซลล์เต้นๆมีเย็นๆแปลบๆ
มีจิตจะไปดึงครูบามาปรุง ก็หยุดแล้วกำหนดรู้หนอไปค่ะ
มีความไม่พอใจ สภาวะเป็นความอยากก็ไม่ขัดขืน แล้วมันก็เบาๆผ่านไป
แล้วก็มาอีกบ้าง ก็รู้เท้าไปปล่อยไปเหมือนเดิม

พอมานั่ง
ก็รู้ลม มีเย็นแปลบๆ แล้วก็มาจับที่อก ท้องส่วนบนขยับๆ แรงบ้างเบาบ้าง ช่วงต้นๆก็รู้เงียบๆ
หลังก็เริ่มมีฟุ้งเข้ามาแทรกแต่ยังรู้กายคลอๆ เป็นแบบนี้ไปจนจบค่ะ
อืมยังมีตึงๆที่หน้าที่ปากอยู่ค่ะ ตอนเดิน

30/30 ค่ะ
เดิน แบบไม่บริกรรม รู้ลงไป ก็รุ้เท้าได้ แต่จิตจะ วอกแวกง่าย
มีมดกัด มีแปลบๆเย็นๆ มีร้อนผ่าวแต่ครั้งเดียวแล้วหายไป
เดินได้ประมาณ 15 นาที ก็ลองนอนบ้าง อีก 15 นาที ก็รู้ท้องพองยุบ
มีมดกัด มีเย็นแปลบ มีกายสั่นๆเหมือนเซลล์สั่นสะเทือนเบาๆ
ก็เอียงตัวเปลี่ยนท่า ยังนอนอยู่ รู้ลม มีฟุ้งไป
ตอนแรกรู้ท้องไม่ได้พอเอียงข้าง รู้ลมได้ แล้วพอฟุ้งไปสักพัก
ก็มารุ้ท้องขยับได้เบาๆ แล้วก็กลับตัวมาหงายไหม ก็รู้ท้องต่อ
หลังๆก็ลุกขึ้นกำหนดยืนหนอ แล้วหมดเวลา 30 นาทีแรกพอดี

แล้วมานั่งต่ออีก 30 นาที
ก็ไม่จับกายเลย แต่จะรู้ว่ากำลังนั่งอยู่ กะไปคิดๆ
ปนเงียบและรู้ว่ากายนั่ง จับการเคลื่อนไหวของกายไม่ได้
มีเหมือนขี้เกียจข้างใน บนง่วงแต่ไม่ถึงกะง่วงชัดเจน ออกขี้เกียจค่ะ จบแล้วค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ถามนะคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:
ที่ทำแบบนี้ ทำเพื่ออะไรคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อ่อ มันเบื่อการบริกรรมน่ะค่ะ ก็เลยหาวิธี ที่จะปฎิบัติแบบไม่เครียด แต่ให้ยังเจริญสติอยู่น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เบื่อการบริกรรม .... บริกรรมอะไรหรือคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
คือ เวลาเดิน เต็มรูปแบบ หมูจะบริกรรม ขวาย่างหนอ ยืนหนอ
แล้วพอทำบ่อยๆ มันก็จะเบื่อหรือเครียด ก็เลยจะไม่อยากขึ้นหลัง ก็เลยทำแบบนี้น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เมื่อก่อน หมูก็ไม่ได้บริกรรมนี่

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
แต่หลังจาก กลับจากวัดก็จะบริกรรมค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
บริกรรมเพื่ออะไรคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ออกเสียงน่ะค่ะ เพราะแบบนั้นจะชัดกว่า
ขวาย่างหนอ ซ่ายย่างหนอ ยืนหนอ แบบนั้นน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ชัดกว่า แล้วไหงวันนี้ ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็มันเครียดน่ะค่ะ คือวันนี้ ทำไป 2รอบแล้ว รอบนี้รอบที่ 3 ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
นั่นสิ พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า ถ้าทำแล้วเครียด ให้ทำยังไง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็เปิดเพลงบ้าง ทำน้อยลงบ้าง ใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:
แล้วทำไมไม่เดินแค่ 20 นั่ง 10 ล่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
แหะๆ เสียดาย

สุขที่แท้จริง says:
เสียดาย กลับไม่รู้อารมณ์ของตัวเอง
กลับรู้อารมณ์ของตัวเอง แต่ยังดึงดันที่จะทำ
หมูเสียดายอะไร เสียดายเวลาอย่างงั้นหรือ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
หมูแบ่งได้นี่ ทำให้สั้นลง เป็นสองระยะ ถ้าเสียดาย พี่เคยบอกแล้วนี่
ความอยากเห็นไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ถึงได้เครียดไง ถ้าเสียดายน่ะ ไม่เครียดหรอก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อืมมค่ะ หมูก็ว่ายังงั้นอยาก มันทำให้ได้เยอะๆ ไว้คราวหลังแบ่งเป็น 2 ช่วงค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
พี่ก็บอกแล้วว่าให้ทำตามกำลัง มันรู้สึกเบื่อ แต่เสียดายเวลา ก็ทอนให้สั้นลง จะได้ไม่เบื่อ
เดิน 20 นั่ง 10

แถมไปนอนอีกต่างหาก พอนอนเสร็จแทนที่จะเดินก่อน สมาธิและสติตัวเองยังไม่แข็งพอ
ไปนั่งเลยแบบนั้นก็เสร็จกิเลสหมด

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อ่อ มิน่าจับกายไม่ได้

สุขที่แท้จริง says:
กิเลสมันเอาไปกินตั้งแต่คิดว่าขี้เกียจบริกรรมแล้ว
เคยทำแบบไม่บริกรรม ไม่ใช่ไม่เคยทำ แทนที่จะเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อืมมม ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เอานะ ดีกว่าไม่ได้ทำ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่ เอ่อนอนทำนี่ มัน สติกะสมาธิจะเกิดยากกว่าใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:
แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ ลองทำดูเองสิคะ ก็จะได้คำตอบเอง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อืมม ค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:
ลองไปเถอะ ทุกๆคำตอบ มันอยู่แล้ว ของแต่ละคน เรียนรู้ด้วยตนเอง
ดีกว่าไปถามคนอื่นๆ กิเลสมันต่างกันน่ะหมู

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่น้ำ จะลองสังเกตุดูค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:
จ้ะ ดูกำลังตัวเองด้วยนะ อย่าไปฝืน ระวังความอยาก นั่นน่ะตัวดี เนียนสุดๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
สุดๆจิงๆเลย ค่ะพี่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


May 21
21 พฤษภาคม 30/20 ,20/20 ,30/20 ,20/20

ไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จรอบแรกค่ะพี่ 30/20 ค่ะ
ก็จะฟุ้งค่ะ มีความอยาก มีตัววิจารย์ แต่ก็ไม่ได้ไปปรุงต่อนาน ก็จะรู้เท้าได้
มีความไม่พอใจสภาวะด้วยก็รู้แล้ว ดูเท้าไป ค่ะ มันก็จะไม่ทุกข์มาก

ก็มีเวทนา เหมือนมีอะไรเต้นๆที่หัว มีเย็นแปลบๆ มีมดกัด มดกัดนี่ จะหายไว
แล้วกลับมาอีก 4-5 จุดค่ะ

พอมานั่ง
ก็รู้ท้องขยับกับไปไม่พอใจ เรื่องที่กังวลอยู่ รู้คู่กันค่ะ ท้องก็ยังชัดอยู่
แล้วสักพัก นานเหมือนกัน ก็ปล่อยเรื่องที่กังวล โดยคิดว่าเป็นเรื่องของกาย
แล้วกค่อยเงียบลงก็รู้ท้องตอไป

จะมีเวทนาสั่นแผ่วๆทั้งตัว เป็นข้างในกายสั้นสะเทือนเบาๆทั้งตัวค่ะ
จิตก็มีให้ค่าว่าคืออะไร ดีไหม ก็รู้ค่ะ แล้วก็ดูกายต่อ จนจบค่ะ

เดิน 20/20 ค่ะ
ก็จะมีฟุ้งซ่าน มีความอยาก แล้วก็รู้เท้า หลังๆมี ระลึกเหตุการณ์ในอดีตที่ทำไม่ดีกะคนในครอบครัว
ก็เสียใจ แล้วก็หมดเวลาเดิน ส่วนเวทนามีมดกัด มีเย็นแปลบๆ

พอมานั่ง
ก็รู้กายนั่ง กะมีไปฟุ้ง มีภาพโน่นนี่แวบ แล้วก็รู้กายต่อ


ฟังเทศน์หลวงพ่อจรัลคั่นเวลาก่อน แล้วเด๋วไปทำใหม่ ค่ะ ...ซีรี่ย์เกาหลีทำพิษ แน่ๆเลย
เห็นผลกระทบอย่างชัดเจนเลย ก็ดีนะคะ พอทำแล้วก็จะรู้

สุขที่แท้จริง says:
จ้ะ ทำเองถึงจะรู้ ฟังเขาเล่าก็แค่นั้น ได้แตาคาดเดาไปเรื่อยๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ รอบนี้ 30/20 ค่ะพี่
ก็รู้เท้าได้ชัดขึ้น นานขึ้นค่ะ แล้วก็มีช่วงที่ฟุ้งซ่าน แล้วก็ตั้งใจมารู้กายต่อ
มีปรามาสค่ะรีบกดไว้ พยายามจะขึ้นก็กำหนดคิดหนอ รู้หนอ หรือใช้จิตกดไว้ก่อน
แล้วก็เดินต่อ

พอมานั่ง
ก็รอบนี้จะไม่จับพองยุบ คือจะรู้กาย แบบรู้ว่ามีกาย หรือบางครั้งจะรู้ว่ากายเคลื่อนไหว กะมีไปฟุ้ง
แต่ยังรู้ว่ามีกายอยู่ไม่ได้ลืม มีสีม่วง หมดแล้วค่ะพี่


เสร็จแล้วค่ะ 20/20
ก็รู้เท้า บ้าง ฟุ้งบ้าง มีความอยากบ้าง มีความทุกข์บ้าง เวลาอยากรู้ลงไปตรงๆ ก็หายไป
มีความอยากไปหมายดี แล้วฟุ้งปรุงแต่งต่อ แล้วก็ละมาดูเท้าต่อ
แล้วก็ มีเวทนาเย็นแปลบๆ เหมือน้ำแข็งจี้ตามกายค่ะ

พอมานั่ง
ก็มีหลงไปดูความคิดแล้วก็ไปคาดเดาว่าดี แบบที่พี่น้ำเคยบอก ว่าเป็นการคาดเดา
แล้วก็พอรู้ก็มาดูกายแต่ไม่จับกายเคลื่อนไหวเลย เลยรู้ที่ลมกระทบกาย เปิดพัดลมน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ มีเวลาก็สะสมไปเรื่อยๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ตอนนี้ข้างในมันเหมือนหิวๆการปฎิบัติ

สุขที่แท้จริง says:

อยู่กับปัจจุบันได้ ก็จะมีแต่ความสุขอยู่ภายในใจของเรา เพราะมันไม่ได้ไปวิ่งเพ่นพ่านอยู่ข้างนอก
พอออกนอกตัวไปแล้ว แว่บๆๆๆๆๆ กิเลสทั้งนั้น ปรุงไวมากๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ใช่ค่ะ ตลอด ความรู้สึกเปลี่ยนไวมาก ล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


23 พค.

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ส่งรอบแรกนะคะ 60/20 ค่ะ

การยืนก็รู้อยู่กะกายได้ บางครั้งก็รู้ได้ชัดหน่อย บางครั้งก็ฟุ้ง มีความอยากเป็นแรงดันในจิตก็กำหนดรู้หนอ
แล้วคลาย แล้วไปรุงอีก มีแรงดันอีก ก็กำหนดอีก มีช่วงที่เว้นเข้าห้องน้ำ ก็พยายามกำหนดไปด้วย
แต่ส่วนหญ่จะฟุ้ง มาเดินต่อก็รู้เท้า สลับกะหลงไปคิดบ้าง
เวทนา มีเย็นแปลบแสบๆผิว มีเจ็บกาย เป็นจังหวะ

พอมานั่ง
ก็มีรู้กาย แบบว่ากำลังนั่ง และกายเคลื่อนไวตามการหายใจในภาพรวมไม่ได้จับชัดส่วนใดส่วนหนึ่ง
กะหลงเข้าไป ในคิด เรื่อยเปื่อย พอรู้ก็กลับมาอยู่ที่กายนั่งในภาพรวมอีก
ตอนนั่งมีเวทนา มดกัดเหมือนเข็ม จี๊ดๆเล็กๆ ตามจุดนี้นั้น เยอะ แต่หายไปไว
ก็นั่งรู้กายไปต่อ หลังๆเริ่มมีซีรีย์เกาหลีตอนที่ชอบผุดขึ้นมาให้ดู
ก็รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็รู้ว่ากำลังนั่งด้วย เห็นจิตผุดซีรี่ด้วย
ก็นั่งต่อไปจนจบค่ะ หลังๆซีรี่หายไป

สุขที่แท้จริง says:

หนังทำพิษป่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แหม หัวเราะลั่นเลย ค่ะนี่ขนาดวันนี้ออกแรงทั้งวัน ยังผุดเลยทั้งที่ไม่ได้แตะเลยค่ะ มันฝังราก

สุขที่แท้จริง says:

ทำต่อป่ะคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ทำค่ะ ขอพักเหน่อยแป๊บ วันนี้เพลีย

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ รอบต่อไปลดลงก็ได้นะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ กะจะลดลง ทำสั้นๆอีกสัก 2 รอบ

สุขที่แท้จริง says:

ระวังความอยาก จะทำให้เครียด

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ จะทำตามที่รับได้ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ทำตามกำลัง จะไม่เครียด ไม่เบื่อ ไม่เหน่อย ไม่เมื่อย ทำกี่รอบก็ได้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 30/20 ค่ะ
ก็การรู้เท้ามันไม่ต่อเนื่อง คือจะรู้ได้ แล้วแป๊ปๆ ก็จะมี โน่นนี่แทรก เช่น การปรุงคิดขึ้นมา
ความอยากขึ้นมา เวทนาขึ้นมา พวกนี้จะขึ้นมา คั่นเรื่อยๆ การรู้เท้าก็เลยไม่ประติดประต่อ
ก็ไปกำหนด พวกนี้แทนค่ะ แล้วค่อยกลับมารู้เท้า แป๊ปหนึ่งก็อย่างอื่นเกิดอีก ก็ไปกำหนดที่อื่นอีก

แล้วก็มีการให้ค่า ว่าดีที่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วก็รู้ว่าให้ค่าก็เลยมารู้เท้าต่อ
เวทนาที่เกิดก็เย็นแปล็บๆ มดกัดบ้าง

พอมานั่งก็รู้กายแบบภาพรวมค่ะ ไม่ค่อยเห็นกายเคลื่อนไหว
แต่ก็ยังรู้ว่ามีการนั่ง กะไปคิดๆ แล้วตอนสุดท้ายก้มีซีรี่ย์เกาหลีเหมือนเดิม


วันนี้ไปทำความสะอาดวัดปทุมวรนารามด้วยค่ะ ข้างเวิลเทรด

สุขที่แท้จริง says:
อนุโมทนาค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
สาธุค่ะ โชคดี ที่วัดมีพระธาตุ ก็เลยได้กราบแล้วเดินวน 3 รอบ อธิษฐานจิต
อืมม ที่คนยังหลงวนเวียน นี่เพราะวิบาก เพราะเขาเจริญสติน้อยไป ทำให้เขาไม่ทันวิบาก

สุขที่แท้จริง says:
ไม่ใช่น้อยหรอก ทำมากทำน้อยไม่เกี่ยว ความต่อเนื่องต่างหาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
หมูนึกว่าต้องทำเยอะๆมันจะมีแรง คือมันจำกิเลสได้ แล้วจะทบทวนบาปบุญเสมอ
เหมือนทำให้เราอยูในเกราะของการระวังตัวไม่ให้ผิดศีล

สุขที่แท้จริง says:

ไม่เกี่ยวค่ะ ความต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญค่ะ อย่างงี้คนทำเยอะๆก็สำเร็จหมดแล้วสิคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เอ้อ ก็คิดอย่างนั้นด้วยค่ะ แบบทำเยอะๆต่อเนื่อง

สุขที่แท้จริง says:

กิเลส ดูที่กิเลสด้วย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ก็ถ้าเราเจริญสติมากๆ กิเลสก็จะอ่อนกำลังลง

สุขที่แท้จริง says:
เปล่าค่ะ กิเลสก้ยังคงเป็นกิเลสอยู่เหมือนเดิม
สติต่างหาก ที่รู้เท่าทันจิตมากขึ้น จิตเลยปรุงแต่งไม่ได้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คำว่าต่อเนื่องของพี่น้ำ นี่มีความหมายขนาดไหนคะ

สุขที่แท้จริง says:

ต่อเนื่อง ก็คือต่อเนื่อง ทำทุกวัน มีแค่นี้ ส่วนจะทำกี่รอบ ล้วนแล้วแต่เวลาของแต่ละคน
จะได้ผลมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการรู้ในกายและจิตของแต่ละคน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมมมม ค่ะ เขาบอกว่าต้องให้ติดต่อกัน เหมือนด้าย ยาว แบบยืนเดินนั่งนอนทุกอิริยาบถ

สุขที่แท้จริง says:

แล้วแต่ว่าใครจะให้ค่ายังไงค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่...เก็บไว้ อีกหน่อยคงเข้าใจขึ้น

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ อ่านนิทานเซนสิคะ พี่ว่าดีนะ ตอนนี้อ่านแล้ว รู้สึกว่า จริงๆแล้วเซน ล้ำลึกนะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ลึกค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ต้องปฏิบัติ ถึงจะเข้าใจ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มีอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่เข้าใจเลย เคยได้ยินนานแล้ว
ประมาณว่า มีเณรถามอาจารย์ว่า จิตหนึ่งคืออะไร
แล้วอาจารย์ตัดนิ้วเณร เณรเลยเข้าใจ แล้วจบ

สุขที่แท้จริง says:

มันมีรายละเอียดมากกว่านั้นค่ะ เป็นการเเปรียบเทียบ พี่เคยนำลงไว้แล้ว ไม่ได้จำ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ...
อะไรคือพุทธธรรม เจ้าเณรน้อยก็ยกนิ้วให้เป็นคำตอบ จีจือ จึงสบัดมีดตัดนิ้วของเจ้าเณรน้อย
แล้วถามว่า “อะไรคือโฉมหน้าดั้งเดิมก่อนเราเกิดมา” เจ้าเณรน้อยร้องด้วยความเจ็บปวด
ชูมือนิ้วด้วนที่แดงโชกไปด้วยเลือด จึงได้เข้าใจถึงเรื่องราว
นี่ไงเจอแล้วว ค่ะ อ่านแล้วต๊กกะใจ มีตัดนิ้วด้วย

สุขที่แท้จริง says:

แต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาแค่ยกสภาวะมาให้ดู ตราบใดที่เรายังยึดติดอยู่ในกายนี้ อย่าหวังจะได้เห็น
เมื่อเราละอุปทานความยึดมั่นถือมั่นได้ นั่นแหละจึงจะเห็น

เปรียบกับผู้ปฏิบัติ
บางคนต้นทุนสูง บางคนต้นทุนต่ำ บางคนไม่มีเลย แถมยังขาดทุนอยู่อีกต่างหาก
คนไหนต้นทุนสูงก็ไม่ต้องตัดนิ้ว

แค่คำพูดไม่กี่คำ ก็สำเร็จได้ มีตัวอย่างในสมัยพุทธกาลเยอะมาก
บางคนต้นทุนต่ำ ก็แบบเราๆนี่แหละ

ค่อยๆทำไป ไต่เต้าไป สละออกไปทีละน้อย ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะ
เหมือนถูกตัดนิ้วไปทีละนิ้ว

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โอ้วโหหหห คือเป็นการสมมติหรือคะ
เรื่องเล่านี้เป็นการสมมติ ให้เห็นสภาวะ

สุขที่แท้จริง says:

จริงก็ได้ เท็จก็ได้ สุดแต่เราไปให้ค่าเท่านั้นเอง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โอย มึน .... ค่ะพี่ พักไว้ก่อน ไม่เป็นไรค่ะ เด๋วเก็บไว้ก่อน

สุขที่แท้จริง says:

ถูกต้องค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แต่ลึกซึ้งนะคะ ลึกซึ้งมากๆๆๆ

สุขที่แท้จริง says:

ธรรมอันใดที่ยังต้องพิจรณา นั่นคือ สภาวะเรายังไปไม่ถึง จึงยังต้องมีการให้ค่าให้ความหมาย
แต่ถ้าถึงโดยสภาวะแล้ว ไม่ต้องอธิบาย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

งั้นจริงๆเราไม่ต้องพิจารณาก็ได้ใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:

แล้วแต่ค่ะ เหตุแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน
บางคนพิจรณาก็มี ไม่พิจรณาก็มี ทั้งพิจรณาเป็นขณะๆ ทั้งไม่ต้องพิจรณา โดยทำรวมๆก็มี

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

คนที่ไม่มีความสุข คือ คนแบบไหนคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คำถามพี่น้ำ ต้องคิดก่อน แปปนะคะ
คนที่เขาถูกกิเลสครอบงำ บางทีเขาก็ยังสุขกับกิเลสนะคะ
ยากจังหมูว่าต่อให้ทุกข์ยังไง บางอารมเราก็ยังรู้สึกมีสุขได้บ้าง เพราะมีการเปรียบเทียบ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ต้องไปคิดอะไรนะคะ พี่ต้องการรู้ว่าสภาวะหมูอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

งั้นก็คนที่ฟุ้งซ่าน จิตไม่มีสมาธิค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ต้องตอบค่ะ พอแล้ว

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

พี่น้ำเงียบเลย

สุขที่แท้จริง says:

ข้อสอบปิดแล้ว เดาไปเรื่อย
หมูก็ตอบมาตามสภาวะของหมูน่ะปหละ ไม่ผิดหรอกค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็เวลาหมูฟุ้งซ่าน มีอกุศล มันก็ทุกข์อะค่ะ
โดนพี่น้ำถามทีไรหมูตาเหลือกทุ๊กที

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ เข้าใจ ฟุ้งซ่านเพราะอะไรล่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็ปรุงแต่งค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สติไม่ทันค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ปรุงแต่งเพราะอะไรล่ะ พอละ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สติไม่ทันค่ะ ค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

เข้าใจค่ะ คำตอบน่ะ มีสั้นๆนิดเดียวเอง ถ้าบอกก็ถึงบางอ้อ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ความอยาก ยอมแพ้ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ถ้าหมูรู้อยู่กับกายและจิตได้ตลอด หมูจะรู้สึกสงบ และมีความสุขแฝงอยู่
เป็นความสุขที่เราไม่สามรถบอกได้ว่าสุขยังไง แต่ถ้าสุขทางโลกจะบอกได้ว่าสุขเพราะอะไร

งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

พี่น้ำคะการที่ หมูเดิน วนรอบพระธาตุกำหนดจิต
อธิษฐาน ขอขมา และขอให้ถึงธรรม ออกจาสังสารวัฎ อันนี้เป็นการเพิ่มความอยากไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:

อยากก็ไม่เป็นไรนี่คะ ใจหมู ย่อมรู้ใจตัวเองดีที่สุดว่าอยากหรือไม่อยาก
ถ้ามีอยาก ก็ย่อมได้ความอยากเป้นอานิสงส์ไปด้วย แต่สำรวมจิตจริงๆ ไม่ได้คิดอยากอะไร
ก็ไม่มีอานิสงส์ของความอยาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มันก็มีความมุ่งมันน่ะค่ะ มันไม่ได้อยากแบบทุกข์ เหมือนที่เกิดตอนเดินกรรมฐาน ก็ต้องสังเกตุใจตัวเอง

สุขที่แท้จริง says:

นั่นแหละ อย่าไปจ้องมาก จากอาจจะไม่ได้มีความอยาก อุปทานเลยทำให้มีได้
แค่รู้ว่าตั้งใจอธิษฐานพอ ไม่ต้องมาหาคำตอบ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ช่วงนี้สิ่งที่พี่น้ำพูด จะยากขึ้น น่ะค่ะ
มันแบบ บอกไม่ถูก สภาวะพี่น้ำ ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ สิคะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ละเอียดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เรื่องข้างนอกน้อยลง เรื่องในกายและจิตมากขึ้น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อนุโมทนาค่ะ คือหมูก็รู้สึก นานสักพักแล้วค่ะ คำพูดพี่น้ำ เริ่ม เหมือนเซน
ยกเว้น จะอธิบาย สภาวะของคนที่พี่น้ำ แนะนำอยู่ ถึงจะปรับเปลี่ยน ให้เข้ากับ คนๆนั้น

สุขที่แท้จริง says:

สาธุจ้ะ พี่ก็ว่า พอกลับไปอ่านเซน เมื่อก่อนอ่านก็ เข้าใจนะ แต่ไม่ลึก
แต่ตอนนี้เหมือนมันเข้าใจโดยสภาวะ ไม่ใช่ตัวหนังสือ

แปลกดีนะคะ อ่านแล้วก็คิดนะ ธรรมะจัดสรรจริงๆ
คนขี้สงสัย สภาวะของเขา คนที่อ่านของเขาจะได้ความรู้หลายๆอย่างที่คนโดยทั่วๆไปจะสงสัยกัน
ของคุณเก๊ะนี่ เหมือนนำธรรมาถกกัน ของหมูนี่ ผู้ปฏิบัติ เลยได้ประโยชน์ทั้งสองทาง
พี่ไม่ต้องคอยมาตอบคำถามหมูในหลายๆเรื่อง บางทีหมูอยากจะถาม แต่ลืมไปก็มี
มาเจอคนขี้สงสัยถามแทนหมด

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คือ เวลาจะถาม ก็ไม่รู้จะถามอะไรน่ะค่ะ เพราะ ว่ามันก็ต้องทำไปเรื่อยๆ น่ะค่ะ
แต่ได้ฟังของคนขี้สงสัยแล้วก็ดีนะคะ หมูเลยได้รู้ไปด้วย บางทีก็เออถามดีแฮะ

สุขที่แท้จริง says:

คำถามของเขา เขาถามตั้งแต่เดือน เมย. แต่หมูเพิ่งมาถาม เรื่องความต่อเนื่องคืออะไร

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ตายแล้ว หอยทากจิงๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


24 พค.

ไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่
30/20 ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็เดินมีฟุ้ง
มีรู้กายตอนเดิน มีอยาก มีเวทนาเจ็บปวด ที่กาย ร้าวข้างใน เป็นจังหวะหลายๆครั้ง ติดกัน
มีเซลล์ในกาย ช่วงล่าง สั่นสะเทือนเบาๆ ข้างในเรื่อยๆ ตอนนี้ก้อยังเป็นค่ะ
บางทีก็เหมือนสั่นๆข้างหลัง แผ่นหลังไปพร้อมกันด้วย
มีจะปรามาส ก็กำหนดรู้หนอ มีมดกัดค่ะ กัดแรง

พอมานั่งก็
มีเหมือนไม่สามารถจับกายได้ก็หายไป ช่วงหนึ่ง สลับกับมีสติก็เอาจิตมารู้ท้อง
ขยับได้แป๊ปหนึ่งก็ หายไปอีก ความรู้สึกน่ะค่ะ
แล้วก็มารู้ท้องอกี หมดแล้วค่ะ
วันนี้ รอบเดียวนะคะ มันเหนื่อย น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ สั่นทั้งวันเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


25 พค.

งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่
60/30 ค่ะพี่
เดินก็มีกิเลสเกิดขึ้น มากกมายตลอดการเดินค่ะ
จิตปรุงแต่ง เกิดอารมตามการปรุงน้อยใจ คิดเรื่องชาวบ้าน แต่ก็รู้กายไปค่ะมันก็เลยเหมือนกับ

สุขที่แท้จริง says:

ฟุ้งเลยย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คือหมูรู้สึกว่า ไม่ได้ฟุ้ง แบบนั้นน่ะค่ะ
เหมือนเราเดินผ่านเรื่องเหลานั้นมาค่ะ แต่มันก้จะรู้กายบ้าง
และก็เห็นการที่เราไม่สามารถดูอย่างเดียวได้ แต่จะมีแรงไปบังคับ ไม่พอใจ หรือคิด ลงไป
พอเราเห็นมันเป็นแบบนั้น เราก็รู้เท้าอีกแบบนั้นน่ะค่ะพี่

แต่จะมีช่วงที่ฟุ้งแบบหลุดไป ลืมกายไปคิดจริงจังกะมัน แป๊ปหนึ่งนึกขึ้นมาได้ก็กลับไปรู้กายต่อ
ช่วงหลังๆก็รู้กายได้ชัดขึ้น ต่อเนื่องขึ้นค่ะ
เวทนาจะมี แปลบๆเย็นๆ มดกัดมีบ้างแต่มาแล้วหายไปไว

หลังๆก็ไม่มาอีกแล้วก็สิ่งที่มีอยู่ตลอดคือ
กายสั่นๆข้างใน เหมือนเดิมค่ะตอนนี้ก็ยังเป็น

แล้วพอนั่ง
ก็หลับในแบบ ไม่ได้คิดอะไรค่ะกับออกมารู้ว่ากำลังนั่งอยู่แล้วก้อไปหลับในหายไปอีก
แล้วก็มารู้อีกว่ามีายนั่งอยู่แล้วก้ไปอีกจนหมดเวลาค่ะพี่
อ่า แบบนี้เรียกฟุ้งหรือเปล่าคะ หมูคาดเดาอีกปะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่เป็นไรค่ะ ยังรู้กายได้บ้างบางวันมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตลอดเวลา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมอย่างตอนเดินน่ะค่ะ ที่แน่ๆคือ
หมูน่ะไม่ได้มีสมาธิแบบ เงียบๆ และรู้ชัดแบบคมๆ แต่ว่าหมูรู้ว่าจิตมันมีอาการไง และก็รู้ว่ากำลังเดิน
ความคิดก็จะเกิดแล้วหายไว
แต่อารมณ์ก็หลากหลายเกิดขึ้นตลอด แต่ก็ไม่ได้หลงทิ้งกาย
แบบนี้หมูรู้สึกว่ายังไม่ถึงกะฟุ้งซ่าน แต่มันเป็นการคาดเดาเอาเองหรือเปล่าคะ

สุขที่แท้จริง says:

ช่างมันเถอะค่ะ แค่รู้ว่ามีความคิดก็พอแล้ว

งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่
40/20
ก็ฟุ้ง มีรู้กาย รู้เท้าได้ แล้วก็ เหมือนจะมีมดกัด
แต่จำไม่ค่อยได้ค่ะมันน้อย

แล้วก็พอมานั่งก็
รู้ว่ากำลังนั่งมีรู้ว่าท้องขยับแต่ไม่แนบ ใจก็คิดๆเรื่อยเปื่อย
แต่ก็ยังรู้ว่ากำลังนั่งค่ะหมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ ไม่เที่ยง เวลาพี่เดินจงกรมนะหมู พี่จะชอบทบทวนสภาวะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แบบไหนหรือคะ

สุขที่แท้จริง says:

พี่เห็นแต่ทุกข์นะ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหลับ
พี่เห็นนะ แต่ไม่ได้ไปทุกข์กับมัน พี่มองว่า มันมีแต่รุงรุง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ทบทวนโดยใช้ความคิดหรือคะ แบบพิจารณา

สุขที่แท้จริง says:

เรียกอะไรก็ได้หมู เรียกพิจรณาก็ทำให้ดูดี ดูดี๊ดี ทั้งๆที่มันก็คือคิดนี่แหละ
คนเรายังยึดติด ปรุงแต่ง ชอบสวยงาม เรื่องธรรมดา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ใช่ค่ะ พี่น้ำเห็นทุกข์ตั้งแต่ตื่นยันหลับ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ พี่เห็นแบบนั้น พี่มองว่ามันมีแต่ทุกข์ แต่พี่ต้องอยู่กับมัน
เวลาวันหยุดพี่ถึงหลับยาวไงหมู ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

...ค่ะ ช่วงนี้สมาธิกลับมาแล้ว พี่น้ำสบายขึ้นสิคะ

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ สบายขึ้นค่ะ เพราะมีสมาธิช่วย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


26 พค.

งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่
60/30 ค่ะ
การเดินก็มีฟุ้ง มีอารมณ์คิดโน่นคิดนี่ ก็เอาจิตมารู้กายไปคะ
หลังๆ นานเข้าก็รู้กายได้ชัดขึ้น ก็ยังมีวอบแวบอยู่แต่จะสนใจกายมากขึ้น
เวทนา จะเป็นแปลบผิว แสบนิดๆ ตามกายค่ะ กะมดกัด
มดกัดมาน้อย มาแล้วหายไปเร็ว

พอมานั่ง
อืมอันนี้ มันมีช่วงที่หายไปค่ะ
แล้วมารู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนอ๊ะกำลังทำอะไรอยู่
แต่ไม่จับกายเคลื่อนไหว คือจะรู้ว่ากำลังนั่ง
แล้วก็ เหมือนหายไปอีก แล้วก็กลับมารู้ว่ามีกายอีก รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปนานค่ะ

เสร็จแล้วค่ะพี่
40/20ค่ะ
การเดินก็รู้เท้า มีอยาก มีฟุ้ง แต่ก็มาสนใจเท้า
มีเวทนา มดกัดเป็นจังหวะ มีกายสั่นๆข้างใน ตรงช่วงขา

พอมานั่ง
ก็รู้กายที่ท้องขยับ สักพักก็เริ่มหลุดๆ หลงไป บ้างแล้วก็มารู้กายได้อีกบ้าง สลับๆไปค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ อนุโมทนาค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สาธุค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

รู้สึกเริ่มแบกพะรุงพะรังน้อยลง เมื่อก่อนล่ะแบกจัง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มันก็มีอารมณ์เหมือนเมื่อก่อนแหละค่ะแต่ ว่ามาดูกายและไม่ได้สนใจมัน
มันก็เหมือนเราทิ้งมันไปค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ทุกอย่างเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะทำให้เข้าใจมากขึ้น อะไรควรเก็บ อะไรไม่ควรเก็บ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มันมีแค่นี้เองใช่ไหมคะ
เดินรู้ว่าเดิน
นั่งรู้กายนั่ง
คิดอะไรรู้
รักษาศีล
หมดแล้ว

สุขที่แท้จริง says:

ดูตามความเป็นจริง ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่คิดแก้ไข
เมื่อสติ สัมปชัญญะมีกำลังมากขึ้น หิริ โอตัปปปะก็จะมีกำลังมากตาม ศิลย่อมสะอาดขึ้นเอง
โดยไม่ต้องไปคอยระวังรักษา เพราะมันจะรุ้เอง ตัวหิริ โอัปปะไงหมู
ความละอายและเกรงกลัวต่อบาปทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ เวลาจะทำอะไรจะมี สติคอยเตือน

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ สติจะบอก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
พี่น้ำจะเขียนหนังสือหรือคะ ขอวิธีการปฎิบัติ แบบหลักด้วยนะคะ
คือจริงๆพี่น้ำพูดแนะนำหลายครั้งแล้ว แต่หมูว่าอ่านทบทวนบ่อยๆก็มีประโยชน์มากเวลาเราเป๋ ตามกิเลส

สุขที่แท้จริง says:

หลักวิธีการจะมีอะไร เพราะความยึดติดกัน วิธีการจึงมีเยอะแยะ
จริงๆแล้วมีแค่กายและจิต พูดง่ายเนอะ แต่กว่าจะเข้าใจ หืดขึ้นคอ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

นี่ไงคะพี่คือพี่น้ำมีหลักนะคะ แต่เป็นหลักที่ ยังไงอะค่ะมันไม่ตายตัว แล้วแต่ผู้ทำ
คือถ้ามีบอกตรงนี้คนอ่านต้องได้ประโยชน์แน่ๆ

สุขที่แท้จริง says:

พอบอกว่า แล้วแต่กิเลสของผู้ทำ มีแต่คนโวยวาย
ไปเอามาจากตำราไหน ทำตามกิเลส

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แต่มันคือความจริ๊งงงง

สุขที่แท้จริง says:

ก็แค่แรกๆเท่านั้นแหละที่ทำตามกิเลส และค่อยๆปรับอินทรีย์ไปเรื่อยๆ
เพราะ ความไม่รู้แท้ๆ เลยไปฝืนกิเลสตัวเอง ถึงได้ทำกันไม่ได้
แค่สมาธิยังไม่ได้แอ้มเลย แล้วจะไปอะไรกับฌานล่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


27 พค.53

เสร็จแล้วค่ะพี่
30/20 ค่ะ
เดินก็ฟุ้ง แต่ก้ยังรู้เท้าค่ะ บางช่วงก็สนใจเท้าต่อเนื่อง
มีเวทนาร้อนผ่าวบ้าง เย็นแปลบ แสบผิวบ้าง มีจิตผุด เรื่องอกุศล คำ ไม่ดีบ้าง แต่ไม่ชัด

พอมานั่ง
ก็รู้กายมีรู้ท้องขยับได้บ้างแต่เบา แล้วก็ไม่ค่อยจับท้องแต่จะรู้ว่ามีกายอยู่
กะหลงไป คิด กะมีเวทนาแปลบๆผิว นิดหน่อย


สุขที่แท้จริง says:

อดคิดไม่ได้นะ ทำไมต้องแลกด้วยภพชาติ วิบากกรรมที่ต่างคนทำร่วมกันมาของแต่ละคน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไม่มีเหตุด้วยกัน ก็สร้างเหตุอื่นๆอีก

สุขที่แท้จริง says:

ชดใช้กันน่ะหมู เพียงแต่เรารู้ เราจึงวางลงไปเรื่อยๆ แต่ยังมีคนอื่นๆมากมายที่ยังไม่รู้
เมื่อยังไม่รู้ จึงยังก่อเหตุกันใหม่ไปเรื่อยๆ ทุกข์ มันจึงมีหลายสภาวะ หลายรูปแบบ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
60/30 ค่ะ
กำหนดยืนหนอ เดินหนอ ก็รู้กายได้ชัดปกติค่ะ มีตัวอกุศล หรือ หย าบ คายกำหนดรู้หนอไป ค่ะ
ความไม่พอใจ ก็เกิดกำหนดรู้หนอ ละไปค่ะ เวลาเกิดความคิดกำหนดคิดหนอ รู้หนอ
หลังๆเริ่มฟุ้งมากขึ้น ตอนจะหมดเวลาค่ะ ก็กำหนดรู้ไป ตั้งใจเดินต่อ

พอมานั่ง
จะสลับ ระหว่าง รู้กายนั่ง กะหลงไป
เวทนา เวลาเดิน หรือนั่งจะมีแปลบๆเย็นๆหายไปไว ค่ะ กะ มีเจ็บๆ หายไปไว

เสร็จแล้วค่ะพี่ 40/20 ค่ะ
ก็รอบนี้จะฟุ้ง ก็กำหนดรู้หนอคิดหนอไปค่ะ ตอนเดินก็รู้เท้าได้
ตอนยืนหนอก็รู้กายไล่ขึ้นลงได้ แต่มีขัดจังหวะ เผลอคิดโน่นนี่ด้วย แต่ก็กลับมาไล่กายขึ้นลงต่ออีก

ระหว่างกำหนดยืนหนอมีเวทนาเจ็บหลังเท้าขึ้นมากำหนดเจ็บหนอๆไปก็ขาดช่วงและหายไปค่ะ
นอกจากนั้นก้พวกเย็นแปลบไม่เยอะ

พอมานั่งช่วงแรกๆก็รู้กาย
จากนั้นก็หลงหายไปอีกสักพักใหญ่รู้สึกเหมือน มันสะดุ้งทีเดียว แล้วก็มารู้กายอีกค่ะ กะคิดๆ

สุขที่แท้จริง says:
ดีนะหมู ที่ได้มาเจริญสติ เรื่องทุกข์นี่กระเด็นไปได้ถึงแม้จะไม่หมดไปเลยทีเดียว

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ มันจะไม่ไปติดอยู่นานใช่ไหมคะ แบบ วางไว ไปมีความสุขกะเรื่องอื่นต่อได้ไว
แต่ก่อนน่ะ วนกลับมาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สุขที่แท้จริง says:

มันมีทางออกหลายทาง ถ้าเผชิญหน้ายังไม่ได้
ก็หักเหความสนใจไปพอพร้อมก็กลับมาตั้งสติใหม่ ดูจิตตัวเองมันเบาลงไปเรื่อยๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ถ้าไม่เจริญสติถึงจะหาอะไรมาหักเห ก็ไม่ปล่อยวาง เอาตัวเองออกมาจากหล่มความทุกข์ไม่ได้

สุขที่แท้จริง says:

นั่นแหละหมูใช่เลย เพราะสติเรายังไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับกิเลสในใจของเราได้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

จริงๆแล้วทุกข์อยู่ที่เราเลือก ถ้าเรามีสติเราก็มีสิทธิ์เลือกที่จะทุกข์น้อยลงนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ ทำไมเราต้องไปทำให้ตัวเองทุกข์ ตอนนี้แพ้อยู่ เราถอย แพ้คือแพ้ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
พอกำลังสติกลับมาเราดูมันลงไป กำลังของกิเลสอ่อนตัวลง ดีกว่าเราไปตีโพตีพาย วิ่งไปหาคนอื่นๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ใช่ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


May 29
29 พฤษภา 53 เดิน 40/20 และ 60/30 , 30/10


งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

60/30 ค่ะ
เดินก็มีรู้เท้าแล้วจิตก็คิดโน่นนี่ แบบแวบโน่นนี่ก็จะกำหนดรู้หนอ บางทีก็ฟุ่งซ่านหนอ
แต่ใจไม่ได้วุ่นวายเพียงแต่จิตมันจะวอบๆแวบๆ

ก็มีความอยากค่ะก็กำหนดรู้หนอไป ตอนกำหนดยืนหนอ ก็มีเทนาวูบที่เท้า ร้อนๆ
มีมดกัดบ้างแต่ไม่มากและหายไปไว ไม่ชัด หลังๆก็การเดินจะชัดขึ้นอยู่กะกายมากขึ้น

พอนั่งก็รู้ท้องเบาๆ กะรู้กาย่ากำลังนั่งไม่ค่อยจะจับท้องเท่าไร
ถ้ารู้ก็รู้แบบแผ่ว และห่างกะหลงไปคิดปรุงแต่งไร้สาระ สลับกันค่ะ จนจบค่ะ

ก่อนหน้านี้ ทำไปรอบหนึ่ง คือ 30/10 แต่ไม่ได้บันทึกไเพราะไปนวดให้แม่ต่อน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ทำให้รู้ว่าได้ทำ การที่ให้เขียนนี่ จะได้รู้สภาวะของตัวเองจะได้ปรับอินทรีย์ได้ถูก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็ยังนั่งนานมากไม่ได้ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ต้องไปกังวล นั่งนานไม่ใช่ตัววัดผล สติ สัมปชัญญะต่างหากที่เราจะต้องใช้
ทั้งทางโลกและทางปฏิบัติ บางคนนั่งได้แค่ 5 นาทีเอง บางทีแค่ 1 นาทียังมีเลย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ แหมนี่พอหมูอ่านบล็อกของคนเมื่อวานละก็
ความอยาก กะการเปรียบเทียบเกิดอีกละ ทำไมเราไม่เห็นอะไรบ้าง
เราได้ใช้กรรมไหม กำหนดอยากหนอๆ

สุขที่แท้จริง says:
ปรุงไวนิ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ กิเลสของคนขี้อิจฉาน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

เอานะหมู ทำต่อเนื่องอย่าคาดหวัง อีกหน่อยมันจะรู้ไปเองแหละ
ตัวอย่างมีให้เห็น แต่ไม่ค่อยจำเลยนะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ปฎิบัติไป ก็ช่วยตัวเองได้ในที่สุด ค่อยๆชุดขึ้นมาจากภาระต่างๆ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่หมู มันเป็นแบบนั้น ฉะนั้นเวลาไปอ่านบล็อก ไม่ต้องไปปรุงให้เสียเวลา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

หมูก็จะสะสมต่อไปน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ เข้าใจหลักของสภาวะคืออะไร

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ยังไงนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

เข้าใจหรือยังว่าคืออะไรบ้าง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็ที่เข้าใจตอนนี้ก็คือกิเลสของเราน่ะค่ะ ว่ามีกิเลสอะไรบ้าง

สุขที่แท้จริง says:

เอานะ เอาไปเท่าไหร่ดีละ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เด๋วๆค่ะ ขอเพิ่มรายละเอียด

สุขที่แท้จริง says:

กลัวคะแนนตกหรือไง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

กำลังจะให้ D

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ว้า ก็ยังดีกว่า F

สุขที่แท้จริง says:

ความรู้ผ่านได้น้อย แต่สภาวะให้ B

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เย้ เอ แต่ทำไม มันขัดกันละคะ

สุขที่แท้จริง says:

ความรู้เอาไปแค่ D

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แปลกดีนะคะ คือบางทีหมูก็รู้ บางทีก็ไม่รู้น่ะค่ะ แต่ว่า เอ้ยบอกไม่ถูก คือบางทีก็เข้าใจเองเลย
บางทีก็เลือนๆ แต่ก็สิ่งที่เห็น คือมันไม่ไปทุกข์มาก
เช่นฟุ้งก็แต่ก่อนจะเครียด ตอนนี้ก็เออ เฉยๆ
มีไม่พอใจก็จะเบาบางลงแล้วปล่อยไว บางเรื่องคิดว่าทุกข์แต่แปปเดียว
ปล่อยแล้ว ไม่กลับมาวนใหม่

แต่เรื่องความรู้ก็คงอย่างพี่น้ำบอกน่ะค่ะ ถ้าตอบก็จะกลายเป็นนำคำพูดที่พี่น้ำเคยพูดมาบอก
อันนั้นจำได้ค่ะ แต่มันไม่ได้ออกมาจากใจหมู

สุขที่แท้จริง says:

เห็นไหมว่า เราไม่จำเป็นต้องรู้มากอะไรเลย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พี่จะดูสภาวะเป็นหลัก ส่วนความรู้น่ะ พี่ไม่สนใจ สิ่งเหล่านี้มาศึกษาเพิ่มได้
ยิ่งรู้น้อย โอกาสปรุงทางสัญญายิ่งน้อย ติดอุปกิเลส ย่อมน้อยลง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แล้วรู้แต่ละครั้งก็ต้องปล่อย สำหรับหมูน่ะค่ะ มันจำแบบนั้นๆไว้เมื่อไรเป็นเรื่องงเลยค่ะพี่
วันถัดไปเปลี่ยนทันที อย่างเช่นหมูสรุปสภาวะน่ะค่ะ นานๆที
แต่หลังกจานั้นจะมีเอฟเฟค คือไปยึดเรื่องที่รู้สัก 3 วัน
ก็ต้องปล่อยไปไม่สนใจว่า รู้อะไรน่ะค่ะ ไม่งั้นก็ปรุงๆ แสดง่าโชคดีที่หมูรู้อน้อยนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่เลยย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เย้ ขอ F เลยแล้วกันค่ะ ไม่เอา d ละ

สุขที่แท้จริง says:

เห็นป่ะ ต้องให้อธิบายย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แหมพี่คะ โจทย์พี่น้ำอะเหมือนข้อสอบวัดไอคิวอะ มันไม่รู้คำตอบ เดาไม่ได้

สุขที่แท้จริง says:

เห็นไหม ทุกอย่าง เราสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้ตำราที่ไหนหรือใครที่ไหนมาวัดผลให้กับเรา
ตัวเราให้คำตอบเองได้ ทุกข์น้อยลง ยึดติดน้อยลง กิเลสเกิดก็ยอมรับตามความเป็นจริง
ตรงนี้แหละคือตัววัดผล ไม่ใช่คนอื่นๆมาวัดผลให้กับเรา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ หลักของการวัดผล จะจำไว้ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

วันนี้คุยกับคุณเก๊ะยาวมาก ตั้งแต่ 6 โมงเย็น เพิ่งกลับมาตอน 5 ทุ่ม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คุณเก๊ะมีอะไรมาถามหรือคะ

สุขที่แท้จริง says:

เมียเขาด้วย คนทำเล็บด้วย มันหลายเรื่อง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมมค่ะ แต่ก็ดีนะคะ เพราะเป็นการคุยธรรมะ มีประโยชน์แท้ๆหนอ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่จ้ะ ถ้าหมูอยู่ใกล้ก็คงได้คุยกัน เหตุทำมาน่ะค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คงสร้างมากะพี่น้ำคนเดียว สร้างมาไกลด้วย อยู่ซะไกลเลย

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ ธรรมทันสมัย กรรมก็ทันสมัย เหนือกาลเวลาเห็นไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ กรรมนี่ล้ำลึก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


May 30
30 พฤษภาคม 53 เดิน 40/20 และ 20/15 ,60/30 และ 20/25

เดิน 40/20 และ 20/15 รอบแรกไม่ได้บันทึก รอบสอง มีมดกัด 1 ครั้งแล้วหาย
มีจะขึ้นปรามาสกำหนดข่มไว้ ตอนนั่งรู้อกแผ่วๆ แล้วหลงไปคิด

รอบแรก 60/30
เดินก็ฟุ้งน่ะค่ะ ก็ยังรู้เท้าค่ะ มีปรามาส สบถ หยาบกำหนดรู้หนอๆ
ก็ทุกข์ และเกร็ง ก็กำหนด แล้วมารู้เท้าต่อ มีมดกัดบ้างแต่น้อย แล้วหายไป

พอมานั่ง
ก็รู้กายแต่จะไม่จับกายส่วนใดส่วนหนึ่ง มีเทนาเหมือนมดไต่ ตามตัว มีมดกัด แล้วก็มีหลงไปคิดไร้สาระ
และมารู้กายอีก ผลัดกะหลง

รอบ 2
20/25
ก็ฟุ้ง จะปรามาสกำหนดรู้หนอ ก็ยังรุ้เท้าได้ จิตก็วอบๆแวบๆ มีความอยาก
มีความเครียดๆเกร็งๆ กำหนดรู้หนอแล้วผ่อนคลายไป

พอมานั่ง
ก็ง่วงๆข้างในกะตัวจะเอนลง กะมีรู้มีกายนั่งอยู่ และก็หลงๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


nuchree says:

เสร็จแล้วค่ะพี่
60/20 ค่ะพี่

เดินก็ฟุ้งมากๆๆ ค่ะวันนี้สารพัดเรื่อง สลับกะรู้กายค่ะ
ก็ช่วยที่ฟุ้งใจก็จะป่วน แล้วพอรู้กายใจก็จะนิ่ง มันก็ไม่ฟุ้งสุดโต่งค่ะ
แล้วก็มีมดกัดต้นๆ กะหลังๆก็จะพวกกายเย็นแปลบ

พอมานั่ง
ก็จะช่วงต้นรู้ลมหายใจชัดสุด หายใจแผ่วๆ มีกายขยับด้วยนิดหน่อย
รู้ไปสักพักหนึ่งก็หลงไป มาอีกพักก็มาชัดที่ท้องเคลื่อนไหว
แล้วก็หลงไปอีก คือคิดๆ แต่รู้ว่ากำลังนั่งอยู่ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ ฟุ้งก้รู้ว่าฟุ้ง ไม่เป็นไร

nuchree says:

ค่ะพี่น้ำ

สุขที่แท้จริง says:

ฟุ้งเวลาเดินยังดีกว่าฟุ้งเวลานั่ง เวลานั่งถ้าฟุ้งแล้ว ไปหมด

nuchree says:

ค่ะยังสลับมารู้กายเดิน กะยืนได้บ้าง

uchree says:

เสร็จแล้วค่ะพี
60/20 ค่ะ

ฟุ้งเหมือนเหมือนเดิมค่ะ มีเย็นแปลบๆ มีรู้กายได้บ้าง บางทีก้อชัด
มีจิตจะปรามาส ต่ำๆ กำหนดรู้หนอไปค่ะ

พอมานั่ง
ก็มีหลงๆไป กะรู้กายว่าท้องขยับ ผลัดกันค่ะ หลงมากกว่ารู้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร