วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 23:07
โพสต์: 21

แนวปฏิบัติ: เจริญสติภาวนา
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบทำสมาธิเท่าไร สามารถจะปฎิบัติธรรมได้ผลไหมครับรบกวนขอความเป็นท่านผู้รู้ทุกท่านช่วยอธิบายให้ฟังบ้างนะครับ หรือต้องทำสมาธิแล้วจะดีกว่า ผมจะลองทำดูครับ สาธุ..........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


surasak limcharoen เขียน:
:b8: ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบทำสมาธิเท่าไร สามารถจะปฎิบัติธรรมได้ผลไหมครับรบกวนขอความเป็นท่านผู้รู้ทุกท่านช่วยอธิบายให้ฟังบ้างนะครับ หรือต้องทำสมาธิแล้วจะดีกว่า ผมจะลองทำดูครับ สาธุ..........





ไม่ชอบทำสมาธิ ก็ฝึกเจริญสติได้ค่ะ
เหตุแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน อุบายหรือวิธีการในแง่ของการปฏิบัติจึงแตกต่างกันไปค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเข้าใจคำว่า "สมาธิ" แคบเกินไป
เลยเข้าใจว่าการทำสมาธิต้องนั่งสมาธิแต่อย่างเดียว


ผมขอแนะขำให้คุณอ่านทำความเข้าใจ
พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อพุธ ฐานิโยก่อนเพื่อนเลยนะครับ

viewtopic.php?f=2&t=19826


ท่านจะอธิบายว่าอะไรคือสมาธิ แล้วทำไปเพื่ออะไร แล้วถ้าจะลงมือทำ ต้องทำอย่างไร
ท่านสอนดีมาก เข้าใจง่ายมาก

เน้นหลวงพ่อคนเดียวก่อน อ่านเทศน์ของท่านเยอะๆ มากๆ
อ่านเล่นๆนะ อย่ารีบเข้าใจ แล้วอ่านไปเรื่อยๆ
ความรู้มันจะประติดประต่อกันเป็นโครงขึ้นมาเอง จะเข้าใจทั้งหมดในภายหลัง

เมื่อเข้าใจตรงนี้ดีแล้ว จะมีความแยบคายในการทำสมาธิ
สามารถฉกฉวยเวลาในระหว่างวันมาทำสมาธิได้
จะเดินในออฟฟิส จะไปห้องน้ำ เวลากินข้าว เวลาดีใจ เสียใจ
มันสามารถทำสมาธิได้หมดเลย ถ้ารู้ว่าอะไรคือสมาธิ แล้วก้จะรู้จักทำสมาธิเอง

แล้วถ้าสงสัยอะไร มาโพสต์ถามกันได้ครับ
ที่นี่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยแนะนำมากมาย


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 13 มิ.ย. 2010, 23:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะคุณชาติสยาม จะยกคำสอนของหลวงพ่อพุธพอดี
แต่พิมพ์ไปแล้ว ขอนำมาลงนะคะ


สมาธิที่มีศีลเท่านั้นที่จะนำวิถีจิตของผู้บำเพ็ญไปสู่สัมมาสมาธิ

การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
สมาธิอันใดที่ไม่สนใจเรื่องชีวิตประจำวัน
หนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้ว ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้มรรคผลนิพพาน

การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ สติ ปัญญา มีหลักว่า
ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
ยืนเดินนั่งนอน กิน ทำ พูด คิด เป็นอามรณ์จิต ไม่ว่าจะทำอะไรมีสติตัวเดียว
ธรรมชาติของจิตเมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้น...

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

กาลใดที่ขาดสติ กาลนั้นเรียกว่าขาดความเพียร
แม้กำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่สักแต่ว่าเท่านั้น แต่มิได้เรียกว่าเป็นความเพียรชอบ
ดังนั้น ท่านจึงสอนเน้นลงในความมีสติมากกว่าธรรมอื่นๆ...

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนตัวจะรักษากายใจให้ปกติ(ศีล5)
ตั้งแต่ลืมตาตื่น คอยรู้สึกถึงความมีอยู่และการเคลื่อนไหว ของกายกับใจ
เท่าที่จิตจะรู้ได้

(อย่างตอนนั่งเคาะแป้นอยู่นี่ก็จะเป็นอิริยาบทนั่ง น้ำหนักถ่ายลงที่ก้น
มือกับสายตาเคลื่อนไหว ความคิดมันก็หลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ
คือเกิดอะไรขึ้นในร่างกายนี้ก็สัมผัสรับรู้
เหมือนมองดูร่างกายจิตใจความคิดและอารมณ์เป็นมุมกว้างๆค่ะ
เป็นแต่ผู้เฝ้าดู)

ตอนกลางคืนจะเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิ(ไม่นาน) สวดมนต์สั้นๆ
เพื่อให้จิตมีกำลังในการเจริญสติระหว่างวัน

ขอให้เฝ้าดู หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจเอาไว้เถอะนะคะ
สะสมเหตุไปเรื่อยๆวันนึงจะเห็นผล ซึ่งรู้ได้เฉพาะตนค่ะ :b8:

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


surasak limcharoen เขียน:
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบทำสมาธิเท่าไร สามารถจะปฎิบัติธรรมได้ผลไหมครับรบกวนขอความเป็นท่านผู้รู้ทุกท่านช่วยอธิบายให้ฟังบ้างนะครับ หรือต้องทำสมาธิแล้วจะดีกว่า ผมจะลองทำดูครับ สาธุ


ไตรสิกขา ล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิบัติธรรม

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสิกขา สาม ซึ่งเกื้อหนุนกัน เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย

กายกรรม วจีกรรม อันเกลื่อนกล่นกระจัดกระจาย มีศีลเป็นเครื่องระงับ
มโนกรรม อันเกลื่อนกล่น กระจัดกระจาย มีสมาธิ เป็นเครื่องตั้งมั่น
ทิฏฐิ กิเลสตัณหา และเครื่องร้อยรัด มีปัญญา เป็นเครื่องละ

ศีล ทำให้ ภาชนะรองรับ การแสดงออกทั้งหลาย สะอาด
สมาธิ เป็นบาท เป็นเครื่องทำให้ปัญญาเป็นที่เจริญ

จะปฏิบัติธรรม โดยมุ่ง เพียงเป็นผู้มีสติ ย่อมป่วยการในการ ปฏิบัติธรรม

ไม่เจริญสัมมาสมาธิ แต่จะปฏิบัติธรรม ย่อมสำเร็จเพียง ระดับศีล แต่ระดับปัญญาก็เป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอย

ปัญญามีเหตุใกล้ คือความฟุ้งซ่าน

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิมพ์หนังสืออยู่นี่ก็มีสมาธิ เป็นต้น กินข้าวก็มีสมาธิเป็นต้น ทำงานทั้งหลายอื่นก็มีสมาธิ เป็นต้น

แต่จะมีมากมีน้อย สมาธิสั้นหรือยาวอีกเรื่องหนึ่ง ทีนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกแล้ว

(มีเป็นต้น กำกับท้ายไว้ เพื่อให้คิดถึงองค์ธรรมตัวอื่นที่เกิดร่วมกับมันด้วยมิใข่มีแต่สมาธิตัวเดียว)


มีเวลาศึกษาการเจริญอิทธิบาทโดยใช้งานประจำวันฝึกดูดิครับ

viewtopic.php?f=2&t=20241

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




m208749.gif
m208749.gif [ 23.74 KiB | เปิดดู 6207 ครั้ง ]
หากเห็นว่า ลิงค์ข้างบนยาวไป เยิ่นเย้อด้วยวิชาการ

เปลี่ยนลิงค์นี้คั้นเอาเหลือเนื้อๆ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=114.new#new

ทำความเข้าใจดูครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หาสมาธิแบบที่เราชอบนะครับ จะได้มีความพอใจ
หรือแบบที่เราทำแล้วดึงความสนใจของใจเรามาอยู่กับสิ่งที่เรากำหนดได้ง่าย
ถ้าตรงกับจริตเด่นๆของเราก็จะดี จะได้ช่วยปรับพื้นจิตเราไปด้วย
ฝึกเองหรือไปหาที่ที่เขาสอนยิ่งดีครับ อะไรมีในธรรมดีหมดครับ ยิ่งฝึกธรรมยิ่งดีครับ
:b41:
:b45: :b45: :b45: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ฆราวาสคือผู้ครองเรือน...พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นผู้ครองเรือนมาก่อน...
...คือมีครอบครัวและสมบูรณ์ด้วยการเสวยราชสมบัติที่คนธรรมดาไม่อาจมี...
...การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าทรงวางแนวทางหลักคำสอนไว้สำหรับพุทธบริษัทสี่...
...ซึ่งพุทธศาสนิกชนพึงบำเพ็ญด้วยตนเองมีทาน ศีล ภาวนา ปกติไม่ใช่ชาวพุทธเขาก็มีสิ่งนี้...
...การทำสมาธิไม่ได้มีในพุทธศาสนาเท่านั้น...การทำงานปกติการมีสมาธิคือมีใจจดจ่อต่อสิ่งที่ทำ...
...ถ้าไม่มีสมาธิงานที่ทำก็ไม่สำเร็จและอาจทำผิดพลาดได้ เช่น รวมเลข นับเงิน นับของขาด เป็นต้น...
:b16:
...พระพุทธศาสนาเน้นศึกษาหลักพระธรรมคำสอนจนเข้าใจแล้วนำสิ่งที่เข้าใจนั้นมาปฏิบัติด้วยตนเอง...
...สมาธิเป็นสิ่งที่มีตามปกติในการทำงาน...ธรรมก็เช่นกันต้องทำสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิให้เกิดขึ้น...
...สัมมาสมาธิคือการเรียนรู้วิธีปฏิบัติด้วยการลงมือทำจนรู้และเข้าใจถูกต้องเกิดปัญญาเข้าใจธรรมะ...
...การปฏิบัติธรรม=การภาวนาคือการปฏิบัติกรรมฐาน2อย่างคือสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน...
...กรรมฐานคือการปฏิบัติที่กายกับจิตคือฐานที่ตั้งแห่งกายตนให้เข้าใจว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...
...ทำความเห็นในจิตตนให้ตรงตามสภาพธรรมชาติแห่งการเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งต่างๆที่เกิดมีขึ้น...
:b6:
...จากการหลงเข้าใจผิดและความไม่รู้จึงไม่สามารถเข้าใจสภาพธรรมชาติคือธรรมะได้ด้วยตนเอง...
...การได้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคที่มีพระธรรมคำสอนแล้วจึงอำนวยประโยชน์อย่างยิ่งต่อการคิดให้เข้าใจ...
...เพราะมนุษย์สามารถใส่ใจและฝึกคิดไตร่ตรองตามคำสอนที่มีผู้บอกเล่าให้ได้ยินแล้วคิดตามได้...
...การฟังแล้วคิดไตร่ตรองเป็นความสามารถของมนุษย์ที่ต่างจากสิ่งมีชีวิตในภพภูมิอื่นๆอีก30ภพภูมิ...
...เช่น สัตว์ดิรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสูรกายไม่สามารถกระทำและคิดตามหลักพระธรรมคำสอนได้...
...มนุษย์จึงขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐก็ตรงนี้...การเกิดมาพบพระพุทธศาสนาจึงประเสริฐอย่างยิ่ง...
:b20:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิ จำเป็นมากงับ ในกาลภาวนา

อย่าขาดนะงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ทุกคนเกิดมาทำหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาและเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีค่ะ...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=32306
:b20:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 23:07
โพสต์: 21

แนวปฏิบัติ: เจริญสติภาวนา
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: ผมได้อ่านกระทู้ ของทุกท่านรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื่นในใจมาก ที่ทุกท่านได้แสดงธรรมที่ดีๆแบบนี้ นับถือครับ
และน้อมไปปฎิบัติ ผมว่าทุกท่านภาวนาเก่งๆทุกคนเลยนะครับดูจากการอธิบายธรรมได้ลึกซึ้งจริงๆครับ ขอขอบคุณ
ที่กรุณาครับ ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ
แต่มีข้อสงสัยอีกแล้วครับดังนี้ครับ
1.เวลาภาวนาในชีวิตประจำวันเวลาตอนที่จิตหนีไปคิดจะรู้ไม่ค่อยทัน ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องที่จิตคิดไปเรียบร้อยแล้ว
ขอคำแนะนำด้วยครับ สาธุ....ครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


surasak limcharoen เขียน:
1.เวลาภาวนาในชีวิตประจำวันเวลาตอนที่จิตหนีไปคิดจะรู้ไม่ค่อยทัน ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องที่จิตคิดไปเรียบร้อยแล้ว
ขอคำแนะนำด้วยครับ สาธุ....ครับ :b8:


ถ้าเป็นผม อันไหนชัด ก็รู้อันนั้น
เหมือนตีมวย ปล่อยกิเลสความเผลอมันชกเราไป
เผลอเล็กเผลอน้อย ตอดเล็กตอดน้อย ปล่อยมันไปก่อน
พอเราหาจังหวะเหมาะๆเหม็งๆชัดๆ ซัดเปรี้ยงเข้าไปเลย เน้นๆ

ในวันหนึ่งๆ มันจะต้องมีอารมณ์แรงๆอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
แรงก้คือชัด เช่นดีใจมาก โกรธมาก ขำมาก

อย่างเวลาได้ยินอะไรแล้วมันดีใจ ชวนขำ ตรงนี้แหละรู้ลงไปที่ความสุขอันนี้
เวลาฟังเพลงเพราะแล้วมันเกิดขนลุก เกิด hook ขึ้นมาในใจนี่ก้รู้ลงไปตรงสภาวะอันนี้เลย
ที่มัน"สะท้าน" ปลาบขึ้นมานั่นแหละครับ รู้ไปตรงนั้น

หรือมีใครมาทำให้โกรธ แล้วมันสะท้านขึ้นมา ก็ตรงสะท้านนั่นแหละครับ
จับสังเกตุลงตรงนั้นแล้วก็แค่นั้น ไม่ต้องถามไม่ต้องคิดไม่ต้องพิจารณาอะไร
รอชกอันใหม่

หรือถ้าเดินอยู่ในที่สงบพอใช้ ไม่มีอะไรทำก็อย่าอยู่เฉย
เวลาเดิน ให้รู้ไปทั่วๆร่างกายที่มันเดิน รู้ไปทั้งองคาพยพนี้เลย
คล้ายๆเราตั้งความสังเกตุเราเอาไว้คงที่ เหมือนเปิดเรด้ากว้างๆเอาไว้
ไม่ต้องควานอะไรทั้งนั้น แล้วรับรู้ความเป็นเราที่กำลังเดิน
(แต่ถ้าเดินในผุ้คนมากๆ หรือมีอะไรมาชวนไข้วเขวมากๆ อย่าทำนะ เสียเวลา
เพราะจะชนคน เกิดอุบิตเหตุเอาได้)

หรือย่างทำงานแล้วจิตใจมันกระเสือกกระสนจับอะไรเป็นชิ้นเป้นอันไม่ได้ ไม่มีสมาธิ กระสับกระส่าย
ผมจะออกเดิน ไปห้องน้ำบ้าง ไปหาน้ำกินบ้าง
เวลาเดิน เดินช้าลง จะได้รู้สึกตัวได้เต้มที่มากขึ้น
อย่างนี้ช่วยให้ใจสงบได้เยอะ

หรือเห็นทีวี เห็นคนพูดกัน เห็นหนังสือพิมพ์
แล้วบังเอิญไปได้ยินเรื่องไมใ่ชอบ คนที่เรไม่ชอบ มันจะเคืองใจขึ้นมา
ใจเรามันก็มีชอบไม่ชอบคนนั้นคนนี้เป็นธรรมดา ต้องยอมความจริงตรงนี้
เวลาเขายกยอคนที่เราไม่ชอบ เราจะสะท้านๆขึ้นมา ฮึกๆฮักๆขึ้นมา
นี่ดูลงไปที่สภาวะร่างกายที่มันตึงเค้นแปลบปลาบขึ้นมา

อีกอันหนึ่งคือการเดินโดยไม่ใ่สใจใคร
ปกติแล้วตาเราชอบมอง หูเราก็เปิดรับไปทั่ว สนใจเรื่องนอกตัวไปเรื่อยเปื่อย
คราวนี้ให้หัดเดินแบบไม่สนใจใคร สนใจแต่ร่างกายที่เดิน และเป้าหมายที่จะไป
บางทีถ้าคล่องแล้ว ดูลมหายใจไปด้วยเลยก็ได้
เสียงอะไรจะมา ใครจะมอง อะไรชวนเขวให้ตัดใจให้หมด
ตัดใจมาอยู่กับการเดินให้หมด อย่างนี้ก็ใช้ได้

นั่งทำงานมากๆ ชักล้าสายตา
นั่งหลับตา จับลมหายใจสักพัก ก็ใช้ได้
หรือจะมองอะไรไกลๆกว้างๆที่ไม่ต้องเพ่งสายตามากก็ได้
ช่วยคลายความล้าสายตาด้วย

กินน้ำเย็นชื่นใจ ก็รู้สึกไปที่ชิ่นใจนี่ก็ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ
จากข้อความที่ว่า
1.เวลาภาวนาในชีวิตประจำวันเวลาตอนที่จิตหนีไปคิดจะรู้ไม่ค่อยทัน ส่วนใหญ่จะรู้เรื่องที่จิตคิดไปเรียบร้อยแล้ว

ความคิดเป็นอาหารของจิตใจ อยู่แล้วเป็นปกติ
เราจึงไม่ห้ามให้จิตใจคิดนึก ความคิดใดๆเกิดขึ้นเราเพียงแต่อาศัย
ปรากฏการณ์ต่างๆเพื่อระลึกรู้ ตรงตามความจริง ในปัจจุบัน

เมื่อความคิดเกิดขึ้นแล้ว โดยปกติเมื่อมันเสวยอารมณ์เต็มที่แล้ว
มันจะเปลี่ยนที่อยู่ของมันเอง
แต่กระนั้น เมื่อความคิดนึกใดๆเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเราระลึกรู้ในขณะปัจจุบัน
เราจะไม่ปรุงแต่งสิ่งที่ปรากฏให้เป็นความสืบเนื่องต่อไป

ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร