วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 20:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 83, 84, 85, 86, 87, 88, 89 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราปฏิบัติธรรม จะทราบได้อย่างไรว่า ได้บรรลุธรรมหรือไม่
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
อ่านใจตัวเองให้ออกสิครับ ถ้าใจเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน หรือใจเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ฯลฯทั้งโลกธรรมและวัตถุไม่มีอำนาจเหนือใจได้ เหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ใจที่เข้าถึงธรรม ใจบรรลุธรรม รู้เห็นเข้าใจด้วยตัวเอง (สนฺทิฏฐิโก) โดยไม่ต้องเอ่ยปากถามใคร เพราะใจเกิดปัญญาเห็นแจ้งเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นดับไปตามกฎของไตรลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตนใจไม่ยึดจับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตนใจจึงเป็น อิสระด้วยประการฉะนี้แล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากทราบว่าในการฝึกนั่งสมาธิ หรือวิปัสสนากรรมฐาน
1. จำเป็นต้องมีการสมาทานศีล 5 หรือไม่คะ เพราะที่ปฏิบัติอยู่ในตอนนี้ดิฉันไม่เคยสมาทานศีลเลยมีแม่ชีบอกว่าถ้าไม่ สมาทานศีลก่อนก็จะปฏิบัติไม่สำเร็จ

คำตอบ
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักของไตรสิกขาที่พระพุทธะมอบไว้แก่ชาวโลก ศีลเป็นพื้นฐานของใจที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ถ้าไม่มีศีลคุมใจให้ได้ก่อน สมาธิจะไม่เกิด การบรรลุธรรมขั้นสูงไม่อาจเกิดขึ้นได้
2. ทำไมเมื่อปฏิบัติไปแล้วเริ่มมีความเบื่อหน่าย ทั้งที่อยากปฏิบัติตลอด

คำตอบ
ความเบื่อหน่ายมี 2 ลักษณะ เบื่อหน่ายเพราะมีกิเลสครอบครองใจ ผู้ใดเกิดความเบื่อหน่ายอย่างนี้ผู้นั้นจะหยุดทำความดี ส่วนความเบื่อหน่ายที่จิตพัฒนาเข้าสู่นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายแบบหลังนี้ เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใด ผู้นั้นจะเร่งทำความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น ท่านละเบื่อหน่ายแบบไหน ถ้าเป็นแบบหลังนี้ ขออนุโมทนาด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมจะเจริญสติเกือบทุกวัน ถ้าไม่ติดภารกิจอื่นๆ ตั้งแต่ 3.00 น. โดยการเดินจงกรม 1 ชม. และนั่งวิปัสสนากรรมฐานอีก 1.5 ชม. พอผมนั่งไปได้ประมาณ 20 นาที ผมเริ่มรู้สึกว่ามือผมที่วางที่หน้าตัก มันว่าง ๆ เหมือนไม่มีมือ ผมจึงกำหนด "ว่างหนอ รู้หนอ ๆ" แต่อาการดังกล่าวก็ไม่หาย
และร่างกายผมก็ค่อย ๆ ว่าง จนเหลืออยู่ 3 จุดที่ผมยังรู้สึกคือ
1. อาการของท้องพอง ท้องยุบ ที่ผมใช้สติตามดูอยู่ตลอดเวลา
2. รู้สึกถึงตาตุ่มของเท้าซ้ายที่ถูกทับอยู่ แต่ไม่ใช่เวทนา หรือการปวดแต่อย่างไร
3. รู้สึกถึงขาขวา ท่อนบน ที่มันเหมือนจะเป็นอาการชา ๆ แต่ไม่ปวดแบบเวทนา
ผมติดอยู่ในอารมณ์นี้เกือบครบเวลาที่ตั้งไว้ โดยการกำหนดสติรู้ ดูอยู่ที่หน้าท้อง พอง-ยุบ ตลอดเวลา ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า สภาวะแบบนี้เป็น ปีติ หรือเปล่า? เพราะผมเกรงว่าจะไปติดอยู่กับปีติ จนการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ขอให้อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ
- - - แต่ก่อนที่ผมจะกำหนดออกจากสมาธิประมาณ 10 นาที รู้สึกถึงเวทนาอย่างแท้จริง คือปวดเข้ากระดูก ผมจึงกำหนดตามดูอาการปวดนั้น จนครบเวลาที่ตั้งสัจจะไว้

ขอขอบคุณในความเมตตาของท่านที่ช่วยตอบคำถามและเป็นครูสอบอารมณ์ให้กับนัก ปฏิบัติทุกคนครับ
ทุกครั้งหลังจาก ผมสวดมนต์หรือเจริญสติเสร็จ ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้กับอาจารย์เสมอครับ ในฐานะที่ท่านเป็นกัลยาณมิตรให้กับผม แม้จะไม่ได้เคยพบอาจารย์ แต่คำบอกกล่าวที่อาจารย์ได้เขียนไว้ในหนังสือ ทางสายเอก นั้น นับเป็นคำบอกกล่าวของกัลยาณมิตรที่มีค่ายิ่ง


คำตอบ
(1) คำว่าเหมือนไม่มีมือ แสดงว่ายังมีมือลักษณะนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า กำลังของสติยังไม่กล้าแข็งมี ๆ หลุด ๆต้องแก้ไขด้วยการกำหนดในใจว่า “ รู้หนอๆ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าความรู้สึกดังกล่าวจะหายไปสิ้นเชิง แล้วจึงดึงจิตมาระลึกรู้อยู่ที่อาการพองยุบของผนังหน้าท้อง
(2) ความรู้สึกลงไประลึกรู้อยู่ที่ตาตุ่ม ต้องกำหนดเหมือนข้อ (1)
(3) เมื่อความรู้สึกลงไประลึกรู้อยู่ที่ขาขวาท่อนบนต้องกำหนดเหมือนข้อ (1)
อาการทั้งหมดไม่ใช่ปีติ แต่เป็นอาการของสติที่ยังกวัดแกว่งไประลึกรู้ในที่ต่าง ๆ ยังไม่มีความตั้งมั่นมากพอที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"นิมิตเกิดขึ้นได้กับทุกดวงจิต ที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนา ผู้ที่มีประสบการณ์ในการฝึกจิตมาก่อน ฝึกจิตยาวนาน"
อันที่จริงดิฉันเพิ่งจะเริ่มทำสมาธิได้เพียงไม่ถึงเดือนก็ได้เกิด นิมิตขึ้นครั้งแรก ซึ่งเหตุการณ์นิมิตทั้งสองเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมนี้เอง และเกิดขึ้นในเวลาห่างกัน 1 เดือนพอดี
อีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งในเวลานั้นดิฉันไม่เคยมีการทำสมาธิมาก่อนเลย วันหนึ่งดิฉันไม่ระวังและไปสะดุดชนขอบตู้ไม้อย่างแรงทำให้เกิดความเจ็บปวด อย่างมาก ทันใดนั้นดิฉันเกิดความคิดแวบขึ้นมาว่าพระทีปฏิบัตธรรมมานานสามารถรับการผ่า ตัดโดยไม่ต้องวางยาสลบ เมื่อคิดเช่นนั้นดิฉันก็ทำจิตนิ่งและหายเจ็บในวินาทีนั้นเป็นปลิดทิ้ง ในเวลานั้นดิฉันดีใจที่หายเจ็บและคิดในใจว่าทำได้จริงๆด้วย พอคิดเท่านั้นก็เกิดความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นมาเช่นเดิม ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจิตเกิดความไม่นิ่ง ดิฉันจึงเริ่มทำจิตนิ่งอีกครั้ง และนิ่งอยู่นานรอจนกระทั่งคิดว่าความเจ็บนั้นจะค่อยๆคลายตัวไปเองเมื่อเวลา ผ่านไป และก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อดิฉันเริ่มคลายจากความนิ่งอีกครั้งก็พบว่ามีความรู้สึกเจ็บหลงเหลือ น้อยมากจนอาจกล่าวได้ว่าไม่มีความเจ็บหลงเหลืออยู่อีก แต่อาจจะมีความรู้สึกเล็กน้อยจากแรงกระแทก พอสักประมาณ 1-2 วินาทีผ่านไป ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
1) ไม่ทราบว่าที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่ว่าความ เจ็บปวดนั้นหายได้เพราะการทำจิตให้ว่าง หากใช่ดิฉันอยากแนะนำให้ผู้ที่ประสบความเจ็บปวดทางกายแบบเดียวกันนี้ จะสามารถนำวิธีนี้ไปลองทำดูก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดทางกายไปได้เป็นปลิด ทิ้ง หรือหากอาจารย์มีข้อแนะนำอื่นๆก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
คำ ว่ามีประสบการณ์ฝึกจิตมายาวนาน หมายความว่าเคยฝึกมาก่อนในอดีตชาติ
ส่วนเรื่องความเจ็บปวดหายได้ หากทำจิตใจว่าง คำว่า “ ว่าง ” หมายถึงว่างจากอารมณ์ปรุงแต่ง คือว่างจากความเจ็บปวดนั่นเอง คนที่เดินไปสะดุดขอบตู้ หากกันใจไม่ให้ไปรับสัมผัส มาปรุงเป็นอารมณ์ได้ ความเจ็บปวดจะไม่มี
2) อันที่จริงดิฉันเพิ่งจะเริ่มทำสมาธิได้ไม่ถึงเดือนก็เกิดนิมิตขึ้นนั้น เป็นไปได้หรือไม่คะว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะในชีวิตประจำวันดิฉันรู้สึกว่าโดย รวมๆแล้วตนเองมีความสงบสุขอยู่แล้วเป็นนิจ แม้จะไม่ได้ทำสมาธิก็สงบอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ทำสมาธิก็ยิ่งสงบกว่า ดังนั้นแม้จะเพิ่งเริ่มทำสมาธิก็สามารถเกิดนิมิตขึ้นได้ง่ายๆแม้จะไม่ได้ อยู่ในเวลาทำสมาธิก็ตาม

คำตอบ
ที่บอกเล่าไปก็ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า อดีตชาติเคยฝึกจิตจนมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมาก่อนแล้ว ชีวิตนี้ใช้เวลาฝึกไม่นานเท่าไร นิมิตก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย
3) รบกวนอาจารย์ให้คำอธิบายคำว่า "สัตว์ที่มีรูปกายเป็นทิพย์" ว่าคืออะไรและมีกี่จำพวก อะไรบ้างค่ะ ขอขอบพระคุณอย่างสูงในความกรุณาของอาจารย์ที่ได้สละเวลาอันมีค่าในการ ตอบคำถามนี้
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

คำตอบ
สัตว์ที่มีรูปกายเป็นทิพย์หมายถึง สัตว์ที่มีกายละเอียด ที่ตาเนื้อตาหนังไม่อาจมองเห็นได้ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เวลาเดินจงกรม ตอนยืน,เดิน และนั่งสมาธิ มักจะกังวลที่ลมหายใจตลอดเวลา ทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่เป็นธรรมชาติเลย ทำแล้วไม่สบายใจกลับกังวลมากขึ้น และบังคับตัวเองจนแข็ง แม้แต่ในเวลาปกติที่ไม่ได้ทำกรรมฐานแล้วก็ตาม ไม่มีสติเลยมีแต่ความฟุ้งซ่านตลอดพยายามกำหนด แต่ไม่ทันสักกที ทำให้ท้อมาก ๆ

คำตอบ
ความกังวลเป็น เรื่องปกติของคนมีสติยังไม่กล้าแข็ง ยังมีใจเป็นทาสของกิเลส ในกรณีของคุณหากประสงค์จะตัดความกังวลให้ขาดไปจากใจ ต้องปฏิบัติให้ได้ 2 เรื่อง คือ ทุกครั้งที่เกิดความกังวล ต้องเอาใจไปจดจ่อกับเรื่องที่กังวล แล้วกำหนดในใจว่า “ กังวลหนอ ๆ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าความกังวลจะดับไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีก จึงค่อยดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม เรื่องที่สองที่ต้องปฏิบัติคือ หมั่นเป็นคนให้ทานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอภัยทาน ต้องทำบ่อย ๆ หากแก้สองข้อนี้ได้ปัญหาก็จะหมดไปชั่วคราว
2. การตามรู้ว่าขณะนั้นจิตกำลังคิด ดี ไม่ดี ออกไปเที่ยว หรือ รู้ว่าฟุ้งซ่าน ปรุงแต่ง ได้ยินอะไรมาก็คิดปรุงแต่ง พอรู้ว่าคิดก็หยุด แต่พอสักพักก็คิดอีก บางทีกว่าจะรู้ตัวก็นานมาก อยากถาม ท่านว่า ดิฉันควรปฏิบัติกรรมฐานตามจริตไหนดี

คำตอบ
จริตของแต่ละคน เป็นนิสัยเฉพาะตน ปรับแก้ไขได้ยากจริตแบบไหนไม่สำคัญ ปฏิบัติธรรมได้ทุกจริต ในกรณีของคุณ หากเจริญพรหมวิหาร 4 ให้ได้พร้อมกับเร่งความเพียรในการเจริญสติ การปฏิบัติธรรมสามารถบรรลุมรรคผลได้ง่าย ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณมีความศรัทธาในคำแนะนำนี้เต็มร้อยไหม และคุณสามารถนำเอาพรหมวิหาร 4 มาบรรจุไว้ในใจได้แค่ไหน นั่นแหละคือต้นเหตุที่จะทำให้ปัญหาถูกแก้ไขให้หมดไป
3. ดิฉันมีกรรมมาตั้งแต่เด็ก ๆ มักต้องมารับกรรมอย่างนี้อยู่เสมอ ๆ โดยมากจะโดนกล่าวหาว่า เราทำผิด นินทาว่าร้ายผู้อื่น ขโมย ขี้โกง เอาความลับของเพื่อนไปบอกคนอื่น ถ้าได้เข้าไปมีเพื่อนสนิทที่ชอบยุและว่าคน ระยะหนึ่งเขาก็จะโกรธเราที่ไม่ได้ดั่งใจ ต่อมาคำพูดที่เขาว่าคนอื่น จะเป็นคำพูดที่เขาเอาไปบอกคนนั้น ๆ ว่า เราเป็นผู้ว่า และคนนั้นก็จะโกรธเราไปอย่างไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น ซึ่งเรื่องนินทาคนนั้นแค่เรากล่าวถึงคนอื่นในทางไม่ดีหรือรับฟังมันก็บาป แล้วเราก็ทราบ แต่บางทีความสนินสนมคิดว่าเขาจะไม่หักหลังเราแบบนี้ เราก็มักเห็นด้วยและคล้อยตามไป แต่กรรมที่ได้รับคือคนอื่นจะไม่ถามว่าจริงหรือเปล่า แต่จะบอกคนอื่นและสรุปเลยว่าเราทำ เราเป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ
ในขณะนี้ ดิฉันกำลังประสบอยู่เป็นเพื่อนร่วมงาน เขาราวีตลอด แต่ไม่บอกเหตุผลว่าเราว่าอะไรเขาจึงโกรธมากไม่ยอมเลิกรา เขาให้เพื่อนสนิทที่เป้นผู้จัดการไปฟ้องถึงเจ้าของกิจการ หลังจากที่บอกคนอื่น ๆ แล้วยังไม่พอใจ ตอนนี้ดิฉันอดทนอย่างมาก แต่บางทีก็อดไม่ได้จึงพูดกับคนที่เข้าใจเราว่า ทำไมไม่ยอมเลิกราสักที และไม่อยากรู้แล้วว่ามันเรื่องอะไร เมื่อก่อนที่เขาว่าเราผิด เราก็ขอโทษไปแล้วทั้งที่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เผื่อจะดีขึ้นกลับแย่ลงไปอีก กลายเป็นว่าเรายอมรับผิดไป
จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า เป็นเพราะเหตุอันใด ขอบพระคุณมากค่ะ


คำตอบ
ทุกคนที่เกิดมาล้วนต่างมีกรรมกันทุกคน ใครทำกรรมไม่ดีไว้มาก จิตจะสั่งสมกรรมไม่ดีไว้มาก เมื่อกรรมให้ผล อุปสรรคและปัญหาของชีวิตย่อมมีมาก ใครทำกรรมไม่ดีมาน้อย แต่ทำกรรมดีไว้มาก อุปสรรคและปัญหาของชีวิตย่อมมีน้อย มีความสุขสบายมากทั้งหมดของกรรมที่ทำไว้แต่อดีตเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ทำไมไม่คิดทำแต่กรรมดี ๆ และหยุดทำกรรมไม่ดีให้ได้ในปัจจุบันนี้ล่ะ ผู้รู้เขาทำกันอย่างนี้ ในวันข้างหน้าเขาย่อมได้รับผลของกรรมดีแน่นอน
ใครเขาจะคิด จะพูด จะทำ จะสรุปอย่างไรกับคุณ มันเป็นเรื่องของเขา คุณไปห้ามเขาไม่ได้ เรื่องของคุณอยู่ที่ว่าแต่นี้ต่อไปคุณต้องหยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ หยุดสรุปไม่ดีกับคนอื่นให้ได้แล้วนั่นแหละปัญหาต่าง ๆ จะหมดไปเมื่อกรรมใหม่ให้ผล
เรื่องที่เพื่อนร่วมงานราวีคุณ เป็นอกุศลวิบาก ที่คุณสร้างวีรกรรมอันเป็นอกุศลกับเขาไว้ก่อนนั่นเอง ถ้าคุณไม่ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้เขาไป แล้วเมื่อไหร่หนี้ที่ก่อไว้ จะหมดไปได้ล่ะคิดจะไม่ใช้หนี้ คิดจะเบี้ยวหนี้ คิดจะหนีหนี้ ไม่สำเร็จหรอก ดูตัวอย่างของพระมหาโมคคัลลานะสิ หนีหนี้กรรมที่ไปทุบแม่จนตายแล้วหลายภพหลายชาติ ในที่สุดเมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ยังต้องชดใช้ด้วยการถูกโจรทุบจนตาย เช่นเดียวกัน ตอนที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับเจ้าคุณโชดก เมื่อหนี้เวรกรรมตามทันจับต้องชดใช้หนี้กรรมให้หมดกันไป
เรื่องกล่าวคำขอโทษ คุณมีสิทธิ์ทำได้ แต่การยกโทษให้เป็นสิทธิ์ของเขาว่าจะยกโทษให้หรือไม่ ตัวอย่างสมมติ(ไม่ใช่เรื่องจริง) ว่ามีเพื่อนมาขอยืมเงินคุณไปก้อนหนึ่ง เขาเอาไปซ่อมรถที่ชนกันพอถึงกำหนดใช้หนี้เขาไม่มีเงิน เขามาบอกว่า “ ขอโทษนะ เงินที่ยืมไปไม่สามารถหามาใช้หนี้ได้ ขอยกเลิกหนี้นะ ” ถามว่าคุณจะยกโทษยกหนี้ให้เขาได้ไหม หากคุณยังโกรธและคิดอกุศลกับเขา ก็แสดงว่าคุณไม่ให้อภัยเขา คุณไม่ยกโทษให้เขา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิมิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ
ตามที่ดิฉันได้เคยเรียนถามอาจารย์เรื่องนิมิตที่เกิดขึ้นขณะนอน สมาธิว่าเห็นรูปพระพุทธรูปปางสมาธิสีขาว และมีรัศมีล้อมรอบเป็นสีขาวและเหลืองสลับกันไปมา 3 วง และสามารถควบคุมให้รูปเล็กหรือใหญ่ได้เหมือนการซูมภาพจากกล้องหรือ COMPUTER ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น อาจารย์ได้อธิบายให้ทราบว่าเป็นเพราะพลังสมาธิ และไม่ให้ยึดติดกับสิ่งที่เห็น เพราะจะเป็นการขัดขวางการไปสู่การทำวิปัสสนานั้น ดิฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในคำแนะนำนั้น
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากการเห็นนิมิตครั้งแรก ขณะที่ดิฉันกำลังไปนั่งให้หมอนวดสาววัยกลางคนนวดเท้าเพื่อสุขภาพ (ตามที่เป็นที่นิยมเปิดร้านกันมากมายในกรุงเทพฯในขณะนี้) ขณะที่กำลังให้หมอนวดๆเท้า ดิฉันนั่งหลับตานิ่งๆ ไม่ได้คิดอะไร จู่ๆก็เกิดเห็นรูปเหมือนพระจันทร์สีเหลือง มีวงกลมล้อมสีขาว 1 วงและถัดไปเป้นสีเหลืองแบบเดียวกับพระจันทร์ โดยในดวงจันทร์มีรูปหัวใจเล็กๆสีขาวปรากฎ สักพักก็เปลี่ยนจากหัวใจกลายเป็นรูปพระอาทิตย์ครึ่งวงกลมเหมือนเพิ่งโผล่จาก น้ำทะเลตอนเช้า และสักพักก็หายไปเอง แต่ละภาพเกิดขึ้นประมาณ 5 วินาที ดิฉันรู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่เห็นเพราะไม่เคยเห็นภาพลักษณะนี้มาก่อน และก็ไม่ได้เคยไปคิดถึงเรื่องหัวใจ (หรือความรัก) หรือพระอาทิตย์แต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นเองโดยขณะจิตนิ่งไม่ได้คิดอะไรเลย และเกิดขึ้นอย่างง่ายๆ ทั้งที่มีหมอนวดกำลังนวดเท้าอยู่ จึงสงสัยว่าทำไมนิมิตจึงเกิดขึ้นได้ง่ายดายเช่นนี้และเกิดขึ้นเพราะเหตุใด

เพื่อให้อาจารย์เห็นภาพนิมิตที่ดิฉันเห็น ดิฉันได้แนบรูปทั้งสามมาให้อาจารย์ดูด้วย เพื่ออาจารย์จะได้เห็นภาพด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณอย่างสูงในความกรุณาของอาจารย์ในครั้งนี้
ขอ แสดงความนับถืออย่างยิ่ง


คำตอบ

นิมิต เกิดขึ้นได้กับทุกดวงจิต ที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนา ผู้ที่มีประสบการณ์ในการฝึกจิตมาก่อน ฝึกจิตยาวนาน โอกาสเกิดนิมิตมีได้เสมอในทุกอิริยาบถที่จิตเป็นสมาธิ ภาพที่เกิดขึ้นนั้นเห็นผลจากสมาธินั่นเอง ยังไม่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เพราะปัญญาเห็นแจ้งนิมิตยังไม่เกิดขึ้น ถ้าเมื่อใดจิตเป็นแจ้งนิมิต จิตไม่เอานิมิตมาปรุงเป็นอารมณ์ จิตปล่อยวางนิมิต จิตเป็นอิสระจากนิมิต นั่นแหละการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงจะดำเนินไปถูกตรง แนวทางของพระพุทธะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


…………….1) เดือนที่แล้วหนูขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ค่ะ วันนั้นนั่งสมาธิได้ประมาณเข้าช.ม.ที่ 2 หรือที่ 3
ไม่แน่ใจ ก็มีอาการรู้สึกคันที่หัวเข่า หนูก็พิจารณาว่ามันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตา
(ที่นั่นเค้าสอนว่ารู้สึกที่ใจอย่างไร ก็ให้พิจารณาว่ามันไม่ใช่ของเรา มันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตา) แต่
อาการคันมันก็เพิ่มขึ้นมากๆแล้วก็ทรมานมากๆ ใจนึงก็ร้องบอกว่าแค่เอื้อมมือไปเกาก็หายแล้ว หรือแค่ลุกก็
หายแล้ว แต่อีกใจก็พิจารณาตามไปว่าไอ้ที่รู้สึกคันนั้นมันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตา....ใจมันต่อสู้กันเอง
นานมากๆ ๆๆ จนตัวหนูเองแทบจะร้องให้ออกมาแต่หนูก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงนั่งพิจารณาใจที่มันกระวนกระ
วายต่อไป..แล้วขณะที่ต่อสู้กันอยู่ ๆ ก็เหมือนมีระเบิด ๆ ออกมา มันมีเป็นเหมือนแสงวาบ สว่าง
เบา เย็น หนูรู้สึกว่าตัวเบาเหมือนลอยอยู่ในความสว่างนั้น (แต่อาการลอยก็รู้ว่าเป็นท่านั่งสมาธิอยู่)
ในขณะนั้นหนูก็ยังพิจารณาว่าร่างกายที่รู้สึกว่ามันเบาและลอยอยู่นั้น
เราก็บังคับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตา.....พิจารณาอยู่อย่างนั้นตลอด
(อาการคันที่ทรมานหายไปตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ) แล้วพอเรารู้ว่าใจเราเป็นสุข มันเย็น มันสงบอยู่ขณะ
นั้น หนูก็เลยแผ่เมตตา...พอเริ่ม สัพเพ สัตตา เท่านั้น ..ก็รู้ว่าขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าไล่ขึ้นไป ขึ้นไป
จนถึงศรีษะ เหมือนคลื่นทะเลที่มันซัดมากระทบฝั่ง
(รู้สึกขนลุกแต่หนูก็ยังแผ่เมตตา กับท่องบท อิทังเม มา ตาปิตุนัง...ไปเรื่อยๆนะคะ) พอมันขนลุกขึ้นสุดถึงศรีษะ หนูก็รู้สึกถึงว่ามันมีพลังอย่างหนึ่งที่มันกระจาย
ออกไปจากตัวเอง...แผ่ออกไป กระจายออกไปกว้างมากๆ ไม่เห็นที่สุด...แล้วใจมันเหมือนบอกกับตัว
เองด้วยว่าที่เราแผ่เมตตาออกไปนั้น...มันไปได้ไกลจริงๆ สัตว์ทั้งหลายได้รับจากเราจริงๆ
(ไม่รู้จะใช้คำอธิบายอย่างไรค่ะ) แล้วมันก็เป็นสุขค่ะ....หลังจากนั้นสักพักอาการเบา สว่าง เย็น
สบาย ก็หายไป...อาการคันที่หัวเข่าก็กลับมา แต่แค่คันนิดๆ เท่านั้น ...หนูยังคงนั่งสมาธิอีกพักนึงแล้ว
ก็ออกจากสมาธิ...พอออกมาแล้วตัวก็ยังเบา ใจสบายมีความสุข สดชื่น มันตื่นไม่ง่วงนอนเลยค่ะ

ต้องขอโทษที่อธิบายซะยืดยาวนะคะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อยากเรียนถามอาจารย์ว่า มันเป็นนิมิตที่เกิดจาก
สมาธิหรือคะ? หรือว่ามันเป็นอะไรคะ? แล้วอาจารย์มีข้อแนะนำอะไรสำหรับหนูเพื่อที่จะพัฒนาการ
ปฏิบัติให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก รบกวนบอกด้วยค่ะ?

คำตอบ
อาการคันเป็นปีติชนิดหนึ่ง วิธีแก้ปัญหาที่บอกไปนั้น ถ้าสติยังไม่มีกำลังกล้าแข็งพอ อาการคันจะปรากฏขึ้นได้อีก ประสงค์จะแก้ปัญหาอาการคันไม่ให้กลับมาอีก ต้องกำหนดในใจว่า “ คันหนอ ๆ ๆ ๆ ” จนกว่าอาการคันจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีก นั่นแหละเรียกได้ว่าสติมีกำลังมากพอ เมื่อสติมีกำลังมากพอแล้วต้องใช้จิตตามดูผัสสะต่าง ๆ ให้เห็นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะจึงจะเกิดขึ้น
อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิแต่ยังเป็นสมาธิที่ยังไม่ยาวนาน ต้องเจริญสติภาวนาให้มากยิ่งขึ้นจนกระทั่งสามารถระลึกรู้ สิ่งกระทบภายนอกที่เข้าสัมผัสจิตดับไปทุกครั้ง นั่นแหละจึงจะเรียกว่ามีสติดี มีสติที่ควรแก่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

2) หลังจากนั้นอีก1-2 วัน หนูนั่งสมาธิเข้าช.ม. ที่ 2 หนูก็รู้สึกว่ามันเกิดมีพลังบางอย่าง วนกลมๆอยู่
รอบๆ ช่วงช่องว่างที่ลำตัว แขนกับมือค่ะ (เวลานั่งท่าสมาธิ มือขวาจะทับซ้าย ดังนั้นช่วงระหว่างตัว
เรา ช่วงแขน จนถึงมือที่ทับกันอยู่จะเป็นช่องกลมๆตรงกลาง ไม่แน่ใจว่าอาจารย์จะเข้าใจที่หนูพูดหรือ
เปล่า) พลังกลมๆนี้มันก็วนๆอยู่ และหนูก็เลยลองหายใจให้แรงขึ้น..พอหายใจแรง มันก็รู้สึกว่าพลังนี้มัน
ดันแรงขึ้น แต่ถ้าหายใจปกติมันก็วนอยู่ปกติค่ะ....เป็นอย่างนี้อยู่พักใหญ่ค่ะ แล้วมันก็ค่อยๆ สลายไป
เหมือนหมอกค่ะ

อาการแบบนี้มันคืออะไรหรือคะ? ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้อีก หนูควรพิจารณาอย่างไรดี เพราะก่อนหน้า
นี้ก็เคยเป็นมาแล้วค่ะ แต่เป็นลูกพลังงานเล็กๆ อยู่ระหว่างอุ้งมือทั้งสองที่วางทับกันอยู่เท่านั้น

ขอขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาอ่านและตอบคำถามของหนูไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

คำตอบ
อาการที่บอกเล่าไป เป็นผลมาจากการเจริญสมถกรรมฐาน จิตรู้ไม่ทันจึงตกเป็นทาส คือ หลงติดอยู่กับอาการที่เกิดขึ้น เป็นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ผิดทาง วิธีแก้ปัญหาก็คือ เมื่อจิตสัมผัสได้ว่า มีพลังบางอย่างเกิดขึ้น ต้องกำหนดในใจว่า “ รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ” จนกว่าพลังที่เกิดขึ้นนั้นจะอันตรธานไป แล้วให้ดึงจิตกลับสู่องค์ภาวนาเดิม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 โดยไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกที่วัดคลองตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นเวลา 3 วัน การปฏิบัติธรรมวันที่ 1 , 2 รู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก แต่วันที่ 3 ระหว่างที่ดิฉันภาวนาหยุบหนอ พองหนอแล้วรู้สึกลมหายใจละเอียดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเหมือนไม่มีลมหายใจแต่ที่ท้องยังมีการพองยุบอยู่ แล้วรู้สึกเหมือนไม่มีลมวิ่งเข้าวิ่งออกจากภายนอก แต่กลับรู้สึกว่ามีลมวิ่งวนเป็นวงกลมอยู่ภายในร่างกาย และลมค่อยๆเย็นขึ้นๆจนไปสัมผัสกับร่วงกายส่วนใด (ร่างกายภายใน) ก็รับรู้ถึงความเย็นวาบของร่วงกายส่วนนั้น เช่น ปาก กระพุ้งแก้ม ความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นรู้สึกมีความสุขมาก ระหว่างที่กำลังเกิดอาการดังกล่าว พระอาจารย์ก็เรียนสติให้กลับมาและนำกล่าวคำแผ่เมตตา ช่วงนั้นรู้สึกว่ามีลมเย็นวิ่งออกมาทางปากของดิฉัน และวิ่งออกไปทั่วร่างกาย ออกไปปลายนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วอาการปวดเมื่อยทรมานที่ได้รับมาสองวันก็หายไปทันทีทันใด ขนรุกขนชัน มีแต่ความสุขอิ่มเอมหัวใจ นึกขึ้นมาคราใดก็ยังขนรุกขนชัน
ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ว่า อาการที่ดิฉันได้ประสบระหว่างปฏิบัติกรรมฐานเรียกว่าอะไร และต่อไปควรทำอยางใด จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง
กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
อาการที่เกิดขึ้นเรียกว่า ปีติ อันเป็นผลสืบมาจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับหนึ่ง วิธีลดปีติเพื่อให้จิตตั้งมั่นยาวนานขึ้น คือให้กำหนดลมอยู่ในกาย ด้วยการบริกรรมว่า “ รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ” จนลมหยุดและหายไป เมื่อเกิดความรู้สึกเย็นวาบให้บริกรรม “ เย็นหนอ ๆ ๆ ๆ ” จนความรู้สึกเย็นวาบหายไป และปีติตัวสุดท้ายคืออาการขนลุกขนชันให้ภาวนาหรือบริกรรม “ ขนลุกหนอ ๆ ๆ ๆ ” จนอาการขนลุกหายไป แล้วจิตจะมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม และหากเมื่อใดจิตเข้าถึงความตั้งมั่นยาวนาน (อุปจารสมาธิ) ให้เอาจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน 4 เพื่อทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง นี่แหละวิถีของนักปฏิบัติธรรมที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.นั่งสมาธิจิตเป็นประภัสสรไม่มีอะไรเข้าถึงจิตได้ไม่ว่าเสียงดังก็สลาย หมดแต่ยังมีความคิดอยู่
ผมอยู่ขั้นไหนแล้วครับ
คำตอบ
อยู่ในขั้นที่จิตเริ่มเข้าสู่ความเห็นแจ้งตามเป็นจริงว่า สิ่งต่าง ๆที่เข้ากระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ ทำไมไม่ตามดูความคิดที่เกิดขึ้นให้ดับไปด้วยล่ะ

2.นั่งวิปัสนาอยู่จิตวูบเห็นความเกิดดับที่จิตจริงๆไม่ขาดสายเห็นความไม่ เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาที่จิตจริงๆวิปัสสนาผมอยู่ขั้นไหนแล้วครับ

คำตอบ
อยู่ในขั้นที่จิตเห็นแจ้งในจิต ต่อไปลองเอาจิตที่เห็นแจ้งในจิต ส่องดูจิตตัวเองสิว่า สังโยชน์ทั้ง 10 ตัว นี้คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา ว่ายังมีกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ตัวใดบ้าง ที่กำจัดได้หมดสิ้นไปจากใจได้แล้ว และยังมีกิเลสตัวไหนบ้างที่ยังอาศัยใจเป็นที่พักพิงยังกำจัดไปไม่หมด กรุณาบอกให้คนอื่นรู้ด้วย จะได้เอามาเป็นกำลังใจ ปฏิบัติให้เกิดความก้าวหน้าให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้อ่านหนังสือธรรมะหลาย ๆ เล่ม ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่า ถ้านั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน หาความสงบไม่เจอ ให้นั่งดูความคิด นั่งดูอารมณ์ ให้นั่งดูจิตว่ามันคิดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ นั่งดูไปเรื่อย คิดอะไรก็ให้รู้อยู่ดูเฉย ๆ ดูว่ามันจะคิดอะไรต่อ ตามดูมันไป
อยากเรียนถามอาจารย์ว่า ไม่เข้าใจว่าจะทำได้อย่างไรพร้อม ๆ กัน เพราะตอนที่เราคิดเรื่องอื่น ๆ อยู่ จิตเราก็คิดหรือฟุ้งซ่านในเรื่องนั้นอยู่ เราจะเอาจิต หรือ สติที่ไหนไปตามดูมันได้พร้อมกัน คือสงสัยว่าจะทำ 2 อย่างนี้พร้อมกันได้อย่างไรค่ะ เพราะถ้าเราสามารถตามดูมันได้ แสดงว่าตอนนั้นเราต้องมีสติกับมาอยู่กับปัจจุบันแล้ว ไม่ใช่เหรอค่ะ
ขอความกรุณาตอบข้อสงสัยนี้ให้ด้วยค่ะ จะได้สามารถนำไปใช้พิจารณาได้อย่างถูกต้อง
กราบขอบพระคุณเป็น อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ที่ครูบาอาจารย์ สอนนั่นถูกต้อง ต้องใช้จิตดูจิตที่กำลังคิดจะคิดเรื่องอะไร ก็ตามดูความคิดไปเรื่อย ๆ ดูว่าจิตกำลังคิดอะไร หรือมีอารมณ์เกิดขึ้นกี่ครั้ง ต้องใช้จิตตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง การใช้จิตตามดูความคิดหรือใช้จิตตามดูอารมณ์ ก็คือต้องการให้จิตจดจ่อ (มีสติ) อยู่กับความคิดหรือใช้จิตตามดูอารมณ์ วิธีการอย่างนี้แหละที่เรียกว่า การฝึกจิตให้มีสติไงล่ะ ถ้าจิตจดจ่ออยู่กับสั่งที่เกิดขึ้น จิตจะเข้าสู่ความตั้งมั่น (สมาธิ) โดยอัตโนมัติ ในที่สุดจะเห็นได้ว่าทั้งความคิดหรืออารมณ์จะเกิดขึ้นกี่ครั้งกี่หนย่อมดับ ลง (อนัตตา) ในที่สุด นี่แหละปัญญาเห็นแจ้งในเรื่องของความคิดในเรื่องของอารมณ์ ต้องเป็นไปตามธรรมนิยาม (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) จริงแท้แน่นอนเมื่อดูจนถึงที่สุดแล้ว ความคิดและอารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่จีรัง ไม่ควรเอาจิตเข้าไปยึดถือมาเป็นของตน จิตปล่อยความคิดปล่อยวางอารมณ์ได้ ความเป็นอิสระของจิตก็เกิดขึ้น จิตเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา พร้อมกับมีปัญญาเห็นถูกตรงเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการตามดูนี่แหละ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ในขณะนี้เริ่มทำสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้าออก แต่ทำไปสักพักรู้สึกเหนื่อย เหมือนหายใจไม่พอ จะแก้ได้อย่างไร

คำตอบ
กำหนดลมหายใจ แล้วรู้สึกเหนื่อย แสดงว่าคุณใช้จิตไปบังคับการเข้าของลมการออกของลม แต่ถ้ากำหนดได้ถูกวิธีคือไม่ใช้จิตไปบังคับให้ลมเข้า ลมออก แต่ปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติที่เคยเป็นที่เคยหายใจอยู่ก่อนแล้ว ใช้จิตตามดูลมเข้า ลมออก จะไม่รู้สึกเหนื่อย ฉะนั้นแก้วิธีกำหนดเสียใหม่
2. ลูกชายมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก อยากบวชเป็นเณร(ขณะนี้อายุ 13 ปี เรียนชั้น ม.1) และตั้งใจที่จะไม่สึก ทุกวันพระเขาจะรักษาอุโบสถศีลเอง โดยไม่ได้ไปรับศีลที่วัดเพราะติดเรียน รู้สึกเบื่อหน่ายทางโลก อยากอยู่ในโลกุตรมากกว่าโลกีย (เขาบอก) แต่ด้วยความที่ยังยึดติดว่าอยากให้เขาเรียนทางโลกให้จบปริญญาตรีก่อนแล้วจะ บวชก็ไม่ว่ากัน(จริงๆแล้วก็ไม่อยากหรอก)แต่เขาไม่ยอม จะขอบวชให้ได้ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร แม่จะผิดบาปหรือไม่ถ้าไปขัดขวางเขา

คำตอบ
ชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเลือกทางชีวิตด้วยตัวของเขาเองเมื่อเลือกนำชีวิตไปในทางที่ดี เพราะเขามีความเห็นถูก เขาคิดถูกและเขากำลังจะทำสิ่งที่ถูก แล้วคุณในฐานะที่ถูกสมมุติเรียกว่าแม่จะไปขัดขวางทางชีวิตของเขาให้เป็นบาป ติดตัวไปทำไมเล่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมมาไม่ค่อยนานเท่าไหร่ แต่มีคำถามที่อยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำการปฏิบัติต่อ
ก่อนหน้านี้ดิฉันได้เริ่มปฏิบัติธรรมจากการภาวนาพุทโธ (ขณะนั้นเดินทางไปสวนโมกข์ เพื่อไปเที่ยวกับคุณแม่ของเพื่อน) ในช่วงที่อยู่สวนโมกข์ ดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องการปฏิบัติธรรมมากนัก เห็นในเทปที่วัดเขาเปิดบอกให้ภาวนาพุทโธ ดิฉันก็ภาวนาไป เขาบอกให้ดูลมหายใจก็ดูไป เขาบอกให้รู้การเคลื่อนไหวก็ทำไปงั้นๆ เพราะจริงๆ เป็นคนชอบต้นไม้ จนกระทั่งวันที่ 2 ของการไปเที่ยว วัดเขาให้ถือศีล 8 ก็ถือกับเขาด้วยพอกลางคืนเขามีการเปิดเทปธรรมบรรยายของพระพุทธทาส ตลอดคืนก็ไปกับเขาด้วย ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจก็ไม่กล้าขยับขามากนั่งไป ปวดขาไป ทนไป จนถึงจุดที่รู้สึกว่าแทบขาดใจ ก็บังคับตัวเอง พูดกะตัวเองว่า ไม่ใช่ของเรา ความเจ็บปวดไม่ได้เข้าไปข้างในจิต สักพักก็รู้สึกว่า ดวงจิตอยู่ด้านหลังกาย กายคือกาย จิตคือจิต จิตสั่งกายจึงขยับ และรับรู้ทุกอิริยาบถการขยับ รู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบาน เหมือนใจมีพลังมาก ขณะนั้นรู้สึกว่า นี่แหละทางของเรา หลังจากนั้นก็ตั้งใจเอาสติรู้กับกาย ตอนนั้นองค์ความรู้ก็อยู่แค่ว่าต่อไปนี้ตั้งใจจะมีความสุข เราไม่อยากมีความทุกข์อีกแล้ว แต่น่าเสียดายที่ต้องกลับบ้านในวันที่ 3
หลังจากนั้น ก็นำวิธีการนั่งสมาธิไปทำที่บ้านบ้าง ไปวัดใกล้ๆบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เห็นเหมือนตอนอยู่สวนโมกข์เลย แสดงว่า สมาธิแย่ลงใช่ไหมคะ มันเฉยๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่เห็นแยกกายกับจิตได้เลย ซึ่งหลังจากที่กลายเป็นคนเข้าวัด ก็กลับมีคำถามอีกมากมาย เพราะในตอนแรก คิดว่าการปฏิบัติธรรม จะต้องเพื่อให้มีความสุขตลอดเวลาที่มีชีวิตเหลืออยู่ แค่นั้น แต่พอมาเจอคนที่เขาปฏิบัติกันมากๆ เขาเริ่มพูดถึง นิพพาน พูดถึงการไม่กลับมาเกิด ก็เลยเกิดอาการสงสัยการไม่มาเกิดอีก กลับมาหาจุดเริ่มต้นว่า ตกลงแล้วเราปฏิบัติธรรมเพื่อการไม่กลับมาเกิดอีกเหรอคะ จริงๆแล้วเราทุกคนมีชาติหน้าชาติก่อนด้วยเหรอคะ แล้วถ้าเป็นคนไม่ค่อยเชื่อใคร จะต้องบังคับใจตัวเองให้เชื่อเรื่องชาติก่อนชาติต่อไปด้วยไหมคะ ถึงจะเดินไปตามทางพ้นทุกข์ได้ ไปนิพพานได้ และถ้าไม่ใช้วิธีบังคับใจจะมีวิธีอื่นอีกไหมคะ เช่นจะต้องคิดอย่างไร ทำอย่างไร ถึงจะเห็นความจริงที่แท้จริงของชีวิต เพราะดิฉันกลัวว่าถ้าจะตายแล้วยังไม่รู้อะไรเลย

ได้โปรดเมตตาตอบคำถามให้ดิฉันด้วยค่ะ ถ้าทราบทางปฏิบัติ จะได้รีบนำไปปฏิบัติก่อนหมดเวลาของชีวิต
ขอบคุณมากค่ะ


คำตอบ
คนที่รู้ตัวเองว่ามีสมาธิแย่ลง (เสื่อม) แสดงว่าเริ่มมีปัญญาทอแสงเล็ก ๆ เกิดขึ้นที่ปลายขอบฟ้าของชีวิตแล้ว เหตุที่สมาธิเสื่อมเพราะสถานที่ไม่สัปปายะ (ไม่เหมาะต่อการปฏิบัติธรรม) เหมือนกับที่วัดสวนโมกข์เป็นสถานที่ที่เหมาะกับจริตของคุณ อยากเห็นการแยกกาย – แยกจิตอีก รับรองว่าไม่ได้เห็น เพราะความอยากเห็นเป็นตัณหาเป็นตัวกิเลสใหญ่ ตอนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสวนโมกข์ ความอยากเห็นไม่มีอยู่ในใจของคุณ คุณจึงเห็นการแยกกาย-แยกจิตไงล่ะ
ส่วนเรื่องความสงสัยของคุณเช่น ชาติหน้าชาติก่อนมีจริงหรือ ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่กลับมาเกิดอีกหรือ ความจริงแท้ของชีวิตเป็นอย่างไร ฯลฯ นั่นแหละเกิดเป็นความสงสัยนั้นถูกต้องแล้ว แต่เป็นความถูกต้องของคุณเพราะเหตุมีสติปัญญาเพียงเล็กน้อยนั่นเอง เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วผู้ตอบปัญหาได้พัฒนาปัญญาไอคิวมาสูงสุด ก็เคยสงสัยเหมือนคุณนั่นแหละแต่ด้วยเหตุที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ความสงสัยมิ ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้นได้พัฒนาจิตตนเองจนเข้าถึงปัญญาสูง (ญาณ)ได้ จึงได้รู้ว่าแม้ตัวเองเรียนสำเร็จถึงระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์แล้วยังมี ปัญญาเพียงแค่หางอึ่งเท่านั้น ยังไม่เข้าถึงความจริงของชีวิตได้ทำไมคุณไม่ลองไปอ่านหนังสือ “ ทางสายเอก ” ที่ชมรมกัลยาณธรรมได้จัดพิมพ์ขึ้นเผยแผ่ความจริงของชีวิต ในหนังสือได้กล่าวถึงวิธีการและประสบการณ์การพัฒนาจิตของผู้ตอบปัญหาดูบ้าง ล่ะ น่าตื่นเต้น และอาจเป็นคำตอบที่ดีให้กับคุณได้ นะจะบอกให้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ผู้ที่ได้ฌานกับผู้ที่ได้ปัญญาเห็นไตรลักษณ์อย่างไหนอาณิสงค์มากกว่า แต่ในคัมภีร์บอกว่าฌานเป็นครุกรรมหนักฝ่ายดีแต่ไม่เห็นบอกว่าปัญญาเป็นครุ กรรมหนักฝ่ายดีบ้างเลย

คำตอบ
ผู้ที่พัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ แล้วจึงมีโอกาสเป็นอริยบุคคลได้ หากพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็สามารถบรรลุอหรัตผลได้ ส่วนผู้ที่นำจิตเข้าสู่ความเป็นฌาน แม้จะได้โลกิยะอภิญญาถึง 5 ตัวก็ยังไม่สามารถก้าวล่วงความเป็นปุถุชนได้ แล้วคุณคิดว่าอย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันล่ะ

2.อย่างผมฝึกวิปัสสนาญานผลจากการฝึกจิตวิปัสสนาสามารถกระโดดข้ามขั้นได้ไหม เช่นฝึกวิปัสสนาปลงอสุภะ อยู่ดีดีจิตปฏิวัติไปญาน4 หรือจากญาน1กระโดดไปญาน4ได้ไหมครับหรือต้องเป็นไปตามลำดับญานไม่ข้ามขั้น

คำตอบ

ในการพัฒนาจิต ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหากทำได้ถูกทางแล้วสามารถปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานได้ถึง 16 ญาณ โดยเริ่มต้นจากญาณที่ 1 คือปรีชาหยั่งรู้การแยกของรูปนาม ญาณที่ 2 คือ ญาณหยั่งรู้ปัจจัยแห่งรูปนาม ญาณที่ 3 คือ ญาณเห็นรูปนามเป็นไปตามไตรลักษณ์ ญาณที่ 4 คือ ญาณตามเห็นความเกิดแลความดับไปของรูปนาม ฯลฯ ผู้ที่พัฒนาจิตตามวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนมีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้า แข็งสมบูรณ์บริบูรณ์ได้แล้ว จะเห็นการเกิดของญาณดำเนินไปตามลำดับ จากญาณที่ 1 ญาณที่ 2 ญาณที่ 3 ญาณที่ 4 เรื่อยไปจนถึงญาณที่ 16 ไม่มีการกระโดดข้ามขั้น แต่ด้วยเหตุที่พลังงานจิตมีการเกิดดับเร็วมาก หากสติมีกำลังกล้าแข็งไม่มากพอ จึงสามารถระลึกได้ทันการเกิดขึ้นของญาณบางตัวได้อย่างที่คุณมีประสบการณ์และ ถามไปนั่นแหละ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เมื่อวันที่ 6-12 ตุลาคมที่ผ่านมาค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ปฏิบัติได้ดีที่สุดจากทั้งหมดที่ได้เคยไปมาเลยค่ะ ต้อง ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างมาก เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ได้ฟังอาจารย์สอน และเปิดฟังหลาย ๆ รอบทำให้คำสอนนั้นก้องอยู่ในหูเกือบตลอดเวลาและนำมาใช้ตอนอยู๋ที่วัด ทั้งตอนขณะปฏิบัติธรรมหรืออิริยาบถอื่น ๆ นอกขณะปฎิบัติธรรม รู้สึกว่าได้ผลดีมาก เช่น พยายามไม่พูดกับใคร เวลาเดินก็ไม่ดูโน่นนี่ แต่ดูที่ระยะที่เราจะก้าวไปเท่านั้นและกำหนด ซ้าย ขวา ขณะเดิน เวลารับประทานอาหาร อาบน้ำก็พยายามกำหนด ทำให้มีสติมากกว่าเดิม ใจนิ่งขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น ตอนนั่งปฏิบัติรู้สึกกำหนดรู้ยุบหนอ พองหนอ ได้ดีกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรเพราะเวลาเกิดทุกขเวทนาตอนปวดขา ก็กำหนดไม่ได้แล้ว
ทุกครั้งหลังจากการปฏิบัติธรรม ได้อุทิศบุญกุศลที่ทำให้อาจารย์ด้วยทุกครั้งค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ได้เพียรพยายามสอนธรรมะของ พระพุทธเจ้า และได้มีโอกาสฟังธรรมจากอาจารย์และนับวันก็ยิ่งเข้าใจในคำสอนของอาจารย์มาก ขึ้น โดยการปฏิบัติให้มากขึ้น ก็จะเห็นว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นเป็นจริงทุกประการ รู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ มากค่ะ จะขอพยายามปฏิบัติเช่นนี้ต่อไปค่ะ

คำตอบ
การปฏิบัติธรรมของคุณเดินมาถูกทางแล้ว ให้รักษาความเพียรในการปฏิบัตินี้ต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อกลับจากวัดแล้ว ต้องนำไปทำต่อที่บ้าน ต้องทำในทุกโอกาสที่เปิดใหคุณปฏิบัติได้ คำว่า “ ทุกโอกาสที่เปิดให้ ” หมายถึงทุกโอกาสที่ปลอดจากงานของสังคม ของครอบครัวที่คุณต้องรับผิดชอบเมื่อไรมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ค่อยปฏิบัติ เช่นเวลาก่อนเข้านอน เวลาหลังจากที่ตื่นนอน นั่นแหละเป็นเวลาส่วนตัว เป็นเวลาของตัวเองอย่างแท้จริง ที่คุณสามารถเอามาพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองได้
ส่วนเรื่องทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับแข้งขานั้น ไม่ต้องไปพะวงถึงให้มากนักถ้าปวดแข้งขาจนทนไม่ไหว ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนา ไปเป็นเดินจงกรมจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ดีกว่า เมื่อใดที่สมาธิในขณะเดินจงกรมเริ่มถดถอยให้เปลี่ยนไปเป็นอิริยาบถนั่งภาวนา สลับกันอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อใดจิตมีกำลังของสมาธิกล้าแข็งแล้ว เมื่อนั้นแหละจึงใช้จิตพิจารณาอาการปวดที่แข้งขาได้แล้ว จิตจะมีกำลังผลักดันตัวเองให้เป็นอิสระจากทุกขเวทนาได้จริงแท้แน่นอน จงเชื่อแล้วทำตามผู้ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แล้วคุณจะเห็นแจ้งด้วยตัวเองในสติปัฎฐานตัวที่สอง (กาย เวทนา จิต ธรรม) ตามที่พระพุทธตรัสไว้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ภาวนามยปัญญานั้น สามารถนำมาช่วยในเรื่อง การเรียน การค้นคว้า การวิจัย ให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้ไหมครับ นอกจาก ปัญญา 2 ตัวแรก. .

คำตอบ
สามารถนำภาวนามยปัญญา มาช่วยในเรื่องการเรียน การค้นคว้าการวิจัยได้ดี เพราะเป็นปัญญาที่สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริง (เหตุผล) ในระดับที่เป็นความจริงชั่วคราว (สภาวสัจจะ) และระดับที่เป็นความจริงแท้ (ประมัตถ์สัจจะ)ได้ ปัญหามีอยู่ว่าในการวิเคราะห์วิจารณ์และสรุปผลการวิจัย เพื่อเสนอต่อนักวิชาการทางโลกในปัจจุบันต้องใช้ปัญญาไอคิว (สุตมยปัญญา
และจินตามยปัญญา) อธิบายเหตุผลที่เป็นความจริงชั่วคราว นักวิชาการผู้มีปัญญาไอคิวจึงจะรู้เห็นเข้าใจเหตุผลที่คุณได้แสดงให้ดูและ ยอมรับได้

2. ธรรมข้อใดที่คนที่ทำงานด้านวิชาการ นักค้นคว้า นักวิจัย ควรมีไว้เพื่อให้เป็นแรงเสริมความพยายาม ไม่ท้อถอยในความยากลำบากของงานด้านนี้ครับ. .

คำตอบ
อิทธิบาท4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ยังไงล่ะ นักวิชาการผู้ใดมีใจรักในงานที่ทำ มีความพากเพียรในงานที่ทำ มีใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำและใช้ปัญญาไต่สวนในงานที่ทำ หากทำได้ครบทั้ง 4 อย่างนี้แล้ว รับรองว่าทำงานได้สำเร็จทุกเรื่อง เพราะอิทธิบาท 4 นี้เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในกิจทั้งปวง
ความสำเร็จมี 2 ด้านคือ สำเร็จดีและสำเร็จแต่ไม่ดี หากผู้ถามต้องการให้งานที่ทำสำเร็จแล้วดี ต้อง update ความรู้ในสาขาของงานที่ทำให้มีความรู้ทันสมัยอยู่เสมอ นั่นคือต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะความจริงทางโลกล้าสมัยได้ง่าย
3. เมื่อเราทำงานไม่ว่าจะเป็นด้านใด ถ้าทำไม่สำเร็จ แต่ทำด้วยความพยายามแล้ว เราควรจะพิจารณาตนเอง ไปอย่างไรครับ ถึงจะเป็นการคิดที่ถูกต้องครับ ..

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ . .

คำตอบ
คนที่ทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะองค์ประกอบของคุณธรรมทั้งสี่ยังมีไม่ครบ มีเพียงความพยายาม (วิริยะ) เพียงอย่างเดียวแต่คุณธรรมที่เหลืออีกสามอย่างยังด้อยคุณภาพ จึงต้องไปพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในคุณธรรมทั้งสามขึ้นมามีคุณภาพทัดเทียมกับ ความเพียรที่คุณมีอยู่ก่อนแล้ว นั่นแหละความสำเร็จในงานที่ทำจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 83, 84, 85, 86, 87, 88, 89 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร