วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 23:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 09:16
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้างอยากให้พ้นแต่ละวันๆ ไปเรื่อยๆแบบไม่มีความทุกข์ความเศร้า พอดีมีปัญหาเรื่องครอบครัวด้วย สามีมีเมียน้อย โปรดแนะทางสว่างให้ด้วยเถิด สามีโดนใส่ของต่ำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสติ หรือทำเมตตา
เด๋วดีขึ้นแน่นอน


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 24 ส.ค. 2010, 19:41, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2010, 18:50
โพสต์: 24

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติอยู่กับปัจจุบัน
อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ขณะที่อ่านนี้ ความคิด จิตใจคุณอยู่ตรงนี้ด้วยหรือเปล่า
หรือตัวอยู่ตรงนี้ แต่ใจเป็นอื่น
หายใจเข่้า หรือหายใจออก บอกได้มั้ย
ตาคุณกระพริบอยู่ รู้หรือเปล่า

หันมาให้อาหารใจ ดูแลจิตใจบ้าง
แล้วจิตใจมันจะไม่ทำร้ายคุณ

เอาแต่อาบน้ำ ล้างร่างกายได้ทุกวี่ทุกวัน
จิตใจไม่ล้างบ้างมันก็น้อยใจซิ

อย่าลืมว่า มันต้อง ล้าง ทั้งกาย ทั้งใจ ต้องทำทุกวันด้วยให้เสมอๆกัน

ถ้าคุณจะว่าง จริงๆ คุณต้องหยุดคิด (สังขาร) หยุดเอาอดีตมาตีกับปัจจุบัน
พุทธะ ไม่ได้สอนให้คิด แต่สอนให้รู้ รู้ รู้
เพราะถ้าคุณรู้ คุณก็จะตื่น และก็จะเบิกบาน นั่นคือความหมายของ พุทธ

ถ้าคุณคิด อ่าน ศึกษาหาความรู้ คุณจะได้แค่ สัญญา (ความจำ) จำได้ก็ลืมได้
แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละ คุณจึงจะได้ ความรู้ตัว ที่แท้จริง คือ ปัญญา

เป็นกำลังใจให้ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย skygolo เมื่อ 25 ส.ค. 2010, 08:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2010, 12:21
โพสต์: 637

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีควาทุกข์ เรารู้ พอ คือกำหนดรู้ว่า ทุกข์ อย่าไปวนเวียน อย่าไปคิดซ้ำให้มันมาก
อย่าไปโทษใคร หรือน้อยใจอะไร
กำหนดรู้ว่า เออ ฉันรู้แล้ว มันทุกข์ จบ พอ พอแต่เพียงเท่านี้

ควาทุกข์ต้องแก้ด้วย มรรค ศีล สมาธิ และปัญญา
เมื่อมีทุกข์หนักอย่างนี้ ให้สมาทาน ศีลห้าก่อนนะครับ
ยิ่งคุณ คิดว่า มีเรื่องของต่ำมาก่อน ศีล สำคัญมาก

สมาทานศีล ก็ไม่ยาก ที่ง่าย และมีกำลังใจ คือ ไปสมาทาน กับพระพุทธรูป ก็ได้ ที่บ้านเราเองก็ได้
จากนั้น หัดเจริญสติ เช่นที่เพื่อนๆแนะนำมา คือลมหายใจ หรือร่างกาย
จากนั้นเมื่อใจสบายขึ้น ให้ใช้ ปัญญา พิจารณา ว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น

ถ้ายังใช้ปัญญาไม่ได้ ยังคิดไม่ออก คิดแล้ว ฟุ้ง ทุกข์ ร้องไหอย่างนี้
ให้ปล่อยวางก่อน คิดว่า ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ เขาก็เป็นกัน

จากนั้น มาเจริญ สติ ต่อ ก่อน
การเจริญสติ จะได้ทั้งสติ และสมาธิด้วยคู่กันไปเสมอ
เมื่อดีขึ้น จะคิดออกได้มากขึ้น และวางใจ เย็นได้มากขึ้น

ทุกอย่างจะค่อยดีขึ้น สิ่งต่างๆ จะดีขึ้น อย่างน้อย ใจของเราจะดีขึ้น
ความทุกข์จะลดลงด้วย พระธรรม นี้เองครับ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา

และนี้แหละคือ วิธี การฝึกจิตให้เย็นให้ว่างที่แท้จริง ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญานี้เอง

เบื้องต้น แค่นี้ก่อนนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 06:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ริสา เขียน:
ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรบ้างอยากให้พ้นแต่ละวันๆ ไปเรื่อยๆแบบไม่มีความทุกข์ความเศร้า พอดีมีปัญหาเรื่องครอบครัวด้วย สามีมีเมียน้อย โปรดแนะทางสว่างให้ด้วยเถิด สามีโดนใส่ของต่ำ

ผมว่าคุณคงไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติ ผมสังเกตุได้จากที่คุณบอกว่าสามีโดนของ
ดังนั้น การที่สมาชิกที่แนะนำคุณมาก่อนหน้า
ผมว่าคุณก็คงไม่เข้าใจในคำแนะนำนั้นเช่นกันครับ

เอาอย่างนี้ครับ ผมจะอธิบายแบบง่ายๆพื้นๆให้ฟังนะครับ
ทุกสิ่งในโลก มันย่อมเกิดมาจากเหตุ ทุกข์นี้มันเป็นผลครับ
มันเกิดจากเหตุ ซึ่งมันมีหลายอย่างครับ
ตัวอย่าง คุณเคยทุกข์ครั้งแรกเรื่องสามี มีเมียน้อย คุณดูส่วนนี้คุณทุกข์
ทุกข์เป็นผล สาเหตุหรือเหตุที่ทำให้ทุกข์คือ การที่สามีไปมีเมียน้อย

ตอนนี้มาดูณ.ปัจจุบัน ทำไมถึงยังทุกข์อยู่ ทั้งๆที่รู้แล้วและก็ทุกข์ไปแล้วด้วย
เราก็ต้องดูที่สาเหตุที่ทำให้ทุกข์ณ.ปัจจุบัน เหตุที่ทำให้ทุกข์ก็คือ
ความคิดว่าสามี มีเมียน้อย เมื่อรู้แล้วเหตุที่ทุกข์คือความคิดดังว่า
เราก็ต้องดับความคิดนี้หรือเรียกว่าดับเหตุ โดยใช้สติหรือที่เรียกว่าการระลึกรู้

แล้วการระลึกรู้ทำได้อย่างไร ก็ด้วยการรู้ว่า รู้ว่ากำลังคิดเรื่องที่ทำให้ทุกข์อยู่
ตัวนั้นแหล่ะครับที่เรียกสติ ที่มาหยุดยั้งความคิดที่ทำให้ทุกข์ แต่แค่ชั่วคราว
มันอยู่ที่เรามีสติได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของสติ
ถ้าเราระลึกได้อย่างต่อเนื่องกันแบบนี้เรียกว่าสมาธิหรือจิตว่างครับ
ที่กล่าวข้างบนเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนมาครับ

การทำสมาธิหรือจิตว่าง คนไม่เคยปฏิบัติทำได้ยากครับ หรือแม้แต่คนที่เคยปฏิบัติก็ตามที
ผมมีวิธีง่ายๆครับ โดยการเปลี่ยนเรื่องที่คิด จากทุกข์ให้เป็นสุข
คือให้มันตรงข้ามกับความทุกข์ อย่างเช่นคุณชอบคิดเรื่องสามี มีเมียน้อย
คุณก็เปลียนไปคิดว่า คุณรักเดียวใจเดียวเป็นคนดี
คือเอาความไม่ดีของสามี มาเป็นข้อเปรียบเทียบให้เกิดความดีในตัวเรา
เมื่อเราเห็นความดีในตัวเอง มันก็เป็นสุขครับต้องขอบคุณสามีด้วยซ้ำที่มีเมียน้อย
ทำให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2010, 17:04
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆที่ได้จากผู้รู้และผู้ตื่นหลายๆท่านนะคะ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า การระลึกรู้ การปล่อยวาง ทำได้ยากยิ่งนัก แต่ก็จะพยายามค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรมวิบาก
กรรมวิบากของสัตว์โลกมีผัสสะ(การกระทบระหว่างตา หูฯลฯ รูป เสียง ฯลฯ) เป็นตัวกำหนด

ราคะ โทสะ โมหะ คือเหตุปัจจัยทำให้ชีวิตไม่สงบเย็น
ชีวิตที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ คือชีวิตที่สงบเย็น

ราคะ โทสะ โมหะ...เกิดจากการกระทบกันระหว่าง
ตากับรูป
หูกับเสียง
จมูกกับกลิ่น
ลิ้นกับรส
กายกับสิ่งที่มากระทบกาย
ใจกับอารมณ์ความคิด...

ทำอย่างไรชีวิตถึงจะปลอดจากราคะ โทสะ โมหะ
ศึกษาธรรม เจริญภาวนา ปฏิบัติตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงอย่างเคร่งครัด

แม้นแต่พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความเห็นของพระเทวทัตได้เลย
เราคือใครกัน ที่จะแปลงเปลี่ยนกำหนดชะตาของผู้ใดได้.

ศึกษาเรื่องผัสสะให้ดีๆ
เรื่องผัสสะนี้เท่านั้นแหละ ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของสัตว์โลก...ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำจิตให้ว่างให้เย็นหรือให้สงบนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่ควรสนใจคือ จิตหรือรู้ ที่ไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง ความว่าง ความสว่าง ความสงบ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น มีแต่ความเกิดและความดับ เพราะฉะนั้นควรสนใจจิตหรือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับตลอดอนันตกาล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 08:17
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำจิตให้ว่างแบบสมถะกรรมฐานจะมีอารมณ์เดียวอันนี้แค่ทำให้ใจสงบ แต่ถ้าจะเจริญสติให้เกิดปัญญาก็ต้องตามดูตามรู้ตลอดเวลา และอย่างไปปรุงแต่งอารมณ์ตามกิเลสคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


การทำจิตให้เย็น(นิพพาน)ให้ว่าง(จากกิเลส ตัณหา อุปาทาน) ทำอย่างไร

แต่มิใช่ว่างจากอารมณ์ทั้งปวง

จิตไม่เคยว่างจากอารมณ์เลย แม้ยามหลับ ยังเสวยอารมณ์

อารมณ์เฉย(อุเบกขา) หรือท่านคิดว่าว่างจริงๆ

อ้างคำพูด:
ในทางพุทธศาสนา อารมณ์หมายถึงสิ่งที่จิตไปเกาะเกี่ยวอยู่แล้วยึดจิตไว้ มี 6 อย่าง คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรม มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธรรมารมณ์ ตามลำดับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 06:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
การทำจิตให้ว่างให้เย็นหรือให้สงบนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่ควรสนใจคือ จิตหรือรู้ ที่ไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง ความว่าง ความสว่าง ความสงบ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น มีแต่ความเกิดและความดับ เพราะฉะนั้นควรสนใจจิตหรือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับตลอดอนันตกาล


การปฏิบัติ เพื่อไปสู่ความว่าง เพื่อไปสู่ความเย็น เพื่อไปสู่ความไม่สงบ
การปฏิบัตินี้นั้น เป็นสิ่งที่ต้องสมควรเจริญอยู่ทุกขณะหรือไม่ ครับ

และ จิตหรือผู้รู้ที่ไม่เกิดไม่ดับนี้นั้น
ก็ไม่สมควรที่จะยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรา เช่นกันด้วย ใช่ไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 08:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำจิตให้ว่างให้เย็นทำอย่างไร ขอถามหน่อยสิว่าเราต้องการให้เย็นอย่างเดียวย่อมไม่ได้เพราะพอความเย็นของจิตดับไปความร้อนของจิตก็เข้ามาแทนที่ การทำจิตให้ว่างก็เหมือนกันพอความว่างของจิตดับไปความวุ่นวายของจิตก็เข้ามาแทนที่สิ่งต่างๆเหล่านี้นั้นล้วนแล้วเป็นแค่อาการของจิตที่เกิดๆดับๆอยู่ตลอดเวลาเราจะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตามทำไมไม่มาสนใจในสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับคือจิตหรือผู้รู้นั่นเองเมื่อมีสติอยู่กับผู้รู้หรือจิต จิตย่อมเป็นอิสระจากอาการต่างๆของจิตเช่นความว่างหรือความเย็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
การทำจิตให้ว่างให้เย็นทำอย่างไร
ขอถามหน่อยสิว่าเราต้องการให้เย็นอย่างเดียวย่อมไม่ได้
เพราะพอความเย็นของจิตดับไป ความร้อนของจิตก็เข้ามาแทนที่

การทำจิตให้ว่างก็เหมือนกัน พอความว่างของจิตดับไป ความวุ่นวายของจิตก็เข้ามาแทนที่

สิ่งต่างๆเหล่านี้นั้นล้วนแล้วเป็นแค่อาการของจิตที่เกิดๆดับๆอยู่ตลอดเวลา
เราจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ทำไมไม่มาสนใจในสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ คือจิตหรือผู้รู้นั่นเอง
เมื่อมีสติอยู่กับผู้รู้หรือจิต จิตย่อมเป็นอิสระจากอาการต่างๆของจิตเช่นความว่างหรือความเย็น



ความว่าง... ไม่มีการเกิด-ดับ
แต่ที่เกิด ที่ดับ นั้น แท้จริงแล้วคือตัวที่เข้าไปรู้ว่างนั้นเอง :b53:

ความว่างมันมีของมันอยู่แล้วอย่างนั้น
ไม่จำเป็นต้องไปค้นหา เพียงแค่ขจัดตัวที่จะเข้าไปค้นหาความว่างให้หมดไปเสีย
เมื่อไม่มีตัวที่จะเข้าไปค้นหาความว่าง ความว่างก็จะปรากฏเกิดขึ้นมาเอง :b46:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร