วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:36
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเวียนว่ายตายเกิดมีที่มาจากไหนครับ
(หากหัวข้อซ้ำก็ขออภัยครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงคลีดิน เขียน:
การเวียนว่ายตายเกิดมีที่มาจากไหนครับ
(หากหัวข้อซ้ำก็ขออภัยครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่)


ที่มาคือ...เหตุและปัจจัย
อวิชชา(ความไม่รู้) เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด

ขอยก..ปัจจยาการ หรือ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ประการ..ให้รู้พอเป็นสังเขป นี่แหละคือที่มาของการ เวียนว่ายตายเกิด
๑. อวิชชา(ความไม่รู้)เป็นปัจจัยให้เกิด
๒. สังขาร(ความปรุงแต่ง)เป็นปัจจัยให้เกิด
๓. วิญญาน(ความรู้สึก)เป็นปัจจัยให้เกิด
๔. นามรูป(กายกับใจคือขันธ์ ๕)เป็นปัจจัยให้เกิด
๕. สฬายตนะ(เครื่องต่อ ๖ ประการ)เป็นปัจจัยให้เกิด
๖. ผัสสะ(ความกระทบถูกต้อง)เป็นปัจจัยให้เกิด
๗. เวทนา(ความเสวยสุขทุกข์)เป็นปัจจัยให้เกิด
๘. อุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่น)เป็นปัจจัยให้เกิด
๙. ภพ(ความก่อให้เกิด)เป็นปัจจัยให้เกิด
๑๐. ชาติ(ความเกิด)เป็นปัจจัยให้เกิด
๑๑. ชรา(ความแความตาย)ชรา มรณะเป็นปัจจัยให้เกิด
๑๒. โสภะ ความโศกเศร้า ปริเทวะ ความร้องไห้ ทุกขะ ความทุกข์กาย โทมนัสสะ ความเสียใจ อุปายะสะ ความคับแค้นแน่นใจ ฯลฯ
เมื่อเวียนไปเช่นนี้ หดตัวเข้ามาเป็นอวิชชาอีก ตามธรรมดามนุษย์ทุกคนต้องมีความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ต้องเป็นมาแต ๑ ถึง ๑๒ แล้วก็ย้อนกลับมาเข้า ๑ ...ซึ่งบางครั้งก็ได้อัตตภาพเป็นเทวดา พรหม บางครั้งก็ได้อัตตภาพเป็น มนุษย์ หรือบางครั้งก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นรก เปรต อสุรกาย แล้วแต่กรรมคือการกระทำของตนที่ได้กระทำ

ขอเจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 26 พ.ค. 2010, 16:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มันหาที่เริ่มและที่จบไม่ได้จ๊ะ
อย่าไปอยากรู้เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ก่อนเราก็เคยสงสัยเหมือนกันค่ะ
แต่มันเหมือนเป็นปัญหาโลกแตกเลย


เหมือนคุณสงสัยว่า ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน



เราเคยคุยกับเพื่อนสนิทเราเรื่องนี้
แล้วเพื่อนเราบอกว่า


เรื่องบางเรื่องเราจำเป็นต้องเชื่อก่อนที่จะไปรู้ความจริง
บางเรื่องต้องรู้ให้เห็นจริงก่อนถึงจะเชื่อ



แต่โดยสรุปแล้ว
เราว่าการที่เราไม่รู้อะไรไปเสียทั้งหมดมันก็ดีเหมือนกันนะคะ
บางครั้งมันก็ทำให้เราสบายใจมากกว่าการที่เรารู้เห็นไปเสียทุก ๆ เรื่อง
^ ^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เมื่อเธอถูก
ถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้า เขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อ เธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึง
ตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย ดูกร
อานนท์ เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป



วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป
นามรูป เป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ

ไก่ ทำให้เกิด ไข่
ไข่ ทำให้เกิด ไก่

นามรูป ในที่นี้ มิได้หมายถึงร่างกาย หากแต่ หมายถึง รูป+จิต+เจตสิก

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 20:38
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำตอบเเรกตอบได้ดีมากค่ะ อนุโมทนาสาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเวียนว่ายตายเกิดมาจากความไม่รู้แจ้งในอริสัจจ์ของจิตนั่นเองถ้ารู้จิตชัดเจนแจ่มแจ้งกิเลสตัวใหนล่ะที่พามาเกิดอีก อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน ) suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 02:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีที่มาจากไหน?...คงไม่น่าสนใจเท่ากับ
เราจะไปไหน?....ไปอย่างไร?อันนี้ซิน่าสนใจกว่า.... :b10:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ล้วนอาศัยเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
ไม่มีการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งใดๆสักสิ่งเดียว ที่ไม่อาศัยเหตุปัจจัย.

เพราะมีการเกิดขึ้น จึงมีการแตกดับสลาย
หากไม่มีการเกิดขึ้น การแตกดับสลายก็จักไม่มี.

ความเกิด จึงเป็นของคู่กันกับ ความตาย.

ช่วงระยะเวลาระหว่าง การเกิดกับความตายของสรรพสิ่งนั้น มีความแตกต่างกัน.

ความเกิด-ดับของร่างกาย ก็อย่างหนึ่ง
ความเกิด-ดับของจิตใจ ก็อย่างหนึ่ง

ความเกิด-ดับ ทั้งทางกายและทางจิตใจ
ล้วนต่างอาศัยผัสสะ เป็นเหตุปัจจัยในการเกิด-ดับ


การเวียนว่ายตายเกิด มีที่มาจาก"ผัสสะ"
ผัสสะ ไม่มี การเวียนว่ายตายเกิด ก็ย่อมไม่มี.

การเกิดขึ้นทางร่างกาย ทางเนื้อหนัง ก็อาศัยผัสสะ มีที่มาจากผัสสะ
การเกิดขึ้นทางจิตใจ (สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์) ก็อาศัยผัสสะ ก็มีที่มาจากผัสสะ.

ความดับ(มรณะ,ตาย)ทางร่างกาย ก็อาศัยผัสสะ มีที่มาจากผัสสะ
ความดับ(มรณะ,ตาย)ทางจิตใจ(สุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์) ก็อาศัยผัสสะ ก็มีที่มาจากผัสสะ.


การเกิดขึ้น ความดับสลายของสรรพสิ่งทั้งหลาย
ลองใคร่ครวญพิจารณาดูดีๆเถิด ก็จะพบว่า ผัสสะนี้แหละคือตัวมูลเหตุ.


แล้วผัสสะ นี้มีที่มาจากอะไร
มีที่มาจาก...อายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์
กระทบกัน

ไม่ผู้ใดที่มีอำนาจห้ามปรามการเกิดขึ้นของผัสสะได้ ตราบใดที่วิญญาณยังไม่ได้ถูกปลดเปลื้องลงไป.

ณ.ที่แห่งใด ยังคงมีการอุบัติเกิดขึ้นของวิญญาณ
ณ.ที่แห่งนั้น ความเกิดขึ้นของผัสสะก็จะยังคงมีอยู่
เมื่อใดที่ยังคงมีการเกิดขึ้นของผัสสะอยู่
เมื่อนั้นความเกิด ความดับ การเวียนว่ายตายเกิด ก็จักคงมีอยู่.

ทำไฉน...จึงจักพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด.

ความไม่บังเกิดขึ้นของผัสสะ,ความไม่ปรากฏของวิญญาณ
คือความไม่ปรากฏแห่งนามรูป.

ความไม่ปรากฏแห่งนามรูป คือความไม่เจริญงอกงามแห่งสังขาร.

ความไม่ปรากฏแห่งสังขาร
คือความไม่ปรากฏแห่งความเกิดความดับ
คือความไม่อุบัติแห่งความเวียนว่าย
คือที่สุดแห่งความไป ที่สุดแห่งการมา.


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 12 ก.ย. 2010, 08:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตราบใดที่มีวิญญาณ ตราบนั้น ย่อมมีผัสสะ
เพราะผัสสะ เกิดพร้อมวิญญาณ ดับพร้อมวิญญาณ

ปัญจวิญญาณ ทุกดวง ล้วนประกอบด้วยผัสสะ
มโนวิญญาณ ทุกดวง ล้วนประกอบด้วยผัสสะ

ผัสสะ จึงเกิดและดับรวดเร็วเท่าความเร็วแห่งการเกิดดับของวิญญาณ

แม้พระอรหันต์ ก็ยังมีผัสสะ

ผัสสะ แล้วต้องเกิดเวทนา(สุข ทุกข์ เฉย)ตามมา

พระอรหันต์ เสวยเวทนา แล้ว ไม่มีตัณหา อุปาทาน

เวทนาของพระอรหันต์ จึงผิดแผกแตกต่างจากของคนธรรมดาทั่วไป คือ ไม่มีโทมนัสเวทนา

แม้โสมนัสเวทนา ก็ยังไม่เหมือนกับคนทั่วไป โสมนัสเวทนาของพระอรหันต์ ไม่เจือด้วยกิเลส

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร