วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 22:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 10:05
โพสต์: 20

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง เอรากอน เขียน:

นี่จริง ๆ เอกอนน่าจะถามท่านมากกว่านะ...




:b1: :b1: :b1:
ชะอุ้ย ....... มิกล้า ๆ
ในลานธรรมมีท่านผุ้รู้ ทรงภูมิธรรมแยะแล้ว
ผมเป็นเพียง "ท่านผุ้หลง" เท่านั้นแหล่ะ :b13:
ทำได้เพียงเข้ามาขอความรู้ เท่านั้นครับ


อนุโมทนาในธรรมทาน จากผู้ทรงภูมิธรรมทุก ๆ ท่าน

ให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ

.....................................................
ปลดล็อคใจ ตัดโซ่ร้อยรัดพันธนาการ สู่ทางแห่งเสรีชน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2010, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิสระ เขียน:
อ้างอิง เอรากอน เขียน:

นี่จริง ๆ เอกอนน่าจะถามท่านมากกว่านะ...




:b1: :b1: :b1:
ชะอุ้ย ....... มิกล้า ๆ
ในลานธรรมมีท่านผุ้รู้ ทรงภูมิธรรมแยะแล้ว
ผมเป็นเพียง "ท่านผุ้หลง" เท่านั้นแหล่ะ :b13:
ทำได้เพียงเข้ามาขอความรู้ เท่านั้นครับ


อนุโมทนาในธรรมทาน จากผู้ทรงภูมิธรรมทุก ๆ ท่าน

ให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ


จริงเหร๋อ....

จริง ๆ คำคมใต้ข้อความของท่าน สะดุดตาเอกอน...
ตั้งแต่แว๊บแรกที่ท่านโผล่มา

...คำว่า พันธนาการ... เป็นคำ ๆ หนึ่งที่เอกอนชอบ...
และ เป็นวาทะที่เคยอยู่ในความตระหนัก...ของเอกอนช่วงหนึ่ง...
จริง ๆ ...

มันคือ...สิ่งที่อยู่ลึก ๆ ในใจมาตลอด...ในช่วงหนึ่ง...

ก็คือ... การปราถนาที่จะเป็นอิสระ และพ้นไปจากพันธนาการ... :b1:

แต่...เราก็พบว่า เราพบอิสระก็ตรงที่ที่มันไม่อิสระนั่นล่ะ
และ เราก็พ้นไปจากพันธนาการได้ ก็จากที่ที่พันธนาการ นั่นล่ะ..
ไม่เคยไปพบที่อื่นเลย...

เพราะ...การหนีไปจากการพันธนาการเพื่อหาอิสระ
นอกจากพันธนาการนี้จะยังคงตามติดเราไปแล้ว เรายังไปตกอยู่ในพันธนาการใหม่...อีก
ความไร้อิสระอยู่ที่ไหน อิสระก็อยู่ที่นั่น
พันธนาการอยู่ที่ไหน การพ้นไปจากพันธนาการก็อยู่ที่นั่น...

จริง ๆ เอกอน รู้ว่ามีการระบุคำคมได้ด้วย...
แต่เอกอนไม่เคยระบุ...เลย...
เพราะ... คำคมนั้น มันเป็นข้อความที่บ่งบอกอะไรหลาย ๆ อย่าง

และ...สิ่งที่อยู่ในใจ...ที่เอกอนอยากจะบ่งบอกออกมานั้น...

มันไม่มีคำไหน...จะแทนออกมาได้...
ก็เลยไม่เคย...

ครั้งหนึ่ง เอกอนเคยใช้ O

บางคนมองว่าเป็น สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึง เซน...
หรือ ศูนย์ หรือ ไร้ หรือ ว่าง

แต่จริง ๆ เอกอน นึกถึง ทรงกลม... ซึ่ง
หมายถึงรูปลักษณ์ที่ เนียน กลิ้ง เกลี้ยงเกลา ไม่มีเหลี่ยม ไม่เป็นสัน
และเป็นรูปทรงที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ๆ ก็เหมือนกัน...
และการเคลื่อนที่ของมันก็สอดคล้องกับระนาบตามธรรมชาติ...

...

จริง ๆ ท่าน สุธี อาจจะไม่เห็นกระทู้นี้... อิ อิ
ก็เลยคงไม่ได้แวะเข้ามา...คุยเลย

ว่าแต่...ตอนนี้..เอกอนอยากฟังทัศนะของท่านอิสระ เกี่ยวกับ

อิสระ และ พันธนาการ เหมือนกัน...อิ อิ

และเดี๋ยวอาจจะ ได้ไล่ไปทัศนะของท่านอื่น ๆ ด้วย
ทัศนะที่เอกอน เห็นแล้ว เป็นวาทะที่งามมมมม...
...

สักหน่อย...หรือ สักมาก ๆ หน่อยก็ได้...
เบา ๆ สบาย ๆ กันเอง...


:b16:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 11 ก.ย. 2010, 18:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรมที่จะให้เข้าถึงจิตใจและรู้เห็นจิตใจของตนเองให้ชัดเจนแจ่มแจ้งนั้นต้องอาศัยสติปัญญาจริงๆธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีมากมายถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้นก็เพราะว่าจริตนิสัยวาสนาบารมีของสัตว์ทั้งหลายที่สั่งสมอบรมมาต่างกันดังตัวอย่างพระอานนท์ตามเสด็จพระพุทธเจ้าและมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็ยังไม่สำเร็จต้องหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว๓เดือนถึงได้สำเร็จแต่ผู้ที่ท่านสำเร็จได้อย่างรวดเร็วทั้งๆที่ยังไม่ได้บวชด้วยซ้ำไปเช่นพระพาหิยะตามไปขอฟังธรรมขณะที่พระพุทธเจ้าทรงบิณฑบาตรทีแรกพระพุทธเจ้าทรงห้าม๒ครั้งแต่พอพระพาหิยะทูลขอฟังธรรมครั้งที่๓พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดรพระพาหิยะพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าดูกรพาหิยะเห็นสักว่าเห็นได้ยินสักว่าได้ยินรู้สักว่ารู้รู้แจ้งสักว่ารู้แจ้งพระพาหิยะสำเร็จพระอรหันตผลทันทีอยากทราบว่าทำไมพระพาหิยะไม่ไปเจริญสมถะ-วิปัสสนาก่อนจึงจะสำเร็จอย่าบอกนะว่านั่นมันเป็นสมัยพุทธกาลสมัยนี้มันเป็นไปไม่ได้ก็เลยต้องถูกมันต้มตุ๋นต่อไปอีกตลอดกาลนานธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอะกาลิโกไม่มีกาลเวลาและสถานที่ เอวัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตรู้ไม่เกิดไม่ดับก็คือจิตที่รู้อยู่ในสภาวะเดียวหรือเรียกว่าเอกะสภาวะในสภาวะจิตเช่นนักปฏิบัติธรรมเท่านั้นที่จะรู้ได้เห็นได้ด้วยตนเอง(สันทิฏฐิโก)ความว่างความสว่างความสงบของจิตสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นอาการของจิตทั้งนั้นอาการต่างๆของจิตเช่นความว่างความสว่างความสงบความวุ่นวายความฟุ้งซ่านความสุขความทุกข์ความรู้สึกนึกคิดปรุ่งแต่งฯลฯสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นการเกิดการดับทั้งนั้นจิตไปรู้การเกิดการดับของสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสมุุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์นั่นเองจิตที่รู้ไม่เกิดไม่ดับเป็นมรรคนั้นคือจิตอยู่กับจิตหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตอยู่กับรู้สภาวะเดียวนั่นเองเป็นมรรคเป็นนิโรธ(นิพพานทันที)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนิพพานอยู่ที่ใจ พระนิพพานอยู่ที่ใจ เห็นไหมเล่า ? ไม่มีว่างไม่มีเปล่า อยู่ทั้งนั้น
จะมีอะไรเป็นเรา ที่ไหนกัน ? ทุกสิ่งนั้นดับไป เหลือใจเอย
ชีวิตนี้ น้อยๆและสั้นๆ อย่าพากันปล่อยใจ เลยท่านเอ๋ย
มีสติรู้อยู่ที่ใจ ให้คุ้นเคย ต้องได้เชยชม พระนิพพานอยู่ที่ใจ
เป็นการอยู่กับผู้รู้ ละกิเลส จะมีเพศชั้นวรรณะ กันที่ไหน ?
ทุกขณะที่รู้ อยู่กับใจ จงหมั่นใช้ปัญญา รู้ของจริง
รู้ของจริงทิ้งของเท็จ ได้เด็ดเดี่ยว ไม่เกาะเกี่ยวแม้ความว่าง สว่างยิ่ง
รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้ใจจริง ยิ่งรู้ยิ่งหลุดพ้น ไม่ต้องเบิกบาน
ความร้อนร้นหม่นไหม้ ไกลใจหมด พระนิพพานปรากฏ ก็ไม่ยึดเป็นแก่นสาร
มีสติรู้ให้ได้ ทุกอาการ จะพบพระนิพพานจริงๆ ที่ใจเอย !
พระนิพพาน
พระนิพพาน พ้นจากความมีและไม่มีให้คนเห็น
พระนิพพาน พ้นจากความเป็นและไม่เป็นเช่นสังขาร
พระนิพพาน พ้นจากความหมายและไม่หมายให้วิจารณ์
พระนิพพาน ไม่เกิด-ไม่ดับ คือจิตหรือรู้ล้วนๆที่บริสุทธิ์เอย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งหลายล้วนมีหตุเป็นแดนเกิดดังพระอัสสะชิท่านแสดงให้อุุปปะติสสะ(พระ สารีบุตร)ฟังว่ายังกิญจิสะมุทะยะธัมมังสัพพันตังนิโรทะธัมมันติธรรมทั้งหลาย ล้วนมีเหตุเป็นแดนเกิดจะดับก็ต้องดับที่เหตุเหตุของสภาวะธรรมทั้งหลายที่ เกิดดับๆที่จิตที่รู้หลงคืออวิชชา(ความไม่รู้แจ้งหรือความไม่รู้จริงนั่น เอง)จึงเป็นเหตุให้เกิดการปรุ่งแต่งต่างๆนาๆสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเกิดๆดับๆ ทั้งนั้นนักปฏิบัติธรรมไม่ควรสนใจสิ่งที่ควรให้ความสนใจก็คือเอาสติปัญญามา รู้มาดูสิ่งที่รู้ที่เห็นการปรุงแต่งนั่นเองความนึกคิดปรุงแต่งมันไม่รู้ เรื่องหรอกปรุงแต่งเรื่องดีเรื่องชั่วปรุงแต่งเรื่องอดีตเรื่องอนาคตเรื่อง ราวต่างๆฯลฯสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดดับทั้งนั้นพอความนึกคิดปรุงแต่งดับไปแล้ว สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับคืออะไรเราทำไมไม่สนใจไปสนใจในสิ่งที่เกิดๆดับๆทำไม อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกร พาหิยะเห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน รู้สักว่ารู้ รู้แจ้งสักว่ารู้แจ้ง แล้วจะต้องไปเจริญสมถะวิปัสสนาที่ใหนอีก ความดับมีอยู่(หมายถึงสิ่งที่เกิดๆดับๆ)แต่ผู้ดับหามีไม่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง) ดังที่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญได้ดวงตาเห็นธรรม(คือเห็นจิตนั่นเอง)ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา แล้วสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับล่ะสิ่งนั้นคืออะไรคือจิตที่รู้ๆนั่นเอง สิ่งที่เกิดที่ดับเขาไม่รู้เรื่องผู้ที่รู้คือจิตนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยสัจจ์๔แห่งจิตการใช้สื่อภาษาเรื่องอริยสัจจ์๔ของครูบาอาจารย์แต่ละท่านย่อมไม่เหมือนกันแต่ความหมายของธรรมนั้นเป็นอันเดียวกันไม่มีการผิดเพี้ยนกันแม้แต่นิดเดียวตัวอย่างเช่นอริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อริยสัจจ์๔แห่งจิต ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ ความของธรรมแท้นั้นย่อมเป็นอันเดียวและสามารถอธิบายได้หมด จะอธิบายความอริยสัจจ์๔แห่งของหลวงปู่ดูลย์ให้ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ทราบพอสังเขปคำว่าจิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัยนั้น คือจิตที่รู้เกิดรู้ดับเป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอกเป็นทุกข์ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิดรู้ดับ เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค จิตที่รู้ไม่เกิดไม่ดับ เป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิดไม่ดับ เป็นนิโรธ(นิพพานนั่นเอง) อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยสัจจ์๔แห่งจิต ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ ข้อสำคัญก็คือตั้งใจปฏิบัติให้มันหายสงสัยถ้ามัวแต่ศึกษาอ่านตำราอย่างเดียวไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจิตภายในจิตใจอย่างแน่นอนนอกจะเจอนิพพาลของกิเลสเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยสัจจ์๔แห่งจิต ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลที่เกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลที่เกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์ suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า ตัณหา เป็นเหตุเกิดทุกข์ เป็นนายช่างก่อเรือนแห่งความทุกข์

และทรงพบว่า ภาวะอันเป็นที่สิ้นตัณหา คือนิพพาน คือความดับทุกข์ คือที่สุดทุกข์

ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนมาตรัสรู้ ก็รู้อย่างเดียวกันอย่างนี้

แล้วเหตุไฉน เดี๋ยวนี้จึงมีอริยสัจจ์ที่ประหลาดไปจากการตรัสสอนของพระพุทธองค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:

..อริยะสัจ..ประหลาด..
..ฮา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


แค่ตัณหา พาให้สัตว์เวียนว่ายตายเกิด ยังเข้าใจไม่ค่อยได้
แล้วยังจะมีอะไรอื่นให้ต้องมาตีความกันอีกหรือ

จิตที่มีตัณหา เป็นจิตที่ก่อภพ
ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน>สร้างภพเพื่อสร้างกรรมทาง(ใจ วาจา กาย)
ผัสสะ แบบนี้ ก็สร้างภพแบบนี้
ผัสสะ อีกแบบ ก็สร้างภพอีกแบบ
ภพที่สร้างแต่ละวาระ มันเปลี่ยนไปตลอดวัน
เพราะมีภพ ก่อนจะละทิ้งร่างกาย จิตเจตสิกรูป จึงไม่ยอมสลายไป

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:

เพราะมีภพ ก่อนจะละทิ้งร่างกาย จิตเจตสิกรูป จึงไม่ยอมสลายไป



ต้องเห็นการทำงานของขันธ์ภายใต้สภาวะต่าง ๆ
คือ...ประสพการณ์ในการเข้าไปรู้การทำงานของขันธ์...ในสภาวะต่าง ๆ
และ...อาจจะทำให้ผู้ประสพ ฉุกคิดได้ในเรื่อง สภาวะการดับแห่งขันธ์

ประสพการณ์การเข้าไปรู้การทำงานของขันธ์...

อืมมม ... ผู้ที่มีความเชื่อในเรื่องภพ เรื่องชาตินี้ ชาติหน้า ชาติที่แล้ว...
และผู้ที่...มีปราถนาในความดับสูญ คือ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก...

เหมือนว่าจะหลีกไม่พ้นที่จะต้องทำเรื่องอายตนะ และปฏิจจ...ให้แจ้ง...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร