วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 02:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2010, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะสั้นๆของ หลวงปู่ดูลย์ ท่านพุทธทาส และ ติช นัท ฮันท์ สอนเรื่องจิตก่อนตาย

ดีและมีประโยชน์มากสำหรับทุกๆท่านครับ

วิธีตกกระไดพลอยกระโจน
โดย...พระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมาก
หากเวลาดับจิต หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"
หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด....

ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป....

ด้วยเหตุนี้.... บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมาก
แต่ตายไปกลับไปตกนรกหน้าตาเฉย เพราะ"จิตหมอง"ก่อนตายก็มี
บางคน แม้ชั่วแสนชั่ว แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ
เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต ก็เคยมีตัวอย่างมาแล้ว....
กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้น

แต่... สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อน
วินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆ
หาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ"
ไป"สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ"สถานเดียวเลยก็ได้!!!

สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)
ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ…

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อยู่กับความไม่มีไม่เป็น
ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง
หยุดการแสวงหา
หยุดกิริยาจิต
ไม่มีอะไรเลย
ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก
จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม
มีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่

วิธีทำ

หยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอก
มีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่
แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านว่า
บุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี

*****************************************

ความดับไม่เหลือ
(บรรยายพิเศษให้แก่คุณหญิงเพื่อน สินธุโสภณ พ.ศ. ๒๕๐๔)
โดย...พุทธทาสภิกขุ


ในเวลาจวนเจียนจะดับจิตนั้นอยากจะกล่าวว่า
มันง่าย…เหมือนตกกระไดแล้วพลอยกระโจน
มันยาก…อยู่ตรงที่ไม่กล้าพลอยกระโจน
ในเมื่อพลัดตกกระไดมันจึงเจ็บมาก
เพราะตกลงมาอย่างไม่เป็นท่าเป็นทาง
ไหนๆ เมื่อร่างกายนี้มันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
จิตหรือเจ้าของบ้านก็พลอยกระโจนตามไปเสียด้วยก็แล้วกัน
ให้ปัญญากระจ่างแจ้งขึ้นมาว่า
ไม่มีอะไรที่น่าจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อเอา เพื่อเป็น
เพื่อหวังอะไรอย่างใดต่อไปอีก
หยุด สิ้นสุด ปิดฉากสุดท้ายกันเสียที
เพราะไปแตะเข้าที่ไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรเข้าที่ไหน หรือได้อะไรที่ไหนมา
จิตหมดที่หวังหรือความหวังละลายไม่มีที่จอด
มันจึงดับไปพร้อมกับกายอย่างไม่มีเชื้อเหลือมาเกิดอีก
สิ่งที่เรียกว่าเชื้อ ก็คือความหวัง หรือความอยาก
หรือความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง

สมมติว่า ถูกควายขวิดจากข้างหลัง หรือรถยนต์ทับ
หรือตึกพังทับ ถูกลอบยิง หรือถูกระเบิดชนิดไหนก็ตาม
ถ้ามีความรู้สึกเหลืออยู่ แม้สักครึ่งวินาทีก็ตาม
จงน้อมจิตไปสู่ความดับไม่เหลือ
หรือทำความดับไม่เหลือเช่นว่านี้ให้แจ่มแจ้งขึ้นในใจ
เหมือนที่เราเคยฝึกอยู่ทุกค่ำเช้าเข้านอนตื่นขึ้นมา
ในขณะนั้นทำให้จิตดับไป ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการ
“ตกกระไดพลอยโจน” ไปสู่ความดับไม่มีเชื้อเหลือ
ถ้าหากจิตดับไปเสีย โดยไม่มีเวลาเหลืออยู่สำหรับให้รู้สึกได้
ดังนั้นก็แปลว่า ถือเอาความดับไม่เหลือที่เราพิจารณา
และมุ่งหมายอยู่เป็นประจำใจทุกค่ำเช้าเข้านอนนั่นเอง
เป็นพื้นฐานสำหรับการดับไป
มันจะเป็นการดับไม่เหลืออยู่ดี
ไม่เสียท่าเสียทีแต่ประการใด อย่าได้เป็นห่วงเลย

จิตที่มีสติสัมปชัญญะ รู้อยู่ ศึกษาอยู่ที่จิต
เป็นจิตที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้ผ่องแผ้ว
จิตชนิดนี้ เป็นจิตที่สามารถรู้สภาพธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง
อันเป็นทางสายเดียวที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นได้

------------------------------------------------------------------

ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมากในหนังสือ"ขอบคุณสรรพสิ่ง"

"ปาฏิหารย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ
แต่ปาฏิหารย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"

ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน
กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ
ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...
เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะ
เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย
หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...
เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที
และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด...

ให้เรารีบชื่นชมกับความ"ธรรมดา" ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า
สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล
เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 17 ต.ค. 2010, 07:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2010, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินพระท่านว่า ทุกเช้าที่ตื่น ให้อธิฐานจิตว่า ถ้าเราจะตายในวันนี้เราจะอยู่กับปัจจุบัน มีสตินึกถึงอารมณ์เดียวคือ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เท่านั้นพอ

เวลาจิตออกจากร่างจะไปคิดถึงห่วงต่างๆที่มีอยู่ คิดยังไงก็ไม่หมดคะ แต่ถ้าเราค่อยๆปลดห่วงเสียแต่วันนี้ ตอนจะbye bye ร่างนี้ เราจะไม่มีห่วงให้ยึดติดอีก สาธุ ทำวันนี้ปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2010, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร