วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 20:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


555 เกิดอาการละเมอกระทู้...อิ อิ


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 ต.ค. 2010, 20:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามนะคะ สำหรับทุกท่าน ช่วยธรรมวิจัยหน่อยคะ

ถามว่าผัสสะเกิดที่ไหน จิตเกิดที่นั่นหรือเปล่าคะ
แล้วจิตเกิดที่ไหน จิตดับที่นั่นหรือเปล่าคะ

แล้วไอ้จิตที่ไปรู้ไปเห็น ไปตามดูจิตตัวอื่น (ก็มีเกิดดับ) จิตตัวเนียะจะระเอียดกว่าตัวอื่นไหมคะ

จิตเบาสบายหมายถึงจิตที่ไม่มีกิเลส หรือจิตที่ไม่วิตกกังวลอะไร

จิตที่มีแรง และรับรู้ได้เร็วกว่าตัวอื่น เป็นจิตที่มีกำลังมากกว่าหรือเปล่าคะ

ปล. มีอีกเยอะ แต่ไม่อยากให้ท่านๆทั้งหลายปวดหัวคะ ถ้าเห็นว่าไร้สาระก็ไม่ต้องตอบนะคะ

ขอบคุณคะ ผู้ให้ปัญญา ผู้นั้นย่อมสว่างในปัญญา :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 13:15
โพสต์: 34

แนวปฏิบัติ: สมาถะ วิปัสสนาญาน ลมหายใจมิมีสิ้นสุด มิมีประมาณ
งานอดิเรก: ธรรมะเกิดที่ใจ ไปให้ถึงธรรม จึ่งมีธรรมประจำใจ บ้านเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ ทุกแนว "รอยเท้าสัตว์ย่อมรวมลงในเท้าช้าง"ฉันใด ก็ฉันนั้น
ชื่อเล่น: out
อายุ: 47
ที่อยู่: จังหวัดแพร่

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาสาธุ สาธุ สำรับการปฏิบัติค่ะ แต่..ถ้าสงสัยมากเกินไปกลายเป็นฟู้งในธรรมนะคะ..
อ้างคำพูด:
ในการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพื่อความหลุดพ้น เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ละเอียดจนแยกวาระจิตเป็นดวงๆได้หรอกนะครับ คุณพลอยเพชรและคุณเอราก้อน ขอให้มีสติ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาสังเกต พิจารณาอารมณ์ได้จนตลอดสาย จนแยก รูป แยกนามออกจากกันได้ ก็เกือบจะเพียงพอแล้ว ปัญญาหรือญาณที่จะพาไปถึงนิพพานนั้น จะเริ่มต้นที่ นาม - รูป แยกจากกันได้ก่อนเป็นอันดับแรกครับ (นาม - รูป ปริเฉทญาณ)

มีนามสติเป็นผู้รู้ทันปัจจุบันทุกอารมณ์ มีนามปัญญา เห็นหรือ รู้ รูป ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้ นามเวทนา ทุกข์ สุข ยินดี ยินร้าย ที่เกิดเกับจิต รู้ เห็นอุปาทาน ความเห็นผิดว่าเป็นกู ผุดขึ้นมาตอบโต้นามเวทนา นามปัญญา ไม่ยอม นามอุปาทานว่าเป็นกู เป็นเรา จนอุปาทานนั้นดับไป ทุกวัน เวลา นาที วินาที
พอกพูนความที่ปัญญา ชนะอุปาทานนี้ไว้ให้มากขึ้นทุกวัน ๆ ไม่ช้า ไม่นานเกินรอ อุปาทานว่า เป็นกู เป็นเรา รือ อัตตา หรือสักกายทิฐินี้ก็จะขาด ตายไป สบายแฮ
อนัตตาธรรม



เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน สำหรับแนวดูจิต..

ขอนำข้อคิดของครูบาอาจารย์มาให้พิจารณานะคะ
หลวงปู่เทสก์ เทสส์รังสี
ปฏิจจสมุปบาทธรรม เป็นธรรมเกี่ยวเนื่องกัน เหมือนลูกโซ่วงกลม เมื่อผู้มีปัญญามาพิจารณารู้เท่า เห็นโทษในธรรมส่วนใดส่วนหนึ่ง มาตัดส่วนต่อของธรรมนั้นๆ ย่อมมีการกระเพื่อมส่วนเบื้องต้น เบื้องปลายบ้างแล้ว ก็เป็นอันตัดไปได้หมดทั้งสาย เช่น อาศัยตัณหาแล้วละตัณหา ตัณหาต้องเกี่ยวมาจากผัสสะเวทนาเบื้องต้น เนื่องไปถึงอุปาทานภพเบื้องปลาย แต่เมื่อละตัณหาตัวเดียวแล้ว ก็เป็นอันละทั้งหมด อุปาทานในที่อื่นๆ เช่น กามุปาทาน เป็นต้น ก็ต้องมีสายเช่นเดียวกันกับตัณหา อุปาทาน ในที่นี้เหมือนกัน

สัญญา สังขาร เกิดในสามภูมิ คือ กามาพจร ๑ รูปาพจร ๑ อรูปาพจร ๑ ผู้มีจิตตกอยู่ในภูมินั้นๆ ก็จะต้องใช้สัญญา สังขาร ให้เป็นไปในภูมินั้นๆ ของตน เมื่อพ้นจากภูมิสามนั้นแล้ว สัญญา สังขาร ก็จะเป็นสักแต่ว่าเป็นเครื่องแสดงความฉลาดของปัญญา เท่านั้น

ในเมื่ออาวุธ (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ก็มีอยู่ ปัญญาที่จะจับอาวุธก็มีอยู่ ภัย คือ กองทุกข์ ก็เผชิญเฉพาะหน้าอยู่แล้ว กำลัง คือ ความพยายามก็มีอยู่ ไฉนหนอ สัตว์ผู้อันภัยคุกคามแล้ว จึงไม่ลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อเอาชนะกันนา เรื่องนี้นั้นผู้อันภัยคุกคามแล้ว วิเวกอยู่บนเขาบันเทิงผู้เดียว (เมื่อสัตว์ทั้งหลาย เห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้ว จึงควรถอนสมอได้แล้ว)

เมื่อมาระลึกถึงปฏิปทา ที่เรากระทำอยู่ว่า พระอริยสาวกแต่ก่อนๆ ที่ท่านได้สำเร็จมรรคผลนิพพานไปแล้วมากต่อมาก ก็ทำเช่นเราทำอยู่นี้ คือ มี ศีล สมาธิ ปัญญา แลข้อปฏิบัติเช่นเดียวกันแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน

จิตที่ยังไม่เข้าถึงภูมิควรจะรับธรรม จะพิจารณาธรรมก็ไม่เห็นสัจธรรมที่แท้จริงได้

จิตที่จะเข้าถึงภูมิควรจะรับธรรมนั้น เข้าได้ ๒ อาการ คือ

๑. เมื่อยกอุบายหรือบทธรรมกรรมฐานใดขึ้นมาพิจารณาอยู่ จิตนั้นค่อยอ่อนละเอียดจนเข้าเป็นสมาธิ แล้วละภูมิเดิมที่เป็นโลกๆ เสียแล้วจนเข้าสนิทติดอยู่กับอุบาย หรือบทธรรมกรรมฐานนั้นๆ แล้วเกิดปีติ ปัสสัทธิสุข ต่อนั้นไปแม้จะพิจารณาอะไรๆ ก็ชัดและเกิดธรรมสังเวชใจในสิ่งนั้นๆ แบบนี้การพิจารณามักแฝงไปในภูมิเดิม (โลก) (ถ้าสติปัญญาไม่ดี มักจะหลงส่งออกนอกโดยไม่รู้ตัว) เรียกว่า เดินมรรคมีสมาธิเป็นหลัก

๒. เมื่อยกอุบายหรือบทธรรมกรรมฐานใดขึ้นมาพิจารณาอยู่ จิตตอนนั้นจะมีความกล้าหาญยอมสละเสียทุกๆ อย่าง แล้วเข้าไปหาความสงบสุขโดยส่วนเดียว (ฌาน) จนจิตละภูมิเดิม (โลก) อย่างพลิกโลกเลย แล้วจะเกิดปีติ ปัสสัทธิ สุข เอกัคคตา จนถึงอุเบกขาเป็นที่สุด โดยสรุปแล้วโดยมากจิตจะไปหยุดชมฌานของตนอยู่เพียงแค่นั้น วิธีนี้พิจารณาอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากจะชมฌานของตนเท่านั้น ถ้าผู้มีปัญญาแยบคาย ถอยจิตออกมาพิจารณาพระไตรลักษณ์ก็เดินมรรคได้

สรุปแล้ว ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงภูมิควรจะรับธรรม คือ เป็น สมาธิ ฌาน ข้ามจากอารมณ์ที่มีรสชาติเป็นโลกๆ อยู่ก่อนแล้ว จะนำเอาธรรมกรรมฐานอันใดมาพิจารณา ก็เป็นเรื่องของโลกๆ อยู่เช่นเคย จะข้ามโลกไม่ได้เลยเด็ดขาด

ปีติ ปัสสัทธิ สุข อันเกิดจากฌาน มีรสชาติเหมือนกับคนชมหนังที่ดีๆ
ปีติ ปัสสัทธิ สุข อันเกิดจากฌาน มีรสชาติเหมือนกับคนนอนฝันได้ไปชมเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ฉะนั้น หากไม่ใช้ปัญญาพิจารณาองค์พระไตรลักษณญาณเข้าประกอบแล้วไปไม่รอดแน่

ความรู้ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจสติ สมาธิ เฉพาะ ณ ที่แห่งเดียว โดยปราศจากสังขาร สัญญาใดๆ ทั้งหมด เป็นความรู้ที่ชำแหละกิเลสได้อย่างแท้จริง แต่เมื่อความรู้เช่นนั้นยังไม่บังเกิดขึ้น ก็ให้ดำรงอยู่ในสติ สมาธิให้เป็นเอกัคคตาจนมั่นคงแล้วอย่าได้ไปคำนึงความรู้เช่นนั้นว่า จะบังเกิดขึ้นหรือไม่ "ต้นไม้ที่แก่แล้ว ย่อมผลิดอกออกผลเอง โดยกาลอันควร" ฉันใดก็ฉันนั้นแล

ผู้มีนิสัยสองนี้เป็นคู่กันปัญญาย่อมเจริญ คือ ราคะจริตบวกกับโทสะจริต ราคะจริต เปรียบเหมือนนายพลพาเที่ยวตระเวนไปในภพของตน จนจบหมดทุกซอกทุกมุม โทสะจริต เปรียบเหมือนมิตรที่ดีช่วยป้องกันเพื่อน ในเมื่อเพื่อนประมาทแล้ว แลสามารถดึงเอาเพื่อนให้มาอยู่ในอำนาจของตนได้ในบางกรณี แต่โทสะมักจะเกิดมานะ แลความเห็นเข้าด้วยก็อาจผิดได้ ถ้าไม่อาศัยปัญญาช่วยขัดเกลา ให้มานะอ่อนเบานิ่มนวล จนทำให้ทิฏฐิความเห็นที่เข้าด้วยเป็นสัมมาทิฏฐิไป จึงจะสำเร็จประโยชน์ตามต้องการ

ฉะนั้น จริตทั้งสองนี้ เมื่อรวมกันทำกิจของตนตามหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้มีการพิจารณาโดยแยบคาย มิใช่เป็นไปเพื่อความเลวแต่อย่างเดียวก็หาไม่

นามที่เรียกว่า สัตว์ แปลว่า ผู้ยังข้องอยู่ มนุษย์ก็นับเนื่องอยู่ในจำพวกเดียวกัน คำว่า ข้อง หมายถึงข้องอยู่ในเครื่องลวงใหญ่ๆ คือ กิเลส ๓ กองนี้ ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ

ภารกิจในโลกนี้ ใครจะเกิดมากี่ชาติๆ แล้ว ทำให้จบให้สิ้นเป็นไม่มี ทำไปยังไม่ทันเสร็จ ล้วนแล้วแต่ตายก่อนทั้งนั้น จึงเป็นของน่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ผู้เห็นโทษดั่งนั้นแล้ว มาดำเนินอัฏฐังคิกมรรคกิจเป็นไปภายใน ใจ เท่านั้น จึงจะจบสิ้นทุกข์ได้


จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ตาม ถ้าเป็นธรรมที่แท้แล้ว จะต้องเข้าถึงสภาพของเดิม ผู้มีปัญญามาพิจารณาเพิกถอนสมมติบัญญัติเปลือกนอกออกแล้ว เข้าไปเห็นสภาพของเดิมในธรรมนั้นๆ เรียกว่า ผู้เห็นสัจธรรม ของจริง ของแท้ งานของจิตมันผิดจากงานของ กาย ซึ่งทำสำเร็จแล้วเป็นอันเสร็จจริงๆ ไม่ต้องมีการประวิงมันอีกต่อไป จึงเรียกว่า “เสร็จกิจ”
...................

พิจารณาอย่างแยบคาย..ชัดเจน ละเอียดยิ่งนัก..ประจักษ์แล้วจึ่งรู้และเห็น..เป็นพระอริสัจธรรม..ของแท้.. มิต้องแก้ที่ใด มิสงสัย.. อยู่ที่ใจในตนเอง..นั่นเอง..ค่ะ

เจริญยิ่งแห่งธรรม :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอน เขียนไว้เยอะแยะแล้วลบข้อความทำไมน๊อ :b10:
เทอคนนี้เขียนข้อความทีไร ต้องเปิด dict แปลอีกรอบทู๊กทีสิเน้อ :b9:
ว่าจะมาอ่านซ้ำซะหน่อย อ่านรอบแรกแล้วตาลาย หุหุ :b16:

ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่ให้สนทนาด้วยครับ

smiley

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
เอกอน เขียนไว้เยอะแยะแล้วลบข้อความทำไมน๊อ :b10:
เทอคนนี้เขียนข้อความทีไร ต้องเปิด dict แปลอีกรอบทู๊กทีสิเน้อ :b9:
ว่าจะมาอ่านซ้ำซะหน่อย อ่านรอบแรกแล้วตาลาย หุหุ :b16:

ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่ให้สนทนาด้วยครับ

smiley


:b2: :b2: :b2:

เค้าเขียนว่าอะไรบ้างเหย๋อออ....

:b2: :b2: :b2:

เค้าจำไม่ได้....

:b2: :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


huh


แก้ไขล่าสุดโดย จางบาง เมื่อ 26 มี.ค. 2012, 22:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านคะ :b16: ที่เรารู้ก็ไม่ใช่ว่าเรารู้ ที่เราไม่รู้ก็ใช่ว่าเราจะไม่รู้ อยู่ที่ปัญญาที่สั่งสมมา ซึ่งเราก็แสดงตัวเสมอมาว่าเป็นผู้ไม่รู้คะ งงมั้ย เพราะคุณเอกอนคนเดียว พาหลงไปหมด แล้วตัวเองก็ไม่ยอมให้อ่านที่บอกว่ามีอะไรจะเล่า ถ้าไม่อยากผิดคำพูด email มานะคะ ไม่งั้นมุสานะเอา 5555555 :b13: เขาเรียกว่าบีบคอนะเนียะ

รับรองไม่หลงคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้แน่นอนคะ

ต่อมาเรื่องจุดมุ่งหมายในการอยากเห็นจิต เพราะติดที่ปัญญายังน้อย ถ้ายังค่อยๆศึกษากลัวจะหลงคะ
แต่เวลาปฏิบัติ ไม่ใช่จะเชื่อจากใครเต็มร้อย ต้องเอาไปทดลองดูก่อน แต่ก็มีปัญญาอันน้อยนี้คัดกลองอยู่คะ

เรื่องความอยากทำให้ฟุ้งซ่าน หรือสะกดจิตหลอกตัวเองนั้น เจอมาหมดแล้ว รู้เห็นไม่ทันตัวหลอกของคำว่าเราบ่อยมาก ตอนเริ่มปฏิบัติใหม่ๆ จนเดี๋ยวนี้ใครถามว่าปฏิบัติไปทำไม ต้องบอกว่า ปฏิบัติเพื่อไม่อยากมีคำว่าเรา เท่านั้นคะ ส่วนอภิญญา ปาฏิหารย์ บอกเลยว่ไม่อยากได้ แค่รู้ว่าทุกข์เกิดที่เรา ทำไงจึงจะไม่มีเรา กำลังก้าวทีละขั้น ตามแบบฉบับของตัวเองอยู่คะ เพราะงั้นทุกวันนี้ ทำเมื่อจะทำ ไม่ทำถ้าเห็นตัวอยากคะ ส่วนคำว่าเราก็ยังหลอกหลอนทุกวันคะ แค่เห็นทันบ่อยขึ้นเท่านั้นคะ

ถ้าอยากรู้ว่าจริงหรือหลอก ตอบตัวเองยังไม่ได้ แต่มีข้อคิดของหลวงพ่อชามาใช้พิจารณาคะ ว่าจะรู้ไปทำไม ที่เขียนมาเพราะอยากให้ท่านๆงงบ้าง เพราะเขียนตอบมาให้งงเหมือนกันคะ :b9: :b9:
ขอตอบเลยนะคะ ว่าตัวเองยังโง่อยู่คะ

ชาติหน้ามีจริงหรือ ? วิสัชนาโดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา
วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า
คนตายแล้วเกิดหรือไม่?

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
ผู้ถาม : เชื่อ
ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?




แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า

หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า
ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร
ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้
ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น
คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า
คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี
พาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้
เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม?
ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่
แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี
แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้



ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น
ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องไปถามว่า
คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา
มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน
เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร?
นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง
เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป
วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้
มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน
หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว
นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน
เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย
อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ
ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว
อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง



คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด
ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป


ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่
มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่า คนตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
ถ้าพระองค์ตอบได้ก็จะมาบวชด้วย แต่ถ้าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช
แกว่าของแกอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า
พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์ ไม่ใช่เรื่องของฉัน

พระองค์ตรัสว่า ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า
มีคนเกิดหรือมีคนตาย คนตายแล้วเกิดหรือคนตายแล้วไม่เกิด
ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้
พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์ ทางที่ถูกนั้น
พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้

พระพุทธเจ้าท่านว่า ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และจนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ
จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้

นั่นจึงจะเรียกว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
เป็นการเชื่อด้วยปัญญา

พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนว่า
ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ชาติหน้ามีหรือไม่มี
อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้
จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้

ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น อาตมาจึงถามคุณว่า
ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด? อย่างนี้เข้าใจไหม?
ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 16:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ploypet เขียน:
ขอบคุณทุกท่านคะ :b16: ที่เรารู้ก็ไม่ใช่ว่าเรารู้ ที่เราไม่รู้ก็ใช่ว่าเราจะไม่รู้ อยู่ที่ปัญญาที่สั่งสมมา ซึ่งเราก็แสดงตัวเสมอมาว่าเป็นผู้ไม่รู้คะ งงมั้ย เพราะคุณเอกอนคนเดียว พาหลงไปหมด แล้วตัวเองก็ไม่ยอมให้อ่านที่บอกว่ามีอะไรจะเล่า ถ้าไม่อยากผิดคำพูด email มานะคะ ไม่งั้นมุสานะเอา 5555555 :b13: เขาเรียกว่าบีบคอนะเนียะ



ไม่ได้ลบ อันนี้ยังไม่ได้เล่า...
ไอ้ที่ลบไป นั่นคือ...เป็นกระทู้ข้อความเดิม...ซ้ำ...
กะ...อัลไซเมอร์...

ส่วนเรื่องที่จะเล่านั้น
ตอนแรกเอกอนอ่านเพี้ยน...อ่านไปว่าคุณยัง
ไปที่ไหนไหว้ที่นั่นคะ ขอไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่หวย หรือทำมาค้าขึ้น ลูกจะเรียนอะไร ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ไม่เคยเข้าวัดฟังธรรมที่เป็นเรื่องราว
แต่พอมาอ่านดี ๆ ... อื้อ...คุณก็มีหลักปฏิบัติแล้ว...ก็เลยไม่ได้เล่า...
แต่ถ้าจะเล่า...ก็คือ...
แบบว่า... สิ่งที่เราเข้าไปหยิบ นั่นคือ สิ่งเราล้วนต้องวาง...
ซึ่ง...
ถ้าเราหลงเข้าไปหยิบ
เวลาวาง
เราจะต้องออกแรงมากกว่าการเข้าไปหยิบด้วยอาการที่รู้เท่าทัน...
เพราะผู้ที่เท่าทันการเข้าไปหยิบ ก็ประหนึ่งเนื้อที่ไม่จมกองบ่วง...
...

ซึ่งพออ่านดี ๆ ก็เลยไม่ได้คิดว่าจะต้องเล่าแล้ว...หง่ะ...

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
แต่ถ้าจะเล่า...ก็คือ...
แบบว่า... สิ่งที่เราเข้าไปหยิบ นั่นคือ สิ่งเราล้วนต้องวาง...
ซึ่ง...
ถ้าเราหลงเข้าไปหยิบ
เวลาวาง
เราจะต้องออกแรงมากกว่าการเข้าไปหยิบด้วยอาการที่รู้เท่าทัน...
เพราะผู้ที่เท่าทันการเข้าไปหยิบ ก็ประหนึ่งเนื้อที่ไม่จมกองบ่วง...
...

ซึ่งพออ่านดี ๆ ก็เลยไม่ได้คิดว่าจะต้องเล่าแล้ว...หง่ะ...

:b16: :b16: :b16:

55555 ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี แบบว่าเล่ามาเลยดีก่า จะได้รู้เรื่องเร็วขึ้น เพ่ เด็กแว้นใจร้อนจ้า :b4:

รู้อย่างเดียวว่าตุ๊กแกหายไปเปลี่ยนเป็นอะไรไม่รู้

ฮิฮิคิดมากเดี๋ยวสังขารไม่เที่ยง เลี้ยงนกตัวดำๆชอบร้อง กา กา ไว้บนหน้านะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 19:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ploypet เขียน:
55555 ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี แบบว่าเล่ามาเลยดีก่า จะได้รู้เรื่องเร็วขึ้น เพ่ เด็กแว้นใจร้อนจ้า :b4:

รู้อย่างเดียวว่าตุ๊กแกหายไปเปลี่ยนเป็นอะไรไม่รู้

ฮิฮิคิดมากเดี๋ยวสังขารไม่เที่ยง เลี้ยงนกตัวดำๆชอบร้อง กา กา ไว้บนหน้านะคะ


อ๊ะ เป็นอุบายเปิ่น ๆ ที่เอกอนแนะนำให้พี่คนหนึ่งที่
เคยเจออะไรก็ไหว้ดะ ขอดะ น่ะ แม้แต่ต้นไม้ผูกผ้า...
แม้แต่ขับรถผ่านร้านขายศาลพระภูมิยังเผลอไหว้...
แม้แต่ป้าย...โฆษณา... :b12: :b12:

สั้น ๆ ละกัน คือพี่เขาอยู่ในอาการวิตก กังวลมาก จนออกอาการเสียศูนย์น่ะ...
พอเจอหน้าเอกอนเขาก็เดินเข้ามาปรึกษาเลย...
เอกอนเคยสอนใครซะที่ไหน...
แต่ก็พยายามชักแม่น้ำทั้งประเทศ ก็ผสมมุขตลกแบบหน้ามึนไปด้วย...
พี่เขาก็เห็นด้วย คิดตามด้วย ขำ ขำด้วย...คือเขาก็ผ่อนคลายลง...

แล้วก็ปรับใหม่...ให้พี่เขาเปลี่ยนจากสิ่งเหล่านั้นมาเป็น...องค์พระ
คือ...เอกอนก็พยายามบรรยายสรรพคุณองค์พระให้เป็นไปในทางให้เกิดกำลังศรัทธาที่จะ
เป็นผู้ศึกษาธรรมและเจริญในธรรม...ดึงมาหมดเลยคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...
รวมอยู่ในองค์พระ...
ก็บอกให้พี่เขาหายใจเข้า แล้วชี้ให้ดูว่าพี่เขารู้สึกได้ดีที่สุดตรงไหน...
พี่เขาก็ชี้ เอกอนก็บอกให้หาสร้อยที่เมื่อแขวนองค์พระแล้ว จะอยู่ในจุดนั้น...
ทันทีที่ใจพี่วอกแวกออกไปจะหาสิ่งเดิม ขอให้พี่ดึงใจกลับมาตรงนั้น...ตรงที่พี่รู้ชัดเมื่อหายใจเข้า
ซึ่ง...พี่ก็จะสัมผัสได้ถึงองค์พระที่อยู่ตรงนั้น...
แล้วพี่ก็ระลึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วอธิษฐานขอพร..

ซึ่งเอกอนก็อธิบายเหตุผลทุกอย่าง...ว่าทำไมจึงเป็นตรงนั้น...
ทำไมจึงเป็นองค์พระ...
เพราะนิสัยความเคยชินเดิมของจิตพี่ ที่เคยออกไปเกาะ ยังไงมันก็ต้องเป็นเช่นนั้น...
จะไปห้ามมัน...แบบหักดิบ...แบบอย่าทำนะ...พี่ต้องใช้ความพยายามเยอะมาก...
อาจหึดขึ้นคอ...อาจจะไม่ได้ผล...เพราะอาจเจออาการดื้อแพ่งของจิต...

พี่อยู่ปกติอย่างเดิม แต่เมื่อเห็นจิตวิ่งออกไปจะจับ ก็ลากเขากลับมาให้จับสิ่งใหม่...
ซึ่งอยู่กับกาย... ซึ่งจะทำให้การทรงตัวทางอารมณ์ของพี่ดีขึ้น...
และเพราะ ภาพศาล ภาพต้นไม้ต่าง ๆ นานา นั้น...มันสะท้อนภาพที่ไม่นิ่ง...
เพราะ...มันจะเป็นภาพเทวดา นางไม้ เจ้าที่ ผีป่า ผีตายโหง ผีตายท้องกลม ปะปนกัน...
ดังนั้น...นิมิตที่พี่ส่งใจไปมันไม่ใช่ภูมิที่เป็นสุข... เมื่อทำซ้ำ ๆ ภาพนั้นจะตามติด
ซึ่ง...เมื่อเกิดเหตุ...ทำให้พี่จะวนเวียนอยู่กับความรู้สึกทุกข์...และภาพสะเปะสะปะ
ซึ่งล้วนเป็นภาพที่...ไม่น่าจะทำให้ใจพี่สงบลงได้ อาจจะยิ่งซ้ำเติมไปใหญ่...
(โหยยย...พี่เขารีบพยักหน้าเลยนะ.... ใช่ ใช่...พี่ล่ะคิดวกวนแต่กับสิ่งเหล่านั้น...)
ซึ่ง...องค์พระนั้น...ไม่ได้ให้พี่ยึดวัตถุ...แต่ให้เป็นสิ่งที่ช่วยในการรู้ ในการระลึก
ภาพสะท้อนของกุศลจิต...
เมื่อพี่กำหนดจิตไว้ในที่อันควรได้ และ นิมิตที่ระลึกได้ส่งใจไปในทางอันเป็นกุศล...
...
ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป...

อิ อิ พี่เขาเชื่อนะ และตั้งใจทำมาก หลังจากนั้นหนึ่งเดือน
เจอหน้าเอกอน ... พี่เขาเดินทำตาลุกวาวเขามาหาเลย...
บ่นมาก่อนเลย....
โหย....พี่ทำอย่างที่น้องว่าแล้ว...ความปัญหาพี่ไม่ได้ลดลงเลย...มีแต่จะเพิ่มขึ้น...
นี่ก็เพิ่ง.....อีกแระ มีแต่เรื่องยุ่ง ๆ

โหยยยย...เอกอนก็กำลังจะถามด้วยความเป็นห่วงปนแปลกใจ...
:b2: :b2: :b2: อุบายนี้ใช้ไม่ได้ผลหรือนี่... :b2: :b2: :b2:

แต่ที่ไหนได้...
แต่...พี่นะ...ไม่วิตก ไม่กังวล เหมือนแต่ก่อน...
แต่ก่อนพี่นะ เครียดมาก นอนไม่ค่อยจะหลับหรอก...แต่เดี่ยวนี้พี่หลับง่ายหลับดีด้วย...
ไม่เชื่อถามแฟนพี่สิ่
พี่รู้สึกได้เลยนะ พี่รู้สึกทำใจได้ดีขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น พี่อ่านหนังสือธรรมะแล้วนะ...
และว่าง ๆ พี่ก็เอาบทสวดมนต์มาอ่าน ...ซึ่งแต่ก่อนนะ...พี่ไม่เคยคิดจะจับเลย...
จริง ๆ เลย...พอพี่ดึงใจกลับมานะ...พอพี่รู้สึกถึงองค์พระ...ระลึกถึงคุณพระ
แต่ก่อนใช่ม๊ะ พี่จะขอหวย ขอโนน่ขอนี่ ขอไปทั่ว...
แต่พอใจระลึกถึงพระแล้ว...เรื่องพวกนั้นหดหมดเลย...มันวืบออกมาเลยนะ...
ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นกิเลส...เป็นสิ่งที่ทำให้เราหมกมุ่น
พี่ก็เลยนึกถึงแต่ให้พระคุ้มครองให้พี่ปลอดภัย...ให้พี่ผ่านพ้นทุกข์...
ให้พี่มีปัญญา...
โอย...ขอบคุณจริง ๆ เป็นอย่างที่น้องบอกพี่จริง ๆ พี่รู้แล้ว...พอเข้าใจบ้างแล้ว
แต่พี่ก็ยังไม่ประสาทางธรรม เพราะพี่ไม่เคยรู้เลย แต่เดี๋ยวนี้พี่อ่านหนังสือธรรมได้แล้วนะ...
เดิมที่พี่เคยอ่านได้ซะที่ไหน...อ่านสองสามบรรทัดก็วางแล้ว...
พี่ก็อยากนั่งสมาธินะ...แต่พี่ยังทำไม่ได้... แต่พี่เอาหนังสือสวดมนต์มาลองอ่านนะ...
ซึ่งพี่...คิดว่าพี่พอเริ่มทำจากตรงนี้ได้... ขอบคุณมากนะ...น้องช่วยพี่จริง ๆ
พี่รู้แระ...ขอบคุณมาก...พี่จะค่อย ๆ เป็นค่อยไป ...

หะ หะ ค่อยยังชั่ว...ทำเราซะเป็นห่วงในทีแรก...

แต่จริง ๆ เอกอนก็มองแล้ว...พี่คนนี้เขามีแววของเป็นคนที่ทำอะไรจริงจัง...
เป็นคนที่มีความตั้งใจ มีความอดทน... คือเขามีส่วนดี
ซึ่งเอกอนก็บอกเขา...ว่าเขามีส่วนดีนะ ดีมาก ๆ ด้วย...
เป็นคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยต่อการศึกษาธรรม... ซึ่งจะทำได้ดีด้วย...

ซึ่งก็จริง...เอกอนไม่ค่อยได้เจอคนที่...
ตั้งมั่น ตั้งใจทำในสิ่งที่มีผู้แนะนำได้ย่างเคร่งครัดอย่างนี้...
แต่พี่เขาทำได้ดีซะด้วย...และปรับพฤติกรรมเดิมเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว...
และแสดงพัฒนาการ...ในทางใฝ่ทางกุศลอย่างชัดเจน...

เอกอนนั่งมองพี่เขาร่าเริง...สดใสเอกอนก็พลอยดีใจ...

อิ อิ เล่าแล้ว...


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 ต.ค. 2010, 19:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุ กับคุณเอกอนด้วย เป็นอุบายวิธีการสอนที่ดี น่าจะได้เจอคุณเอกอนเร็วกว่านี้นะคะ จะได้ไม่หลงมัวเมาในกิเลสตั้งสามสิบกว่าปี :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หาคำตอบของคำถามมาให้คะ ปัญญามีไว้พิจารณา เห็นตามกาลามสูตรคะ
จิตมีดวงเดียว แล้วทำไมเราเห็นจิตซ้อนๆกันคะ
เพราะจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลาและเกิดดับที่ละดวง
หากจิตดวงใหม่เกิดขึ้นแล้วไประลึกรู้ได้ว่าจิตดวงเก่าเป็นอย่างไร
ก็จะรู้สึกเหมือนว่ามีจิตซ้อนกันอยู่ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ซ้อนกันครับ

เวลามีคนถามเรื่องที่เราตอบไม่ได้เช่นทำไงจะเกิดในยุคพระศรีอริยะเมตไตรย์ จะตอบเขาอย่างไรคะเป็นผมจะตอบว่า การเกิดในภพภูมิต่างๆ นั้น ขึ้นกับเหตุปัจจัย
ถ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องทำเหตุเช่นรักษาศีล ๕ ไว้เป็นต้น
(เหตุปัจจัยอื่นๆ ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ)
แต่มีความจริงอยู่อย่างหนึ่งคือ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ตามที่ต้องการ
แล้วก็ไม่มีใครสั่งได้ว่าตวเองจะต้องไปเกิดในยุคนั้นจริงๆ
และตราบใดที่ยังไม่พ้นทุกข์ได้จริง
ก็จะยังถูกกิเลสครอบงำให้ทำกรรมชั่วกรรมดีต่างๆ ได้อยู่
หากจู่ๆ เกิดพลาดทำกรรมหนักต้องตกนรกไปอีกนาน
หรือเกิดทำกรรมบางอย่างให้ต้องไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ใช่มนุษย์อีกนาน
ก็จะพลาดจากการเกิดมาฟังธรรมปฏิบัติธรรมในยุคพระศรีอารย์
ดังนั้นที่ดีที่สุดคือ อย่ารอไปจนถึงยุคนั้น
ยุคนี้ยังมีพระพุทธศาสนาให้ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่
ก็ไม่ควรประมาท แล้วก็ตั้งใจศึกษาปฏิบัติไปให้ได้มากที่สุด
หากแม้ยังไม่พ้นทุกข์ในยุคนี้ เหตุปัจจัยตรงนี้
ก็จะเกื้อหนุนให้ได้เจอพุทธศาสนาในยุคสมัยอื่นได้ต่อไป มักจะมีภาพขึ้น บางทีก็เป็นภาพเคลื่อนไหว บางทีก็ภาพนิ่งคะ บางทีถ้านั่งสมาธิก็เป็นสีดำบ้าง ขาวบ้าง ขุ่นเหมือนมีควันลอยบ้าง มันคืออะไรคะ และทำไงจะรู้ทันคะ บางทีก็คิดว่าเป็นสัญญาคะ แต่บางทีก็คิดว่าไม่ใช่คะ แต่จะมีจิตไปรับเป็นอารมณ์ ทีหลังอีกทีคะ ถึงจะรู้ว่าเป็นสุข ทุกข์ หรือเฉยคะ

เรียกกันว่า นิมิต ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยครับ
ซึ่งก็คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งสร้างขึ้นโดยขันธ์เอง
เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ในการปฏิบัติเมื่อเกิดนิมิตขึ้นก็คือ ให้มีสติรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น
หากจิตตั้งมั่นรู้อยู่ นิมิตก็จะเปลี่ยนไปหรือดับลงไปได้
และถ้าเกิดสงสัยว่ามันคืออะไร ก็ให้มาหัดดูจิตหลงไปคิดสงสัย
ไม่จำเป็นต้องส่งจิตไปค้นหาคำตอบ
แค่รู้ไปเพื่อจะได้เห็นความไม่เที่ยงก็พอแล้วครับ


:b14: ช่วยอธิบายเรื่องสัญญาให้หน่อยคะ เราเห็นมันยังไงคะ และต้องตามรุ้ตามดูอย่างไรคะ

สัญญาคือความจำได้ ความหมายรู้

ความจำได้เช่นจำได้ว่า คนหน้าตาแบบนี้ชื่ออะไร สีแบบนี้เรียกว่าวีอะไร ฯลฯ
ความหมายรู้ เป็นการที่พบเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักไม่เคยเข้าใจมาก่อน
ก็จะหมายรู้ (คาดเอา) ว่าเป็นอะไร การหมายรู้จึงมีมั้งที่หมายรู้ผิดๆ หรือถูกก็ได้
ที่หมายรู้ผิดๆ ก็เช่น เพราะไม่เคยรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร
พอไปเจอสภาวะอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่นิพพาน
แต่คล้ายๆ จากที่เคยได้ยินได้ฟังมา
ก็เลยมายรู้ผิดไปว่า นั่นคือนิพพาน เป็นต้น
เรื่องสัญญานี้ หลวงพ่อปราโมทย์บอกทำนองว่า จะหัดรู้ได้ยาก
ให้เว้นไว้ก่อน แล้วเมื่อเจริญสติปัญญาได้มาขึ้น
ก็จะสามารถล้างสัญญาที่วิปลาสได้ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ploypet เมื่อ 27 ต.ค. 2010, 10:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขออภัย หลังจากกลับมาจากเที่ยว ถึงรู้ว่าไอ้ที่ตัวเองทำเกี่ยวกับเรื่อง vibration เหลวไหลทั้งเพ
แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีคะ เพราะลองนั่งแล้ว อย่างไม่ไปกำหนดจุดเพื่อดักดูความหลง หรือดูการเต้นของใจหรือชีพจร แต่เป็นการนั่งที่ดีคะ อย่างน้อยก็เห็นจิตเกิดดับเร็วเป็นคร้งแรกในชีวิต ที่ถูกน่าจะเป็นอย่างนี้คะ

ตอนนั่งสมาธิกลางคืน เห็นเป็นว่า ผัสสะเกิดที่ใด จิตเกิดที่นั่นคะ
จิตเกิดที่ใด จิตดับที่นั่นคะ ถูกมั้ยคะ

ถูกแล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 14:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ploypet เขียน:
ต้องขออภัย หลังจากกลับมาจากเที่ยว ถึงรู้ว่าไอ้ที่ตัวเองทำเกี่ยวกับเรื่อง vibration เหลวไหลทั้งเพ
แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีคะ เพราะลองนั่งแล้ว อย่างไม่ไปกำหนดจุดเพื่อดักดูความหลง หรือดูการเต้นของใจหรือชีพจร แต่เป็นการนั่งที่ดีคะ อย่างน้อยก็เห็นจิตเกิดดับเร็วเป็นคร้งแรกในชีวิต ที่ถูกน่าจะเป็นอย่างนี้คะ



ใช่...คือเห็นอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกค่ะ...เพราะ...ชีวิตคนเรานั้นหลากหลาย...
เรื่องการสังเกตจังหวะนั้น...เป็นด้วยเอกอนกอนเคยเป็นนักกีฬา...
ดังนั้น...ในเรื่องของการสังเกตอัตตราการหายใจ การเต้นของหัวใจ...
จังหวะเคลื่อนที่...
ซึ่งการเคลื่อนที่ด้วยการใช้กำลังกล้ามเนื้อแต่ละแบบก็มีจังหวะที่ต่างกัน...
ซึ่ง...เป็นไปได้มาก ๆ ที่จะมองเห็นเป็นเรื่องที่เหลวไหลได้...

นักกีฬาจะเป็นผู้ที่มีความละเอียดในการสังเกตปฏิกริยาต่าง ๆ ของร่างกาย...
ดังนั้นเขาจะมีพื้นนิสัยอยู่แล้ว...เช่น
การวิ่งด้วยอัตราเร็วแปดนาทีต่อหนึ่งกิโลเมตร...
ในการหายใจปกติหนึ่งรอบเขาวิ่งได้กี่ก้าว...
และจังหวะการเต้นของหัวใจกับการหายใจ...
ก้าวหนึ่ง ๆ ยาวกี่เซนติเมตร...
เท้าสัมผัสพื้นอย่างไร...คือมันจะเป็นนิสัยที่เป็นไปเองของนักกีฬา...
ที่เขาจะมีอุปนิสัยที่สำรวจกายและใจของเขาอยู่ตลอด...

ไม่ใช่แต่นักกีฬา...มีรูปแบบการฝึกฝนหลายอย่าง...ที่มีความเกี่ยวข้องกับจังหวะ...
คือ...พวกเขาจะพูดคุยกัน สื่อสารกันรู้เรื่องแต่เพียงในกลุ่ม...
นั่นคือธรรมชาติของพวกเขา...ที่ได้พัฒนาทักษะในทางนั้นขึ้นมา...
ซึ่งถ้าผู้ปฏิบัติทุกคนจะต้องเข้าไปเรียนรู้รู้...ในทุกทักษะที่มีบนโลกใบนี้...
เพียงเพื่อบรรลุธรรม... คือ...จงใช้สิ่งที่ตนมีให้มีประสิทธิภาพที่สุดเท่านั้นล่ะ...แค่นี้...พอแล้ว
ทักษะที่เหมาะสมกันตน ที่ตนถนัดอยู่แล้วนั่นล่ะ... แค่นั้น...
เรียนรู้กับการใช้เครื่องมือนั้น ๆ ...

คือ...อย่าคิดว่าคนนั้นเป็นนั่น รู้นั่น...แล้วดูเขามีจุดยืนที่ดีในทางธรรม...
แล้วเราต้องพยายาม...ทำให้ได้อย่างที่เขาเป็น...และพยายามปฏิบัติแบบลอกเขามา...
อันนี้...เอกอนไม่...ค่อยแน่ใจ...
เพราะ...เอกอน...คือผู้ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของตัวเอง...
ปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานที่ตนมี และศึกษาพัฒนาจากพื้นฐานของตัวเอง...ค่ะ...

การที่เอกอนดูจะละเอียด...
ไม่ใช่เพราะเอกอนดันทุรัง...ทำ
แต่มันเป็นทักษะที่เอกอนมีอยู่แล้วค่ะ...

คุณพลอย...ก็เช่นกัน...อยู่บนพื้นฐานที่ตนถนัดค่ะ...
ปรับในพฤติกรรมที่ควรปรับ...
ก็ใช้อุบายที่เหมาะกับตน...แต่เมื่อใช้อุบายหนึ่ง ๆ แล้ว...
เมื่อจิตมีความละเอียดขึ้น...ก็อาจจะต้องหาผู้รู้ที่จะคอยแนะนำ...
เพราะ...อุบายก็คือ...อุบาย...ไม่ใช้ว่าเราจะยึดอุบายเดิม ๆ...
เพราะอุบายหนึ่ง ๆ เหมาะกับการปรับพฤติกรรมหนึ่ง ๆ เท่านั้น...ไม่ใช่อุบายที่จะใช้ได้ตลอด...

ซึ่งอุบายที่เอกอนมองแล้ว...ใช้ได้เหมาะสมกับทุกคนและทุกสภาวะก็คือ...อานาปานสติ...

:b1: :b1: :b1:

เอกอนไม่ใช่ผู้รู้นะ แค่เข้าใจอย่างที่ตนเข้าใจหง่ะ...


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 27 ต.ค. 2010, 14:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแก้ไขหน่อยนะคะ เรื่องvibrationไม่เหลวไหลคะ

แต่เรื่องที่ตัวเองกำหนดจุดเพื่อไปดักดูvibrationต่างหากที่เหลวไหลคะ

สำหรับคุณเอกอน แต่ช้าแต่ ไม่งอนนะคะ :b20:

อย่างที่บอกตัวเองก็ไม่ได้ทำตามทุกคนไปเสียหมด ได้อุบายวิธิอะไรมาก็เอามาลองทำ ถ้าถูกและเข้าใจก็ยังยึดอยู่คะ แต่ถ้าทำแล้วไม่เข้าใจ ทำแล้วฝืน ก็ลองเปลี่ยนวิธีใหม่คะ แต่ก็ใช่ตัดบัวไม่เหลือเยื่อใยนะคะ อะไรที่ทำแล้วดีก็ยังยึดไว้คะ เช่นการดูชีพจรเป็นจิตเกิดดับ เอาไว้ตอนไหนจับชีพจรได้คะ ทำแล้วแก้ง่วงได้ดี จิตตั้งมั่นได้ดี แต่เนื่องจากไปดักดูแบบกำหนดจุดเลยเหนื่อยคะ เลยคิดอย่าเอาให้ถึงกับต้องตายเพราะนั่งสมาธิเลยคะ เลยเดินสายกลางดีกว่าคะ

คุณเอกอนคนสวย รู้สึกจะเป็นทุกอย่างนะคะ นักกีฬา คนนวดแป้ง คนจับกบเอ้ยคางคก แถมยังเป็นคนเลี้ยงลิงน้อยกลอยใจอีก........................................สุดท้านก็เป็นกัลยาณมิตรที่ดีคะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร