วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2010, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคล ๑๒

ประเภทของบุคคล ท่านจัดไว้เป็น ๑๒ คือ ปุถุชน ๔ อริยบุคคล ๘

ปุถุชน ๔ ได้แก่
- ทุคคติอเหตุกบุคคล
- สุคติอเหตุกบุคคล
- ทวิเหตุกบุคคล
- ติเหตุกบุคคล

อริยบุคคล ๘ ได้แก่
- โสดาปัตติมัคคบุคคล
- โสดาปัตติผลบุคคล
- สกทาคามิมัคคบุคคล
- สกทาคามิผลบุคคล
- อนาคามิมัคคบุคคล
- อนาคามิผลบุคคล
- อรหัตตมัคคบุคคล
- อรหัตตผลบุคคล

ทุคคติอเหตุกบุคคล ๑ ได้แก่ บุคคลในอบายภูมิรวม ๔ ภูมิคือ นรก ๑ ภูมิ เปรต ๑ ภูมิ อสุรกาย ๑ ภูมิ และสัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภูมิ สัตว์ทั้ง ๔ นี้ ปฏิสนธิด้วย อุเบกขาสันตีรณอกุสลวิบาก ๑ ดวง

สุคติอเหตุกบุคคล ๑ ได้แก่ มนุษย์ผู้ หูหนวก ตาบอด เป็นบ้า เป็นใบ้ พิกลพิการต่าง ๆ ๑ ภูมิ และเทวดาบางจำพวกในชั้นจาตุมหาราชิกา ๑ ภูมิ สัตว์ใน ๒ ภูมินี้ ปฏิสนธิด้วย อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ ดวง

ทวิเหตุกบุคคล ๑ ได้แก่ มนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดาทั้ง ๖ ภูมิ (รวมเรียกว่า กาม สุคติภูมิ ๗) ผู้ไม่มีปัญญา สัตว์ใน ๗ ภูมินี้ ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากญาณวิปป ยุตต ๔ ดวง

ติเหตุกบุคคล ๙ ได้แก่ ปุถุชน ๑ อริยบุคคล ๘

ปุถุชน ๑ ได้แก่ มนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปพรหม ๑๐ ภูมิ (เว้น สุทธาวาส ๕ ภูมิ อสัญญสัตต ๑ ภูมิ) และอรูปพรหม ๔ ภูมิ รวมเป็น ๒๑ ภูมิ ด้วยกัน เป็นสัตว์ผู้มีปัญญาทั้งนั้นซึ่งปฏิสนธิด้วยมหาวิบากญาณสัมปยุตต ๔ ดวง มหัคคตวิบาก ๙ ดวง

อริยบุคคล ๘ ได้แก่ มัคคบุคคล ๔ ผลบุคคล ๔ ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปพรหม ๑๕ ภูมิ (เว้นอสัญญสัตต ๑ ภูมิ) และอรูปพรหม ๔ ภูมิ สัตว์ใน ๒๖ ภูมินี้ ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากญาณสัมปยุตต ๔ ดวง มหัคคตวิบาก ๙ ดวง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2010, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตที่ ไม่มีในบุคคลบางจำพวก

บุคคลบางจำพวก ไม่มีจิตบางประเภทเลย มีสำนวนเก่าท่านกล่าวไว้ ซึ่งถ้าได้ พิจารณาแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ จึงเห็นว่าควรจะคงสำนวนนั้นไว้ โดยไม่เปลี่ยนแปลง แก้ไขเลย ดังมีข้อความต่อไปนี้

สัตว์ที่เป็นอเหตุก ทุเหตุกนั้น เป็นสัตว์บุญน้อย ไม่ได้สำเร็จกิริยาชวนะ และ อัปปนาชวนะถึงเกิดในสุคติ จิตที่เป็นกามาวจรวิบากญาณสัมปยุตตก็ไม่มีในสันดาน

ถ้าเป็นอเหตุกสัตว์ในทุคคติแล้ว ก็ยิ่งชั่วร้อยเท่าพันทวี แม้แต่จิตที่เป็นมหาวิบากญาณวิปปยุตต ก็ไม่มีในสันดาน

ท่านที่เป็นไตรเหตุ มีไตรเหตุเกิดพร้อมด้วยปฏิสนธิจิตนั้น ถ้าบำเพ็ญภาวนา ก็จะได้สำเร็จเป็นพระขีณาสพ ขาดจากกุสลชวนะ และอกุสลชวนะ มีแต่ กิริยาชวนะ และอรหัตตชวนะ

ปุถุชนที่เป็น ไตรเหตุ ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ไม่มีกิริยาชวนะในสันดาน

โลภชวนะที่เป็นทิฏฐิสัมปยุตต ๔ ดวง และโมหสัมปยุตตวิจิกิจฉา และกิริยา ชวนะก็ดี ย่อมไม่มีในสันดานแห่งเสกขบุคคลคือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี

พระอนาคามีบุคคลนั้น ในสันดานไม่มีปฏิฆชวนะ และกิริยาชวนะ และโลภ ชวนทิฏฐิสัมปยุตต และโมหชวนวิจิกิจฉาสัมปยุตต

โลกุตตรชวนะนั้น มีกำหนดเกิดเป็นส่วน ๆ กัน โสดาปัตติชวนะนั้น จำเพาะ มีในสันดานพระโสดาบัน ครั้นถึงพระสกทาคามีแล้ว โสดาปัตติชวนะก็ขาดไป มีแต่ สกทาคามีชวนะในสันดาน ครั้นได้อนาคามีแล้ว สกทาคามีชวนะก็ขาดไป มีแต่ อนาคามีชวนะ ครั้นได้อรหัตตแล้ว อนาคามีชวนะก็ขาดไป มีแต่อรหัตตชวนะอยู่ใน สันดาน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลกับภูมิ

บุคคลใดเกิดได้ในภูมิไหน และบุคคลใดเกิดไม่ได้ในภูมิไหนนั้น มีดังนี้

ปุถุชน โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี(มัคค)ไม่เกิดในสุทธาวาส ด้วยประการ ทั้งปวง

มีความหมายว่าปุถุชนทั้ง ๔ บุคคล กับโสดาปัตติมัคคบุคคล ๑ โสดาปัตติผล บุคคล ๑ สกทาคามิมัคคบุคคล ๑ สกทาคามิผลบุคคล ๑ และ อนาคามิมัคคบุคคล ๑ รวมเป็น ๙ บุคคลด้วยกัน ทั้ง ๙ บุคคลนี้ จะเกิดในสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ แม้แต่ ภูมิใดภูมิหนึ่งไม่ได้เลยเป็นอันขาด ด้วยประการทั้งปวง

ที่ว่าด้วยประการทั้งปวงนั้น หมายความว่า ไม่ว่าการเกิดนั้นจะเป็นด้วยอำนาจ ปฏิสนธิ หรือเกิดด้วยอำนาจแห่งภาวนา ก็เกิดไม่ได้ทั้ง ๒ ประการ

ทั้งนี้เพราะสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ เป็นที่เกิดโดยเฉพาะของอนาคามิผลบุคคล ที่ ได้ปัญจมฌานด้วยนั้นโดยอำนาจแห่งปฏิสนธิ และเป็นที่เกิดอรหัตตมัคคบุคคล อรหัตตผลบุคคล โดยอำนาจแห่งการเจริญภาวนาที่สุทธาวาสภูมินั้น

พระอริยะไม่เกิดในอสัญญีภพและอบายภูมิเลย ส่วนภูมิที่เหลือนอกนั้นจะเป็น พระอริยะและแม้มิใช่พระอริยะก็เกิดได้

มีความหมายว่า

๑. อริยะทั้ง ๘ บุคคลไม่เกิด(โดยอำนาจภาวนา) ในอสัญญสัตตภูมิ ๑ เพราะ อสัญญสัตตภูมิ๑ เป็นภูมิของบุคคลที่มีแต่รูปร่างกายอย่างเดียวเท่านั้นไม่มีจิต บุคคล ผู้มีจิตใจจึงจะบำเพ็ญเพียรภาวนาธรรมให้แจ้งในอริยะสัจจ ๔ ได้

๒. อริยะบุคคล ๘ ไม่เกิด(โดยอำนาจปฏิสนธิ)ในอสัญญสัตตภูมิ ๑ เพราะพระอริยะไม่เจริญสัญญาวิราคภาวนาที่ปรารถนาจะมีแต่รูปอย่างเดียว โดยไม่ ประสงค์จะมีจิตใจอย่างนั้นไม่

๓. อริยะบุคคล ๘ ไม่เกิด (โดยอำนาจภาวนา) ในอบายภูมิ ๔ เพราะบุคคล ในอบายภูมิ ๔ เป็นบุคคลที่ไร้ปัญญา อันเป็นองค์สำคัญยิ่งในการบำเพ็ญเพียร ภาวนาธรรมให้ถึงมัคคถึงผล

๔. อริยะบุคคล ๘ ไม่เกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ในอบายภูมิ ๔ เพราะ อริยะบุคคลเป็นผู้ที่ละแล้วซึ่งกิเลสอันจะส่งผลให้ไปปฏิสนธิในอบาย จึงเป็นผู้ที่ปิด อบายได้แล้ว เป็นผู้ที่พ้นจากอบาย

๕. ส่วนภูมิที่เหลือนอกนั้น อันได้แก่ มนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๕ ภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ ๑) และอรูปภูมิ ๔ รวม ๒๖ ภูมิ นั้นจะเป็นอริยะ บุคคลก็ดี หรือ แม้มิใช่อริยะบุคคลก็ดี ก็เกิดได้

๖. ทุคคติบุคคล ๑ เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในอบายภูมิ ๔

๗. สุคติอเหตุกบุคคล ๑ เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ชั้นจาตุมมหาราชิกา ๑ ภูมิ

ทวิเหตุกบุคคล ๑ เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในมนุษย์ภูมิ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ

๘. ติเหตุกบุคคล ๑ (ที่เป็นปุถุชน) เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ ถ้าเจริญสมถภาวนาได้รูปฌานก็ดี ได้อรูปฌานก็ดี ก็ไปเกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ในรูปภูมิ ๑๑ (เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕) และอรูปภูมิ ๔ ตามชั้นฌานที่ตนได้

๙. โสดาปัตติมัคคบุคคล ๑ โสดาปัตติผลบุคคล ๑ รวมอริยะ ๒ บุคคลนี้เกิด ได้ (โดยอำนาจภาวนา) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๐ (เว้นสุทธาวาส ภูมิ ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑) รวม ๑๗ ภูมิ

หมายความว่า มนุษย์ เทวดาและรูปพรหมที่กล่าวนั้น สามารถเจริญวิปัสสนา ภาวนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้

ที่เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ เพราะเป็นที่เกิด(โดยอำนาจปฏิสนธิ) ของปัญจมฌาน อนาคามิผลบุคคล

และที่ไม่ได้กล่าวถึง อรูปพรหมในข้อนี้ด้วย เพราะในอรูปภูมิทั้ง ๔ นั้น อรูป พรหมที่เป็นปุถุชน คือยังไม่ถึงมัคคถึงผลเลยนั้น ไม่สามารถเริ่มเจริญวิปัสสนาให้ เกิดโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้ ด้วยเหตุว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนาให้บรรลุ มัคคผลในชั้นต้นเริ่มแรกนี้ต้องอาศัยพิจารณาทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม แต่อรูปพรหม ไม่มีรูปธรรมให้อาศัยพิจารณาเลย

๑๐. อริยะบุคคลอีก ๖ คือ สกทาคามิมัคคบุคคล สกทาคามิผลบุคคล อนาคามิมัคคบุคคล อนาคามิผลบุคคล อรหัตตมัคคบุคคล และอรหัตตผลบุคคล นั้นเกิดได้ (โดยอำนาจภาวนา) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๕ (เว้น อสัญญสัตตภูมิ ๑) และ อรูปภูมิ ๔ รวม ๒๖ ภูมิ

หมายความว่า มนุษย์ เทวดา รูปพรหมและอรูปพรหม สามารถเจริญ วิปัสสนาภาวนา(ต่อ) ให้บรรลุเป็นอริยะ ๖ นี้อีกได้

มีข้อสังเกตที่ควรกล่าวอยู่ว่า สุทธาวาสภูมิ ๕ อันเป็นที่เกิด (โดยอำนาจ ปฏิสนธิ) ของปัญจมฌานลาภีอนาคามิผลบุคคลอยู่แล้ว จึงมีการเจริญวิปัสสนา ภาวนา เพื่อให้บรรลุถึงขั้นอรหัตตมัคค อรหัตตผล เท่านั้น

อนึ่งในข้อ ๑๐ นี้ กล่าวถึงอรูปพรหมด้วยนั้น มีอธิบายว่า มนุษย์ก็ดี เทวดา ก็ดี รูปพรหมก็ดี เจริญสมถภาวนาจนได้อรูปฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาด้วย จน เป็นโสดาบันบุคคลแล้ว เมื่อถึงแก่มรณะก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหมที่เป็นพระโสดาบัน โสดาบันบุคคลที่เป็นอรูปพรหมนี้เจริญวิปัสสนาภาวนา(ต่อ) เพื่อให้บรรลุเป็นพระ สกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ได้ ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อเช่นนี้ เพียงแต่พิจารณานามธรรมอย่างเดียวก็ได้ ไม่จำต้องพิจารณารูปธรรมอีกด้วย เพราะ รูปธรรมนั้นได้พิจารณามาแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นนั้น

๑๑. โสดาปัตติผลบุคคล ๑ สกทาคามิผลบุคคล ๑ รวมอริยะ ๒ บุคคลนี้ เฉพาะที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา เมื่อถึงกาลกิริยาแล้วก็อาจจะมาเกิด (โดยอำนาจ ปฏิสนธิ) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ อีกได้

แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฌานด้วย ก็ไปเกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ได้ในรูปภูมิ ๑๐ (เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑) และอรูปภูมิ ๔ ตามชั้นฌานที่ตนได้

เฉพาะโสดาปัตติผลบุคคล สกทาคามิผลบุคคล ที่เป็นรูปพรหมหรืออรูปพรหม อยู่แล้ว จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย

๑๒. อนาคามิผลบุคคล ๑ เกิดได้(โดยอำนาจปฏิสนธิ) ดังนี้ คือ

อนาคามิผลบุคคลที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา แม้ในชาติที่บำเพ็ญเพียรภาวนา ธรรมจนบรรลุเป็นอนาคามิผลบุคคลนั้น จะไม่ได้เจริญสมถภาวนาด้วย คือไม่ได้ทำ ฌานเลยก็ตาม แต่ก่อนที่จุติจิตจะเกิดคือในชวนมรณาสันนวิถี ฌานจิตที่ได้เคย บำเพ็ญมาแล้วแต่ชาติปางก่อนโน้นครั้งหลังที่สุดก็จะเกิดขึ้นก่อน แล้วจุติจิตจึงจะ เกิด เมื่อจุติแล้วก็ต้องปฏิสนธิเป็นพรหมชั้นนั้น ๆ กล่าวอย่างธรรมดาสามัญก็ว่า พระอนาคามีที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมแน่นอนไม่กลับ มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย เพราะพระอนาคามีนั้นประหารกามราคะ และ พยาปาทะได้เด็ดขาดสิ้นเชิงแล้ว

ถ้าอนาคามิผลบุคคลผู้นั้นได้ถึงปัญจมฌานด้วย ก็ไปเกิดในสุทธาวาสภูมิ โดย อำนาจปฏิสนธิแต่อย่างเดียว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ภูมิกับบุคคล

๑. อบายภูมิ ทั้ง ๔ ภูมิ เป็นที่เกิดของทุคคติบุคคล บุคคลเดียวเท่านั้น

๒. มนุสสภูมิ ๑ และจาตุมมหาราชิกาภูมิ ๑ รวม ๒ ภูมิ เป็นที่เกิดของ ๑๑ บุคคล (เว้นทุคคติบุคคล ๑)

๓. เทวภูมิ อีก ๕ ภูมิ ได้แก่ ดาวดึงส์, ยามา, ดุสิต, นิมมานรตี และ ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นที่เกิดของ ๑๐ บุคคล คือ ทวิเหตุกบุคคล ๑ ติเหตุกปุถุชน ๑ และอริยบุคคล ๘ (เว้นทุคคติบุคคล และ สุคติบุคคล)

๔. รูปภูมิ ๑๐ ภูมิได้แก่ ปฐมฌานภูมิ ๓, ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, และเวหัปผลาภูมิ ๑, เป็นที่เกิดของ ๙ บุคคล คือ ติเหตุกปุถุชน ๑, อริยบุคคล ๘

๕. อสัญญสัตตภูมิ ๑ ภูมิ เป็นที่เกิดของ สุคติอเหตุกบุคคล ๑ คือ มีรูป ปฏิสนธิอย่างเดียว

๖. สุทธาวาสภูมิ ทั้ง ๕ ภูมิเป็นที่เกิดของ ๓ บุคคล คืออนาคามิผลบุคคล ๑ อรหัตตมัคคบุคคล ๑ อรหัตตผลบุคคล ๑

๗. อรูปภูมิ ทั้ง ๔ ภูมิเป็นที่เกิดของ ๘ บุคคลคือติเหตุกปุถุชน ๑ อริยบุคคล ๗ (เว้นโสดาปัตติมัคคบุคคล ๑)

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร