วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 20:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. จิตที่มีอารมณ์ได้อย่างเดียว มี ๒๘ ดวง

จักขุวิญญาณจิต ๒ มีอารมณ์ คือรูปารมณ์ที่เป็นปัจจุบันแต่อย่างเดียว

โสตวิญญาณจิต ๒ มีอารมณ์ คือสัททารมณ์ที่เป็นปัจจุบันแต่อย่างเดียว

ฆานวิญญาณจิต ๒ มีอารมณ์ คือคันธารมณ์ที่เป็นปัจจุบันแต่อย่างเดียว

ชิวหาวิญญาณจิต ๒ มีอารมณ์ คือรสารมณ์ที่เป็นปัจจุบันแต่อย่างเดียว

กายวิญญาณจิต ๒ มีอารมณ์ คือโผฏฐัพพารมณ์ที่เป็นปัจจุบันแต่อย่างเดียว

อากาสานัญจายตนจิต ๓ มีอารมณ์คือ กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติ

อากิญจัญญายตนจิต ๓ มีอารมณ์คือ นัตถิภาวบัญญัติ

วิญญาณัญจายตนะ กุสล ๑ วิบาก ๑ มีอารมณ์ อากาสานัญจายตนกุสล ที่เคยเกิดมาแล้วแก่ตน ในภพนี้หรือภพก่อน แต่อย่างเดียว

โลกุตตรจิต ๘ มีอารมณ์ นิพพาน แต่อย่างเดียว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 15 ธ.ค. 2010, 11:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. จิตที่มีอารมณ์ได้ ๒ อย่าง มี ๒ ดวง

วิญญาณัญจายตนกิริยาจิต ๑ มีอารมณ์ อากาสานัญจายตนกุสลที่เคยเกิดมา แล้วแก่ตนในภพนี้หรือภพก่อน ๑, มีอารมณ์ อากาสานัญจายตนกิริยาที่เคยเกิดแล้ว แก่ตนในภพนี้ ๑

เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยาจิต ๑ มีอารมณ์ อากิญจัญญายตนกุสล ที่เคย เกิดมาแล้วแก่ตนในภพนี้หรือภพก่อน ๑, มีอารมณ์ อากิญจัญญายตนกิริยาที่เคยเกิด มาแล้วแก่ตนในภพนี้ ๑

๓. จิตที่มีอารมณ์ได้ ๕ อย่าง มี ๓ ดวง

มโนธาตุ ๓ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ มีปัญจารมณ์ ได้แก่ รูปารมณ์

๔. จิตที่มีอารมณ์ได้ ๖ อย่าง มี ๑๒ ดวง

หสิตุปปาทจิต ๑ ตทาลัมพนจิต ๑๑ มีอารมณ์ คือ อารมณ์ทั้ง ๖ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

๕. จิตที่มีอารมณ์ได้ ๑๒ อย่าง มี ๓ ดวง

รูปาวจรปัญจมฌาน ๓ มีอารมณ์ คือ กสิณ ๑๐, อานาปาณสติ ๑, อุเบกขา พรหมวิหาร ๑

๖. จิตที่มีอารมณ์ได้ ๑๔ อย่าง มี ๙ ดวง

รูปาวจร จตุตถฌาน ๓

รูปาวจร ตติยฌาน ๓

รูปาวจร ทุติยฌาน ๓

มีอารมณ์ คือ กสิณ ๑๐, อานาปาณสติ ๑, เมตตา กรุณา มุทิตา ๓

๗. จิตที่มีอารมณ์ได้ ๒๕ อย่าง มี ๓ ดวง

รูปาวจร ปฐมฌาน ๓ มีอารมณ์ คือ กสิณ ๑๐, อสุภะ ๑๐, กายคตาสติ ๑, อานาปาณสติ ๑, เมตตา กรุณา มุทิตา ๓

อารมณ์ของ เมตตา คือ ปิยมนาปสัตวบัญญัติ

อารมณ์ของ กรุณา คือ ทุกขิตสัตวบัญญัติ

อารมณ์ของ มุทิตา คือ สุขิตสัตวบัญญัติ

อารมณ์ของ อุเบกขา คือ มัชฌัตตสัตวบัญญัติ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 14 ธ.ค. 2010, 22:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เจตสิก กับ อารมณ์

ปรมัตถธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นั้น จิตและเจตสิก เป็นธรรมที่รับรู้อารมณ์ได้ แต่รูป และ นิพพานไม่สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้เลย

จิตรับอารมณ์อย่างใด รู้อารมณ์อะไร เจตสิกที่ประกอบกับจิตนั้นก็รับอารมณ์ รู้อารมณ์อย่างเดียวกันนั้นเอง สมกับที่ว่า เอกาลัมพนะ แต่เมื่อกล่าวเป็นส่วนรวม แล้ว เจตสิกรับอารมณ์ได้ดังนี้

- เจตสิกที่รับปัญจารมณ์ ได้นั้นมี ๕๐ (เว้นอัปปมัญญา)

- เจตสิกที่รับธัมมารมณ์ ได้นั้นมี ๕๒ (ครบจำนวนเจตสิก)

- อกุสลเจตสิก ๑๔ รับอารมณ์ ๖ ที่เป็นโลกียและบัญญัติ

- อิสสาเจตสิก ๑ รับอารมณ์ ๖ ที่เป็นพหิทธะ

- โลกีย วิรตี ๓ รับอารมณ์ ๖ ที่เป็นกามธรรม

- โลกุตตร วิรตี ๓ รับอารมณ์ ธัมมารมณ์ ที่เป็น นิพพาน แต่อย่างเดียว

- อัปปมัญญา ๒ รับอารมณ์ ธัมมารมณ์ ที่เป็น สัตวบัญญัติ และเป็น พหิทธอารมณ์ด้วย

ส่วนเจตสิกที่เหลืออีก ๓๓ ดวง คือ

- อัญญสมานาเจตสิก ๑๓

- โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙

- ปัญญาเจตสิก ๑

รับอารมณ์ ๖ ได้ทั้งที่เป็นโลกียโลกุตตร อดีต อนาคต ปัจจุบัน กาลวิมุตตะ อัชฌัตตะ และ พหิทธะ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 14 ธ.ค. 2010, 22:20, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2010, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 16:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
.


ฮื้ออออ...เห็นท่านชี้แจงมาตั้งยาว...

แล้ว...อันนี้...อะไรเล่า...ฮื้ออออ.... :b12:

ท่านศุภ...ท่านมีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย...
เอกอนอยากรู้จัง...ว่า...การถึงที่สุดแห่งทุกข์...นั้น...
นักรบผู้นั้น...เหลืออะไรติดตัว...
...
ฮื้ออออ...ท่านนักรบผู้มีนามว่า ศุภฤกษ์ ...
...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าเพิ่งแยกเขี้ยว เงื้อดาบ...ใส่เอกอน...
เพียงเพราะเห็น...เงาแห่ง "มหายาน" ทอดอยู่...
...
ท่านตัดหัวเงาไม่ได้หรอก...
...
แต่...เมื่อไรที่ท่านเห็นสิ่งที่เป็นปัจจัยให้เกิดเงานั้นออก...
...
หัวท่านก็หลุดจากบ่าซะแล้ว...
...
...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็อริยสาวกทั้งหลายเหลืออะไรติดตัว พวกผมก็เหลืออย่างนั้นแหละครับ ... ตอนนี้พอมีเวลาว่างๆ บ้าง ก็มาทบทวนปริยัต ก็ไม่ได้มีอะไรมาก บางทีก็ต้องหาคำอธิบายสิ่งที่เรายังไม่รู้ เหมือนอยู่ดีๆ มีคนเอาอะไรก็ไม่รู้ใส่ปากเรา รสก็ไม่เคยสัมผัส รูปร่างหน้าตาก็ไม่คุ้นไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันหน่อย

ก็ไม่ได้ต่อสู้อะไรนะครับ มีโอกาสแสดงธรรมตามธรรม มันก็ต้องมีไตรเหตุบุคคลมาได้อ่านบ้าง ก็ทำไป ตามสัญญาในหัวใจ ... จายยยยสั่งม้าาาาา

คนที่นิยมสมถะ คือ ปรุงแต่งอารมณ์ด้วยอุเบกขา ชวนะจะเสพอุเบกขารมณ์ (ไม่ใช่ปัญญา เป็นอุเบกขาเวทนา) เมื่อเกิดวิบากขึ้น อุเบกขาก็จะกลับมาสั่งเขาหรือมาเป็นนิสัยของคนผู้นั้น แปลง่ายๆ ว่า คนที่ชอบนิ่งซื่อบื้อ ความนิ่งซื้อบื้อก็จะกลับมาสั่งเขา เขาผู้นั้นปกติก็จะนิ่งซื่อบื้อเหมือนตอไม้ ... ดูโดยผิวเผิน จะเห็นว่าเป็นคนนิ่งๆ สงบ ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่ทำร้ายใคร ดูเป็นคนดี ฯ เป็นบุคคลิกของฤาษี ... ไม่ใช่ว่าเขาพวกนี้ไม่ดี แต่เขาดับทุกข์ให้ตัวเองไม่ได้

ถ้าเขาฝึกทุกทาง รู้เห็นอะไรก็บอกตนเองว่า "ช่างมันเถอะ" ช่างมันเถอะก็จะมาเป็นนิสัยเขา... นิ่ง ซื่อบื้อ เป็นตอไม้

ถ้าฝึกทางใจทางเดียว ทางอื่นไมฝึก ก็จะชอบปลีกวิเวก หาที่สงบ หลบทุกข์อยู่หลังความสงบทางใจ รู้เห็นอะไรก็ไม่มีความสุข เพระหยุดปรุงแต่งไม่ได้ แรกๆ ก็หนีเข้าไปในห้องพระ วันหยุดก็จะไปตามสำนักปฏิบัติสมถะ สุดท้าย พออายุมากๆ ไม่มีกิจทางสังคม ก็จะหนีสังคม นุ่งขาวห่มชาว ไปอยู่ตามป่าตามเข้า หนีผสัสสะ หนีสังคมไปเป็นฤาษี ก็คือ พาตัวเองออกนอกศาสนาพุทธโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...

แล้วยังไงที่เรียกว่า มหายาน ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 17:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็อริยสาวกทั้งหลายเหลืออะไรติดตัว พวกผมก็เหลืออย่างนั้นแหละครับ ...

:b1:
ดูแลเพื่อน ๆ ทุกคนด้วยนะ...เอกอนยังคงนึกถึงพวกเขาทุกคน...


ตอนนี้พอมีเวลาว่างๆ บ้าง ก็มาทบทวนปริยัต ก็ไม่ได้มีอะไรมาก บางทีก็ต้องหาคำอธิบายสิ่งที่เรายังไม่รู้ เหมือนอยู่ดีๆ มีคนเอาอะไรก็ไม่รู้ใส่ปากเรา รสก็ไม่เคยสัมผัส รูปร่างหน้าตาก็ไม่คุ้นไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันหน่อย

:b1:
ท่านยังคงต้องใส่บาตร อยู่ หรือไม่...
ใส่เพราะอะไร...
ทำไม...
อย่างไร...
บาตร...กับใจท่านตอนนี้...มีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร...
อาจารย์...กับคำสอนของอาจารย์...กับใจท่านตอนนี้...มีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร...
...
ท่านไม่ใช่คนที่จะซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังใคร...นะ


ก็ไม่ได้ต่อสู้อะไรนะครับ มีโอกาสแสดงธรรมตามธรรม มันก็ต้องมีไตรเหตุบุคคลมาได้อ่านบ้าง ก็ทำไป ตามสัญญาในหัวใจ ... จายยยยสั่งม้าาาาา

:b12: :b12:
ใช่...เอกอนก็เข้าใจเช่นนั้นล่ะ...
ไอ้อาการ...จายยยยสั่งม้าาาาาา...ของท่านน่ะ


:b1:
...และเอกอนก็เห็นว่า...
ท่านไม่ใช่คนที่จะซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังใคร...
ท่านเป็นตัวของตัวเองได้ดีกว่าการห่มตัวเองด้วยเครื่องนุ่งของอาจารย์...


แล้วยังไงที่เรียกว่า มหายาน ...

อิ อิ ม่ายยยยู๊....เอกอนไม่รู้จัก...มหายาน...
แต่ลักษณะการใช้ภาษาของเอกอนมัก...ถูกมองไปในทางเซน ทางมหานิกายได้ไม่ยาก...
เพราะ...เอกอนไม่ถนัดใช้ภาษาตามแบบที่ทางเถรวาทใช้กัน...หน่ะ...
...
และ...ก็ยังเคยโดนผู้ปฏิบัติเอาไม้กวาดออกมาวิ่งไล่ตี...หง่ะ...อิ อิ
...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 18:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้พอมีเวลาว่างๆ บ้าง ก็มาทบทวนปริยัต ก็ไม่ได้มีอะไรมาก บางทีก็ต้องหาคำอธิบายสิ่งที่เรายังไม่รู้ เหมือนอยู่ดีๆ มีคนเอาอะไรก็ไม่รู้ใส่ปากเรา รสก็ไม่เคยสัมผัส รูปร่างหน้าตาก็ไม่คุ้นไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมกันหน่อย

ท่านคงเข้าใจ...
รูปแบบการสอนแบบการบันทึกโปรแกรมนั้น...
ยังเป็นสิ่งที่...ผู้เดินตามแบบแผนภาษา...เห็นภาพไม่ออก...

พอดีเอกอนไม่ได้ใช้วิธีนั้น...แต่วิธีที่เอกอนใช้...มันมีการไปแตะโครงสร้างนั้น...
กระบวนการที่เกิดภายใต้การปฏิบัติของเอกอน...ออกจะเหมือนปฏิกริยา...ที่
อ๊อกซิเจน จ๊ะเอ๋ กับ ไนโตรกลีเซอไรด์...

นั่นคือ...ทำไม...พระพุทธองค์...
มักจะใช้..."ไฟ" "การเผาไหม้" ... มาใช้กับสภาวะบางอย่าง...

แต่เมื่อกล่าวถึง...สภาวะอีกอย่าง...พระองค์ก็ใช้การเปรียบเปรยแตกต่างกันไป...

อ่านพระไตร...อย่างคิดว่า...นั่นคือ...ท่านกำลังพยายามทำความเข้าใจภาษา...
แต่ให้ทำความเข้าใจว่า ...นั่นท่านกำลังอ่านสิ่งที่ปรากฎใน "..." ของพระพุทธองค์...นะ...
....

:b12: ....



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรม เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน ... เมื่อรู้เองเห็นเองแล้ว ก็ไม่ต้องไปเชื่อใครในคำสอนของพระศาสดา ... จากนั้นก็เรียกผู้คนให้เข้ามาดู เข้ามาศึกษา ใครรู้ได้เห็นได้ ก็พ้นทุกข์ได้

ผมไม่ได้เชื่ออาจารย์สินธพเลย ครั้งแรกที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ถึงต้องไปอ่านพระไตรปิฏก ๓ รอบ อ่านมิลินทปัญหา อ่านอภิธรรมมัตถสังคหะ และทดลองปฏิบัติอีก ๑ ปี จนสุดท้ายถึงรู้ว่า อะไรเป็นอะไร อาจารย์สินธพจึงเป็นสัตตบุรุษที่ผมพบคนแรกในชาตินี้ ท่านจึงเป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพ ทุกวันนี้ผมก็ปฏิบัติตามที่ได้ศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฏก มีโอกาสก็ไปเสวนาธรรมกับท่าน เพราะผู้ที่ได้อริยะและต้องด้วยวิโมกข์ ๘ มีอยู่เพียง ๒-๓ ท่านในโลกตอนนี้

ที่ต้องอ่านเพราะเป็นคนคิดว่าตัวเองรู้มามาก ศึกษามามาก ความสงสัยจึงมีมาก และปกติก็อยู่กับการค้นคว้าวิจัย คนที่ไม่อ่านแล้วปฏิบัติเลยไปถึงใหนต่อใหน ตอนนั้นผมก็ยังไม่ถึงใหนเล้ย

สาวกต้องรู้ตาม ถ้าพยายามรู้เองเห็นเอง ก็คือการพยายามฝึกตนเองให้เป็นพระพุทธเจ้านะครับ

และพระพุทธองค์สอนว่ากิเลสเหมือนไฟ ท่านสอนเฉพาะกับพวกบูชาไฟ (พวกชลิฏ) ไม่ได้สอนผู้อื่น

อย่างไรก็ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ผมเป็นห่วงท่านมากกว่า

ใส่บาตรก็ทำเป็นปกติ พระที่บ้านออกบิณทบาตรอาทิยต์ละครั้ง (ทั้งวัดมีพระ ๒ รูป) บางทีก็ต้องขับรถออกไปตลาดต่างหมู่บ้าน ที่มีจะพระมาบิณทบาตรหลายรูป โดยเฉพาะวัดพระบาตรตากผ้า หลังๆ นี้ตื่นชักจะไม่ค่อยทัน แต่แม่บ้านไมค่อยจะพลาดเรื่องใส่บาตร เรื่องนี้เป็นพุทธประเภณี ชาวบ้านแถวนี้ปกติก็ไม่ใส่บาตร พอเห็นเราใส่ ก็พากันมาใส่บาตร เป็นการส่งเสริมทั้งทางทายกกับปฏิคาหก

ที่ไม่แสดงชื่ออาจารย์ เพราะบางคนไปปรามาสท่านด้วยความไม่รู้ ผู้นั้นก็ลำบาก หลังๆ ก็ต้องเน้นที่ความจริง เน้นพระธรรม ไม่แสดงตัวบุคคล ได้แต่แสดงธรรมตามธรรม ขนาดบางทีบอกว่ามาจากพระไตรปิฏก เป็นพระพุทธพจณ์ ยังมีด่าสวนกลับมาเลยครับ ... จะช่วยคนให้พ้นทุกข์ ไม่ได้กะจะถีบส่งให้ลงนรกเร็วขึ้น ... แต่ก็มีพลาดไปหลายราย ^_^'

เซ็น เป็นมหายาน เป็นพราหมณ์ ไม่ใช่พุทธนะครับ อย่าเข้าใจผิด ถือเป็นลัทธิเดรถีรย์ การสอนเชิงตรรกปรัชญาเป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ไม่ส่งเสริม เพราะจะทำให้ตีความแตกออกไปเรื่อยๆ หาที่จบสิ้นไม่ได้ กลายเป็นทะเลาวิวาทได้ พระพุทธองค์ให้สรุป สอนสิ่งที่ยากให้ง่าย ไม่ใช่ไปอธิบายจนเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากไป ท่านจึงให้สาวกรุ่นหลัง แสดงธรรมตามธรรม ได้อย่างเดียวเท่านั้น ถ้ารู้เรื่องก็คือรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องก็คือไม่รู้เรื่อง มันเป็นไปตามกรรม

เพราะตามหลักอภิธรรม คนสั่งตัวเองไม่ได้ ใจ สั่ง กาย และมีข้อมูลสัญญาในใจ สั่งใจอีกที คนเราจึงมีชีวิตไปตามกรรม หรือเป็นไปตามบุญ บาป ที่เคยทำไว้ในอดีต สรุปง่ายๆ ว่า ชีวิตคนเราปัจจุบันเป็นเพียงผลจากอดีตทั้งสิ้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2010, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

อิ อิ ห่วงไป ห่วงมา ห่วงไม่มีที่สิ้นสุด... :b17: :b17:

เอกอนรับสภาพได้ท่าน...
อิ อิ เหมือน...สีทนได้น่ะท่าน... :b12:

ตะกี้...ก็มีเพื่อนมาแสดงความเป็นห่วง...มาเตือนว่าควรจะหยุดพักได้แล้ว...

ตะนั้น...ก็มีเพื่อนแสดงความเป็นห่วง...กลัวเราจะต้องทำงานเหนื่อย
ก็เลย...บอกให้เราอยู่เฉย ๆ ...เอางานไปช่วยทำให้...

ตะโน้น...ก็มีเพื่อนที่ทำงาน...กลัวเรายุ่งกับงาน...
ก็หอบงาน...ไปช่วยดูแลจัดการให้...
...

ก็จะดูแลตัวเอง...อย่างรอบคอบตามสภาพ...น่ะท่าน...อิ อิ...

ด้วยสติปัญญาตะติ้งโหน่ง...อิ อิ
ขอบคุณที่เป็นห่วง...รับทราบ...



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2010, 01:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
ดี..ดี..ดี
เป็นห่วงกันนี้..ดี

อ้างคำพูด:
เพราะผู้ที่ได้อริยะและต้องด้วยวิโมกข์ ๘ มีอยู่เพียง ๒-๓ ท่านในโลกตอนนี้

ไม่ดี..ไม่ดี..ไม่ดี...
เห็นอริยะน้อยไป..ไม่ดี

อ้างคำพูด:
เซ็น เป็นมหายาน เป็นพราหมณ์ ไม่ใช่พุทธนะครับ อย่าเข้าใจผิด ถือเป็นลัทธิเดรถีรย์

ไม่ดี..ไม่ดี..ไม่ดี
ยังไม่เห็นหัวใจแห่งพุทธะ..ไม่ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2010, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกบฯ คุณจะแยกกันอย่างไรระหว่าง ฌานลาภีบุคคที่เป็นโลกียฌาน กับกายสักขี? ท่านมีเฉลยในมือหรือเปล่า?

เมืองลำพูน เป็นเมืองฤาษี สร้างมาด้วยฤาษี ปัจจุบันมีฤาษี ทั้งฆราวาส และที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองเป็นพัน บ้างก็หลงตั้งตัวเป็นผู้วิเศษก็มี เรื่องตาทิพย์ หูทิพย์ อ่านใจคนได้ เห็นเหตุการ์ล่วงหน้า ฯ แทบจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเมืองนี้ รู้เองจริงๆ ก็มี ที่รู้เพราะมีเปรตครอบก็เยอะมาก พวกของใช้ฤาษี ตำหรับตำรา ยังมีอยู่เยอะ ถึงจะถูกเก็บไปเผาเป็นจำนวนมากที่สวนปรุง ก็ยังมีหลงเหลืออีก ...ถ้าเรื่องฤาษีต้องมาศึกษาที่ลำพูน

ฤาษีพุทธมีต้นกำเนิดในลำพูน ฤาษีตนแรกเป็นชาวบ้าน ชื่อนายสัญชัย เป็นอุบาสก ชอบทำสมาธิจนมีฤทธิ์ จนกษัตริย์สมัยนั้นตั้งเป็นฤาษีสัญชัย เป็นอาจารย์ของฤาษีสุกกทันตะ ฤาษีสุกกทันตะเป็นอาจารย์ของฤาษีสุเทวะ ฤาษีฤาษีสุเทวะมีลูกสิษย์ ๓ ตนคือ ฤาษีวะ (นายวัน) ฤาษียะ (นายยืน) ฤาษีคะ (นายคง) มีสำนักที่ดอยไซ ดอยติ ดอยสุเทพ ฤาษีทั้ง ๓ เป็นพี่เลี้ยงพระนางจามะเทวี พระนางสร้างวัดประจำให้อยู่รอบเมืองลำพูน คือ วัดมหาวัน ของฤาษีวะ วัดพระยืน ของฤาษียะ วัดพระคง ของฤาษีคง ตอนบั้นปลายชีวิต ฤาษียะฤาษีวะ ไปตั้งลำนักที่หมู่บ้านเล็กๆ ทาง อ.ลี้ หมู่บ้านเลยได้ชื่อใหม่ว่าบ้านดงฤาษี ที่วัดฤาษีพันตน เพราะมีผู้ที่เข้ามาบวชเป็นฤาษีนับพัน

พอมาเจอกายสักขีจริงๆ ท่ายถึงจะรู้ว่า มันแตกต่างกันอย่างไร ... เพราะทั้งโลก นับถอบหลังไป ๑๔๐๐ ปี มีแต่พวกที่ได้โลกียฌานเท่านั้น ... ยิ่งที่ได้รู้เองเห็นเอง ท่านก็ไม่ต้องไปเชื่อใครแล้ว

มหายาน จะให้ไปถือศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อที่จะได้มีปัญญารู้แจ้ง (ศีล สมาธิ โมกษะ) แปลว่า ไปเอาวัตรปฏิบัติของเจ้าชายสิทธถะมาปฏิบัติ คือ พยายามฝึกตนเองให้เป็นพระพุทธเจ้า อยากเป็นพระโพธิสัตว์ เจ้าชายท่านทิ้งวิธีนี้ไปนานแล้ว ที่ท่านรู้ก็คือสมาธิไม่มีปัญญามาดับทุกข์ ท่านก็ให้เอาปัญญานำหน้า ... ความว่างของเซ็น คือ ว่าง ไม่มีอะไรเลย เอาความว่างเป็นอารมณ์ ก็จะไปสุดที่โลกียฌานเท่านั้น พอท่านไปถึงได้เท่านั้น พวกท่านก็เข้าใจว่า นี่คือที่สุดแล้ว ... พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าถึงแต่อรูปภพ ก็คือ ยังไม่รู้ ยังหลับใหลอยู่ ยังไม่ตื่น

น้ำกับน้ำมัน ถ้าท่านแยกกันไม่ออก ท่านก็ยังห่างใกลกับสัจจะธรรม ยังถือว่าห่างใกลจากพระรัตนะไตร

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2010, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาษาที่ใช้ในแต่ละประเทศ ก็สร้างปัญหาให้กับการสืบต่อพระพุทธศาสนา ที่ท่านเลือกภาษาบาลี เพราะภาษานี้ไม่มีตัวเขียน มีแต่เสียงพูด คนไทยอ่านออกเสียง อิ-ติ-ปิ-โส ฝรั่งก็ออกเสียง ith-ti-pi-so ออกเสียงเหมือนกัน ความหมายเหมือนกัน ใช้ได้ด้วยกันทั้งโลก

ภาษาจีน ญี่ปุ่นโบราณ ฯ เป็นภาษาภาพ คือ วาดรูปอักขระเหมือนกัน ให้ความหมายเหมือนกัน รู้เหมือนกันทั้งภูมิภาค แต่อ่านออกเสียงไม่เหมือนกันแล้วแต่ภูมิภาค ภาษาแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับการรักษาความหมายดั้งเดิมของภาษาไว้ได้ เวลาไปแสดงธรรม ต้องใช้ภาษาพูด ทำให้มีปัญหาในการสื่อสาร

ศาสนาที่เผยแพร่ไปในประเทศจีน ญี่ปุ่น จึงไม่สามารถคงพระสัทธรรมให้อยู่ได้ ถูกความเห็นของปุถุชนเข้าไปปะปน โดยเฉพาะพวกนักปราชญราชบัณฑิต พวกนี้แหละตัวดี สุดท้าย ก็กลายเป็นศาสนาอะไรก็ไม่รู้ เอาความเห็นไปจับคำสอนของพระพุทธเจ้า จนสุดท้ายไปเขียนว่าพระมีเมียได้

ในประเทศไทย ศาสนะทูติที่มาเผยแพร่ศาสนาที่นครปฐม ก็ไม่สามารถทำให้ศาสนาดำรงอยู่ได้นาน เพราะในตอนนั้น ภูมิภาคนี้ไม่มีตัวเขียน ต้องใช้การสอนแบบปากต่อปาก เมื่อเวลาผ่านไป ขาดผู้ศึกษาปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมจริงๆ พระสัทธรรมก็เลือนหายเหมือนกัน

ในดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นดินแดนที่มีตัวเขียน คือ ตัวเมือง ที่ปัจจุบันเรียกว่า ตัวลานนา หรือ ตัวธรรม จึงเป็นดินแดนที่พระสัทธรรมดำรงค์อยู่ได้นานที่สุด ถึงแม้จะไม่มีผู้สืบทอด คำสอนก็ยังคงมีบันทึกให้คนรุ่นหลังศึกษาต่อได้ ตัวเมืองที่ภาคเหนือใช้บันทึกพระไตรปิฏก ใช้บันทึกเสียงพูดบาลี ไม่ได้มีการแปล เพราะฉะนั้น คำสอนจึงยังอยู่ครบ แต่อยู่ในใบลานชุบทองคำมากว่า ๑๔๐๐ ปี ไม่ได้ฝังอยู่ในจิตใจของผู้ใดเลย

ตลอดระยะเวลาที่พระสัทธรรมได้เลือนหาย พระวินัยยังคงอยู่ พุทธจึงได้ชื่อว่า ยังตั้งอยู่ในสังคมโลก จึงมีปรากฏแต่สมมุตติสงฆ์มาโดยตลอด

มีนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ดร.สตีเฟ่นลีฟ เป็นผู้ศึกษาเรื่องราวของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้พบหลักฐานหลายอย่าง แต่ไม่ได้เอามาเผยแพร่ เพราะถ้าเอามาเผยแพร่ จะปรากฏว่า เผ่าของพระเจ้าอโศกฯ ไม่ใช่อินเดีย ไม่ใช่มองโกล แต่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ปกครองอินเดียมาหลายสมัย เป็นเผ่าไทย เผ่าเดียวกันคนไทยปัจจุบัน มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง คือ ตัวเมือง แปลว่า เผ่านี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนพวกอังกฤษอีก วัฒนธรรมหลายๆ อย่าง ที่ฝรั่งภูมิใจนักหนา ก็มาจากเผ่าไทยที่อยู่ใต้ภูเขาหิมาลัย

พวกอินเดียก็เผาประวัติศาสตร์หน้านี้ทิ้ง เพราะถือเป็นความอับอาย นักโบราณคดีของอินเดียคิดว่า พระเจ้าอโศกฯ เป็นมองโกล ชาวอินเดียไม่ชอบมองโกล จึงพยายามลบเรื่องนี้ไม่ให้ผู้ใดได้ล่วงรู้

ดร.สตีเฟ่นลีฟ ยังพบหลักฐานว่า คำว่า God ซึ่งเดิมเขียนว่า Koda มาจากคำว่า Kodama หรือชื่อพระพุทธเจ้าโคตมะ และมีหลักฐานว่าเยซูมีชีวิตอยู่ในวัดมหายานที่เคสเมียถึง ๓ ปี ก่อนจะพยายามเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ากลับไปสอนผู้คนที่บ้านเกิดในเยลูซาเล็ม แต่ไมสำเร็จ จนกลายมาศาสนาคริสในปัจจุบัน เพราะถูกพวกโยฮันดัดหลัง บันทึกยังคงมีปรากฏในเอ็นไซโคพีเดียของสหประชาชาติ

ยังมีเรื่องราวอีกเยอะ ที่ชาวไทยจะได้รู้ว่า จริงๆ เผ่าไทยยิ่งใหญ่แค่ใหนในอดีต รอเวลาที่เหมาะสม รอให้พร้อมด้วยเหตุปัจจัย ความจริงก็จะปรากฏพร้อมกับการตั้งขึ้นใหม่ของศาสนาพุทธในดินแดนสุวรรณภูมิ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2010, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
คุณกบฯ คุณจะแยกกันอย่างไรระหว่าง ฌานลาภีบุคคที่เป็นโลกียฌาน กับกายสักขี? ท่านมีเฉลยในมือหรือเปล่า?

:b16: :b16:
คุณธรรมเป็นของละเอียดเกิดขึ้นที่ใจ...ก็ต้องใช้ใจที่ละเอียด..ไปดู

อยากรู้ว่าใครถึงไหน...ต้องทำให้เราไปถึงตรงนั้นด้วย..จึงจะเห็นจริง

ต่ำกว่าเรา..เรารู้
เสมอเรา..เรารู้
สูงกว่าเรา..เรารู้..แต่ไม่รู้ว่าถึงไหน

แต่ที่สำคัญ..เมื่อรู้แล้ว..ก็ให้รู้พร้อมกับมีพรหมวิหารธรรม..อย่าให้มานะ..กินหัวใจเรา

อ้างคำพูด:
น้ำกับน้ำมัน ถ้าท่านแยกกันไม่ออก ท่านก็ยังห่างใกลกับสัจจะธรรม ยังถือว่าห่างใกลจากพระรัตนะไตร


ความรู้ความสามารถของใจ..
กับ..
คุณภาพของใจ..

ไม่ใช่จะเป็นเรื่องเดียวกัน..เสมอไป

นึกไปถึงคุณป้า...แกไม่รู้อะไรเลยว่า..ใครอริยะหรือไม่อริยะ..แต่ไม่อาจจะนับว่าแกห่างไกลจากพระรัตนไตรได้เลย..ความศรัทธาแกมีสูง..มาก....ศรัทธาจริต

:b1: :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร