วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2011, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ท่านเจโตวิมุตติ เขียน:
ในความคิดผมศาสนาพุทธตีความที่เจตนา
คูณมีเจตนาอะไรที่บอกเล่า ถ้าแค่อยากอวดให้ใครๆรู้และชื่นชม
ถึงได้มาจริงก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์ มีแต่โทษ

ในทางกลับกันถ้าคุณมีเจตนาที่จะแนะนำใครสักคนให้ปฎิบัติได้ถูกต้องขึ้น
ก้าวหน้าขึ้นก็น่าจะบอกเล่าได้ มันเป็นธรรมทาน ที่ยิ่ง


:b8: :b8: :b8:

ขอขอบพระคุณในประสบการณ์การปฏิบัติ
ที่ท่าน "เจโตวิมุตติ" นำมาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมวิทยาทาน

และขออนุโมทนาสำหรับการบวชในบวรพระพุทธศาสนา
:b8: ของท่านด้วยค่ะ...สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ครั้งแรกที่เข้ามาอ่าน...เข้าใจหนึ่งเปอร์เซนต์จากที่ไม่เข้าใจอะไรเลย
และอ่านได้แค่สองสามบันทัด ตาก็พร่า ลาย มัว...ก็เลยผ่านไป

วันนี้ตามรอยคุณโรสเข้ามา...ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจ จนไม่อาจละสายตาไปจากข้อความได้
แม้ตาจะยังคง พร่า ลายและมัวเช่นเดิม...เข้าใจมากขึ้น...แม้จะเข้าใจไม่ทั้งหมด
ทำให้รู้สึก "อยาก" ปฏิบัติให้ถึงที่สุด แม้ความ"อยาก" จะเป็นกิเลส แต่ก็ปนด้วยศัทธา
เหมือนที่คิดและสงสัยในใจตลอดมาว่า...ที่การปฏิบัติเราไม่ค่อยจะก้าวหน้า หรือก้าวหน้า
ค่อนข้างช้า...ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ "ศิล" ยังไม่บริสุทธิ์...วันนี้แจ้งแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
และก็ตั้งใจไว้ว่า...ปีนี้จะพยายามรักษาศิลห้าให้เคร่งครัดมากกว่าที่ผ่านมา...เพื่อหนทาง
ที่หมายในภายภาคหน้า....สาธุ :b8: ...นำมาเล่าอีกนะค่ะมีประโยชน์มาก....ติดตามอยู่ค่ะ

อนุโมทนา :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: อยากจะกล่าวเรื่องศีลสักนิด เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน หัวใจของศีลมันอยู่ที่เจตนาตัวเดียว เราลองมานึกเรียงลำดับกันดู คนเริ่มเข้ามาหาธรรมมะครั้งแรกใช้คำว่าถือศีล อาการของคนถือศีลมันก็เป็นอย่างหนึ่ง เหมือนใครพึ่งให้ของมีค่ามา ได้มาก็ถือไว้ ประคองไว้ ใจจดใจจ่ออยู่กับมัน กลัวมันจะหล่นหลุดมือตกแตก วิตกระวังไปสารพัด มันจึงเรียกว่าเป็นการถือของหนัก มือก็ไม่ว่าง ทำอะไรก็ไม่ถนัด จิตก็ไม่ค่อยสงบ เพราะต้องถือ ต้องระวังมาก พอปฏิบัติธรรม ไปได้สักระยะหนึ่ง จิตใจนิ่งขึ้น มีความเสพคุ้น กับคุณและโทษของการมีศีลและการผิดศีล ตอนนี้ ไม่พะวงกับศีลมากแล้ว ศีลเป็นของเราแล้ว วางศีลไว้ข้างๆกายเพียงรักษามันไว้ อย่าให้ใครมาโขมยไป ตอนนี้เรียกว่าเราเพียงรักษาศีลไว้ ไม่ตองหนักไม่ต้องถือไว้แล้ว มันก็จะเบาขึ้นในกายในจิต ความวิตกกังวล นิวรณ์ต่างๆก็น้อยลง การปฏิบัติธรรมมันต้องการอานิสงฆ์ของศีลอย่างน้อยในระดับนี้ คือระดับที่จิตใจเริ่มนิ่งขึ้น ความวิตกกังวล ในกุศลและอกุศลลดน้อยลง เมื่อปฏิบัติก้าวหน้าขึ้น กิเลส อย่างหยาบ และกิเลสขั้นกลางสงบไปแล้ว คราวนี้ศีลทีวางไว้ข้างกายที่เคยรักษาไว้ มันจะเข้าไปอยู่ที่จิต ไม่ต้องรักษาแล้ว กลายเป็นคนมีศีล เป็นปกติ ไม่ต้องรักษาศีล แต่จะไม่ทำผิดศีลเลย เพราะคนที่ทำผิดศีลนั้นมันทำลงไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาซึ่งเป็นฝ่ายอกุศลฝ่ายเดียว ไม่มีกิเลสมาสั่งการแล้ว มันจึงไม่ผิดศีล อันนี้แหละเรียกว่าศีลปฏิบัติ คือมีขึ้นจากการปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้น มีปริศนาธรรมที่ครูบาอาจารย์กล่าวไว้ ว่าเมื่อเริ่มต้นปฏิบัติธรรม อย่างแรกต้องรักษาศีล แต่เมื่อปฏิบัติจนได้ผลระดับหนึ่งแล้ว ศีลนีแหละจะกลับมารักษาปกป้องเรา(ตัวผู้ปฏิบัติ) อันนี้เป็นเรื่องจริง คือสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้ที่มีบุญบารมีที่ใครๆก็คิดร้าย ทำร้ายได้ยาก รองจากพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็ มนุษย์มีศีลนี่แหละ อีกอย่างถ้ายังไม่เข้าใจชัดระหว่างคำว่าถือศีล กับมีศีล อยากจะขอยกตัวอย่างสักเรื่อง เช่นนายก.เป็นคนติดสุรา ใครสักคนแนะนำให้เริ่มถือศีลปฏิบัติธรรม เริ่มต้นเลย แม้นายก.จะปฏิบัติตามบัญญัติข้อห้ามสุราได้ แต่กายและจิต จะต้องซัดส่ายอย่างหนัก เพื่อจะไม่ล่วงศีลในข้อสุรา และอาจต้องใช้เวลานานที่จะต้องรับรู้ด้วยจิต ถึงคุณและโทษของสุรา เวลาผ่านไปการปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นในระดับที่ว่า รู้คุณและโทษของสุราด้วยจิต ความอยากก็ดับลง จิตนิ่งขึ้น แม้เอาสุราชั้นดี ราคาแพงมาวางพร้อมตรงหน้า เขาจักไม่รู้สึกอยากดื่มมันแล้ว สักแต่ว่ารู้ว่ามันเป็นสุราเท่านั้น/ใครไม่เชื่อลองปฏิบัติให้ถึง แล้วมาเล่าสู่กันฟัง นี่ยังไม่เรียกบรรลุอะไร เพียงแต่ปฏิบัติได้ผลเกิดความรู้(วิชชา) และกิเลสเบาบางลงระดับหนึ่ง จึงไม่ถือเป็นการอวดอุตริมนุษย์ธรรมแต่อย่างใด.....เจโตวิมุติ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ใช่ค่ะท่าน...เข้าใจระหว่างคำว่า ถือ กับรักษาแล้ว
เป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าว...เมื่อก่อนนี้ถ้าตั้งใจว่าวันนี้จะถือศิล
ก็จะคอยระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา...กลัวเผลอไปเหยียบสัตว์เล็ก
กลัวเผลอไปหยิบของ ของคนอื่น...กลัวเผลอพูดไม่ตรงกับความจริง
(มิได้โกหก แต่พูดไม่จริง)......รู้สึกกว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน
มันช่างยาก และเหนื่อยเหลือเกิน...บางวัน บางครั้งก็ทำได้
ไม่ครบห้าข้อ...เพราะความเคยชิน ที่เผลอเรอ

แต่ตอนนี้แค่ตั้งสติว่า วันนี้อารธนาศิลแล้ว...เรื่องเหยียบสัตว์เล็ก
ไม่มีการเผลอ...พอเห็นก็จะรู้ทันทีว่าต้องทำอย่างไรที่จะไม่ทำอันตราย
พวกเขา...จะหยิบจะจับอะไร ถ้าไม่ใช่ของเรา ใจจะรู้และเว้นได้ทันที
ไม่มีลังเล ส่วนการพูด จะพูดน้อยลงเอง...ก่อนจะพูด ใจจะเตือน
ตัวเองและแยกแยะให้ทันทีว่า สิ่งนี้ควรพูดหรือไม่ควรพูด ไม่จำเป็นจะไม่พูด
หรือที่เคยเป็นคนเจื้อยแจ้ว ไร้สาระ...ก็จะรู้สึกเองว่า ถ้าไม่มีประโยชน์
ก็จะไม่พูดออกไป....ส่วนเรื่องสุรา ก็เป็นจริงตามนั้น คือระยะที่ตั้งใจ
ลด ละ เลิกใหม่ๆ ดูเหมือนจะเป็นการยากจังเลย...เพราะพอเราตั้งใจหยุด
ก็จะมีงานเลี้ยงบ้าง สังสรรค์บ้าง แล้วจะถูกขะยั้นขะยอ...ให้ร่วมวง..
ใหม่ๆจะลังเลนึกเข้าข้างตัวเองบ้างว่า นิดเดียวคงไม่เป็นไร?....
แต่เดี๋ยวนี้เห็นแล้วไม่มีความอยากหลงเหลือเลย เห็นโทษ พอเมาแล้วพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา
จะมีอาการปวดหัว ปวดท้อง ซึมเซา ฯลฯ ทำให้ทุกข์ในสังขารมากกว่าสุข
ส่วนข้อที่สาม ไม่ต้องพูดถึง ดับไปก่อนข้ออื่นๆ เพราะเห็นทุกข์ได้ชัดเจนที่สุด

มิได้เจตนาจะอวดอุตริว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนมีศิล" เพียงแต่เล่าตามความรู้สึก
ที่เป็นจริง...เพื่อสนับสนุนว่า การรักษาศิลได้นั้น ศิลจะกลับมารักษาเรา
ให้แคล้วคลาดจากการทำชั่วทั้งปวงได้ในขั้นต้น จริงๆ

ขอบพระคุณที่กรุณาสนทนาด้วย....หากท่านจะกรุณาเล่าประสบการณ์ต่างๆอีก
ก็จะเป็นการดี....เพราะประสบการณ์โดยตรงมักหาไม่ได้จากตำรา...ถือเป็น
วิชาเสริมที่ไม่ควรพลาด......อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2011, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ไม่ได้เข้ามาคุยเสียนาน เดี๋ยวจะหลงลืมกันไป ยังอยู่แต่ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นมาก เพราะมีคนแสดงกันมากอยู่แล้ว ช่วงหลังนี้ทุกข์จากสิ่งแวดล้อม หน้าที่การงาน ความคาดหวังจากคนอื่นที่มีจากเรามันมากขึ้น ความรับผิดชอบมันมากขึ้น ไม่รู้จะดับทุกข์อย่างไร นั่งอย่างเดียว มันสู้ทุกข์ไม่ไหว เพราะทุกข์นี้มันเป็นความวิตกกังวล ความว้าวุ่น ซึ่งเป็นสังโยชน์ในชั้นที่ละเอียดขึ้นมาอีก (ดับอยากกว่า โลภะ โทสะ โมหะ ของปุถุชน) ก็เลยหันมาเจริญสติ และเดินจงกลมเพิ่มบ้าง ทำลานจงกลมไว้ข้างบ้านเลยแอบเดินตอนทุ่ม-สองทุ่ม ก็ได้ผลดีคือจิตใจนิ่งขึ้น ความว้าวุ่น ความฟุ้งซ่าน กังวล ลดลง การเจริญสตินี้ก็เป็นเรื่องดี และทำง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยเวลา สถานที่ อุปกรณ์ แค่ กายกับใจ และกิจวัตรประจำวันนี้ก็ทำได้ บางคนอาจจะงง ว่ามันต่างกับการนั่งสมาธิตรงไหน ที่จริงมันอยู่ในเรื่องเดียวกันนั่นแหละ คือสติปัฏฐาน4 ให้มีสติระลึกรู้อยู่ในฐานใดฐานหนึ่งใน 4 ฐานอยู่เนืองๆ คือฐานกาย
ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม มันก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ใครจะก้าวหน้าไปแค่ไหน อย่างเช่นเรากำหนดลมหายใจ เขาเรียกอานาปานสติ ก็จิตระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ(ซึ่งภาษาธรรมเขาเรียกลมหายใจว่ากาย เรียกว่าตามรู้ความเคลื่อนไหวของกายลม)ซึ่งมันก็ทำให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะเหมือนกัน ทำให้มาก มันก็เกิดเป็นสมาธิ ส่วนการตามรู้อิริยาบทนั้น รู้สึกจัดอยู่ในหมวดที่เรียกว่ากายคตาสติปัฏฐาน ก็คือตามรู้อาการของกายเรื่อยไป แค่กำหนดรู้ คือตั้งแต่ตื่นนอน ลืมตาก้รุ้เลย เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน อาบน้ำ ถูตัว รู้หมด เป็นสายไป อันนี้จิตก็อยูกับปัจจุบันขณะเหมือนกัน ทำเสริมกับการนั่งจะได้ผลดีมาก อยากรู้เรื่องนี้ ตอนนี้เราพิมพ์หนังสือแจกอยู่กล่าวถึงเรื่องนี้ ไว้อย่างละเอียดปฏิบัติตามจริง พ้นทุกข์ได้จริง (ไม่ใช่เราเขียน อาจารย์ท่านหนึ่งไม่ประสงค์เปิดเผยนามเขียนไว้)ถ้าสนใจขอมาได้ ในกระทู้แจกหนังสือธรรมะหายาก...โดยเจโตวิมุติ/หัวข้อธรรมทาน...วันนี้คุยแค่นี้ก่อน/เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2011, 22:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็เลยหันมาเจริญสติ และเดินจงกลมเพิ่มบ้าง ทำลานจงกลมไว้ข้างบ้านเลยแอบเดินตอนทุ่ม-สองทุ่ม ก็ได้ผลดีคือจิตใจนิ่ง


:b8: :b8: :b8:

อาชีพเป็นฆราวาส...มีเรื่องให้ต้องยุ่งเกี่ยวมากจริง ๆ เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 02:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตายังเห็น หูยังได้ยิน ลิ้นยังรู้รส
สัมผัสยังรู้เรื่อง....ความทุกข์ย่อมไม่สิ้น
ทุกข์อยู่ทุกๆวันไม่มีเว้นเช่นกัน...จะดีขึ้นก็คือ
ไม่ทุรนทุราย เร่าร้อนเหมือนที่ผ่านมา
รู้แค่ว่าทุกข์จัง...เดี๋ยวก็หายไปเอง

เจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เรื่องนี้เมื่อก่อนเคยคิดแบบชั้นเดียวคือหนีเข้าป่าเหมือนพระวิปัสนาทั่วไป ความจริงถ้าปฏิบัติจริงๆ หนีเข้าป่ามันทำได้แค่สงบขั้นกลางเท่านั้น เพราะอยู่ป่ามันสงบภายนอก ก่อนแล้วสำรวมอายตนะทั้ง6เพื่อให้เกิดความสงบภายใน แต่สงบเพราะไม่มีอะไรมากระทบให้เกิดการปรุงแต่ง มันแค่สงบขั้นกลาง มันไม่มีเชื้อ ไม่มีเหตุ มันจึงสงบ สงบเพราะไม่มีเหตุ แต่ความสงบที่แท้จริง มันเป็นความสงบทั้งๆที่มีเหตุ ให้ปรุงแต่งนีแหละมันเป็นความสงบจากโลกที่วุ่นวายนี้แหละ มันมีเหตุ ให้เกิดทั้งทุกข์และสุขอยู่ เป็นปกติเลย แต่จิตนี้มันอยู่เหนือทุกข์และสุขเสียแล้ว มันจึงเป็นความสงบ อันนี้แหละเป็นความสงบขั้นสูงสุด หรือความสงบที่แท้จริง ...อันนี้ใครอ่านเข้าใจตามนี้จริงๆไม่โกหกตัวเองละก็ ...เห็นทางชัดแจ้งแล้ว เดินต่อไปพ้นทุกข์แน่
วันนี้พูดลึกมากไปแล้ว...../เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2011, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเจโตวิมุตติ เขียน:
:b42: เรื่องนี้เมื่อก่อนเคยคิดแบบชั้นเดียวคือหนีเข้าป่าเหมือนพระวิปัสนาทั่วไป ความจริงถ้าปฏิบัติจริงๆ หนีเข้าป่ามันทำได้แค่สงบขั้นกลางเท่านั้น เพราะอยู่ป่ามันสงบภายนอก ก่อนแล้วสำรวมอายตนะทั้ง6เพื่อให้เกิดความสงบภายใน แต่สงบเพราะไม่มีอะไรมากระทบให้เกิดการปรุงแต่ง มันแค่สงบขั้นกลาง มันไม่มีเชื้อ ไม่มีเหตุ มันจึงสงบ สงบเพราะไม่มีเหตุ แต่ความสงบที่แท้จริง มันเป็นความสงบทั้งๆที่มีเหตุ ให้ปรุงแต่งนีแหละมันเป็นความสงบจากโลกที่วุ่นวายนี้แหละ มันมีเหตุ ให้เกิดทั้งทุกข์และสุขอยู่ เป็นปกติเลย แต่จิตนี้มันอยู่เหนือทุกข์และสุขเสียแล้ว มันจึงเป็นความสงบ อันนี้แหละเป็นความสงบขั้นสูงสุด หรือความสงบที่แท้จริง ...อันนี้ใครอ่านเข้าใจตามนี้จริงๆไม่โกหกตัวเองละก็ ...เห็นทางชัดแจ้งแล้ว เดินต่อไปพ้นทุกข์แน่
วันนี้พูดลึกมากไปแล้ว...../เจโตวิมุติ


:b8: :b20: :b8:

:b8: สาธุ...คำกล่าวของท่านเป็นประโยชน์มากสำหรับเหล่านักปฏิบัติที่ยังเป็นผู้ต้องศึกษาอยู่
ขออนุโมทนาด้วยเจ้าค่ะ
ขอนิมนต์ /เชิญท่าน แบ่งปันประสบการณ์เพื่อเป็นธรรมวิทยาทานในโอกาสต่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ

(ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าท่านยังดำรงสมณเพศอยู่หรือไม่) :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: หลายคนคงพอทราบ ว่าขณะนี้ กำลังมีข้อโต้แย้ง บางเรื่องที่เกี่ยวกับเรา ขอความกรุณา ท่านที่จะไปโต้แย้งเพื่อเรา อย่าได้กระทำเลย เพราะเราวินิจฉัย ด้วยสติปัญญา แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปโต้แย้ง หนึ่ง จะขยายความขัดแย้ง ให้มีวงกว้างออกไป อีกหนึ่ง เราไม่เป็นไร เราพิจาณรา ก่อนคิด ก่อนพูด ก่อนทำเสมอ เราหงายได้ให้เขาตรวจสอบกันไป
......อีกอย่างการตรวจสอบว่าเราหงายได้จริงหรือไม่ กรุณาขีดวงให้อยู่ที่เราคนเดียว ระมัดระวังเรื่องที่จะพลั้งพลาด ไปจาบจ้วงครูบาอาจารย์เข้า เพราะสิ่งที่เราพุด เราปฏิบัติ นั้นด้วยดำเนินตามครูบาอาจารย์ เพียงไม่กี่ท่าน เช่น พระยาณโปนิกเถระ พระอุปติสสะเถระ ท่านพุทธทาส หลาวงพ่อชา หลวงพ่อพุธ และหลวงพ่อสุทัศน์ หลักๆมีเท่านี้
......เรื่องขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปนาสมาธิ ท่านที่สอนเรา คงไม่พ้น ท่านที่เราเอ่ยนามนี้แหละต้องไปค้นหากันดู เราคงไม่ได้คิด บัญญัติเอาเองแน่ เพราะเราประกาศชัดว่าเราไม่ยอมรับทฤษฏีใหม่ทางศาสนาอยู่แล้ว ...อุบกขาเสีย......เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ก่อนจะพูดต้องตรวจสอบภาวะจิตตนเองดูก่อน ขณะพูดให้มีสติกำกับ พูดแต่เรื่องมีประโยขน์เกื้อกูล
อันนี้คือหลักที่เราใช้มาตลอด ในกระดานนี้ จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เราโพสต์มา
1.เราไม่เคยคัดลอกพระคำภีร์มาอ้าง เพื่อสร้างความเชื่อถือ
2.ทุกครั้งที่พูดจบ มักจบด้วยคำว่าก็ไปใช้สติปัญญา พิจารณากันดู(คืออย่าพึ่งเชื่อให้ไปพิจาณราก่อน)
3.เราไม่กล่าวคำหยาบทุกกรณี
4.เมื่อใดพูดอะไรที่ต้องใช้ความจำ ถ้าจำไม่ได้แน่นอน จะต้องมีคำว่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจกำกับไว้(เพื่อดำรงค์ศีลให้บริบูรณ์
5.เราไม่เคยเอาเรื่องธรรมมะมาพูดคุยหยอกล้อ เพราะธรรมมะเป็นของสูง
6จะพูดเพาะเรื่องที่เรารู้เท่านั้น ไม่รู้บอกไม่รู้ ซึ่งส่วนมากเป็นความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ และคำสอนของครูบาอาจารย์ เพียงไม่กี่ท่าน(ไม่ขวนขวายไปเปิดคำภีร์มาสอนใคร)
7.ตั้งใจเข้ามาเพียงแชร์ประสบการณ์ และแนะนำเฉพาะบางท่านบางคน ที่มีศรัทธา ไม่ต้องการมาเป็นครูบาอาจารย์ใคร ไม่ต้องการสรรเสรรญเยิญยอ ไม่พยายามก่อเชื่อให้เกิดความยินดี-ยินร้ายแก่ตนเอง และผู้อื่น .....ต่อหน้าถัดไป/เจโตวิติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ที่นี้พอมีปัญหา คนไม่รู้มีเยอะกว่าคนรู้ ใครพูดถูกพูดผิด ก็จับประเด็นไม่ได้ ก็จะหาประเด็นมาจับผิดกัน
เช่นเรื่องชื่อ เจโตวิมุติมันก็เป็นแค่สมมุติบัญญัติ เราก็ไปแบกมันไว้ เวลาจะหาทางจับผิดเรา ก็ไปเปิดคำภีร์กันยกใหญ่ อย่างเช่นสมมุติบัญัติ บางคำที่พูดเกียวกับสมาธิ ที่เรากล่าวถึง แต่บางเรื่องบางอย่างที่คำภีร์กล่าวไว้แต่หน้าแรกๆ กลับไม่เข้าใจ จะยกตัวอย่างสัก 2 เรื่องก็ได้
1.อย่างเรื่ององค์แห่งศีลนี้ เอาศีล5 ข้อมุสา ส่อเสียดนี่ก็ได้ เวลาไม่ชอบใจเรา ก็มีเจตนากล่าวให้เราได้รับความเสียหาย(อันนี้จิตเป็นอกุศลแล้ว แต่ไม่รู้จัก) กล่าวลงในกระดานว่าตอนบวชเราบวชเสียข้าวสุก ที่เราโพสต์มานั้นปรุงแต่งล้วนๆ(กระทำการกล่าวส่อเสียดให้ร้ายแล้ว) เมื่อมีคนบางคนฟังมาไม่ตลอดแต่กลับเชื่อตามคล้อยตาม มีจิตคิดเกลียดเราแล้ว(ผลมันเกิดตามเจตนา) มันก็ครบองค์ศีล คือมีจิตคิดให้ร้ายเขา กระทำการให้ร้ายแล้ว ผลการให้ร้ายสำเร็จ ศีลมันก็ขาดทะลุไปแล้ว ศีล5ไม่รู้จัก รักษาไม่ได้..พูดสนทนา เรื่องนิพพาน..
2.ตัวอย่างอีกเรื่องคือเรื่ง ปัจจัตตังทุกคำภีร์ ทุกอาจารย์ กล่าวเหมือนกันหมดว่าศาสนาพุทธนี้เป็นปัจัตตัง ต้องปฏิบัติเอาเอง โดยมีคถาคต หรือครูบาอาจารย์ ที่มีความรู้จากการปฏิบัติ เป็นคนแนะนำ
อันนี้ ก็ตะแบงถามเราอีกว่าท่านเจโต คนสอนประวัติศาสตร์โรมัน ต้องเกิดในสมัยโรมันหรือเปล่า
รู้หรือแกล้งไม่รู้ก็แล้วแต่ แต่จะบอกเป็นธรรมทานอีกสักครั้ง เผื่อพุทธบริษัท คนอื่นๆด้วย อาจารย์ขับรถไม่เป็น พาลูกศิษย์ ไปสอนขับรถบนไฮท์เวย์ มันจะตายไหม อาจารย์ว่ายน้ำไม่เป็นพาลูกศิษย์ ลงแม่น้ำ ลงทะเลไปสอนว่ายน่ำผลมันจะเป็นอย่างไร ปัจจัตตังมันเป็นแบบนี้ อย่ามาถามอะไรเราอีกเราไม่ตอบแล้ว........เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักษา เขียน:
เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: ก่อนจะพูดต้องตรวจสอบภาวะจิตตนเองดูก่อน ขณะพูดให้มีสติกำกับ พูดแต่เรื่องมีประโยขน์เกื้อกูล

5.เราไม่เคยเอาเรื่องธรรมมะมาพูดคุยหยอกล้อ เพราะธรรมมะเป็นของสูง

6จะพูดเพาะเรื่องที่เรารู้เท่านั้น ไม่รู้บอกไม่รู้ ซึ่งส่วนมากเป็นความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติ และคำสอนของครูบาอาจารย์ เพียงไม่กี่ท่าน(ไม่ขวนขวายไปเปิดคำภีร์มาสอนใคร)


คุณแน่ใจเหรอคุณ เจ ว่าคุณตรวจสอบสภาวะจิตของคุณดีแล้ว มีสติพอแล้ว เรื่องที่ว่าโพสต์แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้น ผมไม่เคยเห็นว่ามีเรื่องไหนของคุณที่เป็นประโยชน์ มีแต่ความละเมอเพ้อพก กล่าวลอยไปลอยมา แล้วถามหน่อยว่าใครเอาธรรมมะมาล้อเล่นมิทราบ ใครเอามาหยอกล้อมิทราบ พระธรรมเป็นของสูงก็จริง แต่ผูที่ศึกษาพระธรรมนั้นศึกษาจริงหรือเปล่า ถ้าศึกษาจริงปฏิบัติจริง ธรรมมะที่ได้ศึกษาไปนั้นก็น่าจะยกระดับจิตใจของคนให้สูงขึ้นได้บ้าง แต่สำหรับคนที่ศึกษาไม่จริงอย่าคุณ เจ ผมเห็นมีแต่การโพสต์สรรเสริญเยินยอตนเองว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้ปฏิบัติธรรม แตโพสต์อะไรๆลงมาเห็นมีแต่อัตตา กิเลส ทิฐิ ประหนึงว่าคนขาดสติ

เรื่องที่คุณรู้ รู้จริงหรื่อเปล่า คุณบอกว่ารู้จริง แล้วถ้ามีคนอื่นมาบอกว่าเขาก็รู้จริง แต่สิ่งที่คนอื่นรู้นั้นต่างไปจากที่คุณรู้ ทั้งๆที่มันคือเรื่องเดียวกัน คุณยังจะยืนยันในสิ่งที่คุณบอกว่ารู้จริงหรือเปล่า จะทำอะไรก็ต้องเจียมเนือเจียมตัวบ้างนะครับคุณเจโต อาศัยเรียนรู้จากครูบาอาจารย์มานิดๆหน่อยก็จะมาตั้งตนเป็นพระศาสดา ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนรู้ด้วยตัวเอง ปฏิบัติด้วยตัวเองเลย จริงอย่างที่คุณเจโตว่า ธรรมมะนั้นถ้าเอาไปพูดกับคนที่ไม่พร้อมจะรับมันก็ไม่มีความหมาย แต่ก็เช่นกัน ถ้าผู้รับธรรมมะเป็นคนดื้อด้าน ยืนกระต่ายขาเดียวว่าของตนถูกต้องๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ฟังเสียงใคร คนผู้นั้นก็เปรียบเสมือนคนไม่รู้ธรรม


เห็นด้วยกับทักษา

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2011, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ไม่ได้คุยในกระทู้นี้นานมาก พูดน้อยลง เพราะเท่าที่สังเกตุ มีคนพูดกันมากอยู่แล้ว และก็พูดใส่กัน โดยไม่มีใครฟังใคร เราก็เลยหลีกมาปฏิบัติอย่างเดียว ไม่มากไม่น้อย เพราะจิตนี้ บางวันมันก็เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น บางวันก็ไม่ใช่ เพราะแม้จิตเราเองมันก็ยังไม่เที่ยง วันนี้มันสงบ พรุ่งนี้มันกับไม่สงบ ดีแต่ว่าพอมีประสบการณ์มากเข้า สามารถตามอารมณ์ของมันได้ทัน ก็หยุดการปรุงแต่งได้ จิตสังขาร ความจริงมันก็แค่นี้ ไม่มีอะไรมาก รู้ทันความต้องการของมัน ไม่ตามใจมัน มันก็หมดฤทธิ์ไปเอง
.......หลายครั้งที่เข้าไปชี้แจง ด้วยจิตที่เป็นกูศล แต่ก็เหนื่อยกลับมา เพราะเวลาเถียงกันอยู่นี้เขาเปิดปากแต่ปิดหูสนิท ก็เลยไม่พูดต่อ มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดก็พูดไปแล้ว ใน2กระทู้คือเรื่องธรรมมะมันเป็นเครือกล้วย แต่วิมุติธรรม มันคือรสชาดของกล้วย ทานเนื้อรู้รสกล้วยแล้ว เปลือกก็ทิ้ง หวีก็ทิ้ง เครือก็ทิ้ง
อันนี้บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ ไปอธิบายเรื่องรสชาดกล้วยเป็นภาษาพูด(สมมุติบัญญัติ) ให้คนที่ยังสารวน กับการตัดกล้วยบ่มกล้วย(แต่ยังไม่เคยลิ้มรสกล้วย)เถียงกันจนเว็บซ์แตกก็ไม่จบ
.......หลวงพ่อชา ท่านว่าเราบอกว่า อันนี้มันเป็นก้อนหิน เขาบอกว่าไม่ใช่ บอกเขาสองครั้งก็พอ ถ้าเขายังยืนยันว่าไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยเขาไป เพราพุดต่อมันก็ขัดใจกัน
.....อย่างเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ลองตั้งกระทู้สิว่า อันไหนมันมาก่อน ทั้งๆที่พระพุทธองค์ และครูบาอาจารย์ ท่านก็สอนเหมือนกันหมด ว่า มรรคมีองค์8 สรุปรวมย่อๆแล้วก็เหลือ แค่ ศีล สมาธิ ปัญญา
ก็ยังมีคนตะแบง สวนพระพุทธเจ้า ว่าต้องปัญญาก่อน(วิปัสนาเลย) บางคนหนักกว่านั้น ไม่เอาสมาธิ
เอาแค่ศีลกับปัญญาเลย ก็มาก
.......บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็ต้องหนีเหมือนกัน ไปเจอเก่งกว่าเข้า(มิจฉาทิฐิ) ความจริงรักษาศีลมันก็ต้องใช้ปัญญา ไม่มีปัญญา รักษาศีลไว้ไม่ได้ บางรูปท่านก็สอนอย่างนี้ ได้ฟังแบบนี้เลยยึดว่าปัญญา ต้องมาก่อนศีลเลยก็มี แต่ไม่เคยรุ้แจ้งในความหมายของปัญญา ก็ท่องจำกันไว้ ความจริงแล้ว ถ้าเงี่ยหูฟังให้ดี ปัญญาของเด็กอนุบาล ปัญญาของเด็กประถม มัธยม มหาวิทยาลัย และปัญญาของด็อกเตอร์
นี้ก็เรียกปัญญาทั้งหมด แต่มันไม่เท่ากัน ไอ้ทีหมดไม่มีหัวข้อจะเรียนแล้วนั่นแหละ ปัญญาของพระอรหันต์ ที่นี้ปัญญาที่ใช้ในการรักษาศีล มันควรเป็นปัญญาขั้นไหน ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติจริงแล้ว ไม่ทะเลาะกันแน่ เพราะมันรู้แจ้ง ไม่ต้องการอธิบาย เรื่องรู้นี้ก็ใช่ รุ้เพราะถามเขา รู้เพราะอ่านมา กับรู้เพราะปฏิบัตินี้
คุยกันแล้วเถียงันไม่เลิก
เราก็เลยปล่อยวาง กับเรื่องเหล่านี้ ค่อยๆทำไป ปฏิบัติไป เพราะคนลองตามใจกิแลสแล้ว อะไรที่เราชอบอันนั้นแหละเป็นของดี อะไรที่คนส่วนใหญ่ทำ อันนั้นเป็นของถูก
......อย่างนี้แหละที่เอาประโยขน์จากธรรมมะไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราชอบ นั้นเมื่อเรายังเป็นปุถุชน มันก็กิเลสทั้งนั้น ถ้ายังต้องการอร่อยอยู่มันยังไม่จบ เมื่อไรอร่อยก็ได้ ไม่อร่อยก็ได้ ความรู้สึกมันเสมอกันแล้ว และก็จบได้.....อย่าคิดว่าเพ้อเจ้อ อ่านเข้าใจก็มีประโยชน์เหมือนกัน......เจโตวิมุติ/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร