วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


"สุขเวทนาเป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนาเป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่เป็นสุขเพราะแปรไป
อทุกขมสุขเวทนาเป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด"

ปุจฉา อทุกขมสุขเวทนาเป็นสุขเพราะรู้ชอบในอะไร
อทุกขมสุขเวทนาเป็นทุกข์เพราะรู้ผิดในอะไร


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 27 มี.ค. 2011, 20:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 07:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"สุขเวทนาเป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป เป็นทุกข์จาก...เพราะอยากให้สุขตั้งอยู่ไม่อยากให้สุขผันแปรไป(ไม่อยากให้สุขเสื่อมสลายไป)
ทุกขเวทนาเป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่เป็นสุขเพราะแปรไป เป็นสุขจาก...เพราะไม่อยากให้ทุกข์ตั้งอยู่อยากให้ทุกข์ผันแปรไป(อยากให้ทุกข์เสื่อมสลายไป)
อทุกขมสุขเวทนาเป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด"

ตอบว่าไม่รู้ :b14: :b8: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ในธรรม...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรเรียกว่ารู้ชอบในธรรม
อย่างไรเรียกว่ารู้ผิดในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรคมีองค์8


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเรารู้มรรคมีองค์แปด แล้ว อทุกขมสุขเวทนาจะเป็นสุขได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้แล้วไม่เดินตามก็แค่นั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่ผมเคยรู้มา คืออทุกขมสุขเวทนามีข้อเสียอย่างเดียวคือ ไม่เที่ยง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
รู้แล้วไม่เดินตามก็แค่นั้น


so :b6:


ชานตา แปลว่าอะไร
ปสสตา แปลว่าอะไร

ขอตัวไปสูบบุหรี่ อาบน้ำ ทำมาหากิน ก่อนนะ เอวังโหตุ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


แปลว่าอะไรครับ อย่าลืมมาตอบด้วยน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวใช่เปล่า
ขันธ์5มีอะไรบ้าง
เวทนามีอะไรบ้าง จัดเป็นขันธ์5ใช่เปล่า
มรรค8มีอะไรบ้าง
ๆลๆ
ศึกษาต่อได้ที่ ธัมมจักรกัปวัตนสูตร
ที่เหลือเข้าgoogleหาเอาเองนะ :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 14:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องเวทนา
[๕๑๑] วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า เวทนามีเท่าไร?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เวทนานี้มี ๓ ประการ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑
อทุกขมสุขเวทนา ๑.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นอย่างไร อทุกขมสุขเวทนา
เป็นอย่างไร?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือ
เป็นไปทางจิต นี่เป็นสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ อันเป็นไปทางกาย
หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นทุกขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่
สำราญ (เป็นส่วนกลางมิใช่สุขมิใช่ทุกข์) อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็น
อทุกขมสุขเวทนา.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขเวทนา เป็นสุขเพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะอะไร?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ
เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา อนุสัยอะไร ตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนา อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา?
---------------------

ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา ปฏิฆานุสัย ตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนา อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคานุสัยตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด ปฏิฆานุสัยตามนอน
อยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หรือหนอแล?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัย ตามนอนอยู่ใน
อทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอะไรจะพึงละได้ในสุขเวทนา ธรรมอะไร จะพึงละได้ใน
ทุกขเวทนา ธรรมอะไรจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละได้ในสุขเวทนา ปฏิฆานุสัย จะพึงละได้ใน
ทุกขเวทนา อวิชชานุสัยจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา.
วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด ปฏิฆานุสัยจะพึง
ละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หรือ
หนอแล?
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัยจะพึงละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขม-
*สุขเวทนาทั้งหมด หามิได้ ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อม
ละราคะด้วยปฐมฌานนั้น ราคานุสัย มิได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรม
วินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไร เราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่
ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้
โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น
ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน
อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็น
เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุต
ฌานนั้น.

http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... agebreak=1


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 14:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 11:05
โพสต์: 223


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ไปลอกเขามาอีกทีครับ :b12:

ในจุลลเวทัลลสูตร
พระนางธรรมทินนาเถรีได้แสดงแก่ วิสาขะอุบาสกว่า อทุกขมสุขเวทนา

เป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ไม่ชอบดังนี้
รู้ชอบก็คือสัมมาทิฏฐินั่นเอง รู้ไม่ชอบก็คือรู้ผิด หรือไม่รู้ตามเป็นจริง

คือมิจฉาทิฏฐินั่นเอง
อทุกขมสุขเวทนา เป็นเวทนาอันละเอียด ไม่เหมือนสุขเวทนาและ
ทุกขเวทนา เพราะไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขอยู่แล้ว
ที่จัดว่าเป็นสุข ก็เพราะรู้ตามเป็นจริง เป็นทุกข์ก็เพราะไม่รู้ตามเป็นจริง

ด้วยเหตุนี้จึงได้ความสันนิษฐานว่า คนมีปัญญาเปรียบเหมือนมีความสว่าง
หรืออยู่ในที่แจ้ง คนไม่มีปัญญา เปรียบเหมือนไม่มีความสว่างหรืออยู่ในที่มืด

คนมีปัญญาเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ด้วยความแจ่มแจ้งปลอดโปร่ง

แต่คนไม่มีปัญญาเป็นผู้เพิกเฉยอยู่ด้วยความมืดตื้อ

ปัญญานั้นเมื่อเกิดขึ้นในเวลาใด ทุกข์เพราะกิเลสก็ดับไปในเวลานั้น

เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญารู้แจ้งเต็มที่ ไม่ยึดถือมั่นอะไร ๆ
จึงไม่หลงรักหลงชังในขันธ์ ๕ นั้น ซึ่งเป็นการฝืนธรรมดา เป็นตัณหา เพราะ
ธรรมดามันเป็นมาอย่างนั้นแล้ว จะทำอย่างไรได้ ก็ต้องอาศัยขันธ์ ๕ นั้นไป
และทำนุบำรุงไปตามควรกว่าจะถึงที่สุดลง


:b39: แต่ท่านผู้มีปัญญารู้จักขันธ์ ๕ นั้นตามสภาพหรือตามธรรมดาอยู่เสมอ

ท่านจึงไม่มีทุกข์เพราะกิเลส หรือทุกข์ใจเลย เพราะท่านเพิกเฉยอยู่ด้วย
ความรู้เท่าเสียหมด
สังขารธรรมที่ปรุงใจ ไม่อาจปรุงแต่งใจท่านให้เป็นไปต่าง ๆ ได้

ท่านอยู่ด้วยปกติจิต อันเกิดแต่ปัญญาเสมอไป แต่จะว่าท่านไม่มีสังขารก็ไม่ถูก

ไม่ชอบเพราะขันธ์ ๕ ยังมีอยู่

:b39: ก็สังขารนั้น เป็นธรรมหรือเป็นไปตามธรรมหมดไม่ปรุงจิตท่านได้
เปรียบเหมือนคนที่รู้แน่ว่าหม้อที่บรรจุด้วยของปฏิกูลแล้ว ถึงใครจะตกแต่งให้
วิจิตรงดงามในภายนอกสักปานไร ในภายในก็คงเป็นของปฏิกูลอยู่นั่นเอง

ดังนี้ ก็คงไม่รักใคร่พัวพันในหม้อนั้น

และเพราะเห็นเป็นธรรมดาอยู่จึงไม่ชิงชังหม้อนั้น

ถ้าพูดให้สั้น ๆ ก็ตรงกับคำที่ว่า " เห็นไส้เสียแล้ว " ดังนี้

อะไรจะมาล่อให้หลงและเห็นผิดแล้ว ปรุงใจให้คิดไปต่าง ๆ ได้เล่า
ความรักและความชังเป็นอาการคู่กัน แต่ตรงกันข้ามเหมือนอย่าง
ความเกิดกับความตาย
ถ้ามีอย่างใดแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คงต้องมี จะมีแต่อย่างเดียวไม่ได้เป็นอัน
ขาดถ้าความรักขาดหมด ความชังก็ขาดหมดเหมือนกัน
เมื่อเช่นนี้ อะไรเล่าจะคงมี
ความเพิกเฉยเป็นกลาง ๆ นั่นแหละคงมี และมีด้วยความรู้เท่ารู้ตัว ไม่ได้มี
ด้วยความมืดมองไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ใน จุลลเวทัลลสูตร พระนางธรรมทินนาเถรี
จึงได้แสดงแก่วิสาขะอุบาสกว่า สังขารมี ๓ คือ

กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร
ไม่แสดงว่าปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร เพราะ
วิสาขะอุบาสก ถามถึงสังขารในลำดับแห่ง มรรค ( ต้นสัญญาเวทยิตนิโรธ )

เพราะฉะนั้น จึงได้ความสันนิษฐานว่า ท่านที่ทำมรรคให้เกิดขึ้นในเวลาใด

ในเวลานั้นย่อมเป็นผู้มีจิตสงบเป็นปกติ

จิตที่สงบเป็นปกติ ย่อมเป็นจิตที่ปราศจากสังขารที่จะปรุงใจให้เป็นไปต่าง ๆ

สังขารที่มีในเวลา นั้น เป็นธรรมไปหมด จึงควรกล่าวด้วย
กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขารเท่านั้น

:b39: ส่วนปุถุชนหรือสามัญชน ก็ย่อมมีกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารเหมือนกัน

กายสังขาร คือลมหายใจจงยกไว้ เพราะไม่เนื่องด้วยจิต

แต่วจีสังขาร และจิตตสังขาร ย่อมเป็นปุญญาภิสังขารอปุญญาภิสังขาร และ
อเนญชาภิสังขาร ด้วย ตามคราวตามขณะ
ท่านผู้ทำมรรคให้เกิดเต็มที่ มีปัญญารู้เห็นตามเป็นจริงหมด ย่อมเป็นผู้มี
จิตสงบระงับเป็นปกติ
สังขารย่อมไม่อาจปรุงแต่งจิตของท่านให้ เป็นไปต่าง ๆ ได้

ท่านจึงเป็นสุขอย่างยิ่งด้วยความเป็นผู้เข้าพร้อม ด้วยเหตุนี้

ความเข้าระงับสังขารได้ จึงเป็นสุข.
( วชิร. ๕๒๑-๕๒๓ ).

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=409188


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญในธรรมค่ะ

สาธุ :b44: :b8: :b8: :b8: :b44:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร