วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้นตอที่ทำให้เกิดทุกข์และดับทุกข์


ในโลกนี้นอกจากรูปกับนาม คือกายกับใจแล้วจะมีอะไรอีก สุขและทุกข์ก็ดี นอกจากทุกข์กายและทุกข์ ใจแล้วจะมีอะไร และที่ไหนอีก เมื่อของทั้งสองอย่างนั้นเกิดขึ้น แล้วหากไม่ตั้งอยู่บนกายและบนใจนี้
แล้วก็ไม่ ทราบว่ามันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร และที่ไหน จิตก็เหมือนกัน ถ้าบุคคลจะทำการใด ๆ
เพื่อให้พ้นไปจากทุกข์

ถ้าไม่ทำให้พ้นไปจากกายจากใจนี้แล้ว ก็จะเพื่อประโยชน์อันใด แต่ทุกข์ก็มีอิทธิพลเหนือคำสอน
ของครูบา อาจารย์และใคร ๆ ทั้งหมด ทุกข์นั้นแหละเป็นเครื่องหล่อหลอมคนให้เป็นคน
ให้มีความขยันหมั่นเพียร ให้พึ่ง ตนเองได้ ให้เป็นครูบาอาจารย์ อบรมสั่งสอนคนอื่นอย่างดีที่สุด
ทุกข์เป็นมัคคุเทศก์นำทาง ให้คนตั้งตัวได้ทุกข์

เป็นเครื่องดึงดูดให้คนสร้างความดีความงาม มีทำทานรักษาศีลเป็นต้น ทุกข์เป็นเครื่องวัดความสุข
เสมือนปรอท เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิ ผู้มีความสุขมากสุขน้อย ต้องเอาทุกข์เข้าไปวัดเทียบ
ผู้เกลียดทุกข์ไม่ชอบทุกข์ ก็คือผู้ที่ไม่มีปรอท ผู้ชอบทุกข์รักทุกข์ ก็คือผู้มีปรอท
แต่ไม่ได้ทำการวัด

ผู้เจริญฌานและนิวรณ์ห้าได้ ก็ต้องใช้ปรอทนี้เป็นเครื่องวัด กายกับใจนี้เป็นพื้นฐานของโลก (คือทุกข์)
ผู้มีปัญญาทั้งหลาย หยิบยกเอาทุกข์อันนี้ขึ้นมาพิจารณา จนทราบเรื่องของทุกข์
พร้อมด้วยมูลเหตุให้เกิดทุกข์แล้วปล่อยวาง ทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น ได้ด้วยอุบายปัญญาอันชอบ
จนบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ล้วนแล้วแต่ มาตั้งต้นดำเนินไปจากกายกับใจ (คือทุกข์) นี้ทั้งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


จะเห็นกายกับใจแบ่งภาคกันได้ ต่อเมื่อจิตเข้าถึงฌาน-สมาธิ แล้ว

จิตเป็นของหาตัวตนมิได้ ต่อเมื่อประสมโรงกันเข้ากับกายแล้ว จึงจะแสดงอาการออกมาให้ปรากฏ
แก่ สายตาของของคนอื่นได้ จิตเป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ชี้ไม่ออกบอกไม่ถูก
แต่ตัวของมันรู้ตัวมันเอง ถ้ามันส่งส่ายออกมาตามประสาทต่าง ๆ เช่น


ส่งออกมาตามจักษุประสาท เป็นต้น เรียกว่าจิต ถ้ามันไปรับเอาแสงสะท้อนของรูป ที่มากระทบจักษุประสาทนั้น เรียกว่าวิญญาณ ถ้ามันไปยึดเอา รูปนั้นเข้ามาไว้ เรียกว่าอารมณ์

ถ้าเกิดพอใจ ดีใจ เสียใจ อะไรขึ้นมา เรียกว่าเวทนา ถ้าเกิดความอยากให้
มันเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดไป หรือไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอีก เรียกว่าตัณหา ชื่อของจิตนี้มีมาก
เรียกตาม อาการลักษณะของมัน ที่มันแสดงออกมา ที่สมมุติเรียกชื่อมานี้
เป็นแต่เพียงเล็กน้อยตามความเข้าใจของ ผู้เขียนเท่านั้น

ท่านผู้รู้ทั้งหลาย อาจเรียกได้มากและสมมุติได้มากกว่านี้ หรืออาจเรียกชื่อผิดแผกออกไป จากนี้ก็ได้
ที่แสดงมานี้ พอให้เข้าใจถึงเรื่องที่ว่า จิต-วิญญาณ-อารมณ์-เวทนา ยังก่อนยังไม่จัดเข้าเป็น กิเลส
พอเข้าเขตตัณหาแล้วนั้นแล จิตตอนนั้นจึงจะมืดมนเศร้าหมอง

ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา ก็ต้องเกิดตาม สายรูปธรรม มีรูป-เสียง เป็นต้น ฉะนั้นเพียงแต่ลำพัง
จิต-วิญญาณ-อารมณ์- เวทนา จึงยังไม่เกิดกิเลส พอถึง ขั้นตัณหาจึงเกิดกิเลส
ที่ท่านแสดงถึงเรื่องกิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด ก็จัดตามสายนี้เอง เรื่องทั้งหมดที่ อธิบายมานี้
ถ้าหากจิตยังไม่เข้าถึง ฌานสมาธิ ระงับอารมณ์ภายนอก
ให้ขาดออกจากจิตเสียก่อนแล้ว ถึงแม้ ชื่อและนามของกิเลส เราจะจำได้แม่นยำสักปานใดก็ตาม
จะไม่มีวันรู้ หน้าตาตัวจริงของกิเลสเลย เพราะกิเลส เป็นสภาวธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน
เมื่อจิตที่อบรมดีแล้ว

แบ่งภาคออกมาจากรูปธรรมได้ นั่นแล จิตจึงจะ สามารถรู้ตัวกิเลสได้ถูกต้อง กิเลสของจิต
เมื่อผู้มาเข้าใจโดยนัยนี้แล้ว สามารถชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ส่วนกายเป็นรูปธาตุ จะชำระอย่างไรๆภายในใจก็ยังสกปรกอยู่เช่นเดิม ดีหน่อยเมื่อชำระใจให้สะอาดดีแล้ว
อาการกิริยาของกายมันจะเรียบร้อยขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:27
โพสต์: 72


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาในข้อธรรมดีๆ

.....................................................
มองทาง สำรวจทาง รู้ทุกเส้นทาง เผื่อเจอแยกจะได้จำได้ และเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


กายกับใจเมื่อประสมโรงกันเข้าแล้ว ย่อมสามารถกระทำกรรมใดๆ ได้ทุกอย่างไม่เลือก
แล้วแต่จิตจะ บัญชา แต่ผลกรรมหรือผลงานที่เรียกว่าวิบาก ที่ทั้งสองร่วมกันกระทำนั้น
เมื่อยังอยู่ร่วมกัน ก็ร่วมกันรับร่วม กันเสวยต่อไป

เมื่อรูปแตกกายดับ เขาหนีไปตั้งทัพอยู่เฉพาะเขา คือเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ตามสภาพของมันแล้ว
คราวนี้จิตเป็นผู้รับเคราะห์กรรมแต่คนเดียว เหมือนลูกไม้มีทุเรียนเป็นต้น เมื่อแก่สุกงอมแล้ว
หลุดหล่นลง จากต้นโดย มิได้บอกกล่าวลาต้นเลย

ได้เมล็ดได้เนื้อสุกหอมหวานแล้วก็ไป เมื่อเมล็ดยังไม่ลีบไม่เน่าเขาไปสร้าง ต้นสร้างผลงอกงามขึ้นอีก
จิตก็เช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อกายแตกดับไม่รับรู้อะไรแล้ว จิตเป็นผู้รับภาระผล กรรมแต่ผู้เดียว

ผลกรรมนี่แหละ ที่จะนำจิตให้ไปก่อเกิดในภพนั้นๆต่อไป
สมดังพุทธภาษิตว่า กัมมัสสกา จิตสร้างกรรมอันใดไว้ กัมมทายาทา จิตผู้สร้างกรรมนั้นแล จักได้รับผลของกรรมนั้นต่อไป

กัมมโยนิ กรรมเป็นผู้ให้กำเนิด กัมมพันธุ กรรมเป็นต้นตระกูลของความเกิด
กัมมปฏิสรณา กรรมเป็นที่พึ่งของจิต หรือจิตอาศัยกรรมเป็นที่ดำเนินก็ว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตที่จะไปเกิดในกามภูมิ


รูปกับนามหรือกายกับจิตนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของกามกิเลส ถ้าจิตยังกอปรด้วยกามกิเลสอยู่แล้ว
จำต้องมา เกาะเกี่ยวเกิดในกามภูมินี้อีกต่อไป

กามภูมิเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งหลาย ผู้ที่จะไปเกิดในสุคติกามาพจรทั้ง 6 เป็นต้น ก็ต้องมาสร้างสมเสบียงเอาจากนี้ ผู้จะไปสู่อบายภูมิ มีสัตว์ดิรัจฉานเป็นต้น ก็ต้องมาสร้างสมเอาบาปกรรม ณ ที่นี้ทั้งนั้น

แม้ผู้ที่ท่านจะถึงมรรคผลนิพพาน ก็ต้องมาสร้างบารมีเอา ณ ที่นี้ทั้งนั้นเหมือนกัน
กามภูมิเป็นสถานที่น่าอภิรมย์ชื่นใจ ของผู้ยังไม่อิ่มไม่พอในกามทั้งหลาย

จึงได้นามเรียกว่า กามคุณห้า ได้แก่ รูป-เสียง-กลิ่น-รส-โผฏฐัพพะ ทั้งห้านี้อำนวยคุณประโยชน์
ให้แก่ผู้ยังต้องการ และปรารถนาอยู่นั้นเอง แต่ผู้มี ปัญญา พิจารณาเห็นโทษของกามคุณทั้งห้าแล้ว รู้สึกอิ่มพอ และเบื่อหน่ายสละถอนเสีย ดังได้อธิบายมาแล้วใน กามาทีนพฯ


จิตที่พอใจรักใคร่ ติดมั่นอยู่ในกามภูมิ ย่อมยินดีพอใจอยู่กับอารมณ์ทั้งห้า มีรูปเป็นต้น
แม้จะประกอบ กรรมใดๆ ก็ย่อมหวังผล เพื่ออารมณ์ทั้งห้านี้ทั้งนั้น เมื่อกายกับใจยังร่วมกันสร้างกรรม
ที่เป็นกามาพจรกุศลอยู่ ผลที่ได้รับก็ร่วมกันเสวยต่อไป

เมื่อกายทรงอยู่ตลอดกาลอายุขัยดับไปแล้ว ผลกรรมนั้นยังไม่สิ้นจิตก็รับภาระ ต่อไป
กรรมจะเป็นมัคคุเทศก์ นำจิตให้ไปเกิด ในคติที่เป็นกามภูมิต่อไป

จงสมกับพุทธภาษิตที่ว่า กัมมังสัตเต วิภชติ ความว่ากรรมที่สัตว์ทั้งหลายทำไว้แล้วนั้นแล
จะเป็นผู้จำแนกสัตว์ ให้เป็นไปตามอำนาจของมัน คนเราจะตกแต่งเอาตามชอบใจไม่ได้

ผู้มาพิจารณาเห็นโดยนัยนี้แล้ว จึงควรสร้างแต่กรรมดี อันจะนำตนให้ไปเกิดในภูมิอันสุขที่ตนปรารถนา ก่อนจะถึงโอกาสนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


กายและจิต เมื่อยังปกติดีอยู่ ย่อมทำงานร่วมกันได้ทุกๆ กรณี หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชำรุดพิการ นั้นแล
จึงจะทำร่วมกันไม่ได้ เพราะขาดสายสื่อสัมพันธ์กัน สายสื่อสัมพันธ์ที่ว่านี้


หลักวิชาแพทย์เขาเรียกว่า เซลล์เช่นเซลล์สมอง สั่งงานให้คิดให้ส่งส่วยไปต่างๆ นานาเป็นต้น
ทางพุทธศาสนาเรียก ว่าประสาท เช่น ประสาทตา ทำให้เห็นรูป ประสาทหู ทำให้ได้ยินเสียง เป็นต้น


แต่บางที หมอเขาก็เรียกคนที่มีความคิดไม่ปกติว่า คนประสาทเสื่อมเหมือนกัน จะอย่างไรก็ตาม
นักอบรมจิต หรือผู้ภาวนากรรมฐาน เชื่อมั่นลงแน่แน่วทีเดียวว่า คนตาย จิตออกจากร่างแล้ว
ไม่ยอมรับรู้ ไม่ร่วมทำงานด้วยเซลล์หรือประสาท เซลล์หรือประสาท ก็จะไม่มีผลอันใดทั้งหมด

เมื่อความอบอุ่นยังมีอยู่ เซลล์หรือประสาทก็อาจยังมีปรากฏอยู่ก็ได้ แต่ไม่มีอันใดเป็นเครื่องรับรอง
เพราะจิตผู้รับรู้ไม่มีเสียแล้ว เรื่องนี้เราจะสังเกตเห็นได้ จากสัตว์ที่ตายใหม่ๆ
ยังมีไออบอุ่นอยู่ ประสาทหรือเส้นเลือดของมัน ยังกระตุกเต้นอยู่เลย
นั้นแสดงว่า เซลล์หรือประสาทมันยังทำงานอยู่ แต่ชีพจรหรือลมมันอ่อนจนไม่ปรากฏเสียแล้ว


ที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เซลล์หรือประสาท มิใช่จิตเป็นผู้รับสัมผัสนั้นๆเท่านั้น
จิตต่างหากเป็นผู้รับรู้สัมผัสนั้นๆ แล้วก็ยังไม่ทำให้เกิดกิเลสอันใดขึ้นมาก่อน

ต่อเมื่อเกิด ตัณหา อุปาทาน ดังได้อธิบายแล้ว จึงจะเกิดกิเลสขึ้นมา ฉะนั้น ถึงเซลล์หรือประสาท
จะร่วมทำกรรม ด้วยกันกับจิตก็ตาม เมื่อยังอยู่ร่วมกัน ก็ร่วมกันเสวยผลของกรรมนั้นสืบไป

เมื่อเซลล์ หรือ ประสาท ชำรุดทำงานตามปกติร่วมใจไม่ได้ แล้วกายแตกดับ ผลของกรรมนั้น
ใจจะเป็นคนรับเอา แต่ผู้เดียว

แล้วผลกรรม คือวิบากนั้นแล จะเป็นมัคคุเทศก์ นำจิตให้ไปเกิด ในที่นั้นๆ ส่วนเซลล์ หรือประสาท
อันเป็นรูปธาตุ ไม่สามารถสลายตัวหนีไป จากกามภูมิพื้นดิน อันนี้ได้ สลายตัว จากนี้แล้ว
ก็ไปก่อตัวขึ้นในที่อื่นอีกต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอริยเจ้า ที่ท่านชำนาญในการเข้าฌาน บังคับจิตให้อยู่ในองค์ฌานอย่างเต็มที่ เข้านิโรธสมาบัติอยู่ได้ตั้งอาทิตย์ ลมหยาบๆไม่ปรากฏ ระบายออกมาทางจมูกเลย เรียกว่าดับลมหายใจเข้าออก
แต่ยังไม่ตาย

ร่างกายทุกส่วนยังปกติอยู่ตามเดิม แต่หมดความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนลมอันละเอียด ที่ซาบซ่านไปตามสรรพางค์กายยังมีอยู่ ถึงเซลล์หรือประสาทจะยังทำงานอยู่ก็ตาม แต่จิตไม่มารับรู้ด้วยแล้ว

พอจะสรุปได้แล้วว่า คนเรานี้เมื่อรูปกับนาม คือกายกับใจยังปกติอยู่ ก็ทำงานร่วมกันไป บางทีจิต
คิดจะทิ้งกายก็ทิ้งเอาเฉยๆ โดยกายไม่ยอมรับรู้ด้วย ก็มีดังกล่าวมาแล้ว

บทกายจะเบี้ยวจิต ก็มิใช่ย่อยเหมือนกัน อยู่ดีๆ บางทีช็อคตาย รถทับตาย ตกเครื่องบินตาย
เส้นโลหิตแตกตาย ฯลฯ จิปาถะ

ทั้งๆที่จิต มิได้มีเรื่องอะไรกับกายเลย มันแปลก กายกับจิตนี้ ก่อนเขาจะมาอยู่ร่วมกัน
ก็ไม่ได้สนิทสนมกันมาแต่ก่อนเลย เวลาเขาจะแยกทางกันไป
ก็ไม่ได้บอกเล่าเก้าสิบอะไร โดยเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรกันสักนิดเดียว

แล้วก็ไม่มีใคร จะอาลัยอาวรณ์ถึงกันและกันเลย แยกทางกันไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้น
อะไรเล่า เมื่อเจ็บหรือจวนจะตาย ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า -นั่นคือกิเลส ใจมันไปหอบเอากิเลสมาไว้ที่ใจ คนเราเลยถือว่าใจเป็นกิเลส
หากใจเป็นกิเลสเสียเอง แล้วใครเล่าจะชำระใจให้บริสุทธิ์ได้

ใจมิใช่กิเลส กิเลสมิใช่ใจ แต่ใจไปรับช่วงเอาผัสสะ อันเกิดจากอายตนะ เช่นตาเห็นรูปเป็นต้น
แล้วเอามายึดไว้ที่ใจ จนเกิดความรักใคร่พอใจ หรือเกลียดโกรธไม่พอใจ
จึงทำใจให้มัวหมอง เพราะของสิ่งนั้นเป็นเหตุต่างหาก

จึงเรียกว่า กิเลส ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นบัญญัติธรรมบอกให้รู้ว่า
สิ่งนั้นชื่อว่าอย่างนั้น มีหน้าที่อย่างนั้นๆต่างหาก

จิตเป็นผู้เข้าไปยึด เอาบัญญัติธรรมมาเป็นตนเป็นตัว เมื่อบัญญัติธรรม ทำงานตามหน้าที่ของมันอยู่
จิตก็เลยถือว่า ตนเป็นผู้รับหน้าที่ทำงานไปเสียเอง จึงเข้าใจว่าจิตของตนเป็นกิเลส

ธาตุแท้ของตะกั่ว ก็เป็นตะกั่วอยู่ตามเดิม ถึงแม้จะประสมเข้ากันกับทองคำแล้วก็ตาม
เมื่อไล่ทองคำออกแล้ว ตะกั่วก็ต้องเป็นตะกั่วอยู่ตามเดิมนั้นเอง

กายเป็นรูปธาตุ จิตเป็นนามธรรม สังขารเป็นอาการของจิต คิดปรุงแต่งรูปธาตุ มาเป็นพาหนะ
ให้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ก็ทอดทิ้งไว้ที่เดิมของมัน

สังขารจิตรกร ช่างใหญ่สร้างโลก ไม่มีที่สิ้นสุดไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โลกนี้จึงกว้างใหญ่ไพศาล
หากประมาณมิได้ ผู้เขียนรู้ตัวว่า เรามิใช่นักกายวิภาคชีววิทยา ที่อธิบายไปนั้นเป็นเพียงมติของตนเอง


เพื่อประโยชน์ แก่อารมณ์ของผู้เจริญกรรมฐานเท่านั้น อาจผิดหรือถูกก็ได้ จึงขออภัยแด่ท่านผู้รู้ทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย หากผิดพลาด จะกรุณาเพิ่มเติมหรือให้ความสว่างอีก
ผู้เขียนก็ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมนิมิตและคตินิมิตเป็นผู้นำให้ไปเกิดในคตินั้นๆ


ผลผลิตของกายกับใจ ร่วมกันกระทำไว้นั้นเรียกว่า "กรรม" ผลของกรรมที่จะนำไปให้เกิดผลนั้น
หาตัวตนมิได้

แต่จะปรากฏเกิดขึ้น เฉพาะในใจของผู้กระทำเท่านั้น หากจะแสดงให้ปรากฏออกมาทางกาย
และวาจาบางกรณี

เช่นคนผู้เคยฆ่าหมูเป็นอาชีพ โดยมิได้กระดากใจเลยแม้แต่น้อย เวลากายทรุดโทรมจวนจะตาย
อาจแสดงอาการ ส่อถึงบาปกรรมของเขาที่กระทำไว้นั้น เช่นร้องออกมาเป็นเสียงสุกร
แสดงปฏิกิริยาเหมือนสุกรจะตาย
หรือทำท่าที ฆ่าสุกรแล้วโฆษณาให้คนอื่นเขาเห็นโดยตนเอง ไม่ตั้งใจจะทำเช่นนั้นแต่มันเป็นไปเอง
ดังนี้เป็นต้น


นั้นมันเป็นการแสดงถึงผลกรรม ที่เขากระทำไว้ เพียงเพื่อผู้ได้เห็นแล้วอนุมาน
เอาให้ใกล้ต่อความจริงเท่านั้น แต่ตัวกรรมและผลกรรมที่แท้จริงแล้ว ไม่มีใครรู้เห็นด้วย
นอกจากตัวของผู้กระทำเท่านั้น

กรรมนี้ท่านแสดงไว้ในธรรมวิภาคปริเฉท ๒ หลักสูตรนักธรรมโท มีถึง ๑๒
แต่ในที่นี้จะไม่ขอนำมาอธิบายอีก เพราะในนั้นท่านอธิบายไว้ดีแล้ว ในที่นี้จะแสดงเฉพาะกรรมนิมิต
และคตินิมิต อันเป็นทูตของยมบาลเท่านั้น

ใครจะทำกรรมดีกรรมชั่ว ไม่ว่าในที่ลับและที่แจ้ง อย่าได้คิดว่าทูตของยมบาลจะไม่รู้ไม่เห็นเลย
เขาตามรู้ตามเห็นได้ทุกโอกาสทีเดียว

คนเราก่อนกายจะแตกดับ เมื่อจิตปล่อยวางร่างกาย ไม่มีความรู้สึกแล้ว จะมีภาพอันหนึ่งเกิดขึ้นให้
ปรากฏเห็นเฉพาะใจตนคนเดียว โดยที่เราจะตั้งใจดูหรือไม่ก็ตาม

ภาพอันนั้นถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆ ก็คล้ายกับภาพนิมิตในความฝัน ภาพนิมิตอันนั้นแล
มันจะมาแสดงผลกรรมของเรา ที่เราได้กระทำไว้แล้วในอดีต บางทีเราอาจลืมไปแล้วนาน
แต่มันมาปรากฏให้เราเห็น และระลึกขึ้นมาได้

เป็นต้นว่า เราเคยได้สร้างโบสถ์วิหารถวายกฐินทานเป็นอาทิ วัตถุทานนั้นก็จะมาปรากฏขึ้นให้เราเห็น
แต่ภาพนิมิตนี้จะสวยสดงดงาม และวิเศษยิ่งกว่าที่เราได้กระทำไว้นั้น

จนเป็นเหตุให้ เมื่อเราได้เห็นเข้าแล้วเกิดปีติ อิ่มอกอิ่มใจจนหาที่เปรียบมิได้ แล้วจิตจะไปจดจ้อง
จับเอานิมิตนั้นมาไว้เป็นอารมณ์ ให้เกิดความสุข

โดยส่วนเดียวที่เรียกว่า "สัคคะ" ผู้สร้างบุญกุศล จะเห็นผลชัดแจ้งด้วยใจตนเองก็ตอนนี้
ที่นี้จิตมิได้เกี่ยวข้องด้วยกายอีกแล้ว กายจะเจ็บจะแตกจะดับจิตไม่รับรู้ทั้งนั้น

ท่านแสดงไว้ว่า สัตว์จะตาย จิตทอดทิ้งร่างกายไปก่อน แล้วกายจึงกับภายหลัง แต่เมื่อเกิด
รูปเกิดก่อน แล้วจิตจึงมาปฏิสนธิทีหลัง

ที่ว่านี้คือ จิตผู้รู้สึก ซึ่งรับช่วงมาจากเซลล์หรือประสาท ไม่ปรากฏเสียแล้ว ณ ที่นั้น
แต่เซลล์หรือประสาท ยังสามารถทำงานอยู่ดังกล่าวแล้ว

เพราะความอบอุ่นยังมีอยู่ ความอบอุ่นนี้ มันเกิดจากสวาบหรือกระบังลม กระบังลมยังไหวตัวอยู่
ลมก็ยังซ่านไปตามส่วนต่างๆของร่างกายได้อยู่ ประสาทหรือเซลล์ก็ยังปรากฏอยู่

แต่ลมนั้นยังเหลือน้อย จนไม่สามารถจะยังชีพให้เป็นอยู่ได้ตามปกติ และในที่นั้น
จิตผู้รับรู้ ช่วงจากเซลล์หรือประสาท ก็ไม่ปรากฏเสียแล้วจึงเรียกว่า ตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่นี้เมื่อจิตได้รับความสุข โดยมโนทวาร อันปราศจากเซลล์หรือประสาทดังกล่าวแล้ว
มันเป็นความสุขอันหาประมาณมิได้

ฉะนั้นท่านจึงแสดงความสุข ของผู้ทำบุญแล้วไปเกิดในสวรรค์ว่า เป็นความสุขยิ่งยอดแล้ว ก็เสวยความสุขนั้นอยู่นานแสนนาน

ถ้าจะเทียบอายุ ของชาวสวรรค์ชั้นจาตุมฯ กับของมนุษย์แล้ว ร้อยวันร้อยคืนของมนุษย์นี้
จึงจะเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเขา แล้วอายุของเขาก็ยืนนาน นับเป็นหมื่นๆปีเหมือนกัน
ถ้าจะเปรียบ พอจะอนุมานความสุขที่นั้น เหมือนความสุขที่ได้รับในขณะที่นอนฝัน
ความสุขในขณะนั้นสุขมาก

เพราะมิได้เอาเซลล์หรือประสาทมาใช้ร่วม สุขเฉพาะใจล้วนๆ ความสุขของพระอริยเจ้า
ที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ก็ทำนองเดียวกัน

ตรงกันข้ามผู้ที่กระทำกรรมชั่วไว้ กรรมนิมิต ก็จะเกิดในขณะเดียวกัน แต่จะเป็นเรื่องทนทุกข์ทรมานมากจนเหลือจะอดทน เพราะกรรมตามสนอง ความทุกข์ทรมานของกาย
ถึงขนาดร่างกายจะแหลกเหลว เปื่อยเน่าไปก็ตาม แต่มันก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ตาย ท่านเทียบอายุของสัตว์
ในนรกไว้ว่า

ร้อยวันร้อยคืนของชาวสวรรค์ชั้นจาตุมฯ จึงจะเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของสัตว์ในนรก แล้วก็มีอายุยืนนานเป็นหมื่นๆปีเหมือนกัน

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะความทุกข์มันเป็นของเผ็ดร้อน ทนได้ยากไม่มีใครปรารถนา ถึงทุกข์จะเป็นของน้อย แต่มันมีน้ำหนักมาก

ที่อธิบายมานี้เรียกว่ากรรมนิมิต ขณะที่มีชีวิตอยู่ จิตย่อมร่วมกันทำงานกับเซลล์หรือประสาท
แล้วสังขารเป็นผู้ปรุงแต่ง ให้กระทำกรรมนั้นๆอย่างสนุกสนาน

แต่เมื่อกายแตกดับ เซลล์หรือประสาท ก็จะละหน้าที่ของตนเสีย กรรมที่ได้ร่วมกันทำไว้นั้น
ก็จะมาปรากฏให้ใจเห็น เป็นผู้รับมรดกแต่ผู้เดียว

แล้วกรรมนิมิตนั้นแล จะเป็นผู้บัญชาให้ไปเกิดในคตินั้นๆ อีกต่อไป ตามอำนาจและวิสัยของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยพลังอำนาจของกรรม ยังให้เกิดคตินิมิตอีก อันจะชักนำให้ผู้กระทำกรรมนั้นๆ
แล้วไปเกิดในที่นั้นๆ แล้วก็เกิดในลำดับเดียวกัน กับกรรมนิมิตนั้นเอง
ให้ผลเป็นสุขเป็นทุกข์ก็เหมือนกัน


แต่มันส่อแสดงให้เห็นสภาพ หรือสถานที่อันตนจะพึงได้ไปเกิด ชักจูงให้จิตเลื่อมใส พอใจ
ในอันที่จะน้อมจิตให้เข้าไปยึดมั่นยิ่งขึ้น

เช่นผู้ที่ได้สร้างบุญกุศลไว้ มีการทำทานเป็นต้นดังกล่าว จะเห็นสถานที่ที่ตนจะต้องไปเกิด
หรือไปเสวยอานิสงส์นั้น อย่างน่ารื่นรมย์รโหฐาน พร้อมด้วยเครื่องบริขารที่ตนได้ทำบุญไว้
แต่มันเป็นของวิเศษ ยิ่งกว่าที่เราได้ทำไว้นั้นเป็นไหนๆ

เมื่อเห็นเข้าแล้วใจก็ปลื้มปีติอย่างยิ่ง บางทีอาจมีผู้มาชี้ให้เห็นว่า สิ่งเหล่านั้นสถานที่นั้น
เป็นอานิสงส์ของท่าน ที่ได้ทำบุญไว้แล้ว หรืออาจมีผู้คนมารับ แห่แหนไปด้วยความมีเกียรติก็ได้

ส่วนคติกรรมชั่วตรงกันข้าม มันให้เกิดความทุกข์แสนสาหัสเหลือที่จะอดกลั้น
นิมิตทั้งสองคือ กรรมนิมิตและคตินิมิต ขณะที่มันปรากฏเกิดขึ้นให้เห็นด้วยใจนั้น
ผู้ทำกรรมไว้แล้ว จะระลึกถึงกรรมหนหลัง ที่ตนได้กระทำไว้แล้วในอดีตตลอดได้หมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าได้เห็นกรรมดี พร้อมทั้งนิมิตที่ดี เป็นพยานก็จะอิ่มใจเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
ถ้าได้เห็นกรรมชั่ว พร้อมทั้งนิมิตที่เป็นอัปมงคล ใจก็จะหดหู่
เดือดร้อนเป็นทุกข์มากแสนทวีคูณ


เรื่องที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ สมัยครั้งพุทธกาลก็เคยได้มีมาแล้ว แม้ในปัจจุบันนี้ก็มักจะได้ยินกันบ่อยๆ
ผู้สนใจ คงจะได้ทราบดีอยู่บ้างแล้วในเรื่องนี้

นิมิตทั้งสองนี้ บางทีกรรมนิมิตเกิดก่อน แล้วคตินิมิตจึงเกิดภายหลังก็มี ไม่แน่นอน ถึงนิมิตใดจะเกิดก่อนเกิดหลัง ก็จะนำทางให้เข้าถึงจุดเดียวกันนั้น

นิมิตทั้งสองนี้ เปรียบเหมือนตำรวจ ที่ซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมของยมบาล ตามสืบราชการลับ
ทั่วทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำกรรมดีกรรมชั่ว ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
เขาทั้งสอง จะต้องตามรู้ตามเห็นไปทั้งหมด

ใครจะปกปิดอำพราง หรือแก้ตัวอย่างไรๆ ไม่ได้ทั้งนั้น และคนที่ซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงตรง
รู้ดีกว่าตำรวจทั้งนายนี้ก็คือ ใจของตนเองนั้นแลเป็นคนแรก,

บางคนอาจเข้าใจว่า กรรมดีและกรรมชั่วที่บุคคลได้กระทำไปแล้ว
ให้ผลในปัจจุบันนี้เอง เช่นสร้างกรรมดี ไว้ย่อมมีผู้ยกย่องสรรเสริญให้เกียรติรางวัลเป็นต้น
ทำกรรมชั่วไว้ ได้รับโทษทรมาน เช่นประหารชีวิตและถูกจำจองเป็นต้น
ผลอนาคตไม่มี นั่นมันเป็นเรื่องของอุจเฉททิฏฐิ เห็นว่าโลกหน้าไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


บุญกรรมที่ทำแล้วไม่มีผล มันเป็นภัยแก่สัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรง
ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า ผู้ทำกรรมดีกรรมชั่วยังมีกิเลสอยู่ ภพชาติก็ยังมีอยู่
กิเลสนั้นแลเป็นมัคคุเทศก์ นำทางให้ไปเกิดในภพชาตินั้นๆ และได้เสวยผลกรรม
ที่ยังเหลืออยู่ในที่นั้นๆ

การได้รับผลกรรม ไม่ว่าดีหรือชั่วในปัจจุบัน เป็นแต่ผลกรรมมีประมาณเล็กน้อยในปัจจุบันเท่านั้น
ผู้เจริญรูปฌานก็จะเพ่งเอานิมิตรูป ที่มาปรากฏเป็นกสิณอยู่ที่ใจนั้นเป็นอารมณ์
ให้นำไปเกิดในรูปภูมิ ผู้เจริญอรูปฌาน ก็จะเพ่งเอาความว่างอันเป็นอารมณ์ของฌานนั่นแล
มาเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ให้นำไปเกิดในภูมิที่มีแต่ความว่าง รูปภูมิเป็นภพที่มีรูปละเอียด
ไม่ได้ใช้เซลล์หรือประสาทอย่างธรรมดาสามัญ

เช่นมนุษย์ของพวกเราทั้งหลายนี้ แต่เป็นรูปของจิต ท่านผู้เข้าถึงแล้ว ย่อมทราบได้ดีในเรื่องนี้
คนธรรมดาสามัญอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ พูดไปมากก็เลอะเลือนไปเปล่าไม่เข้าที

ยิ่งอรูปฌานแล้ว ก็ยิ่งเป็นของเหลือวิสัยที่พวกเราจะอนุมานเอาได้ ยิ่งอนุมานก็มีแต่จะผิดหนักเข้าทุกที



สรุปแล้วนิมิต เป็นผู้นำทางให้ผู้ยังมีกิเลสอยู่ไปเกิดในคตินั้นๆ ผู้เข้าถึงรูปฌานและอรูปฌานแล้ว
ก็ยังตกอยู่ในคติเดียวกันนั้น

บางท่านอาจเข้าใจไปว่า เวลาจวนจะตายจึงจะระลึกเอาแต่นิมิตที่ดี เพื่อให้นำทางไปสู่สุคติ
ข้อนั้นอย่าพึงคิดเลย เสียเวลาเปล่า เป็นเรื่อง
ของการแก้ตัวของผู้ประมาทแล้วต่างหาก คนเราเกิดมาแต่ละชาติ มา สร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมดี
แม้แต่ละวัน หากจะมาหักลบกันแล้ว อยู่ดีๆปกตินี่แหละ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย
กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ของแต่ละบุคคลนั้น จะเหลือทุจริตมากกว่าสุจริตเป็นอเนกทีเดียว

แล้วเมื่อจวนจะตาย ยิ่งจะไม่ร้ายไปกว่านี้อีกหรือ ขนาดผู้บำเพ็ญกุศลระลึกเอาผลอานิสงส์ของความดีงามไว้เป็นอนุสสติตลอดกาล นอนหลับนอนฝัน ก็ปรากฏเห็นเป็นภาพนิมิตอยู่อย่างนั้น
นั่นก็มิใช่จะพ้นจากทุกข์ไปได้ทีเดียว มันเป็นแต่ทางให้เข้าถึงสุคติเท่านั้น



ทางให้ถึงความดับภพดับชาติ


ภพชาติเป็นตั้งของกองทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายมากองอยู่ที่ผู้ยังมีภพชาตินี้ทั้งนั้น ภพชาติจะเกิดมีขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยผู้ยังมีกิเลสอันเป็นคู่กันกับนิมิต นำให้ไปเกิดในที่นั้นๆ ผู้ต้องการอยากจะให้ดับภพดับชาติ
ก็ต้องพยายาม อย่าให้นิมิตทั้งสองนั้นเกิดขึ้นได้ ในเมื่อจวนจะแตกดับนิมิตทั้งสอง
เราจะแต่งเอาตามปรารถนาไม่ได้
แต่มันเป็นไปตามบุญกรรมกิเลสของแต่ละบุคคลที่ได้สร้างเอาไว้ดังกล่าวแล้ว

๑. เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะทำอย่างไร จึงจะไม่ให้นิมิตเกิดขึ้นได้ในเมื่อจวนจะแตกดับ

ตอบ เมื่อเราเกิดมา จมอยู่ในกองแห่งทุกข์ทั้งหลายในป่าดงของกิเลสอันน่ากลัว แล้วเห็นผลของกรรมชั่วอันน่าสยดสยองอย่างยิ่ง จึงพอกันที แล้วบำเพ็ญแต่กรรมดีที่ให้ผลเป็นความสุข
จนอิ่มพอในความสุข ที่กรรมดีมอบให้นั้น แล้วละความสุขนั้นเสีย ไม่หลงมัวเมาเอามาเป็นของตน
ของตัวอย่างจริงจัง เรียกว่าละทั้งดีและชั่ว เพราะอิ่มแก่ความต้องการทั้งหมดแล้ว
นิมิตทั้งสองนั้นจึงจะไม่เกิด


๒. หากจะมีคำถามว่า เมื่อยังไม่อิ่มในกรรมทั้งสองนั้นจะทำอย่างไร

ตอบ ก็ต้องสร้างกรรมดีต่อไป แต่อย่าไปสร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะกรรมชั่วเราได้สร้างมามากแล้ว จนมีผลเหลือที่จะเก็บและจำหน่ายออกได้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


๓. เมื่อชีวิตยังมีอยู่ กรรมดีกรรมชั่วก็ไม่ทำแล้ว แล้วจะอยู่และทำอะไรอีก


ตอบ เมื่อชีวิตยังมีอยู่ การเคลื่อนไหวก็ต้องมี การเคลื่อนไหวอันได้แก่กรรม แต่ก็อย่าให้มีกรรมชั่ว
จงให้มีแต่กรรมดี เพราะกรรมดีคนดีทำง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก คนดีทำกรรมดีไม่ปรารถนาผลตอบแทน
ถึงแม้จะทำกรรมดีอยู่ ก็ไม่ชื่อว่าทำกรรม เรียกว่ากิริยา

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าก่อนจะดับภพดับชาติได้ คือถึงพระสัพพัญญุตญาณ ท่านได้สร้างบารมีมาแล้ว
เป็นอเนกชาติ มีทานบารมีเป็นต้น ผลสุดท้าย เมื่อบารมีของท่านอิ่มพอแล้ว จึงละโลกนี้ที่มีกรรมเป็นมูลฐานดับแล้ว ไม่มีเชื้อเหลืออยู่อีกต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


บทส่งท้าย


มนุษย์คนเรา ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในจำพวกของสัตว์ทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกนี้ พร้อมกันนั้น
สัตว์ทุกๆประเภท ต่างก็เกลียดทุกข์ ดิ้นรนเพื่อแสวงหาความสุขตามปรารถนาของตนๆ

แต่ความสุขที่เขาเหล่านั้นต้องการ อาจไม่เหมือนกัน เพราะความแตกต่างในฐานะชั้นภูมิของเขาเหล่านั้น
ไม่เหมือนกัน ความหวังและความปรารถนาที่ว่านั่นแล มันเป็นเครื่องดึงดูดให้เขาเหล่านั้นรักโลกนี้อันเต็มไปแล้วด้วยกองทุกข์

ให้เขาลืมเสียจากทุกข์เหล่านั้นเป็นพักๆไป แล้วเขาก็เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข ความเสมอภาคของสัตว์เหล่านั้น นอกจากจะมีความแก่ ความเจ็บ ความตายแล้ว ยังมีทุกข์มีสุขประจำ

มีการหลับการนอน การร้องไห้ และหัวเราะเพื่อแก้กลุ้ม ก็มีแก่สัตว์ทั่วไป ข้อสำคัญคือการสืบพันธุ์
เพื่อเป็นมรดกตกทอด มาให้แก่คนอื่นสัตว์อื่น เ

พื่อสร้างทุกข์ของโลกนี้ให้เจริญสืบไป หรืออาจเพื่อเป็นรังเรือนทุกข์ในอนาคตแก่ตนเองอีกด้วยก็ได้สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วล้วนแล้วแต่เล็งผิดเป้าหมายของตนทั้งนั้น

โดยเฉพาะคนเราแล้ว พลาดมากเป็นพิเศษ คือมีความต้องการไม่แน่นอน ปรารถนาสิ่งใดเมื่อได้สิ่งนั้นมาตามปรารถนาแล้ว แทนที่จะอิ่มจะพอแก่ความต้องการแล้ว แต่ก็ยังไม่พออีก สิ่งที่ได้มา
กลับเป็นของที่ไม่จุใจไปอีกแล้ว มันหิวไม่อิ่มอยู่ตลอดกาลอย่างนี้

ฉะนั้นคนเราจึงยุ่ง และทุกข์มากกว่าสัตว์เหล่าอื่นเป็นไหนๆ ถึงแม้จะมีข้อกฏกติกาและระเบียบบังคับอย่างเฉียบขาด แต่ก็ยากที่จะเอาให้อยู่ได้ พร้อมกันนั้นสิ่งที่ผู้ประมาทแล้ว ไม่ค่อยคำนึงถึงเลย
คือความแก่และความตาย ค่อยด้อมๆตามหลังมาอย่างเงียบๆ

หากมันได้โอกาสเมื่อไรแล้ว มันจะตะครุบฟัดเหวี่ยงเอาอย่างไม่มีปรานีเลยทีเดียว
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาด เฉียบแหลมกว่าเพื่อนมาก

แต่เป็นที่น่าเสียดาย แทนที่จะนำเอาความฉลาดเฉียบแหลมนั้น มาใช้สร้างความสุขความเจริญให้แก่ตน
และคนอื่น กลับมาสร้างความทุกข์เดือดร้อนให้แก่ตนและคนอื่น
สัตว์อื่นไปเสียฉิบ สู้ความแหลมของหนามทุเรียนไม่ได้ ซึ่งมันมีไว้เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น
แต่ใครอย่าไปแตะต้องมันนะ แล้วก็อย่าไปใกล้ต้นมันเวลามันหล่น


คนเราเป็นสัตว์ร้ายกว่าเขาทั้งหมด เกิดมาเพื่อทำลายโลกแท้ เริ่มต้นแต่สืบพันธุ์มนุษย์มาเพื่อให้มาตาย
เมื่อเกิดมามากๆ ตามไม่ทันก็คิดทำลายล้างผลาญกัน เมื่อใช้อาวุธที่มีประจำตัวของแต่ละบุคคลทำลายกันไม่ทันกับความต้องการ ก็คิดสร้างอาวุธที่ร้ายแรงประหารกัน

ตามทีละเป็นร้อยๆพันๆ ใครว่ามนุษย์เกิดมาสร้างโลกให้เจริญนั้นไม่จริง ความจริงแล้วจะสร้างความเจริญให้เฉพาะแก่ตัวเองและหมู่คณะในวงแคบๆของตนเอง หรือเฉพาะสถานที่ที่ตนต้องการเท่านั้น แต่มันไปทำลายบุคคลอื่น และสถานที่อื่นให้เดือดร้อนราบเรียบไปหมด

สมัยนี้ผู้ที่เกิดมาหาความสุขเพื่อตน และหมู่คณะของตนพอแล้ว คิดอิจฉาริษยาคนอื่น
ไม่ยักให้เขามาเกิดอีกด้วย

คนผู้เห็นแก่ตัวมองพุทธศาสนาในแง่ร้ายว่า สอนให้คนอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนา พระองค์ทรงพิจารณาเห็นความเสื่อมโทรมของโลก โดยพระปัญญาอันชัดแจ้งแล้ว
จึงทรงสละความสุขของพระองค์ทุกๆวิถีทาง เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก


ทรงอาศัยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ แล้วทรงตั้งพระหฤทัยอนุเคราะห์ แนะนำพร่ำสอนเวไนยสัตว์ ให้ปฏิบัติเป็นผู้เสียสละตามพระบาทยุคล

ผู้ไม่หลงผิด ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระองค์แล้ว ย่อมได้รับความสุขความเจริญ ทั้งแก่ตนและบุคคลอื่น
ได้ชื่อว่าพระองค์เกิดมา เพื่อทำโลกนี้ให้เจริญด้วยสติ
อันเป็นที่ปรารถนาของเหล่าประชาสัตว์โดยแท้จริง :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 14:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาครับ มีหนังสือดีๆช่วยแบ่งปันกันนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร