วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ส.ค. 2005, 08:15
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นะโมพอทำใจได้เกี่ยวกับเรื่องสามีมีเมียน้อย (เพราะทำใจมานานแล้ว เกือบ 18 ปี) แต่คราวนี้กลับมาสับสนเพราะไปฟังและอ่านหนังสือธรรมะเรื่องกรรม ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันแบบ สามคนผัวเมีย อยู่คนละบ้าน ขอรบกวนถามน่ะคะ
1. ถ้ายังต้องอยู่กันแบบนี้ เท่ากับว่าเรายังมีกรรมต่อกัน และถ้าชาติหน้าเกิดมาอีก ต้องเจอกันอีกไหม
2. ถ้าเลิกกัน เท่ากับหมดกรรมหรือเปล่า หรือต้องไปชดใช้กับคนอื่นอีก
3. ที่ว่า ถ้าเราอยู่ไม่ได้ แล้วทำไมต้องทนอยู่ อย่าคิดว่าเป็นเพราะกรรมอย่างเดียว เราฝืนลิขิตกรรมได้หรือ

ทุกวันนี้ คิดว่าเป็นกรรม เราก็ชดใช้กรรมไปจนกว่าจะหมด พยายามไม่คิดอกุศล ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยเหลือกันไป ขนาดเมียน้อยขอยืมเงินยังให้ยืมเลย (ใจดีไปเปล่าเนียะ เพื่อน ๆ ยังบอกว่าทำไมใจดีอย่างงั้น) เพราะยืมเงินจากสามีไม่ได้ แถมยังโดนสามีต่อว่า มายืมเงินเรา เราก็ให้ เมียน้อยบอกว่าไม่คิดว่าจะให้ยืม เลยบอกไปว่า โดนสามีต่อว่าไปแล้ว แล้วจะไปซ้ำเติมอีกทำไม ถ้าเธอไม่เดือดร้อนก็คงไม่มายืมเราหรอก เมียน้อยบอกสามีว่าเขาซึ้งน้ำใจเรามาก ให้ยืมแถมไม่ว่าเขาอีก สามีเลยบอกว่านี่ไม่ใช่พี่น้องเธอเขายังช่วยขนาดนี้ พี่น้องเธอยังไม่ช่วยเลย คราวหน้าคราวหลังจะพูดอะไรก็พูดกับเขาดี ๆ อย่าประชดประชัน ณ ขณะนี้ เมียน้อยดีกับเรามาก เกรงใจเรามากขึ้น (ทุกครั้งชอบพูดจาแบบประชดประชัน) แต่เราเฉย ๆ น่ะ ขนาดช่วงวันสงกรานต์เมียน้อยอวยพรให้เรา และขอให้เราอภัยที่พูดไม่ดี เราก็บอกไปว่าจริง ๆ พอฟังแล้วก็โกรธ แต่พอคิดอีกที ก็คิดว่านี่เป็นนิสัยของเธอ และให้อภัยไม่เคยคิดโกรธ คิดว่าเธอก็เป็นน้องสาวคนหนึ่ง

นะโมคิดว่านี่เป็นการชดใช้กรรมอย่างหนึ่งค่ะ ทำดี ใจดี จะได้หมดกรรมเร็ว ๆ

คิดถูกหรือเปล่าค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :b29: :b4: :b34:

.....................................................
ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรม แปลว่า ผลแห่งการกระทำ

การกระทำในอดีตจะส่งผลถึงปัจจุบัน การกระทำในปัจจุบันจะส่งผลถึงอนาคต

ขอตอบแบบรวบ 3 ข้อเลยนะ แต่อาจจะไม่ค่อยตรงคำถามเท่าไร ถ้าเราทำแต่กรรมดีแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ฐานะอะไรมันก็ดีทั้งนั้น ทำดีมันไปเรื่อยๆมีแต่ความปราถนาดีให้แก่ผู้อื่น ดีให้ใจหายใจคว่ำไม่ต้องฟังเสียงคนอื่นเชื่อมั่นในความดีของตน สร้างแต่ความดีคนไม่เห็นแต่เทวดาผีสางเห็น ทำทั้งทาน ศีล ภาวนา ฟอกจิตฟอกใจให้ใสสะอาด อย่าหวั่นไหวต่อการทำความดี ผมเป็นกำลังใจให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาตมะคานธี เคยกล่าวเอาไว้ตอนอังกฤษเข้ามาในอินเดียแล้วจับคนอินเดียเป็นทาสว่า "เมื่อไหร่ก็ตามที่ทาสได้ปลดโซ่ตรวนในใจจนขาดสะบั้นแล้ว ความเป็นทาสของเขาได้หมดสิ้นไปแล้ว"....ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจจริงๆ...^^ เป็นกำลังใจให้จร้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2011, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ส.ค. 2005, 08:15
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่ให้คำแนะนำค่ะ ขอถามอีกนิดน่ะค่ะ

จริงอยู่คนเราเกิดทุกข์ก็เพราะใจเราเป็นต้นเหตุ แต่ถ้าเราพยายามลบเลี่ยงไม่เจอกับสิ่งที่เป็นทุกข์ ก็จะไม่ทำให้เกิดการสร้างเวรสร้างกรรมมิใช่หรือค่ะ ถึงแม้ว่าใจเราจะบอกว่านี่เป็นกรรม เราต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทำใจปล่อยวางไป ไม่คิดอกุศล (ยังไม่สามารถทำใจไม่ให้ทุกข์ได้ แต่ก็สามารถปรับความคิดอกุศล และความทุกข์ได้เร็วขึ้น ไม่เก็บมาคิดมาก แต่ก็ยังมีบ้างที่ฟุ้งซ่านอยู่)

ทุกครั้งที่เราต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า เราตัวคนเดียว แต่อีกคนหนึ่งเขามีลูก 2 คน เป็นครอบครัว เคยบอกสามีว่า ต่างคนต่างอยู่ดีไหม (เขาไปซื้อบ้านอยู่กับเมียน้อยและลูก เนื่องจากลูก ๆ โตเป็นวัยรุ่นแล้ว อยากมีห้องส่วนตัว ส่วนเราอยู่คอนโด บางครั้งก็คิดมากน่ะ ตกลงใครเป็นเมียน้อย เมียหลวงเนี่ยะ แต่เดียวนี้เฉย ๆ แล้ว มีบ้างที่คิด แต่ก็แ๊ป๊ปเดียว ก็นิ่งได้) แต่สามีไม่ยอม อยากอยู่กันแบบนี้ ไม่รู้ว่าสามีต้องการอะไร เคยบอกว่าเขาอยากอยู่กับเรามากกว่า เพราะอีกฝั่งหนึ่ง คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ชอบคิดไปเอง (เหมือนจะบอกว่าอยู่กับเราแล้วสบายใจ ก็เชื่อน่ะค่ะ แต่เดียวนี้ไม่เชื่อแล้ว) คนเรานี่เปลี่ยนไปได้ตลอดน่ะคะ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยื่นจริง ๆ วันนี้พูดอย่าง อีกวันก็พูดอย่ีาง เราก็ได้แต่ทำใจถ้ายังต้องอยู่กันในสภาพอย่างนี้

บางครั้งเราก็คิดน่ะค่ะว่า ทุกวันนี้ต้องอยู่ด้วยตัวของเราเอง ไม่คิดหวังพึ่ง เมื่อก่อนคิดว่าฝากชีวิตไว้กับสามีเลย ตั้งแต่ที่เขาทำให้เรารู้สึกว่าเราหวังพึ่งไม่ได้ ก็ตอนที่แม่เราเสีย รู้สึกเสียความรู้สึกมาก (เราเสียใจที่แม่เสีย แทนที่จะมาอยู่้เป็นเพื่อน เมียน้อยกับบอกว่าเดี๋ยวให้ลูกชายคนโตมาอยู่เป็นเพื่อน)
เลยคิดว่านี่เขาคิดไม่เป็นหรือไง ต้องคอยให้เมียน้อยมาบอก ก็เลยบอกกับตัวเองว่าต้องอยู่ได้ตัวเราเอง เลยทำให้เกิดความเย็นชากับเขา ไม่ใส่ใจเขา มีเวลาก็ไปหาพ่อ พี่น้องของเรา แทนที่เขาจะเข้าใจกลับมาว่าเรามัวแต่สนใจที่บ้าน ไม่สนใจเขาเลย พอวันเสาร์ก็ไปบ้านพ่อ ไม่เคยทำอาหารให้กินเลย
แรก ๆ เราก็เฉย ๆ ไม่โต้แย้ง จนสุดท้ายก็บอกเขาไปว่าทำไมเราถึงทำอย่างนั้น คำตอบที่ได้คือ เขาบอกว่าก็เห็นไปอาทิตย์ละครั้ง ไม่ค่อยสนิทกับที่บ้าน เลยคิดว่าเราไม่เป็นไร โอ้โหคิดได้ไงเนี่ย
ซึ่งเรื่องนี้ผ่านมาแล้วเกือบ 5-6 ปี เราก็เฉย ๆ แล้ว คิดแต่ตัวเองมากขึ้น จนปัจจุบัน เหมือนอยู่กันแบบเพื่อน ไม่หวังพึ่งพา ไม่หวังอะไรกับเขาแล้ว เราตัวคนเดียว อยากทำอะไรก็ทำ (แต่ก็ยังมีจิตใจที่เมตตา คอยช่วยเหลือลูก ๆ เขา และเมียน้อย) จนบางครั้งคิดว่าที่เราทำไปเนี่ยะ จะสร้างเวรสร้างกรรมกันอีกหรือเปล่า จะต้องมาเจอะเจอกันอีกหรือเปล่า มีคนบอกว่า ถ้าสามีเขาขาดเรา เขาจะลำบาก ไม่เจริญในหน้าที่การงาน ดวงของเราจะคอยสนับสนุนทั้งสามี และเมียน้อย

ขอจบก่อนน่ะคะ มีอีกเยอะค่ะ ขอโทษน่ะคะที่ต้องมาระบายในที่นี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่เราสับสนค่ะ อยากได้กำลังใจและคำแนะนำค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ smiley tongue

.....................................................
ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2011, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องกรรมเป็นเรื่องอาจินไตย
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เรื่องอดีตและอนาคตคิดมากก็เป็นทุกข์
ทำเหตุในปัจจุบันให้ดี แล้วอนาคตก็จะดีเอง
ประโยชน์สำเร็จได้ในปัจจุบัน
tongue smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2011, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ธรรมดาอยู่ที่จะสับสนเรื่องวิบากกรรมที่ได้รับ โยม นะโมพุทธายะ ตั้งใจฟังและพิจารณาให้ดี ๆ ธรรมดาความรู้สึกเป็นทุกข์ ความสับสนความฟุ้งซ่านรำคาญใจที่เกิดจากบุคคลอื่น คนรอบข้าง ตนเองบ้าง คนโดยส่วนใหญ่ก็จะคิดเสียว่านั้นเป็นกรรมจากอดีต ข้อนี้ก็เป็นศรัทธาความเชื่ออย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับพระธรรมคำสั่งสอน เพื่อเตือนเพื่อระลึกว่า โลกนี้มีแต่กรรมดีกรรมชั่ว ที่เป็นสมบัติติดตัวกันไปทุกสัตว์ตัวตนบุคคล

เมื่อความฟุ้งซ่าน ความเดือดร้อนรำคาญใจ ความทุกข์ใจยังติดตามคนเราโดยให้เป็นผลประจักษ์แก่บุคคลที่เชื่อเรื่องกรรมและกฏแห่งกรรม(วิบาก) ได้ ก็แปลว่าความดีความมีน้ำใจ กุศลผลบุญที่เราได้รับ หรือแม้การช่วยเหลือคนที่ลำบากตกทุกข์ได้ยาก นั้นก็อาจเป็นเพราะเคยได้บุคคลอื่นช่วยเหลือในคราวลำบากมาก่อน เหมือน ๆ กับที่ตอนนี้เราก็ได้เกื้อกูลช่วยเหลือคนอื่น ให้บุญให้คุณกับคนอื่นเหมือน ๆ กับที่คนอื่นให้บุญให้คุณกับเรามา ดังนี้เป็นธรรมนิยาม ที่ติดตามบุคคลไปตามกรรมดีกรรมชั่ว

เช่นกันคนที่ได้รับวิปากความเดือดร้อนทุกข์ใจกังวลใจต่าง ๆ ก็เหตุเพราะอวิชชาปกปิดไม่อาจเห็นอดีตที่ตนสร้างไม่เห็นปัจจุบันที่ตนทำ จึงไม่หยั่งถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนได้

ในคำถามข้อแรก ถึงตรงนี้หากเริ่มเห็นธรรมนิยาม บ้างแล้วก็จะเข้าใจ ว่าอาจไม่ใช่เฉพาะเพียงชาตินี้ที่ต้องมาร่วมสุขร่วมทุกข์หรือว่าชาติหน้าต้องมาร่วมสุขร่วมทุกข์อีกหรือไม่ ใครเลยจะรู้ว่า ก็ปัจจุบันนี้มีที่มาอย่างไร แปลว่าอดีตอาจเป็นสาเหตุของที่มานี้ก็เป็นได้ เมือปัจจุบันเป็นเช่นไร ปัจจุบันนี้ก็จะเป็นที่ไปในอนาคตฉันนั้นเช่นกัน ตามธรรมนิยามของกรรม และกฏแห่งกรรม ว่าอดีตมันเคยเป็นมา ปัจจุบันมันก็จะเป็นไปอย่างนี้ อนาคตก็คงไม่ผิดไปจากนี้ !

ข้อสอง สังสารวัฏฏ คือความสืบต่อของกรรมและผลของกรรม เมื่อยังมีกิเลสตัณหาที่พาหลงผิด ยังมีอวิชชาความไม่รู้ปกปิด ไม่รุ้แจ้งอริยสัจ๔ ไม่เห็นทุกข์ ไม่ละเหตุแห่งทุกข์ ไม่ถึงความดับทุกข์ และไม่ปฏิบัติหนทางเพื่อความดับทุกข์ ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ดังเช่นธรรมนิยามอันเป็นสัจธรรมของทุก ๆ ชีวิต จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามก็ไม่มีทางหนีพ้นกฏแห่งกรรมไปได้ เช่นบุคคลผู้มีความไม่รู้ ไม่รู้ว่า ความยึดถือธรรมชาติร่างกายจิตใจนี้เป็นตัวตนเป็นเราของเรา ก็เหมือนคนแบกของหนัก เดินทางไกล ไม่อาจวางภาระนี้ลงได้ บุคคลที่เข้าใจทุกข์ เข้าใจความหลง ความยึดถือนี้แล้ว ด้วยการมีศีลเป็นเบื้องต้น มีสมาธิเป็นท่ามกลาง มีปัญญาเป็นเบื่องปลาย ก็จะปลดวางภาระหนักนี้ลงจาก เวทีชีวิต เวทีในวัฏฏสงสาร ไม่ต้องแบกทุกข์แบกโศก ที่มีความยึดถือเห็นผิดว่า เป็นเราเกิด เป็นเราแก่ เป็นเราเจ็บ เป็นเราตาย เป็นเราทุกข์ เป็นเราเศร้าเป็นเราฟุ้งซ่าน เป็นเราคับแค้นใจ เป็นเราปรารถนาไม่ได้สิ่งนั้น เป็นเราประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ฯลฯ

เมื่อยังไม่สิ้นตัณหาอุปาทาน ยังแสวงหาที่เกิด อยุ่ไม่อาจมีปัญญาเห็นแจ้งจนหลุดพ้นไป อย่างน้อย หากเกิดอีกก็จะไม่ต้องตกต่ำเพราะได้รักษาศีล๕, ๘ เว้นการประพฤติผิดในกามและถือพรหมจรรย์ ไม่ต้องมีเรื่องราวลำบากเดือดร้อน คับแค้นใจใด ๆ อีก เพราะความตั้งมั่นของจิตใจ และมีปัญญาแทงตลอดถึง อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ปลอม ๆ มายานี้ละวางลงไปได้

ข้อสาม กรรมคือเจตนา ทางกายวาจาใจ ที่สัตว์บุคคลกระทำด้วยอำนาจจิตใจที่สะสมมาของตนเอง และถูกกระทำถูกชักจูงด้วย เจตนาจากกายวาจาใจของบุคคลอื่นสิ่งอื่น สัตว์ในโลกนี้ ล้วนต้องอาสัยความขยันขันแข็งในการประกอบกิจการงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องฉันใด จิตใจของคนเรานั้นที่ต้องหัดต้องดัดต้องฝืนก็ฉันนั้นเช่นเดียวกัน อะไรที่มันจับต้องได้สัมผัสได้ คนเราหากจะตัดจะขาดมันแล้ว ก็อาสัยแต่กรรไกรหรือมีดเท่านั้น ก็ไม่ต้องฝีนไม่ต้องทนกันอีกต่อไป แต่สิ่งที่มองไม่เห็นเช่นความโลภ ความโกรธ ความหลง มายาต่าง ๆ ซึ่งเป็นของละเอียด จะมีก็แต่ศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้นที่จะตัดให้ขาดได้

ปลาเป็นยังต้องว่ายทวนน้ำฝืนแรงน้ำเพื่อไม่ไหลไปรวมกับปลาที่จะกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นฉันใด ใจของคนเราที่ไม่ตั้งอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไหนเลยจะทวนกระแส คลื่นความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มองไม่เห็นเป็นของละเอียดได้

หนทางที่จะดับทุกข์ มีอยู่ แต่ต้องผ่านการกำหนดรู้ ทุกข์ กำหนดรู้ ร่างกายจิตใจนี้จะมีแต่เสื่อมสลายลงไป ยึดถือพึ่งพาอะไรไม่ได้ คอนโดบ้านที่อยู่อาศัยหลบฝนหลบร้อนหนาวได้ ก็ไม่อาจหลบความทุกข์ หลบอกุศลต่าง ๆ ที่ยังมีอยู่ในจิตใจได้ มีแต่จะกำหนดรู้ พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ให้เห็นว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มีแต่ทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของเราสักสิ่งอย่าง เริ่มวางเฉยเป็นกลางต่อร่างกายจิตใจ ไม่ยึดถือไม่หลงไปตามกิเลสตัณหา แม้ที่สุดการสร้างกรรม ชนิดที่ยังต่อคุณต่อโทษกันต่อไป ไม่ประกอบด้วยปัญญาที่รู้แจ้งว่า ร่างกายจิตใจนี้ ไม่เที่ยงมีเกิดแก่เจ็บตาย จิตใจนี้มีเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวเฉย ๆ ร่างกายจิตใจนี้เป็นทุกข์เพราะหิวเพราะร้อนเพราะหนาวเพระเมื่อยเพราะปวด จิตใจนี้เป็นทุกข์เพราะมีแต่สภาพไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สุดท้าย เมื่อมีปัญญาเห็นในความไม่เที่ยงของร่างกายจิตใจไปโดยลำดับ ว่าร่างกายนี้บังคับให้ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายไม่ได้ จิตใจนี้บังคับให้สุขให้ทุกข์ให้เฉย ๆ อย่างเดียวไม่ได้ ไม่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของใคร ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้นเลย เมื่อมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาอย่างนี้ แม้ทุกชีวิตที่เกิดมาก็เป็นอย่างนี้ จะไปรีรอมัวรอคอยใคร แบกใครให้เป็นทุกเป็นบุญเป็นบาปอยู่ทำไม การวางภาระหนัก เข้าถึงความสงบ ความดับเย็นในชาตินี้มีจริง

ลำพังแบกของหนักของตนเองก็หนักหนาสาหัสในวันลาลับจากโลกนี้จากคนที่เรารัก นับประสาอะไรจะต้องแบกใครต่อใครอีกให้วุ่นวาย แต่หากมีน้ำใจจะวน ๆ เวียน ๆ สุข ๆ ทุกข์ ๆ เกิดมาชาติหน้าเที่ยวถามใครต่อใครอีกว่า ที่เจออยู่ที่ทุกข์อยู่อย่างนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างนี้อีกไหม ก็พึ่งสังวรระวังจำเอาไว้ อาจไม่ใช่แต่เพียงชาตินี้ หรือชาติหน้า ว่าได้เคยสงสัยเคยถามใครต่อใครมาก่อน ไม่แน่บางทีอดีตชาติก็เคยถามเคยสงสัยมาแล้วอย่างนี้ ก็เป็นได้

กรรมปากท้องคู่ครองคนรัก การทำมาหากิน ใช้ศีลแก้ กรรมท้อแท้จิตใจหมดที่พึ่งที่หวังใช้สมาธิแก้ กรรมเพราะมืดมัวกรรมเพราะไม่รุ้แจ้งเห็นจริงกรรมเนิ่นนานกรรมเนิ่นช้า ใช้ปัญญาแก้ เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับ ด้วยการมี สัมมาทิฏฐิ การเห็นชอบ การรู้ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ หนทางการดับทุกข์ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบคิดชอบ ไม่คิดเรื่องอยากได้อยากมีเพ่งเล็งเลยความสันโดษพอเพียง ไม่พยาบาทผูกโกรธแค้นใคร ไม่คิดเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น สัมมาวาจา ไม่โกหก ไม่หยาบคาย ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ สัมมากัมมันตะ การงานชอบสุจริต สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ลำบาก พอเพียง สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ เพียรละวังอกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด เพียรละอกุศลที่เกิดแล้วให้หายไป เพียรสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้อยู่ต่อไป สัมมาสติ การมีสติระลึกรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรรม สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นชอบคือจิตใจมั่นคง ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ทั้ง ๘ ข้อนี้ ย่อลงคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ได้แสดงไว้แล้วว่า เอาธรรมข้อไหนแก้กรรมอะไร ขอความสวัสดีจงมีแก่โยม นะโมพุทธายะ ให้พบธรรม สิ้นกรรม เจริญพร

ป.ล.หลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หนทางดับทุกข์ คือสัมมสติในมรรคทั้ง ๘ พุทธฏีกายินดีเป็นกัลยาณมิตรให้เจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2011, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: สาธุ สาธุ สาธุยิ่งค่ะ

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2011, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 22:38
โพสต์: 15


 ข้อมูลส่วนตัว



กราบเรียนเชิญท่านพุทธฏีกา
ได้แสดงธรรม
หลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หนทางดับทุกข์ คือสัมมสติในมรรคทั้ง ๘
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อบอกทางดับทุกข์
แก่ผู้ยังหาหนทางนี้ไม่เจอ ด้วยเถิด

ขออนุโมทนา สาธุ เจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2011, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


pokaiw เขียน:
กราบเรียนเชิญท่านพุทธฏีกา
ได้แสดงธรรม
หลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หนทางดับทุกข์ คือสัมมสติในมรรคทั้ง ๘
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อบอกทางดับทุกข์
แก่ผู้ยังหาหนทางนี้ไม่เจอ ด้วยเถิด

ขออนุโมทนา สาธุ เจ้าค่ะ

เจริญพรครับ คุณโยม pokaiw และขออนุญาตคุณโยม นะโมพุทธายะ ด้วยนะครับ เวลามีจำกัด บวชสามฤดูปีนี้ มีเณรน้อย ๙ ขวบไม่ได้สิกขาลาเพศ เลยกลายเป็นลูกเณรติด(ภาระ) :b9: ขอฝากกระทู้ที่ตอบคำถามเรื่องสิ้นกรรม สิ้นทุกข์ สิ้นภพสิ้นชาติ ตามหลักที่ควรรู้ควรทราบก็หวังว่าจะพอมีประโยชน์ได้บ้าง ในนั้นมีกล่าวเรื่องเจริญสติปัฏฐานอยู่นิดหน่อย ไว้เวลาโอกาสอำนวยจะ มาแสดงสัมมาสติ สติปัฏฐาน ๔ ในโอกาสต่อไปนะครับเจริญพร


http://larndham.org/index.php?/topic/41596-%e0%b8%a3%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%96%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a0%e0%b8%b1%e0%b8%aa/page__view__findpost__p__761821

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
อ้างคำพูด:
นะโมพอทำใจได้เกี่ยวกับเรื่องสามีมีเมียน้อย (เพราะทำใจมานานแล้ว เกือบ 18 ปี) แต่คราวนี้กลับมาสับสนเพราะไปฟังและอ่านหนังสือธรรมะเรื่องกรรม ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันแบบ สามคนผัวเมีย อยู่คนละบ้าน ขอรบกวนถามน่ะคะ
1. ถ้ายังต้องอยู่กันแบบนี้ เท่ากับว่าเรายังมีกรรมต่อกัน และถ้าชาติหน้าเกิดมาอีก ต้องเจอกันอีกไหม
2. ถ้าเลิกกัน เท่ากับหมดกรรมหรือเปล่า หรือต้องไปชดใช้กับคนอื่นอีก
3. ที่ว่า ถ้าเราอยู่ไม่ได้ แล้วทำไมต้องทนอยู่ อย่าคิดว่าเป็นเพราะกรรมอย่างเดียว เราฝืนลิขิตกรรมได้หรือ

:b1:
...ชีวิตไม่แน่นอน ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดนี่แน่นอน...
...เพราะทุกอย่างในชีวิตประจำวันปรากฎให้เราเห็นเป็นกิเลสคือเป็นคน สัตว์ สิ่งของ...จริงๆเป็นธรรม...
...สภาพทุกอย่างเสมือนปรากฎเป็นเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันให้ตัวเราทำกรรมทางกายวาจาใจ...
...จริงๆเป็นสภาพจิตท่องเที่ยวทางโคจรรูป ถ้าไม่คิดก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย จึงต้องศึกษาพระธรรม...
:b8:
...สภาพที่เป็นตัวเราลงมือทำแล้วก็จำทุกสิ่งได้ แต่ละที่ที่ไปก็แวดล้อมไปด้วยผู้คน สัตว์ สิ่งของ...
...มีแต่สภาพธรรมที่เป็นสภาพจิตท่องเที่ยวทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นการเที่ยวโคจรรูป 7 อย่าง...
...ตาเห็นรูปหรือสีที่แตกต่างกัน หูได้ยินเสียงสูง-ต่ำต่างกัน จมูกได้กลิ่นต่างๆกัน ลิ้นได้รสต่างๆกัน...
...กายรับสัมผัสเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว...รวมลงมาสู่ใจ...มีใจเป็นใหญ่เป็นประธานรับทราบ...
:b20:
...ที่มีสิ่งที่ปรากฎทางอายตนะ6(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ )แต่ละทางเป็นเพียงโครจรรูป 7 อย่าง...
...ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีคน สัตว์ สิ่งของ มารองรับอารมณ์ชอบ ไม่ชอบ รัก โกรธ หอม เหม็น...
...มีแต่สภาพธรรมที่จิตแต่ละดวงจะต้องเห็นสิ่งที่ปรากฎตามสภาพภพภูมิ...ปัจจุบันก็ภพภูมิมนุษย์...
...ธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระไตรปิฎกละเอียดอย่างยิ่งน่าศึกษา...
Kiss


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร