วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2011, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าของกิจการ?
คนเลี้ยง?
คนฆ่า?
คนขายเนื้อ?
คนกิน?

องค์ของปาณาติบาต
๑. สัตว์มีชีวิต
๒. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. จิตคิดจะฆ่า
๔. พยายามเพื่อจะฆ่า
๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

ตามความเข้าใจของผม
เจ้าของกิจการรู้เห็นกับการฆ่า ถ้าไม่สั่งหรือสั่งให้ส่งฆ่าก็ไม่ได้ขาย ครบองค์๕
คนเลี้ยงผมไม่รู้ว่าต้องฆ่าด้วยไหม ถ้าฆ่าก็ครบองค์๕
คนฆ่า ครบองค์๕
คนขายเนื้อ ไปเห็นยินดีตอนเขาฆ่า สั่งเขาฆ่า ฆ่าเอง ก็ครบองค์๕
คนกิน มีอยู่สองกรณี ๑.)ไม่ครบองค์๕ ด้วยไม่มีส่วนรู้เห็นในการฆ่า ๒.)ครบองค์๕ ด้วยสั่งให้เขาฆ่า

แค่มีส่วนยินดีตอนก่อนจะฆ่ากำลังฆ่า เมื่อการฆ่าสำเร็จเราก็จะบาปไปเต็มๆ
อย่าเผลอไปยินดีตอนเขากำลังจะฆ่ากันหละ สำเร็จมาเราก็ปาบนะ

แล้วเจ้าของกิจการมีบุญคุณส่วนใดหรือไม่
ช่วยให้คนมีอาชีพ? - อาชีพในการทำปาบนั้นหรือ?
ช่วยดูแลรัษาให้อาหารสัตว์ - หากสัตว์ไม่ได้ถูกขัง สัตว์นั้นก็สามารถหากินเองได้
ช่วยให้คนมีอาหาร? - โดยธรรมชาติมนุษย์สามารถบริโภคส่วนของพืชได้หลายส่วน หรือเราสามารถหลีกเลี่ยงไปกินซากสัตว์ที่ตายแล้วได้

โดยส่วนตัวเห็นว่าการจะรักษาศีลได้ต้อง อาศัยกำลังสติปัญญามากเลย นี่แหละมั้งเขาเลยว่าศีลช่วยเพิ่มสมาธิและปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: อย่าไปคอยแต่ตีความพระไตรปิฎก เดี๋ยวก็มีธรรมมะอวดรู้ เข้ามตีความอวดภูมิกัน ทะเลาะกันด่ากันหยาบคายอีก จนคนมีศรัทธา เขาหนีไปจะหมดแล้ว คัมภีร์นั้นอ่านสัก100จบ กิเลสมันไม่ลด มันไม่หมดสงสัย แต่มันทำให้รู้จักสมมุติบัญัติมาก อัตตามันกลับโตขึ้น ทะเละกันไม่เลิกอยู่ทุกกระทู้ ลงมือปฏิบัติจริง แล้วมันหมดสงสัย ไม่ต้องไปถามใครมากอ่านพอรู้เป็นแนวทาง แล้วปฏิบัติ ธรรมมะมันไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฏก นั่นเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ ธรรมมะที่เป็นปรมัติ มันอยู่ที่ร่างกายยาววา หนาคืบนี้ และจิตนี้เท่านั้น อย่าส่งจิตออกนอก เวลาจะทำอะไร อย่าไปยึดถูกผิดเอาจากสมมุติ ให้พิจารณา ที่อารมณ์จิต ถ้าจิตไม่เป็นอกุศล ก็ใช้ได้ รู้ให้ตลอดก่อนคิดก่อนทำก่อนพูด ว่าจิตมันเสวยอารมณ์ใด ก่อนคิด ก่อนทำ ก่อนพูด เป็นกุศลแล้วจึงทำ เป็นอกุศลให้กำหนดรู้ หาวิธีหยุดด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ขันติ อุเบกขาธรรม จิตนี้มันก็ยังไม่แน่ มันก็ยังแปรไป ก็คอยตามรู้มันอย่างนี้ตลอด เดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นกุศลอีก ทำบุญ ทำกุศลให้ถึงพร้อมไม่ต้องรีบ ตัวพุทธคือผู้รู้นี้มันอยู่ที่จิตอารมณ์จิต นี้คือจิตสังขาร มันก็ปรุงแต่งของมันไป เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ความดับทุกข์นั้นมันจะมีขึ้นได้ เมื่อเราสามารถหยุดการปรุงแต่งจิต ไม่หลงไปกับจิตสังขาร
.......เราก็พยายามช่วย พยายามชี้เท่าที่จะทำได้ แต่หลายครั้งไม่เกิดประโยชน์ เพราะหลายท่าน เข้ามาในกระดาน ไม่มีเจตนา เรียนรู้เรื่องทุกข์ และไม่มีประสงค์แท้ต้องการดับทุกข์ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่บุญกุศล
ของแต่ละบุคลไป สำหรับคนต้องการพ้นทุกข์ ก็พิจาณราที่จิตนี้ พิจารณาให้เห็นจิตประพัสสร หรือจิตเดิมแท้ภายใน สำรอกเอา อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกให้หมดจากจิต นั่นแหละจะเห็นจิตเดิมแท้
และก็จะพ้นทุกข์ ตามลำดับไป.....เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
เจ้าของกิจการ?
คนเลี้ยง?
คนฆ่า?
คนขายเนื้อ?
คนกิน?



เห็นเหตุได้มันก็จบ ใครสร้างเหตุไว้อย่างไร ผลย่อมเป็นไปตามนั้น

เพียงแต่จะเห็นแล้วหรือยัง หากเห็นแล้วย่อมไม่สงสัย ที่ยังสงสัยเพราะยังไม่เห็น

ดูในกายและจิตของตัวเองดีกว่า ย่อมสิ้นสงสัยได้ในที่สุด


เป็นเพียงความคิดเห็นค่ะ :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เพ่งโทษนอกตัวมากเท่าไหร่ ย่อมยากที่จะเห็นกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตตัวเอง

ความเมตตา หากยังมีอคติจะกลายเป็นโลภะ โทสะ โมหะไปทันที

ความโลภที่เกิดขึ้นในใจ ความอยากช่วยผู้อื่น

โทสะ เกิดเพราะ ไม่ได้ดั่งใจ เริ่มเพ่งโทษนอกตัว นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ถูก

โมหะเกิด เพราะกิเลสที่เกิดขึ้น ( ที่คิดว่าเมตตา อยากช่วย ) บดบังสภาวะกิเลสที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นในจิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
โดยธรรมชาติมนุษย์สามารถบริโภคส่วนของพืชได้หลายส่วน หรือเราสามารถหลีกเลี่ยงไปกินซากสัตว์ที่ตายแล้วได้

ถ้ามนุษย์ทุกคน คิดได้ทำได้ดังนี้ คงเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ :b8:
การเบียดเบียนสัตว์ ทรมานสัตว์ คงหาไม่พบ
การฆ่า..ฆ่าโดยตรง โดยอ้อม สั่งฆ่า เลี้ยงไว้เพื่อขายให้ไปฆ่า...ฯลฯ
บาป ทั้งนั้น..ตั้งแต่ หยาบๆ จน ละเอียด...
มันอยู่ที่เจตนา... :b12:
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: อย่าไปคอยแต่ตีความพระไตรปิฎก...
.........
...พิจารณาให้เห็นจิตประพัสสร หรือจิตเดิมแท้ภายใน สำรอกเอา อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกให้หมดจากจิต นั่นแหละจะเห็นจิตเดิมแท้
และก็จะพ้นทุกข์ ตามลำดับไป.....เจโตวิมุติ/

รับฟังด้วยความยินดีครับ :b1:

walaiporn เขียน:
เห็นเหตุได้มันก็จบ ใครสร้างเหตุไว้อย่างไร ผลย่อมเป็นไปตามนั้น
..........
ดูในกายและจิตของตัวเองดีกว่า ย่อมสิ้นสงสัยได้ในที่สุด
..........
เพ่งโทษนอกตัวมากเท่าไหร่ ย่อมยากที่จะเห็นกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตตัวเอง
.........
โมหะเกิด เพราะกิเลสที่เกิดขึ้น ( ที่คิดว่าเมตตา อยากช่วย ) บดบังสภาวะกิเลสที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นในจิต

รับทราบครับผม :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 00:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b12:

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2011, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
เจ้าของกิจการ?
คนเลี้ยง?
คนฆ่า?
คนขายเนื้อ?
คนกิน?


บาปทุกคนครับ ร่วมกันบาป

ไม่มีคนกิน.....ก็ไม่มีการขาย....ไม่มีการขาย....ก็ไม่มีการฆ่า ไม่มีกิจการด้านนี้

ลองคิดดูให้ดี....เหตุทั้งหมดทั้งมวลเริ่มมาจากการกิน...ถ้าคนไม่กิน แล้วจะฆ่า

เพื่ออะไร.....คงไม่ฆ่าเล่นๆเพื่อความสนุกมั้ง

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนฆ่า คนสั่งให้ฆ่า และคนขอให้ฆ่าบาปจร้า...^^

ส่วนคนทานจะบาปหรือไม่บาปเอาตามนี้จร้า

ครั้งนั้น หมอชีวกโกมารภัจได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้ว่า ชนย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าใคร่จะทราบว่าชนทั้งหลายที่กล่าวอย่างนั้น ชื่อว่ากล่าวตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หรือว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้าด้วยคำไม่จริง พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“ดูก่อนชีวก ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระองค์ทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเจาะจงเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้ ชนเหล่านั้นไม่ชื่อว่ากล่าวตรงกับที่เรากล่าว แต่ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง
ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือเนื้อที่ตนเห็น ๑ เนื้อที่ตนได้ยิน ๑ เนื้อที่ตนรังเกียจ ๑
ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้
ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการคือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น ๑ เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน ๑ เนื้อที่ตนไม่รังเกียจ ๑
ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้”

เนื้อที่ตนเห็นคือ เห็นเขาฆ่าเพื่อนำมาให้ตน
เนื้อที่ตนได้ยินคือ ได้ยินว่าเขาฆ่าหรือสั่งฆ่าเพื่อนำเนื้อมาให้ตน
เนื้อที่ตนรังเกียจคือ เห็นชนเหล่าใดถือเครื่องมือล่าสัตว์ออกไปแล้วอีกเวลาหนึ่งมีเนื้อมา(อาจสันนิฐานว่าเป็นเนื้อที่ได้ฆ่าเพื่อนำมาเพื่อตน) เหล่านี้คือเนื้อที่ไม่ควรทาน...^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 16:46 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 11:57
โพสต์: 22

แนวปฏิบัติ: ยุบหนอ-พองหนอ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: รัชกาลที่ ๙
ชื่อเล่น: ตอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าของกิจการรึเขาทำ ขึ้นมา ทำไมเล่า เพื่อฆ่า หรือ เพื่อเลี้ยง? คนเลี้ยงเล่า ไม่ได้ฆ่า จริงใช่ไหม แต่เลี้ยงไว้ ด้วยใจ บุญสุนทาน คนฆ่ารึ จับของผู้ เลี้ยงไปฆ่า บาปหนา สาหัส เกินทนไหว แล้วผู้ขายนี่รึ บาปอันใด ก็เราไป เอาของ ของเขามา เราเปล่าฆ่า แต่จะบาป นั่นไหมหนอ อ๋อๆ ถ้าไม่ได้ ฆ่ามัน จักไม่บาป แต่เมื่อไร ที่ฆ่า ขายกันเอง นรก จะบรรเลง เพลงกล่อมให้ ส่วนผู้กิน ในแง่ พระพุทธศาสนาไป จักบาปไป ไม่มาก ก็น้อยลง แต่ในแง่ เห็นใจกัน เอาไว้ ก็ให้ กินได้ ไม่วายปราณ ก็แล้วแต่ ว่าทำเอง หรือซื้อมา ถ้าซื้อมา กินแล้ว จักเป็นไร? ถ้าทำเอง นั่นรึ ถือว่าบาป แต่ก็ควร สงสาร เขาว่าไหม ใครเห็นด้วย ก็กรุณา มาโพสต์ ตอบด้วยไย ขอเป็นยอด ชาวพุทธ สุดยอดธรรม (อันนี้แต่งเองหมดเลยนะคะ ติชมด้วยค่ะ สาธุ) :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร