วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 19:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2011, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยเอะใจกันบ้างไหมครับ s006

ถ้ากิเลสความหลงสามารถทำให้บุคคลหลงผิดไปได้โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังหลง คิดไปว่าสิ่งที่ตัวเองประสบถูกต้องแล้ว เป็นจริงแล้ว

ดังนั้นเราที่ยังไม่สามารถละขาดจากกิเลสทั้งปวงนี้ ย่อมกำลังหลงกันอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย

แม้การปฏิบัติตามแนวทางวิปัสนาจะเป็นทางเอกที่พระศาสดาได้ทรงชี้แจงไว้ แต่ทางนั้นไม่ได้เดินกันได้ง่ายๆ มีอุปสรรคมากมาย ทั้งที่เห็นได้ชัด และที่หลบซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน คอยหลอกล่อนักเดินทางให้เขวไปได้

กับดักบางอย่างร้ายกาจถึงขนาดว่าทำให้ผู้เดินทางคิด เชื่อ ปักใจลงไปว่าตัวเองถึงจุดหมายจุดใดจุดหนึ่งแล้ว ทั้งที่จริงๆแล้ว จุดหมายอันดีงามนั้นเป็นภาพมายาอันแสนอันตรายที่กิเลสสร้างขึ้นไว้เพื่อล่อลวงผู้เดินทางอย่างแนบเนียน กับดักที่ซ่อนอยู่เหล่านี้ท่านเรียกว่า วิปัสนูปกิเลส ทั้ง10

จึงขอใช้โอกาสนี้ตักเตือนผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน รวมถึงตัวผมเองด้วย ให้ศึกษากับดักทั้ง 10 นี้ไว้ให้ดี เพราะครูบาอาจารย์หลายท่านได้เตือนไว้แล้วว่าในระหว่างการปฏิบัติ ไม่มีทางที่กิเลสเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น!!!

สิ่งสำคัญคือ เราจะรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังถูกกิเลสเหล่านี้เล่นงานอยู่

การหลงยึดในของ 10 อย่างนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่กรงขังโดยความสมัครใจ

แม้ความสุขความสงบ ก็ไม่ควรยึดถือ แม้ความเฉียบคมของสติรับรู้ ก็ไม่ควรยึดถือ แม้ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขณะปฏิบัติ ก็ไม่ควรยึดถือ

เพราะเมื่อยึดเข้าไปแล้ว เมื่อหลงปักใจเชื่อแล้ว ก็เปรียบกับปิดประตูกรงขังตัวเองด้วยตัวเอง ยากนักที่จะหลุดพ้นไปได้

ที่สำคัญอย่างยิ่ง ควรแล้วหรือที่จะให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นสาเหตุของการถกเถียงทำลายกัน

อย่าปฏิเสธเลยว่าตัวเองไม่มีกิเลสเหล่านั้น อย่าปฏิเสธเลยว่าตัวเองไม่หลง อย่าปฏิเสธเลยว่าตัวเองไม่ยึด ตราบใดที่การศีกษาการเดินทางยังไม่สิ้นสุด แม้เราจะพร่ำบอกตัวเองเท่าไรว่าเราไม่ยึดแล้วในกิเลสเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงกิเลสที่กำลังยึดเราไว้นั้นไม่ได้อ่อนกำลังลงไปเลย

การยอมรับว่าตนเองมีกิเลสต่างๆเหล่านั้นต่างหาก ที่เป็นการเริ่มต้นสู่การปฏิบัติเพื่อพ้นไปจากกิเลสทั้งปวง

(โดยส่วนตัว ผมศึกษาจาก http://walailoo2010.wordpress.com/2008/ ... %E0%B8%A5/)

ควรไม่ควรอย่างไรทุกท่านโปรดพิจารณา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แก้ไขล่าสุดโดย คนธรรมดาๆ เมื่อ 09 มิ.ย. 2011, 13:32, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2011, 09:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 02:37
โพสต์: 22


 ข้อมูลส่วนตัว


ดีครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2011, 10:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss Kiss

:b8: อนุโมทนาคร๊าบบบบบ

ท่านผู้เจริญในธรรม

สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2011, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
แม้ความสุขความสงบ ก็ไม่ควรยึดถือ แม้ความเฉียบคมของสติรับรู้ ก็ไม่ควรยึดถือ แม้ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขณะปฏิบัติ ก็ไม่ควรยึดถือ

นี่ละครับ...วิปัสสนา
ขออนุโมทนา สาธุ
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2011, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:27
โพสต์: 72


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
มองทาง สำรวจทาง รู้ทุกเส้นทาง เผื่อเจอแยกจะได้จำได้ และเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ความจริงคนมีปัญญา แท้มันก็มีอยู่ แต่ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มักไม่จริง อันนีเราไม่ได้พูดแต่อรหันต์ นิรนามเป็นคนพูด เราเถียงกันมากมาย ถึงเรื่องสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ และสัมมาปัญญา ก็อาจารย์ ตั้งมากมาย ตั้งตนป็นอาจารย์ใหญ่ ยังสอนลูกศิษย์ว่า นิมิตคือความสำเร็จ หรือการทำวิปัสนามาถูกทาง บางคนว่าฌาณเป็นสมาธิที่คิดอะไรไม่เป็น นั้นเป็นมิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิ โง่ซึม บางคนก็ว่าจิตว่างหมายถึงอาการที่จิตไม่มีปฏิกริยา กับสิ่งที่มากระทบ เปรียบเสมือน จิตนี้ไม่รับรู้อะไรแล้ว
........แต่ของที่ถูกนั้นมันมีอยู่ มันก็มีอยู่แต่เดิมอย่างนั้น เราต่างหาก ที่มองยังไม่เห็น หรือปฏิบัติไปยังไม่ถึงที่ของมัน หรืออาจไปหลงติดอยู่กับอะไรๆ อย่างที่ว่านั่น การปฏิบัตินี้ ครูบาอาจารย์แท้ ท่านถึงย้ำหนักหนา ว่ารู้แล้วให้ปล่อย เมื่อไรหลงไปยึด ไปยินดี มันก็วิปัสนูกิเลส อย่างที่นำมาโพสท์นั่นแหละ ต้องไม่มีอะไรวิเศษนั่นแหละผ่าน ไปติดวิเศษอยู่ ก็คือหยุดหรือหลง เมื่อไรคิดว่าตนเองวิเศษ หรือพิเศษนั้น หลงแล้ว.
.......อยากจะไปให้ถึง นั้นไม่มีทางถึง สำเร็จได้ด้วยความอยากไม่มี สำเร็จได้ต้องด้วยความเพียรและโยนิโสมนัสสิการ
..........อย่าไปเถียงกันเรื่งทิฐิ แม้เป็นสัมมาทิฐิแล้ว พระเสขะ โสดาบัน สกิทาคามี ก็เห็นไม่ตรงกันทั้งหมด พระอรหันต์ เท่านั้นที่มีทิฐิที่ตรงกัน เห็นตรงกัน
...........ปัญญาชอบ ก็เช่นกันปัญญาของพระเสขะก็เป็นปัญญาชอบได้ ปัญญาของโสดาบัน ก็เป็นปัญญาชอบ สกิทาคามี อนาคามี ล้วนเป็นปัญญาชอบทั้งนั้น
..........เปรียบเด็กประถมก็มีปัญญา เด็กมัธยมก็มีปัญญา จบปริญญา ก็มีปัญญา แต่มันไม่เท่ากัน ทีสุดของปัญญา หมดสงสัย หมดกิจค้องทำคืออรหันต์
.......ฉะนั้นอย่าเอาแต่ อย่าเอาแต่เถียงกัน อย่าเอาแต่สงสัย เพราะบางทีมันก็ถูกทั้งคู่ แต่มันเป็นคนละตอน คนละขั้นกัน ปริญญา ก็อึดอัดใจกับมัธยมอยู่ มัธยมก็ยังหนักใจที่จะพุดให้ประถมเข้าใจ ส่วนประถมก็บอกว่าเราเป็นที่หนึ่งในห้องครูก็รับรองอยู่ ทำไมถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง เห็นไม่ตรงกันเสียที
....วิปัสนู กิเลส10นี้ แม้เราไม่เคยอ่าน ไม่เคยท่องมาก่อน แต่ในสิ่งที่ปฏิบัติผ่านมาบ้าง ยืนยันว่ามันตรงกับที่โพสท์ไว้ทั้งหมด ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ธรรมทานของท่านผู้โพสท์นี้ เป็นมหากุศล แม้เพียงผู้หนึ่งผู้ใด
ได้อ่านเข้าใจ และปฏิบัติตาม เราขออนุโมทนาในประโยขน์เกื้อกูลอย่างยิ่งนี้ป็นที่สุด.......เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
ควรไม่ควรอย่างไรทุกท่านโปรดพิจารณา

เจ้าของบทความเล่นบัญญัติตีสำนวนมากเกินไปครับ การอธิบายความเรื่องที่เกี่ยวกับ
จิตสภาวะที่เป็นนาม ไม่ควรใช่สำนวนหรือบัญญัติให้มันเกินเหตุ ควรพูดหรือชี้ลงไป
ให้ตรงประเด็น สภาวะนามเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น การใช้สมมุคิบัญญัติมากๆป็นสิ่งไม่สมควร
สิ่งเอาสำนวนโวหารมาใช้ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

จิตเราเป็นนาม ถ้าเราพูดโดยแยกกายหรือรูปออกไป จิตของปุถุชนก็เป็นเพียงสถาวะ
ในเรื่องของ อยาก(โลภะ) ไม่อยาก(โทสะ) โมหะ(หลง)และตัวที่สำคัญอีกตัวก็คือ
สติ(ระลึกรู้)
จากคำพูดที่ว่า ยึดหรือไม่ยึดนี้เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ แต่ในความเป็นจริงของสภาวะนามแล้ว
ยึดก็คือโลภะ ไม่ยึดก็คือโทสะ สองลักษณะนี้มันถูกครอบคลุมด้วยความหลง

เจ้าของบทความใช้คำว่าไม่ยึด " แม้กระทั้งสติก็ไม่ควรยึด"การพูดแบบนี้
เป็นลักษณะของการพูดเรื่อยเปื่อย ขาดความรับผิดชอบหรืออาจเป็นเพราะ
ขาดความเข้าใจในสภาวะธรรม

สติเป็นเครื่องมือสำหรับละกืเลสไม่ให้ปรุงแต่งต่อ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
สติมีหน้าที่ละในความยึดหรือไม่ยึด ถ้าเราปราศจากสติแล้ว
การยึดหรือไม่ยึดมันก็คือกิเลสดีๆนี่เอง

สติเป็นผลอันเกิดจากการทำงานของจิตเพื่อมาละ ความยึดหรือไม่ยึด
มันจึงไม่อยู่ข่ายของการยึดหรือไม่ยึด

แม้อริยบุคคลมีปัญญาแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้วว่า ความยึดหรือไม่ยึดเป็นอย่างไร
อริยบุคคลยังต้องอาศัย สติเพื่อระลึกรู้ปัญญาตลอดเวลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นสมาชิกหลายท่านชอบพูดถึงการถกเถียงกันหรือวิวาทะของคนอื่น
เลยอยากให้ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้ รู้จัก อนุสัยกิเลสหรือสังโยชน์
มันมีเหมือนกันอยู่ตัวหนึ่งที่เรียก มานะ คำๆนี้มีความหมายอย่างไรให้ท่านไปหาดูเอง


ประเด็นที่อยากชี้ให้เพื่อนสมาชิกดูก็คือ การแสดงตนออกมาตำหนิว่ากล่าวการกระทำ
ของผู้อื่นว่าไม่สมควรต่างๆนาๆ ท่านทราบหรือไม่ครับว่า ท่านกำลังแสดงออกถึง
ตัวกิเลสที่มีชื่อว่ามานะ ท่านอยากเข้าใจไปว่า สิ่งที่ท่านทำเป็นสิ่งดี
ถึงจะเป็นกิเลสมานะแต่มันก็เป็นกุศล เพราะพระอนาคายังละไม่ได้
มันเป็นการเข้าใจผิดมากครับ พระอนาคาแสดงออกและรู้ตัวว่ายังมีกิเลส
ในส่วนนี้อยู่

แต่พวกที่ไม่รู้ตัวนี้ซิครับ มันเกิดจาก กิเลสเบื้องต้นยังอยู่ครบถ้วน
เลยมองกิเลสที่ละเอียดหรือกิเลสเบื้องปลายว่าเป็นสิ่งดีเป็นกุศล

การแสดงออกมันจะเป็นกุศลหรือไม่ มันอยู่ที่ผู้แสดงออกรู้ตัวหรือเปล่าว่า
สิ่งที่ตนแสดงออกไปนั้น มันเป็นกิเลสที่ชื่อมานะ ถ้าไม่รู้ผมแนะนำครับ
เลิกเสียเถอะครับ หมั่นไปลดละเลิกกิเลสตัวต้นๆเสียก่อน ความหลงมันจะได้ไม่ครอบงำครับ


ท่านสมาชิกครับ ดูใจตัวเองบ้างหรือเปล่าครับ เห็นเขาถกเถียงกัน
มันเกิดสภาวะใดขึ้นบ้าง มันใช่ความไม่พอใจจนแปรเปลี่ยนเป็นความอยาก
ที่แสดงออกด้วยการตำหนิคนอื่นหรือเปล่า และหลงไปว่าสิ่งที่ตัวทำเป็นกุศล

นี้แค่สภาวะนะครับ แต่แท้จริงในสภาวะจิตนั้น ยังมีการปรุงแต่งอีกมากครับ
แต่ไม่อยากจารนัย ผู้ใดทำผู้ใดแสดงออก ต้องรู้ด้วยตัวเองครับ

ปล. สิ่งที่ผมแสดงออกไป ผมก็รู้นะครับว่าเป็นมานะ เดียวจะเข้าตำรา
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: พูดแต่ดี....ดีแต่พูด :b45:


...พูดแต่ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย
ไม่ต้องเคลีย ครหา ค้าความใด
สัตตบุรุษ หยุดพูดเปลือง เรื่องเลวร้าย
แม้จะใช่ ก็ไม่พูด เรื่องไม่ดี

พูดแต่ร้าย กลายประเด็น เรื่องเหม็นบูด
ดีแค่พูด แต่ไม่นำ ทำแต่ชี้
อสัตตบุรุษ ร้ายพูดหมด จรดปฐพี
ดีแต่พูด พูดไม่ดี ดีไม่พูด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 10:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
:b45: พูดแต่ดี....ดีแต่พูด :b45:

...พูดแต่ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย
ไม่ต้องเคลีย ครหา ค้าความใด (ไม่ต้องเคลีย คำนินทา พาสงสัย)
สัตตบุรุษ หยุดพูดเปลือง เรื่องเลวร้าย (สัตตบุรุษ หยุดพูดเปลือง เรื่องจันไร)
แม้จะใช่ ก็ไม่พูด เรื่องไม่ดี (แม้จะใช่ ก็ไม่นำ มาพาที)

พูดแต่ร้าย กลายประเด็น เรื่องเหม็นบูด
ดีแค่พูด แต่ไม่นำ ทำแต่ชี้ (ดีแต่พูด แต่ไม่นำ ทำยิ๊หยี๋)
อสัตตบุรุษ ร้ายพูดหมด จรดปฐพี
ดีแต่พูด พูดไม่ดี ดีไม่พูด... (จ้วงถึงผี ราวีถึงเจ้า เ้คล้ากันจนเพลิน)


โหยยยยยย
อ่านแล้วหมดรมย์ หง่ะ

ไปเรยยยย ไปเรยยยย ท่านปล่อย ห้วย
อารมณ์สุนทรีย์ประมาณไหนเนี๊ยะ
ปกติออกจะ smooth คล้องจอง
แต่มาครานี้ อ่านแล้วอย่างกะขั้นบันใด

เล่น วางกับดักทางสายตา กันอย่างนี้เยยยเหย๋ออออ
สอดส่ายมาเพลิน ๆ สะดุดเป็นขั้น ๆ เลย

:b32: :b32:
:b9: :b9:

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote=]:b45: พูดแต่ดี....ดีแต่พูด :b45:
...พูดแต่ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย
ไม่ต้องเคลีย ครหา ค้าความใด
สัตตบุรุษ หยุดพูดเปลือง เรื่องเลวร้าย
แม้จะใช่ ก็ไม่พูด เรื่องไม่ดี
พูดแต่ร้าย กลายประเด็น เรื่องเหม็นบูด
ดีแค่พูด แต่ไม่นำ ทำแต่ชี้
อสัตตบุรุษ ร้ายพูดหมด จรดปฐพี
ดีแต่พูด พูดไม่ดี ดีไม่พูด...[/quote]
"ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ"

พวกขี้เมาขึ้หลีเห็นผู้หญิงไม่ได้ อยากบรรลุธรรม
วันๆก็เมามัว เมาเหล้าติดกามราคะ หลงละเมอเพ้อพกอยากได้อะไร
อยากเป็นอะไรก็แต่งบทกลอนเอา ชอบยึดมั่นถือมั่นสิ่งไร้สาระ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2011, 17:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rotala เขียน:


การอบรมศีล
เจริญภาวนาเบื้องต้น
และวิปัสสนาฌาน
โดย...พระกัมมัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภิวังสะ

....

ปัญญาที่ผุดขึ้นเองโดยตรง

บางครั้งมีผู้แปล วิจาร” เป็นภาษาอังกฤษว่า investigation (การพิจารณาไต่สวน” หรือ
“sustained thought” (ความคิดที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง) คำแปลดังกล่าวอาจทำให้เกิดความเข้าใจ
ผิดได้มาก เนื่องจากชาวตะวันตกถูกสอนมาตั้งแต่ระดับอนุบาลให้ใช้ความคิดในการหาคำตอบว่า
“ทำไม” และ “เพื่ออะไร” อย่างไรก็ตาม การสอบสวนไตร่ตรองแบบนี้ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญ
วิปัสสนา การเรียนรู้ด้วยการคิดเช่นนี้เป็นเพียงหนึ่งในความรู้สองประเภท

ความรู้อีกประเภทหนึ่งได้แก่ การเรียนรู้โดยตรงที่เกิดขึ้นเอง
ในการเจริญวิปัสสนา ผู้ปฏิบัติจะกำหนดอารมณ์ปรมัตถ์โดยตรง
โดยเข้าไปประสบกับสภาวธรรมจริง ๆ โดยไม่คิดถึงสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นวิธีเดียวที่จะบรรลุ
ญาณปัญญา ซึ่งประจักษ์แจ้งสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริงตามธรรมชาติ

บางคนอาจไตร่ตรองจนมีความเข้าใจปรมัตถธรรมมากหลาย หรือได้อ่านมามากมาย
แต่หากไม่ประสบสัจจธรรมด้วยตัวเองโดยตรงแล้ว ก็มิอาจบรรลุถึงญาณทัศนะใด ๆ


สาเหตุที่สมถฌานก่อให้เกิดความสงบ แต่ไม่ทำให้เกิดญาณปัญญาได้ เนื่องมาจากสมถะ
กำหนดบัญญัติเป็นอารมณ์ แทนที่จะใช้อารมณ์ที่ประสบจริง ๆ โดยไม่ต้องคิดนึก วิปัสสนาฌาน
สามารถนำไปสู่ปัญญาได้ เพราะกอปรด้วยการรับรู้อารมณ์ที่เป็นปรมัตถธรรมโดยตรงอย่างต่อเนื่อง
เช่น เรามีผลแอปเปิลอยู่ข้างหน้า และได้ยินบางคนบอกว่า ผลแอปเปิ้ลนี้ชุ่มฉ่ำ หวาน อร่อยมาก
หรือบางทีเราอาจไปเจอแอปเปิ้ลลูกเดียวกันนี้เข้า และคิดว่า “โอ แอปเปิ้ลนี้ดูชุ่มฉ่ำจริง ๆ พนันได้
เลยว่ามันจะต้องหวานมาก” เราอาจคิด เราอาจพนันได้ แต่ตราบใดที่เรายังไม่ได้รับประทานผลไม้
นั้น เราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า แอปเปิ้ลนั้นมีรสชาติอย่างไร
วิปัสสนาก็เช่นเดียวกัน เราอาจจินตนาการ
อย่างแจ่มชัดว่า สภาวะบางอย่างจะเป็นอย่างไร แต่เราก็ไม่มีทางรู้ได้จริง จนกว่าเราจะได้ปฏิบัติอย่าง
ถูกต้อง เมื่อถึงเวลานั้น เราก็จะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง และไม่มีข้อโต้เถียงใด ๆ ในเรื่องรสชาติที่
แท้จริงของผลแอปเปิ้ล
.....

รู้แจ้งด้วยใจ : การบรรลุวิปัสสนาฌานขั้นที่หนึ่ง
เมื่อกำหนดรู้ชัดเจน โดยเฉพาะในอาการดับไปของสิ่งต่าง ๆ
ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเห็นแจ้งด้วยตนเองถึงลักษณะของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ซึ่งมีประจำอยู่ในปรากฏการณ์ทั้งปวง การประจักษ์แจ้งในใจด้วยตนเองถึงสามัญลักษณะทั้งสามนี้

จะปรากฏในลำดับญาณที่เรียกว่า สัมมสนญาณ ซึ่ง
หมายถึงปัญญาญาณที่เกิดขึ้นจากการได้พิสูจน์แล้ว บางครั้งมีผู้แปลคำ ๆ นี้ว่า “ความรู้ที่พิสูจน์แล้ว
โดยการประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง” ผู้ปฏิบัติประจักษ์แจ้ง หรือได้พิสูจน์ความจริงของลักษณะทั้งสาม
ได้ด้วยประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ได้เห็นการดับไปของปรากฏการณ์ต่าง ๆ


smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2011, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านผู้ใฝ่ในธรรม ท่านเรียนรู้มาผิดๆ คือเรียนรู้มาจากคนที่รู้มาผิดๆ ศาสนาพุทธก็เลยดำเนินกิจกรรมต่างๆมาแบบผิดๆ หรือท่านอาจจะมีความคิดแบบผิดๆ ซึ่งเป็นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำไม่สามารถเข้าถึงหลักการ วิธีการ และการปฏิบัติ ทางพุทธศาสนาพุทธได้อย่างถูกต้องแท้จริง
มันเป็นการเข้าใจที่ผิดๆ โดยความรู้เท่าไม่ถึงกาลของบุคคลในด้านต่างๆ
วิปัสสนา ไม่ใช่เรื่องยาก วิปัสสนาต้องใช้สมาธิ คือต้องมีสติสัมปชัญญะ ตลอดเวลา วิปัสสนูกิเลส ๑๐ อย่างนั้น เป็นเพียงข้อเตือน หรือเป็นเพียงคำบอกว่า ทั้งสิบอย่างนั้น บุคคลผู้ปฏิบัติ ต้องได้พบ ต้องได้ประสบกับมัน เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของระบบการทำงานของสรีระร่างกายของมนุษย์ ถ้าทุกคนรู้ว่า วิปัสสนูกิเลส ๑๐ อย่างย่อมเกิดมีในขณะวิปัสสนา และทุกคนมีสติ สัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ไหลตามความคิด หรือสภาพสภาวะจิตใจ ทั้ง ๑๐ อย่างนั้น ก็ย่อมจะไปเข้าอยู่ในหลัก สติปัฏฐาน ๔ โดยไม่ต้องเรียนรู้จากตำราใดใด เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
แต่ถ้าหากบุคคลไม่มีสติสัมปชัญญะ ดีพอ นั่นก็หมายความว่า จิตใจวอกแวก ไม่มี สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า "อิทธิบาท ๔" บุคคลผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเหล่านั้น ย่อมพบกับสภาพสภาวะจิตใจที่ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า "วิปัสสนูกิเลส" เป็นเรื่องธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ"

นานๆได้ฟังได้อ่านให้หายคิดถึงสักทีครับ "นิราศภูเขาทอง"ของปราช์เอกของโลก อย่างท่านครู สุนทรภู่...^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 18:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครอยากทดลอง ทดสอบปัญญา ลองตอบคำถาม

ฟัง แล้ว ตอบคำถามด้านล่าง

http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=4704

นั่งมองสิ่งที่เห็นตรงหน้า ถามว่า ณ ขณะนั้นปรากฎอะไร

:b12: :b12: :b12:

จริง ๆ เอกอนเจอคำถามในลักษณะนี้มามาก
และเอกอนก็ตอบประโยคเดิมมากว่ายี่สิบปี แล้วก็โดนบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ด่ากลับ ทุกราย
สั่งสอนกลับมาเป็นชุดใหญ่ ไม่เคยไม่โดนเลย

:b22: :b22: :b22:

อิอิ ทายซิว่าเอกอนตอบว่ายังไง

:b32: :b32: :b32:

เมื่อพิจารณาแล้ว อืมมม...สมควรแล้วที่โดน :b22: :b22: :b22:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร