วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 05:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ตอนที่ ๒


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ 23 มิถุนายน 2533 ก็ขอคุยเรื่องวัดคลองมะดัน กันต่อไป ไปวัดคลองมะดันครั้งที่ 2 คือ วัดหลวงพ่อโหน่ง ไปศึกษาวิชาการที่นั่น

เมื่อไปถึงท่าน ท่านให้นั่งหลับตา เราหลับตา ท่านก็หลับ ท่านสั่งให้เข้าสมาธิตั้งแต่ต้นยันปลาย พวกเราก็หลับตากัน เมือเราลืมตาขึ้น ท่านก็ลืมตา ท่านก็ถามว่า อาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว คุณต้องการอะไรอีก

จึงได้ถามท่านบอกว่า การทำได้แค่นี้ ถึงที่สุดความรู้ในพุทธศาสนาแล้วหรือยัง ท่านก็ตอบว่า ยังไกลมาก ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องศึกษาต่อ ถ้าจะไม่จบ ก็ให้มันใกล้จบเข้าไป ค่อย ๆ ทำตามกำลังที่จะพึงทำได้ ท่านก็พอใจ ท่านถามว่า สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คืออะไร

ก็เลยกราบเรียนท่านตรง ๆ บอกว่า ตามที่หลวงพ่อปานบอกว่า หลวงพ่อจะทำอะไรต้องถามพระก่อน เมือพระอนุญาตให้ทำ ก็ทำ พระแนะนำทางไหน ทำตามนั้น ถ้าพระสั่งว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ หลวงพ่อจะไม่ทำ ผมอยากจะศึกษาวิชานี้ขอรับ

ท่านก็บอกว่า เธอต้องการในสิ่งที่ง่ายเกินไปเสียแล้ว ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมจึงง่าย ท่านก็บอกว่า ตามธรรมดานี่ เธอเจริญกรรมฐานใช้อารมณ์พุทธานุสสติใช่ไหม ก็กราบเรียนว่า ใช่ ท่านถามว่าเคยเห็นภาพพระพุทธรูปไหม ก็ตอบว่า เคยเห็น

ท่านถามว่า เคยเห็นภาพพระใหญ่แล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ แล้วทุกวันนี้ เวลานี้ก็เห็นพระพุทธเจ้าทุกวันใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ การเห็นพระ เธอทำไมจึงไม่ถามท่าน ถามในสิ่งที่ควร ท่านจะบอก ถ้าสิ่งใดที่ไม่ควรเราก็อย่าถาม ถ้าถาม ท่านไม่บอก

กราบเรียนบอกว่า ตามตำราไม่มีขอรับ ท่านเลยบอกว่า จริง ตำราเขาไม่มี แต่ว่าเราทำกันได้ ตำราท่านคงจะไม่เขียน เพราะเขียนแล้วก็เกรงว่า คนจะคิดว่าเป็นสิ่งเกินวิสัย เพราะเขาเข้าใจว่า พระนิพพานมีสภาพสูญ เมื่อสูญแล้วก็ไม่มีอะไรหมด

และคนเขียนตำราในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่สูญจากนิพพาน คำว่าสูญจากนิพพาน ก็เพราะว่า เขาถือว่า นิพพานสูญ เขาก็เลยไปนิพพานกันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเข้าใจว่า นิพพานสูญอย่างเดียว ทุกสิ่งก็เจ๊ง

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเธอเห็นพระท่าน ถ้าเธอต้องการจะถามอะไร แต่สิ่งที่จะถามต้องเป็นประโยชน์นะ ต้องเป็นคุณ ต้องเป็นประโยชน์ มีเหตุมีผลพอ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะยอมรับปฏิบัติตามนั้นขอรับ
ท่านถามว่า จะอยู่พักสักกี่คืน ตอนนี้ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่นอนนักครับก็คิดว่า อย่างน้อยก็ 7 วัน หรือ 15 วัน ท่านก็บอกว่า ตามใจ 7 วันก็ได้ 15 วันก็ได้ พอใจเมื่อไรก็บอกฉัน กลับได้ หลังจากนั้นท่านก็แนะนำกรรมฐาน

การแนะนำกรรมฐานบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ต่างกับหลวงพ่อปานเลย เหมือนกันทุกอย่าง เว้นไว้แต่ถ้อยคำที่พูดบางคำ จะต่างกันนิดหน่อย แต่ใจความเหมือนกันหมดแนะนำสิ้น ๆ ทีนี้ถ้าจะไม่กล่าวเสียเลย คนก็จะสงสัย ท่านแนะนำก็คือ

1. จงละนิวรณ์ 5 ประการ นิวรณ์ 5 ประการนี่ ขออย่าได้ยึดถือมัน เราหลีกมันไม่ได้มันกวนใจเราเสมอ เป็นของธรรมดา ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ต้องระงับมันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่เธอทำสมาธิ นิวรณ์มันไม่กวน กำลังใจดีพอแล้ว
ประการที่ 2 ศีลบริสุทธิ์
ประการที่ 3 รักษาไตรสรณคมน์ให้ดี ด้วยความเคารพ
ประการที่ 4 กายคตาสติ ต้องมีความรู้สึกว่า ร่างกายของเราดูตามความเป็นจริงว่าในร่างกาย ตรงไหนมันดีบ้าง จะดูผิดหนัง นึกถึงไส้ ถึงปอด ถึงตับ ถึงไต อุจจาระ ปัสสาวะ ที่มันอยู่ข้างในว่า อะไรมันดีบ้าง ดูคนอื่น ก็ดูเหมือนกับดูตัวเรา เห็นผิวพรรณปั๊บก็ดูข้างในว่าตับไต ไส้ปอด อยู่ตรงไหนบ้าง มีน้ำเหลือง น้ำหนอง มีอุจจาระ ปัสสาวะ

และอีกประการหนึ่ง สิ่งที่เราต้องทำกันจริง ๆ เอาแน่นอนละไม่ได้จริง ๆ นั้นคือบานมี 10 บารมี 10 ประกานี้ต้องท่องจำให้ได้ เขียนเอาไว้ข้างที่นอน (เหมือนหลวงพ่อปานเปี๊ยบเลย เขียนไว้ข้างที่นอน) พอตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าวันนี้ บารมี 10 จะไม่เคลื่อนไปจากเรา

ประการที่สอง สังโยชน์ 10 สังโยชน์ 10 ประการนี่ ท่านหันหน้ามาทางอาตมาท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะปรารถนาพุทธภูมิเธอก็จงอย่าลืมว่า คำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่าเรียนวิชาครู การที่จะเป็นครูเขา ถ้าเราไม่มีความเข้าใจ เราจะสอนเขาได้อย่างไร

มันต้องฝึกสังโยชน์ 10 ด้วย ค่อย ๆ ทำ ทำสังโยชน์ 3 ก่อน ให้ได้แน่นอน เมื่อได้สังโยชน์ 3 แล้ว ค่อย ๆ คลำสังโยชน์ 5 ไปอีก 2 แล้วต่อ ๆ ไปคลำไปถึง 10

ก็ถามท่านว่า ถ้าคลำไปถึง 10 ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรือขอรับ เพราะผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอกว่า เธอต้องทำ จะเป็นหรือไม่เป็น ต้องทำ ทำให้ช่ำชอง แล้วตัดให้ได้เพราะถึงอย่างไรก็ดี เธอมีความจำเป็นจะต้องใช้ เพราะถ้าเราไม่ตัดสังโยชน์ 10 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังโยชน์ 3 ประการตัดไม่ได้ เราไม่สามรถจะพ้นอบายภูมิได้ อย่างน้อย ๆ การปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ควรจะลงนรก (ความจริงที่ท่านสอนนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราฟังกันจริง ๆ ท่านสอนให้เป็นพระอรหันต์นั่นเอง)

ก็เป็นอันว่า ท่านสอน และแนะนำให้ปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้ว ก็กราบท่าน ท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปปฏิบัติตามความพอใจนะ จะเอาตรงไหนก่อนก็ได้ ดีทั้งหมด ก็กราบท่าน

กลับเข้าที่พัก ก็นั่งคุยกัน คุยกันถึงการที่ท่านแนะนำ บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็บอกว่าอันดับแรก เราต้องถามพระให้ได้ เพราะว่าการถามพระ พระทุกองค์ที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันหมด

หลวงพ่อปานมีอะไรสำคัญที่เกิดขึ้น ท่านบอกว่า พระบอกท่านพระครูอุดมสมาจารย์ เป็นพระกรรมฐานที่มีความสำคัญ ถ้ามีอะไรท่านก็บอกว่าพระบอกว่าอย่างนี้ หลวงพ่อจงก็บอกว่า พระบอกว่าอย่างนี้ ถ้าพวกเราไม่สามารถจะถามพระได้ แล้วก็ไม่สามารถจะให้พระบอกได้กรรมฐานเบื้องต้น เราก็ยังใช้ไม่ได้ก็รวมความว่า เรายังไม่ได้กรรมฐานเบื้องต้น

ทีนี้ก็มีปัญหาว่า การถามพระ จะพูดกันรู้เรื่องไหม เห็นหลวงพ่อโหน่งท่านกำลังนั่งว่าง ๆ ก็เข้าไปกราบใหม่ ถามว่า หลวงพ่อขอรับการถามพระนี่ ผมสงสัยว่า กำลังใจของพวกผมยังไม่แน่นอนนัก การถาม ถามด้วยวาจา หรือถามด้วยกำลังใจ

ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจเวลานั้น สมาธิวิปัสสนาญาณเข้มแข็ง ก็ถามด้วยกำลังใจนั่นแหละแต่มันจะมีคล้ายๆ เสียง มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับเสียงออกมาแล้วก็รับฟังตามนั้น ถามตามนั้น ถ้ากำลังใจเวลานั้น อ่อนไปหน่อยหนึ่ง มันจะเกิดความรู้สึก เจอะพระเข้าปั๊บ นึกถามท่าน ความรู้สึกเกิดขึ้น ให้เชื่อความรู้สึกครั้งแรกทันที นี่อย่างอ่อน

แล้วก็ต้องสังเกตตัวเองด้วยว่าการรับฟังมาแล้วนั่น ผิดหรือถูก ผลจะมีตามนั้นไหม อันนี้ต้องสังเกตให้ได้ จำให้ได้อย่าถามแล้วก็เชื่อเลย ถามแล้วต้องสังเกตว่า วันพรุ่งนี้จะมีอะไรบ้าง อย่างนี้ต้องถามบ่อย ๆ จะมีคนมาหา หรือจะมีภาระกิจ หรือจะมีอะไรสำคัญ เอาจุดใดจุดหนึ่งอย่างเดียว อย่าไปถามเรื่องลาภสักการะ เพียงเท่านี้ ถ้ามันตรงทุกวัน ก็ใช้ได้ อย่างอื่นก็ตรงหมด เข้าใจแล้วก็กราบลาท่านมา

ต่อมาถึงเวลากลางคืน ท่านก็เข้าไปเจริญกรรมฐานในโบสถ์ พวกอาตมาก็ไปที่กอไผ่มีกอไผ่อยู่กลุ่มหนึ่ง ไปนั่งที่กอไผ่ เอาผ้าอาบปู แล้วก็เอาย่ามทำหมอน นอนที่นั่นสบาย ๆ ทำกรรมฐานแบบเป็นสุข อันดับแรก ก็จับ พุทธานุสสติ กับอานาปานสติ ก่อน

การจับพุทธานุสสติ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า พุทธานุสสติ หมายถึงว่า นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อันนี้ก็ขอบอกกันไว้ก่อนเลยว่า การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ทำเป็นปกติ ทุกวัน และทุกเวลา แม้จะนั่งคุยกับเพื่อน ก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าในอกบ้าง ถ้าคุยกับใคร จะนึกเห็นภาพพระพุทธเจ้าในอก กับในสมอง

แต่ว่าในอกเห็นภาพเป็น 2 องค์คือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในสมองจะเห็นภาพพระพุทธเจ้า 2 องค์คือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร กับสมเด็จพระพุทธกัสสป ตามความรู้สึกของจิตมันเห็นตามนั้นนะ

ถ้าถามว่า เห็นกี่วัน ก็ต้องขอตอบว่าเห็นมาตลอด ทั้งเวลานี้ ก็ยังเห็นอยู่เหมือนกัน แล้วก็เวลาเดินไปไหนมาไหนก็ตาม เรื่องภาพพระพุทธเจ้านี่ จะไม่ห่างกันเด็ดขาด จะเห็นทั้งข้างใน และเห็นทั้งข้างนอก แต่ว่าการจะถามท่าน ถามไม่เป็น วันนั้นก็ไม่ลองกัน

วิธีลองทำอย่างไรทำกรรมฐานตั้งแต่เริ่มต้น จับอานาปานสติให้ทรงตัว แล้วก็ใช้พุทธานุสสติ คือ ภาวนาว่า พุทโธ จนกระทั้งจิตเป็นฌานเต็มกำลัง ฌาน 1, ฌาน 2, ฌาน 3, ฌาน 4, ฌาน 5, ฌาน 6, ฌาน 7, ฌาน 8 พอถึงฌาน 8 แล้วก็ลองถอยหลังมาฌาน 7, ฌาน 6, ฌาน 5 มาหยุดอยู่ฌาน 4 พอถึงฌาน 4 ก็หย่อนอารมณ์มานิดหนึ่ง ถึง อุปจารสมาธิ

(คำว่า อุปจารสมาธิ ก็เหมือนกับที่เขาฝึกมโนมยิทธินี่แหละ ถ้าคนสมัยนี้ที่เขาได้มโนมยิทธิ เขาทำตามที่เล่ามานี่ เขาจะดีกว่าอาตมามาก เพราะเวลานั้น อาตมามีความรู้ยังไม่เท่ากับพวกที่ฝึกมโนมยิทธิในเวลาปัจจุบัน เวลาปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์ที่ได้มโนมยิทธินี่เก่งกว่าเยอะเห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส ไปนิพพานก็ได้ เขาเก่งกว่า แต่การเก่งกว่า ทะนงว่าเก่งกว่าไม่ช้าก็เจ๊ง แต่ว่าคนใดไม่ทะนง ใช้ให้ถูก ก็ใช้ได้)

ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้ว เมื่อเอาจิตลดลงมาถึงอุปจารสมาธิ กำลังฌาน 4 คุมจิต มีอารมณ์ทรงตัว นิวรณ์ไม่กวนใจ ก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า เห็นท่านนั่งงามสง่าอยู่ข้างหน้าสวยงามมาก แล้วก็แย้มพระโอษฐ์ ท่านถามว่าอยากจะคุยกับพระใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าอยากจะคุยกับพระขอรับ

ท่านบอกได้เลยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มีอะไรถามฉันได้ แต่ว่าจงทิ้งอุปาทาน นะ (คำว่า อุปาทาน คือ อารมณ์จิตที่คิดไว้ก่อนว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างโน้น ระวัง)

และประการที่สอง การที่จะพบพระพุทธเจ้าได้จริง ๆ ต้องใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มข้น มีความเบื่อหน่ายในร่างกายจริง ๆ เห็นทุกข์ในร่างกายจริง ๆ แล้วก็มีความต้องการละร่างกายจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นจะพบพระพุทธเจ้าอย่างดี (คำว่า อย่างดี ก็หมายความว่า ของแท้)

ถ้าหากว่ายังมีอุปาทานครอบงำอยู่ ระวัง กิเลสมารจะเข้าครอบงำ มารจะแปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้า มีสภาพแจ่มใส แล้วก็จะพูดคล่องกว่าพระพุทธเจ้า เขาจะบอกทุกอย่างแต่มันไม่ถูก มันถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง จงจำอารมณ์ไว้ว่า อารมณ์วันไหนมีสภาพอย่างไรถามแล้วได้รับคำตอบตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง วันต่อไป ถ้าอารมณ์ไม่ดีถึงขนาดนั้น จงอย่าเชื่อ จงอย่าถาม จะถามต่อเมื่ออารมณ์ดีถึงที่สุดก่อน

ก็เป็นอันว่า เป็นการฝึกการถามพระ ท่านพุทธบริษัทคงคิดว่า ถามอะไรในวันนั้นก็ถามท่านว่า วันนี้หลวงพ่อโหน่งสอนแปลก ในเมื่อข้าพระพุทธเจ้าเองปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าท่านสอนให้ปฏิบัติในสังโยชน์ 10 ประการ ตัดสังโยชน์ 10 ประการให้ได้ พระท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอกว่า มีความจำเป็น ถ้าเราไม่ทรงบารมี 10 ให้ครบถ้วน ไม่สามรถชำระสังโยชน์ 10 ประการให้สะอาดจากใจ ความปรารถนาใดใดในเรื่องนิพพาน ของเราจะไม่มี

ก็ถามท่านว่า ตามธรรมดา คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ยังจะไม่เป็นพระอริยเจ้าใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ก็ถามท่านว่า ถ้าบังเอิญตัดสังโยชน์ขาด เป็นพระอริยเจ้าไป จะไม่ผิดสัจจะหรือท่านบอก ก็ไม่มีอะไรผิด การเป็นพระพุทธเจ้าก็ไปนิพพาน การเป็นพระอริยสาวกก็ไปนิพพาน

ขอให้สรุปตัวเองว่า เราต้องการนิพพานดีกว่า ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็จะสอนคนให้ไปนิพพาน และวิชาที่จะสอนคนให้ไปนิพพานคือ บารมี 10 กับสังโยชน์ 10 ปฏิบัติในบารมี 10 ให้ได้ครบถ้วน ละสังโยชน์ 10 ให้ได้ครบถ้วน อันนี้เราต้องรู้ไปก่อน นั่นหมายความว่า จิตเราสามารถจะระงับสังโยชน์ได้ แต่มันไม่เด็ดขาด นั่นคือ พุทธภูมิถ้าตัดได้เด็ดขาด ก็เป็นพระอริยเจ้า เรียกว่า บรรลุความเป็นพระอริยเจ้ากัน

ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ท่านก็บอกว่า เธอจงสนใจในสังโยชน์ 10 และสนใจในบารมี 10 ให้ครบถ้วน เพราะว่าสัญญาใดที่มีมาในกาลก่อนที่จะเกิด สัญญานั้นยังไม่ขาด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามสัญญา ก็ถามท่านว่า สัญญามีอะไรขอรับ ท่านบอกว่า มันไม่ใช่จะรู้เวลานี้ เวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลารู้สัญญา เป็นการรู้การฝึกปฏิบัติให้มันถูกต้อง ปฏิบัติให้มันตรงตามความเป็นจริง

หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อนี้ไปจงตั้งใจรักษาสัจจะ คือ
1. บารมี 10 จะปฏิบัติให้ครบถ้วนจริง ๆ
ประการที่ 2 จะค่อย ๆ ตัดสังโยชน์ สังโยชน์ 3 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว
ต่อไปก็สังโยชน์ 5 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว
สังโยชน์ 10 ข้อ จะตัดให้ได้ทรงตัว

ก็ถามว่า จะตัดให้ได้ทรงตัวจะใช้เวลานานไหมขอรับ ท่านบอกว่า ก็ต้องใช้กำลังกันเป็นเวลา 10 ปี ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ไม่ใช่ปีโน้น สำหรับเธอ ตัวเธอนี่จริง ๆ จะต้องใช้เวลาเกิน 20 ปี
เวลานั้นก็บวชเข้ามา 2 พรรษาแล้วจะเข้าพรรษาที่ 2 เป็นพรรษาที่ 1 คือ ออกจากพรรษาที่ 1 แล้ว ถึงเดือน 3 ยังไม่เข้าพรรษาที่ 2 แต่ต้องว่าไปอีก 20 ปี ถามท่านว่า เมื่อเวลานานแบบนั้น ไม่ต้องการได้ไหม เอาเฉพาะด้านพุทธภูมิ

ท่านบอกนี่แหละเป็นหลักการของพุทธภูมิ พุทธภูมิก็ต้องมีบารมี 10 ครบถ้วน และก็มีจิตละเอียดในสังโยชน์ 3 ประการ, 5 ประการ,10 ประการ จะต้องเข้าใจในสังโยชน์ทุกประการจึงจะเป็นได้ หลังจากนั้นท่านก็ลากลับ หายไปเลย

เมื่อพระพุทธเจ้าที่ท่านลอยมาหายไป ท่านสวยมาก ท่านมาใหญ่เท่าเดิม หน้าตักประมาณ 8 ศอกเศษ ๆ สวยมาก พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสที่ใครเขาว่า พระพุทธเจ้าไม่ยิ้มนี่ไม่จริงหรอก ทรงแย้มพระโอษฐ์สวยมาก หลังจากพระพุทธเจ้าไปแล้ว จิตก็ชุ่มชื่น ไม่อยากหลับ จิตใจชุ่มชื่นที่ได้คุยกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก หมายความว่า ครั้งก่อน ๆ อาจจะพูดบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่หลักวิชาการ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 05:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ตอนที่ ๓


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็น วันที่ 23 มิถุนายน 2533 ตามเดิมมาคุยกันต่อไป

หลังจากที่จิตตกลงนิดหนึ่ง กำลังสมาธิลดลงมาถึงอุปาจารสมาธิ ความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นทันที ตามกำลังของปัญญาของสมาธิ ที่ท่านบอกว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ ปัญญาก็เกิด ปัญญาตัวเกิดตัวแรกก็คือ ปัญญาจับ กายคตาสติกรรมฐาน เพราะว่า กรรมฐาน 40 นี่ ปฏิบัติกันไม่ได้แน่นอนนะญาติโยม สุดแล้วแต่ว่าอันไหนขึ้นมา จับอันนั้น ต้องศึกษากันครบ 40 มีประโยชน์มาก

อันดับแรก จิตจะล้วงเข้าไปถึงตับ ไต ไส้ ปอด ตั้งแต่หัว ถึงเท้า ถ้าหนังมันลอกไปแล้ว จะมีความรู้สึกอย่างไร มีแต่เนื้อ เลือดไหลซิบ ๆ คำว่า สวย ของคน หมดกันตรงนี้แล้วก็ต่อมา ถ้าลอกเนื้อออก จะมีความรู้สึกอย่างไร เหลือแต่โครงกระดูก แต่ข้างในยังมีตับ ไต ไส้ ปอดอยู่ ถ้าตับไต ไส้ ปอดหมดแล้ว จะเหลือแต่กระดูก ก็พิจารณากันไม่ยาก

ทุกอย่างเมื่อเห็นแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายทั้งหมดนี้มันเป็นธาตุ 4 แบ่งเป็น อาการ 32 และมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก อย่างนี้เป็นกายคตาสติ

แล้วในที่สุดมันก็สลายตัว เป็น อนัตตา อันนี้เป็นวิปัสสนา จิตมันก็เห็นชัดด้วยกำลังของฌาน มีอารมณ์ผ่องใส สดชื่น มีความดีใจว่า เวลานี้เราเพิ่งรู้จักของจริง เรามุ่งเฉพาะสมถภาวนามานาน ทำกันถึงฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 นี่เรายังไม่มีดีอะไรเลย ยังวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แค่รูปฌาน และอรูปฌานก็ไปหลงคำยอของคนอื่น พระอื่นที่เขาทำมาก่อนเขาบอกว่าเก่งแล้วดีแล้ว ๆ นี่เรามันโง่ จะไปโทษท่านไม่ได้ เพราะเรามันโง่เอง

ในเมื่อมาพบกับของจริงเข้าอย่างนี้ จิตใจก็ชุ่มชื่น คิดว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความเลวอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการมีต่อไป ทีหลังอารมณ์นี้มันก็จับอารมณ์ใจ เห็นใครเข้าปั๊บเห็นผิวนอก ก็เห็นข้างในหมด มันมีความรู้สึกเหมือนกันหมด เห็นข้างในแล้ว ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่า ทุกคนต้องตายหมด คืนนั้นทั้งคืนเกือบไม่หลับ มันมีธรรมปีติ

แต่ว่าในตอนเช้ามือ ประมาณสักตี 3 ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงบอก คุณเสียงที่พูดนี่เคยเป็นแม่คุณนะ จำวัดเสียเช้าจะงง อย่าทรมานมากเกินไป การเพลิดเพลินเกินไปเป็นการทรมานกาย จะขัดต่อคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่จะพึงได้ มันก็จะไม่ได้

ก็ถามว่า ทำไม่จึงจะหลับ เวลานี้จิตมันฟูเหลือเกิน ท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น แม่จะทำให้หลับ เอนกายลง ไม่เห็นตัว พอเอนกายลง ท่านบอก จับอานาปานสติ ก็ทิ้งภาพ กายคตาสติ จับ อานาปานสติ นึกถึงพุทธานุสสติ พอนึก พุท หายใจเข้า โธ ออก แค่นั้นเองหลับ เมื่อหลับแล้วก็พ้นไป

พอตอนเช้า ฉันเช้าเสร็จ ก็มาคุยกันหน่อยหนึ่ง ฉันเช้าที่ไหน ขอตอบว่า ฉันเช้าในป่าเวลานั้นมันยังเป็นป่าเยอะ ดินแดนเมืองสุพรรณป่าเยอะแยะ เป็นป่ามาก มีทุ่งน้อย ก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้ จับพุทธานุสสติกรรมฐานเห็นภาพพระพุทธเจ้า เห็นท่านยิ้ม ท่านถามว่ามีอะไรจะคุยไหม

(ความจริงเห็นภาพอย่างนี้ เห็นทุกวัน แต่คุยไม่เป็น ความโง่ของคน มันเป็นอย่างนี้คนที่เขามาคุยกับอาตมาบ้าง มาศึกษากรรมฐานบ้าง เขาคงคิดว่า คงฉลาดมาก แต่ความจริง โง่บัดซบ โง่แสนโง่ พบพระพุทธเจ้ามานานพูดไม่ได้ ถามไม่ได้)

ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้มีความรู้สึกอย่างไร ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า มีธรรมปีติสูงมาก ท่านบอกว่าระวังนะ ปีติ ถ้ามากเกินไป มรรคผลจะไม่เกิด เพราะอารมณ์ปีติฟู ปีติ ถ้าน้อยเกินไปมรรคผลก็จะไม่เกิด ต้องมีกำลังใจแค่พอดี ๆ

จึงกราบเรียนถามท่านว่า คำว่า พอดี แค่ไหน ท่านบอกว่า แค่อารมณ์จิตเป็นสุข อย่าให้ฟูเกินไป อย่างเมื่อคืนนี้ฟูเกินไปไม่อยากจะเลิก อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องถอยหลังก็รับปากท่าน ที่ท่านสอน
เมื่อท่านพูดจบ ก็มีเสียงบอกว่า บาตรมีอาหารครบแล้วครับ เป็นเสียงผู้ชายแต่ไม่เห็นตัว ก็ลืมตาขึ้นมา บาตรมีอาหารครบ มีดอกไม้สวย ๆ 1 ดอก ต่างองค์ต่างก็ฉันข้าวกัน เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก็เดินจงกรมเดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ตามสบาย ๆ ให้ร่างกายหายเครียด ร่างกายคลายเครียดแล้วก็นั่ง หลังจากเที่ยง ถึงเวลาที่หลวงพ่อโหน่งออกมารับแขก

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาพอสมควร เวลาประมาณบ่าย 3 โมงก็เข้าไปกราบท่าน เมื่อเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้พบพระแล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เรื่องพบพระ นี่พบทุกวัน ตั้งแต่เจริญกรรมฐานมา วันแรกก็พบพระเรื่อย แต่ว่าไม่เข้าใจเรื่องการถามพระ ท่านบอกว่า นี่มันเป็นหน้าที่ของอาจารย์ปานท่าน ที่ท่านไม่บอกเธอเพราะอะไรรู้ไหม

เพราะว่าหน้าที่การบอกเธอ คือ ฉัน เราเคยทำบุญร่วมกันมา แต่หน้าที่ของใครก็หน้าที่ของใคร หลังจากนี้มีความพอใจหรือยังว่า การถามพระได้ บอกว่า พอใจแล้วครับ ท่านก็เลยบอกว่า การปฏิบัติกรรมฐาน ต้องถามพระทุกขั้น ทุกตอนนะ

อะไรที่ได้มา เขาเรียกกันว่าอะไร อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือยัง ถูกหรือผิด ถ้าผิดพลาด จะทำอย่างไรในการแก้ไข ให้ถามพระโดยตรง อย่าถามใคร แต่ว่าอย่างอาจารย์ปาน หรืออย่างอาจารย์จง นี่ถามได้ ไม่ผิด แต่คนอื่นอย่าเพิ่งไปถามเข้า เพราะว่าหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเขาได้ชั้นไหน

ถ้าบังเอิญไปพบกับคนที่เขาได้จริง ๆ มันไม่ผิด ถ้าไปพบกับคนที่ไม่ได้จริง ๆ เขาจะแนะนำว่า อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เฝือ การเห็นภาพพระเป็นจิตเลื่อนลอย การเห็นนิพพานมีจริงเป็นของเลื่อนลอย อย่างนี้เธอก็จะผิดทาง ก็รับปากท่าน ท่านบอกว่า ต้องทำทุกวัน ถึงแม้ว่าฌานสมาบัติที่เธอได้ก็เหมือนกัน เมื่อทำอารมณ์ถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้น วิปัสสนาญาณมันจะเข้า ปัญญามันเกิดเอง

คำว่า วิปัสสนาญาณ คือ ปัญญา ที่รู้แจ้งเห็นจริง มีความเข้าใจตามความเป็นจริง อย่างเมื่อคืนนี้ที่เธอเห็น กายคตาสติ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเกลียด ลอกหนัง ลอกเนื้อ เอาตับ ไตไส้พุงออก อย่างนั้นเป็นกายคตาสติ และอสุภกรรมฐาน แล้วเธอก็นึกถึงความตาย หรือการสลายตัวซึ่งเป็น อนัตตา

นี่เป็นอันว่า ไม่ได้บอกท่าน ท่านรู้ ท่านบอกว่า นี่แหละเป็นตัวปัญญาที่เกิดจากสมาธิมันตั้งมั่นดีแล้ว ขณะที่สมาธิตั้งมั่น มันจะไม่คิดอะไร มันจะมีสภาพดิ่งของมันทรงตัวก็ปล่อยไป อย่าฝืน (คนที่เคยมาถามบ่อย ๆ ว่า จิตดิ่ง ทำอย่างไร ๆ จำไว้ด้วยนะ) ปล่อยให้ดิ่งไปตามนั้น

สักครู่หนึ่งจิตมันจะลดตัวเอง กำลังสมาธิจะลดตัว ในเมื่อสมาธิลดตัวมาถึงอุปจารสมาธิ อารมณ์ก็จะเกิด ความรู้สึกจะเกิด ความรู้สึกตัวนี้เป็นตัววิปัสสนาญาณ เป็นตัวปัญญา จะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้ามันจะเกิดมุมไหน ก็จับเฉพาะมุมนั้นนะ มันดีทุกมุม

รวมความว่า การฝึกกับหลวงพ่อโหน่ง ฝึกจนคล่องอยู่ที่นั่นใช้เวลา 15 วัน ก็ไปลาท่านกลับ ท่านถามว่า แล้วจะมาอีกไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าสุดแล้วแต่หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอก็ยังไม่ได้มาอีกนาน ถ้าจะมาก็จวนฉันจะตายนั่นแหละ ใกล้ ๆ เวลาที่ฉันจะตาย เธอจะได้มากับหลวงพ่อปานอีกครั้งหนึ่ง

ก็กราบเรียนท่านว่า ท่านจะตายก่อนหลวงพ่อปานหรือขอรับ ท่านบอกว่า ใช่ พระท่านบอกว่า ฉันจะตายก่อนหลวงพ่อปาน แต่ไม่เป็นไร มีอะไรมาถามกันได้เลยนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน การเดินไปเดินมาเป็นของยาก เราไปพบกันที่ต่อหน้าพระก็แล้วกัน

ถ้าเธอเห็นพระเมื่อไร นึกถึงฉันเมื่อนั้น ฉันจะพบกับเธอทันที ที่ข้างหน้าพระเธอมีอะไรถามฉันได้ ถ้าฉันไม่เข้าใจ พระท่านจะตอบแทน แหม..เป็นโชคหนัก แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทสังเกตดูให้ดีนะว่า การศึกษากันทั้งหมดนี่ไม่พูดกันถึง เรื่องฤทธิ์ เลย เรื่องการเหาะเหินเดินอากาศนี่ ไม่ได้มีการศึกษากัน

ทีนี้ก็มีคนหลายคนคุยว่า อาตมาเก่ง เก่งกว่าความเป็นจริงเยอะ ที่เขาคุยกันนะแต่ความจริงเรื่องฤทธิ์นี่ไม่ได้คิดว่าจะเหาะ คิดว่า ทำอย่างไรจะคุยกับพระได้ คุยกับพระถูก

ที่นี้มาก็ขอเล่าเรื่องหลวงพ่อโหน่งสักเรื่องหนึ่ง คือ หลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังนี่หลวงพ่อปานท่านพูดเองนะว่า สมัยหนึ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดมหาธาตุฯ คือ หลวงพ่อเฮง เวลานั้นท่านเป็นพระราชาคณะ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ

ท่านจะไปฝังลูกนิมิตที่วัดปากคลองสองพี่น้อง (วัดนี่จำไม่ได้แน่อน) ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล แล้วในงานนั้นเขาก็ต้องนิมนต์หลวงพ่อโหน่งมาด้วยเป็นของธรรมดา ถึงเวลากลางคืน ตอนที่เขาจะทำนิมิตกัน พระทุกองค์มาหมด แต่ว่าขาดหลวงพ่อโหน่งองค์เดียว

เป็นอันว่า หลวงพ่อโหน่งไม่มา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดมหาธาตุฯ (หลวงพ่อเฮง) ท่านก็บอกกับพระทั้งหลายว่า ถ้าหลวงพ่อโหน่งไม่มา เรายังทำกันไม่ได้ เพราะว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระที่มีความสำคัญมาก การที่เราทำ มันอาจจะผิดวิธีการก็ได้ ตามตำรานี่ ตำราเขาเขียนถูก แต่ความรู้สึกของเราอาจจะผิด

แต่ความจริง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เฮง) ใคร ๆ ก็ยอมรับนับถือว่าเป็นนักตำราจริง ๆ มีการแตกฉานในพระไตรปิฏกจริง ๆ ทุกคนก็ต้องคอยในเมื่อหัวหน้าบอกให้คอย ก็ต้องคอย คอยจนกระทั้งยันเช้า หลวงพ่อโหน่งยังไม่มา ก็ไม่มีใครทำกัน

พอตอนสายประมาณ 3 โมงเช้าหลวงพ่อโหน่งมา ในเมื่อหลวงพ่อโหน่งมา หลวงพ่อเฮง ท่านก็เรียนถามหลวงพ่อโหน่ง ท่านเห็นหลวงพ่อโหน่ง (ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งนะ ท่านไม่ได้คิดว่า ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑล อันนี้ต้องคิดให้ดี พระชั้นดีนะ หลวงพ่อเฮงนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ไม่ใช่ดีแต่ตำรา ด้านจิตใจสมาธิก็ดีมาก)

ท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อโหน่งในฐานะที่เป็นอาวุโสกว่าท่าน ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้ทำไมไม่มาครับหลวงพ่อ พวกผมคอยกันจนสว่าง ท่านก็เลยบอกว่า พิธีกรรมที่ทำนี่ ที่กำหนดว่าจะทำ พระท่านบอกว่าผิด ทำไม่ถูกท่านไม่ให้ผมมา ให้มาตอนสาย ผมก็เลยมาตามคำสั่งของท่าน

หลวงพ่อเฮงก็ถามว่า (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นะ) พระสั่งว่าอย่างไรขอรับท่านก็บอกว่า พระสั่งว่าต้องทำแบบนี้ แล้วสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เฮง) ก็ให้พระจดทันที(เลขานุการจด) ช่วยกันจดพิธีกรรมต่าง ๆ เมื่อจดเสร็จ สั่งทำตามพิธีกรรมนั้นทันทีทันใด ท่านบอกว่า อย่างนี้ถูกแน่นอน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงพระสมัยนั้นท่านดีจริง ๆ พระดีมีมาก แต่ขึ้นชื่อว่า ของธรรมดาในโลก บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นของคู่กัน เมื่อมีความดีแล้วก็ต้องมีความชั่ว มีความชั่วแล้วก็มีความดี มีคนรู้จริง ก็ต้องมีคนรู้ไม่จริง คนรู้ไม่จริงมี ก็ต้องมีคนรู้จริง คนรู้อย่างประเภทหยิ่งยะโสโง่แกมหยิ่ง ประเภทนี้ก็ต้องมีประจำโลกเหมือนกัน ก็เป็นของธรรมดา ๆ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ คนในโลกก็ไม่มี ไปนิพพานกันหมด

ก็รวมความว่า หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อโหน่งกลับ เมื่อลาหลวงพ่อโหน่งกลับวัดมาถึงที่วัดก็มาเจอะของดีอีก เราจะเรียกกันว่าอย่างไรดี ก็เจอะพระชั้นดี ลูกศิษย์หลวงพ่อปานบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไปที่ไหนมีคนยกย่องสรรเสริญ เคารพนับถือ บูชาสักการะเลี้ยงดูอย่างดีมาก

แต่ว่าที่ดีจริง ๆ มีปริมาณน้อยเหลือเกิน เพราะอะไร เพราะว่าวิชาที่หลวงพ่อปานสอนไม่เอาหรอก อย่างสมถวิปัสสนานี่ อาตมาจำได้ ในสมัยนั้นก็มี พระสำรวย คือพระครูธรรมโสภิต วัดสร้อยทอง องค์หนึ่ง ที่สนใจกรรมฐานจริง ๆ แล้วก็ หลวงพ่อเล็กเกสโร อาจารย์ฉัตร 3 องค์นี่เอาจริง

นอกนั้นก็เป็นลิงหลอกเจ้า คำว่า ลิงหลอกเจ้านี่หมายความว่าไม่เอาเลย เรียนนักธรรมบาลีก็ไม่อยากจะเรียนแต่การงานชอบทำเพราะไม่ต้องเรียน อย่างนี้เราจะพบดีกันที่ไหน

ในเมื่อเข้าไปวัดก็เจอะของดีเข้าซิ บรรดาพระพวกนี้แหละ เอ้า. อรหันต์มาแล้วโว้ยคนเก่งแล้ววะ เอ้า..พวกเราใครอยากจะดูอะไร ใครอยากจะดูแสดงฤทธิ์ ก็ต้องยิ้ม เขาว่าอย่างไร เราก็ยิ้ม ที่ยิ้มเพราะอะไร ยิ้มเพราะว่า เราดีใจว่า เรารู้แล้วว่าพวกนี้เขาจะไปไหน

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกำลังใจเราคุมพระจิตใจเห็นพระตลอดเวลา พอเขาพูดปั๊บ เห็นภาพในอดีตของเขาลงไปนอนจมในอเวจีมหานรก ไฟลุกพึ่บ ๆ ๆ มีหอกร้อย หอกเสียบดิ้นรนไม่ไหว เราก็ยิ้ม เราคิดว่า นี่เราจะไปเถียงกับสัตว์ในอเวจีอย่างไร ถ้าเถียงกับเขา ดีไม่ดี เราก็ลงอเวจีไปด้วยคน

ถ้าด่ากันฝ่ายเดียว ฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่ด่า ถ้าขึ้นสถานีตำรวจ ฝ่ายที่ไม่ด่า ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับ ถ้าด่าด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถูกปรับทั้ง 2 ฝ่ายนี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขาเลว ถ้าเราไปเลวตามเขา ไปโกรธเขา เราก็เลว เราก็ต้องไปนรกกับเขาด้วย เราก็ยิ้ม พอพวกเรายิ้มมันก็บอกว่า นั่นแน่..เห็นไหม คนธรรมดา ถ้าพูดอย่างนี้ เขาต้องเถียง ไอ้นี่มันบ้า ๆ บวม ๆ ใครเขาพูดอย่างไร ก็เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้เขาเรียกว่า บ้ายิ้ม เขายังเอาอีก

ต่อมาเมื่อเดินเข้าไป เห็นหลวงพ่อปานกำลังรับแขก ก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งหมด เพราะท่านกำลังคุยกับแขก เรากราบท่าน ท่านก็ยกมือรับไหว้ เราก็ยังไม่เข้ากุฏิก่อน เข้าไม่ได้ ในเมื่อท่านยังไม่พูด ยังไม่สั่ง ในเมื่อท่านคุยกับแขกจบเรื่องท่านก็ถามว่า วิชาคุยกับพระได้มาแล้วใช่ไหม บรรดาพวกแขกเขาก็ตะลึง เขามองดูเขาถามว่าคุยกับพระอย่างไรขอรับ

หลวงพ่อปานท่านบอก คำว่า คุยกับพระ ก็คือ พูดกับพระพุทธเจ้าการที่พบพระพุทธเจ้าได้ก็ดี พบเทวดา หรือพรหม นางฟ้าได้ก็ดี เป็นของดี แต่ก็ยังไม่ดีจริง ถ้าจิตเราเลว ทีนี้การพบพระได้ เราจะถามได้ว่ากรรมฐานที่เราทำ หรือข้อวัตรปฏิบัติที่เราทำมันดี หรือไม่ดี มันถูก หรือมันผิด ถ้าสิ่งใดที่มันยังพร่องอยู่
สมมติว่าเวลานี้บารมีเรายังพร่อง เรายังมีบารมีชั้นสวรรค์ชั้นกามาวจร เราอยากจะเป็นพรหม เราจะทำอย่างไร ท่านจะบอกให้สั้น ๆ ง่าย ๆ แล้วก็ปฏิบัติตามท่าน เพียงแค่นี้ ประเดี๋ยว 2-3 วันก็ได้ ถ้าเราต้องการจะไปนิพพาน จะทำอย่างไร ท่านก็จะบอกให้แบบสั้น ๆ เฉพาะที่พร่อง เพราะบุญบารมีทุกคนทำมาแล้ว อย่างไหนมันเต็มแล้ว ท่านก็บอก ไม่ต้องทำ อันนั้นมันเต็มแล้ว รักษาไว้ไม่ต้องทำใหม่ ทำสิ่งที่มันบกพร่องให้มันเต็ม

ในสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นสมเด็จพระบรมครูเทศน์ไม่ยาก เทศน์คนฟังง่าย ๆ อย่างเทศน์ให้ เปสการี ฟังว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงขอเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าความตายจะมีกับเราวันนี้ไว้เสมอ และทุกคนให้นึกถึงพระไตรสรณาคมน์ รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ (อันนี้แถม) เพียงเท่านี้เธอก็เป็นพระโสดาบัน เพราะอะไร

เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาพร้อมแล้ว มันขาดเท่านั้นที่นี้ถ้าเราเจริญกรรมฐาน พบกับพระได้ คุยกับพระได้ เขาถือว่า เป็นการเจริญกรรมฐานที่ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ผลที่จะพึงได้จริง ๆ ถ้าบุคคลใดได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ บุคคลนั้นมีหวังไปนิพพานในชาตินี้ ถ้ากรรมอย่างอื่น กรรมชั่ว ไม่มาลิดรอน ไม่มาตัดทอนเขา เขาสามารถจะไปนิพพานได้

ก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งถามว่า พระทั้ง 3 องค์นี่ พบพระได้แล้วหรือยัง ท่านก็บอกว่าฉันสอนให้เขาพบพระได้ตั้งแต่วันแรกบวช เขาก็พบ แต่ว่าเขาคุยกับพระไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจ ถ้าฉันจะบอกเขา ฉันก็บอกได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันมันเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อโหน่ง ที่จะต้องบอก เพราะทั้ง 3 องค์นี่ เขาเคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมา ร่วมกับฉันเขาก็ร่วม ร่วมกับหลวงพ่อโหน่งเขาก็ร่วม แต่หน้าที่ในการบอกจะต้องเป็นหลวงพ่อโหน่ง ฉันก็ให้เขาไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็ไปหาหลวงพ่อโหน่ง เขาก็เรียนมาแล้ว

ท่านก็หันมาถามว่า เวลานี้คล่องตัวแล้วใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า คล่องแล้วครับ ญาติโยมทั้งหลายก็ถามว่า การคุยกับพระทำอย่างไรขอรับ ก็บอกว่าโยมถามหลวงพ่อปานก็แล้วกัน อาตมาเป็นลูกศิษย์ เพิ่งจะได้เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ยังเป็นคนที่ไม่ถึงความดี อย่าเพิ่งถามกันเลย

หลวงพ่อปานก็บอกว่า จริงอย่าไปยุ่งกับพระท่าน เอ้า..คุณทั้ง 3 องค์กลับไปกุฏิได้นะตามสบาย ตอนเช้าจะไปบิณฑบาตก็ได้ ไม่ไปบิณฑบาตก็ได้ แต่การบิณฑบาตกับต้นไม้ของเธอให้ทำตามปกติ และธุดงค์ 13 ให้เลือกปฏิบัติตามชอบใจนะ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 05:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม ตอนที่ ๑


วันนี้ตรงกับ วันที่ 26 มิถุนายน 2533 บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท หลังจากกลับมาจากวัดหลวงพ่อโหน่งแล้ว ก็อยู่วัดไม่นานนัก ถ้าจะถามถึงวิธีปฏิบัติ ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบ การปฏิบัติปฏิบัติกันแบบสบาย ๆ แต่สิ่งที่มีความสำคัญอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า

พระพุทธรูป หรือว่ารูปพระพุทธเจ้าอย่าให้ห่างจากใจ เราจะคุยกับใครก็ตามจะทำอะไรก็ตาม เว้นไว้แต่ว่าเอาใจไปเรียนหนังสือ ดูหนังสือ ฟังสวดมนต์ ถึงแม้ว่าฟังสวดมนต์ อย่าเอาใจห่างจากพระพุทธรูป หรือว่ารูปพระพุทธเจ้า ก็รวมความว่า จับรูปพระเป็นอนุสสติเป็นอันดับแรก และต่อมา เจริญวิปัสสนาญาณ การเจริญวิปัสสนาญาณนี่ไม่ได้ทำจริงจัง

คำว่า ไม่ทำจริงจัง ก็หมายความว่า ไม่ใช่ไปนั่งเครียดใช้อารมณ์ธรรมดา ๆ ตามที่ท่านสอนมา เรานั่งอยู่ที่ไหน ก็เห็นทุกข์ที่นั่น ตามอริยสัจ การนั่งก็เป็นทุกข์ การนอนก็เป็นทุกข์ การยืนก็เป็นทุกข์ การเดินก็เป็นทุกข์ ค่อย ๆ เห็นทุกข์ อย่าเห็นแรงนัก

และเวลาเห็นคนก็จงอย่าดูเฉพาะผิวภายนอกของคน หรือดูผิวภายนอกก็อย่าดูเฉพาะที่สะอาด แต่เนื้อแท้จริง ๆ ร่างกายของคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ค่อย ๆ เห็น แต่บางทีมันก็ย่องไปเห็นคนสวยเหมือนกัน สาว ๆ บางทีก็เห็นสวย แต่ถ้าดูนาน ๆ ชักเริ่มไม่สวย ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตมันชินนึกเห็นโน่น นึกเห็นนี่ นึกเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง ก็เลยคิดว่า ไม่สวยถ้าจะถามว่า อย่างนี้ หลวงพ่อปานชมว่า ดี หรือยัง ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงว่าหลวงพ่อปานยังชมว่า ยังใช้ไม่ได้

ต่อมาไม่ช้าไม่นานเท่าไรนัก ท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปเธอจงไป วัดน้อย ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ในเขตของอำเภอบางปลาม้า วัดน้อยอยู่ในเขตอำเภอบางปลาม้า ใกล้อำเภอท่าพี่เลี้ยง (อำเภอท่าพี่เลี้ยง ก็คือ อำเภอเมือง) ใกล้จะสุดเขตอำเภอบางปลาม้า หลวงพ่อเนียม อยู่ในฐานะ อาจารย์ของหลวงพ่อปาน

การไปสมัยนั้นจะไปเรือจ้างจะไปเรือเมล์ มันหายากเหลือเกิน ทางที่ดีจริง ๆ ก็ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็ไม่หนัก เพราะธุดงค์จนชินข้ามฟากจากวัดบางนมโค เดินตัดตรงมาตลาดบ้านแพน เดินตัดตรงไปประตูน้ำเจ้าเจ็ดหลังจากนั้นก็ตัดตรงไปอำเภอบางปลาม้า ใช้เวลาพักเวลากลางวันประมาณ 2 วันก็ถึงวัดหลวงพ่อเนียม

เรื่องความเป็นมาของหลวงพ่อเนียม ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอ่านเอาในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกัน แต่ว่าจะพูดถึงวิธีสอนของท่านสักนิดหนึ่ง เพราะในสมัยนั้นไม่ได้พูดถึงวิธีสอนมากมายนัก วิธีสอนของท่านก็คือว่า

เมื่อวันที่สามผ่านไปแล้ว พอวันที่สี่ก็ปรากฏว่าท่านให้ไปหาในโบสถ์ ทีนี้ ในช่วงนั้นหลวงพ่อเนียมจริง ๆ อายุเห็นจะใกล้ 80 ปี (เรื่องอายุนี่ก็ไม่แน่นอน ไม่ขอยืนยัน) ท่านแก่มาก ท่านนุ่งผ้าอาบผืนเดียว เอาผ้าอาบอีกหนึ่งผืนมาคล้องคอ ไปทางไหนก็มีไม้เท้าคือไม้อันหนึ่ง ไม้เท้า ก็ไม่เป็นรูปไม้เท้า แต่ว่าคืนวันนั้นที่ไปหาหลวงพ่อเนียม ท่านนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป ห่มผ้าเรียบร้อย ทรวดทรงสวยสดงดงาม ผิวเหลืองอร่าม สวย หน้าตาอิ่มเอิบ ท่านมีความหนุ่มคล้ายกับคนอายุประมาณ 28 ปี หรือ 30 ปีที่มีเนื้อเต็ม พอเข้าไปแล้วก็สงสัย เอ๊ะ.. จะใช่หรือไม่ใช่ ความจริงคนแก่ กับคนหนุ่มนี่มันต่างกันมาก

ในเมื่อสงสัยท่านก็กวักมือเรียกบอกว่า เข้ามาเถอะ เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมเรื่องขันธ์ 5 อย่าไปสนใจมัน ขันธ์ 5 คือร่างกาย มีสภาพไม่แน่นอน ดีไม่ดีประเดี๋ยวมันก็แก่ประเดี๋ยวมันก็หนุ่ม ประเดี๋ยวมันก็ดำ ประเดี๋ยวมันก็ขาว ช่างมัน อย่าไปสนใจกับขันธ์ 5

พอจะเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ชี้มือบอก ไปกราบพระประธานก่อน เมื่อกราบพระประธานด้วยความเคารพ ขณะที่กราบพระประธาน บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตตั้งใจกราบด้วยความเคารพ เมื่อจิตตั้งใจกราบด้วยความเคารพ อารมณ์ของจิตก็ทรงตัวตามปกติที่เคยปฏิบัติมา อารมณ์ใจมันเริ่มเป็นทิพย์ ก็หันมาหาหลวงพ่อเนียม

ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อเนียมเป็นพระซ้อนพระ คือ พระที่สวยจริง ๆ ไม่ใช่หลวงพ่อเนียมเป็นพระที่นั่งคุมหลวงพ่อเนียมอีกทีหนึ่ง แล้วก็กราบท่าน พระที่คุมหลวงพ่อเนียมจะเป็นใคร ก็ช่างเถอะ ขอทิ้งไว้เป็นปริศนาดีกว่า เพราะว่าทุกคนเวลานี้ก็เจริญกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาธิในด้านมโนมยิทธิกันมาก ถ้าใช้กำลังใจนิดเดียวก็จะทราบ

พอกราบท่าน 3 วาระก็เงยขึ้นมา ท่านก็บอกว่า การเจริญพระกรรมฐานของพวกเธอทั้งหมด ที่ทำมาแล้วไม่ผิด ถูกทุกอย่างแต่ทว่าบางอย่างก็มีกำลังอ่อนไป บางอย่างมีกำลังพอดี บางอย่างก็เครียดเกินไป ขอให้พยายามตั้งกำลังใจให้ทรงตัว ให้พอดี ๆ อย่าใช้อารมณ์เครียด

การเจริญกรรมฐาน จงอย่าถือเอาเวลานั่งสมาธิเป็นสำคัญ ถ้ายังใช้เวลานั่งสมาธิ เป็นสำคัญ ก็ยังถือว่า ยังไกลต่อมรรคผลมาก เพราะขึ้นชื่อว่าความจริง (วิปัสสนาญาณนี่เขาแปลว่า ความจริง ที่แปลว่า รู้แจ้ง เห็นจริง)

ท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความจริง มันมีอยู่กับเราทุกขณะ ทุกขณะที่เรายังมีลมหายใจเข้าออก เราต้องรู้จักความจริง อย่าถอยหลังไปหาความจริงที่แล้วมา หรือว่าอย่าคิดข้างหน้า ไปหาความจริงที่ยังไม่ถึง

ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะงง คำว่า ถอยหลังไปหาความจริงที่แล้วมาหมายถึงว่า มองดูความเป็นหนุ่มเป็นสาวว่า สมัยก่อนเขามีความเป็นหนุ่มเป็นสาว รูปร่างเป็นอย่างนั้น ๆ แต่เวลานี้มันเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ อันนี้ก็ไม่ถูก ต้องใช้เวลานี้ และบางคนเขายังแก่ไม่มาก ก็ยังไม่ต้องไปคิดถึงความแก่ข้างหน้า

คิดแต่เพียงว่า ในขณะนี้เขาจะทรงตัวแบบไหนก็ตาม เขาก็มีทุกข์ ทุกข์เพราะความหิว เพราะความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การปวดอุจจาระ ปัสสาวะ การประกอบกิจการงาน การป่วยไข้ไม่สบาย ความปรารถนาไม่สมหวัง และความตายจะเข้ามาถึง ทุกอย่างมันทุกข์

ต่อมาท่านก็สอนด้วยวิธีลัด ท่านบอกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฌานโลกีย์ พวกเธอทั้งหมด มีการคล่องตัวมาก การคล่องตัวในฌานโลกีย์ อย่าทะนงตัวว่าเป็นคนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฌานโลกีย์มีสภาพไม่แน่นอน ประเดี๋ยวก็ขึ้น ประเดี๋ยวก็ลง เดี๋ยวถอยหน้า เดี๋ยวก็ถอยหลัง ถ้าเวลาร่างกายทรุดตัวลง ฌานโลกีย์จะเสื่อม

หรือมิฉะนั้น บางทีอารมณ์เผลอ นิวรณ์เข้ากวนใจเมื่อไร อารมณ์ก็เสื่อม เมื่อนั้น (นิวรณ์ คือ ความรักในรูปสวยเสียงเพราะกลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ อารมณ์ไม่พอใจ ความง่วง อารมณ์ฟุ้งซ่านมากเกินไป สงสัยในผลของการปฏิบัติ)

นิวรณ์ทั้ง 5 ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเข้าเกาะใจ ฌานก็เสื่อม จงอย่าสนใจในด้านของนิวรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอองค์นี้ (ท่านหันมาทางอาตมา) เธอปรารถนาพุทธภูมิก็จริง แต่ทว่า คำว่า พุทธภูมิ หมายถึงว่า การศึกษาวิชาเป็นครู การจะเอาแต่ฌานโลกีย์ อย่างเดียว นี่มันไม่ได้ ต้องใช้กำลังด้านวิปัสสนาญาณ เข้าช่วยให้หนัก ถ้าครูโง่ก็ไม่มีใครเขามาเป็นลูกศิษย์

นั่นก็หมายความว่า การทรงฌานโลกีย์นี่ยังมีความโง่อยู่มาก ฌาน 1,2,3,4,5,6,7,8 เธอสามารถจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าถ้าจะถามเธอว่า เวลานี้สังโยชน์ 3 เธอละได้ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ได้ สังโยชน์ 5 เธอละได้ไหมเธอก็ตอบว่า ไม่ได้ สังโยชน์ 10 ละได้ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ได้ ฉะนั้นการทรงฌานโลกีย์ ในเมื่อยังไม่สามารถทำลายสังโยชน์ทั้ง 10 ประการได้ จะถือว่าฉลาดไม่ได้ ก็ถือว่าเป็น คนโง่

ต่อมา ท่านก็แนะนำเรื่องการศึกษาสังโยชน์ 10 ประการ ว่า การศึกษาสังโยชน์ 10 ประการนี่ ความจริงไม่ใช่ของหนัก เป็นของเบา เราต้องทำแบบเบา ๆ อย่างสมัยพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ให้คนฟัง คนที่เขาฟังเขามีความฉลาด เขาฟังแล้วเขาก็คิดตาม ในเมื่อคิดตามจิต ก็มีผลตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

แต่ว่าคนสมัยนี้ พระสมัยนี้หายาก ที่ฟังแล้วคิดตาม มีแต่จำอย่างเดียว ดีไม่ดีก็จำไม่ได้เสียอีกด้วย วิธีคิดตามก็มีง่าย ๆ เป็นของไม่ยาก เมื่อท่านพูดถึงสังโยชน์ 3 ประการ เราก็ต้องจำว่า สังโยชน์ คือ กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดใจ พูดง่าย ๆ ก็คือ ความชั่ว ที่เข้ามาดึงใจไม่ให้เข้าไปถึงความดี อันดับแรกมี 3 อย่าง คือ

1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส

สำหรับในตอนต้น เราจะตัดสังโยชน์ 3 ก็จงอย่าละเมอเพ้อฝัน ไปนำเอาอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ที่ทำกันไม่ได้จริง ๆ น่ะเพ้อไป แต่ความจริงสังโยชน์ 3 ของพระโสดาบันกับสกิทาคามีเป็นของง่าย นั่นคือ

1. นึกถึงความตาย ท่านก็หันมาถามว่า พวกเธอทั้งหลายเคยนึกถึงความตายไหมทุกองค์ก็ตอบว่า นึกทุกวันพระเจ้าข้า (เรื่องความตายนี่ต้องนึก ถ้าไม่นึกถึงความตาย ฌานมันเสื่อม อารมณ์จิตมันกำเริบ ต้องเอาความตายเข้าคุมและยอมรับความจริงว่า มันตายจริง)

ประการที่ 2 เธอมีความสงสัยในพระไตรสรณคมน์ไหม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ตอบท่านว่า ไม่สงสัย

ประการที่ 3 เธอมั่นใจในศีลไหม ว่า เธอเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็กราบเรียนท่าน บอกว่าข้อนี้ไม่มั่นใจ เพราะศีลละเอียดมาก ศีลของพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านอภิสมาจาร อภิสมาจารนี่ละเมิดเรื่อย ๆ

ท่านบอกว่า อภิสมาจารนี่ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องของจริยาเล็กน้อย ก็ไม่น่าจะสนใจนัก ตั้งใจระวังก็แล้วกัน ระวังสิกขาบทที่มีความสำคัญยิ่งกว่านั้นอย่างปาราชิก สังฆาทิเสส นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นส่วนปฏิบัติเป็นเรื่องของจริยา อาจจะมีการละเมิดบ้างไม่สำคัญ เลยกราบเรียนท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่หนักใจ

ท่านบอกว่า ไม่หนักใจจงอย่าคิดว่า ได้นะ จงคิดว่า อันดับแรก ก่อนที่จะทำอะไรเมื่อลืมตาขึ้นมา ก็ดูกำลังใจว่า กำลังใจ เวลานี้ของเรา ต้องการสงัด หรือต้องการคิดการปฏิบัติทางจิต อย่าฝืนกำลังใจ ถ้าลืมตามีความรู้สึกขึ้นมาว่า กำลังใจต้องการคิด ก็ให้มันคิด เพราะกรรมฐานทั้งหมด 40 อย่าง มีอารมณ์คิด 29 อย่าง มีอารมณ์ทรงตัว 11 อย่าง ชอบใจกองไหน ทำกองนั้น

เวลาที่จะคิดก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องคิดเฉพาะกองนั้น เฉพาะกองนี้ จะเป็นกองใด กองหนึ่งก็ได้ อย่าง อสุภกรรมฐานก็ได้ มรณัสสติกรรมฐานก็ได้ กายคตาสติกรรมฐานก็ได้ หรืออะไรก็ได้ตามชอบใจ คิดให้มันถูกว่า เวลานี้ เราคิดนอกเหนือกำลังของกิเลส ฉะนั้น การศึกษาเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งก็ถูก แต่ก็แพ้ความดีง่าย ต้องศึกษาให้รอบตัวในกรรมฐาน 40 ใช้ได้ให้คล่องทุกอย่าง

ท่านถามว่า ในกรรมฐาน 40 เธอหนักใจกองไหนบ้าง ก็กราบเรียนท่านบอกว่ากรรมฐาน 40 ไม่มีอะไรหนักใจเลย เวลานี้ตามความเข้าใจของตัวเองคิดว่า คล่องทุกอย่างท่านตอบว่า ใช่ เธอมีความคล่องจริง แต่อย่าลืมนะว่า เธอยังไม่สามารถทำลายนิวรณ์ได้ นิวรณ์นี่เป็นตัวชั่วร้ายมาก เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง จะต้องพยายามทำลายนิวรณ์ให้ได้ด้วยสังโยชน์ ก็ถามท่านว่า

ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องตัดสังโยชน์ด้วยหรือ ท่านบอกว่า มันก็ไม่มีความจำเป็นว่า ปรารถนาพุทธภูมิ หรือไม่ปรารถนาพุทธภูมิก็ตามต้องตัดสังโยชน์ให้ได้ ถ้าตัดสังโยชน์ 3 ข้อไม่ได้ เราก็ต้องเป็นเหยื่อของอบายภูมิ เรายังมีโอกาสลงนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจะดีหรือ ก็กราบเรียนท่านว่าไม่ดี

ท่านเลยบอกว่า ในเมื่อมันไม่ดี ก็จงเลิกเสีย เลิกคิดว่า พุทธภูมิไม่ควรจะปฏิบัติในสังโยชน์ ต้องมีความเข้าใจว่า พุทธภูมิต้องคล่องทุกอย่าง ตั้งแต่ อานาปานสติถึงสังโยชน์ 10 ต้องมีการคล่องตัว และก็มีอารมณ์ทรงตัว ก็ยอมรับว่า จะปฏิบัติตามนั้น

ต่อมาท่านก็บอกว่า นี้กำลังใจที่จะเข้าถึงสังโยชน์ 3 ได้ดี ท่านบอก ให้พิจารณาตามนี้ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า

1. เราไม่ประมาทในความตาย ข้อนี้พวกเธอทั้ง 3 องค์สบายมาก

ข้อที่ 2 มีความเคารพในพระไตรสรณาคมน์ ข้อนี้พวกเธอก็สบายมาก เวลานี้เธอสามารถติดต่อกับพระได้แล้วใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ใช่ ถามอะไรพระท่านบอกตรงตามความเป็นจริงไหม ก็ตอบว่า ตรงทุกอย่าง ท่านบอกว่า อย่าลืมนะ อย่าใช้กำลังใจให้มันพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเธอสามารถตัดสังโยชน์ได้ ความละเอียดของจิต จะดีกว่านั้นการพบกับพระ เห็นพระ จะชัดเจนกว่านั้น ความแม่นยำ ความรู้จากพระบอก จะดีกว่านั้น

และอีกประการหนึ่ง การตัดสังโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นึกถึงความตาย เคารพพระไตรสรณาคมน์ ตั้งใจรักษาศีลเท่านี้ยังไม่พอ จะต้องมีอารมณ์ต้องการพระนิพพานอีกที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์

ก็กราบเรียนถามท่านว่า เขาบอกว่า นิพพานสูญ ท่านบอกว่า อย่าคิดตามเขา เวลานี้เธอมีหน้าที่ฟังฉันพูด เธอยังไม่มีหน้าที่ถาม ถ้านิพพานสูญ จะเอาความสุขจากนิพพานมาจากไหน ตามพระบาลีมีอยู่ว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คำว่า สุขต้องมีอารมณ์รับสัมผัส ต้องการสัมผัส ถ้าไม่สัมผัส จะไม่มีความเป็นสุข หรือเป็นทุกข์อย่างคนนอนหลับ เราจะเรียกว่าสุขก็ไม่ได้ จะเรียกว่าทุกข์ก็ไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เรื่องเหมือนกับเขาที่พูดว่า นิพพานสูญ แต่ความจริงนิพพานที่พูดไม่ใช่นิพพานตัวนั้น เป็นนิพพานตัวแท้ที่มีความสุข นั่นก็หมายความว่า นิพพานยังมีสภาพเป็นทิพย์ ทิพย์ยิ่งกว่าพรหม ความเป็นทิพย์อันดับแรกก็คือเทวดา หรือนางฟ้า (สวรรค์) ทิพย์ที่ 2 ก็คือพรหม ทิพย์ที่ 3 ก็คือนิพพาน ทิพย์สูงสุด

เวลานั้นเราต้องใช้อุปสมานุสสติกรรมฐานเข้าควบคุมใจ คือต้องการนิพพาน เมื่อจิตต้องการนิพพาน จิตมันก็คุมตัว วันหนึ่งเราจะต้องเป็นคนทรงฌานโลกีย์ได้ครบถ้วน ประการที่ 2 ไม่ลืมความตาย ประการที่ 3 เคารพพระไตรสรณาคมน์ ประการที่ 4 มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะเข้าถึงก้าวแรก คือการเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มเข้าถึงกระแส พระนิพพาน แต่ยังไม่ถึงนิพพาน ถ้าเรียกเหมือนชาวบ้าน เขาก็เรียกว่า เข้ารั้วนิพพาน

อีกประการหนึ่ง การสังเกตจิต จะสังเกตว่า จิตเราจะมีความเยือกเย็นลง คำด่า คำนินทา จะรู้สึกเฉย ๆ จะไม่กระทบกระเทือนจิตใจมากนัก การกระทบกระเทือนจิตใจก็ต้องมี เป็นธรรมดา แต่ว่ามันเบากว่าเดิม มันช้ากว่าเดิม ไม่ใช่มีอารมณ์ไม่โกรธ อารมณ์โกรธมี แต่เรียกว่าโกรธเบากว่า โกรธเล็กกว่า โกรธช้ากว่า อารมณ์รักยังมี ในเมื่อยังมีอารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง จิตก็ยังเลว แต่เราเลวอยู่ในขอบเขตในรั้วพระนิพพาน ดีกว่าเลวภายนอก

แต่ว่า เรื่องฌานโลกีย์จงอย่าทิ้ง ให้ใช้เป็นกำลังป้องกันความเสื่อมของจิตใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพบพระพุทธเจ้า พบพระปัจเจกพุทธเจ้า พบพระอรหันต์ พบเทวดา หรือพรหมที่ท่านมีความฉลาด ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มีเยอะ ถามท่าน ปรึกษาหารือกับท่าน มีอะไรสงสัย ถามท่าน ผลที่จะพึงได้ ให้ถามตรงพระพุทธเจ้า อย่างนี้เขาเรียกอะไร เขาเรียกว่า พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี หรืออนาคามี หรืออรหันต์ หรือยังไม่ได้อะไรเลย

อย่างเธอนี้ (ท่านหันมาทางอาตมา) เขายังถือว่า ยังไม่ได้อะไรเลย แม้จะทรงสมาบัติ 8 สมาบัติ 8 มักเป็นของเด็กเล่น เผลอหน่อยเดียว นิวรณ์เกาะใจนิดเดียว สมาบัติก็เจ๊งพัง เป็นของเปราะง่าย แตกง่าย ฉะนั้น จงอย่าหลงสมาบัติ 8 ว่าเป็นของดี และจงอย่าคิดว่าสมาบัติ 8 เป็นของเลว ให้คิดว่า สมาบัติ 8 คือเครื่องป้องกันอันตราย หรือกำลังที่จะเข้าห้ำหั่นศัตรู แต่ยังไม่มีอาวุธ อาวุธของเรา คือ ปัญญา คือ วิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณก็อย่าว่าเพ่นพ่านไป ให้จับสังโยชน์เป็นสำคัญ การเจริญเพ่นพ่านเปะปะไป มันไร้ประโยชน์จริง ๆ บางคนที่บอกว่า เจริญกรรมฐานมาตั้ง 10 ปี ไม่มีผลก็เพราะว่า เขาไม่รู้จักสังโยชน์ 3

แล้วท่านก็หันหน้าไปหาอีก 2 องค์ว่า 2 องค์นี่ดี เริ่มดีแล้วนะ ดีหน่อย ๆ คือสามารถตัดสังโยชน์ 3 ได้ แต่ว่า เรื่องของฤทธิ์ จงอย่าใช้ในเมื่อไม่จำเป็น เธอ 2 องค์นี่ซนมาก ชอบเล่นโน่น ชอบเล่นนี่ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ให้ใช้เฉพาะเวลาที่มีความจำเป็น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สมมติว่า ถ้าเราหิวข้าว เราขอข้าวเทวดากินได้ อันนี้ต้องถือเป็นหลักใหญ่ ถ้าวันไหนขอข้าวกินไม่ได้ถือว่าเราเลว

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 05:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อเนียม ตอนที่ ๒


วันนี้เป็นวันที่ 26 มิถุนายน 2533 ขอต่อเรื่องของหลวงพ่อเนียมต่อไปว่า การละสังโยชน์ 3 เบื้องต้น มีอารมณ์ตามนี้ คือ จิตมีความสุข เพราะคิดว่า เราตายเมื่อไรก็ตาม เราจะไม่ไปอบายภูมิ ประการที่ 2 จิตมีอารมณ์รักพระนิพพานมาก ตอนนี้ยังเป็น สังโยชน์ 3 อย่างหยาบ

เมื่อจิตมีความละเอียด จิตมีอารมณ์ทรงตัวในกรรมบถทั้ง 10 ประการ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ลักไม่ขโมยของใคร ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ดื่มสุราเมรัย ไม่พูดปด ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล และจิตใจไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร โดยไม่ชอบธรรม จิตไม่คิดจองล้างจองผลาญ คือตัดพยาบาท จิตมีความเห็นตรงเฉพาะนิพพานอย่างยิ่ง อย่างนี้เป็นอย่างกลาง ที่เรียกว่า พระโสดาบันอย่างกลาง

ถ้าอย่างละเอียด จิตจะมีอารมณ์สงบสงัดมาก มีอารมณ์ทรงตัวนิ่มนวล ทุกอย่างไม่ต้องระวัง
พอเข้าถึงสกิทาคามี ความอ่อนตัวของความรักระหว่างเพศ อ่อนตัวของความโลภ อ่อนตัวของความโกรธ อ่อนตัวของความหลงจะมีขึ้น มันมีบ้าง แต่มีความอ่อนตัวมาก มีกำลังเล็กน้อยไม่หนักหนาไม่รุนแรง และในขั้นสุดท้ายปลายของสกิทาคามี จิตจะไม่มีความรู้สึกในระหว่างเพศเลย จิตจะไม่มีความความรู้ในความโกรธ

ทั้งนี้เพราะว่าอารมณ์ละเอียดมาก บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่าเวลานี้เราเป็นพระอนาคามี อันนี้ไม่ใช่ ต้องสังเกตว่านาน ๆ ในอารมณ์สงัด จะมีความรักโผล่เข้ามานิดหนึ่ง หรือมีอารมณ์ไม่พอใจโผล่เข้ามานิดหนึ่ง แล้วก็ถูกตีกลับไป อย่างนี้เป็น พระสกิทาคามีละเอียด

ต่อมา เราก็ต้องศึกษาเป็น พระอนาคามี (การศึกษาทุกอย่าง เราจะทิ้งฌานไม่ได้เด็ดขาด คำว่า ฌาน1,2,3,4,5,6,7,8 ว่าให้มันตรงตัว ให้มันตรงจริง ๆ ต้องการเมื่อไรต้องได้เมื่อนั้น และไม่ต้องไปนั่งหลับตาทรงฌาน การนั่งหลับตาทรงฌาน นี่ไม่ใช่ของจริง การทรงฌานจริง ๆ คือ ไม่มีการหลับตา ใช้กำลังใจได้ทันทีทันใด) ใช้กำลังฌานช่วยระงับเป็นกำลังป้องกัน ใช้มีดดาบฟัน นั่นคือ วิปัสสนาญาณ ฟันต่อไป คือ
กามฉันทะ มันก็ฟันง่ายเสียแล้วนี่ ความรู้สึกในกามฉันทะมันจะไม่มีอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงความจริง ใช้กำลัง พรหมวิหาร คือ เมตตา หรือกสิณ 4 คือ กสิณสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เป็นพื้นฐาน

และหลังจากนั้นก็จับ อสุภกรรมฐาน ขึ้นมาเห็นว่าร่างกายของคน และสัตว์มันสกปรก ในที่สุดก็จับ สักกายทิฎฐิ ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ก็คิดว่าร่างกายจริง ๆ ไม่ใช่ของใครมันเป็นของโลก ชาวโลก มันเป็นธาตุ 4 ที่ประกอบเข้าด้วยกัน เป็นร่างกายขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก

ความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน ใช้พรหมวิหาร 4 เข้าตัด และใช้สักกายทิฎฐิเข้าห้ำหั่น ในที่สุดเราก็จะเห็นว่า ร่างกายของคนไม่เป็นที่ปรารถนา ความโมโหโทโส ความโกรธ ความเป็นมา ไม่เป็นที่ปรารถนาของคน เราไม่มีความต้องการอย่างนั้น อารมณ์ก็ทรงตัว จิตจะมีความเยือกเย็นมากขึ้น ขึ้นชื่อว่า ความรักนิดหนึ่ง ในวัตถุก็ดีในคนก็ดี ในสัตว์ทั้งหลายก็ตาม คำว่า รักด้วยกิเลสไม่มี แต่รักด้วยเมตตา มีกำลังสูง มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย ตัวนี้มีกำลังแก่กล้า ในเมื่อมีกำลัง แก่กล้า ความรักในระหว่างเพศไม่มี ความโกรธไม่มี เราก็เป็นอนาคามี มันก็เป็นของไม่ยาก

ต่อไปก็ก้าวเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ ตอนนี้ไม่มีอะไรหนัก การเข้าในเขตความเป็นอรหันต์นี่ไม่มีอะไรหนัก เพราะเป็นการใช้ปัญญาอย่างเดียว หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า ใช้ความฉลาด การเป็นอรหันต์ให้ตัดรูปราคะ คือ ตัดรูปฌาน
(คำว่า ตัด ไม่ได้หมายความว่า โยนทิ้งไม่ใช้ ใช้รูปฌาน และอรูปฌานเป็นปกติ คือ รูปราคะ อรูปราคะ เราใช้ ใช้ทุกวัน ทุกเวลา จะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ฌานขั้น 1 ขั้น 2 ขั้น 3 ขั้น 4 ขั้น 5 ขั้น 6 ขั้น 7 ขั้น 8 เราชอบใจฌานขั้นไหน เหมาะแก่กาลสมัย เวลานั่งคุยกันอยู่นี่ อย่างน้อยที่สุดให้ทรงฌานที่ 2 และก็ใช้วิปัสสนาญาณดูไปด้วย ฟังคำพูดของคน ดูรูปร่างของคน ดูภายนอกไม่พอต้องดูภายใน ภายนอกก็แก่ทุกวัน สกปรก ภายในก็สกปรก)

ก็รวมความว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี เรายึดไว้เป็นกำลัง แต่ไม่หลงอยู่แค่นั้น ถ้าหลงในรูปฌาน หรืออรูปฌาน หรืออรูปฌานทั้ง 2 อย่าง ก็ถือว่าหลงความโง่ คนโง่เท่านั้นที่คิดว่า รูปฌาน และอรูปฌานเป็นของดี

ต่อมาก็ ตัดมานะ การถือตัวถือตน นี่เป็นของไม่ยาก เราจะถือตัวถือตนเพื่ออะไรในเมื่อร่างกายของเรามันก็เลว มันเป็นธาตุ 4 ที่เข้าประชุมกัน มีอาการ 32 เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เราหันไปดูร่างกายที่เป็นทิพย์ ร่างกายเทวดา ร่างกายนางฟ้า ร่างกายพรหม ร่างกายพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า ที่ท่านนิพพานแล้ว ดีกว่าร่างกายนี้ แล้วก็จงดูร่างกายภายในของเรา กายภายนอกมันสกปรก กายภายในเราผ่องใสไหม ต้องดูร่างกายภายในให้ผ่องใสคล้ายพระอริยเจ้าไว้เสมอ ๆ อย่างนี้

เธอปรารถนาพุทธภูมิต้องทำตามนี้นะ ดูพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้วหรือพระอริยเจ้าที่ตายไปแล้ว พระอริยเจ้าเบื้องต่ำ อย่างพระโสดาบัน ท่านตายไปแล้ว รูปร่างหน้าท่าน สวยสดงดงามขนาดไหน ดูร่างกายของเรา สวยเหมือนท่านไหม(ร่างกายภายใน) และพระสกิทาคามี อนาคามี ก็เหมือนกัน เหมือนท่านไหม ถ้าไม่เหมือนท่าน ยังใช้ไม่ได้ ยังเลวมาก

ต่อไปก็ให้ดูร่างกายพระอรหันต์ ร่างกายพระอรหันต์ ท่านสวยขนาดไหน ร่างกายของเรา สวยถึงขนาดนั้นแล้วหรือยัง (ร่างกายภายใน) ถ้ายังก็ถือว่าเรายังเลวมาก เราไม่เอาร่างกายของเราเข้าไปเปรียบกับพระพุทธเจ้า เพราะเวลานี้เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า ต้องทำอย่างนี้เป็นปกติ

ในเมื่ออารมณ์จิตเป็นอย่างนี้ อารมณ์มานะทิฏฐิการถือเนื้อถือตัวมันจะมาจากไหน เราคิดว่า เราดีกว่าเขา มันมีอะไรดี ร่างกายเน่า ร่างกายแก่ ร่างกายสกปรก ก็ไม่ใช่ของดี ร่างกายต้องตาย เราคิดว่า เราเลวกว่าเขา เราจะเลวอย่างไร มันเลวไม่ได้ เพราะว่ามันเท่าเขา มันเน่า มันเปื่อยเหมือนกัน

เราคิดว่า เราเสมอเขา มันก็เสมอไม่ได้ เพราะร่างกายของคน ย่อมคล้ายคลึงกัน แต่ว่าจิตใจของคนไม่เท่ากัน จิตใจของเขาอาจจะเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ ต้องดูภายใน คือ จิตใจ หรือร่างกายภายใน

ก็รวมความว่า ตัดอารมณ์ความรู้สึก 3 อย่าง ว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ตัดโยนทิ้งไป เราไม่สนใจเขา เราสนใจแต่ตัวเราอย่างเดียว ชำระกายภายในให้สะอาด ให้สวยที่สุด เท่าพระอรหันต์
ท่านบอกว่า ถ้าจิตเข้าถึงตอนนี้ อารมณ์จะมีแต่ความเป็นสุข จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นของธรรมดาไปหมด คนที่เขาแสดงความรักในเราก็จงทราบว่า ไม่ช้าเขาก็เกลียดเรา เพราะมันเป็นของธรรมดาของชาวโลก ถ้าใครเขารักในเรา เราก็จงอย่าดีใจ ใครเขาเกลียดเรา เราก็อย่าเสียใจ เขาสรรเสริญเรา เราก็อย่าดีใจ เขานินทาเรา เราก็อย่าสะเทือนใจ ทำอารมณ์ใจเป็นสุข ท่านบอกว่า ในเมื่อถึงตอนนี้แล้ว ไม่ต้องไปคุมอารมณ์ใจ อารมณ์ใจมันจะเป็นของมันเอง

และต่อมา ความเป็นทิพย์ของจิต นี่เธอไปเรียนกับท่านโหน่งมาแล้วใช่ไหม ก็บอกว่าใช่ขอรับ เรียนกับท่านโหน่งมาแล้ว ท่านบอกว่า เป็นของดีมาก ท่านปานก็ดี ท่านโหน่งก็ดีเป็นพระดีมาก ท่านจงอีกองค์หนึ่งนะ ถอดแบบฉบับเขาไว้ ทั้งหมดนี้ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ ผ่องใสมาก และการปรึกษาหารือกับพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์องค์ไหนก็ตาม พรหม เทวดา นางฟ้าก็ได้ ที่ท่านมีความดี มีความรู้ยิ่งไปกว่าเราเราศึกษากับท่าน ท่านบอกอะไร เราเชื่อ

แต่จงจำไว้ว่า เทวดา นางฟ้า พรหมก็ตามและรูปพระที่เราเห็นก็ตาม เขาจะต้องสอนตามพระไตรปิฏก ถ้าสอนผิดจากพระไตรปิฏกนั่นไม่ใช่ เป็นมาร ต้องระวังมารให้มาก (คำว่า มาร แปลว่า ผู้ฆ่า) เขามาทำลายความดี มารนี่รบกวนไม่ว่าใคร แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตร คือพระพุทธเจ้า มารก็เคยเข้าไปรบกวนอยู่เสมอ ๆ

ก็รวมความว่า ทุกองค์ที่มาศึกษาที่นี่ ความจริงความรุ้จริง ๆ นี่ ท่านปานสอนหมดแล้ว ท่านปานสอนไม่มีอะไรเหลือ แต่ว่าที่ท่านปานให้กลับมาหาฉัน ท่านปานต้องการให้ซ้อมจากฉันอีกทีหนึ่ง เพื่อความมั่นใจของเธอ ท่านปานนี่เป็นครูที่มีความฉลาดมาก ไม่ทะนงตนว่าเป็นคนดี หรือไม่ทะนงตนว่า เป็นคนรู้แต่ผู้เดียว

และพวกคณะเธอทั้ง 3 องค์ ก็เป็นลูกศิษย์ที่มีความสำคัญ เพราะเชื่อครูทุกอย่าง ครูจะสอนแบบไหนก็เชื่อให้ทำอะไรก็เชื่อ ให้ไปอยู่ในป่า ไปอยู่ในป่าศรีประจันต์สนุกไหม ก็ตอบว่า สนุกขอรับ ท่านเลยบอกว่า คนที่มาคุยกับเธอทุกคนที่ป่าศรีประจันต์ เป็นเทวดา กับนางฟ้าทั้งนั้นใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ต่อมาภายหลัง บางทีเราเที่ยวเพลินเกินไป กลับมาสว่าง เทวดา นางฟ้ามาใส่บาตรให้ใช่ไหม ก็ตอบท่านว่า ใช่

ท่านบอกว่า ลีลานี้จงอย่าทิ้ง ท่านปานสอนดีแล้ว แต่ที่ฉันนี่ สอนเฉพาะสังโยชน์ 10 ท่านโหน่งสอนทุกอย่าง ให้รู้จักเทวดา รู้จักพระ ดีทั้งหมด จำเอาไว้ และก็ปฏิบัติให้ดี ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ ภายในไม่ช้าพวกเธอก็พ้นทุกข์ แล้วก็จะรู้อะไรได้ทุกอย่าง แต่ความรู้ของพระ จงระมัดระวังให้มาก ถ้าคนเขามาถาม ดูสีหน้าคน ดูใจเขา ถ้าถามเพื่อลองใจ ลองภูมิ อย่างนี้ก็ใช้แบบฉันธรรมดา ๆ ก็แล้วกัน ฉันก็ทำตนเองเหมือนคนบ้า ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่า คนบ้าในโลกนี้มีมาก คนบ้ามันมาหาฉัน ฉันก็ต้องบ้าตอบ ถ้าคนดีมาหาฉัน ฉันก็ดีตอบ พวกเธอนี่ อาจารย์เธอดี และเธอก็ดีตามอาจารย์ ฉันก็ดีตอบ วิชาอย่างนี้ฉันไม่เคยสอนใครมาก่อน นอกจากท่านปาน กับท่านโหน่ง เคยสอนมาก่อนก็แค่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ดีถมเถไป เพราะเขาถือว่า เท่านั้นดี แต่คนที่ต้องการที่สุดของความดีมีน้อยเหลือเกิน

หลังจากนี้ไป พวกเธอจงไปพักและรักษากำลังใจให้ดี จงอยู่ที่นี่ 15 วัน ในเวลา 15 วันนี้ ถ้าสงสัยอะไร ถามฉันได้ หรือว่าถ้าเธอคิดว่า เธอไม่สงสัย ถ้าเธอมีกำลังใจคิดพลาดไป ฉันจะบอกให้ ก็รวมความว่า กราบท่านแล้วก็ออกมา ออกมาก็คุยกันว่า เอ๊ะ…องค์เมื่อกี้นี้ไม่ใช่หลวงพ่อเนียมนี่นะ เราเห็นหลวงพ่อเนียมนั่งเฉย ๆ องค์นั้นมาคุมรูปร่างหลวงพ่อเนียมและก็พูดไพเราะมาก ผิวเหลืองคล้ายจีวร สดสวย หน้าตาดีมาก ตาก็ใส ริมฝีปากก็แดงเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เราเห็นทั้ง 3 องค์ก็ตอบว่า เหมือนกันก็เลยคุยกัน บอกว่าถ้าอย่างนั้น เราก็พบพระซ้อนพระอีกแล้ว

เราไปหาหลวงพ่อโหน่งก็พบพระซ้อนพระ เรามาหาหลวงพ่อเนียม เราก็พบพระซ้อนพระ และคนอย่างพวกเราจะมีวาสนาบารมีเป็นพระซ้อนพระกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ คุยกันแล้วก็มาที่พัก เมื่อมาที่พักก็อาศัยธรรมปีติ ปีติมันมาก ความสดชื่นมันมาก ก็นั่งใคร่ครวญกรรมฐาน คุยกันถึงความเป็นมาของธรรมะ ที่หลวงพ่อเนียมสอนถึงสังโยชน์ 10

ก็คุยกันอยู่ประมาณตี 2 เสียงหลวงพ่อเนียมร้องตะโกนมาบอก เอ้อ..ทั้ง 3 องค์คุยกันถูกแล้วนะ คิดอย่างนี้ถูก วิปัสสนาญาณไม่ใช่เฉพาะเอาไปนั่งคิดคนเดียว ต้องคุยกันตามนี้ เวลาที่เราคุยกัน เวลานั้นจิตว่างจากกิเลส เมื่อจิตว่างจากกิเลส อารมณ์ก็มีความสุข แต่ว่าเวลานี้มันตี 2 แล้วนี่คุณ จิตใจมันจะเพลียเกินไป พักผ่อนเสียนะ เวลาพักผ่อน จิตจับอานาปานสติกรรมฐาน จับพระองค์ที่เธอเห็น (ท่านพูดเสียงดัง ๆ มาจาก กุฏิของท่านนะ)

พระที่เธอทั้ง 3 องค์เห็นนั้นไม่ใช่ฉัน คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสวมกายฉัน และก็ใช้เสียงฉันพูด แต่เสียงก็ไม่เหมือนเสียงฉัน พวกเราก็ดีใจ ก็ต้องเชื่ออาจารย์ ต่างคนต่างก็ลุกแยกกันไป พอศรีษะถึงหมอน เริ่มตะแคงขวา จับอานาปานสติ เสียงท่านบอกว่า อย่างนั้นถูกแล้ว จิตจับพระเป็นอารมณ์ จิตก็จับถึงพระพุทธเจ้าองค์นั้น ประเดี๋ยวเดียวก็หลับ

พอตี 4 ก็ตื่น ตื่นขึ้นมาก็เจริญกรรมฐาน ทั้งกำลังนอน พอรู้สึกตัวพับ จิตก็จับอานาปานสติ ใช้กำลังฌานให้มีการทรงตัว สำหรับเรื่องฤทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา เราไม่เรียนกันเรื่องฤทธิ์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าห้าม แต่ว่าตอนเช้า พวกเราก็ไปบิณฑบาตไปในป่าช้า หลวงพ่อเนียมสั่งตามนั้น เพราะทำเป็นปกติ

พอไปถึงป่าช้าเราก็เอาบาตรแขวนกับต้นไม้ ยืนหลับตา จับอานาปานสติ กับพุทธานุสสติ ประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงบอกว่า ไม่ต้องหลับตาหรอก ลืมตาก็ได้ ชินกันแล้วนี่นะ ก็ลืมตาขึ้นมา เห็นภุมเทวดาที่รักษาวัดอยู่ ท่านก็บอกว่า เวลานี้เทวดา กับนางฟ้าเขามาพร้อมแล้ว ท่านเปิดบาตร เขาจะใส่บาตรทุกคนก็เปิดบาตร ท่านก็ใส่บาตร แต่ว่าท่านมาในรูปร่างของชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่ว่าข้าวที่นำมากิน นั่นคือ ข้าวสีเหลือง ไม่มีกับ เป็นของธรรมดาปฏิบัติอย่างนี้ทุกวัน

เมื่อฉันข้าวไปแล้วก็ไปนั่งคิดว่า ท่านทุกคนที่ใส่บาตรเรา เดิมท่านก็เป็นมนุษย์อย่างเรา เวลานี้ท่านตายจากความเป็นคนไปแล้ว เราก็ต้องตายเหมือนกัน แต่ว่าท่านตายแล้วท่านเป็นเทวดา เราตายแล้ว เราจะไปไหน ถ้าอย่างเลว เราก็อยากเป็นเทวดา เพราะเราไม่ลงนรก อย่างกลางเราก็อยากเป็นพรหม อย่างดีที่สุด เราก็อยากเป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน

พอนึกอย่างนี้เท่านั้น ได้ยินเสียงหลวงพ่อเนียมบอกว่า ถูกแล้ว ๆ ต้องเป็นอย่างนั้น อันดับแรก ต้องจับความเป็นเทวดาให้ได้ก่อน แต่ว่าเวลานี้เธอกินข้าวของเทวดา เธอต้องเป็นเทวดาได้แน่ เพราะเทวดายอมรับ อย่าทิ้งความดีนี้เสีย

และประการที่ 2 ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเลยจากเทวดา เราจะไปเป็นพรหม ต้องจับกำลังพรหมให้ได้ ด้วยการทรงฌานทั้ง 8 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรงตัวก่อนตาย ไม่ต้องทั้ง 8 ฌาน เวลาเข้าไม่ต้องเข้าเรียงลำดับ จับเอาตามจุดที่เราต้องการทันทีทันใด แต่การใช้ฌานเรียงลำดับ ต้องใช้เป็นปกติ เป็นการฝึกเข้าไว้ ฌาน 1,2 , 3, 4, 5, 6, 7, 8 ต้องฝึกให้คล่อง จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ขัดข้อง

หลังจากนั้น จับวิปัสสนาญาณ คือ สังโยชน์ 10 อย่าไปจับส่งเดชมันจะป้วนเปี้ยนไป การจับส่งเดชป้วนเปี้ยนเป็นของไม่ดี จับให้ทรงตัว หลังจากนั้นแล้วก็ปล่อยใจตามสบาย ๆ ขณะที่ปล่อยใจตามปกติ ก็ดูใจ เวลาไหนใจเราผิดจากสังโยชน์ 10 บ้าง ถ้าคลาดจากสังโยชน์ 10 ข้อไหน ต้องถือว่าเวลานั้นเราเลว จงตำหนิตัวเองว่าเราเลว สังโยชน์ทั้ง 10 ประการ ต้องไม่มีในเรา ความจริงมันมี เราต้องทำให้มันไม่มี มันจะมี เราก็ฝืนไม่ให้มันมี มันก็ต้องสู้กันแบบนี้ ไม่ช้าเราก็ชนะ

ในที่สุด เมื่ออยู่ครบถึง 15 วัน ท่านก็บอกว่า 2 องค์นี่สามารถตัดสังโยชน์ 5 ได้แล้วนะ แต่ว่าสำหรับเธอ (หันมาที่อาตมา) กำลังก็เทียบเคียงสังโยชน์ 5 เพราะเธอปรารถนาพุทธภูมิ ต่อไปก็เร่งรัดสังโยชน์อีก 5 ให้จิตมันละเอียดจริง ๆ

ในเมื่อถึงวาระท่านให้กลับ ก็ลาท่านกลับ กราบด้วยความเคารพและกราบเรียนท่านว่า กระผมจะมีโอกาสจะมาหาหลวงพ่ออีกไหมขอรับ ท่านบอก เธอไม่มีโอกาสมาพบฉันอีกเพราะไม่ช้าฉันก็ตายแล้ว ร่างกายคือขันธ์ 5 มันตาย แต่ว่าฉันจะไปอยู่บ้านฉัน แล้วท่านก็ชี้ให้ดูบอกว่า หลังนี้บ้านฉัน ฉันเตรียมไว้นานแล้ว พวกเธอเคยเห็นบ้านเธอไหม ก็บอกท่านว่าไม่เคยสังเกต ท่านบอก ต้องสังเกต ต้องเตรียม เราจะไปอยู่ที่ไหน ต้องเตรียมที่นั่น

เวลานี้เธอต้องการอะไรก็บอกท่านบอกว่า ต้องการนิพพาน ท่านหันมาถามอาตมาบอกว่า เธอไม่ต้องการพุทธภูมิหรือ บอก พุทธภูมิก็เอา นิพพานก็เอา ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ก็ไปพุทธภูมิ ไปพุทธภูมิได้ ก็ไม่เอานิพพาน ท่านบอกว่า ทำไมเป็นคน 2 ใจ ก็เลยบอกท่านว่าหลวงพ่อปานชวนไว้ ท่านก็เลยบอกว่า ท่านปานจะชวนหรือไม่ชวนก็ตาม เธอก็ต้องทำหน้าที่พุทธภูมิ ไปจนกว่าจะตาย

ต่อไปเบื้องหน้า เธอจะมีภาระหนักเรื่องการสอนพระกรรมฐาน พยายามศึกษาให้ละเอียด พยายามหาแนวทางสอนให้ง่ายที่สุด เพราะว่ามนุษย์ที่ติดตามเธอมาเกิดมีมาก เธอยังเป็นหนี้เขา ถึงอย่างไรก็ดี บ้านหลังนี้ ท่านชี้เลย บ้านหลังนี้ ที่มีบ้าน 3 หลัง และมีหอระฆังอยู่ข้าง ๆ มีรั้วเป็นเพชร เป็นสีคล้ายเพชรประดับทอง มีสระโบกขรณี มีแท่นแก้วและมีต้นไม้แก้ว มีบริเวณกว้าง เป็นบ้าน 3 หลัง บ้านสำหรับเธอ

เพราะในฐานะที่เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แต่ว่าพุทธภูมิของเธอต้องลา ถามว่าจะลาเมื่อไร ท่านบอก ลาอายุประมาณ 40 ปีเศษ ๆ นิดหน่อย ถามว่า ทำไมต้องลา ท่านบอกว่า เป็นไปตามสัญญา สัญญาเดิมมีอย่างไร ต้องปฏิบัติตามนั้น ก่อนที่จะมาเกิด มาเกิดเพราะอะไร สัญญากันไว้

ตอนที่เธอลาพุทธภูมิ เธอจะสังเกตได้ว่า กรรมฐานจะแพร่หลายมาก จะมีคนเจริญกรรมฐานมาก และการสอนกรรมฐานของคนบางคน บางทีเพียงแค่เห็นภาพเล็ก ภาพน้อย ก็บอกว่า สำเร็จแล้วอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ ก็มีหลายท่านที่สอนถูก และก็มีหลายท่านที่สอนไม่ถูก คนที่จะมาเรียนกับเธอ ก็เป็นคนของเธอ ไม่ใช่คนของคนอื่น เธอก็แนะนำชำระหนี้เขาไป อายุประมาณ 70 กว่า ๆ 80 กว่า ๆ 90 กว่า ๆ 100 กว่า ๆ (อีตอนกว่า ๆ นี่สำคัญ มันจะตายกันกว่า 70 มันก็ยังไม่ตาย จะตายกว่า ก็ตาย 70 กว่า พอถึง 80 กว่าไม่ตายก็ถึง 100 ถึง 100 ยังไม่ตาย ต้องตายกว่า 100)

ก็เลยบอกท่านว่า ท่าจะไม่ไหวขอเวลาสัก 2 ปี พอไหม ท่านบอกว่า เรื่องเวลานี่มันเป็นสัญญาเดิม ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของเธอ เธออย่าสนใจกับร่างกาย มันจะตายเมื่อไรก็ช่างมันเถอะ เราทำถึงที่สุดของกำลังใจก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อเนียมกลับวัด

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปานนำออกธุดงค์


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็น วันที่ 27 มิถุนายน 2533 สำหรับวันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องที่ไปเรียนกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี

ในเมื่อหลวงพ่อเนียมแนะนำเรื่อง สังโยชน์ 10 และก็แนะนำวิธีปฏิบัติว่า จงอย่าทำให้เครียด การทำ ให้ใช้ปัญญาให้มาก แต่ก็อย่าใช้มากเกินไป ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสม่ำเสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระมัดระวังนิวรณ์ 5 ประการ ถ้าจิตเรายังหลงนิวรณ์ 5 ประการ ตัวใดตัวหนึ่งอยู่ ก็ยังชื่อว่าเราเป็นคนโง่ แล้ว

ประการที่ 2 ถ้าจิตยังติดในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ถือว่า เราเป็นคนโง่ ประการที่ 3 ถ้าจิตยังข้องอยู่ในสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ยังถือว่าเราเป็นคนโง่ จงอย่าคิดว่าเราเป็นคนฉลาด
ท่านสอนแบบนี้แล้ว ท่านก็ยังแนะนำว่า ต่อนี้ไปจงปฏิบัติ วิธีปฏิบัติไม่ใช่นั่งหลับตาเฉย ๆ จะคุยกับคน จะคุยกับพระ จะทำธุระต่าง ๆ ให้ใช้กิจการนั้นเป็นวิปัสสนาญาณตลอดเวลา ศีลคุมไว้ สมาธิทรงตัว สมาธิ คือ ตั้งใจทำงาน ปัญญา คือ พิจารณาสภาวะต่าง ๆ เช่น คน เราจะต้องเห็นว่า คนมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ วัตถุก็มีสภาพเช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเราเองก็มีสภาพอย่างนั้น สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ นั่นคือ นิพพาน

นิพพานเขาไปกันอย่างไร คนที่จะไปนิพพานได้ ต้องเป็นคนดี ดีที่ไม่มีความเลวคือว่าไม่ติดในนิวรณ์ 5 ไม่ติดอยู่ในฌาน อย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่หลงใหลใฝ่ฝันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรูป พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเราจริง ๆ ก็คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ที่เนื้อแท้จริง ๆ ที่ติดหนักก็คือ รูป ตัดรูปได้อย่างเดียวตัดได้ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในรูป เมื่อท่านแนะนำอย่างนี้แล้ว ท่านก็ส่งกลับ

เมื่อกลับมาแล้ว เข้ามาในวัด ก็มาหาหลวงพ่อปาน ท่านก็ซักถามว่า หลวงพ่อเนียมสอนอะไรมาบ้าง ก็กราบเรียนให้ท่านทราบตามที่กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อปานก็บอกว่าหลังจากนี้ไป เดือนหน้าฉันจะพาเธอออกธุดงค์ แต่การไปธุดงค์คราวนี้ เราจะไปไม่เกิน 1 เดือน พวกเธอจงซักซ้อมธุดงค์ไว้

อันดับแรก ซักซ้อมเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา จงอย่าลืม
ประการที่ 2 ซักซ้อมในการหากินกับเทวดากับนางฟ้า
ประการที่ 3 ซักซ้อมญาณ 8 ประการ

พอท่านบอก ญาณ 8 ประการ เท่านี้ก็งง ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ญาณ 8 ประการ เป็นอย่างไร ท่านบอกว่า ญาณ 8 ประการ พวกเธอทำได้แล้ว แต่เธอไม่รู้จักชื่อ เพราะฉันไม่เคยสอนไว้ก่อน แต่วันนี้ฉันจะบอกให้ ญาณ 8 ประการ ก็คือ

1. ทิพพจักขุญาณ ที่เราสามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ รู้ได้ด้วยญาณ (ญาณ คือ ความรู้ทางใจ)
2. จุตูปปาตญาณ ที่เราเห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี ก็ทราบว่าก่อนจะเกิดเขามาจากไหนมาจากสัตว์นรก หรือมาจากเปรต มาจากอสุรกาย มาจากสัตว์เดรัจฉาน มาจากคน มาจากเทวดา หรือมาจากพรหม เมื่อทราบข่าวคนตาย เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนตายไปอยู่ที่ไหนมีความสุข หรือมีความทุกข์
3. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พยายามถอยหลังระลึกชาติให้ได้ ให้คล่อง
4. เจโตปริยญาณ การรู้จักกำลังใจของคน ความรู้สึกของคน ความสะอาด หรือความสกปรกของจิตของคน
5. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต รู้ที่มาของประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นมีอะไรมาบ้าง
6. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า ประเภทหมอดู แต่ก็รู้ตามความเป็นจริง
7. ปัจจุปปันนังสญาณ คือ ญาณปัจจุบัน รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่มีความสุข หรือมีความทุกข์
8. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฏของกรรมว่า คนเราที่มีความสุข และมีความทุกข์เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ กรรมที่ทำไว้ เป็นกรรมชาตินี้ หรือกรรมชาติก่อน ๆ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี เราจงอย่าให้ท่านเป็นผู้มาหาเสมอไป ต้องฝึกใช้กำลังใจไปหาท่าน วันทั้งวันให้คุยกับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมหรือพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้ว หรือเทวดา นางฟ้า พรหม ที่ท่านเป็นพระอริยะก็มาก คุยกับครูบาอาจารย์ที่ท่านตายไปแล้ว หรือว่าย่องไปดูในสถานที่ใดที่หนึ่ง ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เรามีความพอใจ หรือมีความไม่พอใจ (คำว่าไม่พอใจ ก็หมายความว่า ปฏิปทานั้น มันไม่ดีเป็นโทษ) ที่พอใจ ก็หมายถึงว่า ท่านมีปฏิปทาดี มีประโยชน์

ในเมื่อหลวงพ่อปานท่านแนะนำแบบนี้แล้ว พวกเราทั้ง 3 องค์ก็เข้าป่าช้าตามเดิมซักซ้อมกันทั้งวัน ทั้งคืน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องทำเบาๆ ทำแบบสบาย ๆ แบบหลวงพ่อเนียม บางเวลาเราก็ใช้ ทิพพจักขุญาณ แต่ก่อนจะใช้ทิพพจักขุญาณก็ต้องพิสูจน์ศีล ระงับนิวรณ์ 5 แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ทำให้จิตเป็นสุข เรื่องพรหมวิหาร 4 นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องมีประจำใจ เมื่อพรหมวิหาร 4 ประจำใจ อารมณ์ก็เป็นสุขจิตก็มีสภาพแจ่มใส อย่างนี้ ทิพพจักขุญาณแจ่มใสทุกราย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคิดว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย แต่เราจะตายอย่างคนไม่ขาดทุน คือ ไม่ยอมไปนรก อย่างเลวไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างนิยมที่สุดก็คือ ไปนิพพาน เราจะไปได้ หรือไม่ได้ เราจับนิพพาน เป็นกำลังนอกจากนั้นก็จับภาพพระพุทธเจ้าจะไม่ขอพูดว่า พระพุทธรูป จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น และต่อแต่นั้นไป ถ้าต้องการรู้อะไร ก็ถามท่าน

อันนี้เป็นลีลาที่หลวงพ่อปานบอก หลวงพ่อปานบอกว่า การรู้เองจริง ๆ มันมีอุปาทานกิน ถ้าสิ่งที่สูง เป็นธรรมะที่สูง ควรถามตรงพระพุทธเจ้า ถ้าต่ำลงมา เป็นโลกีย์วิสัยอยู่บ้าง ก็ถามเทวดา หรือพรหม เฉพาะองค์ที่ท่านสงเคราะห์ อย่าถามพร่ำเพรื่อ เจอะใครก็ถาม ๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องดู องค์ไหนท่านสงเคราะห์เรา หวังเมตตาเราจริง ๆ เราถามเฉพาะองค์นั้น ถ้าองค์อื่นมาพูดเป็นอย่างอื่น เราไม่เชื่อ ถ้าอย่างนี้จะรู้จริงเสมอ

เมื่อซักซ้อมกันอยู่ประมาณสักครึ่งเดือนเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งจัดแจงการเดินธุดงค์ การเดินธุดงค์ไม่มีอะไรมีจีวรสีกรัก 1 ตัว ตามปกติอยู่วัดห่มผ้าสีเหลือง แล้วก็มีสังฆาฏิสีกรัก มีอังสะสีกรัก มีสบงสีกรัก รัดประคดสีกรัก ผ้ารัดอกสีกรัก บาตร 1 ลูก กาน้ำ 1 ลูก แล้วก็ย่าม ในย่ามจะมีสิ่งที่เป็นอาวุธไม่ได้ จะมีเงินมีทองไม่ได้ แม้แต่ทองปิดพระก็มีไปไม่ได้ เพราะว่าถือว่าเป็น อนามาส

เมื่อเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาวันขึ้น 15 ค่ำ หลวงพ่อปานก็พาเดินออกจากวัด ท่านบอกว่า ฉันจะนำเธอไปธุดงค์เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ฉันก็แก่มากแล้ว แต่ว่าการที่เธอฝึกธุดงค์ก็ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ก็ใช้ได้ แต่การไปกับฉัน ให้ฟังคำสั่งฉันโดยเฉพาะท่านก็สั่งบอกว่า ก่อนจะออกเดินทางให้เตรียมกำลังใจไว้ว่า

1. เราจะเป็นคนมีศีล
2. เราจะไม่เป็นทาสของนิวรณ์
3. เราจะมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ
4. เราจะไม่ติดในโลกีย์วิสัย มนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก เราต้องการนิพพาน

และหลังจากนั้นขณะเดินทางออกไป ใครจะภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ จะพิจารณาก็ได้สุดแล้วแต่กำลังใจ จงอย่าทำใจคิดห่วงหน้าห่วงหลัง การห่วงหน้าห่วงหลังไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ได้อยู่ที่นั่นเราห่วงเฉพาะเราตัวเดียว ร่างกายไม่น่าห่วง ห่วงแต่เพียงว่าเมื่อตายแล้วมันจะไปไหนกันแน่ จะไปสวรรค์หรือนรก ถ้าเราภาวนาอยู่ก็ดี พิจารณาก็ตาม ถ้าเราตายจะไปตามกฎของกรรมที่เราพึงทำได้

ในเมื่อท่านสอนแล้ว ตอนเช้าฉันข้างเช้าแล้ว ออกเดินทางไปทางสีกุก พอไปถึงสีกุกเห็นค่ายพม่า สมัยมาตีอยุธยา ตอนนั้นก็ไม่ได้บังคับจิต จิตก็มีความรู้สึกเห็นภาพพม่า เห็นภาพกองทัพพม่ามีกำลังมากมาย ความเป็นอยู่ก็เป็นไปด้วยความลำบาก นอนกับดินกินกับทราย และพม่าก็เป็นชาติที่ใจร้าย ข่มเหงคนไทย หลังจากนั้นก็เดินต่อไป ข้ามจากสีกุกเข้าเขตอำเภอบางบาล เมื่อออกจากบางบาลก็เดินตรงไปอยุธยา จากอยุธยาก็เข้าอำเภอบ้าหมอ พอเข้าถึงเขตอำเภอบ้านหมอ ก็หมดเวลาพอดี คือหมดเวลาเดิน

เวลานั้นประมาณบ่ายสัก 5 โมงเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลด การปักกลด เขามีคาถาปักกลด ว่าคาถา คาถาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ กับชุมนุมเทวดา (ที่เรียกว่า บวงสรวงบ้าง ชุมนุมเทวดาบ้าง) เวลาปักหลักผูกสายอัพโภกาส ก็มีคาถาว่า คาถาก็ไม่เห็นมีอะไร พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรมใจนึกถึงพระอริยสงฆ์ ใจนึกถึงเทวดา และเจ้าที่ ไปที่ไหนต้องเคารพเจ้าที่

เมื่อปักกลดกันเสร็จ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า การนึกมีความรู้สึกอย่างนั้นถูกต้อง และต่อมาท่านก็แนะนำว่า ต้องทำพิธีบวงสรวง ก็มานั่งประชุมกัน ท่านก็กล่าววาจาบวงสรวงตามที่ปฏิบัติในปกติ หลังจากนั้นก็ขอความคุ้มครอง ตั้งแต่พระพุทธเจ้า ลงมาถึงเจ้าที่ ท่านบอกว่าเราไปที่ไหนก็ตามต้องเคารพเจ้าที่ เพราะเจ้าที่มีความสำคัญมาก จะป้องกันอันตรายได้

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะอาบน้ำ ก็มีชาวบ้านเขาเห็นพระเข้า ก็พากันตักน้ำมาคนละหาบ เอาน้ำมาถวายพระให้พระสรง พระอาบ (ลืมบอกไปว่าไปคราวนั้นมีผ้าอาบน้ำไปด้วย คือเป็นสีกรักเหมือนกัน โตเท่าสบง)

เมื่ออาบน้ำเสร็จ ทรงสบงจีวรดีเรียบร้อยแล้ว ก็กลับเข้ามานั่งที่ ก็มีชาวบ้านเขาเข้าไปคุยกับหลวงพ่อปาน ก่อนที่จะเข้าที่ หลวงพ่อปานบอกว่า พวกเธอฉันให้นำสมุดมา จงเขียนมาว่า ขณะที่ผ่านมาจากวัด

จนกระทั่งถึงที่นี่ เธอพบอะไรในอดีตบ้าง (นั่นหมายถึงอตีตังสญาณ) ก็เขียนตามที่พบตามที่เห็น
การเดินไปบรรดาท่านพุทธบริษัท การเดินไปคราวนั้น เดินธุดงค์จริง ๆ 4 องค์ แต่ว่าการเดินไปจริง ๆ มีเทวดามากมายหลายท่าน ท่านก็เดินไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านจะอยู่ไม่ห่าง ท่านจะบอกความเป็นมาของสถานที่ทั้งหมดว่าที่ตรงนี้มีอะไรอยู่บ้าง

พอถึงสีกุก ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นค่ายของพม่า พม่าใช้กำลังเท่าไรมาตั้งที่นี่ เพื่อตีกรุงศรีอยุธยา การตีอยุธยาแตกครั้งใหญ่คราวนั้นและใครเป็นแม่ทัพนายกอง แล้วท่านก็ทำภาพให้ดูลีลาการรบ การรบเขาทำอย่างไรแบ่งเป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นกอง มีลีลาหลายอย่างเวลานั้นอยุธยาของเราเสียท่าเขา มีหน้าที่อยู่ในบ้าน คอยให้เขาเข้ามาตีบ้าน บางครั้งก็ยกทหารออกมาตีกับเขาบ้าง บางครั้งบางคราว แต่ในที่สุดอยุธยาก็พัง ถูกไฟเผา พระเจ้าตากสินตีฝ่าข้าศึกออกไป เห็นภาพทั้งหมด เทวดาท่านแสดง

เราก็เขียน จากอยุธยามา เห็นอะไรบ้าง พบอะไรบ้าง เขียนทุกอย่างตามที่มีความรู้สึก และตามที่เทวดาชั้นจาตุมหาราชบอกให้ฟังด้วย และนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันถึงอดีตต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธกัสสป พระกกุสันโธ พระโกนาคม เป็นต้น และบางกรณี บางสถานที่ ก็บอกไปถึงสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธทีปังกร มีพระเท่าไร พระปฏิบัติกันแบบไหน ท่านทำภาพให้ดูหมด เมื่อเขียนตามที่เห็นสมควร ตามที่ท่านบอกก็หยุดการเขียนตอนเช้าก็มาอ่านให้หลวงพ่อปานฟัง ท่านยอมรับว่า อย่างนี้ใช้ได้

หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวเราจะถอนกลดไป ฉันข้าวเช้าแล้ว เราจะเดินทางต่อ ท่านก็นำเดินทางมาต่อ เวลานั้นป่ามีมากนามีน้อย เดินจากบ้านหมอ ไม่ช้าก็เข้าเขตพระพุทธบาท เข้ามาปักกลดที่พระพุทธบาท ค้างที่พระพุทธบาท 2 คืน

ที่พระพุทธบาทนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง ๆ ที่มีเทวดาอารักขาอยู่มาก เทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี อารักขาอยู่มาก ก็ยังมีเทวดาจรเข้ามาอีก เทวดาจรเข้ามา ก็น่ากลัวจะเป็นพวกเดียวกับเทวดาที่อารักขา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็คงจะเข้ามาไม่ได้ เพราะเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่เขาถือว่า มีความดุร้ายมาก เข้มแข็งมาก แต่ก็ยังมีเทวดาแปลกเข้ามา (สำหรับเพื่อน ๆ เขาจะมีอะไรบ้างก็ไม่ขอเล่าสู่กันฟัง ขอเล่าเฉพาะส่วนตัวเอง)

ขณะที่เจริญสมาธิอยู่ในกลด อุซุง กายัง ปติฏฐายะ ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล จิตตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 และก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ คือพิจารณาร่างกายว่า มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างไร ๆ เราก็ต้องตาย จะตายที่ไหน มันก็ตายเหมือนกัน ตายที่ตรงนี้ก็ช่างเราต้องการไปนิพพาน แล้วก็นั่งไล่เบี้ย ฌาน 1,2,3,4,5,6,7,8 แล้วก็ถอยหลังมาตั้งอยู่ที่ฌาน 4 ลดกำลังใจมาถึงอุปจารสมาธิ ตั้งอยู่ในกำลังของวิปัสสนาญาณ

เวลานั้นก็พอดี พอเริ่มจับกำลังวิปัสสนาญาณได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มีสาวสวย 2 คน เดินผ่านเข้ามาในกลด เปิดมุ้งเข้ามานั่งข้างหน้า ก็นึกในใจว่า สายอัพโภกาสกันทั้งผีกันทุกอย่าง นี่เข้ามาได้อย่างไร เธอก็ถามว่า ท่านจะไปไหน ก็บอกว่า จะไปธุดงค์ เวลานี้อยู่ในเขตธุดงค์ ก็ถามว่า เธอมาได้อย่างไร เธอก็บอกว่า ฉันจะไปทางไหน ฉันไปได้ทุกทาง ไม่มีอะไรขีดคั่น ก็ถามเธอบอกว่า เธอเป็นนางฟ้าใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า เป็นมนุษย์หรือ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า เป็นผีหรือ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า พวกเธอเป็นพวกอนัตตาใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ และถามว่า มาทำไม

เธอก็บอกว่า ผู้หญิงก็อยากจะพบผู้ชาย ท่านเป็นผู้ชายไม่อยากพบผู้หญิงบ้างหรือ ก็บอกว่า ตามปกติแล้วไม่อยากพบใครทั้งหมด ผู้หญิงก็ไม่อยากพบ ผู้ชายก็ไม่อยากพบ ส่วนที่อยากพบอย่างเดียวคือ พระนิพพาน เธอทั้ง 2 คนหันไปยิ้มเข้าหากัน แล้วก็พูดบอกว่า เราผิดหวัง นี่ความจริงเราเป็นสาวใหญ่มานานแล้ว หาสามีไม่ได้ คิดว่าพระท่านอยากจะมีเมียบ้าง ก็มาหาท่านท่านไม่ต้องการเสียแล้ว เราไปดีกว่า แล้วก็ลากลับ

ในเมื่อเธอไปแล้ว ก็มาคิดในใจว่า ทั้ง 2 คนนี่ ต้องเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก ไม่ใช่นางฟ้า นางฟ้าเขาจะไม่ยุ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องเป็นเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า เมื่อมีความสงสัยอย่างนี้ จึงถามท่านคณะท่านท้าวมหาราช ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ใช่ 2 ท่านที่มาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่นางฟ้า ไม่ใช่คน เป็นพรหม ท่านแปลงกายเป็นผู้หญิงเข้ามา หวังจะทดลองใจท่านว่า มีความพอใจไหม ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกว่า ท่านทำกำลังใจถูกแล้ว ถ้ารักษากำลังใจอย่างนี้ ทุกอย่างที่ท่านต้องการไม่พลาดแน่ หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปไม่มีอะไรอีก นิมนต์ตามสบาย

ก็นั่งเจริญกรรมฐานบ้าง เมื่อเมื่อยก็นอน เมื่อยลงไปก็นอนมองดูเวลา หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูประมาณตี 2 เมื่อถึงเวลาตี 2 เห็นว่าควรพักผ่อน ก็นอน อารมณ์จับนิพพานเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน จากนั้นก็จิตจับภาพพระ คือ ภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นท่านมีสภาพแจ่มใส ท่านยิ้มแย้มก็มีความดีใจ มีปีติเกิดขึ้นในที่สุดก็หลับ

พอเวลา 6 โมงเช้า ได้ยินเสียงปลุกว่า ท่าน เวลานี้ 6 โมงเช้าแล้ว นิมนต์ลุกได้ประเดี๋ยวจะต้องไปบิณฑบาต พอตื่นขึ้นมาแล้ว ก็เอาน้ำในกามาล้างหน้า พอล้างหน้าเสร็จก็ปรากฏว่า (ไม่ได้ไปบิณฑบาต) มีคนใส่บาตร คือเป็นแบบชาวบ้านธรรมดา (ชาวบ้านธรรมดาก็มี ชาวบ้านผิดธรรมดาก็มี ชาวบ้านที่ผิดธรรมดาก็คือว่าแต่งเนื้อแต่งตัวร่างกายเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่ว่านัยน์ตาไม่กระพริบ ชาวบ้านประเภทนี้มีข้าวแต่ไม่มีกับมีข้าวกับดอกไม้) ชาวบ้านธรรมดาก็มีต้ม มีแกงเอามาใส่ พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานนำให้พร ให้พรเสร็จ ทุกคนเขาก็ลากลับ

หลวงพ่อปานก็เล่าความเป็นมาของพระพุทธบาท คือ ประวัติพระพุทธบาทตั้งแต่ต้น ตั้งแต่องค์สมเด็จพระเทศพลมาโปรดพราหมณ์ที่นั่น และหลังจากนั้นมามีอะไรบ้าง ท่านก็เล่าสู่กันฟัง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ท่านก็ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทจริง ๆ แท้ ๆ ไม่มีใครทำขึ้น ไม่ใช่ของปลอม หลังจากกราบเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ท่านก็สั่งให้ทุกองค์นั่งทำสมาธิ

พอเริ่มทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท จับลมหายใจเข้า ไม่ทันจะหายใจออกเห็นภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า และก็ทรงมีวาจาตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ร่างกายนี้ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว มันก็ตาย เมื่อร่างกายนี้ตายเราก็ต้องทิ้งร่างกาย ร่างกายก็เป็นของไร้ประโยชน์ จงหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น เมื่อท่านตรัสเพียงเท่านี้ ท่านก็หายไป พวกเราก็เอาจิตจับพระนิพพาน

เวลานั้นจริง ๆ เรื่องรู้จักนิพพานจริง ๆ ยังไม่มี ก็นึกในใจขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ว่า ถ้าพระนิพพานมีที่ไหน ขอไปที่นั่น เพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปปรากฏกายที่นิพพานทันที นิพพานมีความสวยสดงดงามมาก มีสภาพแจ่มใสมีอาการสงบสงัด เป็นเมืองแก้ว ที่เขาบอก เมืองแก้วกล่าวแล้ว คือ พระนิพพาน มีบ้านมีเมือง ไม่ใช่มีสภาพว่างอย่างหนังสือว่า


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปานนำออกธุดงค์


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ เป็น วันที่ 27 มิถุนายน 2533 สำหรับวันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องที่ไปเรียนกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี

ในเมื่อหลวงพ่อเนียมแนะนำเรื่อง สังโยชน์ 10 และก็แนะนำวิธีปฏิบัติว่า จงอย่าทำให้เครียด การทำ ให้ใช้ปัญญาให้มาก แต่ก็อย่าใช้มากเกินไป ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสม่ำเสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระมัดระวังนิวรณ์ 5 ประการ ถ้าจิตเรายังหลงนิวรณ์ 5 ประการ ตัวใดตัวหนึ่งอยู่ ก็ยังชื่อว่าเราเป็นคนโง่ แล้ว

ประการที่ 2 ถ้าจิตยังติดในฌานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ถือว่า เราเป็นคนโง่ ประการที่ 3 ถ้าจิตยังข้องอยู่ในสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ยังถือว่าเราเป็นคนโง่ จงอย่าคิดว่าเราเป็นคนฉลาด
ท่านสอนแบบนี้แล้ว ท่านก็ยังแนะนำว่า ต่อนี้ไปจงปฏิบัติ วิธีปฏิบัติไม่ใช่นั่งหลับตาเฉย ๆ จะคุยกับคน จะคุยกับพระ จะทำธุระต่าง ๆ ให้ใช้กิจการนั้นเป็นวิปัสสนาญาณตลอดเวลา ศีลคุมไว้ สมาธิทรงตัว สมาธิ คือ ตั้งใจทำงาน ปัญญา คือ พิจารณาสภาวะต่าง ๆ เช่น คน เราจะต้องเห็นว่า คนมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ วัตถุก็มีสภาพเช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเราเองก็มีสภาพอย่างนั้น สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ นั่นคือ นิพพาน

นิพพานเขาไปกันอย่างไร คนที่จะไปนิพพานได้ ต้องเป็นคนดี ดีที่ไม่มีความเลวคือว่าไม่ติดในนิวรณ์ 5 ไม่ติดอยู่ในฌาน อย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่หลงใหลใฝ่ฝันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรูป พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเราจริง ๆ ก็คือ ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ที่เนื้อแท้จริง ๆ ที่ติดหนักก็คือ รูป ตัดรูปได้อย่างเดียวตัดได้ทั้งหมด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในรูป เมื่อท่านแนะนำอย่างนี้แล้ว ท่านก็ส่งกลับ

เมื่อกลับมาแล้ว เข้ามาในวัด ก็มาหาหลวงพ่อปาน ท่านก็ซักถามว่า หลวงพ่อเนียมสอนอะไรมาบ้าง ก็กราบเรียนให้ท่านทราบตามที่กล่าวมาแล้ว หลวงพ่อปานก็บอกว่าหลังจากนี้ไป เดือนหน้าฉันจะพาเธอออกธุดงค์ แต่การไปธุดงค์คราวนี้ เราจะไปไม่เกิน 1 เดือน พวกเธอจงซักซ้อมธุดงค์ไว้

อันดับแรก ซักซ้อมเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา จงอย่าลืม
ประการที่ 2 ซักซ้อมในการหากินกับเทวดากับนางฟ้า
ประการที่ 3 ซักซ้อมญาณ 8 ประการ

พอท่านบอก ญาณ 8 ประการ เท่านี้ก็งง ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ญาณ 8 ประการ เป็นอย่างไร ท่านบอกว่า ญาณ 8 ประการ พวกเธอทำได้แล้ว แต่เธอไม่รู้จักชื่อ เพราะฉันไม่เคยสอนไว้ก่อน แต่วันนี้ฉันจะบอกให้ ญาณ 8 ประการ ก็คือ

1. ทิพพจักขุญาณ ที่เราสามารถเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ รู้ได้ด้วยญาณ (ญาณ คือ ความรู้ทางใจ)
2. จุตูปปาตญาณ ที่เราเห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี ก็ทราบว่าก่อนจะเกิดเขามาจากไหนมาจากสัตว์นรก หรือมาจากเปรต มาจากอสุรกาย มาจากสัตว์เดรัจฉาน มาจากคน มาจากเทวดา หรือมาจากพรหม เมื่อทราบข่าวคนตาย เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนตายไปอยู่ที่ไหนมีความสุข หรือมีความทุกข์
3. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พยายามถอยหลังระลึกชาติให้ได้ ให้คล่อง
4. เจโตปริยญาณ การรู้จักกำลังใจของคน ความรู้สึกของคน ความสะอาด หรือความสกปรกของจิตของคน
5. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต รู้ที่มาของประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นมีอะไรมาบ้าง
6. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ข้างหน้า ประเภทหมอดู แต่ก็รู้ตามความเป็นจริง
7. ปัจจุปปันนังสญาณ คือ ญาณปัจจุบัน รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่มีความสุข หรือมีความทุกข์
8. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฏของกรรมว่า คนเราที่มีความสุข และมีความทุกข์เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ กรรมที่ทำไว้ เป็นกรรมชาตินี้ หรือกรรมชาติก่อน ๆ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี เราจงอย่าให้ท่านเป็นผู้มาหาเสมอไป ต้องฝึกใช้กำลังใจไปหาท่าน วันทั้งวันให้คุยกับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมหรือพระอริยเจ้าที่ท่านนิพพานไปแล้ว หรือเทวดา นางฟ้า พรหม ที่ท่านเป็นพระอริยะก็มาก คุยกับครูบาอาจารย์ที่ท่านตายไปแล้ว หรือว่าย่องไปดูในสถานที่ใดที่หนึ่ง ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เรามีความพอใจ หรือมีความไม่พอใจ (คำว่าไม่พอใจ ก็หมายความว่า ปฏิปทานั้น มันไม่ดีเป็นโทษ) ที่พอใจ ก็หมายถึงว่า ท่านมีปฏิปทาดี มีประโยชน์

ในเมื่อหลวงพ่อปานท่านแนะนำแบบนี้แล้ว พวกเราทั้ง 3 องค์ก็เข้าป่าช้าตามเดิมซักซ้อมกันทั้งวัน ทั้งคืน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องทำเบาๆ ทำแบบสบาย ๆ แบบหลวงพ่อเนียม บางเวลาเราก็ใช้ ทิพพจักขุญาณ แต่ก่อนจะใช้ทิพพจักขุญาณก็ต้องพิสูจน์ศีล ระงับนิวรณ์ 5 แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง ทำให้จิตเป็นสุข เรื่องพรหมวิหาร 4 นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องมีประจำใจ เมื่อพรหมวิหาร 4 ประจำใจ อารมณ์ก็เป็นสุขจิตก็มีสภาพแจ่มใส อย่างนี้ ทิพพจักขุญาณแจ่มใสทุกราย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคิดว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย แต่เราจะตายอย่างคนไม่ขาดทุน คือ ไม่ยอมไปนรก อย่างเลวไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างนิยมที่สุดก็คือ ไปนิพพาน เราจะไปได้ หรือไม่ได้ เราจับนิพพาน เป็นกำลังนอกจากนั้นก็จับภาพพระพุทธเจ้าจะไม่ขอพูดว่า พระพุทธรูป จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น และต่อแต่นั้นไป ถ้าต้องการรู้อะไร ก็ถามท่าน

อันนี้เป็นลีลาที่หลวงพ่อปานบอก หลวงพ่อปานบอกว่า การรู้เองจริง ๆ มันมีอุปาทานกิน ถ้าสิ่งที่สูง เป็นธรรมะที่สูง ควรถามตรงพระพุทธเจ้า ถ้าต่ำลงมา เป็นโลกีย์วิสัยอยู่บ้าง ก็ถามเทวดา หรือพรหม เฉพาะองค์ที่ท่านสงเคราะห์ อย่าถามพร่ำเพรื่อ เจอะใครก็ถาม ๆ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องดู องค์ไหนท่านสงเคราะห์เรา หวังเมตตาเราจริง ๆ เราถามเฉพาะองค์นั้น ถ้าองค์อื่นมาพูดเป็นอย่างอื่น เราไม่เชื่อ ถ้าอย่างนี้จะรู้จริงเสมอ

เมื่อซักซ้อมกันอยู่ประมาณสักครึ่งเดือนเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งจัดแจงการเดินธุดงค์ การเดินธุดงค์ไม่มีอะไรมีจีวรสีกรัก 1 ตัว ตามปกติอยู่วัดห่มผ้าสีเหลือง แล้วก็มีสังฆาฏิสีกรัก มีอังสะสีกรัก มีสบงสีกรัก รัดประคดสีกรัก ผ้ารัดอกสีกรัก บาตร 1 ลูก กาน้ำ 1 ลูก แล้วก็ย่าม ในย่ามจะมีสิ่งที่เป็นอาวุธไม่ได้ จะมีเงินมีทองไม่ได้ แม้แต่ทองปิดพระก็มีไปไม่ได้ เพราะว่าถือว่าเป็น อนามาส

เมื่อเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาวันขึ้น 15 ค่ำ หลวงพ่อปานก็พาเดินออกจากวัด ท่านบอกว่า ฉันจะนำเธอไปธุดงค์เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย ฉันก็แก่มากแล้ว แต่ว่าการที่เธอฝึกธุดงค์ก็ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ก็ใช้ได้ แต่การไปกับฉัน ให้ฟังคำสั่งฉันโดยเฉพาะท่านก็สั่งบอกว่า ก่อนจะออกเดินทางให้เตรียมกำลังใจไว้ว่า

1. เราจะเป็นคนมีศีล
2. เราจะไม่เป็นทาสของนิวรณ์
3. เราจะมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ
4. เราจะไม่ติดในโลกีย์วิสัย มนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก เราต้องการนิพพาน

และหลังจากนั้นขณะเดินทางออกไป ใครจะภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ จะพิจารณาก็ได้สุดแล้วแต่กำลังใจ จงอย่าทำใจคิดห่วงหน้าห่วงหลัง การห่วงหน้าห่วงหลังไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ได้อยู่ที่นั่นเราห่วงเฉพาะเราตัวเดียว ร่างกายไม่น่าห่วง ห่วงแต่เพียงว่าเมื่อตายแล้วมันจะไปไหนกันแน่ จะไปสวรรค์หรือนรก ถ้าเราภาวนาอยู่ก็ดี พิจารณาก็ตาม ถ้าเราตายจะไปตามกฎของกรรมที่เราพึงทำได้

ในเมื่อท่านสอนแล้ว ตอนเช้าฉันข้างเช้าแล้ว ออกเดินทางไปทางสีกุก พอไปถึงสีกุกเห็นค่ายพม่า สมัยมาตีอยุธยา ตอนนั้นก็ไม่ได้บังคับจิต จิตก็มีความรู้สึกเห็นภาพพม่า เห็นภาพกองทัพพม่ามีกำลังมากมาย ความเป็นอยู่ก็เป็นไปด้วยความลำบาก นอนกับดินกินกับทราย และพม่าก็เป็นชาติที่ใจร้าย ข่มเหงคนไทย หลังจากนั้นก็เดินต่อไป ข้ามจากสีกุกเข้าเขตอำเภอบางบาล เมื่อออกจากบางบาลก็เดินตรงไปอยุธยา จากอยุธยาก็เข้าอำเภอบ้าหมอ พอเข้าถึงเขตอำเภอบ้านหมอ ก็หมดเวลาพอดี คือหมดเวลาเดิน

เวลานั้นประมาณบ่ายสัก 5 โมงเศษ หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลด การปักกลด เขามีคาถาปักกลด ว่าคาถา คาถาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากแสดงความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ กับชุมนุมเทวดา (ที่เรียกว่า บวงสรวงบ้าง ชุมนุมเทวดาบ้าง) เวลาปักหลักผูกสายอัพโภกาส ก็มีคาถาว่า คาถาก็ไม่เห็นมีอะไร พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรมใจนึกถึงพระอริยสงฆ์ ใจนึกถึงเทวดา และเจ้าที่ ไปที่ไหนต้องเคารพเจ้าที่

เมื่อปักกลดกันเสร็จ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า การนึกมีความรู้สึกอย่างนั้นถูกต้อง และต่อมาท่านก็แนะนำว่า ต้องทำพิธีบวงสรวง ก็มานั่งประชุมกัน ท่านก็กล่าววาจาบวงสรวงตามที่ปฏิบัติในปกติ หลังจากนั้นก็ขอความคุ้มครอง ตั้งแต่พระพุทธเจ้า ลงมาถึงเจ้าที่ ท่านบอกว่าเราไปที่ไหนก็ตามต้องเคารพเจ้าที่ เพราะเจ้าที่มีความสำคัญมาก จะป้องกันอันตรายได้

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะอาบน้ำ ก็มีชาวบ้านเขาเห็นพระเข้า ก็พากันตักน้ำมาคนละหาบ เอาน้ำมาถวายพระให้พระสรง พระอาบ (ลืมบอกไปว่าไปคราวนั้นมีผ้าอาบน้ำไปด้วย คือเป็นสีกรักเหมือนกัน โตเท่าสบง)

เมื่ออาบน้ำเสร็จ ทรงสบงจีวรดีเรียบร้อยแล้ว ก็กลับเข้ามานั่งที่ ก็มีชาวบ้านเขาเข้าไปคุยกับหลวงพ่อปาน ก่อนที่จะเข้าที่ หลวงพ่อปานบอกว่า พวกเธอฉันให้นำสมุดมา จงเขียนมาว่า ขณะที่ผ่านมาจากวัด

จนกระทั่งถึงที่นี่ เธอพบอะไรในอดีตบ้าง (นั่นหมายถึงอตีตังสญาณ) ก็เขียนตามที่พบตามที่เห็น
การเดินไปบรรดาท่านพุทธบริษัท การเดินไปคราวนั้น เดินธุดงค์จริง ๆ 4 องค์ แต่ว่าการเดินไปจริง ๆ มีเทวดามากมายหลายท่าน ท่านก็เดินไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านจะอยู่ไม่ห่าง ท่านจะบอกความเป็นมาของสถานที่ทั้งหมดว่าที่ตรงนี้มีอะไรอยู่บ้าง

พอถึงสีกุก ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นค่ายของพม่า พม่าใช้กำลังเท่าไรมาตั้งที่นี่ เพื่อตีกรุงศรีอยุธยา การตีอยุธยาแตกครั้งใหญ่คราวนั้นและใครเป็นแม่ทัพนายกอง แล้วท่านก็ทำภาพให้ดูลีลาการรบ การรบเขาทำอย่างไรแบ่งเป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นกอง มีลีลาหลายอย่างเวลานั้นอยุธยาของเราเสียท่าเขา มีหน้าที่อยู่ในบ้าน คอยให้เขาเข้ามาตีบ้าน บางครั้งก็ยกทหารออกมาตีกับเขาบ้าง บางครั้งบางคราว แต่ในที่สุดอยุธยาก็พัง ถูกไฟเผา พระเจ้าตากสินตีฝ่าข้าศึกออกไป เห็นภาพทั้งหมด เทวดาท่านแสดง

เราก็เขียน จากอยุธยามา เห็นอะไรบ้าง พบอะไรบ้าง เขียนทุกอย่างตามที่มีความรู้สึก และตามที่เทวดาชั้นจาตุมหาราชบอกให้ฟังด้วย และนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันถึงอดีตต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธกัสสป พระกกุสันโธ พระโกนาคม เป็นต้น และบางกรณี บางสถานที่ ก็บอกไปถึงสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธทีปังกร มีพระเท่าไร พระปฏิบัติกันแบบไหน ท่านทำภาพให้ดูหมด เมื่อเขียนตามที่เห็นสมควร ตามที่ท่านบอกก็หยุดการเขียนตอนเช้าก็มาอ่านให้หลวงพ่อปานฟัง ท่านยอมรับว่า อย่างนี้ใช้ได้

หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวเราจะถอนกลดไป ฉันข้าวเช้าแล้ว เราจะเดินทางต่อ ท่านก็นำเดินทางมาต่อ เวลานั้นป่ามีมากนามีน้อย เดินจากบ้านหมอ ไม่ช้าก็เข้าเขตพระพุทธบาท เข้ามาปักกลดที่พระพุทธบาท ค้างที่พระพุทธบาท 2 คืน

ที่พระพุทธบาทนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง ๆ ที่มีเทวดาอารักขาอยู่มาก เทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี อารักขาอยู่มาก ก็ยังมีเทวดาจรเข้ามาอีก เทวดาจรเข้ามา ก็น่ากลัวจะเป็นพวกเดียวกับเทวดาที่อารักขา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็คงจะเข้ามาไม่ได้ เพราะเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่เขาถือว่า มีความดุร้ายมาก เข้มแข็งมาก แต่ก็ยังมีเทวดาแปลกเข้ามา (สำหรับเพื่อน ๆ เขาจะมีอะไรบ้างก็ไม่ขอเล่าสู่กันฟัง ขอเล่าเฉพาะส่วนตัวเอง)

ขณะที่เจริญสมาธิอยู่ในกลด อุซุง กายัง ปติฏฐายะ ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาล จิตตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 และก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ คือพิจารณาร่างกายว่า มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างไร ๆ เราก็ต้องตาย จะตายที่ไหน มันก็ตายเหมือนกัน ตายที่ตรงนี้ก็ช่างเราต้องการไปนิพพาน แล้วก็นั่งไล่เบี้ย ฌาน 1,2,3,4,5,6,7,8 แล้วก็ถอยหลังมาตั้งอยู่ที่ฌาน 4 ลดกำลังใจมาถึงอุปจารสมาธิ ตั้งอยู่ในกำลังของวิปัสสนาญาณ

เวลานั้นก็พอดี พอเริ่มจับกำลังวิปัสสนาญาณได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มีสาวสวย 2 คน เดินผ่านเข้ามาในกลด เปิดมุ้งเข้ามานั่งข้างหน้า ก็นึกในใจว่า สายอัพโภกาสกันทั้งผีกันทุกอย่าง นี่เข้ามาได้อย่างไร เธอก็ถามว่า ท่านจะไปไหน ก็บอกว่า จะไปธุดงค์ เวลานี้อยู่ในเขตธุดงค์ ก็ถามว่า เธอมาได้อย่างไร เธอก็บอกว่า ฉันจะไปทางไหน ฉันไปได้ทุกทาง ไม่มีอะไรขีดคั่น ก็ถามเธอบอกว่า เธอเป็นนางฟ้าใช่ไหม เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า เป็นมนุษย์หรือ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า เป็นผีหรือ เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถามว่า พวกเธอเป็นพวกอนัตตาใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ และถามว่า มาทำไม

เธอก็บอกว่า ผู้หญิงก็อยากจะพบผู้ชาย ท่านเป็นผู้ชายไม่อยากพบผู้หญิงบ้างหรือ ก็บอกว่า ตามปกติแล้วไม่อยากพบใครทั้งหมด ผู้หญิงก็ไม่อยากพบ ผู้ชายก็ไม่อยากพบ ส่วนที่อยากพบอย่างเดียวคือ พระนิพพาน เธอทั้ง 2 คนหันไปยิ้มเข้าหากัน แล้วก็พูดบอกว่า เราผิดหวัง นี่ความจริงเราเป็นสาวใหญ่มานานแล้ว หาสามีไม่ได้ คิดว่าพระท่านอยากจะมีเมียบ้าง ก็มาหาท่านท่านไม่ต้องการเสียแล้ว เราไปดีกว่า แล้วก็ลากลับ

ในเมื่อเธอไปแล้ว ก็มาคิดในใจว่า ทั้ง 2 คนนี่ ต้องเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก ไม่ใช่นางฟ้า นางฟ้าเขาจะไม่ยุ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องเป็นเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้า เมื่อมีความสงสัยอย่างนี้ จึงถามท่านคณะท่านท้าวมหาราช ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ใช่ 2 ท่านที่มาเมื่อกี้นี้ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่นางฟ้า ไม่ใช่คน เป็นพรหม ท่านแปลงกายเป็นผู้หญิงเข้ามา หวังจะทดลองใจท่านว่า มีความพอใจไหม ท่านท้าวเวสสุวัณท่านก็บอกว่า ท่านทำกำลังใจถูกแล้ว ถ้ารักษากำลังใจอย่างนี้ ทุกอย่างที่ท่านต้องการไม่พลาดแน่ หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปไม่มีอะไรอีก นิมนต์ตามสบาย

ก็นั่งเจริญกรรมฐานบ้าง เมื่อเมื่อยก็นอน เมื่อยลงไปก็นอนมองดูเวลา หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูประมาณตี 2 เมื่อถึงเวลาตี 2 เห็นว่าควรพักผ่อน ก็นอน อารมณ์จับนิพพานเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน จากนั้นก็จิตจับภาพพระ คือ ภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นท่านมีสภาพแจ่มใส ท่านยิ้มแย้มก็มีความดีใจ มีปีติเกิดขึ้นในที่สุดก็หลับ

พอเวลา 6 โมงเช้า ได้ยินเสียงปลุกว่า ท่าน เวลานี้ 6 โมงเช้าแล้ว นิมนต์ลุกได้ประเดี๋ยวจะต้องไปบิณฑบาต พอตื่นขึ้นมาแล้ว ก็เอาน้ำในกามาล้างหน้า พอล้างหน้าเสร็จก็ปรากฏว่า (ไม่ได้ไปบิณฑบาต) มีคนใส่บาตร คือเป็นแบบชาวบ้านธรรมดา (ชาวบ้านธรรมดาก็มี ชาวบ้านผิดธรรมดาก็มี ชาวบ้านที่ผิดธรรมดาก็คือว่าแต่งเนื้อแต่งตัวร่างกายเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่ว่านัยน์ตาไม่กระพริบ ชาวบ้านประเภทนี้มีข้าวแต่ไม่มีกับมีข้าวกับดอกไม้) ชาวบ้านธรรมดาก็มีต้ม มีแกงเอามาใส่ พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานนำให้พร ให้พรเสร็จ ทุกคนเขาก็ลากลับ

หลวงพ่อปานก็เล่าความเป็นมาของพระพุทธบาท คือ ประวัติพระพุทธบาทตั้งแต่ต้น ตั้งแต่องค์สมเด็จพระเทศพลมาโปรดพราหมณ์ที่นั่น และหลังจากนั้นมามีอะไรบ้าง ท่านก็เล่าสู่กันฟัง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ท่านก็ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทจริง ๆ แท้ ๆ ไม่มีใครทำขึ้น ไม่ใช่ของปลอม หลังจากกราบเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ท่านก็สั่งให้ทุกองค์นั่งทำสมาธิ

พอเริ่มทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท จับลมหายใจเข้า ไม่ทันจะหายใจออกเห็นภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า และก็ทรงมีวาจาตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ร่างกายนี้ไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว มันก็ตาย เมื่อร่างกายนี้ตายเราก็ต้องทิ้งร่างกาย ร่างกายก็เป็นของไร้ประโยชน์ จงหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น เมื่อท่านตรัสเพียงเท่านี้ ท่านก็หายไป พวกเราก็เอาจิตจับพระนิพพาน

เวลานั้นจริง ๆ เรื่องรู้จักนิพพานจริง ๆ ยังไม่มี ก็นึกในใจขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ว่า ถ้าพระนิพพานมีที่ไหน ขอไปที่นั่น เพียงเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปปรากฏกายที่นิพพานทันที นิพพานมีความสวยสดงดงามมาก มีสภาพแจ่มใสมีอาการสงบสงัด เป็นเมืองแก้ว ที่เขาบอก เมืองแก้วกล่าวแล้ว คือ พระนิพพาน มีบ้านมีเมือง ไม่ใช่มีสภาพว่างอย่างหนังสือว่า


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ปักกลดที่เขาชอนเดื่อ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ 27 มิถุนายน 2533 เมื่อพักอยู่ที่พระพุทธบาทแล้ว หลวงพ่อปานก็นำย้ายกลดมาที่ เขาวงพระจันทร์ ขึ้นไปปักกลดกันอยู่บนยอดเขา เวลานั้นบันไดก็ไม่มี ต้องเดินแบกกลดบุกป่าขึ้นไปบนยอดเขา ไปตามทางที่เขามีอยู่บ้าง ไม่ใช่ทางบ้าง ไต่เขาขึ้นไป พอถึงยอดเขาก็ปักกลด การปักกลดก็ทำตามปกติ

หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ที่เขาวงพระจันทร์นี้ มีพระบรมสารีริกธาตุ วันนี้ ถ้าพวกเธอปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่พอใจของพระพุทธเจ้า พวกเธอจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าองค์ไหนปฏิบัติไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ควร จะมองไม่เห็น

เมื่อถึงเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ห่วงเรื่องการกินข้าวกินปลากับใคร เพราะถือว่าเรากินกับเทวดาได้ บนยอดเขาใครจะไปใส่ (เวลานั้นบ้านอยู่บนยอดเขาไม่มี เชิงเขาก็ไม่มี อยู่ไกล) พอขึ้นไปปักกลดเสร็จ มีบ่อน้ำอยู่ไปอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งพิงโคนต้นไม้ ซึ่งมันร่มดีและก็เย็นสบาย ๆ นั่งหลับตาเจริญภาวนา นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อย่าลืมว่า การธุดงค์ จิตจะต้องวางนิวรณ์ทั้งหมด มันมี แต่ว่าจงทำเหมือนคนไม่มีนิวรณ์ นั่นคือ ไม่นึกถึงมัน ไม่สนใจในมัน และประการที่ 2 การไล่เบี้ยฌาน เข้าฌาน 1,2,3,4,5,6,7,8,8,7,6,5 ไล่มา ไล่ไปไล่มา ไล่มาไล่ไป ให้มันคล่อง มันเพลินในฌานหลังจากนั้น ก็ใช้ทิพพจักขุญาณ บางจุดใช้ทิพพจักขุญาณบ้าง จุตูปปาตญาณบ้าง ญาณ 8 ประการ ใช้ให้มันคล่อง ให้มันเพลินอยู่ในฌาน เพลินอยู่ในญาณ ไม่ใช่ไปชมต้นไม้ต้นไร่

พอถึงที่สบายใจ ลืมตาขึ้นมา เห็นใบไม้มีสภาพไม่เสมอกัน ใบไม้หล่นมา ก็คิดในใจว่าใบไม้นี่ เมื่อก่อนจะเกิด มันก็ผลิเป็นตุ่มเล็ก ๆ เหมือนกับคนเหมือนกับเด็ก ที่เราเกิดมาเป็นเด็ก ต่อมาก็ค่อย ๆ โตขึ้นมาเต็มที่ เป็นหนุ่มเป็นสาวใบก็เขียว ต่อไปใบก็เริ่มเหี่ยว และก็แห้งเหมือนกับคนแก่ในที่สุดหลุด ก็คือตาย เหมือนกับคนตาย เปรียบเทียบกับร่างกายของเราอันนี้เป็น วิปัสสนาญาณ ใช้กับต้นไม้ ใช้กับบ่อน้ำ ใช้กับอะไรทุกอย่าง มองเห็นทุกอย่างเป็นวิปัสสนาญาณ จิตก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่ใช่ไปนั่งเข้าฌานกันอยู่ตลอดเวลา

สมาธิต้องทรงตัว วิปัสสนาญาณต้องทรงตัว พรหมวิหาร 4 ต้องทรงตัว ต้องระงับนิวรณ์ 5 ประการทรงตัว จิตมีการคล่องในสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ (คำว่า คล่อง คือว่ามีความเข้าใจในสังโยชน์ทั้ง 10 ประการทั้งหมด) ถึงแม้ว่าเราจะยังตัดไม่ได้ แต่ก็ต้องคล่องก็หมายความว่า สักกายทิฏฐิ อย่างต่ำคือ นึกว่าตาย อย่างกลางคือ นึกว่าร่างกายมันจะต้องตาย และก็สกปรก มีชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความสกปรก อย่างสุงสุดคือ ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา โดยมากก็จะใช้ข้อสุดท้าย กับข้อที่ 2

ต่อจากนั้นไปก็ ความมั่นใจในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ และระงับอารมณ์ของกามคุณ ระงับอารมณ์ของโทสะ เล่นฌานให้คล่อง แต่ไม่ติดในฌานไม่มีการถือตัวว่า คนกับคน คนเหมือนคน คนเท่าคน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน จิตไม่ฟุ้งซ่าน คือ จิตหวังคิดว่า เวลานี้เราตายเราไปนิพพานกันแน่ เราไม่ต้องการ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เราต้องการเฉพาะ นิพพานจุดเดียว

แล้วก็เดินไปเดินมา หลวงพ่อปานท่านก็ปล่อยตามอัธยาศัย พอเดินเข้าไปในป่ามันเป็นป่ารกชัฏ ตอนนี้ก็ไปเจอะพระองค์หนึ่ง เวลานั้นเวลาประมาณบ่ายสัก 2 โมง ท่านกำลังนั่งฉันข้าวอยู่องค์เดียว และกับข้าวมีมากเหลือเกินมีแกงเป็ด มีแกงไก่ มีแกงหมู โอ๊ย.จิปาถะ กินสัก 10 คนก็ไม่หมด ท่านนั่งฉันตุ้ย ๆ อายุมากแล้ว อายุประมาณสัก 40 เศษ ๆ อ้วน ๆ ผิวดำ ๆ พอเข้าไปใกล้ท่าน ก็ยกมือไหว้ท่านถามว่า หลวงพ่อขอรับ เพิ่งฉันเช้าหรือขอรับ ท่านบอก เออ..ข้ากินแต่เช้าว่ะ มันยังไม่อิ่ม ข้าก็กินเรื่อยไป ก็ถือว่าข้ากินข้าวเช้า ก็ถามว่า หลวงพ่ออยู่วัดไหนขอรับ

ท่านบอกว่าเดิมทีเดียวท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา แต่ว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้วออกมาจากวัด หาวัดอยู่ไม่ได้ ข้าก็อยู่ตามป่าตามดง ถามว่า หลวงพ่อขอรับ กับข้าวประเภทนี้หลวงพ่อไปนำมาจากไหน มีหมูเห็ด เป็ดไก่ มากมาย ท่านก็บอก เอ็งก็ดูเอาสิ (คำว่า เอ็งก็ดูเอาสิ นั่นหมายความว่า ต้องใช้ทิพพจักขุญาณ) ก็เลยใช้กำลังใจเป็นทิพพจักขุญาณ

พอใช้กำลังใจเป็นทิพพจักขุญาณเท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อองค์นั้นกลายเป็นพรหม เป็นพรหมชั้นสูงมาก เป็นพรหมชั้น พระอรหัตมรรค เป็นพรหมชั้นที่ 16 และกับข้าวทุกอย่างนี่ ไม่มีอะไรเป็นของจริง ไอ้หมูเห็ด เป็ดไก่ใบไม้ทั้งนั้น

พอเห็นภาพอย่างนั้น ก็ถามท่านบอกว่า ขอประทานอภัยครับ หลวงพ่อเป็นพรหมใช่ไหม ท่านบอก เออ..ใช่ ถามว่า หลวงพ่อมาเพื่ออะไร ท่านก็บอกว่า ก็มาเยี่ยมพวกเอ็ง ข้าเห็นว่าพวกเอ็งยังไม่ว่าง ข้าก็เลยมานั่งกินข้าวที่นี่ ก็เลยบอกว่า กับข้าวแบบนี้ ชาวบ้านเขาไม่กินกันหรอกขอรับ เพราะว่าเป็นใบไม้บ้าง เป็นท่อนไม้บ้าง ท่านบอก เออ..มันก็ไม่เป็นอาบัติ ถามว่า พรหมยังต้องกินข้าวหรือ ท่านบอก ไม่กิน (แต่ท่านก็ยังไม่แสดงอาการกายเป็นพรหม) ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นที่ 16 ใช่ไหม ท่านบอกว่าใช่

ตามความรู้สึกเวลานั้นว่าท่านเป็นพระอรหัตมรรค ก็ถามว่า ท่านเป็นพระอรหันต์หรือยังครับ ท่านบอก ยังแค่มรรคอยู่ยังไม่ใช่ผล ถามว่า ท่านตายจากคนไปกี่ปี ท่านบอกว่า ประมาณ 400 ปีเศษ ๆ และถามท่านว่าการที่มาเยี่ยม มีความประสงค์อะไร ท่านก็ตอบบอกว่า มาสงเคราะห์พวกเธอ พวกเธอมาดีมาหวังดี และเดินไปทุกทางที่ไหน ก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณด้วย มีสมาธิด้วย มีศีลด้วย มีพรหมวิหาร 4 ด้วย กำลังใจตัดสังโยชน์ด้วย อย่างนี้ดีมาก

ถามท่านว่าอย่างพวกผมนี่จะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม ท่านก็ตอบว่าการถามแบบนั้นเป็นการถามของคนโง่ คนฉลาดจะไม่ถามกัน เพราะว่าการจะไปนิพพานหรือไม่ไปนิพพานไม่ใช่คำพยากรณ์ของใคร มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติถูกเท่านั้น เลยถามท่านบอกว่า เวลาที่ปฏิบัติเวลานี้ ถูกหรือยัง ท่านบอกว่า ถูกแล้ว แต่ความเข้มข้นของจิตใจน้อยไปหน่อย ถามว่าขี้เกียจเกินไปใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่ใช่ การขยันเกินไปเป็นของไม่ดี จิตต้องปล่อยไปตามอารมณ์มันบ้าง อย่างบังคับอย่างเดียว อย่าบังคับให้อยู่เฉพาะกำลังฌาน อย่าบังคับให้อยู่เฉพาะกำลังวิปัสสนาญาณ บางครั้งก็ดูต้นไม้ ดูใบไม้ ดูดอกไม้ ที่มันแกว่งไปแกว่งมาตามกระแสลม สร้างความเพลิดเพลินตามปกติเสียบ้าง จิตจะได้ไม่เครียด หลังจากนั้นแล้ว ก็จับสิ่งที่เราเห็น เป็นวิปัสสนาญาณ

ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ที่นี่มันเป็นป่า ไปเที่ยวบ้านฉันไหม ก็บอกว่า ไป พอบอกไป ท่านบอก เอ้า…ไปกันได้แล้ว 3 องค์ ก็เลยไปกันทันที การไปก็ไม่มีอะไรมากไปด้วยอานุภาพของท่าน พอท่านบอกไปได้ละ ก็ถึงเลย ไม่เห็นอะไรข้าง ๆ เลย พอไปถึงเข้า ท่านสวยสดงดงามมาก ท่านก็บอกว่า เดิมฉันอยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตายมา 400 ปีเศษ ฉันชื่อ สิงห์ เวลานี้เป็น พระอนาคามี

ท่านก็ชี้มาที่อาตมา ท่านบอกว่า ฉันเคยเป็นพ่อเธอมาหลายชาติ เมื่อเธอปฏิบัติอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจของฉัน เธอจะไม่กลับถอยหลังอีก คำว่า ถอยหลังไปเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่กลับไปอีก ขอให้ตั้งใจตรงเฉพาะนิพพานเข้าไว้แล้วท่านก็พาชม สหัมบดีพรหม ในเขตสหัมบดีพรหมทั้งหมด กว้างใหญ่ไพศาลมาก น่าอยู่ น่าเลื่อมใส ท่านถามว่า ชอบใจไหม ก็บอกว่าดินแดนของพรหมนี่ชอบใจ แต่ว่าก็ไม่เคยคิดจะอยู่พรหม อยากจะไปนิพพาน ท่านก็ให้แหงนหน้าขึ้นไปดู เห็นนิพพานอยู่สภาพใกล้นิดเดียว ท่านก็พาไปที่นิพพาน
ท่านบอก นี่วิมานของเธอ วิมานใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ เพราะการก่อสร้างของเธอทุกชาติ เธอสั่งสมบารมีมามาก เธอเคยพบพระพุทธเจ้ามาหลายองค์ จำวิมานของเธอไว้

เวลาที่ใช้กำลังฌานสมาบัติ ก่อนจะใช้กำลังฌานสมาบัติ ใช้พรหมวิหาร 4 ก่อน และใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้ถึงที่สุด คือไม่ต้องการภพทั้ง 3 มนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ต้องการนิพพาน ให้ใจมันแน่วแน่ และตรงดิ่งมาที่นี่ทันที มานั่ง มานอนเล่นให้มันสบายเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยไปเที่ยวที่อื่น จะไปที่ไหนก็ได้ ก่อนจะหลับมาหลับที่นิพพาน อธิษฐานเวลาตื่นเข้าไว้ว่า เวลาเท่านั้นเท่านี้ เราจะลงมา จงทำอย่างนี้ทุกวัน อารมณ์จะชิน เมื่ออารมณ์ชินแบบนี้ สังขารุเปกขาญาณมันจะเกิดขึ้น เป็นวิธีง่าย ๆ และเวลาตายจริง ๆ มันก็จะตรงมาที่นี่

ก็เลยบอกท่านบอกว่า เวลานี้ผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอกว่า ไม่มีความหมายเวลานี้เธอจงทำตามแบบพุทธภูมิไปเถอะ แต่เมื่ออายุ 40 ปีเศษ ต้องลาพุทธภูมิ เพราะเวลานั้นจะเกิดมีการผันผวนในด้านพระศาสนาเกิดขึ้นมามาก แต่ก็ไม่ใช่มีใครเขาทำผิดทุกสำนักทำถูกหมด แต่ถูกเล็ก หรือถูกใหญ่ ถูกหมดหรือไม่หมดเท่านั้น ถูกครบหรือไม่ครบทุกสำนักเขาก็ทำถูก อย่าไปว่าเขาทำผิด เพียงแค่ใจเขานึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า ทำถูกแล้ว แต่กำลังยังอ่อนเกินไป เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ และคนของเธอ เมื่อสมัยที่เธอเกิดในสมัยก่อน ๆ เธอเคยเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นแม่ทัพบ้าง เป็นรองแม่ทัพบ้าง เป็นพ่อเมืองบ้างอย่างนี้ คนที่เขาช่วยเธอมีมาก เพราะเธอปรารถนาพุทธภูมิ

พุทธภูมินี่เธอปรารถนามานานแล้ว แต่ว่าชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ ช่วยพระศาสนา ช่วยเฉพาะในกลุ่มของเรา ไม่ใช่คนอื่น คนอื่นจะสอนเขาไม่ได้ เขาจะไม่จำ ในเมื่อเขาไม่จำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ คนอื่นช่างเขา เขาจำหรือไม่จำก็ช่าง เอาแต่คนของเรา และเธอก็จะสามารถขนคนพวกนั้นมานิพพานได้ไม่น้อยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เหลือจากนั้นอีกเล็กน้อย เขาจะอยู่บนสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง และต่อไปเขาก็จะไปนิพพาน เมื่อคุยกับท่านเสร็จ ท่านก็พาเที่ยวบริเวณของนิพพาน ท่านก็ชี้วิมานของแต่ละบุคคล องค์นั้นวิมานอยู่ตรงนี้ องค์นี้วิมานอยู่ตรงนี้ วิมานมีแล้วทั้งหมด

ก็รวมความว่า เวลานั้นก็เลยรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ..เรามีวิมานที่นิพพาน การเป็นพระพุทธเจ้าก็มานิพพาน ปรารถนาพุทธภูมิก็มานิพพาน ปรารถนาสาวกภูมิก็มานิพพาน ในฐานะที่หลวงพ่อปานท่านแนะนำ ท่านชวนให้ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ขอปฏิบัติตามสายพุทธภูมิก่อน แต่ว่าที่หลวงพ่อเนียมสั่งว่า สังโยชน์ 10 ประการ ต้องคล่องตัว ก็ต้องทำด้วยเหมือนกันก็เป็นอันว่า หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี ท่านรู้ดีว่า มีความจำเป็นเรื่องการกำจัดสังโยชน์ 10 ประการ

และการกำจัด ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะตัดได้ขาด มีความจำเป็นต้องยับยั้งอารมณ์ของสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ต้องยับยั้ง ทิ้งไว้เสีย คิดว่า มันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 เข้ามาผสมกัน มีอาการ 32 ไม่ช้ามันก็ตาย เราไม่เป็นอรหันต์ก็ช่าง เรายอมเคารพนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยับยั้งในกามารมณ์ ยังยั้งในความโกรธ ไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน ไม่ถือตัวตัวตนแม้แต่กับหมาเราก็เล่นได้ หมาเล่นกับเรา เราก็เล่นกับหมา หมาตะกายหลังตะกายหน้า ก็ปล่อยตามใจหมา เราไม่ถือตัว ไม่ถือตน และอารมณ์เราก็ไม่ฟุ้งซ่านหวังนิพพานไปที่เดียว และเราก็ไม่เห็นว่าพรหมโลก เทวโลก มนุษยโลกดี เราเห็นนิพพานดี เอากันแค่เป็นประเพณีนิยม หรือประจำใจ จะเป็นอรหันต์หรือไม่ ไม่สำคัญ

หลังจากนั้น เมื่อท่านพาเสร็จจบ ท่านก็บอกว่าเวลานี้มันสว่างแล้ว (ขึ้นไปตั้งแต่บ่าย 3 โมงเย็น ไปพักเดียว ท่านบอกว่า สว่างแล้ว) เดี๋ยวหลวงพ่อปานจะคอย แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านรู้นะว่ามากับฉันไม่ใช่ท่านไม่รู้ ก็กลับลงมาที่เดิมพอเข้ากลด ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานเคาะกระดิ่งเล็ก ๆ เป็นสัญญาณบอกให้ออกมาบิณฑบาต ก็นุ่งสบงทรงจีวรตามปกติออกบิณฑบาต พอถือบาตรออกจากกลด ก็ปรากฏว่ามีคน ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คนแก่มาก นั่งเป็น 2 แถวเรียงรายกัน ก็เดินบิณฑบาตตรงกลาง แต่ข้าวที่เอามาเหมือนกันหมด คือ ข้าวสีเหลืองน้อย ๆ มีดอกไม้คนละดอกใส่บาตร

ก็เป็นอันว่า วันนั้นกินข้าวเทวดา กับนางฟ้า พอท่านใส่บาตรกันเสร็จ หลวงพ่อปานก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ (เป็นพรของพระสมัยโบราณที่ท่านให้กัน) ทุกท่านก็กราบ ท่านหัวหน้าท่านบอกว่า ผมดีใจมากที่พวกท่านมาโปรด เพราะกำลังต่อนี้ไป แสงสว่างร่างกายผมจะมีมากขึ้น และอีกองค์หนึ่งที่รองจากหัวหน้า ท่านบอกว่า ทั้ง 3 องค์นี่เพิ่งกลับจากนิพพานใช่ไหมก็ตอบว่า ใช่ ท่านบอก ก็ดีแล้ว เพราะที่เป็นอย่างนี้ดี ผมจึงมาใส่บาตร ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ผมก็ไม่มาใส่บาตร ท่านต้องเอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ จะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม จะมีเทวดากับนางฟ้ามาใส่บาตรเสมอ ถามท่านว่า ทั้งหมดท่านเป็นเทวดาบ้าง เป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง ทำไมถึงไม่มาในรูปของเทวดา นางฟ้า หรือพรหม

ท่านบอกมาในรูปเดิมนี้ดีกว่า เมื่อก่อนผมจะตายจากความเป็นคน ผมรูปร่างขนาดไหน อายุเท่าไร แก่ขนาดไหน หนุ่มขนาดไหน ผมมาตามนั้นดีกว่า มีความสบายใจกว่าดีกว่าที่ให้ท่านเห็นว่า ศักดิ์ศรีของผมมันสูง และการแสดงตนเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ศักดิ์ศรีสูงมาก รูปร่างก็สวยเกินไป ไม่ดี หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับ

หลังจากนั้น หลวงพ่อปานก็บอกว่า เรายังจะไม่ไปกัน เราจะค้างที่นี่อีก 1 คืน พอตกเวลากลางคืน หลวงพ่อปานก็เรียกเข้าประชุม เวลาประชุมก็ไม่มีการอธิบายอะไร บอกทุกคนเริ่มเจริญภาวนา จับพุทธานุสสติเป็นอารมณ์โดยเฉพาะ ไม่เอาอย่างอื่น พอเริ่มทำเท่านั้นแหละ ปรากฏว่า พระบรมสารีริกธาตุองค์โตกว่าบาตรตั้งเยอะ เป็นดาวสว่างจัดขึ้นมาจากเขาวงพระจันทร์ ขึ้นมาจริง ๆ เวลานั้น 7 ดวง แสงสว่างมาก

ท่านก็ลอยนิ่งสูงขึ้นไปประมาณสัก 2-3 เท่ายอดไม้ แสงสว่างจัด ในที่สุดก็กลสับลงมา กลับลงมาก็หายเข้าที่เดิม หลวงพ่อปานก็ลืมตา ท่านถามว่า ทุกองค์เห็นพระบรมสารีริกธาตุไหม ก็ตอบท่านว่า เห็น ท่านถามว่า กี่องค์ บอกว่า 7 องค์ หลวงพ่อปานบอก ใช่ ใช้ได้ ๆ ครบ สมาธิดีวิปัสสนาญาณดี

หลังจากนั้น ตอนเช้าหลวงพ่อปานก็ชวนกันถอนกลด เดินทางต่อไปมันเป็นในป่า ท่านก็ไม่ได้บอกว่าในป่ามันป่าอะไร ไม่ได้ถามท่านไม่มีความจำเป็น มันจะเป็นป่าอะไรก็ช่างเราก็เดินกันเรื่อย ๆ มา เวลาเดินมา เทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านก็เดินมาด้วย พวกดาวดึงส์ก็มากันมาก ท่านก็ชี้ชมสถานที่ต่างๆ ในอดีต ชมบ้านชมเมืองในอดีต ชมสนามรบในอดีต ชมภาพของคนตายในอดีต (ชมคนอื่นไม่สำคัญเท่าชมตัวเอง เวลานั้นท่านเป็นไอ้นั่น เวลานี้ท่านเป็นไอ้นี่ ท่านมารบกับเขาตรงนี้ มาฆ่าตรงนี้ มาถูกห่าตายตรงนี้บ้าง มาฆ่าเขาตายตรงนี้บ้าง) ว่ากันเรื่อยไป ว่าอดีตเป็นชั้น ๆ เป็นสมัย ๆ หลายสมัย

พอไปถึงใกล้เขาใหญ่ มาทราบตอนหลังนี้เขาเรียกว่า เขาชอนเดื่อ ถ้าเดินธรรมดา ๆ จากพระพุทธบาท มาชอนเดื่อ ถ้าจะใช้เวลา 1 วัน น่ากลัวจะแย่เหมือนกัน ท่านเดินแบบสบาย ๆ รู้สึกว่าไม่เหนื่อย เป็นกำลังของหลวงพ่อปานบ้าง เทวดาท่านช่วยบ้าง

พอถึงเขาชอนเดื่อ ท่านก็ปักกลดหน้าเขาชอนเดื่อ เวลานั้นก็ปรากฏว่า มีพระองค์หนึ่งอยู่ที่เขาชอนเดื่อ พระองค์นั้นท่านก็ออกมารับรอง ท่านรู้จักกับหลวงพ่อปานดีมาก เมื่อปักกลดเสร็จ พวกเราจะพัก เห็นท่านเข้า ก็เข้าไปกราบท่าน ท่านเป็นพระมีอาวุโสแล้ว อายุประมาณ 30 เศษ เกือบจะ 40 พวกเราเพิ่ง 20 กว่า ๆ นิดเดียว ท่านเห็นเข้า ท่านก็ชมว่าพระ 3 องค์นี้ดี เก่งมากแต่ว่าก็ยังเก่งแค่หากินกับเทวดา (นี่ท่านรู้ด้วย) หลวงพ่อปานก็ถามว่าท่านหากินกับเทวดา หรือท่านหุงข้าวกิน ท่านบอก ผมไม่หุงข้าวกินด้วย ไม่หากินกับเทวดาด้วย ผมอยู่ด้วยกำลังของปีติ (คำว่า ปีติ คือ ความอิ่มใจ) หลวงพ่อปานถามว่า น้ำต้องฉันไหมท่านบอก น้ำต้องฉัน แต่ข้าวไม่ต้องฉัน ร่างกายท่านสมบูรณ์ ผิวเหลืองสวย หน้าตาดี

หลวงพ่อปานถามว่า ท่านนิยมอะไร ศัพท์อย่างนี้พวกเราไม่เข้าใจกัน ท่านบอกว่าเวลานี้ท่านกำลังอยู่ในขั้นฌานโลกีย์ แต่ว่าทรงอภิญญา 5 สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ แต่ว่าสิ่งที่ไม่ทำอย่างเดียว ก็คืออาหาร ไม่ทำอาหารมาเพื่อกิน อยู่ด้วยธรรมปีติพวกเราฟังแล้ว ก็ชื่นอกชื่นใจมาก ก็คิดในใจว่า คนที่อยู่ในธรรมปีตินี่ อย่างน้อยต้องเป็นพระอรหันต์ แต่ความจริงไม่ใช่ แค่ฌานโลกีย์ แค่อภิญญาโลกีย์ก็สามารถทำได้

แล้วต่อมาท่านก็คุยกับหลวงพ่อปาน ตามเรื่องตามราวของคนแก่อายุไล่เลี่ยกันหลวงพ่อปาน 60 ปีเศษ ท่านก็ 50 เกือบจะ 60 อยู่แล้ว อายุใกล้กันมาก พวกเราก็มีหน้าที่นั่งฟัง แต่ที่ท่านคุยกันพวกเราไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ท่านคุยเรื่อง ไอ้นั่นมีที่นั่น ไอ้นี่มีที่นี่ โอ้โฮ..ท่านชี้ไปในหุบในเขา มีเหว มีทองคำ มีอะไรต่ออะไร มีผีมีสาง ท่านชี้ไปที่ไหน เราก็พลอยเห็นด้วย ท่านเก่งจริง ๆ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


พระเจ้าของถ้ำหุงข้าว


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ 16 กรกฏาคม 2533 เมื่อถึงเขาชอนเดื่อ ตอนนั้นก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปานท่านรู้จักกันกับพระที่เขาชอนเดื่อ (ความจริงพระที่เขาชอนเดื่อนี่รู้สึกว่า อายุจะน้อยกว่าหลวงพ่อปานมาก ถ้าจะประมาณอายุจริง ๆ ก็ประมาณ 50 เศษ ๆ หลวงพ่อปานเวลานั้น 60 เศษ) ท่านมีท่าทางกระปรี้กระเปร่าแข็งแรง มีการคล่องตัวมาก เพราะอยู่เขา

เขาชอนเดื่อนี่มารู้จักเอาสมัยหลัง สมัยที่มาอยู่ชัยนาทแล้ว เมื่อไปพบถ้ำ ๆ นั้นเข้าจึงได้ทราบว่า ถ้ำ ๆ นี้เราเคยมา เมื่อสมัยมาธุดงค์ แล้วก็เดินไปทั่ว ๆ บริเวณ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนของเก่าหมด ก็แน่ใจว่าเป็นถ้ำ ๆ นี้ แต่ว่าเวลานั้นเป็นป่าชัฏ บรรดาท่านพุทธบริษัทกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า สุนัขหอนจากบ้าน ก็แสดงว่าไกลบ้านมาก

พอเข้าไปพัก ท่านก็มีอัธยาศัยดีมาก ท่านจัดสถานที่ให้นอน เป็นหลืบของถ้ำเหมือนกับเป็นห้องนอน นอนกันแบบสบาย ๆ ไม่รวมกัน ไม่ต้องปักกลด แต่ว่าพอตื่นขึ้นเช้า เวลาสาย ๆ นิดหน่อย ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า จะฉันข้าวไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉันตามปกติ

แต่ความจริงการไปคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อปานก็ดีคณะที่ไปร่วมก็ตาม กินข้าวจากเทวดา กินข้าวจากนางฟ้ากัน แต่ว่าพอตื่นเช้าวันนั้นหลวงพ่อปานไม่สั่ง ไม่สั่งให้ออกบิณฑบาตตามปกติ ก็ถือว่า คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง เมื่อไปกับหัวหน้า หรือครูบาอาจารย์ ในเมื่อท่านสั่งอย่างไหนเราทำอย่างนั้นท่านไม่สั่ง เราไม่ทำก็คิดว่า วันนี้เราจะกินข้าวกันที่ไหน นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ถ้าไม่มีข้าวจะกิน เราก็อยู่ด้วยธรรมปีติ (คำว่า ธรรมปีติ หมายความว่า มีความอิ่มใจในธรรม) ถ้าจะถามว่า มีความอิ่มใจพอแล้วหรือ ก็ต้องตอบว่าการเดินทางคราวนั้นมีความอิ่มใจพอมากเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ามีครูบาอาจารย์ควบคุมไป และประการที่ 2 รอบ ๆ ข้างมีท่านที่มองไม่เห็นตัวด้วยตาเปล่าคุมไปมาก ทำให้มีการสดชื่นมาก

พอตอนสายมานิดหนึ่ง พอตะวันขึ้นไม่สายมาก สักโมงเช้าได้ละมั้ง พระเจ้าของถิ่นท่านก็ถามว่า จะฉันข้าวไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉัน ท่านก็เอื้อมมือไปหยิบหม้อดินใหม่เอี่ยม (ความจริงนั่งอยู่ที่นั่นก็มองไม่เห็นหม้อดิน ไม่ทราบว่าท่านวางไว้ที่ไหน แต่ว่าเวลาเมื่อท่านต้องการ ท่านเอื้อมมือไปหยิบปั๊บ ได้หม้อดินมา 1 ลูก) เอาน้ำใส่ไปหน่อยหนึ่งเอาข้าวสารใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ปิดฝา ท่านถามว่า ฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อปานบอกว่า ฉัน ท่านก็เอื้อมไปหยิบเอาบอนมา ตัด ๆ ไม่ต้องปอก ตัด ๆ เหมือนที่เขาแกงกัน แล้วก็ใส่ในหม้อ น้ำใส่หน่อยหนึ่ง แล้วก็เอาฝาปิด หลังจากนั้นท่านก็คุยกัน คุยกันไปสักครู่หนึ่ง ท่านก็

ถามหลวงพ่อปานว่า หิวหรือยัง เห็นจะเป็นเวลาประมาณสัก 2 โมงเช้า
ก็เป็นอันว่าในเมื่อหลวงพ่อปานบอกว่า หิวแล้ว ท่านก็เปิดหม้อข้าวขึ้นมา ข้าวสุกเต็มหม้อ มีควันคลุ้ง แสดงว่าข้าวสุกและยังร้อน ๆ มาก เหมือนกับยกลงจากเตาใหม่ ๆ (ความจริงก็ตั้งกับพื้นดิน) แล้วก็เปิดฝาหม้อแกงขึ้น แกงเต็มหม้อ เอามากิน รสชาติเหมือนแกงบอนธรรมดา ๆ อร่อยมาก (นี่ก็เป็นส่วนพิสดารส่วนหนึ่ง ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่า คนหลายๆ คน อาจจะมีความเห็นไม่เสมอกัน อาตมาก็ไม่ค้านความเห็นของท่าน นี่เป็นเรื่องของอภิญญา)

เมื่อกินข้าวเสร็จ ท่านก็คุยกัน แล้วก็หันมาถามว่า คุณ 2 องค์นี่ สนใจเรื่องฤทธิ์ไหม อีก 2 องค์ท่านตอบว่าสนใจเรื่องฤทธิ์ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า สององค์นี่เขาชอบเล่นฤทธิ์มาก แต่อีกองค์หนึ่งนี่ไม่ชอบ ชอบรู้เห็นโดยเฉพาะ ไปได้ตามกำลังใจ ที่เรียกว่า มโนมยิทธิ ชอบเล่นทางใจมากกว่าเล่นทางกาย ท่านก็เลยหันมาถามอาตมาว่า ทำไมไม่ชอบเล่นทางกายเราไปสวรรค์ เราไปนรกด้วยกายตนเอง เป็นการดีนะ ก็ตอบท่านว่า ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนกัน การไปด้วยกายก็เป็นของไม่แปลก การไปด้วยใจก็เป็นของไม่แปลก คือ เนื้อแท้ของร่างกายจริง ๆ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เวลาตายจริง ๆ ไม่ได้นำร่างกายไปด้วย ผมเลยไม่สนใจ

ท่านมองหน้านิดหนึ่ง ท่านบอกว่า ความจริงเป็นของไม่เกินความสามารถใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ไม่แน่ใจครับ มันจะเกินความสามารถหรือไม่เกินความสามารถผมไม่แน่ใจ แต่ว่าผมไม่นิยมใช้มัน ผมใช้เฉพาะใจอย่างเดียว ทางร่างกายพระพุทธเจ้าท่านห้าม ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านห้าม ก็เกรงว่าจะเผลอ ถ้าเผลอเป็นการผิดพุทธบัญญัติ อาจจะมีโทษ (คำว่ามีโทษอย่างนั้นก็ไม่ทราบว่า ท่านปรับโทษอะไร)

ท่านก็เลยบอกว่าก็ดีเหมือนกันถ้ามีความสันโดษอย่างนั้นก็ดี แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ อยู่ที่นี่ ถ้าอยากจะเที่ยวที่ไหนก็บอกให้ให้ทราบ ก็ถามท่านว่า ท่านอยู่ที่นี่มานานหลายปีไหม ท่านบอกว่า อยู่ที่นี่มาเกินสิบปี ถามท่านว่า ท่านฉันข้าวแบบนี้หรือ ท่านบอกว่า ปกติท่านไม่ฉันเลย ท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ

ก็มีความสนใจมาก ก็ถามว่า ธรรมปีติ เป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอกว่า มีความอิ่มโดยธรรมก็ถามว่า อย่างนี้เขาเรียกว่า เข้านิโรธสมาบัติ ใช่ไหม ท่านบอกว่า คนละอย่าง ธรรมปีติกับนิโรธสมาบัติ คนละอย่าง ผมไม่สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ ก็ถามท่านบอกว่าในเมื่ออยู่องค์เดียวอย่างนี้ อยู่ป่าอย่างนี้มีอาการสงัด ก็น่าจะเข้านิโรธสมาบัติได้ ท่านบอกว่านั่นเป็นขั้นตอนของธรรมะ การปฏิบัติเราต้องรู้จริง นิโรธสมาบัติเป็นภาระของพระอรหันต์ท่าน ก็กราบเรียนถามท่านว่า ท่านยังไม่เป็นพระอรหันต์หรือ มีฤทธิ์ขนาดนี้น่าจะเป็นพระอรหันต์พระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ ก็ยังสามารถมีความมีฤทธิ์ได้อย่างนี้ ผมก็อัศจรรย์ใจ

ท่านก็รับตรง ๆ ว่า ท่านบอกว่า ผมนี่เป็น พระฌานโลกีย์ มีบางครั้งผมมีความรู้สึกว่าผมเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าผมสามารถระงับความรักในระหว่างเพศ ความโกรธความโลภ ความหลงได้ แต่ว่ากำลังใจมันมีอาการหนักหน่วง เวลานี้ไม่สนใจกับอะไรทั้งหมด มีการสนใจอย่างเดียวคือ ฌานสมาบัติ ที่อยู่ที่นี่ก็มีความสุข เพราะเทวดา นางฟ้าท่านช่วยท่านสงเคราะห์สถานที่ ที่เตียนได้ทั้งหมด ก็ไม่ใช่มือของผม ผมเองไม่สามรถทำบริเวณข้างถ้ำให้เตียนได้ แม้แต่ในถ้ำก็ใหญ่เหลือเกิน ในถ้ำนั้น ความจริงถ้าจะสร้างกุฏิกันได้สัก 2-3 หลัง ถ้ำใหญ่มากปากถ้ำเล็ก แต่ว่าในถ้ำใหญ่ มีหลืบ มีชั้น มีตอน มีหลายตอนด้วยกัน ที่ราบเรียบขึ้นมาได้ก็อาศัยเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ท่านสงเคราะห์

แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า จากถ้ำนี้ก็มีอีกหลายถ้ำที่อยู่ข้าง ๆ นี้ ที่สถานที่แห่งนี้เดิมทีเดียวเป็นเมืองใหญ่ ใกล้ ๆ ถ้ำนี้ ท่านชี้บริเวณไปข้างหน้า บริเวณเป็นทุ่งข้างหน้า เป็นทุ่งใหญ่พอสมควร ท่านบอกว่าที่ตรงนั้นเป็นเมืองใหญ่ในอดีต และถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ กับถ้านี้ก็ดี หรือถ้ำนี้ก็ดีเป็นที่เก็บทรัพย์สินของพระราชา เวลานี้ทรัพย์สินของพระราชา มีทองเป็นต้นที่เก็บไว้ตามถ้ำต่างๆ ใกล้ ๆ นี้ ยังมีมาก

พอตอนสาย ๆ หน่อย ๆ ท่านก็ชวนไปดู ไปถึงถ้ำ ๆ หนึ่ง อยู่ใกล้ชิดกันมาก ไม่ไกลนักเขาติด ๆ กัน อาจจะเป็นเทือกเขาเดียวกัน แต่เป็นถ้ำคนละถ้ำ พอเข้าไปใกล้ ๆ ก็มีเสียงอึกทึกโครมคราม ครืนครั่น ๆ ไปข้างใน (เสียงดังสนั่นมาก ไม่ใช่ว่าต้องเงี่ยหูฟังชัด) เสียงท่านบอกว่า นี่ ข้างในน่ะ ไม่ต้องขนของหนี ไม่มีใครเขาเอาอะไรหรอก นี่เจ้าของเดิมเขามาแล้ว จำไม่ได้หรือ จะพาเจ้าของเดิมเขามาดูทรัพย์สมบัติเก่าของเขา ไม่จำเป็นต้องเอาหนี ถึงแม้ว่าจะวางไว้ข้างหน้าถ้ำ ก็ไม่มีใครเขาหยิบ เพราะพระธุดงค์ขนาดนี้เขาไม่หยิบเงิน ไม่หยิบของไม่สนใจในทรัพย์สิน เสียงนั้นก็สงบไป

และในที่สุดก็ต้องแหวกเถาวัลย์เข้าไปในถ้ำ ปากถ้ำเล็ก (คำว่า เล็ก ก็หมายความว่าคนเดินลอดได้ มีความกว้างสักไม่ถึง 2 วาดี) แต่เข้าไปข้างในเป็นโพรงใหญ่มาก เป็นถ้ำกว้างมาก เข้าไปดู ทรัพย์สินต่าง ๆ วางเรียงราย สวยสดงดงาม ทองแท่งเล็ก ทองแท่งใหญ่ เงินแท่งเล็ก เงินแท่งใหญ่ และเครื่องประดับเฉพาะทองจริง ๆ ถ้าจะเทียบน้ำหนักก็ไม่ทราบว่าน้ำหนักเท่าไร เพราะมันวางเป็นกำแพง วางเรียงกันเป็นระเบียบ เป็นกำแพงยาวเหยียดเครื่องประดับประดา สวยสดงดงาม เครื่องกษัตริย์ก็มี ก็รวมความว่าไปเจอะทรัพย์สมบัติเก่า

ก็ถามท่านว่าใครครับ ที่ว่าเคยเป็นเจ้าของท่านหันมาหาอาตมาบอกว่า คุณนั่นแหละเคยเป็นลูกของกษัตริย์เมืองนี้ ถามว่า สมัยไหน ท่านบอก สมัยโพ้นนู้น ตั้งแต่คนไทยยังไม่เข้ามา ไทยชุดใหญ่ยังไม่เข้ามาทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ในระหว่างนั้นเป็นเมืองสรรค์บุรี เขตของเมืองไม่กว้างขวางนัก จากนี่ไปทางด้านทิศใต้ก็เลยเมืองชัยนาทไปถึงเมืองสรรค์บุรี เวลานั้นเมืองชัยนาทก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เมืองสรรค์บุรีก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง แต่ว่าขึ้นกับเมืองนี้ ทางด้านทิศตะวันออกไปก็เลยลพบุรีไปนิดหน่อย ประมาณพระพุทธบาททางด้านทิศเหนือ ก็เลยท่าตะโกไปนิดหน่อย ทางด้านทิศตะวันตก ก็เลยเมืองนครสวรรค์ไปนิดหน่อย เป็นอาณาเขตไม่มาก ก็ถือว่าเป็นเมือง ๆ หนึ่ง เป็นประเทศ ๆ หนึ่ง แต่เป็นประเทศมหาอำนาจ ก็พากันดูทรัพย์สิน ท่านก็บอกว่า ทรัพย์สินอีกจุดหนึ่งของคุณ ยังมีอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่ถ้ำ หลังเมืองชัยนาท แล้วผมจะพาไปดู

เมื่อชมที่นั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกมาปากถ้ำ ความจริงดูหลายถ้ำ ถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำใหญ่มีทรัพย์สินมากมายเหลือเกิน ถ้าพูดอย่างนี้นะ บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืมว่าอำนาจของผีสิ่งใดก็ตามที่เฝ้าไว้ ถ้าผียังไม่ยอมให้ท่านจะไม่พบของนั้น เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้น ถ้าผียอมให้เมื่อไร ก็จะพบของนั้นที่พูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าเวลานี้คนต้องการทรัพย์สินมีมาก บางทีอาจจะลองพิสูจน์แต่ความจริง ถ้าท่านมั่นใจในตัวเองของท่านว่า ท่านพูดกับผีได้ก็เชิญไปพิสูจน์ได้

หลังจากนั้นเมื่อออกมาจากถ้ำนั้นแล้ว ชมกันพอดี พอควร ก็ประมาณบ่าย 1 โมง ท่านก็พาไปหลังจังหวัดชัยนาท ความจริงถ้าจะเดินกันจริง ๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 วัน แต่ว่าท่านพาเดินชมนกชมต้นไม้ไปประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏว่าถึง ถึงถ้ำนั้น (เวลานี้มารู้จักทีหลัง เขาเรียกกันว่า เขาพลอง เวลานี้เป็นวัดอยู่ หรือเป็นสำนักสงฆ์อยู่บนยอดเขาพลอง) ก็พาไปที่ถ้า ๆ หนึ่ง เป็นปากถ้ำเล็ก ๆ และก็มีหินสีขาว ๆ อยู่ก้อน หรือ 2 ก้อน เป็นสัญลักษณ์อีกแถบหนึ่งมีหินวางเรียงรายกัน คล้าย ๆ หินเขามาปะใหม่ แต่เกาะกันแน่น ไม่เรียบร้อยเหมือนที่อื่น ท่านบอกว่า ตรงนี้เป็นปากถ้ำ เวลานั้น กษัตริย์เมืองนั้นก็เอาทองมาเก็บที่นี่ข้างในเป็นถ้ำใหญ่ ก็ถามท่านบอกว่า จะเข้าไปดูได้ไหม ท่านบอก ทางเข้าไปดูมี ไม่ต้องงัดหินเข้าไปหรอก ทางนี้มี

ท่านก็เดินนำหน้าเข้าไป ปากถ้าก็กว้างประมาณสัก 2 วา เข้าไป ก็เล็กเข้าไปทุกทีเข้าไปหน่อยหนึ่งพบว่ามีน้ำ พอมีน้ำ เข้าไปก็เจอะ งูหงอน งูหงอนนอนอยู่หัวขึ้นดู ท่านก็เรียกว่า ท่านมหานาคา ท่านบอกว่า ลูกชายท่านมาแล้ว อยากจะดูทรัพย์สิน ท่านงูมหานาคาก็หายไปทันที อีกประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏเป็นคน เดินออกมาจากข้างใน บอก นิมนต์ครับใครจะชมอะไรบ้าง ก็เชิญชมตามสบาย ผมเป็นคนเฝ้า ก็เลยแปลกใจ

ถามว่า มหานาคาคือใครครับ ทานบอกว่า มหานาคา เป็นเทวดาของทิศตะวันตก ของท้าววิรูปักข์
ท้าวมหานาคา คือ กษัตริย์องค์ก่อน เมื่อก่อนที่จะตายก็มีความฝังใจในทรัพย์สินที่ตนเก็บไว้ การเก็บทรัพย์สินนี้เก็บไกลเมืองออกมา เพื่อเป็นการป้องกัน คิดว่า ถ้าข้าศึกเข้ามายึดเมืองทางโน้น ก็ยังมีทรัพย์สินส่วนนี้ไว้ใช้ต่อไป เป็นการป้องกัน เขาไม่แน่ใจว่าจะมีข้าศึกมาโจมตีไหม จึงเก็บไว้ที่นี่เพื่อใช้สอย เผื่อว่าต้องถอยทัพหนีออกมาจากเมืองหลวง อาจจะมายับยั้งตั้งฐานที่นี่ก็ได้ จะได้ใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ไปพลาง ๆ ก่อน ก็มีมากพอสมควร

เมื่อเข้าไปชมก็พบว่า ทองแท่ง ถ้าคิดเป็นตัน มองดูแล้วคิดว่า เลย 4 ตัน ก็ไม่น้อยเฉพาะทองแท่งใหญ่ ทองแท่งเล็ก ๆ ย่อม ๆ ยังมีอีก สั้น ๆ ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วจริง ๆ ทั้งหมดเกิน 10 ตัน แล้วท่านก็ถามท่านมหานาคา (ทีแรกท่านคุยกับนาค แล้วตอนนี้มาคุยกับคนรูปร่างหน้าตาดี) ท่านถามว่า มหานาคา ท่านจำลูกชายท่านได้ไหม ท่านผู้นั้นก็บอกว่า ท่านจำได้เพราะจำได้จึงมาคอย ปกติไม่ได้อยู่ที่นี่ วันนี้มาคอยอยากจะชี้ให้ดูทรัพย์สินว่า ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อต้องการเมื่อไร มาเอาได้เมื่อนั้น จุดธูปบอกโยมก็แล้วกันเป็นของไม่ยาก ในเมื่อท่านอนุญาตก็ยอมรับว่า ถ้าจำเป็นก็จะมานำไปใช้ แต่ว่าการนำไปใช้ก็เกรงอันตรายจากโจรผู้ร้าย ท่านก็เลยบอกว่า เรื่องโจรผู้ร้ายเป็นของไม่แปลก ในเมื่อการนำไป จะให้ไปทีละน้อย แล้วก็ป้องกันไม่ให้คนเห็น ไม่ให้คนรู้ ไม่ให้คนทราบ สมมติว่าใส่ถุงหรือใส่ไถ้ไป เขาจะมีความเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่ทอง

นี่เป็นเรื่องของการไปธุดงค์คราวนั้นเป็นอานุภาพของพระ เมื่อคุยกับท่านตามสมควรก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ท่านต้องเฝ้าทรัพย์อยู่ที่นี่หรือ ท่านก็บอกว่า ความจริงน่ะจิตมันห่วง ห่วงกังวลถึงพวกคุณนี่แหละ เกรงว่าจะไม่มีทรัพย์สินเป็นเครื่องกินอยู่กัน ไปเกิดในต่างถิ่นแล้วก็ไม่ทราบว่าทรัพย์สินของตนมีอยู่ แต่ว่ากังวลอย่างอื่นนอกจากนี้ก็ไม่มี ตามปกติแล้วผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมก็อยู่ที่วิมานของผม เป็นวิมานอยู่ในอำนาจของท้าววิรูปักข์ ทางทิศตะวันตก ท่านก็ถามว่าต้องการทรัพย์สินไหม ก็เลยบอกท่านบอกว่า เวลานี้กำลังธุดงค์ เรื่องการต้องการทรัพย์สินไม่มี ต้องการทรัพย์สินเมื่อไร อาบัติก็เกิดเมื่อนั้น นั่นคือ มดแดงจะกัดตายท่านก็ชอบใจ

แล้วหลวงพ่อปานก็หันไปถามท่านบอกว่า ลูกชายนี่จะมีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินนี้ไหม ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า ถ้าลูกชายผมเชื่อท่าน ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ทรัพย์สินส่วนนี้ หรือส่วนอื่น ส่วนโน้นก็ไม่ได้ใช้ ส่วนนี้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้าลูกชายผมไม่เชื่อท่าน ถ้าเขาสึกออกไป เขาก็มีสิทธิ์จะได้ใช้ หลวงพ่อปานก็ถามว่า ถ้าเขาสึกออกไป เขาจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ ท่านก็ตอบว่าคนที่สึกมาเป็นฆราวาส คนที่มีความสุขจริง ๆ ไม่มี มีแต่ความทุกข์ หลวงพ่อปานท่านถามว่าอยากจะให้ลูกชายสึก หรือไม่อยากให้ลูกชายสึก

ท่านก็บอกว่า ผมไม่อยากให้ลูกชายสึกครับ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ผมเป็นมนุษย์มาแล้ว เวลานี้ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเทวดา ก็ยังมีความเหน็ดเหนื่อยต้องมีภาระ เวลานี้พระทั้งหมดที่มานี่ อย่างต่ำก็เป็น พระทรงฌานโลกีย์ และบางท่านก็ทรงฌานโลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้า แต่ผมอยากจะให้ทุกท่านหวังนิพพานมากกว่าผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมเองเคยฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระภควันต์ คือ พระพุทธเจ้าสมัยที่ท่านยังทรงพระชนม์อยู่ ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระบรมครูครั้งเดียว ก็เป็นพระโสดาบัน เวลานี้ผมก็เป็นพระโสดาบัน ผมก็ไม่หวังในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในความเป็นมนุษย์ต่อไป ต้องการนิพพานจุดเดียว

เมื่อคุยกันตามสมควรแล้ว หลวงพ่อปานก็ถามว่า ลูกชายออกเดินทางมาธุดงค์อย่างนี้จะให้การคุ้มครองไหม ท่านก็บอกว่า ต้องให้การคุ้มครองสิครับ ความจริงเมื่อก่อนออกจากวัดผมก็มาด้วย ไม่ได้พบผมเฉพาะที่นี่ผมมาด้วย และก็มากันหลายคน มากันมาก ตามที่ทุกท่านเห็นแล้ว หลวงพ่อปานก็ขอขอบคุณท่าน หลังจากนั้นก็ลาท่านกลับ ท่านบอกว่า ถ้ากลับผมจะไปส่งแล้วท่านก็เดินนำหน้า พอเดินนำหน้าออกมา ปรากฏว่าถึง เขาแหลมหลังตาคลี ท่านก็แวะเข้าไปอีก จุดนั้นท่านบอกว่า ที่เขาแหลมนี่ ทรัพย์จุดหนึ่งของเราก็ยังมีอยู่ที่นี่ เพราะเวลานั้นเราเกรงสงครามมันจะเกิดขึ้น ต้องเอาทรัพย์ ทองคำมาฝังไว้ในที่ต่าง ๆ กัน ออกจากเขาแหลมแล้วก็เดินเรื่อยๆ ไป ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว ก็ถึงถ้ำชอนเดื่อ

ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท วันแรกที่เข้ามาอยู่เขาชอนเดื่อ (คือวันรุ่งขึ้น) พบกับสิ่งมหัศจรรย์ คือ พระไม่ต้องฉันข้าว แล้วก็ได้พบทรัพย์สมบัติเก่า ๆ ที่ผียืนยันว่า เป็นทรัพย์สมบัติของเราเอง ถ้าถามถึงความรู้สึก ถึงการเห็นทองคำ เห็นเพชรนิลจิลดา เห็นของมีคุณค่ามาก มีความรู้สึกอย่างไร ก็ขอตอบตรง ๆ เวลานั้นใจมันจืด ถ้าพูดถึงรสอาหารแล้วใจมันจืดสนิท เพราะจิตใจกำลังทรงอารมณ์อยู่ในเรื่องของธุดงค์ ไม่มีความรู้สึกอยากได้

และก็มีความรู้สึกอยู่ตอนหนึ่งว่า เดิมทีเดียว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านี้เป็นของเรา (คำว่า ของเรา คือ เราเคยครอบครองทรัพย์สมบัติส่วนนี้อยู่) หลังจากนั้นเราก็ตาย ตายไปแล้วนานเท่าไรก็ไม่ทราบ เราจึงมาโผล่ขึ้นที่นี่ แล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่า นี่เป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าหากว่าเราจะปกครองทรัพย์นี่ต่อไปอีก เราก็ตายอีก ความแก่ ความป่วย ความตาย เป็นของปกติ ในเมื่อมันจะต้องตายอีก การมีทรัพย์สินก็ไม่เกิดประโยชน์ ความรู้สึกเวลานั้นก็เฉย ๆ รู้สึกแต่เพียงว่า ก็ดีเหมือนกัน ในสมัยหนึ่ง ในชีวิตของเราที่ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ก็เคยเป็นลูกของกษัตริย์ และจะได้เป็นกษัตริย์กับเขาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ กษัตริย์เมืองเล็ก ๆ ถ้าจะเทียบเวลานี้ก็ประมาณเนื้อที่สัก 1 จังหวัด แต่ภายในเขตเล็ก ๆ ก็ยังมีเมืองขึ้นอยู่ 2-3 เมือง

ถ้าจะหันไปดูภาพสมัยเก่า มันก็เป็นเมืองย่อม ๆ มีคนไม่มากไม่มายนัก แต่ว่าเวลานั้นทองมาก ที่ทองมีมากเพราะ กษัตริย์เก็บภาษีในการหาทอง และกษัตริย์ก็เกณฑ์ให้ทหารให้ราษฏรเป็นคนร่อนทอง แล้วก็ปันส่วนกับกษัตริย์ กษัตริย์ได้มาก ราษฎรได้น้อย แต่เขาก็มีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างเขาแลกกันด้วยทอง แหล่งทองมีหลายจุด อย่างแหล่งทอง ลพบุรีก็มีแห่งหนึ่ง และแหล่งทองที่ อำเภอท่าตะโก ก็มีอยู่แห่งหนึ่ง แล้วแหล่งทองที่อำเภอสรรค์บุรี ก็มีอีกแหล่งหนึ่ง

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ชมบึงบอระเพ็ด และเรียนระลึกชาติต่าง ๆ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็เป็น วันที่ 16 กรกฏาคม 2533 ตามเดิมหลังจากกลับเข้าถ้ำชอนเดื่อแล้ว วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อปานก็สั่งว่า ทุกองค์ปฏิบัติตนตามปกติ เจ้าของถิ่นไม่ต้องหุงข้าว ไม่ต้องเลี้ยงอาหาร หลวงพ่อปานท่านก็นั่งบิณฑบาต (คำว่านั่งบิณฑบาต ก็หมายความว่า ท่านมานั่งปากถ้ำ เอาบาตรวางข้างหน้า ฝาบาตรปิดท่านก็นั่งหลับตาเฉย ๆ )

คณะที่ไปทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นคณะเถรส่องบาตร (คณะเถรส่องบาตร หมายความว่า อาจารย์ทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น) ก็นั่งเรียงจากท่านลงมา แล้วก็เข้าสมาธิตามปกติประเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงบอก คุณทั้งหมดลืมตาได้แล้ว ข้าวเกือบจะเต็มบาตรแล้ว คนที่ใส่บาตรกลับหมดแล้ว ก็ลืมตาขึ้นมาก็ปรากฏว่า พบข้าวในบาตรและมีดอกไม้ 1 ดอกตามเดิม

เราก็ฉันข้าวกันเสร็จ ข้าวคงฉันกันเวลาเดียว ถ้าถามว่า ข้าวฉันเหลือไหม ก็ต้องตอบว่า ข้าวนี่ได้เท่าไร ฉันหมดเท่านั้นไม่เหลือ ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ข้าวเทวดา ข้าวนางฟ้านี่ ให้เท่าไรเป็นการพอดี บางครั้งบางคราวให้แค่ทัพพี 2 ทัพพีก็ฉันอิ่มพอดี ให้ครึ่งบาตรก็ฉันอิ่มพอดี ให้ค่อนบาตร ก็ฉันอิ่มพอดี ฉันหมดพอดี แล้วก็อิ่ม ไม่รู้สึกอึดอัด มีความสบาย

หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า คุณทั้งสาม ต่อนี้ไปผมให้อิสระคุณ จงออกไปจากภูเขานี้แล้วไปมีกำหนด 7 วัน จึงกลับ ไปตามชอบใจของคุณ คุณจะไปที่ไหนก็ได้ ตามใจชอบ เมื่อเป็นวันที่ 8 ของวันที่สั่ง ให้กลับมาถึงถ้ำนี้ เราจะเดินทางต่อไป

ก็กราบลาหลวงพ่อปาน กับเจ้าของถ้ำ ถามท่านว่า ไปทางไหนดีครับ ท่านก็ชี้ไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ท่านบอกว่า ในด้านทิศนั้นมี บึงบอระเพ็ด เป็นบึงใหญ่มีน้ำใสสะอาด มีผักหญ้า ปลาเยอะ สัตว์ในป่าที่อาศัยน้ำในบึงบอระเพ็ดมีมาก จะได้ชมสัตว์สวย ๆ แล้วก็มีภูเขาย่อม ๆ อยู่หลายลูก จะอาศัยถ้ำก็ได้เพราะมีถ้ำย่อม ๆ อยู่ เป็นที่อยู่อย่างมีความสุข ถามท่านว่า ไกลไหม ท่านบอกว่า ถ้าคุณจะไป ผมจะไปส่ง แต่การไปส่งของผม ผมจะไม่เอาตัวไป ผมจะเอาใจไปส่ง และเวลาขากลับ นึกถึงผมก็แล้วกัน ผมจะไปรับ

ก็กราบลาท่านแบกกลดขึ้นบ่า ออกเดินทางกันทันทีเวลานั้นเวลาประมาณ 4 โมงเช้า ท่านพุทธบริษัทอาจจะสงสัยว่า จะร้อนแดดไหมเวลานั้นที่นั่นทั้งหมดเป็นป่าชัฏ เดินไปจริง ๆ ใช้เวลาจริง ๆ ไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ไปถึงบึงบอระเพ็ด ถ้าจะเดินกันเวลานี้ ใช้เวลา 2 วัน อาจจะไม่ถึงละมั้ง ทั้ง ๆ ที่ทุ่งเตียนแล้ว

เมื่อไปถึงบึงบอระเพ็ดแล้ว ก็ตรวจพื้นที่ว่า เราจะหาถ้ำลูกไหนเป็นที่อยู่กัน ก็ไปได้ชะโงกผาเป็นถ้ำไม่ลึก จะว่าเป็นถ้ำก็ไม่เชิง เป็นเขาชะโงกเป็นหลุมเข้าไปหน่อยหนึ่งพอที่จะอาศัย ก็หมายความว่า ถ้าฝนตกก็ไม่เปียก มีพื้นสูงจากพื้นดิน อาศัยกันอยู่คนละที่

เมื่ออยู่ที่ถ้ำนี้ก็มีความสุข เวลาตอนเย็น ๆ ก็ไปเดินเล่นใกล้ ๆ กับบึงบอระเพ็ด กลางคืนบ้าง กลางวันบ้าง ตอนเช้าบ้างก็มีสัตว์ต่าง ๆ มาอาศัยน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝูงช้างมาอาบน้ำ เล่นบ้าง สัตว์ที่น่ารักจริง ๆ ก็คือฝูงลิง กับกระต่าย เจ้าลิงนี่จะไปไหนมันก็ตามไปด้วย จำได้อยู่ตัวหนึ่ง เป็นลิงขาวเผือกใหญ่ เป็นหัวหน้า นอกนั้นก็เหมือนลิงธรรมดา ถ้าจะจำก็อาจจะจำได้ แต่มันก็เหมือนกัน จะบอกว่าจำได้ก็ไม่แน่นอนนัก จำลิงขาวเผือกใหญ่ 1 ตัวก็แล้วกัน เป็นหัวหน้าฝูง

เธอมักจะแสดงอาการมีความจงรักภักดี เอาผลไม้มาให้บ้าง มาล้อเล่นบ้าง มาล้อเลียนบ้าง เดินเล่นใกล้ๆ บ้าง บางทีนั่งเพลิน ๆ ก็มาสะกิดเล่นบ้าง พอลืมตาขึ้นมาเธอก็แหกตาหลอกเสียบ้าง อะไรบ้าง เป็นต้น นี่เรื่องของลิง

และอีกชุดหนึ่งก็พวกกระต่าย กับสุนัขจิ้งจอก ตามธรรมดาสุนัขจิ้งจอกจะไม่ค่อยยอมให้คนพบเห็น แต่สุนัขจิ้งจอกฝูงนี้ก็มาอยู่ใกล้ๆ จะส่งเสียงบอกสัญญาณ ถ้ามีสัตว์ใหญ่จะลงมาที่น้ำ สุนัขจิ้งจอกจะเห่า แล้วก็วิ่งเข้ามาหา กระต่ายก็เหมือนกันจะโดดเข้ามาหา ถ้ามีสัตว์ใหญ่มาในเมื่อเจ้า 2 พวก สุนัขจิ้งจอกก็ดี กระต่ายก็ดี มันกระโดดเข้ามาหา มานั่งใกล้ ๆ แสดงว่ามีสัตว์ใหญ่มาแล้ว แต่ว่าบรรดาสัตว์ใหญ่ทั้งหลาย บรรดาท่านพุทธบริษัท เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เขามากินน้ำ มาอาบน้ำของเขา เขามาหาความสุข แล้วเขาก็ไปกัน

ทีนี้ยามที่อยู่ถึงเวลา 7 วัน บรรดาท่านพุทธบริษัทลืมบอกไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินทางหลวงพ่อปานบอกว่าให้ทบทวนชีวิตในความเป็นมา ตั้งแต่อยุธยาถึงเขาชอนเดื่อ เราเคยเกิดมาแล้วกี่ครั้ง มีอะไรบ้าง ที่สัมผัสมา เกิดมามีชีวิต มีความสุข หรือมีความทุกข์ มีฐานะเป็นอย่างไร ให้ดูเอา คือว่าให้ใช้กำลัง 3 อย่าง คือ

1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติตัวเอง
2. อตีตังสญาณ เหตุการณืในอดีต
3. อนาคตังสญาณ เหตุการณ์ข้างหน้า

ใช้ญาณ 3 ณาณนี้เป็นเครื่องรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับอตีตังสญาณ เมื่อเดินไปเดินมา มีอาการสงบ ใจสบาย ๆ ก็ใช้ญาณเสียทีหนึ่ง

การใช้ญาณความรู้นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทเคยใช้และพิสูจน์มา มันมีอย่างนี้ ถ้าเราใช้ความรู้ของเราเอง มันผิดบ้าง ถูกบ้าง บางทีมันก็ถูกแบบเฉียด ๆ บางทีมันก็ถูกตรงเลย ทีเดียว ผิดก็ผิดไม่ไกลนัก บางครั้งถ้ามีอารมณ์หลวมตัวมาก นิวรณ์กวนใจจะผิดถนัด แต่ว่าถ้ามีที่ถาม มีท่านบอก มีท่านผู้รู้บอก (คำว่า ท่านผู้รู้ นี่ต้องหมายเอามาตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา จะเป็นท่านผู้ใดก็ตาม) ถ้าท่านผู้รู้บอกแล้วจะตรงตามความเป็นจริงเสมอ

ฉะนั้นเรื่องนี้หลวงพ่อปานจึงแนะนำบอกว่า จงอย่าเก่งแต่ผู้เดียว จงอย่าทำตนเป็นคนเก่ง ถ้าเราทำตนเป็นคนเก่ง มันจะไม่เก่ง ถ้าเราอาศัยคนอื่น ให้ผู้อื่นเขาเก่งกว่าเรา เราจะมีความสุข มีความสุขด้วย จิตก็เป็นสุข มีความสบายใจ ความผิดเพี้ยนก็ไม่มี จะได้รับผลตรงตามความเป็นจริง

ทั้ง 3 คนก็นั่งทบทวนกันมาว่า เราเคยเกิดร่วมกันมากี่ชาติ ๆ มีไหม มีชาติไหนบ้างที่เคยเกิดแยกกันอยู่ ก็มีบางชาติเกิดกันคนละเมือง เป็นเจ้าเมืองกันคนละเมืองก็มี บางชาติเกิดเป็นลูกเศรษฐี บางชาติก็เกิดเป็นลูกคนจน แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ถึงกับขอทาน ถ้าจะนับถอยหลังไปตั้งแต่ เอากันตั้งแต่สมัยเบื้องต้นอยุธยา สุพรรณต่ออยุธยานะ สุพรรณบวกอยุธยา นี่ก็เกิดเสียหลายครั้ง จะนับได้ก็สัก 5-6 ครั้งละมั้ง ถ้าจะบอกสมัยก็ไม่ดีนะไม่บอกสมัยดีกว่า เอากันแค่ต้นอยุธยา รองลงมาก็เกิดตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ๆ ไปไหนก็ไม่พ้นอยุธยา เพราะจิตมันมีความผูกพันอยุธยาอยู่

และความเป็นอยู่ของชีวิต ความเป็นอยู่ของชีวิตจริง ๆ ก็เป็นการสร้างบาป เกิดทุกชาติสร้างบาปทุกชาติ และก็สร้างบุญทุกชาติ บาปกับบุญนี่ จริง ๆ มันไม่เข้าดุลย์กัน บาปมันมากกว่าบุญในชีวิตตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็ก ยันแก่ สร้างทั้งบุญและก็สร้างทั้งบาป เมื่อยามว่างก็ทำบุญ ยามเกิดศึกสงครามก็ทำบาป ต้องรบ ก่อนที่จะรบกับข้าศึก ก่อนที่จะเข่นฆ่าข้าศึกก็ต้องฆ่าเพื่อกันเสียก่อน ฆ่าผู้มีคุณ (ผู้มีคุณ ก็คือ วัว ควาย ช้าง ม้า เป็ด ไก่ ช้างไม่ได้ฆ่า ม้าไม่ได้ฆ่า เป็ดไก่ฆ่า ปลาฆ่า) เอาเป็นอาหารของทหาร เมื่อรบกัน ก็ต้องตายด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายเรา และฝ่ายเขา เมื่อเสร็จสงครามแล้วก็มาสร้างบุญกันต่อไป

ในขณะที่สร้างบุญก็สร้างบาป เพราะอะไร อะไรบ้างที่จะเป็นความสุขของปวงชนที่เป็นบริวารก็จะทำทุกอย่างให้เกิดความสุข แม้แต่บางครั้งต้องแนะนำให้เขาทำบาป ประทานอภัยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานั้นยังไม่ต้องเลี้ยงปลากัน การเลี้ยงปลาฆ่า มีความจำเป็นน้อย แต่เรื่องฆ่าสัตว์ มีสัตว์ป่า ต้องการจะกินเก้งบ้าง ต้องการจะกินละมั่งบ้าง ต้องการกินหมูป่าบ้าง เรื่องการกิน การเลี้ยงคนนี่บรรดา

ท่านทั้งหลาย มันก็ต้องฆ่าสัตว์ สัตว์มันตายให้ไม่ทัน อันนี้ก็บาป ยามปกติก็บาป ยามสงครามก็บาป แต่ยามปกติมีทั้งบาป ทั้งบุญ สร้างวัดวาอาราม สถานที่อยู่ เป็นที่บูชาซึ่งกันและกัน สร้างสถานสถูปเป็นที่พักของบรรดาท่านผู้ทรงคุณธรรม สมัยนั้นยังคงไม่เรียกกันว่า สร้างวัด รวมความว่าทานก็ให้ ศีลก็รักษา แต่เรื่องปาณาฯนี่สงสัย รักษาศีลปาณาฯ จริง แต่สั่งเขาฆ่าสัตว์ ทีนี้โทษปาณาฯ มันจะพ้นไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็ต้องถือว่า ไม่พ้น โทษปาณาติบาตมันก็มาก

เมื่อต่างคนต่างนึกถึงเรื่องอะไรได้ก็ถามใช้วิธีถามท่านผู้รู้ ก็มีท่านผู้รู้ท่านเดียวที่มาบอก ท่านบอกว่า ถ้าผมบอกคนเดียวแล้ว ไม่จำเป็นต้องถามคนอื่น (บอกตรง ๆ ดีไหมก็บอกกันตรง ๆ มันจะตายหรือ) ท่านผู้รู้จริงๆ ก็คือ พระอินทร์ท่านมาในรูปของคนธรรมดา ๆ นุ่งขาว ห่มขาว ใช้สไบเฉียง มีสภาพเรียบร้อย ท่านก็ไม่ได้บอกว่า ท่านเป็นพระอินทร์ (มารู้ว่าเป็นพระอินทร์จริง ๆ ต่อเมื่อหลวงพ่อปานบอก) ท่านบอกว่า สมัยนั้น คุณเกิดเป็นอย่างนั้น ดูภาพตามนี้ ก็ดูเหมือนดูโทรทัศน์ เหมือนดูของจริง

บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ การปกครองเป็นอย่างนี้ พ่อคุณชื่อนั้น แม่คุณชื่อนี้ คุณชื่อนั้นเมียชื่อนั้น ลูกชื่อนี้ ว่ากันเรื่อยไป แล้วก็ตาย ก่อนจะตายก็ทำบุญอยู่ อาศัยที่การทำบุญจิตใจเวลาจะตาย จิตมันก็นึกถึงบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่เกาะจริง ๆ เวลานั้น ตอนต้นโน้น ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า (ถ้าจะพูดกันไปก็หมายความว่า ก่อนสมัยพุทธกาล ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า) ก็นึกถึงเทวดาที่เคารพ นึกถึงพรหมที่เคารพ เขาสอน เทวดา กับพรหมมีการให้ทาน มีการรักษาศีลตามสมควร อาศัยทานบ้าง รักษาศีลบ้าง มีความเคารพในพรหมเทวดาบ้าง เวลาตายแล้ว บาปก็ตามไม่ทัน ไปสวรรค์ ไปพรหมทุกที และต่อมาไม่ช้าก็มาเกิด พวกเราทุกคนก็จด บันทึกหัวข้อไว้ เพราะต้องกลับมารายงานหลวงพ่อปาน

รวมความว่า อาศัยการระลึกชาติ แต่ความจริงไม่ได้ระลึกจริง เป็นการถาม ถามท่านท่านตอบ พร้อมกับภาพ ภาพไม่ใช่ภาพเขียนไม่ใช่ภาพในจอโทรทัศน์ ภาพเป็นเมืองเวลานั้นจริง ๆ เลย เป็นบ้านเป็นเมืองชัด เราเป็นอะไรบ้าง ก็เห็นตัวเราทำโน่นทำนี่ ชี้นั่นชี้นี่เห็นหมดทุกอย่าง เหมือนกับดูโทรทัศน์เหมือนกัน แต่เห็นเป็นของจริง เต็มทุ่งเต็มท่าไปหมด การยกทัพจับศึก ไปตีกับข้าศึก ดีไม่ดี เขาไม่มาตีเรา เราก็ไปตีเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราระแวงเกรงว่าเขาจะเป็นศัตรูของเรา ถ้าเราไม่ไปตีเขา และเขามีความเข้มแข็งขึ้น เขาก็อาจจะตีเรา เราอาจจะเสียท่า เราก็ไปตีเขาก่อน นี่มันก็เรื่องของบาป

นั่งดูภาพแล้วก็สลดใจ ท่านก็มาแนะนำให้ทั้ง 7 วัน เวลาที่ท่านมาจริง ๆ ก็เวลาเที่ยงหลังจากเที่ยงแล้วท่านมา ท่านบอกว่า ก่อนเที่ยงท่านไม่มีเวลาว่าง ขอโทษเถอะ ลืมบอกความจริงไป คือ ท่านผู้บอกนั้น ท่านไม่ได้บอกว่า ท่านเป็นเทวดา ท่านบอกว่า ท่านเป็นคนแถวนี้ ท่านอยู่ในป่า แต่ท่านมีความรู้เรื่องเมืองต่าง ๆ ความเป็นมาของพื้นที่ทั้งหมด ท่านรู้หมด ท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้มีญาณวิเศษ ทีนี้ก่อนที่จะให้ท่านบอก ก็พิสูจน์บอกว่า เอ้า..ถ้าอย่างนั้นเห็นหมด ต้องการเห็นอะไร ๆ เห็นหมดทุกอย่าง นี่เป็นการพิสูจน์กัน แล้วท่านมาบอกให้ฟังเราก็จด จดแล้วก็มีความสลดใจ

ท่านก็แนะนำบอกว่าการที่อาจารย์ของคุณแนะนำให้ใช้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ดี อตีตังสญาณกีดี อนาคตังสญาณก็ดี ทั้งหมดนี้รู้สึกว่าท่านมีความฉลาดมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับอตีตังสญาณ ทั้ง 2 ประการ เป็นการตัดกิเลสที่มีความสำคัญ ที่เรียกกันว่า สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา

ท่านก็ชี้ให้ดูว่า ชาตินี้ท่านเกิดเป็นอย่างนั้น ชาตินี้เป็นลูกคนจน เห็นไหม มีความลำบากขนาดนี้ จนแสนจน ไม่ค่อยมีจะกิน แต่ก็คนสมัยนั้น ถึงแม้ว่าจน ก็ไม่ลำบากเหมือนคนสมัยนี้ เพราะของหาง่าย เข้าป่าเอาหน่อไม้เอาเผือก เอามันมา ประเดี๋ยวก็มีกิน ผลไม้ก็มีเยอะแยะ ผักปลาก็เยอะแยะหาง่าย เวลาหาปลาก็ไม่ต้องมีแหไม่ต้องมีอวน ไม่ต้องมีเรือตังเก ใช้มือจับ เพราะคนน้อยกว่าปลา ใช้มือจับ ๆ 2-3 ครั้ง ก็พอกินพอใช้ พอกินแล้วก็นำมากินกัน กินปลาก็กินบาป แต่ว่าทุกครั้งทุกสมัย จิตใจประกอบไปด้วยกุศล ทำบุญหนัก การทำบุญหนักตามฐานะ มีการเคร่งครัดในบุญในกุศล นิยมให้ทาน นิยมไหว้เทวดา นิยมไหว้พรหม เวลานั้นยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า

ต่อมาภายหลัง มาสมัยที่รู้จักพระพุทธเจ้าแล้ว (คำว่า รู้จักพระพุทธเจ้าก็หมายความว่า ประเทศไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา) ตอนนี้ก็ยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ท่านก็แสดงภาพให้ดูว่า สร้างวัดที่ไหนบ้าง ทำอะไรบ้าง ที่ลพบุรีนี่ (ให้ดูภาพเมืองลพบุรี ที่เคยผ่านมา) ลพบุรีกับอยุธยา เคยเป็นอะไรบ้าง เคยไปรบทัพจับศึก เคยเป็นแม่ทัพนำกำลังทหารไปรบข้าศึกบ้าง และอาจจะเป็นอะไรบ้างก็ตามเถอะอย่าบอกเลย คือว่าเกิดมาหลายครั้ง แต่ละครั้งก็เจอะสงครามทุกครั้ง ในเมื่อพระราชาสั่งรบ ก็ต้องไปรบ เต็มใจรบหรือไม่เต็มใจรบก็ต้องไปรบ ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ก็ถือว่า เต็มใจไปรบ เพราะอะไร เพราะว่ารบเพื่อความเป็นอิสรภาพ

และอีกประการหนึ่งถูกพวกหักหลัง อย่างเมืองที่บอกว่าเป็นเมืองขึ้นยอมเป็นลูกน้องแล้วมันก็กลับจะเป็นลูกพี่ แข็งเมืองขึ้นมา อย่างนี้ต้องไปตี มันก็มีความจำเป็น ดูภาพอย่างนั้นแล้ว ในที่สุดก็ตาย เกิดแล้วก็ตายทุกที แต่ก็น่าชอบใจกำลังใจของตัวเองว่า สะสมบาปไว้มหาศาล ยังเป็นหนี้บานเจ้า เวลานี้ดูบาปแล้วกองพะเนินเทินทึก แต่ว่าเวลาจะตายเกาะบุญจุดใดจุดหนึ่ง ที่สั่งสมบุญไว้ก็มาก เกาะบุญขึ้นสวรรค์ไปทุกที

ก็รวมความว่า อยู่ที่นั่น 7 วัน เดินไปเดินมา ป่าในสถานที่นั้นก็เป็นดงรัง เป็นต้นรังสูงสะพริ้ง ป่ารังนี่สวย ไม่มีอะไรเกะกะข้างล่าง เหมือนกับเสาตั้งขึ้นไป มีใบอยู่บนยอดมีความสงบสุข บางครั้งก็เดินไปพบฝูงช้าง ช้างก็ใจดี ไปพบฝูงช้างเข้า ช้างหัวหน้าเป็นช้างสีดอคุกเข่าลงข้างหน้า ยกงวงขึ้น แสดงความคารวะ ทักท่านเหมือนกับไหว้ยกมือไหว้ ช้างลูกน้องต่าง ๆ เขาก็ทำเหมือนกัน ถ้าบางคราวเดินไปไกลเกินไป หิวน้ำ ก็บอกว่า พ่อปู่ ที่ไหนมีหนองน้ำบ้าง น้ำใส ๆ กำลังหิวน้ำ น้ำในกระติกหมด ช้างที่เป็นหัวหน้าหันมา คุกเข่าเทาแล้วก็ลุกขึ้น เดินน้ำหน้าไป พอถึงที่บ่อน้ำ ก็ใช้งวง ชี้ให้ดู เราไปที่ตรงนั้นก็ปรากฏว่าพบหนองน้ำ ก็ได้กินน้ำตามความต้องการ นี่ช้างก็เป็นมิตรที่ดี

ทั้งเสือ ทั้งช้างไม่เคยมีสัตว์ประเภทไหนคิดจะทำอันตราย เสือก็เจอะ เขาก็เดินเฉย ๆ เดินเหมือนกับเราเดินหลีกแมวบนบ้าน เสือ กับแมวรูปร่างคล้ายคลึงกัน แต่เสือโตกว่าเราเดินไป เสือเดินมาเสือก็เดินเฉย เราก็เดินเฉย ถ้าถามถึงความรู้สึกเวลานั้นก็มีความรู้สึกอย่างเดียวว่า เวลานี้เราพร้อมแล้ว พร้อมที่จะไปนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ จิตใจเราพร้อมจะไปนิพพานอย่างเดียว

เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จากปุพเพนิวาสานุสสติญาณก็ดี อตีตังสญาณก็ตาม มันมีความเบื่อในความเกิดเสียจริง ๆ มันเกิด แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ในวาระถึงความเป็นใหญ่เป็นโต แหม..ท่าทางคึกคักห้าวหาญข้างนอกท่าทางแกร่ง แต่เข้ามาในบ้านบางที จ๋อง หมดเรี่ยวหมดแรง นอนเขลง ใจก็เหนื่อยกายก็เหนื่อย และความป่วยไข้ไม่สบายมันก็ไม่เลือก คนฐานะเช่นใดมันก็เอา และความแก่ก็ไม่เลือกคน ความตายก็ไม่เลือกคน

เป็นอันว่าการเห็นสัตว์คิดว่าสัตว์จะทำร้าย จึงไม่มีความรู้สึกอะไร ความรู้สึกเวลานั้นคิดว่า ถ้าตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว ทั้ง ๆ ที่กำลังปรารถนาพุทธภูมิ เรื่องการปรารถนาพุทธภูมินั่นเป็นอารมณ์ แต่อารมณ์ที่แท้จริงของเราพุทธภูมิก็ต้องการนิพพาน คือ คนต้องการเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องการไปนิพพาน แต่ว่าต้องการจะสอนคนอื่นก่อน ทีนี้เราที่หลวงพ่อปานชวนให้ปรารถนาพุทธภูมิ เราก็เอาด้วย เอาอย่างคนตามท่านมันก็ไม่แน่นอนนัก จิตใจก็หวังพุทธภูมิ แต่อีกจิตใจหนึ่งว่า ถ้าไปนิพพานได้เมื่อไร ก็ไปเมื่อนั้น เพราะครูที่สอนมาท่านก็สอนท่านแนะนำให้หวังนิพพานเป็นที่ไป การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่รู้จักนิพพานก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้

ก็รวมความว่า กำลังใจเป็นปกติใจเป็นปกติจริง ๆ เห็นสัตว์ทุกประเภท จิตมันเฉยหมดก็เหมือนกับเห็นมิตรที่ดี ถ้าถามว่า ใช้คาถาอะไร ก็ตอบว่า คาถาที่ใช้จริง ๆ คืออารมณ์ใจ ทรงพรหมวิหาร 4 นี่เว้นไม่ได้ พรหมวิหาร 4 นี่ต้องทรงทุกลมหายใจเข้า - ออก ขณะใดที่ตื่นอยู่ จิตจะทรงพรหมวิหาร 4 ตลอดเวลา

ถ้าถามว่า พรหมวิหาร 4 กันอะไรได้ไหมก็ต้องขอตอบว่า พรหมวิหาร 4 กันอารมณ์กลุ้ม อารมณ์จะไม่กลุ้มเพราะความโกรธ อารมณ์จะไม่กลุ้มเพราะความอิจฉาริษยา อารมณ์จะไม่กลุ้มเพราะเหตุปกติธรรมดา คือ ร่างกายป่วยไข้ไม่สบาย ถืออุเบกขาเข้าไว้ อารมณ์จะไม่กลุ้มในเมื่อเจอะสัตว์ร้าย ถ้าคิดว่าสัตว์มันจะกิน ก็เฉย ตามใจมัน ให้ร่างกายเป็นอาหารมัน แต่บังเอิญสัตว์มันก็ไม่กิน

บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าถึงกำหนด 7 วัน ก็นึกว่าจะกลับพอดี ท่านเจ้าของถ้ำจะไปรับ หรือไม่ไปรับก็ตาม แต่ว่าท่านผู้ทรงคุณ นุ่งขาวห่มขาว ท่านถามว่า จะกลับใช่ไหมก็กราบเรียนว่า ถึงเวลาวันที่ 8 แล้ว ต้องกลับ ฉันเช้าแล้วกลับ ท่านบอก ไม่เป็นไร นิมนต์ฉันเช้าเถอะ ผมจะส่งท่านเวลาที่ท่านฉันข้าว พอฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่ามานั่งอยู่ที่ถ้ำชอนเดื่อ กำลังฉันข้าวก็คิดว่า อยู่ที่ใกล้ ๆ บึงบอระเพ็ด แต่ว่าพอฉันข้าวเสร็จปรากฏว่า นั่งอยู่ที่ปากถ้ำชอนเดื่อ

หลวงพ่อปานเห็นท่านก็ยิ้ม ท่านบอก เสียท่าแล้วหรือ บอก ใช่ครับ ท่านถามว่าคนนุ่งขาวห่มขาว ที่ไปสอนคุณ คุณทราบไหมว่าใคร ผมไม่รู้ครับ ท่านถามว่า สังเกตลูกตาหรือเปล่า บอกสังเกตครับ แต่ไม่มีเวลาสนใจในท่าน ต้องการอย่างเดียวคือ คำที่ท่านแนะนำแล้วก็บันทึก ก่อนที่ท่านจะมา ผมก็บันทึกสิ่งที่แล้วมาแล้ว เวลาท่านมาพูดให้ฟัง ท่านแนะนำทั้งศีล ทั้งธรรม และทั้งเรื่องราวในอดีต ก็รับฟังท่าน หลวงพ่อปานท่านบอก นั่นคือพระอินทร์ นะ พระอินทร์คือใคร พวกคุณก็ทราบแล้วใช่ไหม ทุกคนก็บอกว่า ทราบ

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ธุดงค์ไปนครสวรรค์


ท่านพุทธบริษัททั้งหลายวันที่บันทึกเป็น วันที่ 16 สิงหาคม2533 วันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องธุดงค์ การไปธุดงค์คราวนี้ออกจากตาคลีไปนครสวรรค์

การเดินทางเวลานั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท เดินทางแบบสบายๆ เพราะเป็นป่าใหญ่ป่าทึบ การเดินทั้งหมด เข้าป่าทั้งหมดเพราะว่าไม่ต้องการพบบ้าน พอไปถึงเขตนครสวรรค์ ก็ไม่ทราบว่าตำบลอะไรมันเลยเมืองนครสวรรค์ไปใกล้กำแพงเพชร หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลดเมื่อปักกลดเรียบร้อยแล้วก็หาน้ำอาบกันหาบ่อน้ำอาบหลวงพ่อปานท่านมีความชำนาญมากท่านบอกว่าที่อาบน้ำบ่อน้ำมีทางโน้นเป็นน้ำใสท่านเคยมา

เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็บอกว่าทุกองค์พักให้หายเหนื่อยเมื่อพักหายเหนื่อยดีแล้วก็เขียนระยะทางที่เราผ่านมาบันทึกภาพใช้อตีตังสญาณใครจะพบใครสมัยไหนไม่มีความสำคัญใครเห็นอะไรพ บอะไรเขียนมาแล้วฉันจะพิสูจน์วันพรุ่งนี้เช้าฉันจะรับมาพิสูจน์ ( นี่เป็นปกติธรรมดาบรรดาท่านพุทธบริษัทการเดินทางธุดงค์ท่านไม่ต้องการให้เดินเฉยๆ ให้ใช้กำลังฌานกำลังฌานที่จะพึงได้เป็นการฝึกกันไม่ใช่เป็นผู้ชำนาญ )

ทุกคนก็ต่างคนต่างเขียน เมื่อเข้ากลดของตัวแล้ว ก็เขียนเท่าที่จำได้ หรือนึกออกแต่ส่วนใหญ่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขียนนี่ไม่ได้ใช้กำลังใจของตนเอง ถามเทวดาที่เดินมาด้วย เพราะการเดินทางมา เทวดาท่านก็มาด้วย เทวดานี่ท่านมีความเมตตาปรานีจริงๆเห็นท่านตลอดเวลาทำให้เราไม่เหงา เดินถึงที่ตรงนั้นถึงที่ตรงนี้ท่านก็ชี้ว่าในสมัยนั้นมีอะไร สมัยนี้มีอะไร สถานที่ตรงนี้เขารบราฆ่าฟันกัน ที่นี่มีบ้านมีเมือง มีใครเป็นบุคคลสำคัญท่านก็เล่าให้ฟังเรื่อย เวลาเดินกันมาจริง บรรดาท่านทั้งหลายทั้ง 4 องค์นี่ เงียบกริบ ไม่มีใครพูดกันที่ไม่มีใครพูดกันต่างคนต่างฟังเทวดาท่านเล่าให้ฟัง และบางสมัยเรา เองก็เกิดแถวนั้นเหมือนกัน เดินทางผ่านแถวนั้นเหมือนกันและในสมัยนั้นมีสภาพเป็นเป็นอย่างไรท่านก็ชี้ให้ดูภาพ ทำภาพเหมือนกับเราดูของจริง

เมื่อต่างคนต่างเขียนเสร็จก็ทำวัตรสวดมนต์กันตามธรรมดาทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้อะไรไม่มาก ส่วนใหญ่ใช้การเจริญกรรมฐานให้หนัก การเจริญกรรมฐานเป็นของปกติถ้าถามว่าทำอย่างไรก็ไม่ต้องถามเพราะกรรมฐานก็มีเป็นประจำอยู่แล้ว

อันดับแรกต้องมีพรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร4นี่ต้องเป็นฌานสมาบัติ
ประการที่ 2 นิวรณ์ทั้ง 5 ประการอย่าให้เข้าประจำใจ ถ้าขืนปล่อยให้นิวรณ์ทั้ง5ประการเข้าประจำใจเช้าจะอดข้าว
ประการที่ 3 เราก็นั่งใคร่ครวญพิจารณาร่างกายตัวเอง ว่าร่างกายนี่มันมีสภาพตายในที่สุดเมื่อเราตายแล้วร่างกายไม่ได้ไปด้วยจิตใจมันไปที่เรียกว่าอทิสมานกาย

ก็ย่อๆ แบบนี้ตามธรรมดาที่ผ่านมาเพราะว่าเคยกินข้าวจากเทวดาแบบไหนก็ทำแบบนั้นเพราะกลัวอดถ้าถามว่านักพรตคือนักเจริญกรรมฐานกลัวอดด้วยหรือก็ต้องตอบว่ากลัวอดแน่ๆทั้ งนี้เพราะอะไรก็เพราะว่าร่างกายมันต้องการอาหาร

ในเมื่อถึงรุ่งเช้า ก็เอารายงานไปส่งหลวงพ่อปาน พอส่งท่านแล้ว ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไปตามธรรมดาๆ กำหนดว่า จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้นไม้ต้นโน้น เราจะรับบิณฑบาตถ้าไม่มีใครใส่บาตร เดินไปแล้วเดินกลับ เราจะอยู่ด้วยธรรมปีติ ก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆว่า ธรรมดาก็มีคนใส่ให้ คนที่ใส่ให้ก็ไม่ใช่รูปร่างเหมือนเทวดา เป็นรูปร่างชาวบ้าน แต่ว่าสังเกตข้าวข้าวเหมือนกันทุกวัน ข้าวสีเหลืองน้อยๆ รสหวานหน่อยๆ มีดอกไม้สวยๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็ไม่ควรจะซ้ำซากกัน

พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานก็เรียกประชุม ท่านก็แนะนำด้านวิปัสสนาญาณว่าสมถภาวนา น่ะใช้กันจนชินได้ดีแล้ว วิปัสสนาญาณอย่าทิ้ง จงอย่าคิดว่า เราจะได้กลับวัดคิดไว้เสมอว่าวันนี้มันอาจจะตายไว้เสมอ ถ้าเราตายเราจะไปไหน ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของดีมันของเลว มันเป็นเครื่องนำมาแห่งความทุกข์ อย่าไปสนใจในมันให้มากเกินไป ร่างกายจะตายที่ไหน ก็ปล่อยมันตายที่นั่น เราจะไปตามทางของเรา เราจะไปสวรรค์ หรือไปพรหมโลก หรือจะไปนิพพานก็ตามใจ

หลังจากที่ท่านอบรมตามสมควร ท่านพูดดีมาก หลวงพ่อปานพูดเพราะ อธิบายจนเข้าใจแจ่มแจ้งทุกอย่าง ต่างคนก็ต่างพักในกลด เข้ามาในกลดสักครู่หนึ่ง เสียงหลวงพ่อปานก็ร้องบอกว่า เอ้า.ใครอยากจะเดินชมอะไรบ้าง ก็ไปได้ตามอัธยาศัย ทุกองค์ทั้ง 3 คนก็ไปกราบท่าน ขออนุญาตเดินเข้าป่า
ตอนเดินเข้าป่านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เดินเข้าไปสักครู่หนึ่ง ก็พบต้นไม้ใหญ่ๆ มีต้นยางบ้าง โดยมากเป็นป่าสัก ยางก็มีน้อยกว่าสัก ต้นสักมีมาก เป็นต้นเปลาๆ ข้างล่างเตียนโล่งสบายๆ เดินไปแบบสบายๆ พอไปถึงต้นไม้ต้นสักต้นหนึ่ง มีแสงแดดส่องลงมาบ้างก็มีเสือดำนอนอยู่ 2 ตัว

ยังนึกในใจว่า เจ้าหมาดำนี่ ทำไมตัวมันใหญ่นัก ตัวมันยาวนักคล้ายเสือ ( แต่ความจริงนึกว่า หมา ยังไม่รู้จักคำว่า เสือดำ รู้จักแต่เสือลายพาดกลอนบ้างเสืออะไรต่ออะไรบ้าง เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่รู้จักจริง คำว่า เสือดำ ไม่มีใครเขาพูดให้ฟัง ก็คิดว่าเป็นสุนัขธรรมดาๆ หรือเป็นหมาป่าธรรมดา ) ก็คิดว่า คงไม่เป็นไร พอเข้ามาใกล้ เจ้าเสือดำมองดู มันก็ลุกขึ้นมองเฉยๆ แล้วก็เดินไปเฉยๆ ไม่แสดงอาการท่าทางดุร้าย จึงนึกในใจว่าหมา 2 ตัวนี้ มันเหมือนเสือจริงๆ แต่หน้าตาทำไมเหมือนเสือ แต่พวกเราก็คิดว่าเป็นหมา

แล้วก็เดินทางต่อไปอีก คราวนี้ก็ไปพบคนๆ หนึ่ง นุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนา ชักลูกประคำ ก็คิดในใจว่า นี่ฆราวาสเขาก็มาธุดงค์เหมือนกัน แล้วท่านผู้นั้นเองก็ไม่มีบาตรไม่มีอะไรทั้งหมด มีแต่ผ้านุ่ง กับผ้าห่ม จึงนึกในใจว่า ท่านดีกว่าเรามาก เข้าไปใกล้ท่านนึกอยากจะกราบท่าน แต่ก็กราบไม่ได้เพราะผ้ากาสาวพัสตร์ แต่จิตใจนึกกราบท่านด้วยความเคารพ พอเข้านั่งใกล้ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านถามว่าพวกท่านมาธุระอะไร ก็เรียนว่าอาตมามาเดินเล่น ท่านถามว่า เดินเล่นนี่ จิตคิดอย่างไร ก็ตอบท่านว่าจิตคิดถึง พุทโธ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ท่านก็บอกว่า ดีแล้ว อย่างนั้นก็ดีแล้ว เห็นภาพพระพุทธเจ้า แล้วคิดไหมว่า มันอาจจะตาย ก็เลยบอกว่า คิดตั้งแต่เช้า ท่านบอกว่า เรื่องความตายนี่ ควรจะคิดไว้เสมอๆ จะได้มีความมั่นใจในพุทโธ

เมื่อท่านจะผ่านมาหาผม ท่านเจอะสุนัข 2 ตัวไหม บอกกับท่านว่า เจอะท่านถามว่าสีอะไร ก็ตอบว่า สีดำ ท่านถามว่า คุณเข้าใจว่ามันเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือเป็นสุนัขป่า หรือว่าเป็นสุนัขอะไร บอกให้ทราบได้ไหม ก็เลยบอกว่า บอกไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้จักสุนัขแบบนี้ รูปร่างหน้าตามันคล้ายเสือ ท่านก็เลยบอกว่า

นั่นแหละ เขาเรียก เสือดำ เจ้าเสือดำนี่ มันดุกว่าเสือลายพาดกลอนมาก ที่พวกคุณทั้ง 3 ผ่านมาได้เพราะอาศัย พรหมวิหาร 4 และพุทธานุสสติ ฉะนั้นของ 2 อย่างนี้ จงอย่าลืม ถามท่านว่า ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ตอบว่า ที่อยู่ในเมืองมนุษย์ของผมไม่มี

พอท่านบอกเท่านั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นั่งจ้องหน้าท่าน ท่านบอก เอ้า..ดูนานๆ สิว่า ตามันกระพริบไหม (ก็เป็นอันว่า ตาไม่กระพริบ) ท่านถามว่า ในเมื่อท่านเห็นว่าตาผมไม่กระพริบ ท่านเข้าใจว่าผมเป็นอะไร ทีนี้กลิ่นตัวของท่านสิ บรรดาท่านพุทธบริษัท กลิ่นตัวคล้ายๆ กับธูปหอม ถ้ากลิ่นแบบนี้เป็นกลิ่นของพรหม ถ้ากลิ่นตัวเทวดาแล้วเป็นกลิ่น เหมือนดอกไม้ดอกไม้สด หรือกระแจะ คล้ายคลึงกันทั้ง 2

อย่างก็เลยตอบท่านว่า ท่านคือพรหมใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ใช่ ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน
ท่านก็ตอบว่า ผมคือ สหัมบดีพรหม ก็ตกใจ นึกอยากจะไหว้ท่าน ท่านบอกว่าเอาแค่นึกนะ (พอนึกอยากจะไหว้ท่าน ท่านบอกเลยว่า เอาแค่นึกนะ) อย่าไหว้นะ เพศอย่างนี้ ไม่ควรจะยกมือไหว้ฆราวาสก็ถามท่านบอกว่า ท่านมานั่งนี่ท่านมีความประสงค์อะไร ท่านบอกว่า ผมรู้ว่าคุณทั้ง 3 องค์จะมาที่นี่ ก็ถามว่า แล้วมีอะไรจะบอกไหม ท่านบอกว่า ผมจะบอกกับพวกคุณอยู่อย่างเดียว คือ ตั้งใจจะบอกว่า ดินแดนที่คุณเดินผ่านมานี่ คุณเกิดมาแล้วหลายครั้ง หลายชีวิต เอากันตั้งแต่สมัยสุพรรณบุรีก็ได้ สมัยสุโขทัยก็ได้ สมัยเชียงแสนก็ได้ ท่านผ่านมาหลายชีวิตท่านเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดมาหลายชีวิตแต่ละชีวิตของท่านไม่ได้มีความสุข

ก็ขอดูภาพๆ หนึ่งเป็น สมัยเชียงแสน สมัยนั้นเป็นภาพที่มีความแร้นแค้นมากที่สุด เพราะพ่อถูกขอมขับเข้าไปอยู่ป่า มีความอดอยากมาก แต่ทว่าอาศัยมานะทิฏฐิ และจิตใจเป็นคนไทย เมื่อโตขึ้นมาก็รวบรวมกำลังไพร่พล (ใช้คำว่า ไพร่พล ก็ไม่ถูก รวบรวมกำลังชาวบ้านด้วยกัน เป็นชาวบ้าน) ตั้งเป็นกองทัพ พอถูกพวกขอมรุกรานหนัก ข่มเหงทุกอย่างลูกเขาเมียใคร ต้องการเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น

ทรัพย์สินของใคร ต้องการเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้นถ้าไม่ให้ก็ทำร้ายร่างกายเสียบ้างฆ่าเสียบ้างไม่มีความผิดตามกฎหมายขอม เขาถือว่า คนไทยไม่ต้องการให้มีชีวิตอยู่ เขาต้องการทำลายคนไทยทั้งหมด ก็มีความจำเป็น เมื่อถูกกดหนักก็ต้องเด้งขึ้นต่อสู้ แล้วในที่สุด ชีวิตนั้นก็ตาย ไม่ใช่รบกันตายรบชนะขอมแล้ว อยู่นานแล้วก็ตาย

ต่อมาก็เกิดใหม่อีกก็เกิดโผล่ขึ้นที่ สุโขทัย ขึ้นมาที่สุโขทัย โผล่ขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็ตายอีก คราวนี้ตายเป็นพระ แล้วต่อมากโผล่ขึ้นมาอีก โผล่มาในเขตของสุโขทัยเหมือนกันแล้วก็มา สุพรรณบุรีแล้วก็มาอยุธยา นี่ตามกันมาตามพวกกันมานะ แล้วในที่สุด ก็มาถึง กรุงเทพฯ ในที่สุดก็มาถึงชีวิตสุดท้าย ตอนนี้
รวมความดูแล้ว ดูทุกสมัยที่เกิด ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกัน และกันรุกรานแผ่นดินซึ่งกัน และกัน แย่งแผ่นดิน แย่งอำนาจแย่งความเป็นใหญ่ แต่จะใหญ่ขนาดไหน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกัน คิดแล้วก็สลดใจ จึงกราบเรียนท่านว่า ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ท่านก็เลยบอกว่า เข็ดในการเกิดหรือยัง ก็ตอบท่านบอกว่า เข็ดในการเกิดแล้ว

ท่านถามว่า เมื่อก่อนบวชเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าเมื่อก่อนบวช ชีวิตเมามันมาก มีความประมาทในชีวิตมาก ไม่เคยคิดว่าจะตาย เห็นคนอื่นเขาตาย ก็คิดว่าเขาตาย ไม่ใช่เราตาย เห็นคนอื่นเขาแก่ ก็คิดว่า เขาแก่ คิดว่าเราไม่แก่ ทั้งๆ ที่ ตัวเราเคยมีการป่วยไข้ไม่สบาย แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความป่วยไข้ไม่สบาย คิดว่าตนเองมีความสุขทั้งๆที่มีความเหนื่อยยาก ต้องทำการงานเสี่ยงชีวิต ทุกอย่างมีความเหน็ดเหนื่อย ทุกอย่างมีความทุกข์ ทุกอย่างมีความแร้นแค้น ทุกอย่างมีความขัดข้อง แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความทุกข์เวลานี้รู้จักความทุกข์แล้ว ท่านก็บอกว่า เป็นความดีคิดอย่างนี้เป็นความดีอาจารย์ของท่านน่ะ ท่านรู้ทุกอย่างนะที่ท่านปล่อยให้ท่านมาเที่ยวเพราะท่านทราบว่าจะมาพบกับผมที่นี่ผมบอกอาจารย์ของท่านว่า ผมจะมาคอยท่านที่นี่ จะอธิบายให้ฟัง

แล้วท่านก็ชี้ให้ดูสภาพชีวิตของคน ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ละสมัยๆ ดูแล้วก็เพลินการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันแต่ละคราวๆ ต่างคนต่างก็เจ็บ ต่างคนต่างก็ตาย ต่างคนต่างมีความทุกข์ ทหารก็แสนจะลำบาก กินข้าวอิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง บางทีกำลังจะกินข้าว ข้าศึกเข้ามาก็ต้องรบกับข้าศึก ทั้งๆ ที่ท้องไม่อิ่ม แล้วที่พัก ที่หลับที่นอนอยู่ในกลางป่ากลางดงไม่เหมือนบ้าน การรบสมัยนั้นไม่มีพาหนะ มีช้าง ม้าวัว ควาย ก็อาศัยอะไรได้ยาก นอนกับดิน กินกับทรายการรบแพ้ หรือชนะก็ไม่ทราบ พลทหารทั้งหมด แพ้ก็แค่นั้น ชนะก็แค่นั้น (ก็หมายความว่าฐานะก็ยากจนตามเดิม) ไม่มีอะไรเป็นกรณีพิเศษ เงินเดือนเงินดาวน์ก็ไม่มี เบี้ยเลี้ยงที่เป็นสตางค์ก็ไม่มี มีแต่อาหารกิน แล้วหมอก็มีไป แต่ว่าก็เป็นหมอแผนโบราณ แต่ก็ดีมาก

แพทย์แผนโบราณจะว่าไป เลือดออกนี่เขาชะงัดมาก บางรายเลือดออกมาปั๊บ หมอจับปั๊บ เป่าพรวดเดียว แผลหาย เขาเรียกว่า ประสานแผล อันนี้เขาเก่งมาก วิชาเวลานี้ไม่มีบางรายก็ใช้ใบตองปิด เป่า 3 ทีแผลหาย แต่หมอประเภทนี้ก็มีไม่มากนัก เมื่อทหารถูกฟันเข้ามาแล้ว มีการบาดเจ็บมาก กระดูกหัก กระดูกแตก หมอประเภทนี้สามารถต่อกระดูกได้ทันทีทันใด สามารถประสานแผลได้ทันทีทันใด เมื่อแผลหายแล้ว ทหารลุกขึ้นรบใหม่ต่อไปได้อีก แต่ว่าทหารส่วนใหญ่เวลานั้นก็ หนังเหนียว ขนาดแทงด้วยหอกกระเด็นออกมาไม่มีความรู้สึก วิ่งเข้าไปใหม่ ฟันเจ้าของหอกตาย อย่างนี้ก็มี

รวมความว่าท่านทำให้ดู ท่านบอกว่า คนทุกคนที่ท่านมองเห็นเวลานี้ เขาตายไปหมดแล้ว และในกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ตัวท่านเองก็มีส่วนอยู่ด้วย ท่านก็ชี้ให้ดูตัวว่า นั่นคือท่านคนนี้คือคนนั้น คนนั้นคือคนนี้ เวลานั้นรู้สึกว่ามีความดุดันมากสำหรับกับข้าศึก แต่ถ้ากับคนไทยด้วยกันใจดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเห็นอกเห็นใจกัน ก็สรุปแล้วผลที่สุดก็แก่ตายมองแล้ว ก็สลดใจ

ก็ถามท่านบอกว่า อาตมาทั้ง 3 องค์นี้ ตายแล้วจะไปไหนท่านก็ตอบว่า ในเมื่อท่านมีอาจารย์ดีขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะไปนรกผมก็ช่วยท่านไม่ได้ แต่จะให้ผมพยากรณ์ ผมพยากรณ์ไม่ได้ ก็สุดแล้วแต่กำลังใจของท่าน เมื่อท่านรักดี ท่านก็ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ท่านรักชั่ว จะตกนรกก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ตามใจท่าน ถามถึงวิธีการสอนของหลวงพ่อปาน ท่านสอนจบหรือยัง ท่านบอก วิชาความรู้ทุกอย่างที่ท่านเรียนมา จบหมดแล้ว หลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี ท่านสอนมา แต่ละองค์สอนให้จบหมดแล้ว เว้นไว้แต่ท่านจะทำให้จบ หรือไม่จบเท่านั้น

แล้วหลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ทรัพย์สินต่างๆ เดิม ของท่านทั้งหลาย ฝังแถวนี้ก็มีท่านต้องการไหม ก็บอกว่า ถ้าต้องการ มันก็เกิด ถ้าไม่ต้องการ มันก็ไม่เกิด ท่านตอบว่า ถูกแล้ว ตัดสินใจถูกทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้น ท่านที่มีอยู่แถวนี้ ท่านก็ชี้ให้ดู นี่ ทองคำ นี่เป็นของท่านตุ่มเงินนี่เป็นของท่าน แต่ว่าเจ้าทองคำ กับตุ่มเงินตุ่มนี้

ในสมัยนั้น รูปร่างท่านเป็นอย่างนี้ ท่านก็สร้างภาพให้ดู มีบ้านมีเรือน มีข้าทาสหญิงชายรับใช้ มีบุตรธิดาภรรยาสามี กันเยอะแยะ ในที่สุดก็แก่ตัวไปทุกวันๆ ตายแล้วชีวิตมันก็ไปที่อื่น ทองคำกับเงินก็ไม่มีความหมาย ท่านบอกว่า ทรัพย์สินทั้งหลายมันมีประโยชน์เฉพาะสิ่งที่มีชีวิตในขณะที่มีชีวิตก็มีความจำเป็นต้องใช้มัน แต่ว่าถ้าตายไปแล้วก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ช้าคนอื่นเขาก็มาขุดไปทองคำมันก็ไม่มาก เงินมันก็ไม่เยอะ ก็ถามท่านบอกว่า ในป่าลึกอย่างนี้จะมีใครมาขุดหรือ ท่านบอกว่า ป่านี้ไม่ช้ามันก็เตียน ในชีวิตของคุณนี่แหละ ไม่ช้านานนักในที่สุดคุณก็มาเห็นเป็นทุ่งโล่ง เวลานี้เป็นป่าชัฏ

เมื่อคุยกับท่านพักหนึ่ง ก็ลาท่านกลับ ก่อนที่ท่านจะกลับ ท่านก็ให้พร ท่านบอกว่า คุณธรรมใดที่ท่านปรารถนา ขอจงได้คุณธรรมนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ ท่านบอกว่า ถ้ามีอะไร ให้นึกถึงผม ผมคือสหัมบดีพรหม แต่ก่อนที่พวกคุณจะกลับไป ผมจะแสดงตนให้ทราบ หลังจากนั้นท่านก็เป็นพรหมสวยสดงดงามมาก เครื่องประดับประดาเหลืองอร่าม ท่านบอกว่า การเดินทางกลับของคุณไม่ต้องเดินมากหรอก เพียงแค่หันหลังไปหาทางเดินก็ถึงแล้ว พอหันหลังมาจะเข้าทางเดิน ก็ปรากฏว่าถึงกลดพอดี (อันนี้เป็นกำลังของพรหมนะ ไม่ใช่กำลังของอาตมา)

เมื่อมาถึงกลดแล้ว หลวงพ่อปานก็เรียกไปถาม ถามว่า พวกคุณไปที่ไหนมา ก็ตอบว่าผมบอกตำบลไม่ได้ขอรับ เพียงแต่เดินทางไปในทิศนี้ไปในดงสัก ต้นไม้สักมาก แล้วก็ไปพบเสือดำ เสือดำนี่ความจริงเข้าใจว่าเป็นหมา แต่เมื่อลุกไปแล้วไม่ใช่หมา หน้าตาคล้ายเสือแต่มันไม่ดุไม่ดัน ท่านบอกว่าเสือดำ 2 ตัวนี่ความจริงไม่ใช่เสือแท้ มันเป็นเสือเทวดา เขาจะลองใจคุณ

เพราะว่าตามธรรมดา แม้จะไม่ใช่เสือดำก็ดี ถ้าเป็นหมาป่า มันก็มีความดุร้ายกำลังใจของคุณจะมีความเข้มแข็งไหมในเมื่อคุณเดินตรงเข้าไป คุณไม่กลัว เขาก็เลยเดินหนีไปหายไป นั่นเขาเป็นเทวดา แล้วเดินต่อไปอีก ไปเจอะคนนุ่งขาวห่มขาวใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ใช่ แล้วทราบไหมว่าเป็นใคร ก็เลยบอกท่านบอกว่า ท่านบอกว่าท่านเป็นสหัมบดีพรหม หลวงพ่อปานก็บอกว่าใช่ สหัมบดีพรหมองค์นี้เป็นพระอรหัตมรรค ใกล้จะนิพพานอยู่แล้ว ท่านสอนอะไรบ้าง ก็บอกกับท่านว่า ท่านสอนทุกอย่าง (ตามที่เล่ามา)

หลวงพ่อปานก็บอกว่า นั่นแหละเป็นของจริง ฉันอยากจะให้เธอรู้ความเป็นจริงว่าการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของธรรมดา และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้มันมีสภาพไม่สูญ ที่ใครเขาว่าสูญเป็นเรื่องของเขา เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงมีความเข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอน เชื่อพระพุทธเจ้า อย่าเชื่อคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคนที่หันหลังให้พระพุทธเจ้า ก็ดูตัวอย่างเทวทัต

เทวทัตหันหลังให้พระพุทธเจ้า ฌานสมาบัติก็เลยสลายตัว ในที่สุด เทวทัตก็ลงอเวจีมหานรก ฉันใด คนทั้งหลายในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน บางคนห่มผ้ากาสาวพัสตร์ มาในนามของพระสงฆ์ในนามของพระพุทธศาสนา เมื่อเวลาบวชก็ดี เชื่อพระไตรปิฎก แต่เวลาบวชนานหนักเข้าๆ มรลาภสักการะมาก มีคนขึ้นมาก มีคนนิยมมาก ก็ชักจะทิ้งพระไตรปิฎก ถือความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ คุณจงอย่าเอาอย่างนั้นนะ

เป็นอันว่า วันนี้เราก็นอนกันที่นี่ กลางคืนจงอย่าลืมเจริญกรรมฐาน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า กรรมฐานผมไม่ขาดเลยขอรับ ท่านบอกว่า ดี ท่านถามว่า นิวรณ์กวนใจบ้างไหม ก็เลยบอกว่า ตั้งแต่ออกเดินทางมาถึงวันนี้ นิวรณ์ยังไม่เคยกวนใจเลย ท่านบอกว่าดีมาก

ความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัท การอยู่ในป่าดีกว่าอยู่ในบ้านในเมืองมาก อยู่ในวัดวาอารามมีนิวรณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์ฟุ้งซ่านจากเสียงของคนอื่น ไม่เป็นของดีรูปโฉมโนมพรรณของบุคคลทั้งหลาย บางทีจะเตือนใจเราว่า ควรจะสึก ควรจะเป็นคู่ครองของคนนั้น ควรจะเป็นคู่ครองของคนนี้ มันอาจจะมีกับเรา ดีไม่ดีเห็นเขามีทรัพย์สินมากๆ ก็อยากจะร่ำรวยเหมือนเขา แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลวงเราให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นของไม่ดี ก็ความความว่า การไปนครสวรรค์คราวนี้ เราก็ไปดูหนังเก่ากัน (ดูหนังเก่านั่นก็หมายความว่า ท้าวสหัมบดีพรหม ท่านฉายหนังให้ดู)

เมื่อคุยกับหลวงพ่อปานเสร็จ ก็กราบลาท่าน กลับมาที่กลด เมื่อถึงเวลาเย็น ก็จะไปอาบน้ำ พอเข้าไปใกล้ที่น้ำ ก็ปรากฎว่า มีกลุ่มช้างกลุ่มหนึ่ง ฝูงใหญ่มาก แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์พอเห็นเข้า ช้างทุกตัวย่อเข่าทั้งหมด แล้วก็ยกงวงชูขึ้นแสดงเคารพ แล้วหัวหน้าก็ชี้งวงไปที่บ่อน้ำ เหมือนจะบอกว่าบ่อน้ำอยู่ที่นั้น เราก็ไปกันแล้วช้างทั้งหมดนั้นก็มายืนล้อมบ่อน้ำหันหน้าออก

เมื่ออาบน้ำเสร็จกลับมาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานถาม ก็บอกตามความเป็นจริงท่านบอกว่า ที่นี่เสือดุมาก อันตรายมาก ในเวลาที่คุณจะไปอาบน้ำ นั่นมันเวลาที่ใกล้เสือจะออกเดินทาง ใกล้พลบค่ำเต็มที ฉะนั้น ช้างทั้งหมดจึงได้ล้อมบ่อน้ำหันหน้าออก ถ้าเสือเข้ามาช้าง ก็จะจัดการกับเสือ

ก็เป็นอันว่า ก็เลยถามว่า ช้างที่เห็นนี่ ช้างจริงๆ หรือช้างเทวดาขอรับ ท่านบอกว่า ช้างจริงๆ แต่ช้างเขามีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ เราพูดอะไรทุกอย่างนี่ ช้างได้ยินหมด รู้หมด เขาจะอยู่ไกลแสนไกลขนาดไหนเขาก็รู้เวลานี้ เขารู้ว่าเรามีพรหมวิหาร 4 ตั้งอยู่ในจิตเมตตาอยู่ในความรัก กรุณา ความสงสาร เป็นต้น และประการที่สอง เราเดินดง ตั้งใจธุดงค์ เป็นการทำความดี ช้างเขารู้ ก็เลยถามท่าน บอกว่า ถ้าอย่างนั้น กำลังใจช้างก็ดีกว่าคนท่านบอกว่าไม่แน่นัก คนที่ดีเขาก็มีคนที่ดีกว่า ช้างก็มีคนที่ดีเสมอช้างก็มี คนที่เลวกว่าช้างก็มี แต่ขึ้นชื่อว่า หูทิพย์ใจ ทิพย์กันแล้ว ช้างดีกว่าคนมาก

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเที่ยวสุวรรณวิหาร


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ 24 ธันวาคม 2533 สำหรับเรื่องราวที่จะพูดต่อไปนี้ ก็จะนำเรื่องราวของ ธุดงค์ มาคุยกันต่อไป

การธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอพูดเป็นจุดสุดท้าย ความจริงไม่ใช่หยุดธุดงค์ คือเป็นปีที่ 3 จะหยุดแค่ปีที่ 3 ไม่พูดถึงปีที่ 10 ถ้าขืนพูดถึงปีที่ 10 ก็ไม่ต้องจบกัน หลังจากปีที่ 3 แล้วก็ไปซ้ำแล้วซ้ำอีกไปโน่นบ้าง ไปที่นี่บ้าง ทดลองภาคเหนือบ้าง ภาคใต้บ้าง ภาคไหนบ้างตามที่เห็นสมควร แต่ว่าความสำคัญของธุดงค์ก็อยู่ที่อารมณ์ นั่นคือว่าต้องการสถานที่สงัด

วันนี้ก็มาพูดกันถึงปีที่ 3 ปีที่ 3 นี่เรียนนักธรรมเอก ขณะที่เรียนนักธรรมเอก ตอนนั้นครูบอกว่า จะต้องมีหนังสือวิสุทธิมรรค เป็นหลักสูตร ในเมื่อจะหาวิสุทธิมรรค ก็ไปถามหลวงพ่อปานว่า หนังสือวิสุทธิมรรค ใครเขียนดีที่สุด ท่านก็บอกว่า ของ เจ้าคุณพร้อมวัดสุทัศน์ฯ (ลืมราชทินนามของท่าน ชื่อเดิมชื่อ พร้อม ท่านเป็นเจ้าคุณ) ท่านแปลตามบาลีโดยตรง หนังสือเล่มนั้นเป็นพื้นฐานดีมาก ควรจะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ

บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะแปลกใจว่า ทำไมหลวงพ่อปานจึงได้บอกอย่างนั้น ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า หลวงพ่อปานนี่คู่กับอาจารย์เกี้ยว อาจารย์เกี้ยวนี่สึกไปก่อน หลวงพ่อปานยังอยู่ ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯพร้อมกัน เรียนบาลี สำหรับหลวงพ่อปานนี่มีความชำนาญในวิสุทธิมรรคมาก ถ้าท่านแปลจริง ๆ แปลจบอภิธรรม อาจารย์เกี้ยวมีความชำนาญในอภิธรรมมาก คือ สนใจอภิธรรมมาก สามารถตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว

เป็นอันว่า ทั้ง 2 ท่านนี้ ถ้าพูดกันถึงภาษาบาลี ก็ดีกว่าอาตมามาก อาตมามีความรู้ภาษาบาลีไม่ได้ 1 ใน 100 ของท่าน จึงไปซื้อวิสุทธิมรรคที่เจ้าคุณพร้อม (ชื่อเดิมชื่อ พร้อม แต่ราชทินนามจำไม่ได้) มาอ่าน อ่านกสิณทั้ง 10 อย่าง สนใจกสิณ

แต่ว่าวิธีอ่านเขาอ่านอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเล่าเกร็ดให้ฟัง หลวงพ่อปานบอกว่า ตามธรรมดาคนที่เกิดมาแล้วนี่ จะไม่เคยมีบุญวาสนาบารมีนั้น ไม่มี ทุกคนต้องมีบุญวาสนาบารมีมาก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่พอใจในการเจริญพระกรรมฐานส่วนใหญ่ก็มักจะเคยเจริญกรรมฐานมาแล้วในชาติก่อน เคยได้มาแล้วคนละหลาย ๆ กอง วิธีปฏิบัติให้ปฏิบัติตามนี้

อันดับแรก ให้วางหนังสือไว้ที่บูชา ต่อหน้าพระพุทธรูป จุดดอกไม้ธูปเทียนเสร็จ ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานด้วยความเคารพ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ากรรมฐานทั้ง 40 กองนี้ มีกองใดบ้าง ที่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่ออ่านไปแล้วขอให้ชอบกองนั้น ถ้าชอบกองไหน คั่นไว้ หรือขีดไว้ ทำสัญลักษณ์ไว้ หรือเขียนไว้ก็ได้

และต่อมา เมื่อชอบหลาย ๆ กองแล้ว กลับมาทีหลัง ก็มาดูใหม่ บูชาใหม่ว่า กรรมฐานที่ชอบหลาย ๆ กองนี้ กองไหนถ้าทำแล้วจะได้ง่ายที่สุดให้ทำกองที่มีความรู้สึกว่าชอบใจมาก และง่ายที่สุด

ก็บูชาพระแล้วก็ตั้งใจอธิษฐาน กลับมาย้อนดูใหม่ ดูกรรมฐานที่ชอบ สำหรับกรรมฐานชอบ ๆ นั้น จริง ๆ ชอบทั้งหมด 37 กอง ขาดไป 3 กอง คือขาดอรูปฌานไป 3 และต่อมาก็มาดูใหม่ว่า กองไหน ถ้าหากว่าจะทำได้เร็วที่สุด ขอให้ชอบกองนั้นมากที่สุด ก็มาชอบ เตโชกสิณ

การทำเตโชกสิณ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็รู้สึกว่าทำง่าย เพราะว่าเป็นปีที่ 3 มาแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านมาหมด ฉะนั้น การเจริญเตโชกสิณจึงเป็นของไม่หนัก เพราะว่า กรรมฐานทั้งหมดมีอารมณ์เสมอกัน จะขึ้นว่ากสิณก็ดี อสุภก็ดี อนุสสติก็ตาม จุดหมายปลายทางคือต้องการจิตเป็นสมาธิ สามารถชนะนิวรณ์ได้ แต่ว่าจะชนะมาก ชนะน้อย ชนะนาน หรือไม่นาน นั่นก็เป็นเรื่องอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นอันว่า เจริญเตโชกสิณ

หลวงพ่อปานท่านก็แนะนำบอกว่า ถ้าหากว่าเจริญเตโชกสิณ เมื่อเตโชกสิณถึงที่สุดแล้ว ให้สังเกตดูว่า กรรมฐานกองไหนขึ้น ให้จับนิมิตกรรมฐานกองนั้นทำต่อไป แล้วจะได้ภายใน 3 วัน จะจบภายใน 3 วัน ก็เป็นความจริง เมื่อทำเตโชกสิณ ทำจริง ๆ 7 วัน ทำ 7 วันถึงฌาน 4

นี่ไม่ใช่อวดอุตตริมนุสสธรรม มาคุยกันตามความเป็นจริงว่า เรียนด้วย ปฏิบัติด้วยนี่มันดี มันรู้ของจริง ไม่ใช่เอาสักแต่ว่าเรียน สักแต่ว่าอ่าน แล้วก็ไป ๆ มา ๆ ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าการท่องเที่ยวสวรรค์เป็นไปได้ การท่องเที่ยวนรกเป็นไปได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็น มิจฉาทิฎฐิ อย่างหนัก

คำว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็แปลว่า มีความเข้าใจผิด หรือมีอารมณ์คัดค้านสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับกระจ่า หรือทัพพีที่ตักแกง กระจ่าก็ดี ทัพพีก็ดี เขาฝังอยู่ในหม้อแกง เขาฝังอยู่ในหม้อข้าว เขาแช่ไว้ทั้งวัน แต่จะสามารถรู้รสข้าว รู้รสแกงก็หาไม่ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกระจ่า หรือทัพพีไม่มีประสาท ข้อนี้ฉันใด แม้การศึกษาปริยัติก็เช่นเดียวกัน ถ้าศึกษาแต่การอ่านอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติตาม ก็จะไม่รู้ผลแห่งความเป็นจริง

แล้วก็มีส่วนใหญ่ มีมากเหมือนกันที่กลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก เคยมีทั้งนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงหนักในสมัยก่อน เทศน์ไปเทศน์มา เทศน์มาเทศน์ไป ก็กลับบอกว่า ผมก็เทศน์ไปตามแบบตามแผน ผมไม่เชื่อว่าสวรรค์นรกมี นี่เป็นอย่างนี้ นี่ขนาดนักเทศน์เองนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้นเพื่อความแน่นอน จึงได้ทำกรรมฐานควบคู่กันไป ในเมื่อทำเตโชกสิณได้แล้ว กองอื่นก็ขึ้นต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่าไม่ยาก

ทีนี้เมื่อทำหมดไปทั้งหมดตามนิมิตที่เกิดแล้ว ก็จับอรูปฌานที่ยังไม่ได้ คือ อากาสานัญจายตนะ นี่ได้แล้ว พอจับปั๊บก็ได้เลย ทำ 3 วันก็จบ ก็เหลือ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี้ก็เป็นของไม่หนัก เพราะมีอารมเสมอกัน เมื่อทำได้ทั้งหมดแล้ว ก็ออกธุดงค์กันใหม่

การออกธุดงค์กันใหม่นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงปีที่ 3 ตามที่พูดมาในตอนต้นออกธุดงค์กันก็ไปกันตามบท ไปถึงโน่นจังหวัดกำแพงเพชร พอไปถึงจังหวัดกำเพชร ก็ไปเจอะ หลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านไม่มีกลด ท่านมีย่าม 1 ลูก ท่านจึงมีจีวรธรรมดาๆ เหมือนกับอยู่วัด เมื่อพบหลวงพ่อจงเข้า หลวงพ่อปานก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อจง เพราะว่าหลวงพ่อจงแก่กว่าหลวงพ่อปานประมาณ 10ปี แต่ว่าเจริญกรรมฐานสำนักเดียวกันจากหลวงพ่อสุ่น

ในเมื่อทั้งสองท่านคุยกันแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามว่า ท่านปานพาเด็กมาที่นี่ แล้วพาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง หลวงพ่อปานก็บอกว่า ไม่ได้พาไปเที่ยวที่ไหนก็ให้ศึกษาสมาธิ และศึกษาการคบหาสมาคมพูดจาปราศรัย รู้จักเทวดา รู้จักพรหม รู้จักนรกสวรรค์ฝึกซ้อมไว้ เพราะพระพวกนี้ยังเด็กอยู่ ต่อไปถ้าไม่ทำให้ช่ำ ไม่เกิดความชำนาญ ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฎฐิอย่างพระหลายองค์ในพระพุทธศาสนาที่กลายเป็นมิจฉาทิฎฐิ ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด ถือว่าตายแล้วสูญ นี่เป็นถ้อยคำของหลวงพ่อปานที่พูดเวลานั้น (เวลานี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบไม่ได้สนใจใคร)

หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพาเด็กไปเที่ยว ท่านปานจะไปไหมล่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าหลวงพี่ไป ผมก็ไป ผมจะมานั่งอยู่คนเดียวทำไม รวมความว่าเป็น 5 องค์ด้วยกันคือ พวกอาตมา 3 องค์หลวงพ่อปาน 1 แล้วก็หลวงพ่อจง 1

วิธีพาไปเที่ยวของท่าน ท่านก็แนะนำบอกว่า การเที่ยวนี่เป็นของไม่ยาก แถวเมืองกำแพงเพชรนี่ของดีๆ มีมาก ก็ถามว่าท่านบอกว่า จะไปเที่ยวเมืองเก่าหรือ ถ้าเที่ยวเมืองเก่าก็ต้องเข้าบ้านเข้าเมืองจะต้องพบกับคน จะต้องบิณฑบาตท่านบอกว่า ไม่มีความจำเป็น เมืองเก่าเธอจะมาเมื่อไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาในลักษณะธุดงค์ เราเป็นพระธุดงค์ ไม่ใช่ว่าจะมีคนเขาเคารพทุกคน บางคนคบพระธุดงค์ก็ต้องการเลขหวย (เลขหวย12ตัวเวลานั้นเรียกจับยี่กี) บางคนก็ต้องการลาภสักการะบางคนต้องการเสน่ห์มหานิยม ไม่ถูกต้อง ถ้าเธอจะมาก็มาแบบปรกติพระอาคันตุกะธรรมดา เวลานี้เป็นเวลาธุดงค์ ยังไม่ควรจะเข้าไปในเมือง ก็เลยถามท่านบอกว่า จะไปไหน ท่านก็เลยบอกว่า จะไปไหนเป็นหน้าที่ของฉันก็แล้วกัน

ท่านก็ลุกนำหน้า (หลวงพ่อจงแลดูเดินช้าๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ทว่าพวกเราก้าวกันเกือบแย่ ต้องก้าวถี่ยิบ ตัวท่านก็เล็กแต่ทำไมเดินช้าๆ ทำไมพวกเราต้องเดินไว) ท่านหันหลังมา ท่านถามว่า เดินไม่ทันหรือ ก็เลยบอกว่าไม่ทันขอรับท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเดินมากละ ถ้าขืนเดินมากพวกเธอจะเหนื่อย แต่ว่าท่านปานไม่เหนื่อย ท่านปานเดินเป็น ฉันก็เดินเป็น แต่พวกเธอยังเดินไม่เป็น ก็ถามว่า ถ้าจะเดินให้เป็นทำอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า ใช้กสิณทั้งหมด ก็ถามว่า ถ้าใช้กสิณทั้งหมด ใช้ทีเดียวหมด อย่างนั้นใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ให้รวบรวมกำลังของกสิณทั้งหมดไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะใช้อะไรก็ได้ทันทีทันใด ตามใจชอบ ก็เลยถามท่านว่าเวลานี้ผมเริ่มฝึกจะใช้กสิณอะไรขอรับ ท่านบอกว่า ใช้ วาโยกสิณ กสิณลม นึกถึงกสิณลมแล้วก็เดินไป มันจะไวเอง ขาไม่ต้องก้าวยาว และขาไม่ต้องก้าวถี่มันจะเดินไวเอง ก็ลองนึกถึงกสิณลม

การนึกถึงกสิณบรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องนึกให้ถึงฌาน 4 คือ มีภาพเป็นประกายพรึก ตามแบบฉบับของการปฏิบัติ ถ้ารุ่นหลังใครจะไม่เชื่อก็ตามใจเถิด นี่เล่าสู่กันฟัง เพราะมันแก่มากแล้ว เรียกว่า แก้กางเกงในมาคุยกัน ถอดเสื้อนอก แล้วก็ถอดเสื้อใน ถอดกางเกงนอก แล้วก็ถอดกางเกงในปล่อยกันล่อนจ้อนแล้ว หมดตัว แต่ก็ยังเหลือผ้าเตี่ยวอยู่นิดหนึ่ง (ผ้าเตี่ยวนี่ไม่แก้ให้ดูแน่) เอากันแค่นี้

เป็นอันว่า หลวงพ่อจงบอกว่าให้ใช้รวบรวมกสิณ ก็รวบรวมกสิณ วิธีรวบรวมก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพวกเรายังไม่เป็นถาม ท่านบอกว่า ต้องขึ้นปฐวีกสิณก่อนใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่ใช่ ใช้อารมณ์กสิณ นึกเฉพาะวาโยกสิณ ฉันต้องการจะเดิน ขอให้ร่างกายเบา เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น ก็ทำตามท่าน ทำตามแบบเถรส่องบาตร เป็นอันว่าครูว่าอย่างไร ก็ว่าตามนั้น แต่ก็มีผลหลวงพ่อจงเดินช้าๆ ตามแบบฉบับเดิม พวกเราก็เดินตามท่าน คราวนี้รู้สึกว่าไม่หนัก ตัวไม่หนักเลย เดินไปแบบสบายๆ จะว่าลอยมันก็ไม่ลอย มันก็เดินเท้ากระทบพื้นดินแต่ทว่าไม่มีความรู้สึกหนัก

ท่านก็ชี้ชมต้นไม้ ชี้ดูต้นยางบ้าง ต้นเต็งบ้าง ต้นรังบ้าง เก้งบ้าง กวางบ้าง กระต่ายบ้าง มีเยอะแยะ เพราะสัตว์ต่างๆ ที่เห็นพวกเราเข้า ไม่มีใครเขาหนี สัตว์ทั้งหมดไม่หนี เพราะยังไม่เคยพบคน เป็นป่าลึกพรานไปไม่ถึง ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ก็พ้นจากเขตป่าเข้าจุดๆหนึ่งในจุด ๆ นั้นก็มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับตึก แต่ว่าเป็นตึกที่ฉาบไปด้วยทองคำ รูปร่างลักษณะจริง ๆ คล้าย ๆ กับพระที่นั่งอนันตสมาคม แต่ว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมสวยกว่า (เอาความสวยกันนะ) แต่ว่าที่ตรงนั้นมันเป็นทองคำทั้งหมด ตั้งแต่หลังคาลงมา บุด้วยทองคำ ข้างในเป็นพื้นบุด้วยทองคำ ที่บันไดก็เป็นทองคำ ทองคำหมด

ก็ถามหลวงพ่อจงว่า ในป่านี้มีวิหารทองคำหรือครับ หรือว่ามีพระราชวังทองคำท่านบอกว่า เขาเรียกว่า สุวรรณวิหาร ถามท่านบอกว่า ที่จุดนี้เขาเรียกตำบลอะไร หรือว่าอำเภออะไร ของจังหวัดกำแพงเพชรครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่จังหวัดกำแพงเพชร ที่นี่มันเป็นประเทศอินเดีย ก็ถามว่าเมื่อกี้นี้เดินดูโคนต้นไม้ ยอดไม้ แล้วทำไมมาถึงอินเดีย ท่านก็บอกว่าถ้าใช้วาโยกสิณ พวกเธอไม่ได้นึก แต่ใจฉันนึก ใจฉันนึกว่า จะมาสุวรรณวิหาร มันก็มาขณะที่ไปสุวรรณวิหาร ปรากฏว่าที่ประเทศอินเดีย แขกหลับ แขกอยู่ยามก็หลับ แขกไม่อยู่ยามก็หลับ พวกนั่งยามก็หลับ พวกนอนยามก็หลับ ยืนยามก็หลับ หลับหมดไม่มีใครเห็นเราก็ไปเที่ยวในสุวรรณวิหารตามชอบใจ

ชมสุวรรณวิหารก็มีความรู้สึกว่า คนที่สร้างสุวรรณวิหาร คือวิหารทองคำ ต้องใช้จ่ายทรัพย์มาก ต้องลงทุนมาก ต้องลงแรงมาก ทรัพย์สินต่างๆ ได้มาจากภาษีอากรของบรรดาราษฎร แต่ว่าราษฎรไม่ค่อยจะมีสิทธิ์จะได้ใช้ คนที่มีสิทธิ์ใหญ่จริงๆ คือกษัตริย์ แต่ว่าวันเวลาที่เขานมัสการสุวรรณวิหารมีอยู่ แต่ก็ต้องเข้าไปอย่างมีระเบียบ ออกมาอย่างมีระเบียบ เห็นแขกแต่งตัวขาวๆ นุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว โพกศีรษะขาว

ถามหลวงพ่อจงว่า พวกนี้พวกอะไรครับ ท่านบอกว่า พวกนี้เขาเรียกว่าสาธุ พวกสาธุ พวกปฏิบัติดี ก็ชมไปชมมา

หลวงพ่อจงก็อธิบายให้ฟังว่า สุวรรณวิหารนี่ คนที่สร้าง หรือคนสั่งให้สร้าง ตายไปหลายคนแล้ว และคนสร้างก็ตายไปหลายคนแล้ว พวกเธออย่าหลงใหลใฝ่ฝันสุวรรณวิหารว่ามันเป็นของดี อย่าลืมว่าทรัพย์สมบัติในโลกมันดี เฉพาะเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราตายไปแล้วเมื่อไร ทรัพย์สมบัติที่เราหาไว้ในโลก มันก็เป็นสมบัติของบุคคลอื่น เราไม่ควรจะสนใจในทรัพย์สมบัติในโลกมากเกินไป ที่พามาให้ดูนี่ก็ต้องการจะให้รู้ว่า ของที่เขาเรียกกันว่าดี คือ ทองคำ ขนาดเอาทองคำมาเป็นวิหารทั้งหลัง แม้จะเป็นทองบุภายนอก ทองบุภายในก็ตามที ก็ได้มาด้วยความเหนื่อยยากของบรรดาประชาชนทั้งหลาย กษัตริย์เองก็ต้องใช้มันสมองมาก การที่จะใช้คนก็เป็นการยาก การใช้คนไม่ใช่ใช้ง่ายๆ ต้องเป็นคนที่มีบารมีต้องพูดดีให้เขาถูกใจ

การที่คนจะพูดดีได้ก็ต้องใช้กำลังใจ ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้ กำลังใจเวลานั้นต้องไม่เป็นทาสของนิวรณ์ และก็ไม่หลงในอำนาจเกินไป เพราะคนทุกคนในโลกชอบยอ (คำว่า ยอ หมายถึง ยกย่อง หรือว่าสรรเสริญ พูดดีๆ) แทนที่จะเร่งรัด ก็กลับน้อมถ่อมลงมา บอกอย่าทำให้แรงนัก อย่าใช้กำลังให้มากนักมันเหนื่อยมากเกินไป พักผ่อนเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ต้องมีสินจ้างรางวัล มีรางวัลให้เป็นเครื่องตอบแทนความเหน็ดเหนื่อยก็รวมความว่า กษัตริย์เองก็หนักบรรดาประชาชนผู้ทำการก่อสร้าง หรือช่าง ก็หนักพวกเสียภาษีอากรก็ต้องหาเงินมา แทนที่จะใช้เป็นส่วนตัวได้ ก็ต้องมาเสียภาษีอากร ก็หนัก

แต่พวกหนักๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เวลานี้ไม่มีชีวิตอยู่ตายหมดแล้ว นี่เขาทำมาหลายชั่วคนแล้ว พวกเธอก็เช่นเดียวกัน จงจำไว้ อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย เราไม่แก่ จะเห็นว่าฉันกับท่านปานสองคนนี่แก่ เธอจะไม่แก่นั้นไม่ใช่ ความแก่พวกนี้ฉันจะไม่เอาไปไหน จะมอบไว้แก่พวกเธอ ก็กราบท่าน บอกหลวงพ่อขอรับ อย่ามอบแต่ความแก่เลยขอรับ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไรอีก ผมขอให้หลวงพ่อมอบความสามารถด้วยขอรับ ท่านบอกว่า เอาจากท่านปานน่ะไม่พอหรือ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า ท่านถนัดแบบหนึ่ง หลวงพ่อจงถนัดอีกแบบหนึ่ง ขอให้มอบความสามารถให้แก่เธอด้วย

หลวงพ่อจง ก็หันมาหัวเราะคิกๆ บอกไอ้2-3 ตัวนี่ มันฉลาด ไอ้ข้าก็หากินของข้าทางหนึ่ง ท่านปานเขาก็ หากินของเขาทางหนึ่ง (นี่หมายถึงผลของการปฏิบัติ) ท่านปานเขาปรารถนาพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ ข้าปรารถนาไปในชาตินี้ เอ็งจะเอาอย่างไรวะจะ เอาพุทธภูมิ หรือจะเอามรรคผล ก็เลยกราบเรียนกับท่านว่า ผมไม่เจาะจงทั้งพุทธภูมิ และมรรคผลเวลานี้ตัวผมเองหลวงพ่อปานให้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าผมต้องการความสามารถทั้งสองอย่าง ทั้งพระโพธิสัตว์ และมรรคผลในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถของหลวงพ่อ ขอให้มอบให้ผมด้วย ท่านบอกได้ตกลง แต่ว่าวิธีรับกัน (ก็ไม่ต้องมีธูปไม่ต้องมีเทียน) ให้ใช้กำลังใจเป็นเครื่องรับ ตั้งใจฟังคำแนะนำของท่านปาน แต่ถ้ามีอะไรสงสัยฉันอยู่วัดหน้าต่างนอก ไม่ไกล ไปหาฉัน ฉันจะบอกให้ แต่ว่าการบอกฉันจะบอกครั้งเดียว ฉันจะไม่ซ้ำสอง เพราะการศึกษา ถ้าถึงซ้ำสองก็ถือว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว

ฉะนั้น ความสามารถทุกอย่างที่เธอมีความต้องการ ถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะให้ได้ฉันจะให้ให้หมด แต่ว่าเธอจะแบกไว้ได้หมด หรือไม่หมด เป็นเรื่องของเธอ ฉันมีหน้าที่อย่างเดียวคือ เป็นผู้บอกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก

ในเมื่อคุยกันเสร็จ บรรดาพี่บังทั้งหลายก็เริ่มจะขยับตัวตื่น ท่านบอกว่า แขกเริ่มตื่นแล้ว ก็ถามท่านว่า จะหลบแขกไปไหนดีล่ะขอรับ ท่านบอกไม่จำเป็นต้องหลบ เวลานี้แขกมองไม่เห็นเรา เราไม่ต้องการให้แขกเห็น ฉันเป็นผู้นำต้องการแบบนั้น ประเดี๋ยวดูลีลาของแขกพวกแขกนี่มีความเคารพในวิหารนี้จริงๆ เวลามันจะขึ้นไป มันจูบบันไดทุกขั้น แล้วเข้าไปกราบพระเจ้าของเขา แล้วก็ออกมาจูบโน่นจูบนี่

เราก็นั่งนึกในใจว่า ไอ้พวกนี้มันดี หรือมันบ้า เอาทองคำทำเป็นตึก บันไดนี่เขาเอาเท้าเหยียบ มันดันไปจูบ แล้วก็มาคิดอีกทีว่า ถ้าเราคิดว่า เขาบ้า เราก็บ้า เพราะถ้าเราไม่บ้า เราก็ไม่คิดว่าเขาบ้า นี่เพราะว่าเรามันบ้า จึงคิดว่าเขาบ้าเรายังบ้าอยู่ เวลานี้เรายังบ้าอยากอยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อปาน อยากมีความสามารถอย่างหลวงพ่อจง เป็นอันว่าเราก็ยังบ้า พอมาเห็นสุวรรณวิหาร พอเห็นนี่แรกปั๊บ จิตสะดุ้งเฮือก แปลกใจว่า ทองทั้งหลังเขาหามาได้อย่างไร นี่มันก็เป็นความบ้าของคน ความบ้าของความรู้สึก
ก็มาคิดตัดสินใจ ตามที่หลวงพ่อจงบอกว่า เราจะบ้าไปทำไม ของทั้งหลายเหล่านี้ คนสร้างมาตายไปหมด เราคนดู ไม่ช้าเราก็ตายเช่นเดียวกัน เราก็มาบ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า หลวงพ่อจงท่านหันมายิ้ม บอก เออ..คิดอย่างนี้ถูกแล้ว (นี่ขนาดคิดนะรู้ด้วย)

หลังจากดูแขกบ้าอยู่พักหนึ่งแล้วก็พากันกลับ เวลาเดินทางกลับ ท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เดินมาเพียงแค่ 2-3 ก้าว ก็ปรากฏว่ามาถึงกลดที่ปักอยู่ ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่คนเขาพูดกันบอกว่า เขาเรียนชั้นไหนก็ตาม แต่เขาไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อนรก นั่นก็หมายความว่า นักเรียนประเภทนั้น ไม่เคยปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักปฏิบัติก็มีอยู่4ประการคือ

1.สุกขวิปัสสโก
2.เตวิชโช
3.ฉฬภิญโญ
4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ทั้ง 4 อย่างนี้ ถ้าเขาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้มรรคผล เขาก็จะต้องเป็นคนที่มีศรัทธา มีความเชื่อมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่คัดค้านพระพุทธเจ้า แต่หากว่าถ้าไม่ปฏิบัติแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับกระจ่า ที่เขาแช่ในหม้อแกง ซึ่งไม่ได้รู้รสแกงเลยเพราะมันไม่มีประสาท

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อจงพยากรณ์


ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ก็เป็น วันที่ 24 ธันวาคม 2533 ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นมา หลวงพ่อจงก็พยากรณ์ ท่านก็บอกว่า กสิณทั้ง 10 ประการนี่เธอใช้ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเธอเอง (หมายถึงอาตมา) คล่องในกรรมฐาน 40 แล้ว ก็มหาสติปัฏฐานสูตร แต่การคล่องประเภทนี้มันใช้ไม่ได้ ก็กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมขอรับ

ท่านก็เลยบอกว่าเธอคล่องเฉพาะการจำ และก็มีความคิดเหมือนกัน แต่ว่าคิดน้อยเกินไป คำว่า คิดน้อย ก็หมายความว่า คิดมาก แต่มันถูกน้อย ต้องคิดให้น้อย ๆ แต่ถูกมาก ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า จะคิดอย่างไร จึงจะคิดน้อย แล้วก็ถูกมาก

ท่านบอกว่า อันดับแรกที่จะทำอะไรทั้งหมดให้คิดถึงอริยสัจเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกขสัจ สำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อกันแล้ว เป็นของสำคัญอย่างยิ่งก็จริงแล แต่ทว่าเราคิดกันทุกวันแล้ว อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ว่าสอนใครทั้งหมด เมื่อขั้นสุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสอนชาดก หรือพระสูตรก็ใช้อริยสัจทุกอย่างใช้อริยสัจหมด แต่ว่าลีลาการสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์มีลีลาต่างกัน คนหนึ่งท่านพูดไปอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งท่านพูดไปอีกอย่างหนึ่ง เพื่อความเข้าใจของแต่ละบุคคล สำหรับพวกเราไม่ฉลาดเท่าท่าน

ก็กราบเรียนถาท่านว่า อริยสัจมี 4 อย่าง อย่างไหนสำคัญที่สุดขอรับ ท่านบอกเธอไม่ต้องคิดมาก คิดให้เข้าใจเพียงแค่ ทุกขสัจ อย่างเดียวว่าเอาแต่เพียงความจำ เอาเข้าใจให้เข้าใจจริงๆ ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว อีก 3 ตัวปรากฏ คำว่า สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ในเมื่อเรารู้ทุกข์ เราก็รู้ว่าใครทำให้เราเป็นทุกข์ อะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ต้องไปนั่งคิดถ้าเราเห็นทุกข์ และเข้าใจในทุกข์แล้วก็มีความเบื่อหน่ายในทุกข์เพราะการเกิด นิโรธ ความดับ มันก็เกิด เมื่อนิโรธ ความดับ เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ชื่อว่าถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนา คือเป็นความเข้าใจถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ในเมื่อหลวงพ่อยังอยู่ก็ดี หลวงพ่อปานยังอยู่ก็ดี กระผมอาจจะคุมตัวอยู่ได้ แต่ว่าในกาลต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า สองคนนี่เขาปรารถนาตรงสาวกภูมิ แล้วก็เป็นคนขยันเล่นอภิญญาสมาบัติ สองคนนี่ต้องอยู่ในป่า สงเคราะห์คน และสงเคราะห์ภิกษุสามเณร ที่ต้องการในป่า ที่เข้ามาในป่า เป็นหน้าที่ของเธอทั้งสอง

แต่สำหรับตัวเธอเอง (คืออาตมา) ต้องชำระหนี้เขา เพราะเป็นหนี้เขามาก ชาติก่อนใช้คนมาก ใช้แรงงานเขาก็มาก ใช้ชีวิตเขาก็มาก เพราะเคยเป็นกษัตริย์บ้าง เคยเป็นแม่ทัพบ้าง ต้องรบราฆ่าฟันมาทุกชาติ และอีกประการหนึ่ง

ผลแห่งการรบราฆ่าฟัน ฆ่าคนมามาก แล้วฆ่าสัตว์ก็มาก การฆ่าสัตว์ ก็ไม่ได้หมายความว่า ยิงสัตว์เล่นฆ่าสัตว์ เพื่อเลี้ยงคน เพื่อทำสงคราม แต่ว่าในการครองชาติ ก็ต้องฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงกัน บาปตัวนี้จะรุกรานเธอตลอดชีวิต นั้นหมายความว่า อาการทางร่างกายของเธอ ไม่มีอาการปรกติ จะมีการป่วยทุกวัน วันไหนที่เรียกว่าไม่ป่วย ไม่มี แต่ว่าทั้ง ๆ ที่เธอป่วย เธอก็ต้องทำงานแล้วงานของเธอก็หนัก

เธอจงจำไว้ว่า เวลานี้เธอเป็นพระวัดบางนมโค แต่ว่าในกาลต่อไป เธอจะไม่ได้อยู่ที่วัดบางนมโคนี่ เพราะคนบางนมโค ก็ต้องเป็นคนบางนมโค เธอไม่ใช่คนบางนมโค เธอเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี แต่มาอยู่ที่บางนมโค ตั้งแต่เด็ก ก็ถือว่า ถ้าญาติข้างพ่อก็อยู่สุพรรณฯ ญาติข้างแม่อยู่อยุธยา และจังหวัดธนบุรี แต่ว่าเธอจะต้องย้ายจากวัดบางนมโคไปเข้าในกรุงเทพฯ ในเมื่อท่านปานมรณภาพแล้ว

ก็ถามว่า หลวงพ่อปานท่านจะตายเมื่อไรขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า ท่านปานตายปีนี้แหละ ปีนี้ท่านปานตาย แต่เธอก็จะอยู่ที่วัดบางนมโคอีก 1 ปี หลังจากนั้น ก็ต้องเข้าไปในกรุงเทพฯ ก็ถามว่าในกรุงเทพฯ ผมไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ท่านเลยบอกว่า จะมีคนเขามาแนะนำเขาชวนไปอยู่ ต่อไปจะได้เรียนบาลี

เพราะว่าเวลานี้เธอสงสัยใช่ไหมว่า พระในกรุงเทพฯ เวลาออกมาบ้านนอกเด่นเหลือเกิน คนยกย่องสรรเสริญ ต้องหาพรมมาปูให้ แต่ความจริง พระท่านก็ไม่ได้ขอ แต่ว่าชาวบ้านเขายกย่องว่าเป็นพระกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นมหาเปรียญ เขาเรียกว่า พระดี สำหรับพระบ้านนอกเขาเรียก พระเลว

อาตมาเองเคยถูกนิมนต์ไปในที่ต่าง ๆ ไปหลายแห่ง ก็มีพระชั้นพระครูบ้าง เวลานั้นเจ้าคุณหายาก บ้านนอกเจ้าคุณหายากเต็มที แล้วก็มีพระมหาเปรียญบ้าง ชาวบ้านเขาเรียกพระครู กับมหาเปรียญว่า พระดี (พระดีนิมนต์ทางนี้ครับ พระเลวนิมนต์ทางนี้ครับ) เราไม่ใช่มหาเปรียญ เป็นพระเลว

ในเมื่อเธอฟังแบบนี้แล้ว เธอก็เกิดความรู้สึกว่าพระในกรุงเทพฯ ชื่อว่า ดี นั้นดีอย่างไร แล้วก็เป็นมหาเปรียญกันอย่างไร เธอก็ต้องไปพิสูจน์ เพราะเธอเป็นนักพิสูจน์ จะต้องพิสูจน์ยันตาย และต่อไปภายในเบื้องหน้า ก็จะเป็นคนที่ชาวบ้าน เขานินทาอยู่ตลอดเวลา เขาจะนินทาว่าร้าย กล่าวโทษตลอดเวลา แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าทนไม่ไหวในฐานะเป็นพระเหลือง เราก็เป็นพระเขียว ก็ถามว่า พระเหลือง พระเขียว เป็นอย่างไรขอรับ

ท่านบอกว่า ในเมื่อเธอพูดตามความเป็นจริง ตามที่ศึกษามาเหมือนกับคนที่กินข้าว กินแกง มีลิ้น ลิ้นมีประสาทรู้รส แต่ว่าต่อไป จะปรากฏว่าคนประเภทกระจ่ามีมาก กระจ่าไม่มีประสาท ไม่รู้รส ไม่รู้เปรี้ยว ไม่รู้เค็ม ถึงแม้ว่าเขาจะแช่ไว้ในหม้อแกง ก็ไม่เคยรู้รสแกง ข้อนี้ฉันใด ในกาลต่อไปคนที่อวดตัวว่า เป็นคนที่มีความรู้ เขายกย่องกันว่าเป็นความรู้เลิศชั้นประเสริฐ เขาจะไม่เชื่อสวรรค์ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่ออภิญญาสมาบัติ ไม่เชื่อสมาธิจิต เขาก็จะคิดว่าเธออวดอุตตริมนุสสธรรมบ้าง เขาจะคิดว่า เธอเป็นคนบ้าบ้าง
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เธอจงจำไว้ ต้องถือ ขันติ ความอดทน เชื่อพระพุทธเจ้า เวลานี้เราเชื่ออยู่แล้ว เราก็เชื่อต่อไปที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิโลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก จำไว้เสมอว่าเห็นหน้าคนคิดว่า คนนี้เวลานี้เขาดี แต่เวลาต่อไปข้างหน้า เขาอาจจะนินทาเรา เราจะต้องไม่โกรธเขา ก็ถือว่า เป็นนิสัยของเขา เป็นสมบัติของเขา แล้วมันก็เป็นสมบัติของเรา ที่เราเกิดมาเพื่อให้เขานินทา

ท่านก็สอนตามนี้ แล้วก็ถามท่านว่า คนที่มีความรู้แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้ จะมีหรือขอรับ ท่านบอกว่า ก็ดูพระที่วัดบางนมโคก็แล้วกัน ที่ท่านปานสอนกรรมฐาน มีพระกี่องค์ที่ทำกรรมฐานบ้าง และมีกี่องค์ที่ไม่ทำกรรมฐาน และมีพระกี่องค์ที่เชื่อท่านปานจริง ๆ และมีพระกี่องค์ที่ไม่เชื่อท่านปาน ต่อหน้ามีความเคารพ แต่ลับหลังเหมือนกับลิงหลอกเจ้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อไปในเบื้องหน้าคนประเภทกปิลภิกขุ จะมีมากมายในเขตพระพุทธศาสนา (ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียนกปิลภิกขุ) ก็ถามท่านว่า กปิลภิกขุมีในหนังสือเล่มไหนขอรับ ท่านบอกว่า มีในพระธรรมบทเล่ม 1

กปิลภิกขุหรือเรียกกันว่า พระกบิล เมื่อสมัยนั้น เมื่อสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธกัสสปยังทรงชีวิตอยู่ เธอก็เรียนจบพระไตรปิฏก มีพี่ชาย พี่ชายก็บวชพร้อมกัน พี่ชายเป็นคนแก่รู้สึกตัวว่าเป็นคนแก่ แต่ความจริงก็ยังไม่แก่ ไม่ขอเรียนพระไตรปิฏก เรียนเฉพาะความรู้ในด้านวินัย ธรรมะพอสมควรพอเอาตัวรอด แล้วก็ฝึกในด้านปฏิบัติ สำหรับปริยัติก็พอรู้บ้างตามสมควร พอเอาตัวรอด ทั้งสองคนนี่มีผลไม่เสมอกัน พี่ชายไม่ช้าก็เป็นอรหันต์

กปิลภิกขุเธอมีลูกศิษย์ลูกหามาก ทุกคนยอมรับนับถือว่าเธอจบพระไตรปิฏก ก็มีลูกศิษย์มาก เมื่อมีลูกศิษย์มากก็มีลาภสักการะมาก หนัก ๆ เข้า เธอก็เปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่างนี้ เธอก็พูดอย่างโน้น พระพุทธเจ้าบอกว่าคนเกิดมาแล้ว เมื่อตายแล้วไม่สูญ ถ้าจิตยอมรับความดี เวลาจะตายก็ไปสู่สุคติ ถ้าจิตยอมรับความชั่วก็ไปสู่ทุคติ อย่างนี้เป็นต้น เธอก็กลับพูดไปอย่างอื่นว่า ตายแล้วมีสภาพสูญอย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเธอก็เทศน์สอนคนอื่นเขา แต่เธอไม่เชื่อในที่สุดเธอตายไปแล้ว เธอก็ลงอเวจีมหานรก

มาสมัยพระพุทธเจ้าองค์นี้ตรัสขึ้นมา เธอเกิดขึ้นมาเป็นปลาทอง เด็กทอดแหเอาไปได้พ่อเอาไปถวายพระราชา พระราชานำไปหาพระพุทธจ้า เกล็ดเหลืองเหมือนทองคำ แต่เวลาอ้าปาก กลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระ ฟุ้งทั่ววิหาร เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารถามเธอว่าเธอมาจากไหน เธอก็ตอบว่ามาจากอเวจีมหานรก ถามว่า เธอชื่ออะไร เธอก็บอกว่า

เมื่อก่อนเธอชื่อ กปิลภิกขุ ในสมัยพระพุทธกัสสป พระพุทธเจ้าถามว่าแม่ของเธอไปไหน เธอก็ตอบว่าแม่ของเธอไปอเวจีมหานรกเพราะด่าพระร่วมกัน น้องสาวไปไหน น้องสาวไปอเวจีมหานรก ถาม พระพี่ชายของเธอล่ะ พระพี่ชายของเธอไปนิพพาน

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดาพระทั้งหลายเห็นว่า เธอสอนชาวบ้าน สอนพระเปลี่ยนแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนที่จบพระไตรปิฏก ไม่ได้จบองค์เดียว ที่จบพระไตรปิฏกตามธรรมดาก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี แม้แต่พระอรหันต์เข้ามาเตือน เธอก็ไม่เชื่อ กลับด่าพระ ด่าพระธรรมดา ด่าพระทรงฌาน ด่าพระอรหันต์ ทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง ก็ไปบอกพระพี่ชายให้มาเตือน พระพี่ชายมาเตือน เธอก็ด่าพระพี่ชายไปเสียอีก หาว่าพระพี่ชายไม่เคยเรียนอะไร เธอจบพระไตรปิฏก คนโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนี้ อย่าเสือกมาสอนกัน พระพี่ชายก็ต้องกลับเข้าป่าไป

ต่อไปสภาพของเธอก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันจะไม่พยากรณ์ว่า เขาทั้งหลายเหล่านั้น จะไปอเวจีมหานรก แต่เธอก็จะพบกับคนที่เขาถือว่า เขามีความรู้ดี แต่เขาก็จะไม่เชื่อในวาทะที่เธอกล่าวที่เธอสอน เธอจะต้องเป็นคนมีลูกศิษย์มาก เธอจะต้องเป็นคนมีงานหนัก หนักทั้งทางโลก และหนักทั้งทางธรรม
คือหนักทั้งชาวโลก และหนักทั้งชาวพุทธ และพระ การปกครองพระก็หนัก การสร้างวัดก็หนัก การสงเคราะห์ในการศึกษาเล่าเรียนก็หนัก การสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจก็หนัก หนักทุกอย่าง ชีวิตของเธอจะไม่เป็นชีวิตที่มีความสุขเหมือนชาวบ้านเขา เพราะร่างกายจะต้องหนัก ใจจะต้องคิด เมื่อจิตต้องคิด การต้องหนักในการงานแล้วกายก็ต้องป่วย เพราะกฎของกรรม

พอนั่งฟังท่านก็นึกเศร้าใจ คิดว่า เอ..เรานี่ตายเสียเร็ว ๆ จะดีกว่ากระมัง ก็ถามท่านว่า ผมอีกกี่ปีจะตายขอรับ ท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นอายุขัยของเธอก็ต้องอายุ 27 ปี แต่ว่าเธอจะตายตามนั้นไม่ได้ เธอต้องใช้หนี้เขาก่อน ถามว่า ต้องใช้หนี้ไปกี่ปีขอรับ ท่านก็บอกว่า สุดแล้วแต่พระจะสั่ง

เธอต้องเป็นพระที่อยู่ในอำนาจของพระ ปฏิบัติตามพระสั่งทุกอย่าง พระสั่งทำแบบไหน ทำแบบนั้น พระท่านจะช่วยทุกอย่างให้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่เธอป่วย ก็ต้องลากสังขารไปดูงานก่อสร้าง ต้องลากสังขารไปสงเคราะห์ในธรรมะของเขา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาเป็นเจ้าหนี้ เธอเป็นหนี้เขามาตั้งแต่ชาติก่อน ต้องไปชำระหนี้เขา

ฟังแล้วก็เศร้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท เกิดมากับเขาชาติหนึ่ง จะหาความสุขสักหน่อยก็ไม่ได้แต่ท่านก็พูดให้ดีใจว่า จิตใจของเธอมีความดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นทุกข์มันจะหนักอย่างไรก็ตาม แต่ว่าใจของเธอเป็นสุข เพราะเธอมีความรู้สึกว่า เธอเป็นผู้ชนะแล้วจากกฎของกรรม และก็ชนะในชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย

ก็ถามท่านบอกว่า ผมปรารถนาพุทธภูมิชาตินี้ จะมีบุญวาสนาบารมีเต็มหรือขอรับ ท่านก็นิ่งนิดหนึ่ง สัก 1 วินาที ท่านบอกว่า พระท่านบอกว่า ถ้าเธอมีอายุถึง 60 ปี บุญวาสนาบารมีปรารถนาพุทธภูมิของเธอก็จะเต็มชาตินี้ แต่ว่าเธอมีอายุแค่ 27 ปี จะต้องแบกบุญวาสนาบารมี ต้องบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ ก็หนักใจก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมจะไม่เอาพุทธภูมิดีไหม เคยไปเที่ยวชั้นดุสิต เห็นเทวดาชั้นดุสิตที่มีบารมีเต็ม คอยตรัสเป็นพระพุทธเจ้า มากมายเหลือเกิน ผมไม่ทราบว่า ผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร คงจะคอยไม่ไหว

ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร เธอก่อนจะเกิดมาเธอมีสัญญา ถามว่า สัญญาอะไรขอรับท่านก็บอกว่า หลังจากอายุ 40 ปีไปแล้ว เธอต้องลาจากพุทธภูมิ แต่ว่าเวลานี้เธอต้องทำให้เข้ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าท้อถอย ทุกอย่าง จะประสบกับทุกข์อะไรก็ตาม จะต้องสู้กับทุกข์ตั้งใจปฏิบัติตามกิจพุทธภูมิทุกอย่าง เมื่อลาจากพุทธภูมิแล้ว สิ่งที่เธอลา เธอขอสัญญากับพระ พระท่านจะให้ แล้วจะได้ตามนั้น แต่ว่าเธอจะต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไปจนกว่าจะตาย

เมื่อท่านพยากรณ์อย่างนี้แล้ว ก็รู้สึกเศร้าใจว่า เรานี่เป็นคนมีกรรมจริง ๆ ก็เลยอยากจะรู้กรรมของตนให้มันถนัด เราใช้ของเราเองพอได้บ้าง พอสมควร แต่อาศัยบารมีของท่าน ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ผมอยากจะดูภาพเก่า ๆ เคยฆ่าฟันกันมามากมายขนาดไหน ชาติไหนบ้าง ท่านก็ทำให้ดูสิบชาติ ก็เห็นว่าตัวเองสร้างทั้งบาป และทั้งบุญ บุญก็สร้างจริง ๆ บาปก็สร้างจริง ๆ คนต้องตายเพราะคำสั่งก็มาก ฆ่าเขาเองก็มาก สัตว์ ช้างม้า วัวควาย วัวควายที่ต้องเป็นอาหาร เป็ดไก่ นับไม่ถ้วน ก็มานั่งนึกดูว่า ถ้าสัตว์ทั้งหลาย หรือคนทั้งหลายเหล่านั้น ต่างคนต่างมาทวงกรรม เราใช้ชาตินี้ไม่หมดแน่

พอนึกในใจเพียงเท่านี้ ท่านก็บอกว่า คิดอย่างนั้นไม่ถูก ชาตินี้ใช้หมดแน่ เอาแค่เศษของกรรมที่เหลืออยู่ แล้วก็ใช้เขา แต่การใช้ให้หมดมันไม่มีหรอก แต่ว่าสามารถหนีกฎของกรรมได้ ถามว่า หนีไปไหนครับ ท่านก็บอก หนีไปอยู่ในแดนที่มีความสุข ที่ไหนที่เรียกว่าเอกันตบรมสุข เธอจะไปอยู่ที่นั้นได้ นี่เป็นคำพยากรณ์ของหลวงพ่อจง

แต่ว่าเธอทั้งหลายจงอย่าลืมนะว่า ต้องยึดอริยสัจเป็นสำคัญ อริยสัจที่จะต้องตั้งใจทำให้มั่นก็คือ ทุกขสัจ เข้าใจในทุกขสัจอย่างเดียว ให้ได้จริง ๆ แล้วเธอจะเข้าใจผลในทุกขสัจ แต่ว่ากรรมฐานทั้ง 40 กอง จะต้องซ้อมไว้เป็นปรกติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อภิญญา อย่าทำเป็นอันขาด การทำอภิญญาไม่ใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของสององค์นี่ ต้องอยู่ป่า ต้องใช้อภิญญา เธอจงเก็บอภิญญาไว้เป็นคู่มือ เป็นคู่ปัญญา เพื่อเข้าใจในการตัดกิเลส ก็กราบเรียนท่านว่า คนที่เขาเอาจริง เขาไม่ถามกัน มันอยู่ที่กำลังใจของคน คนที่ปฏิบัติจะเอาจริงเอาจังเขาไม่ถามว่า ผมจะบรรลุชั้นนั้นชั้นนี้ไหม เขาไม่ถามกัน มันอยู่ที่ใจของเรา เราอยากจะหมดก็หมด เราอยากไม่หมดมันก็ไม่หมด ถ้าเรายังติดในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก มันก็ไม่หมด

เมื่อคุยกันต่อไปถึงเวลาอันสมควร ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าท่านปานตายแล้วนะ เธอสงสัยอะไรก็ไปหาฉัน ทุกอย่างฉันจะไม่ปกปิด จะเป็นความรู้เพื่อบุคคล หรือความรู้เพื่อส่วนตัว ฉันไม่ปกปิด แต่ว่าฉันคิดว่า ในต่อไปภายเบื้องหน้า เธอจะกลายเป็นคนขี้เกียจ คือความรู้ทุกอย่างที่เธอมีอยู่นี้ เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง

เวลานี้ก็เริ่มขี้เกียจแล้ว เมื่อทำใหม่ ๆ จริง ๆ ขยัน รู้นั่น รู้นี่ ทำโน่น ทำนี่ พอทำได้จริง ๆ ก็ขี้เกียจ นี่เป็นวิสัยแท้ เป็นกิจที่ต้องทำ แต่ 2 คนนี่เขาขยัน เขาต้องเข้าป่า เธอจงอย่าใช้อภิญญาสมาบัติ ที่สามารถทำได้ ได้หรือไม่ได้ก็ตาม เอาเป็นว่าถ้าทำได้ก็อย่าใช้ ใช้วิชาความรู้ปรกติธรรมดา และต่อไปนี้เบื้องหน้าก็จะได้รับความรู้พิเศษจากพระ จะสามารถสอนให้คนเข้าใจเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก ได้อย่างง่าย ๆ

ก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ที่ฝึกอยู่นี่ มันง่ายหรือมันยากขอรับ ผมก็เห็นว่า ไม่ยาก ท่านบอกว่า เวลานี้สำหรับเธอมันไม่ยาก แต่คนอื่นเขายากมาก และจงอย่าลืมว่า เธอจะต้องประสบกับถ้อยคำที่ต้านทาน ถ้อยคำที่กล่าวหา ด่าว่า ถ้าหากว่าบังเอิญจริง ๆ ถ้าเธอรำคาญเข้าจริง ๆ เธอจะกลายเป็นพระเขียว แต่ฉันคิดว่า จะไม่เป็นพระเขียว จะมีพระองค์อื่นช่วย

จะมีพระรูปร่างผอม ๆ สูง ๆ เข้มแข็งในพระศาสนา และพระองค์นี้ จะได้อภิญญาสมาบัติ แต่ว่าเป็นพระที่มีการปกปิด จะสนับสนุนเธอไห้ทรงตัวเป็นพระเหลืองอยู่ เพราะต่อไปเบื้องหน้า เธอจะเกิดความรำคาญ ถ้าเกิดความรำคาญ ถ้าพระองค์นี้ไม่เข้าช่วย เธอก็จะกลายเป็นพระเขียว ( หมายความว่า ถอดสีเหลืองออก และก็ใช้ชุดเขียว ใช้อภิญญาสมาบัติ เป็นการหักล้างพระเหลือง พระเหลืองก็จะพากันผอมไปตาม ๆ กัน)

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนส่วนใหญ่ 99.99 เปอร์เซ็นต์ เขาชอบอภิญญาสมาบัติ เราทำให้เราแก่ได้ เราทำตัวเราให้หนุ่มได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ผิวขาวได้ ผิวเหลืองได้แค่นี้ก็พอแล้ว แต่เธออย่าทำมากกว่านั้น แต่ว่าฉันขอพยากรณ์ว่า เธอไม่มีโอกาสทำ เพราะพระจะไม่อนุญาตเธอ

พระจะอนุญาตให้เธอเฉพาะให้เขารู้ตามความเป็นจริงว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง เขาสามารถเห็นนรกได้ สวรรค์ได้ เขาสามารถไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้ ด้วยกำลังของจิต ที่เรียกกันว่า อทิสมานกาย อภิญญาใหญ่อย่าไปสอน ถ้าขืนสอน เธอจะเหนื่อยเปล่า เพราะวิสัยแบบนี้จะมียากสำหรับบุคคลที่จะพึงทำได้ แต่ว่ามีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่เธอจะต้องเป็นครู ต้องคนอื่นเขาเป็นครูกัน เธอเอาเท่านั้นก็พอ เป็นแค่ ปัจจัตตัง
ก็เป็นอันว่า คุยกันไป คุยกันมา ท่านก็บอกว่า เวลานี้ก็เย็นแล้ว ฉันจะขอลากลับวัดนะ ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อขอรับ ที่นี่มันจังหวัดกำแพงเพชร ท่านก็เลยบอกว่า อินเดีย เดิน 2-3 นาทีก็ถึง วัดหน้าต่างนอก มันจะเดินสักกี่นาที ก็รวมความว่า พอพูดเท่านี้ ท่านก็หายแว้บไปเลย ไม่ได้เดิน ไม่ได้ไปไหน

ก็คิดในใจว่า เอ๊ะ..หลวงพ่อจงนี่ คนหรือผี หลวงพ่อปานก็หันกลับมาบอกว่า คุณอย่าอกตัญญครูบาอาจารย์ อย่าไปนึกว่าครูบาอาจารย์เป็นผี หลวงพ่อจงนี่เป็นพระอภิญญา แต่ก็ไม่ใช่อภิญญาอย่างเดียว เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยด้วย มีความฉลาดมาก แต่ว่าพูดน้อย เพราะหน้าที่พูดมันเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ว่าถ้าฉันตายไปแล้ว ท่านก็ไม่ค่อยจะพูด มีอะไรบ้าง เธอต้องไปหาท่าน ท่านจะเรียกไปหาท่าน และท่านใช้ให้เธอพูดแทนท่าน


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 18:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ธุดงค์ภาคอีสาน ตอนที่ 1


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 20 พฤษภาคม 2534 การบันทึกวันนี้ ก็จะบันทึกเรื่องการธุดงค์ ธุดงค์ในตอนก่อน ได้พูดไปถึง เมืองกำแพงเพชร

แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้เราก็มาพูดถึงว่า การออกธุดงค์ แต่ละวัด คณาจารย์ อาจจะสอนไม่เหมือนกันในตอนต้น คือ พิธีกรรม อย่างการปักเสาอัพโภกาส (เสาสำหรับผูกเชือก ที่ผูกมาจากยอดกลด แล้วก็มาผูกกับหลัก) การตอกหลักนี่ บางวัดมีคาถาว่า ถ้าจะถามอาตมาว่า ว่าอย่างไร คาถาบทนั้น ก็ยังตอบว่า ไม่รู้ หลวงพ่อปานไม่ได้บอก

เอาแต่เพียงว่า ขณะที่จะออกธุดงค์ อันดับแรก หลวงพ่อปานให้ร่วมกันบวงสรวง และชุมนุมเทวดา ขออำนาจท้าวมหาราชทั้ง 4 พร้อมไปด้วยบริวารทั้งหมด อินทกะทั้งหมด และอากาสเทวดาทั้งหมด แล้วก็นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอความปลอดภัยจากท่าน ขอความคุ้มครองจากท่าน

เมื่อทำพิธีการบวงสรวงเสร็จ รุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง ทีนี้ก่อนทีจะออกเดินทาง ท่านก็สั่งว่าสิ่งที่มีความสำคัญก็คือ บท เมตตัญ จะ สัพพโลฯ คือ กรณีย์ฯบทเล็ก เมตตัญ จะ สัพพโลฯ นี่จะต้องว่าก่อนออกเดินทาง ขณะที่เดินทางอยู่ก็ว่า (คำว่า ว่า นี่หมายถึง นึกนะ) ขณะเดินทางอยู่ ถ้านึกมาได้ ก็นึกไปด้วย เมื่อเข้าที่พักก็ต้องสวดบทนี้ (คำว่า ว่า ก็คือ สวด สวด ก็คือ ว่า) ให้สวดด้วยความเคารพ เพราะว่าคาถาบทนี้เป็นคาถาที่มีความสำคัญมาก

ด้วยเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีพระชนม์อยู่ ได้บอกกับพระว่า การที่เข้าไปอยู่ในป่า ถูกเสียงสัตว์ก็ดี ผีหลอกก็ตาม ทำให้หวาดกลัว นั่นคือ เทวดา ที่เขาคิดว่า ท่านจะไปอยู่ 2-3 วัน แต่บังเอิญท่านไปอยู่ทั้ง 3 เดือน พวกรุกขเทวดาอยู่บนต้นไม้ ก็เกรงใจพระว่า อยู่สูงกว่าพระ ถ้าขืนปล่อยไว้ บรรดาพระพวกนี้ก็ไม่กลับ ก็ทำเสียงให้หวาดกลัว แต่ยังไม่ออกพรรษา พระก็กลับไม่ได้ พระก็ทนอยู่ถึงออกพรรษา
เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็กราบทูลให้ทรงทราบถึงความเป็นมา ถึงเสียงน่ากลัวที่เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอเข้าป่า เธอไม่ถืออาวุธไปด้วย พระก็ถามว่า ในพระพุทธศาสนามีอาวุธหรือ พระพุทธเจ้าบอกว่า มี

คำว่า อาวุธ ไม่ใช่หอก ไม่ใช่ดาบ นั่นคือบทเมตตา คือ พรหมวิหาร 4 ให้ภาวนาในบท เมตตัญ จะ สัพพโลฯ (คำว่า เมตตัญ จะ สัพพโลฯ หมายถึง การแผ่เมตตาจิตไปในคน ในสัตว์ ในอมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด) เมื่อพระทั้งหลายได้แล้วแบบนั้น ก็กลับไป

พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าสวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ อยู่ ปฏิบัติตามนั้นด้วย เอาจิตนึกน้อมไปตามกระแสเสียง (ไม่ใช่สวดเฉย ๆ จิตต้องมีความเมตตาจริง ๆ ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราทราบกันง่าย ๆ คือ

พรหมวิหาร 4 แผ่เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ยินดีในความดีของท่าน อุเบกขา มีความวางเฉยในเมื่ออุปสรรคเกิดขึ้น อย่างนี้ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย (คำว่า อมนุษย์ หมายถึงว่า สัตว์ก็ดี ผีก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ตาม เปรตก็ตาม เป็นอมนุษย์)

บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นกลับไปใหม่ก็ใช้ตามนั้น ก่อนออกเดินทางสวด เมตตัญจะ สัพพโลฯ ขณะที่เดินทางอยู่สวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่ง เมื่อเข้าถึงที่ก็สวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ เมื่ออยู่ประจำแล้วก็ใช้ เมตตัญ จะ สัพพโลฯ เป็นเหตุให้ บรรดาเทวดา นางฟ้าทั้งหลายมีความรัก นำภัตตาหารอันเป็นทิพย์มาถวาย พยายามมาปฏิบัติต่าง ๆ เท่าที่จะพึงทำได้ ให้ความสะดวกทุกอย่าง ถ้าไม่มีน้ำ ก็บันดาลน้ำให้ปรากฏขึ้น ผลไม้หายากก็บันดาลให้ผลไม้หาง่ายขึ้น อย่างนี้เป็นต้น พระพวกนั้นก็เป็นพระอริยเจ้า เหมือนกันหมด

บทนี้หลวงพ่อปานบอกว่า จะลืมไม่ได้ ก่อนออกเดินทางต้องสวดก่อน เวลาสวดให้ใช้อารมณ์ของกรรมฐานสวด เห็นภาพเทวดา เห็นภาพอมนุษย์ทั้งหลาย ขณะที่เดินทางไปใกล้จะถึงสถานที่ก็สวด (นึกสวดในใจ) เมื่อถึงที่แล้วก็สวด ฉะนั้นในการเดินทางไปธุดงค์คราวนั้น จึงไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งหมด
และอีกประการหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทาง ท่านบอกว่า ทุกองค์ให้มีสมุดดินสอติดไปด้วย (อันนี้ก็ต้องขอย้อนต้น) ที่ให้มีดินสอติดไปด้วยก็เพราะว่า ขณะที่เดินทางไปให้ใช้อตีตังสญาณ ดูว่า สถานที่ที่เราผ่านไปนี้มีอะไรบ้างในอดีต แต่ละองค์อาจจะมีความรู้สึกมีความรู้ไม่เสมอกัน ก็ไม่เป็นไร แต่ให้มันถูกก็แล้วกัน เพราะแผ่นดินผืนเดียว ก็มีสมัย หลายสมัย จุด ๆ เดียว อาจจะมีประเทศตั้งอยู่หลายสมัย หลายประเทศ หลายชาติ สลับกันไป เพราะแผ่นดินมีอยู่นาน คนมีอายุน้อย แผ่นดินมีอายุมาก บางที่ที่เป็นป่า เป็นพง อาจจะเคยมีบ้าน มีเมือง มีตึก มีราม มีบ้าน มีช่อง มีตลาด มาแล้วก็ได้

รวมความว่า ท่านต้องการให้ทราบว่า มีอะไรบ้างในที่ที่เราผ่านมา ในสมัยอดีตและเมื่อถึงสถานที่พัก เมื่ออาบน้ำอาบท่าเสร็จ พักผ่อนดีแล้ว ท่านก็บอกว่าคืนนี้ทุกองค์ไปบันทึกสิ่งที่สัมผัสมา ที่เดินมาจากตอนต้น ถึงปลายทางว่า พบอะไรกันบ้าง วันพรุ่งนี้มาอ่านให้ฉันฟัง พวกเราก็ต้องปฏิบัติกันตามนั้น แต่การเห็น ความรู้สึกต่าง ๆ อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง แล้วแต่ว่า ใครเป็นใคร

สำหรับอาตมาเองก็ขอพูดเล่าย่อ ๆ เท่าที่พอจะนึกได้เมื่อจะออกจากวัด แทนที่จะใช้อตีตังสญาณ เพราะความไม่มั่นใจในตัวเองว่า ถ้าใช้อารมณ์ของตัวเอง อาจจะมีอารมณ์เฝือหมายความว่า จะมีอุปาทานเกิดขึ้นได้ จึงไม่ใช้ สิ่งที่ใช้ก็คือ ถามเทวดา เพราะก่อนจะไปก็เชิญเทวดาเป็นผู้อารักขาไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวดาชั้นจาตุมหาราชอยู่ใกล้ชิดมากเป็นหน้าที่โดยตรงของท่าน

องค์ที่ถูกถามองค์แรกก็คือ ท้าวเวสสุวัณ อยากจะทราบว่า สถานที่กำลังผ่านอยู่นี้มีอะไรอยู่บ้างในอดีต ท่านท้าวเวสสุวัณก็มอบให้เป็นหน้าที่ของท่านอินทกะท่านหนึ่งเป็นผู้อธิบายให้ฟัง พร้อมกับแสดงภาพให้ดู ขณะที่เดินมาจากวัดบางนมโค ถึงสีกุก ก็จะไม่ขอเล่าเรื่องให้ย่อย ๆ (คำว่า ย่อย ๆ คือ ไม่มีความสำคัญ)

เมื่อถึง สีกุก ก็เจอะสถานที่นั้น มีขอบเขตมีรั้วเรียกว่า มีคันคู แสดงว่าเป็นค่ายของพม่าเก่าก็ถามท่านอินทกะว่า นี่เป็นอะไร ท่านบอกนี่ค่ายพม่าที่มาตีกรุงศรีอยุธยา ก็ขอดูภาพพม่าในสมัยนั้น เห็นภาพทหารพม่ามากมาย มีกำลังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบื้องหลังค่ายพม่ามาเป็นของพม่าหมด

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะกองทัพเขาล้อมอยุธยาไว้หมด เขาตั้งค่ายล้อมทุกด้าน ทางอยุธยาก็มีทหาร เรียกคนเข้าไปประจำการภายในกำแพงเมือง เกณฑ์พืชพันธุ์ธัญญาหารเอาไปไว้ในกำแพงเมือง จะได้กินในนั้น ออกมาหากินกันไม่ได้ (แค่สีกุก กับอยุธยา เวลานี้รถวิ่งประมาณแค่ 10 นาที ถ้าเดินก็เห็นจะเป็นประมาณสัก 2-3 ชั่วโมง) แล้วก็มาทุกด้าน ก็มีเขตพม่าล้อมรอบ

ทีนี้ในค่ายของพม่า ก็มีคนไทยอยู่ด้วย ก็ถามท่านว่า ในเมื่อพม่ามารบไทย ทำไมจึงมีคนไทยอยู่ในค่ายพม่า ท่านก็บอกว่า หลังจากค่ายนี้ออกไป เป็นดินแดนของไทยก็จริงแล แต่ทว่าพม่ามีอำนาจ พม่ามีทหารมาก มีอาวุธมาก ชาวบ้านไม่สามารถจะสู้ทหารได้ ก็ต้องยอมทนมารับใช้พม่า ถ้าพม่าไปเกณฑ์มาใช้ ก็ต้องทำงานให้แก่พม่า พม่าใช้ทำงานบ้าง ใช้ทำนาบ้าง พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีข้าวมีปลา พม่าเกณฑ์ ก็ต้องให้พม่า วัวควายที่มีอยู่ พม่าอยากจะกิน ก็ต้องให้พม่า ไม่ให้พม่า พม่าก็ฆ่าตาย ก็เป็นอันว่า ค่ายพม่า ก็มีคนไทยอยู่ด้วย มองเห็นภาพแล้วก็สลดใจ

มองเข้าไปในกรุงศรีอยุธยา ดูภาพในกรุงศรีอยุธยา ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีทหารตั้งอยู่บนเชิงเทินบ้าง บางครั้งก็มีทหารพม่าไปเดินรอบ ๆ กำแพงเมืองใกล้ ๆ กำแพงเมืองอยุธยา อยุธยาก็ส่งกำลังออกมาต่อตีกับพม่า บางทีคนไทยก็แพ้ บางครั้งพม่าก็แพ้ พม่าแพ้ พม่าก็เข้าค่าย ไทยแพ้พม่า คนไทยก็เข้าเมือง รวมความแล้วก็ไม่ได้เรื่อง

ความจริงถ้าพม่าตั้งล้อมอย่างนั้นเฉย ๆ โดยที่ไม่ต้องต่อตีเลย คนไทยภายในกำแพงเมืองไม่ช้าก็อดตาย วิธีรบแบบนี้เป็นวิธีรบที่เสียทีข้าศึกอย่างมาก ฉะนั้นในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์จึงไม่ยอมให้พม่าเข้าไปประชิดพระนคร ยกทัพกองทัพไปต่อสู้ข้าศึกกลางทาง ถ้าเขามาล้อมบ้านมันมีหวังตายแน่นอน เมื่อเห็นภาพในสมัยนั้น ก็มีความสลดใจก็บันทึกไว้จะไม่ขอพูดละเอียด

ก็เดินต่อไปถึงอยุธยา แล้วเดินออกไปภายข้างนอก พอไปถึงเขตเลยอยุธยาออกไปไม่มากนัก ก็พบค่ายพม่าอีก ก็ขอดูภาพเดิม ก็เป็นตามเดิม เดินไปอีก ใกล้ถึง ชอนสรเดช ก็ปรากฏว่าพบพม่าค่ายใหญ่ตั้งอยู่นั้น เป็นค่ายของบุเรงนอง จึงถามท่านอินทกะว่า บุเรงนอง นี่เป็นแม่ทัพอยากจะดูภาพ ท่านก็ให้เห็นภาพ เห็นกำลังกองทัพ เห็นกองทัพเข้าโจมตีกัน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็บันทึก และหลังจากนั้นก็ถามท่านต่อไปว่า ก่อนหน้านั้นมีอะไรบ้างไหม ท่านก็ให้ดูภาพ เป็นสมัย ๆ ไป แล้วท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง

เมื่อถึงที่พัก อาตมาก็บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เท่าที่จะพอจำได้จากที่ท่านอินทกะบอก ถ้ามีอะไรสงสัย ก็ถามท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็บอกให้ บันทึกไปถวายหลวงพ่อปานปรากฏอีก 2 องค์เขาก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน เขาบอกว่า ผมก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน เพราะผมไม่เชื่อตัวผมเองว่า ผมดี เรายังไม่มีความดีพอที่จะรู้จริงได้ ต้องถามเทวดา ฉะนั้น การบันทึกจึงคล้ายคลึงกันมาก จะแตกต่างก็เพียงแค่ถ้อยคำเท่านั้น เรื่องราวต่าง ๆ ก็เหมือนกันหมด

ทีนี้การที่หลวงพ่อปานสั่งว่า ทุกคนขณะที่เดินทางไป จะต้องใช้อตีตังสญาณ กำหนดสถานที่ทั้งหมดว่า ที่ตรงนี้ เดิมทีก่อนหน้านี้มีอะไรมาบ้าง สมัยไหนมีอะไรบ้าง อันนี้เป็นเหตุให้เกิดความสำรวม ก็เป็นอันว่า ทุกองค์ที่เดินไปทั้งหมด ไม่มีใครคุยกันเลย มันหาเวลาคุยไม่ได้ เพราะจิตต้องรู้ ต้องรู้ถึงภาพของคน รู้ถึงภาพของบ้านเมือง แต่ว่าการรู้ ไม่ใช่รู้เองถามเทวดาท่าน

ก็ต้องเอาอารมณ์ตั้งไว้แค่อุปจารสมาธิ อันดับแรก ทำจิตให้ทรงฌานก่อน จิตจะได้มีความมั่นคง เมื่อจิตทรงฌานดีแล้ว ก็ลดมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ เพราะความเป็นทิพย์อยู่ตรงนั้น เมื่อลดกำลังมาถึงขั้นอุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ก็เกิด ก็เห็นภาพเทวดาชัด ก็เหมือนกับเห็นคนธรรมดา หลังจากนั้น ก็คุยกันไปคุยกันมา ตามเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง เราต้องการอะไร ท่านก็พูดให้ฟังตามนั้น ก็จำเอาไว้ แล้วก็ไปบันทึกให้หลวงพ่อปานทราบ นี่เป็นการธุดงค์ครั้งแรก ที่หลวงพ่อปานนำ

เมื่อตอนก่อนได้พูดว่าไปถึง จังหวัดกำแพงเพชร ตอนนั้นกลับหรือยังไม่กลับก็ไม่ทราบ หลังจากนี้ต่อไป ก็ขอเลี้ยวไปทางด้านภาคอีสาน กับภาคตะวันออกก่อน ถ้าจะถามว่า ที่ตรงไหน เขาเรียกว่าอะไร อันนี้ก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าเวลานั้นไม่มีป้ายบอก การเดินของคณะธุดงค์คณะนี้ เดินเฉพาะในป่าโดยตรง ถ้าได้ยินเสียงสุนัขเห่า แสดงว่ามีบ้าน เดินให้ห่างออกไป จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงสุนัขเห่า และต้องการความสงัดจริง ๆ (ไม่ใช่กลัวเสียงสุนัขแต่ว่ากลัวจิตจะไปติดบ้าน) เพราะว่าเป็นการธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ ถือว่าไม่ดีพอก็ให้มันตายในป่าไปเสียเถอะ

ความจริงการธุดงค์แบบนี้ก็ทำกันได้ ไม่ใช่ได้เฉพาะคณะอาตมาคณะเดียว หลาย ๆ คณะท่านก็ทำได้เหมือนกัน รุ่นก่อน ๆ ท่านก็ทำกันมาแล้ว ในสมัยเดียวกันก็มีหลายคณะ ท่านก็ทำเหมือนกัน คือ บางท่านก็ทำคนเหมือนฤาษี คือ กินผลไม้ในป่า ไม่กินอาหารจากบ้าน บางคณะก็อยู่ด้วยธรรมปีติ บางคณะก็บิณฑบาตกับเทวดา อย่างคณะของอาตมา เพราะยังไม่เก่งพอที่จะอยู่ด้วยธรรมปีติได้ ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติเป็นปีเป็นเดือนนี่ ต้องเก่งจริง ๆ และร่างกายจะไม่ทรุดโทรม

ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่า เป็นจังหวัดขอนแก่น หรือจังหวัดสุรินทร์ (อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์) ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่ปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้ จวนจะหมดเขต ประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง ถ้าหมดเขตประเทศ ต้องเดินไปอีกนานหน่อย แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว

ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั้น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน (ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย หลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมา) ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดา (บวงสรวง) ตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก

ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ 60 ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก 200 เมตร ไม่ห่างนัก แต่พวกเราก็มัวยุ่งอยู่กับการปักกลดไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้า ช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้น ตัวใหญ่มาก คุกเข่าลง ยกงวงขึ้นชู แสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็เบาใจ

เมื่อปักกลดเสร็จ ก็ถามว่า พ่อปู่ (ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่าพ่อปู่ ถ้าเรียกว่าพ่อปู่ จะเป็นที่พอใจของเขามาก) ถามว่า พ่อปู่ น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน 2-3 ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป

ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่า ที่นี่มีน้ำ ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำ สรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลาย ก็มายืนล้อมบ่อ หันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่น ยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบ อาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด

ตอนเข้ากลดแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่า พวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั้นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัว ถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลส แต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหน ก็เป็นเรื่องของจิตใจ

เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฎว่าเวลาประมาณตี 2 มีนกใหญ่ตัวหนึ่ง บินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี 2 จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร ท่านก็บอกว่า หนังควาย

เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากจะรู้ ก็เอาไม้แหลม (มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ 2-3 อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้) แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่หล่นลงมา เป็นอันว่า อีก 2 กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะ เหมือนกัน

พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่า ที่นั้นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่า ไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา

ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว (ถ้าเข้าตัว ก็หมายถึง ตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่) ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง 3 คนก็เอาหนังควาย ที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง

แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี 2 คน นุ่งขาวห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา (ไม่ใช่อาหารขอภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง) แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้าปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวาย ขณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวาย ข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ

ทั้ง 3 องค์ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน 2 คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมด ก็ถามท่าอินทกะ อินทกะท่านบอกง่า ไอ้เจ้า 2 คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลดของท่านเมื่อคืนนี้ และข้าวนั่น ท่านจะฉันไม่ได้นะ มันเป็นทราย และพุงปลากับไข่ปลา ก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะ ท่านก็บอกว่า ให้ตั้งนะโมฯ 3 จบ ว่า อิติปิโสฯ 1 จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า
ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมสิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ ไปพรมข้าว พอพรมข้าว ข้าวก็กลายเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นธรรมดา มีหนามผูกไขว้

คนทั้งหลายพอเห็นเข้า อย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน 2 คนนี่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์ เขาถือว่า ถ้าฆ่าพระธุดงค์ได้ เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธ จะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลย เป็นเรื่องของกฎของกรรมตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 19:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ธุดงค์ภาคอีสาน ตอนที่ 2


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ 20 พฤษภาคม 2534 หลังจากที่ห้ามบรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว คนทั้งหมดก็พากันขับไล่คน 2 คนไป ก็ถามว่า คน 2 คน เป็นคนที่นี่ หรือที่ไหน ชาวบ้านบอกว่า ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ก็มีอยู่ 2-3 คน บอกว่า ผมจะต้องตามล้างให้ได้คนนี้ ก็เลยบอกว่า โยม อย่าทำเลย ในเมื่อเขาทำอาตมาไม่ได้ แล้วก็แล้วกันไป เขาจะได้ทราบว่า พระธุดงค์ไม่ใช้เหยื่อของไสยศาสตร์ ไม่ใช่ว่า นักไสยศาสตร์จะทำได้ง่าย ๆ

ชาวบ้านก็ขอนิมนต์ให้อยู่ถึง 3 วัน จึงถามท่านอินทกะว่า ตามสัญญาของเรา จะต้องอยู่ในป่า ไม่พบกับคน ท่านอินทกะก็บอกว่า ที่นี่เป็นชาวป่าไกลวัดมาก หาวัดทำบุญยาก ควรจะอยู่สงเคราะห์ ในเมื่อเราอยู่ของเรา เขาก็เข้าบ้านของเขา ถึงเวลาอาหารเขาก็นำมาให้ เราก็รับประเคน ก็ไม่เป็นไร เราจะได้รู้ใจตนเองว่า เราติดอาหารชาวบ้าน หรือไม่ติด

แต่ความจริง อาหารของชาวบ้านก็มีรสอร่อยดี อย่างพริกเผา เขาก็ไม่มีกะปิ โดยมากจะเป็น พริกเผา หรือพริกแห้ง ตำมาให้ อาหารต่าง ๆ ก็มีอะไรบ้างล่ะ บางวันก็มีแย้มาด้วย จะมีอะไรบ้าง พวกเราก็ไม่สนใจ แต่ว่าที่สนใจมากที่สุดก็คือ ผัก อาหารประเภท ผัก กับน้ำพริกชอบฉัน เพราะหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ความจริงไม่ได้กินเจ แต่เกรงว่าจะติดเรื่องเนื้อสัตว์มากเกินไป และอีกประการหนึ่ง ถ้าเราชอบอย่างไหนเข้า เขาจะหาอย่างนั้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวป่าเขาก็ต้องหาแย้บ้าง หาอึ่งบ้าง เป็นต้น พวกนี้ ถ้าเขารู้ว่าพระชอบ เขาจะหามาให้มาก

ก็เป็นอันว่า ทั้ง 3 องค์ชอบเหมือนกันคือ ชอบผัก อย่างผักบุ้ง ผักอะไรต่าง ๆ ที่เขานำมาให้ ก็จิ้มกับน้ำพริก เขาถามว่า ทำไมถึงไม่ฉันเนื้อสัตว์ บอกว่า ตามธรรมดาก็ฉัน และฉันมามากแล้ว แต่ว่าน้ำพริกอย่างนี้ก็ดี ผักประเภทนี้ก็ดี ไม่ได้ฉันมานาน ชอบฉัน อย่างส้มตำ เป็นต้น ก็นำมาเป็นอาหารได้อย่างดี เมื่อกินเสร็จ เรากินกันเวลาเดียว ชาวบ้านก็กลับ ตอนเย็นท่านก็นำน้ำมาถวาย มีน้ำอัดลม เป็นต้น

เราก็อยู่กันแบบสงัด ขณะที่อยู่แบบสงัด ก็ปรากฏว่า เวลากลางคืน คืนหลังนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เป็น สัตวศาสตร์ (คำว่า สัตวศาสตร์ ก็หมายความว่า สัตว์ที่มีความรู้) นั่นคือ เสือ เสือจริง ๆ พอเวลาประมาณสัก 3 ทุ่มเศษ ๆ นั่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ เมื่อเลิกจากการเจริญกรรมฐานแล้ว ก็นั่งคุยกัน (แต่ว่าคุยกันในกลด ต่างคนต่างอยู่ในกลด เพราะออกนอกกลดไม่ได้ ยุงกัด ยุงมันมาก ยุงจะกัด หรือไม่กัด เราก็ไม่อยากออกจากกลด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ออกจากกลด)

ปรากฏว่า มีเสือมาตัวหนึ่ง กลางคืนเห็นเป็นสีขาว เพราะเดือนหงาย ตัวยาว ใหญ่มาก เดินดมฟึดฟัด ๆ อยู่รอบกลด เดินสัก 3-4 รอบ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป ก็ถามท่านอินทกะว่า เสือนี่จะทำอันตรายได้ไหม ท่านบอกไม่ได้หรอก ท่านเฉยไว้ก็แล้วกัน ถ้าหากว่าท่านไม่เฉย ท่านก็ไม่มีอะไรจะสู้ ก็ถามว่า คาถา ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ตวาดป่าหิมพานต์ จะใช้ได้ไหม ท่านบอก ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ ให้ใช้แต่เวลาที่มีความจำเป็น ในเมื่อประจันหน้ากันจริง ๆ เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ใช้คาถาบทนี้แล้วตวาด ออกเสียงตวาด เสือก็ดี ช้างก็ดี จะหนีไป

และเวลานี้ เสือกำลังคิดจะทำร้าย เดินวนมาวนไป แต่เข้าในเขตกลดไม่ได้ ก็ไม่ควรจะว่าคาถาบทนี้ให้เฉยไว้ เรื่องอันตรายต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของคณะของผม แต่ว่าเสือเดินวนมาวนไปอยู่พักหนึ่ง ก็คุ้ย แกไม่รู้จะทำอย่างไรแกก็คุ้ยดินเข้ากลด หันหลังมาคุ้ยดิน เพื่อให้เราออกจากกลด พวกเราก็ไม่ออก แกเล่นเอาย่ำแย่เหมือนกัน เล่นเอามุ้งตุงไปด้านหลัง คุ้ยดิน คุ้ยเอามาก

ในที่สุดก็บอกท่านอินทกะว่า นี่จะทนไม่ไหวแล้วนะ (คำว่า ทนไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่า จะไปสู้กับเสือ เพราะดินเข้าหู เข้าตา เข้าหัว เข้าตัว มุ้งก็กระจุยกระจายไปหมด) ท่านอินทกะก็เลยเอามือชี้ไปที่เสือ เพียงแค่ท่านชี้ไปเท่านี้เอง เสือก็วิ่งโชน วิ่งเข้าป่าหายไป

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ใช้คาถาบทไหน คาถาจริง ๆ คือบท เมตตัญ จะ สัพพโลฯ กับ อิติปิโสฯ นี่ทิ้งไม่ได้ ต้องขึ้น อิติปิโสฯ ก่อน ก็สวดมนต์ธรรมดานี่เอง และนอกจากนั้นก็แผ่เมตตาจิต คือ ใช้พรหมวิหาร 4 แผ่เมตตา ไปในจักรวาลทั้งปวง

ถ้าถามว่า แผ่เมตตาแล้วทำไมเสือจึงมาเล่นงาน ก็ต้องตอบว่า นั่นเป็นหน้าที่ของเสือ ไม่ใช่หน้าที่ของพระ เสือมันจะมากิน ถ้าถามว่า ทำไมจึงเข้าในเขตของกลดไม่ได้ ก็ต้องตอบว่า ด้วยอำนาจของท้าวมหาราช กับบริวารของท่าน ทำให้เสือเข้ามาในเขตของกลดไม่ได้ หลักเราปักตรงไหน เสือเข้าถึงหลักนั้นไม่ได้ (หลักผูกสายกลด)

เป็นอันว่า ตอนเช้าชาวบ้านมาเห็นเข้า ก็ทราบว่า อันตรายเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ถามว่า เมื่อคืนนี้มีอะไรมารบกวนท่านหรือขอรับ ก็บอกว่า มีเสือตัวใหญ่ เขาบอกว่า เสือตัวนี้ พวกผมตามล่ามาหลายครั้งแล้ว ไม่พบมันสักทีหนึ่ง ถ้าพบเมื่อไร ต้องยิงมันเมื่อนั้น มันร้ายกาจเหลือเกิน

เคยเข้าไปขโมยสุนัขมากินบ้าง ขโมยไก่ไปกินบ้าง หรือลูกวัวตัวเล็ก ๆ มันคาบเอาไปกิน มันเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ผมก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเข้ามาทำร้ายท่าน คืนนี้ผมจะมานอนเป็นเพื่อน ก็เลยบอก ไม่ต้องหรอกโยม อาตมาเสี่ยงแล้ว ถือว่าถ้าไม่ดี มันก็ตายไปเองเทวดาหรือพระไม่ช่วย ถ้าหากว่าเรามีความดี เทวดา กับพระท่านช่วย ก็ไม่เป็นไร

หลังจากฉันเสร็จ ก็ลาญาติโยมทั้งหลาย ถอนกลดเดินทางต่อไป ไปคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหน ไปพบกุฏิหลังหนึ่ง เป็นบ้านเรือนไทยแบบธรรมดา ๆ แต่เก่าแล้ว หลังใหญ่หน่อย เป็นบ้านร้าง (จะเป็นบ้านร้าง หรือวัดร้างก็ไม่ทราบ มันมีหลังเดียวจริง ๆ ) ก็พากันปักกลดรอบบ้านหลังนั้น ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะมีอันตรายไหม

ท่านบอก ขึ้นชื่อว่าอันตรายมันมีทุกแห่ง ให้คิดไว้เสมอว่าทุกแห่งมีอันตราย จะต้องระวังตัวไว้ ก็ถามว่า อันตรายอื่นใดจะมีไหม อย่างเสือเป็นต้น ช้างเป็นต้น ท่านบอก เสือกับช้างไม่ต้องห่วง ไม่มี เพราะผมกันได้ แต่คืนนี้จะมีอันตรายแตกต่างจากเมื่อก่อนนี้ ก็ถามว่า จะเป็นอะไร ท่านบอก เอาไว้รู้เมื่อถึงเวลานั้น
ก็เป็นอันว่า ในเมื่อคิดว่าจะมีอันตราย ก็ใช้สวด เมตตัญ จะ สัพพโลฯ เพื่อเป็นที่รักของเทวดา มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลายเสร็จ ก็นั่งภาวนากันตามปกติ ใช้จิตตามสบาย ๆ ถือว่าอันตรายใด ๆ ถ้าจะพึงมีกับเรา ก็ต้องเป็นอันตรายที่เกินวิสัยของเทวดาที่ควบคุม ขนาดอินทกะถ้าสู้ไม่ได้ เราก็ควรจะตาย

ตัดสินใจว่า ถ้าตายเมื่อไรอย่างน้อยที่สุดเราก็ไปเกิดบนสวรรค์ หรือเป็นพรหม หรือถ้าบังเอิญกำลังใจเราดี เราก็อาจจะไปนิพพาน แต่ความจริงเวลานั้น ไม่ได้หวังอะไรทั้งหมด คิดแต่เพียงว่าเราต้องการบุญอย่างเดียว เมื่อเรามีบุญอยู่ จิตมีเฉพาะบุญไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร อารมณ์ใจเป็นกุศล อย่างน้อยก็ไปสู่สุคติ มีสวรรค์ เป็นต้น

หลังจากนั้น เวลากลางคืน เวลาประมาณตี 2 ลุกขึ้นมาเจริญกรรมฐานอีก ตอนนี้ได้ยินเสียงผู้หญิงเสียงประมาณนับเป็นร้อยคน ไม่ใช่คนสองคนคุยกัน หัวเราะเกรียวกราวก็มองไปมองมา ทีแรกก็มองไม่เห็น หนักเข้า ๆ ก็เห็นพวกเธอเดินใกล้เข้ามา ๆ มากมายเหลือเกิน ประมาณ 200 คนล้อมบริเวณกลดของเรา ก็เฮฮา ๆ ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน

แต่ว่าเป็นผู้หญิงสาวล้วน ๆ ก็มองดูว่า ถ้าเป็นชาวบ้าน เวลานี้มันตี 2 แล้ว ชาวบ้านจะมากันทำไมในป่า มาร้องรำทำเพลงในป่าเพื่ออวดใคร อวดต้นไม้ก็ไม่มีประโยชน์ หรือว่าบางทีเขาอาจบนบานศาลกล่าวเจ้าที่เจ้าทางไว้ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านหลังนี้อาจจะเป็นศาลก็ได้

ก็คิดในใจ ถามท่านอินทกะว่า คนที่เห็นประมาณสัก 200 คน ที่ร้องรำทำเพลง เป็นพวกอะไร ท่านบอกว่า ชาวบ้านธรรมดาเขาเรียกว่า ผี แต่ความจริง พวกนี้ไม่ใช่ผี เป็นพวกรุกขเทวดา กับภุมเทวดา ให้ท่านสังเกตให้ดีว่า ทุกคนผิวสวยหมด ทรวดทรงสวยหมดแต่งตัวก็สวยทั้งหมด เครื่องประดับก็สวยทั้งหมด เขาจะมาทดลองพวกท่านว่า พวกท่านจะติดในรูปเขาไหม

ประการที่สอง พวกท่านจะติดในเสียงเขาไหม
ประการที่สาม พวกท่านจะติดในลีลา ในการแสดงของเขาไหม

ถ้าท่านติดทั้ง 3 อย่างนี้ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็จะกลับ ก่อนจะกลับเขาจะโห่ หัวเราะเยาะท่าน หากว่าท่านไม่ติด ประเดี๋ยวเขาก็เลิกไป

แล้วท่านอินทกะก็ถามว่า ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ก็ตอบ จะมีความรู้สึกอย่างไรในเมื่อรุกขเทวดาก็ดี ภุมเทวดาก็ดี ก็เคยเป็นคนมาก่อน ในเมื่อพวกนี้เคยเป็นคนมาก่อนเคยมีร่างกายที่แสนสกปรกมาก่อน เวลานี้ตายแล้ว ตายมาเป็นผี มีสภาพเป็นลม ร่างกายเธอก็จับไม่ถูก ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์
ราคะ จะเกิดเพราะอะไร ก็ไม่น่าจะเกิด โลภะ ความโลภอยากได้ทรัพย์สินของเธอ ก็ไม่น่าจะมี เพราะเราทิ้งมาแล้ว โทสะ ความโกรธ เธอก็ไม่ได้สร้างโทสะให้โกรธ เธอมาร้องรำทำเพลง จะถือว่าเป็นการขัดกับการเจริญกรรมฐานก็ไม่ถูกต้อง ก็ต้องถือว่าเรื่องของใคร ก็เรื่องของใคร

เขาจะร้องรำทำเพลง ก็เป็นเรื่องของเขา เราเจริญกรรมฐาน ก็เป็นเรื่องของเรา หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกว่า ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ก็บอกท่านอินทกะบอกว่า อาตมาคิดอย่างนี้
ท่านบอก ถูกแล้ว พอท่านอินทกะบอกว่า ถูก เท่านั้นละพวกนั้นหยุดรำ นั่งลงคุกเข่ากราบ 3 ครั้ง ต่างคนต่างไป อินทกะก็บอกว่า เห็นไหมล่ะ พอท่านคิดถูก เห็นว่าพวกเขาเป็นคนสกปรกมาก่อน มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองอยู่ในร่างกาย มีอุจจาระปัสสาวะ เป็นคนมาก่อน แล้วก็ตาย หลังจากตายก็เหลือสภาพของจิต ที่เรียกกันว่า อทิสสมานกาย แล้วก็ในเวลานี้ เขามาทดลองท่าน

ท่านไม่สนใจในรูปร่างของเขา ท่านไม่สนใจในผิวพรรณของเขาท่านไม่สนใจในเสียงของเขา ท่านไม่สนใจในลีลาของเขา และท่านก็มีความรู้สึกว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง คนทุกคนต้องตายเหมือนกันหมดแบบนี้เมื่อตายแล้ว เขาก็เลยคิดว่า การที่เราจะมาพิสูจน์ เป็นผลสำหรับเขา คือ วันพรุ่งนี้เช้า เขาจะใส่บาตร เขาต้องมาพิสูจน์ก่อน ถ้าบังเอิญคณะของท่าน องค์ใดองค์หนึ่ง ไปชอบผิวพรรณก็ดีทรวดทรงก็ตาม ลีลาก็ตาม หรือสุ้มเสียงก็ตาม พรุ่งนี้อดแน่

ก็ถามว่า อีก 2 องค์ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ท่านอินทกะก็บอกว่า อีก 2 องค์ ท่านก็มีความรู้สึกเหมือนท่านเหมือนกัน ต่างคนต่างปลงอนิจจังว่า บรรดาผีทั้งหลายเหล่านี้ ต่างเน่ามาก่อนแล้ว มันเน่ามาก่อนตาย คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองในร่างกาย มันเน่ามันเหม็นมาก่อนตาย เมื่อตายแล้วก็เน่า เน่าแล้วก็มาเป็นผี เป็นผีแล้วก็มาล้อพระธุดงค์ ทั้ง 2 องค์ ก็ไม่มีจิตประสงค์ในราคะ โทสะ โมหะ เหมือนกัน ในเมื่อเขาทราบความเป็นจริงอย่างนั้นแล้ว เขาก็กลับไป

ในเมื่อกลับไปแล้ว ก็ปรากฏว่า ตอนเช้าคิดว่า จะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะบอกว่า ไม่ต้องไปหรอก ประเดี๋ยวพวกเมื่อคืนก็มา แล้วก็ถานท่านว่า เมื่อคืนนี้ เขาเห็นท่านไหม ท่านอินทกะก็เลยบอกว่า เทวดานี่มีกำลังไม่เสมอกัน

ภุมเทวดามีร่างกายหยาบกว่ารุกขเทวดา รุกขเทวดา ก็มีร่างกายหยาบกว่า อากาสเทวดา อากาสเทวดาละเอียดกว่า เมื่อคืนนี้ผมไม่ยอมให้เขาเห็นผม ถ้าเขาเห็นผม เขาจะไม่แสดงอะไรทั้งหมด เพราะเขากลัวพวกผม ผมปล่อยเขาตามปกติ ประเดี๋ยวเขาจะมา ท่านไม่ต้องไปบิณฑบาต

ก็เป็นอันว่า อีกสักครู่เดียว (ประมาณโมงเช้า ) คราวนี้มีทั้งผู้หญิง มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิงมีแต่สาวทั้งหมด ทรวดทรงดีทั้งหมด (ถ้าพูดตามส่วน คือ พวกเมื่อคืนนี้ แต่งตัวก็ดี ไม่น่าจะเป็นคนภาคอีสาน ไม่น่าจะมาอยู่ในป่า) นำอาหารมาถวาย แล้วก็มีอะไรก็ไม่ทราบ ที่เขาใส่ข้าวเหนียว ถือมาคนละกล่อง ๆ เหมือนกันหมด แต่ว่าอาหารทั้งหมดไม่มีกับ เป็นข้าวมีสีเหลืองน้อย ๆ มาใส่บาตร

เมื่อตักบาตรเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็นั่งคุย สำหรับผู้ชายรู้สึกว่ามีท่าทางขรึม ๆ เรียบร้อยสงบเสงี่ยม แต่พวกผู้หญิงนี่สิใช้ตาเป็นสื่อ แสดงอาการออกทางตามาก ทางปากก็แสดง พูดลีลาก็ดี ไพเราะอ่อนหวาน ทางตาก็แสดงอาการเจ้าชู้ พวกเราก็รู้แล้วว่า ผี จะไปยุ่งกับผีก็ไม่มีประโยชน์ ยุ่งกับคนก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยทำเฉยไว้ ทำใจเฉย ๆ

ก็คิดว่าเมื่อเธอตายแล้ว ก็เชิญตายไปเถอะ ต่อไปฉันก็จะตายบ้างเหมือนกัน ตายไปฉันก็จะไม่ไปยุ่งกับพระ อย่างพวกเธอนี่หรอก เราก็กินข้าวไป เมื่อกินข้าวเสร็จก็ ยถา สัพพีฯ ให้พรเขา เขาก็รับพร แล้วต่างคนต่างลา ต่างก็หายไป

หลังจากนั้น ท่านอินทกะก็บอกว่า เดินจากนี้ไปประมาณสัก 2 กิโลเมตร จะมีถ้ำเป็นที่พัก (ไม่ทราบว่าจังหวัดไหนในป่าลึก) ให้ท่านพักในถ้ำนั้นประมาณสัก 7 วัน พวกผมจะอยู่คุ้มครองท่าน แล้วท่านอินทกะก็นำหน้าเดินทางไป พอเข้าไปถึงถ้ำ ท่านก็ชี้แจงเรื่องความเป็นมาต่าง ๆ ว่า ดินแดนแถวนี้ เดิมทีเดียวเคยเป็นเมือง เป็นบ้านเป็นเมือง แต่เวลานี้เป็นป่า ก็ดูสภาพบ้านเมืองต่าง ๆ สมัยก่อนเป็นเมืองย่อม ๆ เล็ก (ขนาดใหญ่ก็ประมาณสักหนึ่งอำเภอ เขตอำเภอในเวลานี้) เป็นกลุ่มของคน

บางครั้งบางคราวเขาก็ยกทัพมารบกันบ้าง บางครั้งบางคราเขาก็ดีกันบ้าง มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันเป็นปกติ บางคราวก็ดีกัน มันเป็นเรื่องของบุคคลคนเดียว คือ พ่อเมือง ถ้าพ่อเมือง กับพ่อเมืองดีกัน ชาวบ้านก็ดีกัน ถ้าพ่อเมือง กับพ่อเมืองเขาขัดใจกัน ชาวบ้านก็ต้องขัดใจกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ในเมื่อเขาสั่งให้รบ ก็ต้องรบกัน ก็ยกทัพตีกันนั่นเอง ยกพวกตีกัน ดูแล้วก็น่าสลดใจ

ก็เลยถามท่านว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ พวกฉันเคยมาร่วมกับเขาบ้างหรือเปล่าบอก ยังท่าน สมัยท่านไม่มี ในเขตนี้ไม่มี เมืองเล็ก ๆ ประเภทนี้พวกท่านไม่เคยเกิด เกิดเมืองใหญ่กว่านี้ เมื่อดูไปจนเพลิน ก็คิดในใจว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ในสถานที่นี้เคยมีคน คนมีเนื้ออ่อน กระดูกถึงแม้จะแข็ง ก็ยังอ่อนกว่าไม้ ในที่สุดคนก็ตาย บ้านเรือนที่สร้างสวย ๆ ในที่สุดก็สลายหายตัวไปหมด ปรากฏว่ามีแต่ป่าไม้ใหญ่เป็นป่าทึบ บ้านเมืองทั้งหลายเหล่านี้ คงจะผ่านพ้นไปเป็นร้อย ๆ ปี

ในที่สุดก็อยู่ในถ้ำ พอเข้าไปนอนในถ้ำ อินทกะก็บอกว่า ความปลอดภัยมีกับท่านแล้วหน้าที่ต่อไปนี้ ก็จะเป็นหน้าที่ของคนอื่น ผมขอลาท่านไปสักครู่หนึ่ง ถามว่า จะไปไหนท่านบอกว่า จะไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ เพราะว่าท่านท้าวเวสสุวัณตรัสเรียก ก็เป็นอันว่าท่านอินทกะก็ไป ลูกน้องอินทกะก็ไป เหลือแต่พวกเรา 3 คน กำลังนอนเพลิน ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งคาดไม่ถึง

เวลาประมาณสัก 4 ทุ่ม สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ มีคนมายืนหน้าถ้ำ 4-5 คน คน 4-5 คน ทีแรกก็ตัวเล็ก ๆ คล้าย ๆ กับเด็กสัก 4-5 ขวบ เมื่อมองดูแล้ว หนัก ๆ เข้าเด็กคนนั้นค่อย ๆ โตขึ้นทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งหัวยันพื้นของถ้ำ แต่ว่าเธอยังอยู่นอกถ้ำ ในที่สุดตัวก็ใหญ่ขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งสะดืออยู่พ้นหลังคาของถ้ำ ก็มองดูเธอ เธอทำอะไรเราก็มองดู

ด้านจิตใจก็เฉย ๆ คิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา ท่านที่ปรากฏร่างกายอย่างนี้ก็คือ ผี แต่ว่าผีที่จะเกิดขึ้นมาได้ ก็มาจากคน และคนประเภทนี้ ทำไมถึงเกเรมาก ในเมื่อเป็นผีแล้วมาเกเรกับพระ พระที่มาธุดงค์ ต้องการความสงัด ก็นึกในใจว่า ทางที่ดีถ้าผีมีความฉลาดก็ควรจะนั่งกราบ และยกมือไหว้พระด้วยความเคารพ สร้างบุญสร้างกุศลต่อ ให้มีบารมีสูงขึ้น มีความสุขความสบายมากขึ้น มีวิมานสูงขึ้น ร่างกายสวยขึ้น

พอคิดเพียงเท่านี้ผีก็ลดตัวลง พอลดตัวลงมาต่ำ นั่งเป็นปกติ ร่างกายของคนก็ค่อย ๆ กลายเป็นสุนัขใหญ่ เป็นสุนัขค่อย ๆ ใหญ่มาทีละน้อย ๆ ทำท่าแยกเขี้ยว เห็นขาวโพลนจะกัดละสิ แต่ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง แกทำท่าอยู่นอกถ้ำ ไม่เข้ามาในถ้ำ ก็เลยนั่งกันเฉย ๆ พวกเราก็นั่งคุยกันบอก ปล่อยเขา เมื่อผีคนกลายเป็นหมาได้ เราจะสนใจอะไรกับหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ที่เลวกว่าคน นี่เป็นคนแท้ๆ กลับกลายเป็นหมา

แสดงว่า คนนี้เป็นคนเลวเมื่อตายจากความเป็นคนแล้ว จึงกลายเป็นหมา และเป็นหมาโต และเป็นหมาที่ดุ ดุใครไม่ดุมาดุพระซึ่งไม่เคยเป็นศัตรูกัน พวกเราเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แผ่เมตตาจิตว่า บรรดาสุนัขทั้งหลายเธอจงมีความสุขตามสภาพของสุนัข เธออยากกินอะไร ขอให้ได้กินตามชอบใจแต่ห้ามกินฉัน
พอพูดเท่านี้ สุนัขหัวเราะกั้ก ๆ เป็นเสียงคนประเดี๋ยวภาพสุนัขก็หายไป กลายเป็นพระ เดินเข้ามาในถ้ำ องค์ที่เดินนำหน้าคือ หลวงพ่อปาน องค์ที่สองคือ หลวงพ่อจงองค์ที่สามคือ หลวงพ่อเนียม องค์ที่สี่คือ หลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อปานถามว่า เมื่อกี้แกแช่งหมาหรือ บอก ผมไม่รู้ว่าเป็นหลวงพ่อนี่ครับ ก็ลุกขึ้นกราบท่าน

ความจริงที่ท่านอินทกะท่านหลีกไป ท่านบอกว่า ฉันจะมา ฉันจะมาลองพวกเธอว่า พวกเธอจะกลัวไหม อินทกะท่านจึงหลีกทาง แต่ความจริงท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ หากว่าท่านอยู่ ถ้าหากให้ฉันแสดงให้เธอพบ ให้เธอเห็น ก็จะหาว่าท่านไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจ

จึงได้บอกว่า ท่านต้องไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ ซึ่งความจริงท้าวเวสสุวัณเวลานี้ก็อยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้อยู่ที่ไหน การทำใจแบบนี้ดี ฉันติดตามพวกเธอมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ถูก ..สามารถเข้าเขตสายอัพโภกาสได้ ก็จับบนยอดกลด ลงมาไม่ได้ กลายสภาพเป็นนก และถูกเขาเอาทรายมาเป็นข้าว เขาเก่งมาก เอาหนามมาผูก ทำเป็นต้มยำไข่กับพุงปลา ฉันก็ติดตามสังเกตเธอว่า เธอจะเผลอไหม ถ้าเธอเผลอเมื่อไร ฉันจะเตือนเมื่อนั้น แต่บังเอิญท่านอินทกะท่านเตือน ฉันก็เลยเฉยไว้

หลังจากนั้น เมื่อมาพบกับนางฟ้าของรุกขเทวดาทั้งหลายก็ดี ภุมเทวดาทั้งหลายก็ดี เธอก็ไม่สนใจมาวันนี้เธอเห็นภาพคนใหญ่ ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นทันหูทันตา ก็ไม่ตกใจ อย่างนี้ใช้ได้ ในการธุดงค์ จงมีความรู้สึกไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงเราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าหากว่า ถ้าเราตายอยู่กับธรรมะอย่างนี้ เราจะไปสวรรค์เป็นอย่างน้อย ถ้าเราอยู่กับอธรรม จิตที่เป็นอกุศล มีความโกรธ เป็นต้น เราจะลงนรก พวกเธอทำกำลังใจถูกต้อง ขอให้ปฏิบัติตามนี้ต่อไป แล้วทั้ง 4 องค์ ท่านก็บอก จะกลับ ก็กราบท่านขอบคุณท่าน แล้วท่านก็กลับไป

พอท่านกลับไปแล้ว ท่านอินทกะก็มา ท่านอินทกะก็ถามว่า เห็นอะไรไหม ก็เลยบอกท่านว่า ไม่น่าจะหลอกกันเลย บอกว่า จะไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณ แล้วปล่อยให้หลวงพ่อปานหลวงพ่อทั้ง 4 เข้ามา ท่านก็บอกว่า ผมไม่ได้โกหกนะครับ ท่านท้าวเวสสุวัณท่านอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ท่านเรียกผมไป ผมก็ไป ต้องปล่อย ถ้าเราอยู่ที่นั่น จะหาว่าเราไม่มีเดชไม่มีอำนาจกันผีไม่ได้ ก็ต้องปล่อยดูกำลังใจ

เป็นอันว่า พักที่นั่น 7 วัน ก็มีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามีคนมาใส่บาตรเป็นปกติ แต่คนที่มาทุกคน ไม่มีใครแต่งตัวสวย นุ่งกางเกงปะ ใส่เสื้อปะ บางคนก็ไม่มีเสื้อผู้ชายนะผู้หญิงก็พอมีเสื้อ บางคนไม่มีเสื้อ ก็มีผ้าคาดอกมา เป็นคนรูปร่างรกรุงรัง แต่ว่าข้าวที่กิน เป็นข้าวสีเหลืองน้อย ๆ มีรสหวานหน่อย ๆ เวลาเขาใส่บาตร เขาจะมีดอกไม้สวย ๆ

ก็รวมความว่า พวกที่มาทั้งหมดเป็นนางฟ้า กับเทวดา ไม่ใช่คนธรรมดา เราก็จับได้แต่ว่าเราไม่พูด เรามีหน้าที่รับ เขามีหน้าที่ให้ เราก็รับ มีหน้าที่รับ รับแล้ว เราก็กิน เราก็ฉัน
ก็รวมความว่า การไปธุดงค์คราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็มีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์ ถ้าจะถามว่า ถ้าปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ทำอย่างไร ก็ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะส้วมมันใหญ่ คือ ป่า จะถ่ายที่ไหนก็ได้ ไม่ถ่ายใกล้ตัวเราก็แล้วกัน

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2011, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


บ้านหน้าถ้ำที่อีสาน


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ก็มาคุยกันเรื่องธุดงค์ ตอนก่อนมาค้างธุดงค์ในภาคอีสาน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นจังหวัดอะไร

ในตอนนั้น ปรากฏว่าท่านอินทกะ ท่านพาเดินมาพบภูเขาลูกหนึ่ง ใหญ่ยาวมากและก็มีถ้ำ มีหน้าผาสูง มีถ้ำลึก ด้านหน้าถ้ำก็เป็นเชิงออกมายาวกว้างขวาง เป็นที่นอนสบาย ๆ เป็นธรรมดาของนักธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ ย่อมชอบที่สงัด คือว่า ในสถานที่ใด กลางคืนไม่ได้ยินเสียงสุนัขของชาวบ้านเห่า ที่นั่นอยู่ได้ ถ้าได้ยินเสียงสุนัขของชาวบ้านเห่า ต้องไปให้ไกลกว่านั้น นั่นหมายความว่า ไม่ต้องการพบคน

ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะถามว่า ถ้าไม่พบคน กินอะไร ก็ขอตอบว่า กินข้าวถามว่าหาข้าวจากไหน ก็ตอบว่า หาข้าวจากเทวดา หากว่าท่านจะถามว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่คุยมากเกินไปหรือ ก็ต้องขอตอบว่า คุยไม่มาก คุยคนเดียว แล้วก็คุยตามความเป็นจริง

ความสามารถอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่มีแต่คณะของอาตมาคณะเดียว หลาย ๆ คณะท่านก็ทำกันอย่างนั้น ท่านทำกันมาก่อน ครูบาอาจารย์ทำมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนหลังก็มี คณะอาจารย์สร้อย จังหวัดสระบุรี ท่านก็ทำเป็นปกติ และมีคณะ (ไม่ใช่คณะมีองค์เดียว) อาจารย์สำราญ ที่ภูเขาภูกระดึง

ภูเขาภูกระดึง บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคนที่จะขึ้นไป ต้องเดินถึง 5 ชั่วโมงเศษ และต้องเดินจากที่ขึ้นไปถึงแล้วไปอีก 8 กิโลเมตร จึงจะถึงที่อาจารย์สำราญอยู่ ท่านอยู่องค์เดียว อยู่เป็นปี เข้าใจว่าอยู่ถึง 3 ปี โดยไม่มีที่จะบิณฑบาต ท่านก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน

ที่นำเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่า บางท่านคิดว่า มันจะเกินพอดีไป ความจริงไม่เกินพอดี อาตมายังไม่เก่งพอเสียอีก ในเมื่อธุดงค์อุกฤษฏ์ อาศัยข้าวจากเทวดา ก็มีความดีอยู่อย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท วันไหนถ้าจิตใจของเราเลว จิตใจเข้าไปยุ่งกับ โลภะ ความโลภ ราคะ ความรักโทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง แค่อารมณ์คิด ถ้าปรากฏมีกับจิตของเราในวันนี้ วันพรุ่งนี้เทวดาไม่ใส่บาตร ถ้าวันใด จิตใจปลอดโปร่งจากอารมณ์ทั้ง 4 ประการนั้น เทวดาใส่บาตร นางฟ้าใส่บาตรให้ ก็เป็นการระมัดระวังตัวไปในตัวเสร็จ

ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะถามว่า ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นพระอรหันต์แล้วใช่ไหม ก็ตอบว่า ไม่ใช่ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องเดินธุดงค์ จะเดินไปทำไม พระอรหันต์อยู่ที่ไหนก็สงัด การออกธุดงค์ในป่า ก็เป็นการหาที่สงัด พระอรหันต์ท่านอยู่ที่ไหนท่านก็สงัด

พราหมณ์เคยถามพระพุทธเจ้าว่า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ต้องการอยู่ป่าช้า ต้องการอยู่ป่าชัฏ ต้องการอยู่บ้านร้าง ต้องการอยู่ที่สงัดใช่ไหม พระพุทธเจ้าตอบว่า พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น พระอริยเจ้า จะอยู่ป่าช้าก็ดี จะอยู่ป่าชัฏก็ดี จะอยู่ในบ้านเปล่าก็ดี ก็สงัด จะอยู่ในบ้านในเมืองก็สงัด เพราะจิตท่านสงัดจากกิเลสเสียแล้ว รวมว่า จิตสงัดจากกิเลส (นี่พูดกันยาวเกินไปนะ ก็หวนกลับเข้ามา)

เมื่อเข้าถ้ำ ท่านอินทกะท่านก็หายไป (ท่านไม่ได้มายืนเฝ้าหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เทวดาท่านไม่ได้มายืนป๋อเฝ้า มายืนยามแบบนั้น) ท่านมาส่ง แล้วท่านก็หายไป พวกเราก็ปัดกวาดสถานที่ แต่สถานที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เหมือนกับมีคนมาจัดสถานที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในที่นั้นมีธารน้ำไหล ก็นอนกันอย่างเป็นสุข เป็นสุขอย่างพระธุดงค์ (มีผ้านุ่ง ผ้าสำหรับกรองน้ำ มีกลด สมบัติมีเพียงเท่านี้) อากาศก็รู้สึกจะเย็น ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อจับอานาปานสติ กับเตโชกสิณ ความอุ่นก็เกิดขึ้น นอนแบบสบาย ๆ ตามแบบฉบับของพระในป่า เมื่อนอน ๆ ไปแล้ว ก่อนจะนอนก็เจริญกรรมฐาน นี่เป็นของธรรมดา (ไม่ต้องเล่ากันดีกว่า) เป็นอันว่า นอนอย่างเป็นสุข

พอตื่นขึ้นเช้าขึ้นมา บรรดาท่านพุทธบริษัท ตั้งใจจะออกบิณฑบาตตามแบบฉบับเดิม นั่นก็คือว่าตั้งใจว่า เราจะเดินจากต้นไม้ต้นนี้ ไปถึงต้นไม้ต้นโน้น ถึงแล้วก็เดินกลับมาถึงต้นไม้ต้นนี้ ถ้าไม่มีใครใส่บาตร เราจะอยู่ด้วยธรรมปีติ (คำว่า ปีติ คือ ความอิ่มใจ)

ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ จะไม่อดตายหรือ ต้องตอบว่า ไม่อดร่างกายจะไม่ทรุดโทรม ข้าวไม่กิน น้ำกิน น้ำก็กินตามธรรมดา ๆ แต่ใจมันอิ่ม แต่จิตต้องคุมอารมณ์ไว้อย่างน้อยแค่ อุปจารสมาธิ เป็นอย่างเบา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องเล่น ฌาน 4 หรือ สมาบัติ 8 กันไปเลย จิตจะเป็นสุข ร่างกายจะสบาย

ถ้าถามว่า สมาบัติ 8 ทำได้หรือ ก็ตอบว่า เป็นของไม่ยาก สมาบัติ 8 หรือ ฌาน 4 ก็อันเดียวกัน สมาบัติ 8 ก็คือ ฌาน 4 ฌาน 4 ในรูปฌาน จับรูปเป็นสำคัญ สมาบัติ 8 ก็ใช้ฌาน 4 จับสิ่งที่ไม่มีรูป ก็ไม่มีอะไรยาก ก็เหมือนกับบุคคลคนเดียวกัน มองดูวัตถุกับมองดูอากาศ เวลานี้เรามองดูวัตถุ จิตจับที่วัตถุ จิตทรงอารมณ์อยู่ เวลานี้เราเลิกจากวัตถุจับอากาศ มองที่ว่าง ก็เห็นที่ว่าง ไม่เห็นวัตถุ ก็แค่นั้นแหละ ก็ใจของบุคคลคนเดียวกัน เป็นคน ๆ เดียวกัน ฌาน 4 ก็เช่นเดียวกัน เมื่อจับรูปก็เรียกว่า รูปฌาน เมื่อไม่จับรูปก็เรียกว่า อรูปฌาน คือ ฌานที่ไม่มีรูป (เอาละคุยพอเข้าใจ)

ที่นี้เมื่อออกมาจากถ้ำก็ตกใจ ตกใจเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อวันวานนี้ การเดินทางมาที่ถ้ำนี้ มีป่าเปลี่ยว มีรอยเสือ มีขี้ช้าง มีฝูงลิง แสดงสัญลักษณ์ แต่ว่าเวลานี้ขณะที่ออกมาจากถ้ำ ห่างจากถ้ำไปประมาณ 10 ว่า มีหมู่บ้านเต็มไปหมด ประมาณ 100 หลังคาเรือน มีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่ คนสาว คนแก่ ยุ่มย่ามไปหมด ต้นไม้สวย ๆ ลูกไม้สุกอร่าม อย่างลูกมะปรางนี่เหลืองอร่าม ลูกมะม่วงก็เหลืองอร่าม ลูกมะเฟืองก็เหลืองอร่าม มันเหลืองไปหมด ผิดปกติ

ก็หันมาปรึกษากัน 3 องค์ว่า มันอย่างไรกันแน่นะ เมื่อวานนี้เรามาไม่มีบ้าน มันเป็นป่าเปลี่ยว แต่บ้านพวกนี้ยกกันมาได้อย่างไร คืนเดียวตั้งร้อยหลังคาเรือน แล้วคนจริง ๆ ก็เกือบจะพันคน สององค์บอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า กำลังใจของเรามันดีไม่พอ ดีไม่ดีจะเป็นอุปาทาน เราถามท่านอินทกะดีกว่า ในฐานะที่ท่านคุมพวกเรามา เป็นพี่เลี้ยง ก็นึกถึงท่านอินทกะ

ท่านอินทกะท่านก็มา ถามท่านอินทกะว่า เมื่อวานนี้ ตรงนี้มันไม่มีบ้านนี่ แล้วบ้านมันมาอย่างไร หรือภูเขาเดินเข้าไปหาบ้าน ท่านอินทกะก็ยิ้ม ท่านบอกว่า คุณสังเกตดูให้ดีสิว่า คนทุกคนที่นี่จะไม่กระพริบตา พอท่านพูดอย่างนี้ก็นึกได้ว่า ต้องเป็นเทวดาแปลงแน่ เราเกือบจะถูกตุ๋น แต่ความจริงเทวดาเริ่มตุ๋นแล้ว

นักธุดงค์นี่ต้องถูกตุ๋น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พระมหากัสสปท่านเป็นคณาจารย์ใหญ่ฝ่ายธุดงค์ในพระพุทธศาสนา เป็นหัวหน้าใหญ่ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็ถูกเทวดาตุ๋นนับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะที่พวกเราเป็นลูกศิษย์ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไม่ถูกตุ๋นมันก็ซวย ถูกตุ๋นมาไม่รู้กี่วาระ ตั้งแต่เขตอำเภอศรีประจันต์ ก็ถูกตุ๋นมาแล้ว ทีนี้มาภาคอีสานก็ถูกตุ๋นอีก

ก็ถามท่านอินทกะว่า ถ้าอย่างนั้น จะบิณฑบาตที่ไหนล่ะ ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บ้านที่มาตั้งนี่ เป็นคนสองพวก พวกหนึ่งเป็น ภุมเทวดา อยู่แถบโน้น พวกแถบทางด้านนี้ คือ แถบทางขวามือนี่ เป็นพวก รุกขเทวดา ทั้งหมดนี้ เขาต้องการทำบุญกับท่าน เพื่อสร้างสมต่อบุญบารมีของเขา ท่านก็เดินเข้าไปบิณฑบาต ตามทางที่เขาจัดไว้ ระหว่างหมู่บ้านมันมีทางเดิน ทางสะอาด ก็เดินเข้าไป (ตอนนั้นท่านอินทกะก็หายไปแล้ว ท่านบอกเสร็จ ท่านก็หายไป)

ก็เดินไปตามทางก็มีชาวบ้าน เรียกกันโว้กเว้กบอก พวกเราโว้ย เวลานี้พระท่านมาโปรดแล้ว มาใส่บาตรกันเร็ว เสียงคำพูดขาดจบ ทุกคนนั่งเรียงเป็นแถวสองข้างทาง ซึ่งตามธรรมดาแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเดินมาค่อย ๆ เดินมา หรือวิ่งมาก็ได้ ถึงแม้จะวิ่งมามันก็ไม่เร็วขนาดนั้น หมู่บ้านตั้งประมาณร้อยหลังคาเรือน พอคนหัวหน้าพูดจบ ทุกคนนั่งพรึบสองข้างทาง แต่ว่าการแต่งตัว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็แต่งตัวแบบชาวป่าธรรมดา ๆ

ท่านหัวหน้าเข้ามายกมือไหว้ บอกว่า พวกผมเป็นชาวป่าขอรับ และก็เป็นชาวป่าที่ไม่ใช่พรานป่า ไม่ฆ่าเนื้อ ไม่ฆ่าสัตว์ รักษาศีล 5 บางคนก็รักษาศีล 8 พอบอกรักษาศีล 8 ก็ตกใจ (แค่รักษาศีล 5 ก็ตกใจแล้ว เพราะคนที่ทรงศีล 5 บริสุทธิ์ นี่ต้องเป็นพระโสดาบัน ท่านที่ทรงศีล 8 บริสุทธิ์ ต้องเป็นพระอนาคามี นี่ตามแบบฉบับนะ) แต่เมื่อท่านพูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของท่าน ก็นึกว่า ท่านพวกนี้ไม่ใช่น้อย
ในเมื่อท่านบอกว่า ท่านทรงศีล 5 กันบ้าง ทรงศีล 8 กันบ้าง การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงไม่มี ฉะนั้นการใส่บาตรของพวกท่าน กับข้าวจึงไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีต้ม ไม่มีแกง มีแต่ข้าว ผสมกับน้ำมันบ้าง (น้ำมันอะไรของท่านก็ไม่ทราบ) น้ำมันบ้าง น้ำตาลบ้าง กินหวาน ๆ เค็ม ๆ อร่อยพอกินกันไปได้ อยู่แบบนี้มา อยากกินผลไม้ ก็กินผลไม้ ใครเบื่อข้าว ก็กินผลไม้ เบื่อผลไม้ก็มากินข้าว ความจริงข้าวก็ไม่ได้หว่าน ไม่ได้ปลูก มันขึ้นเอง ท่านอธิบายแบบนั้น

เมื่อสุดแถวแล้วก็เดินทางกลับมาฉันข้าวที่ถ้ำ เมื่อขณะที่เดินกลับมา ก็มีชาวบ้านตามมาด้วย มานั่งในถ้ำบ้าง นั่งนอกถ้ำบ้าง คณะของอาตมาก็นั่งฉันข้าวตามปกติ ก่อนจะฉันก็ใช้ อาหาเรปฏิกูลสัญญาก่อน ขณะที่ใจนึกถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา หัวหน้าก็ยกมือไหว้แล้วกราบ ทุกคนก็กราบ เราก็นึกว่า แกกราบใครกัน ก็ถามว่า โยมกราบอะไร ท่านหัวหน้าก็บอกว่า ท่านนึกอะไร ก็บอกว่า นึกถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา

ท่านก็เลยบอกว่า พระอย่างนี้สิครับ ผมต้องการ ฉะนั้นบรรดาพวกผมเห็นท่านมาพักที่นี่ จึงยกบ้านมาตั้งอยู่หน้าถ้ำ เพื่อไม่ให้ไกลท่าน ถามว่า หมู่บ้านของโยมเดิมอยู่ที่ไหน ท่านบอก ทุกคนแยกกันอยู่ครับ อยู่กันคนละทิศคนละทาง แต่ว่าเมื่อตอนเย็นวาน เห็นท่านมาพักก็เลยพร้อมใจกันยกบ้านเข้ามาปลูกหน้าถ้ำ จะได้ไม่ลำบากในการพบกับท่าน (ฟังท่านพูดบรรดาท่านพุทธบริษัท มันของง่ายเหลือเกิน แค่จะเดินก็ไม่ไหว)

เมื่อฉันข้าวเสร็จก็ให้พร ให้พรตามปกติ ยถา สัพพีฯ ตามธรรมดา ฯ แล้วก็คุยกัน คุยกันไปคุยกันมา ก็นั่งมองทุกคนที่คุยไม่มีใครกระพริบตาสักคนในที่สุด (ไอ้ปากมันก็ทนไม่ไหว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท) ก็คิดในใจว่า ท่านพวกนี้ ท่านเป็นเทวดาบ้าง ท่านเป็นนางฟ้าบ้าง ทำไมท่านจึงต้องมาหลอกเรา พอคิดเท่านี้

ท่านหัวหน้าท่านก็ยิ้ม ท่านบอกผมไม่ได้หลอกขอรับ ผมต้องการทำบุญ ถามว่า โยมรู้อารมณ์อาตมานึกหรือ ท่านบอกว่า ท่านรู้ ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น โยมเป็นเทวดาใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ถามว่า เทวดาทำไมต้องปลูกบ้านอยู่ ท่านบอก ถ้าไม่ปลูกบ้านอยู่ ท่านจะเห็นบ้านได้อย่างไร ก็ต้องปลูกบ้าน แต่ผมขอพรท่านสักอย่างหนึ่ง คือว่า ขอให้ท่านอยู่ที่นี่ 7 วัน อย่างน้อย 7 วัน เพื่อพวกผมจะได้ทำบุญ และเวลาตอนกลางคืน เวลา 2 ทุ่ม ขอฟังเทศน์สัก 10 นาที เลยตกลง

ถึงเวลากลางคืน เวลาประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากเลิกกรรมฐานแล้ว ก็มีเทวดามาชุมนุมกัน ก็เลยท่านบอกว่าในเมื่อท่านทั้งหลายเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ก็เลิกแต่งตัวเป็นคนธรรมดาเสียได้ไหม ท่านอกว่า ได้ หลังจากคำว่า ได้ ทุกคนก็เป็นหนุ่มเป็นสาวหมด ที่เป็นเด็กก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ที่เป็นคนแก่ก็เป็น หนุ่มเป็นสาว ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่แล้ว ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ผิวพรรณดีกว่าเดิม มีแสงสว่างออกจากกาย แต่ว่าไม่มีเครื่องประดับ ไม่สวมชฎา

ถามว่า ทำไมไม่มีเครื่องประดับ ไม่สวมชฎา ท่านบอกว่า เวลานี้กำลังฟังธรรม ต้องการจะฟังเทศน์ ทำไมจะต้องใช้เครื่องประดับด้วย ทำไมต้องใช้ชฎาด้วย ชฎามันเป็นหมวก ถ้าใส่หมวก ก็เป็นการไม่เคารพในธรรม ถามท่านว่า ท่านต้องการจะฟังเทศน์อะไร (ถามหัวหน้า) ท่านบอก อริยสัจ ก็เลยเทศน์อริยสัจให้ท่านฟัง ตามที่จะพึงเข้าใจ พอฟังจบ ท่านก็สาธุกัน แล้วท่านก็ลากลับ แล้วท่านก็บอกว่า วันพรุ่งนี้ ขอนิมนต์บิณฑบาตตามเดิมนะครับ

ก็อยู่ที่นั่นมาจนกระทั่งอยู่ครบ 7 วัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าจะถามว่า ในเมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว บ้านเป็นวิมานไหม ก็ขอบอกว่า บ้านตามเดิม คนเลิกหลอก เทวดาเลิกหลอก แต่บ้านของเทวดายังหลอกอยู่ เป็นบ้านไม้ธรรมดา ๆ อยู่กันอีโหลกโขลกเขลก ฟันฟืนบ้าง ขุดหลุมบ้าง ทำอะไรบ้าง ตามเรื่องตามราวไป เป็นเรื่องของท่าน เป็นการบริหารกาย

ตอนจะกลับ ท่านหยิบเอาลูกมะปรางเข้ามา เหลืองอ๋อยเหมือนทองคำ มาให้องค์ละ 100 ลูก ท่านบอกว่า ลูกมะปรางนี้ ถ้าหากว่าเดินออกไปพ้นจากที่นี้แล้ว จะเป็นทองคำ ก็เลยบอกว่า โยม พระธุดงค์หยิบทองคำไม่ได้ หยิบเงินไม่ได้นะ แม้จะมีทองคำเปลวเพื่อจะปิดพระพุทธบาท มดยังขึ้นกลดเลย เพราะเป็นอาบัติ

การธุดงค์แบบอุกฤษฏ์อย่างนี้ จะต้องไม่ประสงค์ในลาภ และพระธุดงค์ทุกองค์ก็ต้องไม่ประสงค์ในลาภ ถ้าประสงค์ในลาภ ก็ไม่ต้องมาธุดงค์ เพราะการมาธุดงค์ ต้องการตัดโลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ราคะ ความรัก ต้องการตัด ในเมื่อไปรับทองเข้า โลภ ความโลภมันก็เกิด เมื่อความโลภเกิดขึ้นมาแล้ว ความรักมันก็มี เมื่อความรักในทองมีขึ้น ความโลภอยากได้ ก็อยากมีอีก เมื่อได้มาคนละร้อยลูก ก็อยากจะได้พันลูก หมื่นลูก แสนลูก แล้วจะไม่จบกัน

ท่านก็ยกมือโมทนา ท่านบอกว่า หายากครับ ถามว่า ทำไมจึงหายาก พระธุดงค์ทุกองค์เหมือนกันหมด ท่านบอก ไม่เหมือนกันครับ มีบางรายมาที่เขานี้ ที่ตรงโน้นมีแร่ที่มีความสำคัญ คือ (แร่ที่มีความสำคัญก็ไม่ใช่แร่ยูเรเนี่ยม เป็นแร่เงินแร่ทอง) เป็นทองคำธรรมชาติ ท่านก็ชี้ให้ดู ท่านก็พาไปดู ตรงนี้เป็นทองคำธรรมชาติครับ ท่านเปิดหินพั้บเข้าไป โอ้โฮ..ทองคำเหลืองอร่าม เต็มถ้ำหมด แต่ว่าจะมองเป็นถ้ำไม่ได้ เพราะเป็นภูเขาปิด

ท่านบอก นี่เป็นทองคำ มีพระหลายองค์มาธุดงค์แล้วมาค้นคว้าแถวนี้ คงจะทราบจากใครมา หรือได้ลายแทงจากใครก็ไม่ทราบ เวียนหากันไป เวียนหากันมา บางทีก็ตั้งพิธีบวงสรวงบ้าง อะไรบ้าง พวกผมก็เลยไม่สนใจ เพราะพระพวกนั้นไม่ตั้งใจมาตัดกิเลส มาเพื่อสั่งสมกิเลส มาเพื่อความโลภ

แต่คณะของท่านนี่ ขนาดให้ยังไม่รับ ไม่รับแล้ว มือก็ไม่หยิบบาตรไม่เปิดด้วย ผมขอกราบเป็นครั้งสุดท้ายครับ และต่อนี้ไปท่านจะไปไหน ก็บอกว่ายังไม่แน่ สุดแล้วแต่ท่านอินทกะท่านจะพาไปที่ไหน ก็จะไปที่นั่น ถ้าอินทกะท่านไม่พาไป ก็ไม่ไป จะอยู่แถวนี้ อยู่ใกล้ ๆ บ้านโยม เธอก็บอก ก็ดีสิครับ

ก็นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็มา เมื่อท่านมาแล้ว ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อนี้ไปก็ลาญาติโยมพวกนี้เสีย บรรดาญาติโยมทั้งหลายนี้ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ใคร ก็ขอทุกคนรื้อบ้านให้หมด มันรกป่าเขา พอสั่งคำว่า รื้อบ้าน บ้านหายเลย แล้วขอแสดงบ้านให้ปรากฏ บ้านใครอยู่ที่ไหนบ้าง ปรากว่า ภุมเทวดาก็มีวิมานอยู่ภาคพื้นดิน แต่ว่าสูงกว่าดินหน่อย รุกขเทวดาก็มีวิมานแปะต้นไม้ สวยสดงดงามาก แพรวพราวเป็นระยับพวกที่รักษาศีล 5 คือ พระโสดาบัน พวกที่รักษาศีล 8 คือ พระอนาคามี แล้วท่านอินทกะก็บอกว่า ท่านทั้งหมดที่มานี่ เป็นพระอริยเจ้าทั้งหมด (ที่มาใส่บาตร)

ก็นึกในใจว่า 7 วันนี้ เรากินข้าวของพระอริยเจ้า ถ้าจิตใจของเราเลว มันก็จะต้องลงนรกกันแน่ พอคิดในใจเพียงเท่านี้ ท่านเจ้าของคณะก็บอกว่า ไม่เป็นไรครับ จิตใจของมนุษย์เป็นของธรรมดา มันก็ดีบ้าง เลวบ้าง เป็นของธรรมดา แต่ขอให้ดีเป็นส่วนใหญ่ก็แล้วกัน ตั้งเวลาดีเข้าไว้ เวลาไหนถ้ามันดี ถ้าตั้งเวลาไว้ เวลาเท่านี้ ถึงเท่านี้ เราจะทรงความดีไว้ไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามารบกวนใจ

ในเมื่อกิเลสมันยังไม่หมดเพียงใด นิวรณ์มันก็กวนใจเพียงนั้น เป็นของธรรมดา แต่จงอย่าลืมว่า อย่าสนใจกับ ราคะ ความรัก โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ถ้าสนใจเมื่อไร เทวดาทั้งหมดเขาจะไม่ใส่บาตรให้

เลยถามว่า ท่านรักษาศีลอะไรเป็นปกติ หัวหน้าท่านก็บอกว่า ผมรักษาศีล 8 เป็นปกติครับ ศีล 8 แบบละเอียด (คำว่า ละเอียด นี่หมายความว่า เป็นพระอนาคามีแบบละเอียดใกล้จะเป็นพระอรหันต์ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ขึ้นชื่อว่า เทวดา หรือภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี บางคนก็นึกว่า เป็นเทวดากระจ้อยร่อย ความจริงไม่ใช่ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก) ท่านบอกว่า ท่านจะไปพักที่ไหนก็ตาม ในจักรวาลนี้ทั้งหมด คณะผมจะไปใส่บาตร ที่นั่น ท่านไม่ต้องกลัวอด เว้นไว้แต่ว่า ถ้าวันไหนจิตใจของท่านมั่วสุมกับ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ วันรุ่งขึ้นจะไม่ใส่บาตรถวาย เพราะจิตใจของท่านสกปรก

บรรดาท่านพุทธบริษัท ทำให้คณะของอาตมา ดีขึ้นมาก (คำว่า ดี หมายความว่าอะไรเพราะกลัวอดตาย) เดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจอะพระอริยเจ้าเข้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นเทวดา ถ้าเป็นอนาคามี ท่านไม่มีทางกลับ มีทางเดียว ไปนิพพาน ถ้าเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่แน่ ในเมื่อท่านทำบุญต่อ
เมื่อเดินทางออกมาจากท่าน ลาท่านมาแล้วมาปรึกษากันบอกว่า พวกเราต้องระวังตัวให้มากนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่า มรณานุสสติกรรมฐาน จะพ้นจากจิตใจของเราไปไม่ได้
ประการที่สอง อานาปานสติ พ้นใจไม่ได้

ประการที่สาม พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ พ้นใจไม่ได้ จะต้องทรงอารมณ์อยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวตานุสสติ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านเป็นผู้มีคุณกับเรา เราต้องนึกถึงท่าน
สององค์ก็บอกว่า ลื้อไม่ต้องสอนหรอกโว้ย อั๊วปกติอยู่แล้ว สำคัญแต่ลื้อเท่านั้นแหละ เพราะลื้อปรารถนาพุทธภูมิ ยังกอกแกก ๆ อยู่นะ อั๊วสองคนไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ ที่ท่านพวกนั้นพูด อั๊วมีพร้อมแล้ว แต่ลื้อปรารถนาพุทธภูมิ ก็ถือว่า คนปรารถนาพุทธภูมิย่อมเป็นหัวหน้า ก็ถือว่า ลื้อเป็นหัวหน้า ต้องปฏิบัติตัวให้ดีก็แล้วกัน ลื้ออย่าเผลอลงนรกก็แล้วกัน

เป็นอันว่า เดินกันไปไม่ช้านัก ก็ไปเจอะภูเขาลูกย่อม ๆ แต่ก็เป็นการบังเอิญ มีถ้ำ ๆ หนึ่ง ถ้ำลึกมีธารน้ำไหลใสสะอาด หน้าถ้ำเตียนโล่ง บริเวณต้นไม้ พุ่มไม้ดี ต้นไม้เป็นดงเต็งรัง ร่มรื่น มองดูไกลตา ก็อยากจะพักที่ตรงนั้น ก็นึกถึงท่านอินทกะ

ท่านอินทกะก็ปรากฏตัว ก็เรียนท่านบอกว่า จะพักตรงนี้ไหม ท่านบอก ควรพักครับเพราะว่าที่ตรงนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะว่าที่ตรงนี้แหล่งนี้ เป็นแหล่งที่มีทรัพย์มาก เทวดาชั้นจาตุมหาราชมาเฝ้าที่นี่เยอะ จะได้ป้องกันอันตรายให้กับท่าน ท่านไม่ต้องกลัวสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย เพราะว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชจะต้องอารักขาท่าน

แล้วเทวดาที่พบวันนั้น เขาก็จะมาใส่บาตร เลยถามว่า จาตุมหาราชใส่บาตรเป็นไหมล่ะ ก็บอกว่าเป็น คอยดูก็แล้วกัน ถ้าพวกไหนตาใส พวกนั้นเป็นรุกขเทวดาบ้าง ภุมเทวดาบ้าง พวกไหนตาแดง พวกนั้นเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เมื่อท่านบอกอย่างนี้แล้ว ก็เข้าถ้ำพักที่สบายมาก ไม่ต้องกวาดมันก็เตียนอยู่แล้ว

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร