วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 07:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ปู่โทน หลำแพร
ฆราวาสผู้รอบรู้ธรรมและไสยเวทย์


ปู่โทนเล่าว่า หลวงปู่สีท่านเป็นพระผู้วิเศษองค์หนึ่ง ท่านรู้ด้วยญาณทิพย์ว่าจะมีผู้มารับไปสร้างบารมี ท่านจึงเตรียมตัวคอยอยู่แล้ว ทำให้ทุกคนที่ไปนิมนต์หลวงปู่ต่างแปลกใจไปตามกัน

ขณะนั้นหลวงปู่ลีท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองลุมพุก ตำบลหนองเรือ อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) พ.ศ.๒๕๑๒

หลวงปู่ลี ฉนฺทสิริ จึงมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เขาถ้ำบุญนาค ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๒ จนถึงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ อันเป็นวันวาระสุดท้ายกาลมรณะของท่าน

ปู่โทน หลำแพรท่านเกิด พ. ศ. ๒๔๓๐ ปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๔๐ ท่านยังแข็งแรงไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่ว รูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง พูดเสียงดังฟังชัด

ปู่โทน หลำแพร ท่านมีความเคารพเชื่อมั่นในหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรมาก ท่านจึงติดตามทราบประวัติครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่เป็นศิษย์สาย “พระครูเทพโลกอุดร” เป็นอย่างดี

พระอาจารย์หลายองค์ที่ผู้เขียนติดตามประวัติของหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากปู่โทน และอีกส่วนก็ได้มาจากหลวงปู่เย็น ทานรโต เจ้าตำรับตัว “พ” อันโด่งดัง เป็นพระปฏิบัติที่มีปฏิปทาอันน่าเลื่อมใส

ปู่โทน หลำแพร ในสมัยตอนเป็นหนุ่มเป็นผู้ใฝ่ธรรมเคยบวชเรียนและได้มีโอกาสพบพระธุดงค์รูปหนึ่ง จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสได้ติดตามพระธุดงค์รูปนั้นและมีโอกาสได้ศึกษาข้อธรรมและวิชาความรู้ ต่อมาจึงได้ทราบว่าพระธุดงค์รูปนั้นคือ “พระครูเทพโลกอุดร” และหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ได้ให้โอวาทการปฏิบัติกรรมฐาน

“การปฏิบัติธรรมทางด้านจิตนั้น จงเป็นผู้มีสติปัญญา รู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออก และทุกอิริยาบถ เมื่อรู้เท่าทันจิตแล้ว ต้องรู้รักษาจิต จงดูจิตเคลื่อนไหว อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูพฤติการณ์ของจิตเฉยๆ ด้วยอุเบกขาจิต”

นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ติดตามไปในโลกทิพย์ ได้รู้ได้เห็นบาป บุญ คุณ โทษ จึงเป็นองค์แทนคนหนึ่ง ในการเผยแพร่ธรรมให้มนุษย์ชาวโลกให้รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ พร้อมทั้งปลูกย้ำให้เห็นว่า นรก-สวรรค์มีจริง ให้หมั่นทำความดี ละบาป สร้างบุญกุศล

ปู่โทน หลำแพร ต่อมาท่านจึงได้นำความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้พบเห็นมา นำมาเผยแพร่ อบรมสั่งสอนให้ผู้คน ลูกศิษย์ลูกหารักษาศีล ปฏิบัติธรรม สั่งสมสร้างสรรค์ความดี ละบาป มุ่งสร้างบุญสร้างกุศล ปู่โทนถึงท่านจะมิใช่นักบวช แต่ท่านก็เป็น “ฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม” นำพาลูกศิษย์ร่วมกันทำแต่ความดี ช่วยสังคม ช่วยชาติ ช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 88.15 KiB | เปิดดู 12644 ครั้ง ]
หลวงปู่เย็น ทานรโต

เจ้าตำรับตัว “พ” พระสหธรรมิก กับ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

หลวงปู่เย็น ทานรโต วัดสระเปรียญ ตำบลบางขุด อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เกิดวันเสาร์ เดือนสี่ ปีขาล พุทธศักราช ๒๔๔๕ เดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี

อุปสมบท พ.ศ.๒๔๖๖ วัดเดิมบาง จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาย้ายมาอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี เป็นมหาเปรียญ ๕ ประโยค ท่านเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น พูดถึง “มหาเย็น” ทุกคนแถบแถวละแวกนั้นจะรู้จักดี ท่านเป็นพระนักเทศน์ นักปฏิบัติที่เคร่ง เพียบพร้อมด้วยศีลาจารวัตรที่งดงามในสมัยนั้น ท่านฉันมังสวิรัติ ถือสันโดษ ไม่เกาะติดยึดมั่นกับสิ่งใด มุ่งแต่จะศึกษาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ต่อมาได้เป็นผู้สร้างวัดร้างให้เจริญรุ่งเรือง อาทิเช่น วัดกลางชูศรีเจริญสุข ตำบลพักทัน จังหวัดสิงห์บุรี ท่านไปพบเป็นเพียงเศษอิฐหัก ๆ กองสุม มีพื้นฐานเป็นเจดีย์เก่า ท่านก่อสร้างฟื้นฟูจนเจริญรุ่งเรืองดังเช่นปัจจุบัน และวัดสระเปรียญ สรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ในสมัยที่ผู้เขียนบวชอยู่ ได้ไปปรนนิบัติหลวงปู่เย็น ท่านเคยชวนให้ไปดูวัดร้าง มีแต่ซากปรักหักพังและกองอิฐ อยู่ไม่ห่างจากวัดกลางชูศรีฯ เป็นเขตแดนติดต่อระหว่างสิงห์บุรี กับชัยนาท ต่อมาท่านก็มาสร้างขึ้นเป็นวัดอีกเช่นกัน

เรื่องราวของหลวงปู่พระเทพโลกอุดร ท่านเล่าให้ฟังว่า

ในสมัยนั้นท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆัง ธนบุรี วันหนึ่งท่านเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินแบกกลดสะพายบาตรผ่านมา พอท่านเห็นก็เกิดความเลื่อมใส จึงเข้าไปกราบนิมนต์ขอให้พระธุดงค์รูปนั้นเข้ามาพักที่กุฏิของท่านก่อน เมื่อพระธุดงค์รูปนั้นเข้ามาพักที่กุฏิของท่าน จึงเอาน้ำมาถวาย หากาสนะมาปูให้นั่งพักผ่อน พอพระธุดงค์ฉันน้ำเรียบร้อยสักพัก ท่านก็ถามพระธุดงค์ว่า

“หลวงพ่อจะไปไหน?”

ท่านก็ตอบว่าจะไป “ธุดงค์”

พระธุดงค์รูปนั้นก็เล่าถึงเรื่องการเดินธุดงค์ไปยังเมืองลาวให้ฟังว่า ต้องเดินทางผ่านป่าเขาซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและไข้ป่า ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ต้องเดินผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่ง เรียกว่า “บ้านแก้ว”. ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เลื่องลือในเรื่องยาพิษยาสั่ง คนแปลกหน้าเดินผ่านหมู่บ้านนี้ไม่ได้ จะต้องถูกยาสั่งเสมอ น้อยคนที่จะผ่านหมู่บ้านนี้ได้อย่างปลอดภัย

หลวงปู่เย็นได้ฟังดังนั้น เกิดความสงสัยจึงถามพระธุดงค์ว่า

“ท่านไม่กลัวเขาทำให้ตายหรือ?”

พระธุดงค์ก็ตอบเป็นปริศนา..

“เขาทำให้ตาย กินข้าวได้ เราไม่กลัว”

ต่อจากนั้นก็สนทนาเรื่องอื่นๆ จึงรู้ว่าพระธุดงค์ที่ท่านสนทนาอยู่ด้วยนั้น ไม่ใช่พระธรรมดา เป็นพระอภิญญาผู้เรืองวิทยาคม

หลวงปู่เย็นจึงเอ่ยขึ้นว่า ท่านธุดงค์ไปทั่วสารทิศไม่ว่า เมืองแขก เมืองลาว เขมร พม่า ไทย หลวงพ่อจะต้องมีของดี ท่านก็บอกว่ามี และเหมือนจะรู้ใจว่า หลวงปู่เย็นอยากจะขอของดีจากท่าน ท่านก็ให้หลวงปู่เย็นไปหยิบก้านธูปที่บูชาพระมาให้ท่าน

ท่านก็หักก้านธูปเป็นตัว “พ” แล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาพันตัว “พ” พร้อมทั้งสาธุยายมนต์กำกับตัว “พ” ให้ฟัง พอเสร็จท่านก็ส่งมอบให้ และบอกว่า

“เป็นแก้วสารพัดนึก สามารถให้เป็นไปตามปรารถนาได้ทุกประการ”

ของวิเศษนี้ สร้างขึ้นง่ายดาย ไม่ต้องใช้วัสดุอื่นให้ยุ่งยาก ใช้แต่ก้านธูปที่บูชาพระและด้ายสายสิญจน์เท่านั้น พอท่านรับของวิเศษตัว “พ” ท่านก็ก้มลงกราบ แต่น่ามหัศจรรย์ พอเงยหน้าขึ้น พระธุดงค์รูปนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ถือว่าพระธุดงค์รูปนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน แต่ท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร?

ต่อเมื่อภายหลังมีผู้เอารูปหลวงพ่อพระครูเทพโลกอุดรมาให้ท่านปลุกเสก ท่านจึงจำได้ว่าเป็นพระองค์ที่มาถ่ายทอดตัว “พ” ให้ จึงถามผู้นั้นว่า

”เอามาจากไหน? ข้าขอสักรูปได้ไหม”

ศิษย์คนนั้นก็ขยายรูปใหญ่มาถวายให้ท่าน ท่านเล่าพร้อมกับชี้นิ้วไปที่รูปพระครูเทพโลกอุดร ที่ตั้งบูชาไว้ที่บนหัวนอนของท่าน

ต่อมาท่านก็ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ท่านเล่าว่า “ใครว่าที่ไหนดี กูก็ไป ใครว่าพระองค์ไหนเก่ง กูไปขอเป็นศิษย์”

“มีใครบ้างล่ะหลวงปู่...” ผมถาม

นอกจากพระครูเทพโลกอุดร องค์ต่อไปก็หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา สุพรรณ เจ้าคุณศรี วัดพระธาตุ หลวงพ่อสี พระธุดงค์ในป่า (หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ)

พอเอ่ยถึงหลวงพ่อสี ผมก็ถามท่านว่า

“หลวงปู่พบหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ที่ไหน”

ผมพูดพร้อมทั้งเอารูปหลวงปู่สีให้ดู

ท่านบอกว่า

“พบในป่าแถบลพบุรี ท่านเป็นพระดี พระเก่ง พูดน้อย ปฏิบัติมาก เวลาไปไหน? พบต้นไม้ใหญ่ ๆ ท่านจะยืนคุยกับรุกขเทวดา สักพักท่านจึงเดินทางต่อไป เวลาท่านพักตามถ้ำ จะได้ยินท่านพูดคุยกับรุกขเทวดา บางครั้งท่านก็แสดงธรรมแผ่เมตตา หลวงพ่อสี ท่านเป็นพระที่มีเมตตา หลวงพ่อสี ท่านเป็นพระแท้ เป็นพระทองคำ”

หลวงปู่เย็น ทานรโต เทพเจ้าแห่งตัว “พ” ท่านกล่าวถึง หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ด้วยหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยจิตใจที่ยกย่องเคารพบูชา...
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




showimage.jpg
showimage.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 12639 ครั้ง ]
ย่นระยะทางไปพบสหายธรรม

ในสมัยที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่สีมักจะเดินทางไปสนทนาธรรมกันอยู่บ่อยครั้ง ในบางครั้งหลวงปู่ศุขก็เดินทางไปพบหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบกับหลวงปู่สี และบางครั้งก็ไปพบกับหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ทั้งสามท่านมีความผูกพันกันมาก มักจะผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปพบซึ่งกันและกัน และในบางครั้งก็ออกธุดงค์ไปตามป่าดงพงเขาด้วยกันในบางครั้งบางคราว

พระสหธรรมทั้งสาม หลวงปู่กลั่น หลวงปู่ศุข หลวงปู่สี ทั้งสามเกิดปี พ.ศ.ใกล้เคียงกัน หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ เกิดปี พ.ศ.๒๓๙๐ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ เกิดปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ส่วนหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ เกิดปี พ.ศ. ๒๓๙๒ ซึ่งอ่อนกว่าทั้งสองท่านเพียง ๒ ปี แต่พระอาจารย์ทั้งสามท่านก็มีความผูกพันกัน ธุดงค์และศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยกัน มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน

ในครั้งที่หลวงปู่ศุขเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่สีได้เดินทางไปเยี่ยมและอยู่สนทนาธรรมกัน หลังจากที่ออกพรรษาแล้วหลายวัน หลวงปู่สีก็คิดว่าจะออกเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขก็ขอร้องให้หลวงปู่สีรออยู่ที่วัดก่อน

เช้าวันนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็ออกบิณฑบาต ฝ่ายหลวงปู่ลี พอเห็นหลวงปู่ศุขไปแล้วท่านก็เก็บของของท่านที่จำเป็นแล้วออกเดินทางไป

เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ทราบจากพระในวัดว่าหลวงปู่สีท่านไปแล้ว หลวงปู่ศุขจึงให้พระเณรฉันข้าวก่อน เดี๋ยวจะกลับมาฉันด้วย ต่อจากนั้นท่านก็เข้ากุฏิ นำพระคัมภีร์ ๓ เล่ม ตามไปให้หลวงปู่สี

ปรากฏว่าพระอาจารย์ทั้งสองรูปมาพบกันที่ตาคลี จากนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็เดินทางกลับวัดที่ชัยนาท ไปฉันอาหารร่วมรับพระเณรจนเสร็จ

พระอาจารย์ทั้งสามรูปนี้ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง จึงสามารถย่นระยะทางไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระยะทางจากชัยนาทมาถึงตาคลี ระยะทางประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร ถ้านั่งรถก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเห็นจะได้


ในเรื่องฤทธิ์เดชต่างๆ นี้ เวลาที่ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ท่านจะแกล้งล้มตัวลงนอน ไม่ตอบคำถามของลูกศิษย์ แต่หากถามเรื่องธรรมะต่างๆ ท่านก็จะขยายข้อธรรมให้อย่างชัดเจน เพราะท่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์โดยเฉพาะพระภิกษุไปติดในเรื่องเดชฤทธิ์อำนาจ ท่านต้องการให้ใฝ่ใจในเรื่องการปฏิบัติธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 มี.ค. 2010, 12:01, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




showimage.jpg
showimage.jpg [ 42.48 KiB | เปิดดู 12638 ครั้ง ]
ปาฏิหาริย์ แยกกายโปรดโยม

เมื่อราวต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี ได้จัดให้มีงานประจำปีขึ้น ซึ่งไปตรงกับงานอีกวัดหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งทางวัดก็ได้นิมนต์หลวงปู่สี ไปโปรดญาติโยมชาวจังหวัดชลบุรี ในงานที่วัด หลวงปู่สี ท่านก็รับปากว่าจะไป ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙

งานวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ ที่วัดในจังหวัดชลบุรีที่ได้นิมนต์หลวงปู่ไว้ หลวงปู่ท่านก็ไปประพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมในงานที่วัดชลบุรี ตามคำนิมนต์

ต่อมาวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๙ ชาวจังหวัดชลบุรี ก็เหมารถมาเที่ยวที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ตั้งใจมากราบหลวงปู่สี เพราะติดใจหลวงปู่สี ที่ได้กราบรับพรจากหลวงปู่เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ ที่วัดในจังหวัดชลบุรี

ข่าวหลวงปู่เดินทางไปจังหวัดชลบุรี ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ แพร่ออกไป เหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ต่างก็แปลกใจและงงไปตามๆ กัน เพราะว่าทุกคนก็เห็นว่าวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ นั้นหลวงปู่ท่านไม่ได้ไปไหน ท่านอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคตลอดเวลา เพราะว่าทางวัดมีงาน มีคนมากราบไหว้หลวงปู่อยู่ตลอดเวลา

พระและลูกศิษย์ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคจึงไปกราบถามหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่ครับ เมื่อวานหลวงปู่ไปเมืองชลบุรีมาหรือครับ”

หลวงปู่ท่านไม่ตอบ พอมีคนมาถามนัก ท่านก็เลยล้มตัวลงนอน เลยไม่มีใครกล้าถามอะไรท่านอีก

เมตตาธรรม

ความเมตตาของหลวงปู่สีนั้นท่านมีอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นเทพเทวา รุกขเทวดา ดวงวิญญาณทั่วไป ท่านจะโปรดแผ่เมตตาจิตไปให้ อีกทั้งมนุษย์ และสัตว์ทั่วไปจะเห็นได้จากเวลาที่หลวงปู่สีท่านฉันอาหารจะมีสัตว์ต่าง ๆ มารายล้อมท่าน อาทิ นก ไก่ ลิง แมว สุนัข ท่านก็หยิบอาหารแบ่งให้สัตว์เหล่านั้น สัตว์นานาชนิดเหล่านั้นก็ต่างกินอาหารกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่แย่งกัน ไม่กัดกัน ท่านจะนั่งมองด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา

ครั้นถึงเวลานอน ก่อนที่ท่านจะเข้านอนท่านจะต้องเอาเศษผ้าจีวร และผ้าเก่า ๆ มาเดินห่มให้ แมว สุนัขทุกลัว ที่นอนอยู่ในบริเวณกุฏิของท่านอย่างทั่วถึง

หลวงปู่ท่านมีความเมตตาต่อสัตว์มาก ท่านจะสนใจให้ข้าวให้น้ำ มันกินอยู่เสมอ บางคราวท่านเห็นว่ามันจะได้รับอันตราย ท่านก็จะเอาเศษผ้าเช็ดน้ำหมากของท่านฉีกผูกคอทั้งสุนัข แมว ไก่ ซึ่งสัตว์เหล่านั้นถูกพวกขี้เหล้าเมายาอันธพาลรังแก ทำร้าย ท่านจึงได้พิจารณาแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ นำเอาผ้าเช็ดน้ำหมาก ผูกคอคล้องคอให้สัตว์เหล่านั้น ถึงแม้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะถูกทำร้าย ถูกรังแกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ปรากฏว่าสัตว์เหล่านั้นไม่เคยมีตัวใดได้รับอันตรายเลย ไม่ว่าจากอาวุธชนิดใด มีด ปืน ระเบิดยิงออกบ้าง ไม่ออกบ้าง สุดแต่วิบากของสัตว์เหล่านั้นในเวลานั้น หนักจะเป็นเบาและปลอดภัย

รถทับไก่

มีอยู่คราวหนึ่ง มีนายทหารท่านหนึ่งได้ยินกิตติศัพท์ของท่านจึงขับรถเบนซ์ของตนเดินทางไปเพื่อกราบพบหลวงปู่ท่าน ครั้นเมื่อไปถึงได้เห็นหลวงปู่นั่งยองๆ อยู่ในกุฏิ เปลือยกายท่อนบน กุฏิของท่านมีแต่สุนัข แมว แถมเป็นขี้เรื้อนด้วย ก็เกิดความรังเกียจไม่เลื่อมใส ก็เลยไม่ยอมเข้าไปกราบ เดินมาขึ้นรถกลับ แต่ในขณะนั้นมีไก่ซึ่งหลวงปู่เลี้ยงไว้ ได้เดินเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถพอดี

นายทหารผู้นั้นไม่ทันเห็นจึงขับรถออกไป ทำให้ล้อรถทับไก่เข้าเต็มที่ ผู้คนที่อยู่ในวัดต่างร้องขึ้นด้วยความตกใจ ทำให้นายทหารผู้นั้นต้องหยุดรถลงมาดู คิดว่าคงเละแน่ แต่ผลกลับปรากฏว่าไอ้ตัวนั้นไม่เป็นอะไรเลย หลังจากถูกทับแล้ว มันขยับปีกไปมาสักชั่วอึดใจ แล้วก็เดินจากไปคุ้ยเขี่ยหากาหารกินของมันตามปกติ เท่านั้นแหละ นายทหารผู้นั้นถึงกับตะถึงงัน รีบถอยรถกลับไปกราบนมัสการหลวงปู่ทันที พร้อมทั้งขอของดีไว้ใช้ติดตัว ทราบว่าได้ไปหลายอย่างทีเดียว

ไก่กับระเบิด

ภายหลังนายทหารผู้นั้นกลับไป ได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน เดินทางมากราบหลวงปู่อีก เพื่อขอวัตถุมงคล ในระยะนั้นหลวงปู่ท่านยังไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคล ท่านจึงคายชานหมากให้ไปกันทุกคน มีทหารผู้หนึ่งซึ่งได้ชานหมากไปด้วย ก็คิดลองดีว่าจะแน่สักแค่ไหน เลยเอาไปแขวนคอไก่ พอไก่เดินออกไปได้ระยะพอสมควร ก็สั่งเพื่อนๆ หมอบ พร้อมทั้งโยนระเบิดสังหารเข้าใส่ไก่ตัวนั้นทันที

ตูม...เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ไก่มันตกใจก็บินขึ้นและตัวมันก็เจอระเบิดเข้าเต็มที่ ขนหลุดปลิวว่อนไปหมด แต่พอมันหล่นลงพื้น ก็มีอาการซวนเซเล็กน้อย ชั่วครู่ก็ออกหากินได้ต่อไป ไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่บาดแผล

นายทหารผู้เป็นนายได้ทราบเรื่องเข้า มีความเชื่อมั่นในองค์หลวงปู่ยิ่งขึ้น แต่ก็โกรธมากเช่นกัน ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำการทดลองในลักษณะนั้น ผลที่สุดก็สั่งกักบริเวณทหารผู้นั้นไปเสีย ๑๕ วันสบาย ๆ

หลวงปู่นั้นอันที่จริงแม้ว่าท่านจะหยิบจะจับอะไรล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งสิ้น.แม้แต่ผ้าที่ท่านใช้เช็ดปากเช็ดน้ำหมากก็ตามที ท่านมักฉีกเอาไปผูกคอสุนัขบ้าง แมวบ้าง ด้วยเมตตามันที่มันถูกรังแกบ่อยๆ

ครั้งหนึ่งมีสุนัขบ้านใกล้ๆ วัด หลงเข้ามาคลุกคลีกับท่าน จึงเอาผ้าเช็ดน้ำหมากฉีกผูกคอมันไป ต่อมาสุนัขตัวนั้นไปรบกวนสัตว์อื่น เช่น เป็ด ไก่ จนกระทั่งเจ้าของสัตว์ปีกเหล่านั้นเหลือจะทน จึงใช้ปืนลูกซองยิงมัน แต่ปรากฏว่าด้วยอานุภาพผ้าเช็ดน้ำหมาก ยิงถูกแต่ไม่เข้า สุนัขตัวนั้นวิ่งกลับไปยังบ้านเจ้าของของมัน ผู้เห็นเหตุการณ์นำเรื่องไปบอกเล่าให้เจ้าของฟัง ก็เลยเกิดการถอดผ้าผืนนั้นเก็บไว้บูชาเสียเอง ภายหลังเมื่อสุนัขตัวนั้นเข้าไปในวัดอีก หลวงปู่ท่านก็เมตตาผูกให้มันใหม่ และจากเหตุนี้เอง ทำให้ผ้าเช็ดน้าหมากของท่านอันตรธานไปบ่อยๆ แต่ใช่ว่าหลวงปู่ท่านจะหลงลืม เปล่าเลย ท่านจำของท่านได้ว่าท่านมีของท่านกี่ผืน จนกระทั่งท่านบ่นว่า.เอาไปทำไมกัน แต่ก็ห้ามศรัทธาของชาวบ้านไม่ได้

หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้ร่ำลือกันไปสู่สาธารณชนทั่วไป ดังนั้นผู้ที่ได้รับทราบกิตติคุณของหลวงปู่ ต่างก็เดินทางไปกราบไปนมัสการ ทั้งจากที่ใกล้และที่ไกล ต่างก็อยากได้แต่ขี้หมากชานหมากของท่าน จนท่านเคี้ยวหมาก ฉันหมากแจกให้ไม่ทัน และไม่พอแจก นี่เองจึงเป็นเหตุให้ท่านต้องอนุญาตให้บรรดาศิษย์ผู้ที่เคารพในองค์ท่านสร้างวัตถุมงคลขึ้น แม้ท่านไม่อยากให้สร้าง

เพราะไม่ต้องการชื่อเสียงก็ตาม แต่ในที่สุดก็ทนต่อคำอ้อนวอนขอร้องของบรรดาศิษย์ไม่ได้

ก่อนที่จะกล่าวถึงการสร้างวัตถุมงคลของท่าน ขอกล่าวถึงชานหมากของท่านสักเล็กน้อย หลวงปู่ท่านเมื่อคายชานหมากแล้ว ก่อนมอบให้ผู้ใด ท่านจะจำมาแบ่งเป็นก้อนๆ ซึ่งคำหนึ่งได้เพียง ๓-๔ ก้อนเท่านั้น แล้วท่านจะฉีกผ้าเช็ดหมาก

บ้าง ผ้าจีวร สบง ผ้าอาบน้ำฝน สีส้มๆ ห่อแล้วผูกไว้อย่างดี จึงมอบให้ผู้ต้องการรับเอาไปติดตัวใช้ หากท่านสาธุชนท่านใดได้พบเห็นห่อผ้าเหลืองกลมๆ มีขี้หมากอยู่ข้างใน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตรละก็ ให้ทราบได้เลยว่า ท่านได้พบสุดยอดวัตถุมงคลแล้ว หรือหากท่านใดมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว ก็พึงเก็บรักษาไว้ให้ดี นั่นเพราะเป็นสุดยอดวัตถุมงคลจริงๆ และหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน เนื่องจากจนถึงวันนี้เวลานี้ ไม่มีใครมาเคี้ยวมาฉันให้เราอีกแล้ว เพราะหลวงปู่ได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ เป็นเวลาถึง ๒๐ ปีแล้ว ผู้ใดมีไว้ในครอบครองพึงหวงแหนอย่างยิ่ง

ในยุคสมัยโบราณนั้นครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่นิยมสร้างพระเครื่อง หรือสร้างรูปหล่อรูปท่านเอง ถ้าจะสร้างก็เป็นการสร้างเพื่อเป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนา ในการบรรจุลงในพระเจดีย์ต่างๆ ที่สำคัญ หรือบรรจุไว้ในองค์พระประธาน ใต้ฐานพระประฐาน จะไม่ทำซื้อขายจ่ายแจกกันอย่างมากมายเช่นในยุคปัจจุบัน

วัตถุมงคลที่นิยมสร้างขึ้นแจกให้ลูกศิษย์ลูกหาหรือคนที่สนิท ก็จะเป็นพวกผ้ายันต์มงคล แหวนพิรอด เสื้อยันต์ ตะกรุด เบี้ยแก้ เบี้ยกัน ลูกอม ลูกอมที่แจกก็มีลูกอมที่ทำมาจากเนื้อดิน เนื้อผง และจากชานหมากหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

นอกจาก หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท ที่มีชานหมากอันวิเศษที่นักสะสมวัตถุมงคลต้องการแสวงหากันแล้ว ก็มีชานหมากของ หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ที่มีคุณวิเศษนับว่าเป็นหนึ่งเช่นกัน

หลวงปู่สี ท่านเป็นนักกินหมากมาตั้งแต่วัยรุ่น ไม่ว่าท่านจะไปไหนมาไหนท่านจะต้องมีหมากห่อพกติดตัวท่านไว้ตลอดเวลา และเมื่อท่านบวชเรียนเป็นครูบาอาจารย์มีผู้คนกราบไหว้ท่าน บ้างก็ขอของดีจากท่าน ท่านเป็นพระโบราณรูปหนึ่งที่ไม่นิยมสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพระจ่ายแจก ท่านมายอมให้สร้างก็ตอนปลายๆ อายุท่าน คือเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นต้นมา จนถึงกาลมรณะของท่านเท่านั้น

ก่อนหน้านั้นไม่มีประวัติการสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปองค์พระหรือเป็นรูปองค์ท่าน นอกจากแจกตะกรุด ผ้ายันต์และคำหมาก “ชานหมาก” เท่านั้น

คำหมาก หรือ ชานหมาก ที่ได้รับจากมือหลวงปู่สี ส่วนใหญ่ท่านจะฉีกเศษจีวรเก่าที่อยู่ข้างกายของท่านผูกห่อเป็นคำ มอบให้กับศิษย์ และหลวงปู่ก็จะกำชับว่า “อย่าแกะ อย่าลอง”

ในเรื่องการทดลองของวัตถุมงคลหลวงปู่ มีเรื่องเล่ากันว่า

นายทหารเคยเอาไปลองแขวนคอไก่แล้วลองยิงด้วยปืน แต่ปรากฏว่าไม่ออก และบางครั้งก็เอานักแม่นปืนเหรียญทองมาลองยิงถึงออกก็ไม่ถูก จนเป็นที่เลื่องลือ และแสวงหากันอย่างมากมาย แต่

พอนายทหารคนที่นำวัตถุมงคลของหลวงปู่ไปทดลองยิง มากราบหลวงปู่ที่กุฏิ หลวงปู่ก็จะพูดขึ้นว่า วันนี้พวกเอ็งสนุกกัน แต่ข้าเจ็บปาก ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่หลวงปู่ห้ามทดลอง เพราะของของท่าน ท่านจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้มีติดตัวให้พ้นเคราะห์กรรม แต่ท่านต้องรับกรรม

ชานหมากของหลวงปู่ พระอาจารย์บางองค์ แม้แต่ที่วัดเขาถ้ำเองก็เอาชานหมาก น้ำหมากของหลวงปู่ไปผสมทำเป็นพระเครื่องในรุ่นต่าง ๆ ทราบว่ามีหลายรุ่นที่ผสมชานหมาก น้ำหมาก

ของหลวงปู่สี บ้างก็เอาไปผสมทำเป็นลูกอม (ลูกอมเนื้อผงผสมชานหมาก)

เคยพบชานหมากรุ่นเก่าๆ ของหลวงปู่สี แต่ปรากฏว่าผ้าจีวรที่ห่อไว้ขาดไปหมดแล้วเหลือแต่ชานหมาก ภายหลังที่จีวรชำรุดแล้ว จึงนำมาใส่กรอบไว้ แต่รุ่นที่ออกมาจากวัดเขาถ้ำบุญนาค ส่วนใหญ่จะมีผ้าจีวรผูกมัดไว้อยู่เป็นส่วนใหญ่

ในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เดชฤทธิ์ ความมหัศจรรย์ ในคุณวิเศษของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ นั้น มีมากมาย โดยเฉพาะในเรื่อง “ชานหมาก” ของหลวงปู่ มีเรื่องเล่าขานถึงคุณวิเศษ มากมาย ดังจะขอยกเอาบันทึกข้อเขียนของ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา มาสอดแทรกไว้เพราะเป็นบันทึกข้อเขียนที่ดีมาก กล่าวอ้างถึงบุคคลและสถานที่ไว้อย่างละเอียด จึงขออนุญาตนำมาลงไว้เพื่อความชัดเจนในเรื่องประวัติของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ว่าเป็นเรื่องจริงมิใช่เรื่องนิทานเล่าขานเพื่อยกย่องครูบาอาจารย์เท่านั้น

การสร้างวัด

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเดินทางออกเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ หลายประเทศ หลายจังหวัดรวมระยะเวลาเกือบร้อยปี หรือเรียกว่าเกือบจะตลอดชีวิตที่ท่านครองเพศบรรพชิต

ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะมาสร้างวัดเขาถ้ำบุญนาคนั้น ท่านได้ไปสร้างวัดที่หนองลุมพุก อำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ต่อมาพระอาจารย์สมบูรณ์ ที่พระครูนิวิฐปริยัติคุณ พร้อมด้วยชาวบ้านเขาถ้ำบุญนาค ได้พากันไปนิมนต์ให้หลวงปู่มาช่วยสร้างวัดเขาถ้ำบุญนาค ซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นสำนักสงฆ์

อาจารย์สมบูรณ์ท่านเล่าว่าในสมัยที่วัดนี้ยังเป็นเพียงสำนักสงฆ์กุฏิหลังเล็กๆ หาทางเข้าออกก็ไม่สะดวก ไปมาลำบาก แต่หลวงปู่ท่านชอบสภาพป่า ท่านเมตตา ท่านเต็มใจที่จะมาช่วยสร้างวัด ท่านเป็นผู้วิเศษ มีญาณหยั่งรู้กาลล่วงหน้า ว่าจะมีใครไปมาหาสู่ท่านและไปมาหาสู่ท่านในเรื่องอะไร ท่านล่วงรู้กาลล่วงหน้าได้ วันที่ไปรับนิมนต์ท่านนั้น หลวงปู่ท่านเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว สมบัติของท่านไม่มีอะไร ท่านเป็นผู้ที่ไม่สะสม ท่านมีกระเป๋าเก่าๆ ใส่ของใช้เล็กๆ น้อยๆ อยู่หนึ่งใบ ปัจจุบันนี้ทางวัดเก็บของทุกอย่างของหลวงปู่ไว้

ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางมาพร้อมกับคณะที่ไปนิมนต์ท่านให้มาอยู่จำพรรษาที่เขาถ้ำบุญนาค เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒ ต่อมาชาวตาคลีพอรู้ว่าหลวงปู่มาอยู่ที่เขาถ้ำบุญนาคก็พามันมากราบไหว้หลวงปู่กันมากมาย สำนักสงฆ์ที่เก่ามอซอ ก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้น มีการปลูกสร้างสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในระยะเวลาที่รวดเร็ว ต่อมาก็มีถนนหนทางเข้าวัด ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ก็ช่วยกันสร้าง

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๕ สำนักสงฆ์เขาถ้ำบุญนาค ก็ยกฐานะขึ้นเป็นวัดโดยมีท่านพระอาจารย์สมบูรณ์ หรือ ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณเป็นเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบันนี้.

หลวงปู่ลี ฉนฺทสิริ ท่านไม่สนใจในยศตำแหน่งใดๆ ท่านต้องการเพียงช่วยสร้างวัด สร้างโบสถ์.สร้างศาลาการเปรียญ สร้างกุฏิสงฆ์ สร้างถนนหนทาง สร้างวัดให้เป็นที่วัดที่สมบูรณ์ ส่วนตัวท่านเอง แม้แต่ลูกศิษย์จะร่วมใจกันสร้างกุฏิให้ใหม่ท่านก็ไม่ยอมอยู่ ท่านชอบอยู่ถ้ำและกุฏิหลังเก่า ในเรื่องนี้จึงมีเรื่องราวเล่าขานกันตราบเท่าทุกวันนี้ ในเรื่อง “ไม่อยากอยู่กุฏิหลังใหม่”

ไม่ยอมอยู่กุฏิหลังใหม่

เป็นที่รู้จักกันว่าหลวงปู่สีท่านเป็นพระปฏิบัติที่ไม่ติดในวัตถุ ไม่สะสม และไม่ติดยึดในสิ่งใดๆ แม้แต่ความสะดวกสบายต่างๆ ที่ลูกศิษย์ทุกคนพร้อมที่จะถวายให้ท่าน แต่ท่านไม่เอา ดังนั้นกุฏิของท่านที่อยู่จึงเป็นกุฏิหลังไม้เก่าๆ หลังเล็กๆ หรือไม่ก็ในถ้ำที่ท่านชอบเข้าไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

ในวันหนึ่งท่านพระอาจารย์สมบูรณ์ เจ้าอาวาสเขาถ้ำบุญนาค ดำริที่จะสร้างกุฏิหลังใหม่ให้หลวงปู่ คณะกรรมการทุกคนก็พร้อมใจกัน จึงได้เรียกช่างปูนมาทำการก่อสร้าง โดยสร้างเป็นกุฏิปูนชั้นเดียว พอท่านทราบเรื่องว่าจะสร้างให้ท่าน ท่านก็บอกว่าจะไม่ยอมไปอยู่กุฏิหลังใหม่

เป็นที่น่ามหัศจรรย์ หลังจากที่หลวงปู่สีท่านพูดเช่นนั้น ช่างปูนที่รับคำสั่งจากท่านเจ้าอาวาสได้ลงมือก่อสร้างกุฏิหลังใหม่ วันนั้นปรากฏว่าช่างปูนไม่สามารถฉาบปูนได้เลย เพราะฉาบปูนเท่าใดก็ไม่ติด กระทั่งช่างปูนนึกท้อใจ เพราะไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิตที่รับงานก่อสร้างมานับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกทำ ความทราบถึงท่านเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์รักษ์ เตชธัมโม ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่ ได้ไปนมัสการหลวงปู่

“หลวงปู่ครับทำไมไปแกล้งช่างปูนอย่างนั้น”

หลวงปู่สีท่านก็ตอบว่า “ไม่ได้แกล้ง แต่ไม่อยากไปอยู่กุฏิหลังใหม่”

พระภิกษุรักษ์ เตชธัมโม จึงได้บอกกับหลวงปู่

“หากหลวงปู่ไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร ให้ช่างปูนเขาสร้างให้เสร็จก่อน”

ต่อจากนั้นอีก ๒ วัน พระอาจารย์สมบูรณ์ ท่านเจ้าอาวาส เรียกช่างปูนมาทำใหม่ ซึ่งคราวนี้ช่างปูนสามารถฉาบปูนได้เป็นผลสำเร็จอย่างไม่มีปัญหา เพียงวันเดียวก็สามารถฉาบปูนสำเร็จหมดทั้งกุฏิ ทีมงานก่อสร้างในครั้งนั้นต่างเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ทุกตัวคน

กุฏิหลังดังกล่าว ในสมัยที่หลวงปู่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่เคยได้ไปใช้สอยเลย แต่หลังจากที่ท่านมรณะแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้อัญเชิญศพของท่านบรรจุลงโลงแก้ว แล้วประดิษฐานไว้ที่กุฏิหลังใหม่ ซึ่งเป็นการสะดวกที่จะให้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ไปกราบไหว้บูชาหลวงปู่ แต่ปัจจุบันได้ย้ายสังขารของหลวงปู่มาอยู่ที่มณฑปหลังใหม่แล้ว.

รู้กาลมรณะ

ต้นปีเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่สีท่านมีอาการอ่อนเพลีย อาพาธด้วยโรคชรา และต่อมลูกหมากโต ได้รับการดูแลรักษา ญาครูจันทร์ (พระอาจารย์จันทร์ หลานหลวงปู่คนสุรินทร์) ก็อยู่ดูแล ตอนที่หลวงปู่อาพาธที่วัดเขาถ้ำ ก็มีพระอาจารย์สมบูรณ์ ปริสมฺปุณโณ เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค พระอาจารย์รักษ์ เตธธัมโม พระอาจารย์ประเทือง พุทธธมฺโม พระอาจารย์สุพจน์ ฉนฺทชาโต

ส่วนหมอที่ดูแลอาการป่วยของหลวงปู่ คุณหมอโอ๊ด (ชื่อเล่น - ชื่อจริงสอบถามแล้วไม่มีใครทราบ) หมอโอ๊ด จะหนักใจเพราะหลวงปู่ไม่ยอมให้ฉีดยา ถ้าท่านไม่ยอมก็จะฉีดไม่เข้า เข็มจะหักหมด นอกจากท่านอนุญาต จึงจะฉีดยารักษาไข้ได้ ลูกศิษย์ที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ ก็จะได้ยินหลวงปู่พูดว่า “รักษาอย่างไร เดือน ๔ ข้าก็จะไปแล้ว“ (สากลก็จะดูเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือน ๒ แต่ถ้าปฏิทินหลวงโบราณก็จะเป็นเดือนสาม แต่ปลายเดือนก็จะเป็นเดือน ๔ เดือนไทย)

ด้วยคุณวิเศษนานัปการของหลวงปู่สี จึงมีพระอาจารย์ดัง ๆ มากมายแห่งยุคให้การยอมรับ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระราชพรหมยานผู้เด่นดัง มีลูกศิษย์มากมายเกือบทั้งประเทศ ให้การเคารพยอมรับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สุดยอดแห่งยุคองค์หนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้ไปมาหาสู่หลวงปู่สี อยู่เป็นนิจ

เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ หลวงปู่สีท่านอาพาธมีอาการหนักมาก พระอาจารย์สมบูรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำก็คลานเข้าไปถามหลวงปู่ว่า...

"หลวงปู่ครับ ถ้าหลวงปู่จะจากไป จะให้ทางวัดจัดพิธีศพหลวงปู่อย่างไร?”

หลวงปู่ลีถึงท่านจะอาพาธหนักปานใด แต่ท่านก็ควบคุมสติได้อย่างมั่นคง ท่านจึงตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า

“หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤๅษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”

และแล้วต่อมาเวลาประมาณ ตี ๓.๔๕ นาที ของวันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง หลวงปู่ก็มรณภาพลงด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุของหลวงปู่สี ได้ ๑๒๘ ปี

ท่ามกลางสายลมพัดผ่านที่เย็นยะเยียบ แต่ความเย็นของอากาศยังไม่ยะเยียบเท่ากับเหล่าลูกศิษย์ได้ทราบข่าวการจากไปของหลวงปู่อย่างไม่มีวันที่จะกลับคืนมาอีกได้ ทุกคนเงียบ น้ำตาล้วนไหลพราก ต่างสะอื้นไห้ด้วยความอาลัยหลวงปู่ ท่านจากมวลลูกศิษย์ไปท่ามกลางลมหนาวแล้ว

อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ประมาณตี ๕ กว่าของคืนวันนั้น หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ปรากฏกายขึ้น โดยไม่ได้รับการติดต่อแจ้งข่าวจากผู้ใดในวัดเขาถ้ำบุญนาค แต่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้มาถึงอย่างมหัศจรรย์ ตรงตามคำพูดของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริที่ท่านกล่าวไว้ ท่ามกลางลูกศิษย์ก่อนที่ท่านจะถึงกาลมรณะ

เมื่อหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมาถึงวัดเขาถ้ำบุญนาค ก็ได้ขอให้เก็บศพของหลวงปู่ไว้ เสมือนหลวงปู่สีท่านนอนจำวัด และท่านจำวัดหลับสนิทด้วยอาการปกติสงบเรียบร้อยมาตราบเท่าทุกวันนี้

ที่น่าอัศจรรย์คือร่างกายของหลวงปู่สีไม่มีน้ำเหลือง ไม่เน่าไม่เหม็น ไม่เปื่อยอย่างเช่นซากศพทั่วไป จนวันนั้นถึงวันนี้กลิ่นซากศพของท่านไม่มีเลย คราใดที่ผมมีโอกาสได้ไปกราบศพหลวงปู่ผมจะจูบดมที่ร่างกายของท่านอย่างสนิทใจ เพราะไม่ปรากฏกลิ่นใดที่ทำให้เราไม่อยากเข้าใกล้ แต่กลิ่นกายท่านกลับเสมือนหนึ่งกลิ่นธูปหรือกลิ่นกำยาน แม้แต่เศษกายของท่านที่ร่วงหล่น ผมก็แตะเก็บโปรยลงบนศีรษะและเช็ดที่เส้นผมจนหมด

คำพูดของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ที่ท่านกล่าวไว้ก่อนจะถึงกาลมรณะของท่าน ในขณะนั้นท่านฤๅษีลิงดำมิได้อยู่ที่นั่น และหนทางก็ยังอยู่ห่างไกลกัน แต่พอหลวงปู่ท่านมรณภาพลงตอนตี ๓ กว่า พอเวลาตี ๕ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็มาถึงทันต่อเหตุการณ์ ตรงตามคำพูดของหลวงปู่ที่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอย่างมหัศจรรย์

แสดงว่าหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านมีญาณจิตติดต่อกันได้โดยตลอด ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงท่านหนึ่งที่ทรงญาณและได้ญาณทั้ง ๘ คือ ทิพยจักษุญาณ จุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ ยถากัมมุตาญาณ

อีกทั้งเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ทั้งวิชชา ๓ และ อภิญญา ๖ อีกด้วย ผู้ที่ติดตามรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สีย่อมที่จะทราบถึงภูมิปัญญาและปฏิปทาของท่านได้ดี ท่านเป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน มีความเชี่ยวชาญในกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง อีกทั้งแตกฉานรู้แจ้งในวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ โดยแน่แท้

ฉะนั้น จึงย่อมเป็นการง่ายดายสำหรับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ซึ่งได้วิชชา ๓ ได้อภิญญา ๖ ได้ ญาณ ๘ ท่านจึงได้นำสิ่งที่ได้มาพิจารณาวิปัสสนาเพื่อละสังโยชน์ ๑๐ อย่าง จนท่านบรรลุเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดก็คือ ท่านจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ พระอรหันต์ องค์หนึ่ง

ด้วยความมั่นใจในหมู่ลูกศิษย์ ลูกหาของหลวงปู่ที่มีความรู้ในเรื่องการปฏิบัติของพระอริยเจ้าแล้วก็จะทราบได้ทันทีว่า หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านมิได้เป็นพระอรหันต์แบบ “เตวิชโช” หรือ วิชชา ๓ แบบ “ฉฬภิญโญ” หรือ อภิญญา ๖ เท่านั้น แต่หลวงปู่สีท่านจะต้องเป็นพระ “อรหันต์” ผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งยอด ประเภท “ปฏิสัมภิทาญาณ” เพราะหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านทรงคุณวิเศษ ๔ ประการ ดังนี้คือ

๑ อัตถปฏิสัมภิทา เป็นผู้มีปัญญาแตกฉานในอรรถ คือ ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำ และเนื้อความในพระไตรปิฏกได้อย่างพิสดารเข้าใจง่าย และถอดเนื้อความที่พิสดารนั้นๆ ให้ย่อสั้นลงมาได้ชัดเจนไม่เลียหาย

๒. ธัมมปฏิสัมภิทา เป็นผู้มีความฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อให้มีความพิสดารได้อย่างถูกต้อง

๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา เป็นผู้มีความฉลาดในภาษารู้และเข้าใจในภาษาในโลก รวมทั้งภาษาของเทพยดา พรหม ภูตผีปิศาจ อสูรกาย นาค ครุฑ ตลอดจนภาษาของสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด

สำหรับในเรื่องการรู้ภาษาทุกภาษาในโลกนี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านสามารถเข้าใจภาษาทุกชาติทุกภาษาที่มาหาท่านและพูดกับท่าน จนชาวฝรั่งต่างชาติ หลายต่อหลายชาติต่างพูดกันว่า “หลวงปู่ท่านรู้หลายภาษา” และเวลาที่ท่านฉันอาหารนั้น ก็จะมีบรรดาสัตว์ต่างๆ มาห้อมล้อมตัวท่านมารับส่วนแบ่งอาหารจากท่าน เช่น นก ลิง ไก่ แมว หมา เป็นต้น และสัตว์ทุกประเภทที่มาอยู่ใกล้ท่าน มันจะปรองดองกันไม่ไล่กัน ไม่รังแกกัน แสดงว่าท่านสามารถสนทนาภาษาสัตว์เหล่านั้นได้ ทั้งคนและสัตว์จึงอยู่กันอย่างปรองดอง และลูกศิษย์ของหลวงปู่ก็มีทุกชาติทุกภาษา

๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบเฉลียวฉลาด สามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะมีครบถ้วนอยู่ในตัวของหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ ท่านเป็นผู้ที่มีคุณวิเศษเหมาะสมกับคำว่า “อรหันต์ ๗ แผ่นดิน”
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2010, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณผู้ที่ให้ข้อมูลหลวงปู่ในแง่มุมต่างๆ ทั้งที่ได้เอ่ยนาม ณ ที่นี้ และมิได้เอ่ยนามอีกหลายท่านรวมทั้งลูกหลานหลวงปู่สี (ลี) ทุกท่าน..

๑. ท่านพระครูวิเศษฏ์สมโพชฏ์ น.๑๖ วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) ท่าเตียน โทร ๒๒๒-๗๙๘๐

๒. ท่านพระอาจารย์สุพจน์ (เจ็ก) ฉนฺทชาโต วัดเขาถ้ำบุญนาค (ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่)

๓. พระอาจารย์รักษ์ เตชธมฺโม (ผู้ปรนนิบัติหลวงปู่)

๔. พระอาจารย์ประเทือง พุทธธมฺโม (ผู้ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ จนถึงกาลมรณะ)

๕. ปู่โทน หลำแพร ศรัทธา ติดตามเรื่องราวของหลวงปู่ก่อนที่จะมาอยู่เขาถ้ำบุญนาค.

๖. อาจารย์ประสงค์ ดีนาน (หลานชายหลวงปู่ อยู่จังหวัดสุรินทร์).

๗. อาจารย์บุญมี สิทธินาม (หลานชายหลวงปู่ อายุ ๘๗ อยู่จังหวัดสุรินทร์)

๘. อาจารย์เกลี้ยง ดำริห์ (หลานชายหลวงปู่) ปัจจุบันอยู่.สุรินทร์

๙. ญาครูจันทร์ พระอาจารย์จันทร์ อยู่สุรินทร์ ผู้มาดูแลหลวงปู่ตอนหลวงปู่อาพาธ.

๑๐. อาจารย์เกรียงศักดิ์ เทศถมทรัพย์

๑๑. อาจารย์ชนินทร์ ดีนาน หลานหลวงปู่สี ผู้เคยมาบวชเรียนอยู่ที่วัดมหาธาตุ ปัจจุบันอยู่สุรินทร์

(ผู้ที่ส่งประวัติต่างๆ ของหลวงปู่สี ตั้งแต่บ้านเกิด จนจากสุรินทร์ อุดรธานี มาอยู่เขาถ้ำบุญนาคตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งส่งรูปภาพต่างๆ ของหลวงปู่มาให้ ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่มีใครเคยได้เห็น ได้ล่วงรู้ประวัติอันแท้จริงของหลวงปู่สีฯ ที่รู้ก็ตั้งแต่เฉพาะปี พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นต้นมาเท่านั้น ลูกหลานของหลวงปู่ลี จึงอยากให้ทราบเกียรติประวัติ และปฏิปทาของหลวงปู่ มิใช่แต่ในเรื่องวัตถุมงคลของหลวงปู่เท่านั้น)

๑๒. คุณแก้ว จินดา ช่องแค ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

๑๓. คุณสนั่น สวนสุวรรณ โรงงานปูนซีเมนต์ ตาคลี นครสวรรค์

๑๔. คุณพิชิต คุ้มคงอมร

๑๕. คุณชาญ แดงไพบูรณ์

๑๖. คุณจีรศักดิ์ (บางโพ)

๑๗. คุณสุรสีห์ ตั้งภูมิจรัศวงค์

๑๘. นาวาเอกชาญ ศรีไทย

๑๙. พล.ต.จ. มงคล จีรเศรษธ์

๒๐. พ.ต.ท. อรรณพ กอวัฒนา

๒๑. คุณพิทักษ์ เสงี่ยมกลาง (ตรวจ,ทาน)



มีต่อๆ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2011, 10:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆขอบพระคุณมากค่ะ ท่านหลับอยู่ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร