วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2011, 16:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๓๙ ตายจากช้างมาเกิดเป็นคนแล้วบวชเป็นแม่ชี


"..ได้มีผู้มาเล่าให้อาตมาฟังถึงทุกข์ตอนที่อยู่ในท้องแม่ ซึ่งคนเล่าได้ตายไปนานแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่าเวลานั้นอาตมาบวชได้ ๒ พรรษา ได้มีแม่ชีอายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ อยู่จังหวัดสุรินทร์ ท่านเล่าว่าก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นคน ท่านเป็นลูกช้าง เจ้าของอยู่ตำบลหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ สมัยนั้นที่แม่เป็นช้างเคยนำลูกช้างไปอาบนํ้าที่บึงๆ หนึ่ง นํ้าเย็นมากมีความสุข ต่อมาลูกชายของเจ้าของบ้านขี่คอท่านนำไปอาบนํ้า ตอนกลับทางที่ผ่านมีกิ่งไม้ กิ่งไม้มันตํ่า ท่านบอกท่านก็ย่อตัวถึงที่สุดเข้าใจว่าพ้นแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมา ก็พอดีลูกชายเจ้าของบ้านสะดุดกิ่งไม้ตกจากคอช้าง เขาก็โกรธพอขึ้นคอได้ก็เอาขอสับเอาๆ ก็วิ่งกลับบ้าน ท่านบอกขอสับนี่เจ็บมาก

ต่อมาไม่นานเขาก็บอกให้พ่อเขาขาย บอกว่าช้างตัวนี้คบไม่ได้ทรยศ พ่อกับแม่บอกลูกชายว่าไม่ควรจะขาย พ่อกับแม่ช้างก็อยู่ที่นี่ดีอยู่ แต่ลูกชายไม่ยอม ในที่สุดก็ต้องขายอย่างจำใจเพราะลูกชายต้องการให้ขาย เมื่อขายแล้วลูกช้างก็ไปอยู่กับเจ้าของใหม่ ท่านบอกว่าคิดถึงเจ้าของเก่า ก็เลยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผอมลงๆ ไม่ช้าก็ตาย

พอตายแล้วจิตที่ออกจากร่างช้างมันเป็นคนมีเสื้อใส่มีผ้านุ่ง

เมื่อออกมาแล้วอาศัยจิตเดิมคิดถึงเจ้าของเดิม (คนนี้ระลึกชาติได้ชาติหนึ่ง) ก็ตั้งใจจะไปหาเจ้าของเดิม เดินลัดป่าลัดทุ่งไปบ้าง วันนั้นถึงเวลาตอนเพลลัดเข้าไปในวัด หมาวัดมันไล่กัด ท่านบอกหลบหมาเสียเกือบตาย หมาเก่งเพราะเห็นผีได้ เวลานั้นท่านเป็นผี เลิกเป็นช้างเป็นคนแล้ว พอมาถึงบ้านที่เจ้าของเดิมอยู่ ปรากฏว่าไม่มีบ้านเขาถอนไปแล้ว ท่านก็ถามเทวดาที่นั่น ท่านก็บอกว่า "เจ้าของบ้านเขารื้อไปอยู่ต่างตำบล" ท่านก็ตามไปจนพบ เมื่อพบแล้วก็เข้าบ้านไม่ได้ พอจะเข้าเขตบ้าน ภุมเทวดาก็ห้ามเข้าเพราะเป็นผีภายนอกเข้ามาไม่ได้ เกรงจะทำอันตรายเจ้าของบ้าน ท่านก็ต้องยืนคอยอยู่ปากตรอก ๓ วัน

พอวันที่ ๓ ตอนเย็นพ่อบ้านไม่ทราบว่าไปไหนมา พอถึงปากตรอกบ้านก็ยืนปัสสาวะ ท่านเลยได้โอกาสโดดเกาะคอเข้ามา พอเกาะคอเจ้าของบ้านเข้ามา เทวดาเจ้าของที่ก็ว่าไม่ได้ เพราะถือว่าเจ้าของบ้านให้เข้ามา จึงปล่อยไป

พอเข้าไปถึงบ้านท่านบอกว่า เข้าไปอยู่ในห้องๆ หนึ่งมันกว้างชวางมาก นั่งสบายนอนสบาย แต่ความจริงห้องที่อยู่นั่นคือมดลูกของแม่นั่นเอง เวลานั้นไม่ได้เข้าใจว่าเป็นท้องแม่ แต่มารู้ภายหลัง หนักเข้าๆ ก็รู้สึกว่าตัวมันโตขึ้นมาทีละหน่อยๆ ใจไม่โทษตัวโตแต่ไปโทษห้องมันเล็กลง ชักคับห้องทุกที ผลที่สุดเหยียดแขนเหยียดขาไม่ไหว ก็งอแขนงอขา หนักเข้าๆ มันทนปวดเมื่อยไม่ไหว มันเป็นทุกข์ก็ต้องหาทางออก ออกมาก็เป็นลูกชาวบ้าน

อาตมาถามว่า "โยมชีเมื่อทราบอย่างนี้แล้ว อยากจะเกิดอีกไหม"ท่านตอบว่า "ไม่ต้องการเกิดแล้วค่ะ เลิกเกิด"
รวมความว่าการอยู่ในครรภ์มารดา มันก็ทุกข์อย่างนี้ มันทุกข์มาตั้งแต่ก่อนเราคลอด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ความเกิดเป็นทุกข์" มันทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่เราจำไม่ได้

เรื่องที่ ๑๔๐ ตายจากแมวไปเกิดเป็นคน


"..หลวงพ่อปาน ท่านเล่าเกร็ดความรู้ระหว่างที่ท่านได้อยู่กับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมีแมวตัวหนึ่งตายไปท่านเรียก "อีไฝ" เพราะว่ามีไฝที่ปาก มีวันหนึ่งท่านนั่งฉันข้าวอยู่ ท่านก็หัวเราะกั๊กๆ ขึ้นมาแล้วท่านก็พูดคนเดียวว่า "อีไฝของข้ามันดีเว้ย มันไปเกิดเป็นคนที่ตลาดโควัง บ้านอยู่หัวตลาดโควัง พ่อมันชื่อนั่น แม่มันชื่อนั่น" พระที่กำลังฉันข้าวอยู่สงสัยก็จำไว้

พอครบเวลา ๑ ปีผ่านไป พระที่สงสัย ๒ องค์ก็พากันไปดู ไปถามว่า "คนชื่อนี้มีไหม" เขาก็บอกว่า "มี" ได้ถามว่า "เขามีลูกผู้หญิงอายุไม่กี่เดือนหรือเปล่า" เขาตอบว่า "มี" จึงถามหาบ้าน เขาก็พาไปพบเจ้าของบ้าน เขาก็ถามว่า "มาทำไม" พระก็หลอกว่า "หลวงพ่อเนียมท่านใช้ให้มา บอกว่า แมวของท่านตายแล้วมาเกิดเป็นลูกที่บ้านนี้ มีไฝที่ปากเป็นผู้หญิง และบอกชื่อพ่อชื่อแม่ของเด็ก" พ่อแม่ของเด็กก็ดีใจมากที่ได้ลูกที่เคยเป็นแมวของหลวงพ่อเนียม และให้พระบอกท่านด้วยว่า "ถ้าเด็กคนนี้อายุครบ ๓ เดือนเมื่อไร จะพาเด็กไปถวาย"

พอครบ ๓ เดือนเขาก็พาเด็กไป พอไปถึงก็เอาเด็กไปประเคนลงที่เท้าของท่าน หลวงพ่อเนียมทำท่าตกใจ ความจริงท่านทำไปอย่างนั้นเอง แล้วถามว่า "มันยังไงกันหว่า มาถึงก็ยกเด็กมาวางที่เท้าข้า" เขาก็บอกว่า "ก็ลูกของหลวงพ่อไงล่ะ แมวชื่อไฝของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกฉัน" ท่านก็ถามว่า "รู้ได้อย่างไร" เขาก็บอกว่า "มีพระไปเยี่ยมเล่าว่า หลวงพ่อบอกว่าแมวของท่านที่ตายชื่อไฝไปเกิดเป็นลูกสาวฉันมีไฝที่ปาก บอกชื่อพ่อชื่อแม่ถูกต้องหมด" ท่านถามว่า "พระองค์ไหนจำได้ไหม" เขาบอกว่า "ถ้าเห็นหน้าก็จำได้" ท่านก็เรียกพระมาทั้งหมด ปรากฏว่าพระ ๒ องค์นั้นไม่มาหนีไปหลังวัด ท่านถามว่า "พระที่ไปบ้านเอ็งมีไหม" เขาตอบว่า "ไม่มี" ท่านก็ให้พระองค์หนึ่งไปตามบอกว่า "มันหนีไปหลัดวัดโน่น ไปตามมา" พระองค์ที่ไปตามไปพบกับพระ ๒ องค์นั้น และให้ไปบอกหลวงพ่อว่า "ตามไม่พบ เดี๋ยวจะไปนอนค้างที่วัดลานคาซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักกับวัดน้อย" พระองค์นั้นก็กลับมาบอกว่า "ไม่พบขอรับ" ท่านก็บอกว่า "มันจะพบได้อย่างไร ก็มันสั่งให้มาบอกว่าไม่พบ" พระองค์นั้นจนด้วยเกล้าต้องยอมรับ

จึงกล่าวได้ว่า หลวงพ่อเนียมมีเจโตปริยญาณและมีทิพพจักขุญาณแจ่มใสดีมาก.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๙ ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา


1 เรื่องที่ ๑๔๑ ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

2 เรื่องที่ ๑๔๒ สุนัขชื่อ "สิงห์ดอก" ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี

3 เรื่องที่ ๑๔๓ ตายจากสุนัขชื่อ "โคล่า" ไปเกิดเป็นเทวดา

4 เรื่องที่ ๑๔๔ สุนัขที่วัดท่าซุงตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฟังเทศน์แล้วเลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา

5 เรื่องที่ ๑๔๕ ตายจากสุนัขชื่อ "เจ้าขุน" อยู่ที่วัดท่าซุง ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

6 เรื่องที่ ๑๔๖ ตายจากกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

7 เรื่องที่ ๑๔๗ ตายจากไก่ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

8 เรื่องที่ ๑๔๘ ตายจากสุนัขไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดงส์และอธิษฐานลงมาเกิดเป็นปลายักษ์ยาว ๑ โยชน์





เรื่องที่ ๑๔๑ ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗


"..มีลูกสุนัขตัวหนึ่งมันป่วย เจ้าตัวนี้เกิดมาใหม่ๆ ตัวเบาเหมือนนุ่น ตัวเล็กที่สุด ต่อมาก็แข็งแรงแล้วก็ป่วย รุ่งขึ้นก็ตายตอนเช้า มันอยู่ข้างล่าง อาตมานอนอยู่ชั้นบนก็เห็นผู้ชาย ๔-๕ คน นุ่งขาวห่มขาวเป็นแบบคนธรรมดา รูปร่างใหญ่เดินเข้ามา อาตมามีความรู้สึกว่าเป็นพรหม จึงถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ผมมารับปุยครับ" เจ้าหมาตัวนี้หมายเลข ๓๔ อาตมาเรียกมันว่า "ปุย" เพราะขนปุยเหมือนหมาจู ถามว่า "ปุยคนไหน" ตอบว่า "คนนี้ครับ" ก็เลยถามว่า "ตายแล้วไปอยู่ไหนล่ะ" เขาตอบว่า "อยู่พรหมชั้นที่ ๗ เขาเป็นท้าวมหาพรหม เขาลงมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับ"แสดงว่าพรหมมารับพรหม.."

เรื่องที่ ๑๔๒ สุนัขชื่อ "สิงห์ดอก" ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี


"..ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีคนเอาหมามาปล่อยเสมอๆ จนปรากฏเป็นฝูงใหญ่ หมาฝูงนี้มีหัวหน้าอยู่ตัวหนึ่ง ตัวเป็นดอกๆ เลยเรียกกันว่า "เจ้าสิงห์ดอก" หมาตัวนี้รู้สึกว่าจะมีความเฉลียวฉลาดผิดหมาทั่วไป รู้จักฟังธรรมและบังคับบัญชาลูกน้อง เวลาจะมีคนมาขโมยของวัด เจ้าสิงห์ดอกจะจัดวางกำลังกองทัพหมาไว้ป้องกันเป็นอย่างดี
วันหนึ่งไม่รู้ว่าเจ้าสิงห์ดอกเขานึกอย่างไร เขาจัดการวางกำลัง จัดกำลังไว้บนกุฏิ ๔ ตัว ที่วัดมีช่องทางเข้าวัด ๓ ทาง มันก็วางกำลังจุกไว้หมดทุกทาง แล้วก็มีอีกชุดหนึ่งนอนรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม สักประเดี๋ยวมันก็กระโดดไปทางฝั่งกุฏิของพระครูวิชาญ เดี๋ยวเดียวมีเสียงเป๋ง ไอ้ตัวนั้นคงหลับ ทุกคืนไม่เคยมีอย่างนี้ ก็เลยสั่งพระสั่งเณรว่าคืนนี้พร้อมไว้ เราเป็นทหารของพระพุทธเจ้า ถ้าใครมาเอาของสงฆ์ละเอาชีวิตแลกเลย

เวลาสักทุ่มเศษๆ เราดับไฟเงียบแล้วนอนกันอยู่ที่นั่น ห้ามพูด ห้ามสูบบุหรี่ พอหกทุ่มกว่าๆ เสียงข้างล่างเจี๊ยวเลย คือที่ชายป่ามีเสียงเห่า เจ้าสิงห์ดอกก็เดินยามของเขาไม่ได้หยุดเลย พอมีเสียงเห่ามันก็ขับฝูงพิเศษพรวดออกไปตัวเขาก็กระโดดตาม

ปรากฏว่าตอนเช้าได้ปืนกระบอกหนึ่ง ผ้าขาวม้า ๒ ผืน ป่าราบไปเลย
โดยปกติต้องเลี้ยงข้าวกะละมังขนาดพระหิ้ว ๒ องค์ มื้อละตั้ง ๓ กะละมัง ชาวบ้านเขาเห็นเขากลัวหมาอด ทีนี้ก็เอาข้าวสารมาเลี้ยงหมาไม่ใช่เลี้ยงพระ คราวหนึ่งต้องไปที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เดือนหนึ่ง ก็สั่งพระสั่งเณรไว้ ให้สตางค์ไว้ ถ้าข้าวสารไม่มีกับข้าวไม่มี ก็ให้เอาปลามาต้มเค็มเพราะมันกินได้นาน ถ้ามันเริ่มจะไม่กินก็เปลี่ยนเป็นต้มยำบ้าง ต้มส้มก็ได้ พอกลับมาปรากฏว่าสตางค์ไม่หมด เขาบอกว่าอาตมาไม่อยู่ ชาวบ้านเขากลัวหมาอดก็เอาต้มเค็มบ้าง ต้มส้มบ้าง หม้อใหญ่ๆ เลย

เณรที่มีหน้าที่อุ่นอาหารตอนนั้นชื่อ "เปีย" บอกอาตมาไม่อยู่ยิ่งรวยใหญ่
คราวหนึ่งมีข่าวว่าผู้ร้ายจะมาเอาพระพุทธรูป เป็นพระสุโขทัยสำริดเงิน

คำว่า "สำริด" มี ๓ อย่าง คือ มีทองคำ มีเงิน และก็ดีบุก เขาเรียกว่า "สามฤทธิ์" ไม่ใช่สำริด เราเรียกเสียงห้วนไป ตาชมช่างหล่อพระเขาบอก ถ้าออกสีของแร่ไหนมากก็เรียกสำริดอย่างนั้น นอกจากพระสุโขทัยสำริดเงินแล้วยังมีพระเชียงแสนอีก ๒ องค์ ของเก่าทั้งนั้นที่ขโมยมุ่งจะเอา มาวันหนึ่งยายแก่ไปหาหน่อไม้ ไปเจอะมันกำลังนอนสูบใบพลูอยู่ใต้กอไผ่ ๕ คน แกก็เลยส่งข่าวมาบอก ตอนนั้นหลังวัดยังเป็นป่าอยู่ แต่เวลานี้เขาถางหมดแล้ว พระครูวิชาญได้สร้างโรงเรียน เมื่อได้ข่าวก็ไปบอกผู้บังคับกองตำรวจชื่อ "จำลอง" เลยให้ตำรวจมา ๔ คน แกบอกว่า "หลวงพ่อทหารมาก ผมว่าตำรวจคนเดียวก็พอ"
เอ..ดันไปเชื่อหมาเสียอีก พอดีทายกเขามาก็เลยบอกสองสามคืนให้มานอนด้วยกันหน่อย ยังไงๆ มันต้องกดคอพระครูวิชาญแน่ ไอ้จะปล้นแบบตูมตามน่ะมันไม่ทำหรอก

พอคืนที่สองเจ้าสิงห์ดอกจัดเวรอีกแล้ว เลยบอกตำรวจสังเกตคืนนี้ขโมยต้องเข้า ให้เตรียมตะครุบให้ดีเถอะ ถึงเวลามันเข้ามา มองเห็นคนร้ายไปชิดกุฏิพระครูวิชาญ เอาไม้พาดกำลังจะปีนขึ้นเท่านั้น ไม่มีเสียงเลย เจ้าสิงห์ดอกบุกเงียบ มันฟัดเสียแหลกเลย หน้าตาเละหมด ได้ครบ ๕ คนโดยตำรวจไม่ต้องยิงเลย

เจ้าสิงห์ดอกนี้มันเก่งจริงๆ เวลาเจริญพระกรรมฐานเขาต้องมาอยู่หมดทั้งฝูง วันนั้นมันจะตาย ตอนคํ่าเจริญพระกรรมฐานเขามาอยู่ด้วย ตอนตี ๒ ฉันออกไปเจริญพระกรรมฐานหน้ากุฏิคนเดียว ตามปกติมันนั่งอยู่หน้าลูกกรง แต่วันนั้นมันขอเข้าก็เลยให้เข้า มันเข้ามานอนเอาหัวพาดตัก พอตี ๔ พระลุกขึ้นทำวัตร มันก็ลุกบ้าง ปลัดบุญธรรมแกทักว่า "อ้อ..สิงห์ดอกรึมานี่ มาหาหลวงพี่ที่นี่" มันก็เข้าไปใกล้ไปนอนฟังจนจบ จบแล้วก็กลับมาที่หน้าพระพุทธรูปที่เขาเจริญพระกรรมฐาน แล้วตายตรงนั้น

เวลาเขาตายเราก็ไม่รู้ พอใกล้สว่าง เห็นเทวดาองค์หนึ่งสว่างจ้าเลย ถามว่า "ใคร" เขาตอบว่า "ผมเทวดาสิงห์ดอกครับ" ถามชื่อจริงๆ เขาก็บอกแต่จำไม่ได้แล้ว ทรงผ้าพื้นเขียว เสื้อพื้นขาวแต่เพชรพราว ถามแกว่า "อยู่ชั้นไหน" ตอบว่า "ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีครับ" ชั้นปรนิมมิตวสวัสดีนี่เขาต้องได้ฌาน ๔ นะ เขาบอกว่า "ผมก็ได้เหมือนกันนี่ครับ" เอ๊ะ ได้อย่างไร เขาอธิบายว่า"ที่หลวงพ่อไปทำพระกรรมฐานนั้น ผมก็ไปนั่งด้วยความเคารพ จิตมันทรงตัว"

จริงสิ เวลาเทศน์เป็นไม่ได้ เจ้าสิงห์ดอกเขามานั่งหรี่ตามอง ทำหางกระดุกกระดิกๆ ชอบใจจนกว่าจะจบ ไม่ว่าใครเทศน์มันก็ไป พอพระตีระฆังเท่านั้นไปแล้วอยู่ไม่ได้
นี่เห็นไหม หมาไปเป็นเทวดาได้ แต่คนถ้าตายแล้วไปเกิดเป็นหมาก็ซวยเต็มทีละ.."

เรื่องที่ ๑๔๓ ตายจากสุนัขชื่อ "โคล่า" ไปเกิดเป็นเทวดา


"..สุนัขเขาไม่ได้แปลว่าหมา เขาแปลว่า "เล็บงาม" ถ้าหมาตามศัพท์คือ "สา" สุนัขนี่ไม่แน่บางตัวเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมามีสุนัขตัวหนึ่งชื่อ "โคล่า" มันแก่แล้วเดินจะไม่ไหว วันหนึ่งอาตมานอนดูมันอยู่ พระพุทธเจ้าท่านถามว่า "รู้จักโคล่าไหม" อาตมาถามท่านว่า "ทำไมครับ" ท่านตอบว่า "เธอเห็นมันแปลกบ้างไหม" ตอบว่า "เห็นครับ"

เพราะว่าโคล่านี่ เวลาแม่มันอยู่มันกินมูมมาม กินเสร็จแล้วก็ออกไปเกะกะโวยวาย แม่มันเป็นสุนัขเรียบร้อย เวลาเขาให้กินยังไม่กินนั่งเรียบร้อย พอแม่มันตายวันนั้นมันทำท่าเหมือนแม่มันเลย เหมือนหมดทุกอย่างจนกระทั่งถึงวันตาย สมัยก่อนอาตมาขึ้นไปรับแขก เจ้าแม่มันขึ้นไปเป็นเพื่อน พอแม่มันตายแล้วก็พบโคล่าอยู่ข้างล่าง

อาตมาจึงบอกว่า "โคล่า ตอนนี้แม่ตายแล้วนะ อาตมาไม่มีเพื่อนไปอยู่เป็นเพื่อน"
พอวันรุ่งขึ้นก็ไปถึงที่รับแขก ต่อมาอาตมาก็บอกว่า "โคล่า กินข้าวถ้าหากอิ่มมั่งไม่อิ่มมั่งไปขอป้าเขานะ" พอถึงเวลากินข้าวโคล่าก็เข้าไปไม่ต้องนำไป ทุกอย่างบอกคราวเดียว ถ้าทำผิดปั๊บเขาก็ทำท่าแบบขออภัย สั่งงานคราวเดียวจำตลอดชีวิต เวลาใกล้เพลสั่งไว้ว่า "เวลาอาตมาหลับหรือเผลอ มาเรียกด้วยนะ" พอ ๔ โมงโคล่ามาเรียก ตอนหลังบอก "๑๕ นาทีเพลค่อยมาเรียกนะ" อีก ๑๕ นาทีเพลโคล่ามาเรียกจริงๆ

พระท่านก็เลยมาบอกว่า "เจ้าโคล่าเป็นพระโพธิสัตว์"และท่านยังบอกต่ออีกว่า "คนสงเคราะห์เลี้ยงพระโพธิสัตว์มีอานิสงส์มาก"
อาตมาถามว่า "แล้วทำไมถึงลงมาเกิดเป็นสุนัขครับ"
ท่านตอบว่า ลงมาช่วยดูแลของสงฆ์ สุนัขหรือแมวถ้าพระเลี้ยง ตายแล้วไปสวรรค์ทุกตัว ได้เปรียบกว่าคนมาก เพราะสุนัขแสนรู้นี้ถ้าไม่เกิดเป็นเทวดาก็เกิดเป็นคนแน่ เพราะตัวเมตตาเข้าถึง ทานบารมีเก่าเขามี เมตตาบารมีเริ่มเข้าสนอง ส่วนคนนี่ไม่แน่นอน จะไปอบายภูมิก็ได้ จะไปสวรรค์ก็ได้ จะไปพรหมก็ได้ หรือจะไปพระนิพพานก็ได้.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๔๔ สุนัขที่วัดท่าซุงตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฟังเทศน์แล้วเลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา


"..วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ ตอนเช้าเวลาประมาณ ๘ นาฬิกาเศษๆ ท่านพระยายมราชมาบอกอาตมาว่า "เทวดา ๒ องค์เพิ่งเกิดใหม่ครับ คือเพิ่งเป็นเทวดาวันนี้ เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าเทศน์จึงไม่ได้ฟัง" และ ได้มีเทวดาอีก ๒๐ กว่าองค์เข้ามาใกล้ๆ อาตมาบอกว่า "ผมเคยเป็นสุนัขที่วัดของท่านครับ" ท่านพระยายมราชท่านบอกว่า "ทั้งหมดนี้เป็นเทวดาชั้นยามา แต่งชุดสีขาว" มีสุนัขอีกตัวหนึ่งตายทีหลังสุดบอกว่า "ผมเพิ่งตายเมื่อวานซืนนี้ครับ เมื่อวานนี้ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เดิมทีเดียวผมอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พอฟังเทศน์จบจิตสะอาดขึ้น ได้เลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา"

ก็เป็นอันว่าอาตมาได้บอกกับบรรดาเทวดาที่มาหาอาตมาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ การถวายสังฆทานก็ดี บวชพระก็ดี มีอานิสงส์มากแต่ว่าอานิสงส์ก็แค่กามาวจรสวรรค์ ฟังเทศน์ดีกว่า ถ้าฟังเทศน์แล้วเธอสามารถปฏิบัติได้ เธอก็มีโอกาสได้เป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อยหรือมิฉะนั้นก็เป็นพระอรหันต์..."

เรื่องที่ ๑๔๕ ตายจากสุนัขชื่อ "เจ้าขุน" อยู่ที่วัดท่าซุง ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

"..วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ อาตมากลับจากรับแขกตอนเย็นก็ทราบว่า "เจ้าขุนป่วยหนัก" คำว่า "เจ้าขุน" เป็นชื่อสุนัขตัวหนึ่งเป็นสุนัขตัวที่ ๑๓ ที่เรียกว่า "เจ้าขุน" ก็เพราะว่าในสมัยหนึ่งขนมันหลุดหมด มันเป็นโรคเรื้อนก็เลยเรียก "เจ้าขุน" เพราะขนไม่มีอาตมาก็เรียกเจ้าขุนแทนขุนช้าง

ต่อมา โยมสมัคร บอกว่า "มียาขนานหนึ่ง คนที่เป็นโรค ชันนะตุ ที่เกิดบนหัว เมื่อเกิดขึ้นแล้วผมหลุดหมด หัวเป็นแผลเป็น เขาใช้เปลือกต้นแคถากมาแล้วก็เอาไปแช่นํ้าซาวข้าว แช่สัก ๕-๗ วันแล้วนำมาทาผมขึ้นเต็มศีรษะ" ก็ลองมาทาเจ้าขุน ปรากฏว่าไม่นานขนขึ้นสวยหนากว่าเก่ามาก เจ้าขุนนี่เป็นหมาที่มีความจงรักภักดี แต่ว่าไม่ค่อยจะยอมให้จับ เรียกชื่อเมื่อไรถอยหลังหนีไปไกลเมื่อนั้น ถ้าไม่เรียกก็ย่องเข้ามาหาเอง ๒-๓ วันเข้ามาหาทีลูบคลำได้ ถ้าเรื่องอยู่ยามเป็นหน้าที่ของเขา เขาอยู่ยามดีจริงๆ คืนทั้งคืนไม่ยอมหลับก็มี นอกจากว่ามีสุนัขตัวอื่นไปเปลี่ยน

พอวันรุ่งขึ้นเจ้าขุนก็ตาย เย็นวันนั้นอาตมากำลังเดินขึ้นบันไดหลังจากไปเยี่ยมฝูงสุนัขที่เลี้ยงไว้แล้ว ก็เห็นชายคนหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้า จึงถามว่า "ขุนใช่ไหม" เขาตอบว่า "ใช่ครับ" อาตมาบอกว่า "ขุน เอ็งมีความดีอยู่มาก มีความจงรักภักดีต่ออาตมา และอีกประการหนึ่งก็ช่วยรักษาของสงฆ์ ก็เป็นบุญใหญ่ ผลบุญใดที่พ่อทำแล้วตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบัน ขอเธอจงโมทนารับผลเช่นเดียวกับพ่อตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" เธอยกมือไหว้แล้วก็หายไป

หลังจากนั้นเวลาประมาณ ๖ โมงเย็นเศษๆ อาตมาพักผ่อนนอนภาวนาคาถาบทที่ทำให้จิตเป็นสุข ชอบบทไหนก็ภาวนาบทนั้นทำอารมณ์ให้เป็นสุขตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ พอสักประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่ามี ชายใส่ชฎาสวยงามมากมีเพชรแพรวพราวเป็นระยับ สวยกว่าชฎาลิเกมาก ตัวก็เป็นเพชรแพรวพราวเป็นเทวดายืนสง่างามมากแต่ว่าอยู่ไกล ยืนระหว่างวิมานซึ่งใหญ่โตมากเป็นทองคำ เสาก็เป็นทองคำแต่หลังคาเป็นแก้ว ก็มีความรู้สึกว่า "นี่มันเจ้าขุนนี่" จึงถามว่า "นั่นเทวดาเจ้าขุนใช่ไหม" เขาตอบว่า "ใช่ครับ" อาตมาถามต่อว่า "เมื่อเธอเป็นสุนัขเธอก็กลัวไม่กล้าเข้าใกล้ วันดีคืนดีถึงจะเข้ามาหาแต่วันปกติถ้าเรียกมา เธอจะไม่ยอมเข้าใกล้จะวิ่งหนีออกไป เวลานี้เป็นเทวดาแล้วทำไมจึงอยู่ไกลอีก" เธอก็ตอบว่า "ผมเป็นเทวดาผมก็ยังกลัวครับ" ถามว่า "เธอจะกลัวทำไม ให้เข้ามาใกล้ๆ" วิมานเธอก็ลอยมาใกล้ ถามว่า "เวลานี้เธออยู่ที่ไหน" เธอตอบว่า "ผมอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครับ" ถามว่า "มีความสุขดีไหม" เธอตอบว่า "มีความสุขดีมาก" ถามว่า "ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ทำไมจึงกลัวอาตมา" เธอก็ตอบว่า "ไม่ทราบเป็นอะไรครับ ผมก็รักอาตมาแต่มันมีความรู้สึกกลัวครับ" อาตมาเลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อไปเป็นหัวหน้ายามนะ น้องที่อยู่ข้างหลังบางทีมันหลับ ใครจะไปใครจะมามันไม่เห็น ก็คอยเตือนน้องมัน"

อาตมาให้เรียกพวกสุนัขที่ตายแล้วทั้งหมดมาพร้อมกัน ปรากฏว่ามากันนับร้อย คือสุนัขที่เลี้ยงเองบ้าง ที่พบตายในระหว่างทางที่ถูกรถชนตายบ้าง ที่ไปเห็นก็ให้บุญให้กุศลเธอ ที่มากันทั้งหมดเวลานี้เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีความสวยสดงดงาม

คนเราถ้ามีอารมณ์จิตที่เป็นกุศล มันมีความได้กำไรดีกว่าสัตว์เพราะว่าคนรู้ภาษาว่านี่เราทำบุญ แต่สัตว์มีหน้าที่อย่างเดียวคือโมทนาเมื่อตายแล้ว สัตว์ที่อยู่กับพระมีหน้าที่รักษาของสงฆ์ ใครมามันก็เห่าบ้างกรรโชกบ้าง พวกที่จะขโมยของสงฆ์ก็ไม่กล้าจึงหลีกเลี่ยงไป เป็นอันว่าของสงฆ์ก็ปลอดภัย ดังเช่น "เจ้าขุน" บัดนี้ได้ตายไปแล้วและไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก.."

เรื่องที่ ๑๔๖ ตายจากกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

"..เมื่อคืนวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑ อาตมาได้อ่านหนังสือพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ หน้า ๗๔ ไปพบเรื่องที่ถูกใจเรื่องหนึ่งคือเรื่อง "มัณฑุเทพบุตรวิมาน" แต่อาตมาขอให้นามว่า "เทวดากบ" ตามบาลีท่านว่า พระพุทธเจ้าตรัสถามเทวดากบว่า "นั่นใครมีผิวพรรณสวยงามมาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศสว่างทั่วจักรวาล ไหว้เท้าทั้งสองของตถาคตอยู่" เทวดากบกราบทูลว่า "เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบ เที่ยวหาอาหารอยู่ในถํ้า เมื่อข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ตายจากความเป็นกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวรรณะ ยศ ฤทธิ์ เช่นนี้เพราะมีจิตเลื่อมใส ฟังธรรมะของพระองค์เพียงครู่เดียว สำหรับท่านที่มีโอกาสฟังนานๆ มีหวังไปพระนิพพานสิ้นทุกข์ เป็นดินแดนสิ้นโศก สิ้นความเร่าร้อนพระเจ้าข้า"

เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้ ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์ ทำบุญไม่ได้ เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฎก

วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาฉันเพลแล้ว ก็เข้าที่พักนอนคอยเวลาเพื่อลงรับแขกตามปกติ จึงนึกถึงท่านเทวดากบ คิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้ อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดา ท่านสวยแสงสว่างก็มากแต่ท่านไม่สวมชฎา วิมานก็สวย จึงถามท่านว่า "ทำไมจึงไม่สวมชฎา" ท่านบอกว่า "ท่านมาหาพระ ท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา" ขอให้ท่านสวมชฎา เมื่อชฎาปรากฏบนศีรษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฏขึ้นเอง ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป

ถามท่านว่า "เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า" ท่านบอกว่า "ยังไม่ตาย เขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้ที่ชานบ้าน มันเจ็บปวดและร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตาย ทุกข์มากเหลือเกิน ถามท่านว่า "เมื่อมาเป็นเทวดาแล้ว คิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม" ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดาผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน" ถามท่านว่า "ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเทวดาแล้วได้ฟังต่ออีกไหม" ท่านบอกว่า "ฟังอีกหลายครั้ง" ถามท่านว่า "เป็นพระโสดาบันหรือยัง" ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ" คนถามหน้าแหงเลย เมื่อถามว่า "เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ"

ภาพที่ปรากฏก็คือ ท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำ เป็นลูกชาวนา เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทง ร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน ท่านบอกว่าเศษบาปผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมาก จึงอยากจะไปพระนิพพานเลย
เมื่อคุยกับเทวดากบสักครู่หนึ่ง ท่านย่ากับท่านแม่ศรีก็มา ท่านทั้งสองรู้จักกับเทวดากบดี ท่านเทวดากบเคารพท่านย่าและท่านแม่ศรีมาก ท่านแม่ศรีบอกว่า "เทวดากบเคยเกิดเป็นลูกมาหลายชาติ" ท่านนึกกันออกรู้ได้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย.."

เรื่องที่ ๑๔๗ ตายจากไก่ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


"..อาตมาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า "กรรมไก่ของฉัน" เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๒ ตอนเช้ามีอาการมึนงงมาก จึงนอนภาวนาคิดว่าร่างกายอาจจะตายก็ได้ เพราะท้องก็ปวดจัด เสมหะก็มาก ขณะที่ภาวนาไปใกล้เวลา ๔ โมงเช้า ก็ปรากฏว่าจิตตกวูบลงจากนิวรณ์ มีอารมณ์สว่างไสว เห็นร่างกายของตัวเองนอนอยู่ แต่ร่างกายนั้นตัวใหญ่มาก ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ผิวพรรณสวยสดงดงาม ผิวขาวเหลือง แต่สองมือกุมขมับแสดงว่ามีอาการปวดศีรษะมาก นอนลุกไม่ขึ้นพร้อมกันนั้นก็มีภาพไก่ตัวเมียประเภทไก่ชนสีนํ้าเงินแก่ค่อนข้างดำ มีลายจุดขาวทั้งตัว ยืนอยู่เหนือศีรษะ

ขณะนั้นก็มีเสียงกังวานดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวานมากเพราะมาก บอกว่า "จงบวชเณรๆ"
เมื่อฟังแล้วก็คิดในใจว่าการที่ป่วยคราวนี้เป็นมาเดือนเศษ อาการป่วยพิเศษก็คือมันหนักที่ศีรษะมากและก็ปวดขมับ พอถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็จะปวดขมับทนแทบไม่ไหว และก็มึนศีรษะมาก ศีรษะหนักลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรงเดินจวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ

เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นก็ใช้กำลังใจควบคุม อดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง ใช้กำลังขันติเข้าควบคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย สังขารุเปกขาญาณ กับใช้กำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและยถากัมมุตาญาณ คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้มันมาจากไหน ชาตินี้ทั้งชาติไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริงๆ ในชีวิตนี้มีไก่ตัวผู้ ๒ ตัวเท่านั้น และก็ไม่ใช่ลงมือฆ่าเอง คนอื่นเขาฆ่าแต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า "ยินดีกับเขาไหม" เวลานั้นเป็นเด็กในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ากินมันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า แต่ยินดีในการกิน ถ้าจะถามว่า "บาปไหม" ก็ต้องตอบว่า "บาป" ร่วมบาปกับเขาเพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน

สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผล การรู้เองนี่ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทานควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ

เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า "ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร" เสียงกังวานนั้นก็ตอบลงมาว่า "ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา" คือชาตินี้ไม่นับ ถอยกลับไป ๑, ๒ และ ๓ ถามว่า "ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน" เสียงก็ตอบมาว่า "เกิดที่จังหวัดอยุธยา" ถามว่า "เหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ" เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับทำภาพปรากฏชัดว่า เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เป็นเด็กวัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา ขณะเดินไปเห็นสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัดเป็นสุนัขดุ เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่งกำลังกินอาหารอยู่ พอเดินผ่านเข้าไปสุนัขดุมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้นๆ อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข แต่เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี เป็นไก่ชนตัวเมียสีนํ้าเงินแก่และก็มีจุดสีขาวตามตัวสวยมาก เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่ที่เรารักไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขดุตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคองนำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่างแต่ไก่ก็ไม่ฟื้น

ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอมเพราะฉันรักไก่มาก จึงขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จก็ลงมือทำการฝัง ไก่ตัวนี้เราก็รักและพระในวัดท่านก็มีความรักในสัตว์ ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าอาตมาก็รักมัน จึงถามว่า "เวลานี้ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปอยู่ไหน ไปเกิดเป็นไก่หรือว่าเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า" เสียงท่านตอบมาว่า "เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ตัวที่เจ้าขว้างตายและเป็นไก่ที่เจ้ารัก" จึงตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร

เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านคอยต้อนรับอยู่ ก็ถามท่านว่า "ไก่ที่ฉันขว้างถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน" ท่านตอบว่า "ถามผิดให้ถามใหม่ คือว่าไก่ที่เธอขว้างถึงแก่ความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่) มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัขแต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่" ก็เลยบอกท่านว่า "ตามนั้นแหละ" ท่านก็ชี้ให้ไปดู นางฟ้าที่นั่งใกล้ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวสวยมาก เธอยิ้มแย้มแจ่มใส พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้และถามว่า "จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ" ก็เลยบอกว่า "ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้" ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ เธอก็บอกว่า "ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ"

ถามเธอว่า "เธอตายจากไก่ที่ถูกขว้างขณะกำลังกินอาหารอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ได้อย่างไร"เธอก็ตอบว่า "เวลานั้นเธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัดมีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงอาหารก็ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องต้อน ไก่ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรักในท่าน อาศัยที่มีความรักในพระและมีความรักในท่านที่มีจิตเมตตา ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ตายทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่สลบเพราะความรู้สึกตัวยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้มก็ยังมีความรู้สึก เวลาที่พระทำปฐมพยาบาลเอามือลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด เมื่อความเจ็บปวดหายไป ประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตก็ออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่างก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศมากมาย จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อจิตออกจากร่างกายก็กลายเป็นนางฟ้า และติดตามนางฟ้าพวกนั้นไป"

จึงได้ถามว่า "ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่อีกหรือ"เธอก็ตอบว่า "การจองเวรจองกรรมไม่มีในฉัน คือไม่มีเวรไม่มีกรรมที่จะจอง อาการที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม ไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุขและมีความรู้สึกขอบคุณในพระในท่านที่ช่วยเหลือ ทำไมฉันจะต้องจองเวรจองกรรม แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง"

ทุกคนจงจำไว้ด้วยว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราก็คือ กฎของกรรม คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา ก็รวมความว่าเธอไม่ได้จองเวรจองกรรม ถามเธอว่า "อโหสิกรรมไหม" เธอตอบว่า "ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย" ถามเธอว่า "เสียงบอกให้บวชเณร เธอจะว่าอย่างไร"

เธอตอบว่า "ต้องบวชเณรเป็นการแก้กฎของกรรม"
ก็ตกลงจะบวชเณรให้ในวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๒.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๔๘ ตายจากสุนัขไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดงส์และอธิษฐานลงมาเกิดเป็นปลายักษ์ยาว ๑ โยชน์


"..ตอนที่อาตมาและคณะเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้ไปที่ทะเลสาบโรโตรัว ในทะเลสาบแห่งนี้ เวลานี้มีปลาอยู่ตัวหนึ่งรูปร่างคล้ายปลาตะโก้หรือปลาแดง ตัวยาว ๑ โยชน์ กำเนิดของปลาตัวนี้จริงๆ ในสมัยนั้นเป็นปลายสมัยพระพุทธเจ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป เวลานั้นมีสุนัขตัวหนึ่ง พวกเมารีทั้งหมดไม่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์ ชอบให้ทาน โปรดสัตว์มากและมีฝูงปลาอยู่ ชอบเลี้ยงปลาด้วย พอลงไปใกล้แม่นํ้าปลาจะวิ่งเข้ามาหาเลย สุนัขตัวนี้ก็ชอบไปดูปลาด้วย เวลาให้อาหารปลามันก็มองดู เวลาเขาเปิดอาหารปลาไว้ มันอยากไปดูปลามั่ง มันก็คาบอาหารโปรยและก็มองดูปลา

หลังจากตายจากสุนัขชาตินั้นแล้ว อาศัยมีเมตตาจิตก็ไปเสวยสุขอยู่บนแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกชั่วคราว และอาศัยความมีเมตตาจิตจึงขออธิษฐานมาเกิดเป็นปลายักษ์ยาว ๑ โยชน์เพื่อเลี้ยงปลาตัวเล็กๆ เพราะเห็นปลาตัวเล็กๆ เป็นเหยื่อของปลาตัวใหญ่ หาอาหารได้ยาก ก็เอาตะไคร่นํ้าหรืออาหารที่ตัวเหลือกิน พ่นออกมาเลี้ยงปลาตัวเล็ก เวลานี้ก็ทำแบบนี้อยู่ ยามปกติไม่ไปไหนก็พลิกตัวไปพลิกตัวมา ขยับได้นิดหน่อย

ความจริงเขาก็มีความเป็นอยู่คล้ายเป็นทิพย์ ถึงแม้มีเศษอาหารสักนิดหนึ่งหรือเห็นตะไคร่นํ้าก็ตาม กินนิดเดียวก็อิ่ม ตะไคร่ที่ติดอยู่ข้างตัวก็เป็นอาหารของปลาเล็กๆ เมื่อปลาเล็กเข้าไปอยู่ใกล้ ปลาใหญ่ที่เป็นศัตรูจะไม่กล้าเข้าไปอยู่ใกล้ ไม่กล้าเข้าไปทำอันตรายบรรดาปลาทั้งหลายเหล่านั้น

รวมความว่าประวัติของปลาตัวใหญ่ยาว ๑ โยชน์มาจากสุนัขตัวเล็ก
ถามเขาว่า "จะอยู่อีกกี่ปี" เขายืนยันว่าเขาจะอยู่อีก ๒๙ ปีก็จะตายจากความเป็นปลาขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามเดิม จากนั้นเขาตั้งใจรอพระศรีอาริย์ แต่ถ้ามาช้าเกินไปเขาจะไปก่อน เวลานี้เทวดาล้อมเขาเต็ม เทวดาไม่ต้องดำนํ้าหรอก

การที่ท่านเล่าเรื่องนี้ให้มิใช่ประสงค์จะให้ทะนงตัว แต่ให้จำไว้ว่าการเกิดชาติใดชาติหนึ่งก็ตาม มันเป็นอนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้ จะเห็นว่าความเที่ยงแท้แน่นอนไม่มี ใครมีปัญญาก็เอาไปคิดเป็นวิปัสสนาญาณ.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๑๐ ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นเปรต

1 เรื่องที่ ๑๔๙ ตายจากกาไปเกิดเป็นเปรตมีชื่อว่า "กากะเปรต"


เรื่องที่ ๑๔๙ ตายจากกาไปเกิดเป็นเปรตมีชื่อว่า "กากะเปรต"

"..อาตมาขอนำเรื่องจากพระสูตรมาเล่าให้ฟังคือเรื่อง "กากะเปรต"
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อครั้งองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์มหานคร
เวลานั้นพระโมคคัลลาน์กับพระลักขณะ จำพรรษาอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ ในตอนเช้าทั้งสององค์ก็ลงมาเพื่อไปบิณฑบาต ขณะเดินมาอยู่ดีๆ ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉยๆ พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉยๆ จึงถามว่า "พระคุณเจ้ายิ้มเรื่องอะไร"
เวลานั้นปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ท่านเห็นอหิเปรตกับกากะเปรตอยู่ข้างหน้า แต่ท่านไม่ตอบเพราะพระลักขณะซึ่งเป็นปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกันท่านไม่เห็น ส่วนพระโมคคัลลาน์ท่านเป็นอัครสาวกมีความเข้มข้นกว่าจึงเห็น

ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีกำลังไม่เท่ากันคือ
๑) ปฏิสัมภิทาญาณขั้นปกติ มีกำลังตํ่า
๒) ปฏิสัมภิทาญาณขั้นมหาสาวก มีกำลังความเป็นทิพย์สูงกว่า
๓) ปฏิสัมภิทาญาณขั้นอัครสาวก มีกำลังสูงกว่าพระมหาสาวก

ฉะนั้น บรรดาท่านผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิได้ความเป็นทิพย์ จึงมีความรู้สึกไม่สมํ่าเสมอกัน ใช้จิตมากๆ ใช้ปัญญาน้อย ความแจ่มใสของจิตก็น้อย การเห็นก็ไม่ค่อยจะตรงนัก ไม่ชัดเจนแจ่มใส

ต่อมาเมื่อกลับจากบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ พระโมคคัลลาน์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระโมคคัลลาน์ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ถามว่า

"เมื่อเช้าพระคุณเจ้ายิ้มเดินมาแล้วยิ้มเฉยๆ ผมถามท่าน ท่านบอกให้ถามต่อหน้าองค์สมเด็จพระบรมครู อยากจะถามว่าเมื่อตอนเช้าท่านยิ้มเพราะเรื่องอะไร"
พระโมคคัลลาน์จึงตอบว่า
"เมื่อตอนเช้าที่เรายิ้มเพราะเห็นเปรต ๒ เปรต คือ อหิเปรตกับกากะเปรต"
เมื่อพระโมคคัลลาน์กล่าวเพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่า
"อหิเปรตก็ดี กากะเปรตก็ดี มีจริงๆ ตามที่พระโมคคัลลาน์ว่า ตถาคตเห็นเปรตทั้งสองนี้มาตั้งแต่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นเห็น ตถาคตจึงไม่พูดเพราะไม่มีพยาน เวลานี้พระโมคคัลลาน์เห็นแล้วตถาคตมีพยาน ตถาคตก็ขอยืนยัน" ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวถึงกรรมของเปรตทั้งสอง แต่วันนี้จะพูดถึงกรรมของกากะเปรตเรื่องเดียวก่อน

องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า "เปรตทั้งสองตนนั้นมีตัวยาว ๒๕ โยชน์ (๑ โยชน์มี ๔๐๐ เส้น) เปรตทั้งสองนี้มีสภาพเหมือนกันคือ มีไฟลุกตั้งแต่หัวพุ่งไปหาหางและไฟก่อตัวขึ้นจากหางพุ่งไปหาหัว ไฟก่อตัวขึ้นตรงกลางตัวรวมไปทั้งหัวทั้งหางและกลางเสร็จ รวมความว่าเปรตทั้งสองนี้จมอยู่ในกองเพลิงตลอดเวลา สำหรับอหิเปรตนั้นมีรูปร่างคล้ายคน แต่หัวเป็นงู(อหิแปลว่างู) ส่วนกากะเปรตนั้นมีหัวเป็นคนแต่ตัวเป็นกา"

แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสบุพกรรมของกากะเปรตนี้ทำบาปอะไรไว้ เรื่องมีดังนี้
ถอยหลังไปกัปนี้เองสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป" เวลานั้นบรรดาประชาชนทั้งหลายตั้งใจถวายอาหารแก่พระสงฆ์ สมัยนั้นเขาจะถวายพระองค์ไหนเขาก็รับบาตรจากท่านไป เมื่อชาวบ้านเขารับบาตรจากพระเถระไปแล้ว ก็นำอาหารที่มีรสเลิศหมายความว่าอาหารที่ทำดีแล้วใส่บาตร ในขณะที่ใส่อาหารลงไปในบาตรนั้น ยังไม่ทันจะถวายพระ ก็มีกาตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้มองเห็นอาหารในบาตรเป็นที่ชอบใจ จึงได้โฉบลงมาคาบเอากับข้าวในบาตรไปเต็มปากตามกำลังที่จะนำไปได้ แล้วก็ไปยืนกิน

พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า กาทำบาปเพียงเท่านี้ เมื่อตายจากความเป็นกาก็ไปเกิดเป็นกากะเปรต มีหัวเป็นคนตัวเป็นกายาว ๒๕ โยชน์ มีไฟไหม้ก่อตัวทางหัวพุ่งไปถึงหาง ไฟไหม้ก่อตัวทางหางพุ่งมาทางหัว ไฟไหม้ก่อตัวตรงกลางลามไปทั่วตัว ต้องไหม้อยู่อย่างนี้นับเป็น พุทธันดร

และพระองค์ตรัสอีกว่า อาการที่กาขโมยอาหารเขากิน ถึงแม้ข้าวนั้นยังไม่ได้เป็นของสงฆ์คือยังไม่ได้ประเคนพระ ยังเป็นเจตนาที่จะถวายพระอยู่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของบุญ ยังไม่เป็นอาหารของสงฆ์ จึงได้มาเกิดป็นกากะเปรตอยู่ในแดนของเปรต

พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าอาหารที่ถวายสงฆ์แล้ว ถ้าขโมยกินอย่างนี้เป็นขโมยข้าวสงฆ์ จะมีโทษมากกว่านี้มาก จะไปเกิดแค่เปรตไม่ได้ จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกก่อนในอเวจีมหานรก หรือข้าวที่เขาถวายพระเสร็จแล้ว เขาจะนำไปเลี้ยงคน ตอนนั้นถ้าฉกฉวยเอาไปกินเป็นส่วนตัวก็ถือว่าเป็นขโมยของสงฆ์เหมือนกัน แต่ถ้าพระท่านอนุญาตว่ากินได้อันนี้ไม่มีโทษเพราะพระให้แล้ว มีหลายท่านถามว่า "กินข้าววัดต้องชำระหนี้สงฆ์ไหม"

ถ้าขโมยกินต้องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าพระให้กินไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์ คือพระให้ไม่เป็นหนี้
รวมความว่าการที่จะเกิดมาเป็นคนได้ต้องอาศัยศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐
จะมีทรัพย์สินบ้าง ก็เพราะผลของทาน
จะมีปัญญาบ้าง ก็เพราะการอบรมธรรม
และการเกิดมาเป็นคนแล้วกลับทำความชั่ว ก็จะต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรก กว่าจะมาเกิดเป็นคนใหม่ก็ยํ่าแย่ใช้เวลาอีกนานเป็นการถอยหลัง ทางที่ดีควรจะก้าวหน้าต่อไป อย่างน้อยจากการเป็นคนแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดาหรือนางฟ้า ไปเป็นพรหมก็ยิ่งดีกว่า ไปพระนิพพานดีถึงที่สุด.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๑๑ ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก


1 เรื่องที่ ๑๕๐ ตายจากปลามีเกล็ดเป็นสีทองแล้วไปอยู่ในอเวจีมหานรก


เรื่องที่ ๑๕๐ ตายจากปลามีเกล็ดเป็นสีทองแล้วไปอยู่ในอเวจีมหานรก

"..สุพรรณมัจฉา ปลาสีทองตัวนี้มาติดตาข่ายที่เด็กเอาไปขึงไว้ พ่อแม่เด็กเห็นเข้าว่า ปลามีเกล็ดเป็นทอง ไม่ควรเก็บไว้เองจึงนำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นเป็นของแปลกก็นำไปถวายพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า "ปลาตัวนี้ทำบุญอะไรไว้ เกล็ดจึงเป็นสีทอง" เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็บอกว่า "ปลาตัวนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ที่มีเกล็ดเป็นสีทองก็เพราะอาศัยเคยปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมในตอนต้นด้วยความเคารพ แต่ว่าในตอนปลายมือเป็นพระคณาจารย์ ด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายที่มีความผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง โดยเจตนาร้าย เวลาตายไปแล้วจึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีมหานรก" ยืนกางแขนกางขาอย่างพระเทวทัต และเมื่อกรรมเบาลงก็เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นปลามีเกล็ดเป็นสีทอง แต่ว่าปากเหม็นเพราะด่าพระ

พระพุทธเจ้าจึงถามว่า "กปิลมัจฉา เดิมทีเดียวเธอบวชเป็นพระใช่ไหม"
พอปลาอ้าปากตอบว่า "ใช่" กลิ่นก็เหม็นคลุ้งไปทั้งพระวิหาร
พระองค์ถามต่อไปว่า "เพราะอะไรเธอจึงตกอเวจีมหานรก"
เธอก็ตอบว่า "เพราะเป็นพระปากร้าย ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีเหตุไม่มีผล อิจฉาริษยาพระด้วยกัน กล่าวร้ายด้วยการนินทาให้ร้ายบ้าง"

ชาวบ้านก็เหมือนกันที่ปากไม่ดีแบบนี้ ไปด่าพระด่าเจ้า ด่าผู้ทรงศีล ก็มีสภาพอย่างเดียวกับกปิลมัจฉา เมื่อพระพุทธเจ้าถามถึงแม่กับน้องสาว ปลาก็บอกว่า "ไปอเวจีมหานรกเหมือนกันเพราะทำกรรมอย่างเดียวกันคือด่าพระ" ท่านถามถึงพี่ชาย
ปลาก็ตอบว่า "พี่ชายท่านไม่เอาด้วย ก็เลยเป็นพระอรหันต์แล้วไปพระนิพพาน"
เมื่อปลาตอบเท่านี้ก็เสียใจ เอาหัวฟาดอ่างถึงแก่ความตายกลับลงไปอเวจีมหานรกใหม่.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๑๒ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นอสุรกาย


1 เรื่องที่ ๑๕๑ พ้นจากสภาวะความเป็นเปรตแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นอสุรกาย



เรื่องที่ ๑๕๑ พ้นจากสภาวะความเป็นเปรตแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นอสุรกาย

"..บนดินแดนของโลกมนุษย์เกลื่อนกล่นไปด้วยผี ที่เราเรียกกันว่า อสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง และเปรตเต็มไปหมด สภาพของอสุรกายมีอยู่ ๒ พวกด้วยกันคือ พวกที่ ๑ เป็นอสุรกายที่ยังมีกรรมหนัก มีร่างกายทรุดโทรมหน้าตาซีดเซียวไม่สวย ไม่มีความสง่าผ่าเผยผอมกะหร่อง ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน คอยหลบหน้าคนอยู่เสมอ เพราะอสุรกายแปลว่าไม่กล้า จึงมีความไม่กล้าเป็นปกติ อสุรกายพวกนี้มีความดีกว่าเปรตอยู่อย่างหนึ่งคือหากินเองได้ แต่จะต้องหากินของที่เขาทิ้งแล้วเป็นของบูดเน่าอย่างซากศพคนตาย สุนัขตาย ควายตาย สัตว์ตายหรือเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้เน่าๆ แล้ว อสุรกายพวกนี้กินก็มีสภาพเหมือนเรากินธรรมดา มีการเคี้ยวมีการกลืนเหมือนกินเข้าไปหมด แต่ทว่าซากเหล่านั้นยังเหลืออยู่ไม่หมดไป เพราะพวกนี้กินอาหารที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่เป็นรูปธรรมเหมือนคนและสัตว์กินอาหาร อาหารนั้นก็ต้องหมดไป

อสุรกายอีกพวกหนึ่ง มีความดีมากใกล้จะพ้นความเป็นอสุรกายแล้ว คือโทษทัณฑ์ที่เป็นเศษกรรมในภาวะของการเป็นอสุรกายใกล้จะหมดไป ตอนนี้มีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนใหญ่โตแข็งแรง ทะมัดทะแมง ผิวดำมะเมื่อม อสุรกายพวกนี้มีกำลังมาก มักจะชอบรับสินบนจากชาวบ้าน ถ้าใครนิยมนับถือจ้าวองค์ใดก็ตาม นับถือเทวดาองค์ใดก็ตาม ต้องระวังให้มากเพราะพวกนี้นิยมเข้าไปแทรกผู้ที่เข้าทรงและบอกว่าเขาเป็นคนนั้น บรรดาพวกเข้าทรงทั้งหลายถูกพวกนี้ปลอมมาก เนื่องจากอสุรกายพวกนี้มีความรู้มากเหมือนกัน และเขาก็มีอำนาจบางอย่างที่จะรักษาโรคได้ จะบันดาลอะไรได้บางอย่างตามสมควรแต่ว่ากำลังไม่เสมอเทวดา จะต้องสังเกตการแสดงท่าทางผิดปกติจากพระหรือเทวดาธรรมดา ดังตัวอย่างมีในที่แห่งหนึ่งกลุ่มนี้เขาอยู่ในถํ้าๆ หนึ่ง เขาบอกว่าในกลุ่มของเขาเป็นศาสนาพระศรีอาริย์มีพระสงฆ์องค์หนึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้นิมนต์อาตมากับเพื่อนคนหนึ่งไปร่วมในพิธีนั้น อาตมาจึงไปดูและพูดคุยกัน พระองค์นี้ท่านบอกว่าท่านเข้าถึงพระศรีอาริย์เป็นปกติ พอถึงเวลาถวายทานท่านก็ว่าอะไรพึมพำๆ ไปตามเรื่อง เมื่อกล่าวคำให้ทานแล้วก็ให้ลูกน้องเจริญพระกรรมฐานทำสมาธิ ขณะที่ลูกน้องทำสมาธิ ก็ปรากฏว่าพระองค์นี้นั่งสวดมนต์ใช้ภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถจะรู้เรื่องได้แทนที่จะสงบนั่งสมาธิ ก็เห็นอสุรกายตัวดำมะเมื่อมยืนข้างหลังพระองค์นั้น

เมื่อพระองค์นั้นสวดเสร็จแล้ว อาตมาจึงถามว่า "เวลาลูกน้องทำสมาธิท่านสวดทำไม"ตอบว่า "พระศรีอาริย์มายืนข้างหลังบอกให้สวด"
จึงได้บอกว่า "พระศรีอาริย์ที่ไหน ผมเห็นไอ้ดำมันยืนอยู่ข้างหลังท่านมันเป็นอสุรกายปลอมเข้ามาในพิธี เวลาที่ลูกน้องท่านทำสมาธิต้องใช้เวลาสงบสงัด การทำแบบนี้ไม่ถูกแบบแผนของพระพุทธเจ้า"
พระองค์นั้นน่ากลัวจะไม่ชอบใจเพราะว่าไปพูดว่าเขาต่อหน้าลูกศิษย์เขา มันก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่ถ้าจะปล่อยกันไปพระองค์นั้นก็นุ่งห่มเหลืองและก็โกนหัวเหมือนกัน เขาจะหาว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเลอะเทอะเหมือนกันหมด จึงได้บอกท่านว่า ทางที่ดีท่านควรจะทำใจของท่านให้ดีไปกว่านี้ ให้รู้ว่าใครไปใครมา เวลานี้ยังอยู่ในเขตศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม" การที่จะมาประกาศศาสนาใหม่ว่าเวลานี้เป็นยุคของพระศรีอาริย์ ทำแบบนี้ดูท่าจะไม่เหมาะ เราก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน อย่าทำอะไรให้มันนอกรีตนอกรอยไปเลย

เป็นอันว่าอสุรกายพวกนี้มันปลอมตัวได้ ถ้าคนไม่เข้าใจจริงๆ มันเล่นงานเสียหลายรายแล้ว และบรรดาอสุรกายพวกนี้ ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้ว ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๑๓ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเปรต

1 เรื่องที่ ๑๕๒ พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

2 เรื่องที่ ๑๕๓ เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร

3 เรื่องที่ ๑๕๔ ขณะมีชีวิตไม่เคยทำบุญให้ทานตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

4 เรื่องที่ ๑๕๕ ภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน

5 เรื่องที่ ๑๕๖ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเปรต

6 เรื่องที่ ๑๕๗ ตายจากคน (ผู้หญิงแขก) ไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญอาตมาแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

7 เรื่องที่ ๑๕๘ สองสาวพี่น้องตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

8 เรื่องที่ ๑๕๙ ตายจากคนเป็นผู้พิพากษาแล้วไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต



เรื่องที่ ๑๕๒ พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต


"..เรื่องพระสารีบุตร จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑ เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตพบหญิงเปรตคนหนึ่งผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีเส้นเอ็นสะพรั่ง ท่านจึงถามว่า "เธอเป็นใคร" การถามแบบนี้แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ เปรตตอบว่า "เมื่อก่อนในชาติที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ ฉันเป็นมารดาของท่าน เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินนํ้าลาย เสมหะ นํ้ามูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น ลูกเอ๋ย ลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที"

พระสารีบุตรท่านตั้งใจจะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่าจะช่วยแล้วท่านก็มาปรึกษากับ พระโมคคัลลาน์ พระอนุรุทธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า "พระกบิน"ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลังใน ๔ ทิศ (สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน) และถวายข้าวหยิบมือหนึ่ง กับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และนํ้าหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ หนึ่งผืน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร (มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตรเมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของท่านซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน)

เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้แล้ว อานิสงส์บังเกิดดังนี้
ถวายข้าวและนํ้า ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์
ถวายผ้าคืบยาวคืบ เป็นเหตุให้เธอได้เครื่องประดับที่เป็นทิพย์
ถวายกุฏิเพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก
ถวายนํ้า ๑ ฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี

เมื่อยามราตรีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมานและสระโบกขรณีให้พระโมคคัลลาน์เห็น
ท่านก็ถามว่า "เป็นใคร"
เธอตอบว่า "ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปรต ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้"
แสดงว่าคนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เขาได้รับ เราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อให้ใครก็ตามผู้รับก็มีผลไม่บกพร่อง.."

เรื่องที่ ๑๕๓ เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร


"..มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและลูกชายก็เลื่อมใสด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน พระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์ก็เลี้ยงดูพระด้วยความเลื่อมใส แต่งานเลี้ยงพระเป็นงานใหญ่เพราะพระที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนมาก การเลี้ยงพระจึงเป็นงานหนัก ฉะนั้นพระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์จึงได้มอบงานเลี้ยงพระให้แก่นายเสมียนคือเป็นเลขานุการเป็นผู้แทนจัดงานเลี้ยง จัดเงินในพระคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระเลี้ยงคนของพระ ต่อมานายเสมียนเห็นว่าถ้าได้ญาติของเรามาช่วยในการนี้จะดีมาก ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดคดโกง แต่บรรดาญาติทั้งหลายในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี ด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ พอนานๆ เข้าก็คิดว่าเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไม่มีความหมาย นรกสวรรค์อยู่ที่ไหนมองไม่เห็น คนตายแล้วก็แล้วกันไป แต่เวลาที่มีชีวิตอยู่นี้ให้มันมีความสบายก็แล้วกัน ตัวมิจฉาทิฏฐิมันเกิด ก็เริ่มจัดการตามระเบียบ เงินที่ให้มาเลี้ยงพระก็กันเข้ากระเป๋าเสียบ้าง ของซื้อมา ๑๐ ชิ้นก็แจ้งว่าซื้อมา ๕ ชิ้น ของราคา ๑ บาทก็มาแจ้งว่าราคา ๒ บาท เวลาทำของให้พระ ของดีรสอร่อยก็กินเสียก่อนบ้าง ให้ลูกหลานกินก่อนบ้าง กีดกันเอาของพระไปไว้บ้านบ้าง ทำมาแบบนี้เป็นปกติ เป็นอันรู้กันว่าทุจริต คดโกงของสงฆ์

เมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ตาย นายเสมียนไปเกิดเป็นเทวดา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะเวลากัปหนึ่ง เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม และก็มายมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม นรกมีกี่ขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุมแล้วก็มาเป็นเปรตอีก ๑๒ จำพวก เปรต ๑๑ จำพวกไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศล

พอมาถึงเปรตระดับที่ ๑๒ คือ ปรทัตตูชีวีเปรต พวกนี้มีกรรมไม่มาก ไม่มีหนอนกิน ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ทว่าต้องเดินหิวหาอะไรกินไม่ได้ รออย่างเดียว คือใครเขาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง ถ้าได้รับการโมทนาก็มีความสบาย ถ้าที่ไหนทำบุญแล้วไม่ได้บุญเปรตพวกนี้ก็ไม่ไปล้อมอยู่ ถ้าใครทำบุญแล้วเป็นบุญเปรตพวกนี้จะไปยืนล้อมอยู่สะพรั่งรอบๆ บริเวณนั้น คอยโอกาสที่ได้รับโมทนา

ปรทัตตูชีวิเปรตที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารนั้นท่องเที่ยวมานานหลายกัป ได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าอดข้าวอดนํ้ามานานเหลือเกินแล้ว เวลานี้เห็นข้าวของกองไว้ พอจะกินเข้าไปมันก็เป็นแกลบแล้วมีไฟลุก เห็นนํ้าอยากนํ้าพอวิ่งเข้าไปจะกินนํ้า นํ้าก็แห้งกลายเป็นแกลบและเป็นไฟลุกกินไม่ได้ เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะมีข้าวมีนํ้ากินกับเขาสักที"

ความจริงบุญของพระพุทธเจ้าก็เหลือหลาย ถ้าจะช่วยก็เหลือที่จะช่วยได้ แต่ว่าอำนาจของกรรมบังคับ เปรตพวกนี้จึงยังไม่มีโอกาสจะได้โมทนาส่วนกุศล พระองค์ก็ต้องทรงอุเบกขาและทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าอีก ๙๑ กัป จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม" ทรงอุบัติขึ้นในโลก และญาติของเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นนายเสมียนกำลังเป็นเทวดาอยู่ จะกลับลงมาเกิดเป็นพระราชามีพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสาร" ในประเทศมคธ จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้าและเป็นพระสหายกันมาก่อน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อโมทนาแล้วก็จะพ้นจากความเป็นเปรตไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อเปรตทั้งหลายทราบจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าอีก ๙๑ กัปจะได้กินข้าวกินนํ้ามีความสุขก็ดีใจ มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าเวลา ๙๑ กัปเป็นวันพรุ่งนี้

ต่อมาเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม” ทรงอุบัติขึ้นในโลก และ พระเจ้าพิมพิสาร มีความเลื่อมใสนิมนต์พระพุทธเจ้ามาประทับที่พระเวฬุวันมหาวิหาร สร้างวัดถวายเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา และก็เลี้ยงดูพระตลอดเวลาแต่ไม่เคยอุทิศส่วนกุศลไม่เคยกรวดนํ้า บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ไปยืนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน ไม่เห็นให้สักที หนักเข้าๆ ทนไม่ไหวก็เลยส่งเสียงร้องให้ปรากฏในคืนหนึ่งที่พระเจ้าพิม พิสารจะเข้านอนในห้องบรรทม พระเจ้าพิมพิสารก็แปลกใจ ในตอนเช้าท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่เช้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ

องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า "เสียงนั้นเป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์”และทรงเล่าเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตให้ฟังโดยละเอียด พระเจ้าพิมพิสารก็มีความสงสาร จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระฉันเสร็จพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดนํ้าตามพิธีของพราหมณ์ จะให้อะไรใครต้องเอานํ้าราดลงไปแสดงถึงการให้

แต่ตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนาการกรวดนํ้าท่านเรียกอุทิศ "อุทิศ" แปลว่า "เจาะจงเฉพาะ" คือบุญนี้เรามีเจตนาส่งไปให้เจาะจงคนนั้น คนนี้ ไม่ต้องใช้นํ้าก็ได้
บรรดาเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาแล้ว อัตภาพแห่งความเป็นเปรตซีดเซียวก็หมดไป มีอาการผ่องใส มีความอิ่มเอิบ มีความสุขความสบาย มีร่างกายสวยเหมือนเทวดา

แต่ทว่าเปรตทั้งหลายเหล่านี้ในชาติก่อนไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับโมทนาแล้วร่างกายเป็นเทวดาแต่ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อใส่ ก็มีความลำบากใจ ตอนกลางคืนก็เข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ไม่ร้องแต่ไปยืนให้ให้เห็นร่างกายสวยสดงดงามแต่ไม่มีอะไรปิดกายเลย
พอตอนเช้าพระเจ้าพิมพิสารก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า

"ไม่ใช่ใครเป็นเปรตพวกเดิม ได้รับโมทนาแล้วมีความสุขมีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเสื้อผ้าเครื่องประดับเพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา"
และทรงให้พระเจ้าพิมพิสารถวายผ้าแก่พระสงฆ์ ท่านจึงถวายผ้าหมดทั้งวัด ถวายอาหารใหม่ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเทวดาที่มาจากเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาก็มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาบรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มารบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีกเลย

เวลานี้พวกทายกที่ชอบเอาของดีๆ ถวายพระพุทธรูปมากๆ เวลาพระฉันเสร็จแล้วจะได้เอามากินกัน บางรายก็ยกของที่เขาถวายพระเข้าบ้าน บรรดาพุทธบริษัทจงจำไว้ว่าของสงฆ์ สมบัตินิดหนึ่งแม้จะเป็นก้อนอิฐนิดหนึ่ง กระเบื้องหักๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือไปเข้าบ้านอย่างนี้เป็นอาการขโมยของสงฆ์ ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัดเราจะไปขอพระขอเด็กวัดไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์ สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้น แม้แต่ดอกไม้บูชาพระก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ แต่ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัยไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอกับเด็กวัด อันนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าทำลงไปตายแล้วก็ไปอเวจีมหานรก

ฉะนั้น เรื่องของสงฆ์นี่ต้องระวังให้มาก คนที่จะลงอเวจีมหานรกมันเป็นของไม่ยาก.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๕๔ ขณะมีชีวิตไม่เคยทำบุญให้ทานตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต


"..คืนวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ อ่านพระไตรปิฎกเรื่อง พระสารีบุตรถวายทาน ว่า คืนหนึ่งพระสารีบุตรไปแดนเปรต ได้พบเปรตหญิงคนหนึ่งซูบผอม หิวโหยมาก ท่านจึงถามว่า "เมื่อเป็นมนุษย์เธอทำความชั่วทางกาย วาจา ใจ อย่างไรหรือ จึงอดอยากหิวโหยอย่างนี้" เปรตกราบเรียนว่า "เมื่อเป็นมนุษย์ไม่เคยให้ทานเลย จึงเกิดมาเป็นเปรตอดอยากอย่างนี้ ถ้าพระคุณเจ้าจะสงเคราะห์ โปรดถวายทานแด่พระสงฆ์แล้วอุทิศให้ฉัน ฉันจะมีความสุข มิฉะนั้นฉันจะต้องทุกข์อย่างนี้ไป ๕๐๐ ปี"

พระสารีบุตรรับจะสงเคราะห์เธอ รุ่งขึ้นจึงถวายข้าวหน่อยหนึ่งประมาณเท่าฝ่ามือ นํ้าหนึ่งขัน ถวายแด่พระรูปหนึ่งแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เธอ เมื่อท่านอุทิศแล้ว รูปกายเธอสวยทันทีเป็นนางฟ้าที่สวยงามพร้อมเครื่องประดับแพรวพราว มีวิมานสวย เธอเข้ามาหาพระสารีบุตร ท่านถามเธอว่า "เธอมาจากไหน วิมานสวย รูปสวยมีเครื่องประดับสวย เธอทำบุญอะไรไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์" เธอตอบว่า "ฉันเป็นหญิงเปรตที่พระคุณเจ้าไปพบที่แดนเปรตเมื่อคืนวานนี้ และเมื่อเช้านี้พระคุณเจ้าได้ถวายทานแด่พระสงฆ์รูปหนึ่งด้วยข้าวฝ่ามือหนึ่ง นํ้าขันหนึ่ง อุทิศส่วนกุศลให้ฉัน ด้วยบุญเพียงเท่านี้เป็นเหตุให้ฉันมีรูปเป็นทิพย์ มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ มีวิมานทิพย์ที่สวยงาม" เมื่อกราบเรียนแล้วเธอก็ลากลับไป

เรื่องนี้แสดงว่า การให้ทานเพื่ออุทิศส่วนกุศล ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์คือ มีศีล สมาธิ ปัญญาดี วัตถุทานบริสุทธิ์คือของที่หามาได้โดยชอบธรรม ผู้รับบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ มีผลสมบูรณ์แบบนี้ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งย่อหย่อน ผลที่จะพึงได้ก็บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง แต่คิดว่าไม่ไร้ผลเสียเลย แต่ถ้าให้แก่คนไร้ศีล จะอยู่ในเพศไหนก็ตามไม่ให้เลยดีกว่า เพราะไม่มีอานิสงส์ให้ผู้รับ
การถวายทานกับพระ ไม่จำกัดว่ามีของมากหรือของน้อย มีอานิสงส์ทั้งหมด เว้นไว้แต่พระที่รับไม่มีศีล ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านไม่มีผลแน่นอน (จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๕๙).."

เรื่องที่ ๑๕๕ ภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน


"..เวลาทำบุญให้คนตาย เคยพบเห็นบ่อยเวลาพระจะสวดมนต์ ลูกหลานหรือเจ้าภาพก็จะไปเคาะโลงบอก "ฟังสวดมนต์นะ" เวลาพระจะให้ศีลก็ไปเคาะโลงบอก "รับศีลนะ" พอเอาอาหารไปวางก็เคาะโลงบอก "กินข้าวนะ"

ความจริงคนตายแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของที่เอาไปวางให้กิน ผีมีสิทธิ์โมทนาในผลบุญที่มีผู้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น เราจะทำอย่างไรผู้ตายจึงได้รับ ในชาดกมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างคือ มีอุบาสกคนหนึ่งนั่งเจริญพระกรรมฐานในที่สงัด ปรากฏว่าภรรยาที่ตายไปแล้วมาแสดงตัว มีแต่ซี่โครงขึ้นเป็นแถวและผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีนุ่ง ท่านผู้นี้จึงถามว่า "เธอเป็นใคร" ตอบว่า "ฉันเป็นภรรยาของท่านเมื่อตายไปแล้ว อาศัยที่จิตเป็นอกุศล ขณะมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ทำบุญทำทานและก็เป็นคนใจร้าย จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต เวลานี้มีความหิวโหยมาก หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน มีทั้งหนาวและร้อนเพราะไม่มีผ้าปิดกายและหิวอาหารมาก เพราะไม่มีอะไรจะกิน"

ท่านสามีก็บอกว่า "ไปบ้านสิมีของกินมากมาย เลือกกินเอาตามชอบใจเหมือนกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่"
ผีเปรตจึงบอกว่า "สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเอามาวางไว้ในมือของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินที่จะใช้ในวัตถุ"
ท่านสามีจึงถามว่า "ถ้าฉันต้องการจะสงเคราะห์เธอ ทำอย่างไรเธอจึงจะได้ล่ะ"
เธอก็บอกว่า "ขอให้ท่านนำเอาของไปถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใดท่านหนึ่ง คือต้องการให้มีผ้าก็ขอให้นำผ้าไปถวาย ต้องการให้มีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายเป็นทิพย์ก็นำอาหารไปถวาย และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะได้"

ท่านสามีจึงนำของไปถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เธอ
พอรุ่งขึ้นอีกคืนหนึ่งเธอก็มาแสดงตนใหม่ตอนที่ท่านสามีนั่งเจริญพระกรรมฐาน มาคราวนี้เป็นนางฟ้าสวยแจ๋ว ใสสว่าง มีวิมานทองคำมาปรากฏชัด
ท่านสามีจำไม่ได้จึงถามว่า "เธอเป็นนางฟ้าเพราะบำเพ็ญบารมีอะไร ร่างกายจึงประดับประดาไปด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมีแสงสว่างไปทั่วทิศ และก็มีวิมานทองคำ"
นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า "ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนที่แล้วที่ผ่านมาน่ะ"
ก็เป็นอันว่าผลที่ผู้ตายจะพึงได้รับ ต้องได้จากการโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศไปให้ ไม่ใช่ได้จากการไปเคาะโลงหรือได้จากการเอาของไปให้เฉยๆ.."

เรื่องที่ ๑๕๖ ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเปรต


"..ในปีพ.ศ. ๒๕๑๘ อาตมาเดินทางไปภาคเหนือ ได้ไปพักที่วัดเม็งราย จังหวัดเชียงราย คราวก่อนเคยมาพักที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว คราวนั้นอากาศหนาวเมื่อนอนลงไป ก็เห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งมีความสวดสดงดงาม กำลังหนุ่มมาโบกพัดให้ อาตมาจึงถามท่านว่า "อากาศมันหนาว โบกให้ผมทำไม" ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไร ผมโบกให้แล้วมันอุ่น" และก็อุ่นจริงๆ แต่มาคราวนี้ไม่พบพระองค์นั้น เมื่อนอนลงไปก็เห็นแต่ผีมาเป็นพันๆ นอนเฉยๆ ไม่ได้เข้าฌาน เห็นผีมากมายมารับส่วนบุญกัน นอนพักทั้งสองคืนพบแต่ผีทุกคืนทั้งตอนเช้ามืดและหัวคํ่า เมื่อผีมาหาในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้ แต่ทว่าคืนสุดท้ายมีเรื่องพิเศษคือ คืนนั้นเห็นผีมากันมากแล้วก็ผ่านไป ก็เห็นพระสงฆ์เดินมาใหม่ประมาณสัก ๒๐๐ องค์เศษห่มผ้าสีกรัก แต่ว่าผิวเนื้อไม่สวยเหมือนกับพระองค์นั้นที่เคยเห็น ไม่มีอาการผ่องใส ท่าทางการเดินสงบเสงี่ยมมาก เห็นแล้วน่าเลื่อมใส น่าไหว้น่าบูชา เดินตรงเข้ามาไม่ทันจะถึงตัวก็หายไปหมด ก็สงสัยจึงถามลูกศิษย์ของท่านท้าวมหาราชซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า

"พระพวกนั้นท่านจะมาเยี่ยม แล้วท่านหายไปไหน" ลูกศิษย์ท่านท้าวมหาราชตอบว่า "นั่นไม่ใช่พระอรหันต์นะขอรับ องค์ก่อนที่ท่านพบนั้นเป็นพระอรหันต์ แต่คณะนี้ไม่ใช่" จึงถามว่า "พระพวกนี้เป็นอะไร" ตอบว่า "พวกนี้เป็นเปรตขอรับ ตั้งใจจะมาขอส่วนบุญ แต่ว่ากำลังของกฎแห่งกรรมที่เป็นอกุศลยังมีอยู่มาก จึงยังไม่มีโอกาสจะรับโมทนาได้ เมื่อมาแล้วจึงได้หายไป" อาตมาสงสัยถามว่า "พระพวกนี้น่ะหรือเป็นเปรต และเปรตรูปร่างเหมือนพระมีหรือ" ตอบว่า "ถ้าหากทำความชั่วในระหว่างเป็นพระและก็ตายระหว่างเป็นพระ ก็จะแสดงภาพเดิมที่เป็นพระให้ปรากฏ"

เมื่อท่านตอบอย่างนี้ก็นึกถึงว่าเคยอ่านพระไตรปิฎกหรือแปลบาลี ก็เคยพบเปรตที่มีรูปร่างเป็นพระบ้าง เป็นเณรบ้าง เป็นนางภิกษุณีบ้าง มีไฟไหม้ตลอดตัว มีสรรพาวุธเสียบแทงอยู่ตลอดเวลาก็มีมาก มีแร้งมีกาจิกกินอยู่ตลอดเวลาก็มี จึงถามว่า "พระพวกนี้ความจริงจริยาก็ดีกว่าฉัน แต่ทำไมพวกท่านจึงไปนรก" ตอบว่า "ก็เพราะว่าห่มผ้าสีกรักแสดงตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์ ทำท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เคร่งครัดมัธยัสถ์ เหมือนกับพระเทวทัต แต่ว่านํ้าใจของท่านไม่ใช่พระ ไม่ได้ปฏิบัติให้ใจใสสะอาดตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสั่งสอน

ฉะนั้นพระพวกนี้ตายไปแล้วจึงเสวยทุกขเวทนาในนรกนานพอสมควรแก่กฎของกรรม เมื่อพ้นนรกมาแล้วก็มาเป็นเปรตถึง ๑๒ ระดับ เวลานี้เป็นปรทัตตูชีวิเปรตคือเปรตระดับที่ ๑๒ แต่กรรมยังหนักอยู่จึงยังไม่มีโอกาสจะโมทนาได้ และก็ไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ได้"
อาตมาฟังลูกศิษย์ท้าวมหาราชท่านอธิบาย ก็รู้สึกสลดใจว่า "พระก็ชอบลงนรกมากเหมือนกันเป็นเปรตก็มาก" ถ้าเราจะบูชาพระก็ควรจะบูชาพระที่เป็นสุปฏิปันโน ถ้าพระองค์ใดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันเป็นโลกธรรม และเราไปบูชาเข้าก็จะเป็นการให้กำลังใจโจร เพราะคนพวกนี้เป็นโจรปล้นความดีของพระพุทธศาสนา และก็ปล้นความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทด้วย.."

เรื่องที่ ๑๕๗ ตายจากคน (ผู้หญิงแขก) ไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญอาตมาแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


"..อาตมาเดินทางไปภาคใต้เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้ไปพักที่บ้านพักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก่อนจะนอนอาตมาก็บูชาพระ คือบูชาความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบูชาพระแล้วก็นอน เมื่อนอนลงไปแล้วก็คิดถึงการเดินทางมาสายใต้คราวนี้ อารมณ์จิตก็น้อมนึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้าและนึกถึงความดีของท่านผู้มีพระคุณ คือบรรดาท่านบุพการีทั้งหลายที่ได้ปกป้องคุ้มครองรักษาผืนแผ่นดินไทยนี้ไว้ให้พวกเราได้อาศัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ และคิดถึงองค์สมเด็จพระบรมครูทรงกล่าวว่า "โลกนี้ไม่มีอะไรทรงตัว" ทุกชาติทุกภาษาทุกกาลทุกสมัยต้องตายไปหมด แม้แต่ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงพระชนม์อยู่ก็เหมือนกัน พอคิดอย่างนี้ใจก็สบาย เห็นว่าร่างกายของเรานี้ไม่ช้าไม่นานเท่าไรมันก็จะสิ้นไป ทำท่าว่าจะหลับ ปรากฏว่าพบผีผู้หญิงแขกประมาณ ๓๐-๔๐ คน แต่งตัวเป็นสาวแขกธรรมดา เป็นพวกนับถือศาสนาอิสลาม หัวหน้ายกมือไหว้ทั้งหมดก็ยกมือไหว้

จึงถามว่า "เมื่อเธอนับถือศาสนาอิสลามแล้วมาไหว้พระในพระพุทธศาสนานี่ ไม่เป็นการผิดระเบียบของศาสนาเธอหรือ" เธอตอบว่า "เป็นผีไม่ผิด เพราะว่าผีต้องการอย่างเดียว คือความดีของผู้ที่เราจะเข้าไปไหว้" จึงถามว่า "อาตมามีความดีอะไร" เธอตอบว่า "ความดีที่เห็นง่ายๆ ก็คือ ผีมาท่านเห็นได้" ก็บอกว่า "ก็เธอทำให้ฉันเห็นนี่ ฉันก็เห็นซิ ถ้าเธอไม่ทำให้ฉันเห็น ฉันจะเห็นได้อย่างไร" เธอตอบว่า "คนทั้งหลายทำให้เห็นมามากแล้วไม่มีใครเห็น พระในพระพุทธศาสนาก็มากมายแสดงให้ปรากฏก็ไม่ยอมเห็น บรรดาแขกด้วยกันแสดงให้ปรากฏก็ไม่เห็น"

ถามว่า "พวกเธอไม่ได้ตกนรกรึ ศาสนาของเธอแนะนำให้ลงนรกมากกว่าไปสวรรค์ เพราะว่าการจะกินอะไรก็ต้องฆ่าด้วยมือเอง ถือว่าสัตว์เป็นอาหารของชาวบ้าน" เธอตอบว่า "กิจการฆ่านั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของผู้ชายไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ผู้ชายเขาทำและผู้หญิงก็ทำต่อ ฉะนั้นพวกฉันจึงเลียบๆ เคียงๆ อยู่ใกล้นรก" แสดงว่าพวกเธอเป็นเปรตแต่ว่าเป็นเปรตระดับเบาเพราะไม่ได้ลงมือฆ่าสัตว์เอง ได้ถามว่า "พวกเธอมาเพื่อประสงค์อะไร"

เธอตอบว่า "เธอตั้งใจจะมาขอบุญกุศล" จึงถามว่า "บุญในศาสนาพุทธจะเข้าไปถึงคนในศาสนาอิสลามได้อย่างไร" เธอตอบว่า "ศาสนาไหนไม่สำคัญ เป็นผีแล้วรับได้หมด แม้แต่นรกสวรรค์ก็ไม่ได้แยกนรกแขก นรกไทย จะเป็นศาสนาไหนก็ตามลงนรกเดียวกัน ขึ้นสวรรค์ก็เขตเดียวกัน เป็นพรหมก็เหมือนกัน ถ้าบุญถึง" อาตมาเห็นหน้าพวกเธอเศร้าๆ เลยเห็นใจบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นละก็อย่าพูดมากเลย เดี๋ยวเธอจะอยู่ไม่ได้นาน ให้ตั้งใจโมทนา" อาตมาจึงได้อุทิศส่วนกุศลว่า "ผลบุญใดพึงให้ประโยชน์ความสุขแก่เราเพียงใด ขอเธอทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้และจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับเราจะพึงได้รับนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

บรรดาสาวแขกทั้งหลายก็พากันกราบ ๓ ครั้ง กราบครั้งแรกเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพเดิม กราบครั้งที่สองก็เห็นภาพเดิม พอกราบครั้งที่สามเงยหน้าขึ้นมาคราวนี้แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ อาตมาถามว่า "เธอจะไปไหน" เธอตอบว่า "ไปเป็นบริวารเขาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ยังดีกว่าเป็นสัตว์นรก และเป็นบริวารของเทวดาก็ดีว่าเป็นหัวหน้าของคนในเมืองมนุษย์" เธอบอกอีกว่า "จากนี้ไปเธอมีความสุข"

ในเมื่อบรรดาสาวน้อยและสาวใหญ่ทั้งหลายเปลี่ยนกายจากคนเป็นเทวดา ด้วยอำนาจปัตตานุโมทนามัย เป็นการพิสูจน์ว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไร้ผล เพราะพระองค์ทรงกล่าวว่า "บุญย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจปัตตานุโมทนามัย คืออนุโมทนาในความดี ยินดีกับความดีที่บุคคลอื่นทำแล้ว เป็นกิริยาที่ทำให้เกิดบุญ และเป็น ๑ ในพรหมวิหาร ๔ คือตัวมุทิตา

เป็นอันว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกมนุษย์ ถึงแม้จะมีเชื้อชาติ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ภาษา แตกต่างกันไปก็ตาม จะเป็นชนชาติใด ภาษาใด ศาสนาใดก็ตาม ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด เมื่อตายแล้วก็ต้องไปเกิดใหม่ทุกคน ดังที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสไว้ว่า "ตายแล้วไม่สูญ" และแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแดนนรก แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน ก็เป็นที่เดียวกัน ไม่มีการแยกนรกแขก นรกไทย สวรรค์ก็เขตเดียวกัน เป็นพรหมก็เหมือนกัน ถ้าบุญถึงเขตนั้น.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 11:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๕๘ สองสาวพี่น้องตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต


"..หลวงพ่อจวน ภูทอก ท่านไปจำพรรษาที่ภูสิงห์ ท่านไปเดินจงกรมบนยอดเขา เวลาเดินไปท่านก็พิจารณาใน กายคตานุสสติกรรมฐาน ได้แก่อาการ ๓๒ ของร่างกายมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด เป็นต้น โดยพิจารณาเบื้องตํ่าตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาเบื้องสูงถึงปลายผม และจากปลายผมลงมาเบื้องตํ่าถึงฝ่าเท้า ว่าทุกส่วนของร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยปฏิกูลของโสโครก การพิจารณาอย่างนี้เป็นสมถภาวนา และในด้านวิปัสสนาภาวนา ก็คิดว่านอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันยังเป็นอนิจจังหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ คือไม่มีการทรงตัวเกิดมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงคือโตขึ้น พอถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เปลี่ยนสภาพทรุดตัวลงคือแก่ เรียกว่ามีความเสื่อมไปทุกขณะจิตที่ล่วงไป หรือทุกลมหายใจเข้าออกที่ผ่านไป มันเป็นความเสื่อมของร่างกายและร่างกายก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะเมื่อเรามีร่างกายอยู่ มันมีความหิว ความกระหาย มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวังนานาประการ สิ่งเหล่านี้รบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ

ตัวต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็เพราะเราเกิดมีร่างกายตัวเดียว
หลวงพ่อจวนท่านเดินพิจารณาอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไป เมื่อพิจารณาไปๆ จิตก็เข้าถึงสมถะและวิปัสสนา คืออารมณ์เป็นสมาธิ ที่อารมณ์เป็นสมาธิก็เพราะมีการทรงตัวคิดเฉพาะเรื่องกายอย่างเดียว อารมณ์ทรงสมาธิไม่ใชมีแต่ การภาวนา อย่างเดียว การพิจารณาก็เป็นสมาธิได้ ขณะใดที่พิจารณาอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ก็หมายถึงเป็นสมาธิในกองนั้น เมื่อเป็นสมาธิแล้ว ก็เป็นทั้งสมถะด้วยและวิปัสสนาด้วย จิตก็เริ่มสะอาดจากกิเลส เมื่อจิตสะอาดจากกิเลสอารมณ์ของจิตก็เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์จิตเริ่มเป็นทิพย์ จิตก็สามารถจะสัมผัสกับกลิ่น แสง เสียง สี และสิ่งที่เป็นทิพย์ได้

ฉะนั้น ขณะที่ท่านพิจารณาไปเดินไปเดินมาอยู่นั้นก็ได้กลิ่นแปลก ไม่ใช่กลิ่นสุนัขเน่าหรือคนเน่าหรือเหม็นคาวของคน มันเป็นกลิ่นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่านก็เดินไปใคร่ครวญพิจารณาขันธ์ ๕ ไป จิตก็สัมผัสกลิ่นไป ในที่สุดท่านก็สงสัยว่ากลิ่นอะไร ท่านก็ใช้กำลังของทิพพจักขุญาณถามว่า "กลิ่นที่ได้รับเป็นกลิ่นอะไร" จิตก็ตอบว่า "กลิ่นที่ได้รับสัมผัสนั้นเป็นกลิ่นของเปรต" เมื่อทราบว่าเป็นเปรต ท่านก็อุทิศส่วนกุศลให้ดังนี้

"บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ผลบุญนี้จะมีผลแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาบุญนี้ รับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

พอท่านนึกอธิษฐานจิตอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น กลิ่นก็หายไป หลังจากนั้นท่านก็เลิกเดินจงกรมแล้วมานั่ง ท่านเห็นผู้หญิงสองคนเดินมาข้างๆ ท่านก็ถามว่า "เธอสองคนเป็นใครและเป็นอะไรกัน" เธอก็ตอบว่า "เธอทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน" ท่านถามว่า "คนไหนเป็นพี่" เธอก็ชี้ตัวเธอเป็นพี่ ท่านถามว่า "คนไหนเป็นน้อง" เธอก็บอก "คนนี้เป็นน้อง" ถามว่า "เวลานี้เป็นอะไร" เธอก็ตอบว่า"เป็นเปรตที่แสดงตน" ท่านถามคนพี่ว่า "ชื่ออะไร" เธอตอบว่า "ชื่อนางสาวทาและน้องชื่อนางสาวสี บวกกันสองคนเป็นทาสี"

ถามว่า "ทำไมตายแล้วจึงมาเป็นเปรต"
เธอตอบว่า "สมัยที่เธอมีชีวิตอยู่ เธอเอาตัวหม่อนมาต้มเอาใยไหม อันนี้เป็นปัจจัยให้เธอเกิดเป็นเปรต"
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างว่า "ตายแล้วไม่สูญ" ถ้าหากเราพิจารณากายคตานุสสติ ก็พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้เป็นเปลือกที่เราอาศัยชั่วคราว ไม่มีการทรงตัว ถ้าเรายึดถือมันเกินไป มันก็เป็นทุกข์ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วเราคือใคร ก็ต้องไปดูเปรตสองเปรตคือ เปรตทากับเปรตสี ความจริงร่างกายเดิมของเธอเขาเผาหรือฝังไปแล้ว แต่สภาพที่มาปรากฏนั้นไม่ใช่ร่างกายที่มีเนื้อมีหนังแต่เป็นร่างกายที่เราเรียกกันว่า "อทิสสมานกาย" มีการถูกลงโทษ มีการเจ็บการปวด เหมือนเราเจ็บเราปวดเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็น นามธรรม ก็ตาม ตัวแท้ๆ ของเราก็เหมือนกับสองสาวคือสาวทากับสาวสีนั่นแหละ

รวมความว่าเรื่อง กายคตานุสสติ นี้มีความสำคัญมาก
สำหรับสมถภาวนาเรียกว่า "กายคตานุสสติ" ถ้าวิปัสสนาภาวนาเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ" มันตัวเดียวกันและเราตัดตัวเดียวคือตัดสักกายทิฏฐิ มี ๓ ขั้นตอนคือ
๑) มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้จะต้องตาย ไม่ประมาทในชีวิต เป็นอารมณ์ของพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี
๒) มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายสกปรกโสโครกน่าเกลียด ไม่มีตัณหาเกิดขึ้นจากร่างกาย เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี
๓) ถ้าจิตวางเฉยในร่างกายทั้งหมด ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นเราก็เฉยหมด อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

ถ้าวางเฉยได้ไปพระนิพพานได้ ถ้าวางเฉยไม่ได้ไปพระนิพพานไม่ได้ เราต้องตัดสักกายทิฏฐิให้ได้ คือการวางเฉยในร่างกายเรียกว่า "สังขารุเปกขาญาณ" เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย.."

เรื่องที่ ๑๕๙ ตายจากคนเป็นผู้พิพากษาแล้วไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต


"..สำหรับเรื่องราวของเปรต อาตมาได้นำเอาเรื่องเปรตประเภทที่ท่านทั้งหลายไม่ได้คิดว่าเป็นเปรตมาเล่าสู่กันฟัง ในพระบาลีกล่าวว่า ในสำนักแห่งพระราชาธิบดีทรงพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์" พระบาทท้าวเธอทรงปกครองมคธรัฐ หรือที่เรียกว่ากรุงราชคฤห์มหานคร จัดว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกที่นับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงแต่งตั้งบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีปัญญามีความรู้ให้เป็น ผู้พิพากษาชำระอรรถคดี ท่านผู้นี้ในตอนต้นก็มีอุดมการณ์ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำกิจการงานด้วยความซื่อตรงไม่มีความประสงค์ในการที่จะคดโกงอะไรทั้งนั้น ต่อมาในภายหลังเมื่อมีคนมาหาบ่อยๆ เขาต้องการชนะคดีก็มากราบมาไหว้ เอาเงินเอาทองมาให้ อาศัยที่ท่านผู้พิพากษาผู้นี้เป็นคนใจอ่อนมีเมตตาในด้านความชั่ว ต่อมาจิตใจของตนก็เกิดความโลภเข้ามาครอบงำจิต ติดในทรัพย์สินเป็นสำคัญ จึงประพฤติผิดในหน้าที่ คดีใดที่ควรจะแพ้แต่ถ้าเขาให้เงินมากก็ตัดสินให้ชนะ คดีใดที่ควรจะชนะแต่ทว่าไม่ให้เงินก็ตัดสินให้แพ้ เป็นการรับสินบน กลายเป็นคนมีความชั่วช้าอย่างสาหัสไม่สมกับพระราชาทรงไว้วางพระราชหฤทัย

เป็นอันว่าท่านผู้พิพากษาท่านนี้ตัดสินความขาดความยุติธรรม วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ทรงสมาทานอุโบสถศีล ก็มีพระราชดำรัสสั่งให้อำมาตย์ผู้ใหญ่หลายท่านด้วยกันสมาทานอุโบสถศีลพร้อมไปด้วยกับพระองค์ สำหรับผู้พิพากษาท่านนี้ท่านไม่ได้ศรัทธาที่จะรักษาศีล แต่ทว่าด้วยอำนาจความเกรงกลัวในพระราชา หรือบางทีอาจจะเกรงชาวบ้านเขาจะว่าเอาว่า เป็นผู้ใหญ่ที่พระราชาทรงชวนให้สมาทานอุโบสถศีล จะไม่ทำก็จะเป็นการไม่ดี ไม่ได้นึกถึงความดีที่จะพึงมีกับตนเพียงใด ก็เลยจำทนจำใจสมาทานศีลด้วย

ครั้นเมื่อสมาทานศีลแล้ว ออกมาจากพระราชสำนักจึงได้กล่าวกับอำมาตย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเป็นสหายว่า "ความจริงวันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะรักษาอุโบสถศีล เพราะว่าเรื่องศีลเรื่องทานนี่ผมไม่ได้สนใจว่าจะเป็นของดีตรงไหน เมื่อสมาทานแล้วก็จะต้องอดข้าวเย็น กินเหล้าก็ไม่ได้ ขนมนมเนยก็กินไม่ได้ ไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหน แต่ที่ร่วมสมาทานกับพระราชาก็เพราะความเกรงใจ ผมสมาทานแล้วก็อยากจะโยนศีลทิ้งไป ไม่เห็นมีประโยชน์"

เพื่อนก็เตือนว่า "ท่านสมาทานศีลแล้วจะไม่รักษาศีลนั้นไม่เป็นการสมควร เพราะว่าท่านเองก็เป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ เมื่อสมาทานต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชามาแล้ว พอลับหลังจะไม่ยอมรักษาศีลต่อไป จะเป็นการปฏิบัติศีลเอาหน้า ภาวนากันตาย ขอเพื่อนจงตั้งใจรักษาอุโบสถศีลให้ครบ ๑ วันกับ ๑ คืนเถิด ถ้าหากว่าเพื่อนไม่รักษาศีลให้ครบถ้วน ใครเขาทราบเข้า เขาก็จะประณามว่าอำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระราชาเป็นคนชั่ว ไม่สามารถจะทำตัวให้อยู่ในขอบเขตของความดีได้"

ท่านผู้พิพากษาได้ฟังคำแนะนำตักเตือนของเพื่อนอย่างนั้น ก็มีจิตยินดียอมรับคำแนะนำ แต่ไม่ใช่ยินดีในการที่จะรักษาอุโบสถศีล เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วก็จำใจจะต้องรักษาอุโบสถศีลเพื่อให้เพื่อนและคนทั้งหลายเห็นว่า ท่านเป็นผู้ทรงอุโบสถศีลได้ ท่านก็อดข้าวเย็น บ้วนปากเสร็จแล้วก็เข้านอน พอตกดึกก็กระสับกระส่ายเพราะเหตุที่ไม่เคยอดอาหารเย็นมาก่อน ความจริงตอนเย็นเคยกินมาก กินทั้งอาหาร เหล้ายาปลาปิ้ง รวมทั้งที่เรียกว่านารี พาชี กีฬาบัตร อบายมุขทุกประการ เวลาเย็นผู้พิพากษาท่านนี้ปฏิบัติได้หมด ครั้นมาอดข้าวเย็น ความหิวความกระหายมันก็เกิดทำให้กลุ้ม ในที่สุดก็เกิดเป็นลมตายไปในคืนนั้น เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรตได้รับผลของกรรมทั้ง ๒ อย่างร่วมกันคือ

๑) ผลแห่งการรักษาอุโบสถศีล ถึงแม้จะไม่เต็มใจทำก็ตามแต่ทว่าเขาไม่ขาดในสิกขาบทในวันหนึ่งคืนหนึ่ง เปรียบเหมือนกับเราไม่เต็มใจกินข้าวแต่มันก็อิ่ม ร้อนมาไม่เต็มใจจะอาบนํ้า เมื่ออาบแล้วมันก็เย็น การรักษาศีลด้วยความไม่เต็มใจก็มีผลเช่นเดียวกัน จึงทำให้ผู้พิพากษาท่านนี้มีวิมานสวยสดงดงาม ประดับประดาไปด้วยทองและแก้วแพรวพราวเป็นที่อยู่ มีสมบัติอันเป็นทิพย์และมีนางฟ้าที่สวยสดงดงามน่ารักแวดล้อมเป็นบริวารมากมาย จัดว่าเป็นสถานที่มีความสุข

๒) ผลแห่งการที่มีสภาพเป็นเปรต ก็เพราะอาศัยที่ท่านผู้พิพากษาไม่ทรงความดี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ พิพากษาไม่เป็นไปตามความยุติธรรม ชอบกินสินบาทคาดสินบน และโทษที่เคยเจรจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมทำลายให้เขาแตกความสามัคคี จึงทำให้มีสภาวะเป็นเปรตคือ มีร่างกายสวยเหมือนเทวดาเรียกว่า "เทวดาเปรต" แต่ทว่ามีเล็บมือยาวคล้ายๆ จอบและก็คม จิกเลือดและเนื้อสันหลังของตนกินเป็นอาหารทั้งๆ ที่อยู่ในวิมานอันสวยสดงดงาม เป็นการเสวยทุกขเวทนาอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ไม่ใช่ภูเขาหินแต่เป็นสภาพเขาที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ ท่านที่เห็นเปรตผู้พิพากษาเป็นท่านแรกก็คือ พระนารทเถระเจ้า ซึ่งลงมาจากภูเขานั้น

เวมาณิกเปรตระดับที่ ๒ เป็นกรรมประเภทที่แปลก ถ้าเรามองกันก็รู้สึกวาเขาเป็นคนดีมีความรักความเมตตาปรานี เปรตพวกนี้ได้แก่คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่น ชอบเลี้ยงสัตว์ไว้แข่งขัน สัตว์ทุกประเภทที่เลี้ยงไว้มีขอบเขตให้อยู่จำกัด ไม่มีอิสระในความเป็นอยู่ อย่าลืมว่าสัตว์ทั้งหลายก็มีหัวใจ มีมันสมอง มีความรู้สึกและมีความต้องการเหมือนกับคน ก็ลองนึกถึงจิตใจของเราบ้าง สมมติว่าเขาสร้างบ้านให้เราสักหลังหนึ่งมีกำแพงล้อมรอบ ในนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนา แต่ทว่าเราไม่มีโอกาสออกไปสู่ภายนอกได้ เราจะพอใจไหม ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านที่มีอารมณ์เมตตาในสัตว์ สงเคราะห์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ไว้ในขอบเขตด้วยความเมตตาปรานี จัดว่าเป็นความดีของบุคคลผู้เลี้ยง แต่ว่าการขาดอิสรภาพของสัตว์นี้เป็นภัยสำหรับท่านผู้เลี้ยงเหมือนกัน เพราะสัตว์ก็มีความต้องการอิสรภาพ ไปไหนได้ตามชอบใจเช่นเดียวกับคน

และการที่สัตว์ทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีอาหารการบริโภคบริบูรณ์สมบูรณ์ก็ตาม แต่เป็นการดีตามใจคนเลี้ยง เพราะความปรารถนาของสัตว์ก็มีอยู่ สัตว์อยากจะกินของประเภทนี้แต่ว่าคนเลี้ยงมีความเข้าใจว่าสัตว์ต้องการประเภทนั้น คนเลี้ยงเข้าใจว่าดีแต่สัตว์ไม่ชอบ สัตว์ต้องการอะไรก็พูดไม่ได้ อย่างเช่นเลี้ยงสุนัข ผู้เลี้ยงก็คิดว่าสุนัขชอบเนื้อเสมอ ถ้าหากว่าเราจะพิสูจน์กันให้ดี ก็เอาเนื้อหลายประเภทมาทำอาหารหลายๆ รส เอาให้สัตว์กิน สังเกตดูว่าสัตว์จะเลือกกินประเภทไหน ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าส่งไปให้มันก็ชอบ

บุคคลประเภทนี้ตายแล้วต้องมาเกิดเป็นเวมาณิกเปรตระดับที่ ๒ คือเป็นเปรตที่มีวิมานอยู่ในแดนเปรตเป็นที่อยู่ วิมานของเปรตประเภทนี้ก็มีสภาพเหมือนกับเทวดาทุกอย่าง มีบริเวณล้อมรอบ มีความเป็นอยู่เป็นทิพย์ ร่างกายของเปรตพวกนี้ก็เป็นกายเทวดา มีนางฟ้าแวดล้อมเป็นบริวาร มีความสุขไม่ต่างกับเทวดาทั้งหลายทั้งหมด ความต้องการใดๆ ในบริเวณนั้นมีความปรารถนา สมหวังเหมือนกับเทวดาอื่นๆ แต่ทว่าเป็นเทวดาที่ต้องถูกกักขังอยู่ในวิมาน ไม่สามารถจะออกมาภายนอกได้ก็เพราะมี กงจักร หมุนมีความเร็วและความแรงสูงพัดผันอยู่รอบๆ วิมานตลอดเวลา ถ้าหากว่าเทวดาเปรตยื่นมือออกไป กงจักรก็จะตัดมือตัดนิ้วทันที ถ้ายื่นศีรษะออกไป ศีรษะก็จะถูกกงจักรตัดทันที ความเป็นทิพย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะกงจักรก็เป็นกงจักรทิพย์ที่มีทั้งความเร็วและความแรง ทำให้การเคลื่อนไหวของเทวดาเปรตพวกนี้ไม่สามารถออกนอกเขตวิมานได้ ก็เพราะโทษที่กักขังบรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ให้มีอิสรภาพ แต่ผลแห่งความดีที่มีเมตตาปรานีเลี้ยงดูให้อาหารการกิน ก็มีผลตอบสนองดังนี้คือ

๑) มีร่างกายเป็นทิพย์
๒) มีเครื่องประดับเป็นทิพย์
๓) มีอารมณ์ใจเป็นสุขอย่างเทวดา
๔) จะมีความปรารถนาอะไรก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยของบุญญาธิการที่เคยบำเพ็ญไว้ ก็ได้สมความปรารถนา
กายมีความเบา ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บไม่มี ความแก่ก็ไม่มี ขณะที่เกิดขึ้นในวันแรกมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวฉันใด ร่างกายของเขาเหล่านั้นที่มีอารมณ์ประกอบไปด้วยเมตตา จะทรงสภาพอย่างนั้นเป็นปกติ ไม่มีความร่วงโรย กำลังวังชาก็มีความสมบูรณ์บริบูรณ์ รูปร่างหน้าตาก็สวยเหมือนกับเทวดาทั้งหลาย มีความสว่างไสวสวยสดงดงาม มีวิมานประดับประดาไปด้วยแก้วแพรวพราวเป็นที่อยู่ มีความสว่างไสว นางฟ้าที่เป็นบริวารก็แสนจะสวยและทุกคนก็ช่วยปฏิบัติเอาใจด้วยดีทุกอย่าง อันนี้เป็นผลของเมตตาบารมีที่เขาทำไว้ ทั้งหมดนี้เป็นอานิสงส์เฉพาะผู้เลี้ยงสัตว์ไว้ดูเล่นเท่านั้น ไม่ใช่เลี้ยงไก่ไว้ชนกันหรือว่าเลี้ยงนกเขาไว้แข่งขันกัน อย่างนี้ตายจากความเป็นคนก็ต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภทที่ต้องถูกทุกถูกตี หรือว่านายนิรยบาลจะปล่อยให้ตีกับเสาเหล็ก จะตีกับหินเหล็กหรือว่าอาวุธที่มีความแหลมคม

จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนามีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุผล ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังใจของท่าน จงอย่าเป็นผู้มีเมตตาในประเภททรมานสัตว์หรือในประเภททรมานคน ถ้าทำกับคนก็มีโทษร้ายแรงกว่าทำกับสัตว์ เพราะบรรดาสัตว์ทุกประเภท พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังอยู่ในเขตอบายภูมิ ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ในเขตอบายภูมิ เมื่อรับโทษอย่างนั้นก็คิดว่าจะรับโทษไม่มาก สำหรับเวมาณิกเปรตนี้ไม่มีโอกาสที่จะรับโมทนาส่วนกุศลได้.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 19:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๑๔ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดในแดนนรกตอน ๑


1 เรื่องที่ ๑๖๐ พระนางมัลลิกาเทวีมีจิตเศร้าหมองนิดเดียว ตายแล้วต้องเอาเท้าขวาแค่ตาตุ่มไปแหย่ในนรก ๗ วันมนุษย์

2 เรื่องที่ ๑๖๑ พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑

3 เรื่องที่ ๑๖๒ ตายจากขุนนางใหญ่ไปลงนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๕

4 เรื่องที่ ๑๖๓ ตายจากพระสงฆ์ไปตกนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๗ (มีชื่อว่ามหาตาปะนรก)

5 เรื่องที่ ๑๖๔ พระเทวทัตตายจากความเป็นคนไปอยู่ในอเวจีมหานรก

6 เรื่องที่ ๑๖๕ ตายจากพระสงฆ์ที่บวชมา ๓๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก

7 เรื่องที่ ๑๖๖ ตายจากพระสงฆ์ที่บวชตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีเศษถึง ๗๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก

8 เรื่องที่ ๑๖๗ ตายจากพระสงฆ์ทำตัวเรียบร้อยแต่โทษกาเมมีเป็นปกติไปลงอเวจีมหานรก

9 เรื่องที่ ๑๖๘ ตายจากนักบวชเคยมีฌานสมาบัติในตอนต้นแต่ตอนท้ายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปลงอเวจีมหานรก

10 เรื่องที่ ๑๖๙ ตายจากพระสงฆ์มีเงินให้กู้ ไม่ผ่านสำนักพระยายมราชลงนรกเลย


เรื่องที่ ๑๖๐ พระนางมัลลิกาเทวีมีจิตเศร้าหมองนิดเดียว ตายแล้วต้องเอาเท้าขวาแค่ตาตุ่มไปแหย่ในนรก ๗ วันมนุษย์

"..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เสด็จไปประทับที่พระเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระนางมัลลิกาเทวีพระมเหสี มีความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และได้ถวายอทิสทานกับพระพุทธเจ้า อทิสทานนี้เป็นทานที่ใหญ่ยิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระพุทธเจ้า ๑ องค์จะมีคนถวายอทิสทานครั้งเดียวในชีวิต และคนที่จะถวายอทิสทานได้นั้นต้องเป็นผู้หญิง"

พระนางมัลลิกาเทวีตั้งใจจะถวายอทิสทานนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลต้องการถวายทานให้ยิ่งกว่าชาวพระนครทั้งหมด พระนางจึงได้กราบทูลพระองค์ให้รับสั่งเขาทำดังนี้คือ ทำมณฑปสำหรับนั่งในวงเวียน ทำด้วยไม้สาละและใช้ไม้ขานางเอาไว้ถ่างขาทำเป็นโต๊ะเพื่อบรรดาพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปนั่ง ส่วนพระที่เกิน ๕๐๐ จะนั่งนอกวงเวียน ให้ทำเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน ช้าง ๕๐๐ เชือกจะถือเศวตฉัตรกั้นอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุ ๕๐๐ รูป ให้ทำเรือด้วยทองคำแท้ๆ ที่มีสีสุกสัก ๘ ลำหรือ ๑๐ ลำ และเรือเหล่านั้นจะอยู่ท่ามกลางมณฑป และจะมีเจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ นั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ ๒ รูป คือภิกษุ ๒ รูปมีเจ้าหญิง ๑ องค์นั่งบดของหอมถวาย และเจ้าหญิงอีกองค์หนึ่งจะถือพัดถวายแก่พระภิกษุ ๒ รูป พระ ๕๐๐ ก็เจ้าหญิง ๕๐๐ เข้าไปแล้ว และเจ้าหญิงที่เหลือจะนำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทุกๆ ลำ เจ้าหญิงบางพวกจะถือดอกอุบลเขียวคือดอกบัวเขียวเคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำ เพื่อให้ภิกษุรับเอากลิ่นอบ เจ้าหญิงหนึ่งพันองค์อาจจะเป็นลูกบ้าง เป็นหลานบ้าง เป็นเหลนบ้าง

คำว่า "เจ้าหญิง" ส่วนใหญ่จะเป็นลูกของกษัตริย์ และเป็นลูกของกษัตริย์ข้างเคียงคือน้องๆ รองลงไป พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ถวายอาหารอันประณีตแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พร้อมของใช้ในโรงทางทั้งหมดเช่น เรือทองคำ เตียงตั่งทั้งหมด ทานทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทรัพย์ประมาณ ๑๔ โกฏิที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงบริจาคในวันเดียว

พระนางมัลลิกาเทวีเป็นคนดีมาก มีจริยาเรียบร้อยทั้งกาย วาจา และใจ การอยู่กับพระราชสวามีก็คอยเอาอกเอาใจทุกอย่าง คอยประคับประคองทุกอย่าง ไม่เคยสร้างความสะเทือนใจแก่พระราชสวามี ทั้งๆ ที่พระองค์มีเมียตั้ง ๑๐๐ คนเศษ มันน่าจะเจ็บชํ้านํ้าใจที่มีคนมาแย่งตำแหน่ง แต่พระนางไม่เคยกล่าวคำหยาบหรือแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นที่สะเทือนใจของบุคคลอื่น เป็นคนมีกำลังใจหนักแน่น มีเหตุมีผล มีความรัก ความเมตตาปรานีในภรรยาที่มาทีหลังและลูกทุกคน จะเป็นลูกของใครก็ตาม ท่านถือว่าเป็นลูกของท่านเพราะท่านเป็นเมียหลวง เป็นแม่ใหญ่ กำลังใจอย่างนี้หาได้ยาก

ต่อมาวันหนึ่งเวลากลางคืนดับไฟแล้ว ตอนดึกพระนางนอนอยู่ข้างพระราชสวามี ท่านปวดปัสสาวะก็ลุกจากที่นอนจะไปปัสสาวะ เป็นการบังเอิญเท้าข้างขวาไปสะดุดเท้าพระราชสวามีเข้า เพียงเท่านี้พระนางเสียพระทัยมากคิดว่าความชั่วอย่างนี้ไม่เคยมีสำหรับเรา ทรงแสดงความเศร้าโศกเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้นนอนไม่หลับ
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่า "น้องหญิงเสียใจเรื่องอะไร"
พระนางก็ทูลให้ทรงทราบว่า "หม่อมฉันเลวมาก ขอประทานอภัยพระราชา"
พระองค์ก็บอกว่า "ให้อภัยทุกอย่าง ความจริงไม่มีอะไรเป็นความผิดเพราะไม่มีเจตนา ให้เลิกการเสียใจ"
เมื่อพระองค์ทรงปลอบพระนางก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ว่ากำลังใจมันข้องคิดว่า
"เราเกิดมาไม่น่าจะสร้างความเลวอย่างนี้ ตัวนี้แหละฝังใจพระนางตลอดเวลา"

กาลต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในพระเชตวัน เวลานั้นพระนางมัลลิกาเทวีก็ทรงสิ้นพระชนม์เมื่ออายุประมาณ ๕๐ ปี ก่อนจะตายจิตของพระนางหวนนึกถึงว่าเราเลวที่เอาเท้าไปสะดุดเท้าของพระราชสวามี กำลังใจก็เศร้าหมอง แต่ว่าความดีของพระนางมีมาก พอจิตออกจากร่าง ร่างกายของพระนางก็เป็นนางฟ้าสมบูรณ์แบบ แพรวพราวเป็นระยับมีเนื้อเป็นแก้ว สวยสดงดงามมีแสงสว่างเป็นกรณีพิเศษ ถ้าจะเทียบกับนางฟ้าก็เป็น นางฟ้าอันดับหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ทว่าออกจากร่างกายแทนที่จะไปสวรรค์กลับไปนรก เอาเท้าแค่ตาตุ่มข้างขวาที่สะดุดพระราชสวามีไปแหย่ในนรกให้ไฟไหม้อยู่ ๗ วันมนุษย์ ความจริงนรกแต่ละขุม วันเวลามากเหลือเกิน นรกขุมที่มีอายุน้อยที่สุดอย่างสัญชีพนรกต้องใช้เวลา ๙ ล้านปีของมนุษย์จึงจะเท่ากับวันหนึ่งของเขา

ฉะนั้น การเอาเท้าแค่ตาตุ่มไปแหย่ในไฟนรกแค่ ๗ วันมนุษย์ ถ้าในเมืองนรกก็จะรู้สึกว่าแป๊บเดียวแล้วยกขึ้นมาเท่านั้นเอง มันเร็วมากถ้าเทียบเวลากัน แต่นาน ๗ วันในโลกมนุษย์ อย่านึกว่า ๗ วันมันไม่ร้อนหรือมันไม่หนัก ตามธรรมดาใครเอาธูปแดงๆ หรือก้นบุหรี่มาโดนแป๊บเดียวเราก็สะดุ้งและไม่ใช่สะดุ้งแล้วก็หายร้อนหายเจ็บ มันยังร้อนยังเจ็บต่อไปเมื่อเขาดึงเอาธูปหรือก้นบุหรี่ออกไปแล้วก็ตาม ทุกข์ทรมานของพระนางมัลลิกาเทวีแค่ ๗ วันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ในระหว่าง ๗ วันที่พระนางมัลลิกาเทวีสิ้นพระชนม์แล้ว เวลานั้นพระพุทธเจ้ายังทรงประทับอยู่ที่พระเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตั้งใจจะไปกราลทูลถามพระองค์ว่า
"พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีตายแล้วไปอยู่ที่ไหน"

เพราะพระนางมีจริยาดีเป็นเลิศ ตั้งใจปฏิบัติดีทุกอย่าง บุญบารมีก็สร้างหนักกว่าใครทั้งหมด การถวายอทิสทานไม่มีใครสามารถจะทำได้แต่พระนางก็ทำได้ การทำให้หมองใจนิดหนึ่งก็ไม่มีตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ถ้าตรัสตรงๆ ว่า "เวลานี้พระนางมัลลิกาเทวีไปอยู่เมืองนรก เอาเท้าไปแหย่ไฟนรกแค่ตาตุ่มนาน ๗ วันมนุษย์" ถ้าตรัสเพียงเท่านี้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะไม่ยอมทำบุญอีกต่อไป จะไม่สร้างความดีต่อไปเพราะความดีที่พระองค์ทำนั้นไม่เท่ากับพระนางมัลลิกาเทวีทำ ดีขนาดนี้ยังลงนรก และพระองค์สั่งคนติดตะรางบ้าง สั่งประหารชีวิตบ้าง สั่งเนรเทศบ้าง รบกับเมืองโน้นตีกับเมืองนี้ ยังสร้างกรรมที่เป็นอกุศลมาก คนที่มีความดีขนาดนั้นยังต้องตกนรก คนอย่างเราก็พ้นไม่ได้ เราก็สร้างแต่ความชั่วเรื่อยไปดีกว่า ถึงอย่างไรก็ต้องตกนรก
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงยับยั้งกำลังใจของพระเจ้าปเสนทิโกศลเวลาเสด็จไปเฝ้าเพื่อจะถามเรื่องนี้ ก็ทรงบันดาลให้ลืมเรื่องนี้ถึง ๗ วัน เมื่อถึงวันที่ ๘ พระนางมัลลิกาเทวีพ้นจากนรกไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทิพย์เป็นที่อยู่มีความสุขมาก

รวมความว่าท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงระมัดระวังเรื่องจิตใจให้มาก อย่าประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าบุญเราได้ทำแล้วและก็จิตใจทิ้งบุญ จะต้องเอาจิตใจเกาะบุญไว้เสมอ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจงอย่าตามนึกถึงมัน นึกถึงแต่ความดีที่ทำไว้แล้วเท่านั้น นักเจริญพระกรรมฐานอย่าทำจิตให้ว่างจากกุศล ผลของความดีจะส่งผลให้เป็นสุขคือไปเกิดบนสวรรค์ได้.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 19:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๖๑ พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑


"..พระเจ้าอชาตศัตรูมีความทรยศต่อพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพิสาร เป็นกบฏคิดฆ่าพ่อด้วยอำนาจของพระเทวทัตยุยงส่งเสริม เจตนาเดิมของพระองค์ไม่มี ในจิตใจของท่านนั้นไม่เต็มใจจะทำ แต่ว่าโดนพระเทวทัตยุหนักๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องตามใจเพราะถือว่าเป็นอาจารย์ จึงคิดประหัตประหารพระราชบิดาซึ่งเป็น พระโสดาบัน โดยแย่งราชสมบัติและก็ทรมานพ่อ จับขังคุก ต่อมาก็ให้อดข้าว แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเดินจงกรมจึงอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดก็ถูกเฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านมีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจของพระองค์ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าจึงมีจิตใจชุ่มชื่น

หลังจากการฆ่าพระราชบิดาตายแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าหาพระ ทำบุญเป็นการใหญ่ ต่อมาได้ขอขมาต่อพระรัตนตรัยและเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาตั้งแต่ปฐมสังคายนาเป็นต้นมาความจริงโทษอันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า "จะต้องตกอเวจีมหานรก แต่อาศัยบุญใหญ่อันนี้จึงช่วยให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ต้องลงอเวจีมหานรก มาตกอยู่แค่โลหะกุมภีซึ่งเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑" สำหรับนรกขุมนี้ไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่เหมือนนรกขุมใหญ่บอกอายุไว้ แต่ก็นานเหลือเกินเพราะพอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒-๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลยโลหะกุมภี สำหรับโทษปาณาติบาต ถ้าทำปาณาติบาตก็ต้องไปตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วไปผ่านนรกบริวาร เศษของกรรมยังไม่หมดต้องมาลงโลหะกุมภี "โลหะ" แปลว่า "ของแข็ง" เช่น เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เป็นต้น
"กุมภี" แปลว่า "หม้อ"

รวมแล้วแปลว่า "หม้อโลหะใหญ่" มีหม้อทองแดงใหญ่มหึมาใหญ่เท่าๆ กับปริมาณของสัตว์นรกที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์นรกมากหม้อก็ใหญ่มาก ถ้ามีสัตว์นรกน้อยหม้อก็ใหญ่น้อย ในหม้อทองแดงนี้มีนํ้าทองแดงเป็นนํ้าโลหะที่ถูกเคี่ยวมีความร้อนจัดและมีความรัดตัว บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม นายนิรยบาลก็เอาลงหม้อทองแดงโดยเอาหอกเสียบแล้วก็โยนลงไปในหม้อทองแดงบ้าง เอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปในหม้อบ้าง ในหม้อทองแดงมีนํ้าโลหะร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกถูกความร้อนเผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นมาปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ เมื่อจมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาหยุดจนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาตและก็ใช้เวลานานมาก

บางท่านบอกว่าสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของคน สำหรับคนเลวเท่านั้นที่พูดแบบนี้ สัตว์ทุกตัวรักชีวิตจะเห็นว่า เวลาที่เราจะเข้าไปจับหรือเวลาที่เราจะฆ่ามัน มันมีอาการดิ้นรนหนีเพื่ออิสรภาพไม่ต้องการให้ใครทำร้ายมัน การฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิตทุกประเภทจะต้องลงโลหะกุมภี เคยมีพวกหมอมาถามว่า "พวกพยาธิที่อยู่ในท้องก็ดี บรรดาเชื้อโรคทั้งหลายก็ดี ก็มีร่างกายมีชีวิตเหมือนกัน อย่างนี้ถ้าเราฆ่ามีโทษไหม" อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก บอกแต่พวกเล็นพวกไรต่างๆ แต่ว่าการฆ่าต้องเต็มไปด้วยเจตนา ถ้าหากว่าเราเดินไปเหยียบตายโดยไม่เห็น ไม่มีเจตนาอย่างนี้ ท่านไม่จัดว่าเป็นกรรมต้องลงนรก เวลายุงกัดเรารำคาญเอามือไปลูบไปแตะคิดว่าจะให้ยุงหนีไป บังเอิญเป็นยุงก้นปล่องมันกินเลือดเราเข้าไปเต็มที่แล้วมันไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน พอไปถูกเข้าตายโดยไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย อย่างนี้ไม่มีโทษต้องลงโลหะกุมภี

ถ้าไม่ต้องการมายมโลกียนรกขุมที่ ๑ คือโลหะกุมภี ก็มีเมตตาปรานีเข้าไว้ หรือทรงพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด ก็จะไม่ปรากฏร่างของเราในอบายภูมิ.."

เรื่องที่ ๑๖๒ ตายจากขุนนางใหญ่ไปลงนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๕


"..วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ ท่านลุงทั้งสอง ท่านสหัมบดีพรหม และท่านย่ามาบอกให้อาตมาไปที่สำนักท่านพระยายมราช วันนี้ท่านลุงนุ่งผ้าไหมโจงกระเบนโก้จังเลย เมื่ออาตมาชมท่านหันมายิ้มบอกว่า "กำลังสอบสวนหนัก" เมื่อไปถึงมีเทวดาเจ้าหน้าที่แต่งชุดแดงทั้งหมด ต่างกันแต่ว่ามีเพชรติดตามเสื้อมากน้อยกว่ากันเท่านั้น ที่แดงล้วนไม่มีเพชรเลยก็มี วันนี้เทวดาผู้ใหญ่มามาก โดยเฉพาะถ้าท่านสหัมบดีพรหมหรือท่านพระอินทร์มา เทวดาจะแต่งกายมีเพชรแบบนี้ เมื่อเข้าที่พร้อมกันแล้ว ท่านลุงใหญ่นายบัญชีท่านบอกว่า

"วันนี้ไม่มีการส่งไปสวรรค์ เป็นพวกลงนรกทั้งหมดเพราะบาปมาก"
ผู้ที่ถูกสอบสวนรายแรกเป็นขุนนางใหญ่ คนนี้เมื่อเป็นมนุษย์รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าสวย จมูกโด่ง คงไม่ใช่คนไทย เจ้าหน้าที่รายงานบาปที่เธอทำว่า
"คนนี้เป็นนักปกครองใหญ่ ในขั้นแรกทำงานเพื่อความเจริญของชาติ แต่การทำเพื่อชาติของเธอผิดกฎของกรรมดี เช่น
๑) สอนให้คนในปกครองรุกรานชาติอื่น มีการรบราฆ่าฟันกันตายไปมาก เมื่อยึดได้แล้ว ครอบครัวของนักรบที่ตายบ้าง พิการบ้าง ก็รับบำเหน็จไม่เพียงพอ แต่ผู้ปกครองรัฐและพรรคพวกอยู่ดีมีสุข
๒) เธอเสพสุขในกามคุณตามใจชอบ ใครก็ตามเมื่อต้องการต้องได้
๓) วาทะในการเจรจาดีแต่หาความจริงยาก ส่วนใหญ่พูดแบบนักการเมืองที่ไม่ใคร่โสภานัก แต่เหตุผลดีคนชอบใจ
๔) สุราเมรัย ดื่มเป็นปกติ และอื่นๆ อีกมาก"

เมื่อท่านลุงฟังแล้วท่านถามว่า "ตามที่โจทก์กล่าวมาเป็นความจริงทุกอย่างหรือ" เธอก้มหน้าไม่ยอมตอบ ท่านลุงไม่ยํ้าเรื่องบาปท่านถามว่า "ในชีวิตของเธอเคยให้ทานบ้างไหม" เธอนิ่ง ท่านลุงถามอีกว่า "เธอเคยสงเคราะห์โดยการช่วยเหลือเนื่องในการงาน (ช่วยทำงาน) มีบ้างไหม" เธอนิ่ง ท่านลุงถามต่ออีกว่า "เธอเคยคิดจะช่วยคนให้มีความสุขบ้างไหม" เธอนิ่งเมื่อท่านลุงถามเธออย่างนี้ ๓ รอบ เธอไม่ตอบ ท่านจึงสั่งเจ้าหน้าที่ว่า

"ภาระของฉันหมดแล้ว พาไปให้นายนิรยบาลเขาเถอะ ต่อนี้ไปเป็นเรื่องของเขา"
เมื่อเจ้าหน้าที่พาไปแล้ว ท่านลุงบอกอาตมาดูตามว่าเขาไปไหน ปรากฏว่านายนิรยบาลพาไปที่สระดอกบัว ก่อนที่เธอจะลงไปมีสภาพเป็นสระนํ้าใสสะอาด มีดอกบัวดอกใหญ่สะพรั่งสวยมาก มีใบล้อมดอกสวยจริงๆ พอไปถึงนายนิรยบาลจับเธอโยนลงไป ลงบนดอกบัวพอดี เมื่อถึงดอกบัวที่บานคอยอยู่แล้ว เท้าทั้งสองของเธอจมลงไปในดอกบัวถึงแข้ง หัวจมลงไปในดอกบัวถึงคอ ตอนนี้ดอกบัวเปลี่ยนสภาพเป็นเหล็ก นํ้าเปลี่ยนสภาพเป็นไฟไม่มีเปลวร้อนแรงมาก ใบบัวกลายเป็นหอกแหลนหลาวที่คอยเสียบเมื่อเธอดิ้นหล่นลงไป ตัวแดงคล้ายเหล็กถูกเผาไฟแดงโชน เสียงร้องดังมากเพราะกลีบบัวพอมีช่องให้เสียงออกมาได้ ที่ตรงนี้ท่านเรียกว่า "นรมขุมใหญ่ขุมที่ ๕ มีชื่อว่า มหาโรรุวนรก"

อาตมาถามท่านลุงว่า "บาปเธอมากขนาดนี้ เธอต้องอยู่ที่ตรงนี้นานเท่าไร"
ท่านบอกว่า "ต้องอยู่ที่ตรงนี้นาน ๘,๐๐๐ ปีนรก เมื่อครบกำหนดนี้แล้วต้องลงอีกหลายขุม พระพุทธเจ้าบรรลุแล้ว ๑๐ พระองค์เศษ จึงได้มีโอกาสเป็นเปรต จากเปรตเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากนั้นต้องเกิดเป็นคนที่ถูกทำร้ายร่างกายหลายพันชาติ จึงหมดกรรมนี้"
ถามท่านว่า "คนชาติไหน"
ท่านบอกว่า "ชาติกวนใจคน.."

เรื่องที่ ๑๖๓ ตายจากพระสงฆ์ไปตกนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๗ (มีชื่อว่ามหาตาปะนรก)

"..วันหนึ่งใกล้เวลา ๒ ทุ่มซึ่งเป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน อาตมานอนพักผ่อนก็เห็นเทวดาองค์หนึ่งท่านมายืนอยู่ข้างหน้า พอเหลียวไปดูท่านก็นั่งคุกเข่ายกมือพนม
อาตมาถามว่า "มาทำไม" ท่านบอกว่า "ท่านใหญ่ให้มานิมนต์ครับ"
คำว่า "ท่านใหญ่" คือ ท่านพระยายมราช ท่านเป็นพรหมไม่ใช่พวกนรก สำนักพระยายมราชไม่ใช่แดนนรกแต่อยู่ใกล้แดนนรก มีหน้าที่กันคนลงนรก
พอไปถึงอาตมาถามท่านพระยายมราชว่า "ลุงมีธุระอะไร"
ท่านตอบว่า "ไม่มีธุระอะไรมากหรอก เพื่อนท่านเขามาอีกหนึ่งแล้ว"
ก็เป็นอันรู้กันว่าถ้าพระไปเป็นต้องมาตาม
ท่านบอกว่า "ไปเยี่ยมเขาหน่อยซิ" ก็เลยถามว่า "อยู่ที่ไหนล่ะ"
ท่านตอบว่า "อยู่ขุมที่ ๗ คือ มหาตาปะนรก มีอายุครึ่งกัป"

พอไปถึงก็เห็นเขากำลังลงโทษ ถ้าเราจะเข้าไปพูดเองพวกนั้นเขาไม่ยอม นายนิรยบาลนี่ถ้าเราไปตามลำพังแล้งไปบอกให้เขาเอาคนนั้นขึ้นมาทีคนนี้ขึ้นมาที เขาจะไม่พูดด้วย เราต้องเอาคนของสำนักพระยายามราชไปคนหนึ่งเขาถึงจะยอม
วันนั้นท่านพระยายมราชไปเอง ท่านก็บอกว่า "เอาคนนั้นขึ้นมา"
พอบอกว่าเอาคนนั้นขึ้นมา คนนั้นก็หลุดจากเครื่องพันธนาการ เขาก็ขึ้นมาจากขุมนรก พอขึ้นมาแล้วก็แต่งตัวเป็นพระสงฆ์ รูปร่างหน้าตาดีมาก หนุ่มๆ คงรูปหล่อ ขึ้นมาแล้วอาตมาก็ถามว่า "บวชอายุเท่าไร ตายอายุเท่าไร"

เขาตอบว่า "บวชเมื่ออายุ ๒๐ ปีเศษ ตายเมื่ออายุ ๗๒ ย่าง ๗๓"
ถามว่า "บวชตั้ง ๕๒ พรรษาแล้วมีตำแหน่งอะไร"
ตอบว่า "ผมเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอ และก็เป็นอุปัชฌาย์"
เวลานั้นอาตมา ๒ พรรษา พระองค์นี้ ๕๒ พรรษา เท่าเศษพรรษาของเขาพอดี
ถามว่า "ทำไมถึงตกนรก"
เขาตอบว่า "ตอนบวชนั้นผมเป็นสมมุติสงฆ์จริงๆ อยู่ ๒ พรรษา คำว่า "สมมุติสงฆ์" ยังเกรงใจพระวินัยก็มีบกพร่องบ้างอยู่แค่ ๒ พรรษา นอกนั้นก็หมดจากความเป็นพระ แต่ก็ยังครองผ้าเหลืองอยู่ กรรมมันเลยหนัก"

ถามว่า "หมดความเป็นพระประเภทนี้มันน่าจะลงอเวจี แต่ทำไมจึงไม่ลง"เขาตอบว่า "ผมมารู้สึกตัวตอนใกล้ๆ จะตายสัก ๒ ปี ก็พยายามทำความดีทุกอย่างแต่มันคืนไม่ได้"
อาตมาบอกว่าก็ยังดีไม่ลงอเวจีลงแค่ขุมที่ ๗ แต่ว่าอีกนานพวกเราตายอีกร้อยครั้ง พระองค์นี้ก็ยังไม่ขึ้นมาเลยเพราะขุมนี้มีอายุครึ่งกัป ถ้ามีโทษอะไรอีกก็จะต้องมาไล่เบี้ยขุมใหญ่อีกคือเมื่อออกจากขุมที่ ๗ ก็จะต้องผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม แต่ละขุมมีอายุไม่แน่นอน เขาจะกักไว้กี่ร้อยกัปก็ได้ นอกจากนรกบริวาร ๔ ขุมแล้วถ้ามีโทษอย่างอื่นอีก ก็จะต้องไปตกนรกขุมใหญ่อีก ออกจากขุมนั้นก็ต้องตกนรกบริวารอีก ๔ ขุม เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะหมดเขตเขา

พอหมดเขตแล้วยังต้องไปตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม และยมโลกียนรกก็ไม่มีอายุเหมือนกัน ไม่บอกเวลาแน่นอน การตกนรกขุมนี้เขาจะไล่เบี้ยตั้งปาณาติบาตไปเรื่อยจนครบทั้ง ๕ ข้อ นอกจากนั้นถ้ายังมีคดโกง คดโกงจากการเรี่ยไร อย่างนี้เขาเก็บหมดเลย ไม่รู้ว่าใช้เวลาทั้งหมดกี่ร้อยกัป หลังจากนั้นจะต้องมาเป็นเปรตอีก ๑๒ ระดับ กว่าจะพ้นแต่ละระดับก็แสนจะยาก จากเปรตก็มาเป็นอสุรกาย จากอสุรกายก็ต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานกว่าจะไปเกิดเป็นคนหรือเทวดาได้ด้วยบุญเดิม ก็จะต้องเป็นสัตว์ที่รู้ภาษามาก ต้องมีคนเมตตา

สัตว์ที่จะพ้นจากความเป็นสัตว์ได้สังเกตไม่ยาก พวกนี้จะได้รับความเมตตาจากคน ถ้ายังไม่มีใครเมตตาเพียงใดก็ยังไม่พ้นจากความเป็นสัตว์
ในเมื่อเราตั้งใจบวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติความดีก็ต้องคิดว่า พระอรหันต์ทุกองค์ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่กำเนิด ท่านก็ประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นแบบเดียวกับพวกเรานี่แหละ ทำไปแก้ข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ มีความพากเพียรเป็นปกติ มีอิทธิบาท ๔ ครบถ้วน จะทำสิ่งใดมันก็ต้องสำเร็จจนได้และสำเร็จทุกอย่าง.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2011, 17:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๖๔ พระเทวทัตตายจากความเป็นคนไปอยู่ในอเวจีมหานรก


"..พระเทวทัต เคยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้ามาหลายแสนกัป เพราะต้นเดิมที่เดียวเป็นคนไม่ดีคือ พระเทวทัตเป็นพ่อค้าทุจริต ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าเหมือนกันแต่เป็นพ่อค้าสุจริต วันหนึ่งมีหญิงแก่คนหนึ่งเคยเป็นคนอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีเก่ารับช่วงตกทอดกันมาหลายชั่วคนแล้ว แต่เวลานั้นกลายเป็นคนจน ในตระกูลเศรษฐีนี้มี ถาดทองคำ เหลืออยู่ใบหนึ่ง ต่อมาพระเทวทัตไปขอซื้อแกก็เอามาขายให้เพราะเป็นคนจน เมื่อท่านดูแล้วก็ทราบว่าเป็นทองเนื้อดีแต่เห็นว่าเป็นคนจนก็เลยบอกว่า "ทองนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ เป็นทองปลอม" จึงตีราคาในฐานะทองปลอมให้ แกก็ไม่ขายเพราะทราบดีว่าเป็นทองเนื้อบริสุทธิ์ พระเทวทัตก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อพ่อค้าคนอื่นก็คงไม่ซื้อ ไม่ช้าแกก็ต้องจำใจขายให้กับท่านเอง

ต่อมาพ่อค้าพระพุทธเจ้าไปพบเข้าเห็นว่าเป็นทองดีจริงๆ เนื้อทองบริสุทธิ์ ก็ให้ราคาเท่าทองคำธรรมดาแกก็ยอมขาย พอพระเทวทัตทราบเข้าก็เจ็บใจจึงจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า โดยหยิบทรายมา ๑ กำมือแล้วก็หว่านลงไปประกาศว่า
"เราจะขอจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเมล็ดทราย ๑ กำมือนี้ หมายความว่า ๑ ชาติเท่ากับ ๑ เม็ด จนกว่าจะหมดเมล็ดทราย"

ต่อมาเมื่อสมเด็จพระทศพลเป็นพระบรมโพธิสัตว์ไปเกิดทุกๆ ชาติ พระเทวทัตก็ตามจองล้างจองผลาญตลอดเวลา ก่อนชาติสุดท้ายปลายมือสมัยพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตก็มาเกิดเป็นชูชก จนมาถึงชาติสุดท้ายพระเทวทัตมาเกิดเป็นพี่ของพระนางพิมพาซึ่งเป็นพระชายาของพระสิทธัตถะราชกุมาร ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า และก็เป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง ความจริงก็เป็นญาติสนิทกัน
ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว บรรดาพระญาติก็พากันออกบวช พระเทวทัตก็ออกบวชด้วย เมื่อบวชแล้วก็ได้ฌานโลกีย์ ได้อภิญญาสมาบัติสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เนรมิตอะไรต่อมิอะไรได้ ต่อมาก็มีความกำเริบใจ เพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน คิดจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ไปยุพระเจ้าอชาตศัตรูให้กบฏต่อพระราชบิดา และพระเทวทัตก็กบฏต่อพระพุทธเจ้า คิดฆ่าพระพุทธเจ้าและก็จ้างคนฆ่าพระพุทธเจ้า ทำสังฆเภทคือทำสงฆ์ให้แตกกัน และยังคิดฆ่าคนทั้งหลายอีกด้วย ในเมื่อพระเทวทัตเลวจัดขนาดนี้ ในที่สุดแผ่นดินทนไม่ไหว ทนความหนักของความเลวไม่ได้ แผ่นดินจึงแยกปล่อยให้พระเทวทัตลงไปยืนกางแขนกางขาถูกหอกเสียบอยู่ใน อเวจีมหานรก
นรกขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๗ หรือนรกขุมอื่นๆ บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายมีการเคลื่อนไหวได้ แต่นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๘ ที่เรียกว่า "อเวจีมหานรก" ไม่มีการเคลื่อนไหว

คำว่า "อจลัง" แปลว่า "ไม่หวั่นไหว"
นรกขุมนี้มีกำแพงพิเศษทั้งข้างล่าง ข้างบน และทั้ง ๔ ด้านปิดหนา ท่านได้ฌานเวลาลงต้องลงทางปล่อง จะเห็นพระเทวทัตยืนอยู่ เบื้องบนด้ามหอกฝังอยู่กำแพงด้านบน ปลายหอกเสียบตั้งแต่หัวพระเทวทัตทะลุตูดและลงไปปักอยู่กับกำแพงด้านล่าง ด้านหน้าด้ามหอกติดอยู่กับกำแพงด้านหน้า ตรงกลางหอกติดอยู่ที่อกพระเทวทัต ด้านปลายหอกไปปักอยู่ที่กำแพงด้านหลัง ด้านข้างก็เหมือนกัน ทั้งมือ ทั้งเท้า ทั้งตัว ถูกเสียบด้วยหอกหลายสิบเล่ม ดูร่างกายของท่านไม่ไหวติงเลย ไมใช่ตายแต่ดิ้นไม่ไหวเพราะถูกหอกเสียบตรึงหมด และหอกที่เสียบก็เป็นเหล็กแล้วก็เป็นไฟ กระดูกของท่านแดงฉานเหมือนกับเหล็กที่ถูกไฟเผาไหม้จนสุก และไฟก็พุ่งเข้ามาทั้ง ๖ ด้าน ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้สิ้นเวลา ๑ กัป ถ้าทำบาปพอดิบพอดีสำหรับลงนรกขุมนี้ แต่ถ้าทำบาปเลยพอดีพอครบ ๑ กัปแทนที่จะผ่านขุมนี้ไปได้ก็ต้องเสวยทุกข์ในนรกขุมนี้ต่อไปอีกเป็นกัปๆ นับเป็นกัปๆ อย่างเทวดา เทวดาที่ทำบุญเลยพอดี เขาเกิดเป็นเทวดาตั้ง ๖๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง แต่อายุของเทวดา ๑,๐๐๐ ปีทิพย์บ้าง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์บ้าง มันไม่ถึงกัป ก็ตายจากเทวดาปั๊บแล้วก็เกิดเป็นเทวดาปุ๊บทันที เสวยสุขต่อไปในความเป็นเทวดา.."

เรื่องที่ ๑๖๕ ตายจากพระสงฆ์ที่บวชมา ๓๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก


"..พระทรงสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณ วัดอยู่ฝั่งพระนคร ที่ท่านยายกับท่านแม่ชอบนิมนต์มาเทศน์ และก็เป็นพระองค์เดียวกับที่ท่านว่าเรื่องนรกที่อาตมานำมาเล่าให้ท่านยายฟัง เป็นเรื่องโกหกพกลม ท่านบอกว่า "บวชพระมา ๓๐ ปีเศษแล้วไม่เคยเห็นนรกสักนิด" อาตมาจึงไม่เคารพท่าน เนื่องจากท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรกว่าเขาทำผิดอะไรมาจึงลงนรก อาตมาก็เลยต้องไปดูนรกเป็นประจำ เมื่อทราบข่าวท่านเจ้าคุณตาย ท่านยายไปเยี่ยมศพ อาตมานั่งเล่นที่ชานบ้านซึ่งอยู่ริมนํ้า มีลมพัดเย็นสบาย ใจก็เลยคิดว่า ท่านเจ้าคุณตายแล้ว ท่านจะไปอยู่ที่ไหน จะไปถามท่านลุงดู อาตมาจึงนึกถึงพระองค์ยิ้ม รูปสวย องค์ที่เคยมาหา พอภาวนาว่า "พุทโธ" ๓ คำ ท่านก็มาหาและยิ้ม จึงกราบเรียนท่านว่า "ผมอยากไปดูนรก" ท่านยิ้มอีกครั้ง ปรากฏว่าอาตมาอยู่บนยอดเขาที่เคยไป เมื่อไปถึงก็นึกถึงท่านลุง ท่านลุงก็มาหาถามว่า "หลานต้องพบทำไม" บอกท่านว่า "ได้ข่าวพระตาย ๑ องค์มีชื่อว่า......." ท่านลุงก็บอกว่า "เขาตัดสินแล้วขณะนี้อยู่ในอเวจีมหานรก" ถามท่านอีกว่า "พระตกนรกด้วยหรือ" ท่านตอบว่า "พระตกนรกเป็นประจำ เพราะพระบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระ ก็ต้องตกนรก" ถามท่านว่า "พระเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก" ท่านตอบว่า "ก็พระดีแต่สอนชาวบ้านแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดีแต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมด และก็มีโทษหนักมาก"

อาตมาบอกท่านลุงว่า "ผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ"ท่านยกมือขึ้นเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่าภาพอเวจีมหานรกมาปรากฏใกล้ตัวท่น และภาพท่านเจ้าคุณปรากฏดังนี้
๑) ยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบน ปักติดอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ปลายด้ามหอกติดเพดาน หัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น
๒) มีหอกปักด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้ามตรึงติดกำแพงเหล็ก
เป็นอันว่ามีหอกปักตรึงจนขยับเขยื้อนไม่ไหว และมีเปลวไฟละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุม พุ่งมาเผาตลอดเวลา

ถามท่านลุงว่า "ท่านเจ้าคุณมีโทษอะไร" ท่านลุงเรียกให้ท่านเจ้าคุณขึ้นมาหา ปรากฏว่าเครื่องพันธนาการหลุดหมด ไฟดับ ท่านเดินขึ้นมาเห็นอาตมาเข้า ท่านกล่าว "ขออภัย" ท่านลุงบอกว่า "การขออภัยขณะนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะโทษที่เหยียดหยามผู้ทรงฌานถูกตัดสินแล้ว" ท่านเจ้าคุณบรรยายเรื่องที่ท่านทำผิดเมื่อตายแล้วลงอเวจีมหานรกให้ฟังดังนี้

๑) เมื่อบวชแล้วไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สมถะ วิปัสสนา ไม่เคยสนใจ ผิดความหมายของพระ ด้วยพระเป็นสรณะที่พึ่งระดับ ๑ ใน ๓ ระดับ เมื่อทำตนไม่สมควรเป็นพระจัดเป็นความผิด คือเป็นคนลวงโลก หลอกชาวบ้านว่าเป็นพระ เอาเปรียบชาวบ้าน
๒) ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว ไม่ยอมประพฤติตามธรรม มุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน เป็นทางนำทรัพย์สินให้เกิดแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์สินนั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา เอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ให้กู้ อันเป็นวิสัยของฆราวาส พระท่านห้ามไม่ให้ทำแต่ฝืนทำ
๓) เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศ คิดว่าตัววิเศษ แม้แต่ผู้ทรงฌาน ท่านพูดแล้วก็ชี้มาที่อาตมา ก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยาม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
๔) ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจก็ต้องใหญ่ มีลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งก็ต้องเสียเงินตามอัตรา เวลามาขอยศขอตำแหน่ง ก็ต้องหาพานมาประเคนมีแบงก์ใบใหญ่ๆ เวลานิมนต์เทศน์ต้องติดเงินก้อนใหญ่ๆ ท่านก็เลยกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ มีลูกหนี้ใหญ่ๆ คือมีเงินให้กู้มากๆ มีทองจำนำเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ๆ ก็เลยตกนรกขุมใหญ่ มีความทุกข์ทรมานใหญ่

อาตมาถามท่านเจ้าคุณว่า "ขณะนี้มีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเป็นเครื่องยืนยันบ้าง"ท่านตอบว่า "ตามที่คณะกรรมการสำรวจสิ่งของที่ได้แล้วขณะนี้ มีดังนี้
๑) มีเงินสดอยู่ ๗๓,๐๓๒.๗๕ บาท
๒) ทองคำที่รับจำนำไว้ ๓๕ บาท
๓) ทองคำที่ซื้อไว้เองเพื่อเตรียมหมั้นสาวน้อย เจ้าของร้านขายของมีนํ้าหนัก ๕๐ บาท
๔) ของที่คณะกรรมการตรวจพบไม่ได้ คือเงินที่ชาวบ้านกู้ไปอีก ๔ หมื่นบาทเศษ อันนี้ไม่มีหลักฐาน"
อาตมาถามท่านเจ้าคุณว่า "ของที่ว่ามีขณะนี้อยู่ที่ไหน"
ท่านตอบว่า "คณะกรรมการควบคุมไว้"
ถามท่านอีกว่า "วันนี้คุณยายไปเยี่ยมศพท่าน คุณยายจะทราบเรื่องนี้ไหม"
ท่านตอบว่า "ทราบ เพราะกรรมการเขียนทรัพย์สินที่ค้นได้ใส่แผ่นกระดาษประกาศไว้"
๕) ที่เป็นกรรมหนักก็ในฐานะที่ท่านเป็นพระปลอม คือบวชแต่ตัวและมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดีเป็นพระอริยเจ้ามาไหว้ท่าน ท่านก็เลยทำใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าคุณ กรรมข้อนี้อีกข้อหนึ่งที่ทำให้ท่านลงอเวจีมหานรก
เมื่ออาตมาได้เรื่องแล้วก็ดีใจมาก ลาท่านลุงกลับบ้าน เมื่อคุณยายกลับมา ก็เล่าเรื่องทรัพย์สินเงินทองของท่านเจ้าคุณให้ทราบ คุณยายตกใจมากถามว่า "พ่อเล็กรู้มาได้อย่างไร" เรียนท่านว่า "เมื่อคุณยายไปฝั่งโน้น (คือฝั่งพระนคร ชาวธนบุรีเรียกว่าฝั่งโน้น สมัยนั้นจากตลิ่งชันก็ไปลำบาก ต้องไปเรือยนต์หรือเรือโดยสาร ที่บ้านไม่มีเรือยนต์ เรือโดยสารออกเป็นเวลา วันหนึ่งไม่เกิน ๕ เที่ยว การที่จะแอบอ่านป้ายเอามาบอกนั้นไม่มีทางทำได้แน่) ผมก็ไปสืบทางเมืองนรก พบท่านเจ้าคุณลงอเวจีมหานรก ท่านลุงเรียกขึ้นมาให้เล่าความประพฤติเมื่อท่านมีชีวิต จึงได้ทราบ" เมื่อพูดจบ ท่านยายก็เรียกน้าสมใจที่ไปด้วยให้เอากระดาษที่จดทรัพย์สินท่านเจ้าคุณที่คณะกรรมการเขียนประกาศไว้ ปรากฏว่าตรงกันทุกอย่าง ท่านยายถึงกับเปล่งอุทานว่า "ไม่น่าเลย พระใหญ่พระโตทำไมเลวทรามอย่างนี้ พ่อเล็กไม่เคารพนั้นถูกแล้ว ยายเองเสียอีกยังโง่กว่าพ่อเล็ก"
นี่เป็นมุมหนึ่งของนรก ที่ใครๆ ก็สามารถจะเห็นได้ ถ้าบวชเพื่อความเป็นพระ แต่ถ้าบวชกันเพื่อแสวงหาความรู้มาเป็นอาชีพ หรือเพื่อยศศักดิ์ เพื่อลาภผล เพื่อเป็นเหยื่อล่อสตรีที่เห็นว่าดีว่างาม ท่านก็ไปตามท่านเจ้าคุณองค์นี้ ถ้าบวชแล้วปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะมัง ภันเต" แปลว่า "ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
เป็นอันว่าท่านที่บวชเพื่อเข้าถึงพระนิพพานทุกองค์ เรื่องเห็นนรกสวรรค์เป็นเรื่องกล้วยๆ ไม่มีอะไรหนักเลย.."

เรื่องที่ ๑๖๖ ตายจากพระสงฆ์ที่บวชตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีเศษถึง ๗๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก


"..วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๐.๔๕ น. หลังจากอาตมาเสร็จงานที่ต้องรีบทำ จึงนอนพักพอเริ่มจับอานาปา เห็นท่านลุง (พระยายมราช) มายืนอยู่ใกล้ๆ บอกว่า
"ไปสำนักงานท่านหน่อยสัก ๕ นาทีก็พอ"
ท่านพูดแล้วก็ออกเดิน อาตมาจึงตามท่านไป พอเข้าเขตก็เห็นท่านที่เคยรู้จักยืนอยู่มาก พอเข้าไปใกล้ท่านหนึ่งที่ยืนอยู่ หน้าท่านกลายเป็นยักษ์เขี้ยวโง้ง พอเห็นก็ทราบว่าเป็นยักษ์ปลอม จึงบอกท่านว่า "การเป็นยักษ์ไม่ควรจะเป็นท่าน ควรจะเป็นท่านเวสสุวัณ"
พอพูดจบหน้ายักษ์ปลอมก็หายไปกลายเป็น ท่านสหัมบดีพรหม
อาตมาถามท่านสหัมบดีพรหมว่า "ทำไมท่านจึงกลายเป็นยักษ์ได้"
ท่านบอกว่า "ผมเคยเป็นท้าวเวสสุวัณมาก่อน"

เมื่อเข้าไปในสำนักงานท่านลุง วันนี้แปลกใจเท่าที่เคยเห็นรูปเจ้าหน้าที่ทุกคน แม้แต่ท่านลุงทั้งสองเคยเป็นคนธรรมดา แต่วันนี้เป็นเทวดาและพรหมหมด รูปร่างสวยสะโอดสะองมากใส่ชฎากันหมด อาตมาถามท่านสหัมบดีพรหมว่า "เป็นเพราะอะไร"
ท่านตอบว่า "วันนี้มีจำเลยเหลืองมาก ที่ไปตามคุณมาก็เพื่ออยากจะให้รู้ว่า พวกเหลืองถ้าทำชั่วมีผลตามนี้ เป็นการเตือนคุณด้วยการให้ดูของจริง และเมื่อสอบสวนเหลือง จึงทรงเครื่องและรูปร่างตามความเป็นจริง"

เวลาเดียวกันนั้นได้ยินเจ้าหน้าที่โจทย์ คณะเหลือง ทั้งหลาย คำว่า "เหลือง" ไม่ได้หมายถึงพระสงฆ์ เป็นนักบวชอีกพวกหนึ่งที่ไม่มีธรรมวินัย ทำตนแบบชาวบ้านหลอกลวงเขากิน
สรุปคำสอน และเธอสารภาพตามนั้นว่า หัวหน้าที่ถูกสอบสวนนุ่งเหลืองตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีเศษ ตายเมื่ออายุ ๗๐ ปีเศษ ตายมาแล้วไม่เกินหนึ่งปี รอการสอบสวนอยู่นาน ที่สำนักงานนี้หนึ่งวันของเขาเท่ากับเวลาของเรา ๕๐ ปี เมื่อรอเกือบปีจึงยังไม่ถึงชั่วโมงของเขา

ความประพฤติขณะมีชีวิต
๑) ไม่เคารพพระธรรมวินัย
๒) สะสมทรัพย์สิน ชอบเอาของสงฆ์ (เงินสงฆ์) มาเป็นของตน เขาให้มาสร้าง ๑๐๐ บาท สร้างเพียง ๒๕ บาท นอกนั้นเก็บไว้เป็นของตนเอง (ขโมยเงินสงฆ์)
๓) ไม่เคยให้ใครกู้เงิน แต่ชอบซื้อที่ดินเก็บไว้ขายเมื่อมีราคาแพง
๔) ทำตนเคร่งครัดเรียบร้อยเจริญศรัทธาดี (หน้าเนื้อใจเสือ) คนหลงในมายา (เจ้าเล่ห์) ติดใจทำบุญให้มากๆ ที่อยู่สวยงามเพราะความเป็นคนเจ้าเล่ห์
๕) เป็นนักเทศน์ประกาศธรรม แต่ตนเองไม่เคยทำตามนั้นเลย ประพฤติตัวชั่วช้าตรงข้ามกับคำสอนที่สอนชาวบ้าน เป็นต้น

เป็นอันว่าหัวหน้ารับเรียบร้อยหมดทุกข้อ ท่านลุงเลยไม่ฟังลูกน้องหรืออาจะเป็นคนละสำนัก แต่มีเกรดขนาดเดียวกัน
ท่านลุงบอกว่า ทั้งหมดนี้ไปอเวจีมหานรกหมด เพราะทำกรรมชั่วเป็นอาจิณกรรม.."

เรื่องที่ ๑๖๗ ตายจากพระสงฆ์ทำตัวเรียบร้อยแต่โทษกาเมมีเป็นปกติไปลงอเวจีมหานรก


"..วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๑ เวลา ๐๕.๐๐ น.เศษ ท่านลุง (ท่านพระยายมราช) มาชวนอาตมาไปสำนักงานของท่าน พอไปถึงท่านเรียกชาย ๒ คนให้เข้ามาหา ศีรษะโล้นคล้ายพระแต่ไม่ได้ห่มผ้าเหลือง เมื่อเข้ามาแล้วท่านลุงแจ้งให้ทราบว่า

"เธอเป็นนักบวชแต่ไม่เคารพในระเบียบวินัย ไม่มีความประพฤติตามระเบียบของนักบวช ทำตนเหมือนชาวบ้านที่เลว โทษของเธอทั้ง ๒ คนคือ ลงอเวจีมหานรก"
แล้วท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่นำไป เมื่อเสร็จภาระของท่านแล้ว ท่านลุงออกมาคุยกับอาตมาบอกว่า "ที่ต้องให้มาดูเพื่อจะได้ทราบว่า นักบวชที่ลงนรกมีมาก"
อาตมาถามท่านว่า "สองนักบวชนั้นอยู่ที่ไหน"
ท่านตอบว่า อย่ารู้เลย เขาอยู่สำนักใหญ่เรียนสูงสุดแต่ประพฤติเลวสุด คนที่ติดกระดาษบูชาเขามาก เขาเลยเหลิงทำชั่วทุกประเภท โทษกาเมมีเป็นปกติ โทษหลอกชาวบ้านมีเป็นปกติ ทำตัวเรียบร้อยพูดดีมีเหตุผล แต่ใจเลวที่สุด.."

เรื่องที่ ๑๖๘ ตายจากนักบวชเคยมีฌานสมาบัติในตอนต้นแต่ตอนท้ายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปลงอเวจีมหานรก


"..อาตมานอนภาวนาก่อนฉันเพล ท่านเห็นชาย ๒ ท่านเดินตรงมาหา ท่านหนึ่งเป็นพี่และอีกท่านหนึ่งเป็นลุง ท่านลุงมาทีไรต้องถือหนังสือเล่มใหญ่มาด้วยทุกคราว หนังสือของท่านเล่มนี้มีความรู้ร้อยแปดพันเก้า ดูได้แม้กระทั่งคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว ใช้เวลาที่ถามเป็นเกณฑ์การพยากรณ์ จึงถามท่านถึงคนที่ตายก่อนสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิตร หนึ่งวัน ท่านก็เปิดบัญชีอ่านทันทีว่า "ไปอเวจีมหานรกแล้ว"
ในหนังสือปรากฏมีรูปคนยืนถ่างขาในลักษณะของสัตว์นรกที่เสวยทุกข์ในอเวจีมหานรก
เมื่อถามถึงกฎของกรรม ท่านบอกดังนี้

๑) กรรมหลอกลวงหลายกรณีย์
๒) ปรามาสพระรัตนตรัย
๓) ขุดของสงฆ์เอามาขาย

แม้จะเคยมีฌานสมาบัติในระยะแรกและระยะกลาง แต่ตอนท้ายฌานและญาณสลาย เพราะความเป็นมิจฉาทิฏฐิ.."

เรื่องที่ ๑๖๙ ตายจากพระสงฆ์มีเงินให้กู้ ไม่ผ่านสำนักพระยายมราชลงนรกเลย


"..อาตมามาสอนพระกรรมฐาน เห็นคนถูกโซ่ล่ามคอ ๒ เส้นมีคนนำมา จึงถามว่า "กรรมอะไร" เขาอธิบายกรรมให้ทราบว่า "คนนี้เป็นพระสงฆ์มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัด มีเงินให้กู้ ๔ ล้านบาทและก็มีเงินเก็บ มีซองที่ยังไม่ได้เอาเงินออก เป็นซองคนนั้นจะเป็นพระครู คนนี้จะเป็นเจ้าอาวาส คนนี้จะเป็นเจ้าคณะตำบล"
อาตมาถามว่า "สำนักพระยายมราชสอบสวนแล้วหรือยัง"
ท่านพระยายมราชบอกว่า "เขาไม่ผ่านผมหรอกครับ เขาลงนรกเลย"

พวกลงนรกมี ๒ พวก พวกบาปไม่หนักนักบุญก็พอมี แต่เวลาตายไม่นึกถึงบุญก็ผ่านสำนักพระยายมราชเพื่อสอบสวน เป็นการเตือนให้นึกถึงบุญนั่นเอง กับอีกพวกเป็นพวกบาปหนักจะลงดิ่งไปเลยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เวลาอยู่ในนรกไม่มีเสื้อไม่มีกางเกงใส่ ถูกหอก ดาบ เสียบฟันและมีไฟเผาตลอดเวลา นรกทุกขุมมีไฟแต่จะร้อนมากร้อนน้อยต่างกันเท่านั้น.."

ภาคที่ ๑๔ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดในแดนนรก



11 เรื่องที่ ๑๗๐ ทายกวัดตายแล้วไปลงอเวจีมหานรก


เรื่องที่ ๑๗๐ ทายกวัดตายแล้วไปลงอเวจีมหานรก


"..วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๘.๓๐ น.เศษ อาตมานอนภาวนา พออารมณ์เคลิ้มเห็นท่านลุงทั้งสองท่านมาบอกว่า "ผมมีละครให้ชม" ท่านพูดจบเหมือนลอยตามท่านไปสำนักงานของท่าน พอไปถึงเห็นคนรอการสอบสวนมากตามปกติ แต่มีคนคณะหนึ่งท่านบอกว่า เป็นคณะทายก อยู่คนละเมืองแต่บังเอิญตายระยะใกล้เคียงกัน ท่านเลยเอามาสอบสวนคราวเดียวกัน
ท่านเรียกคนแรกเข้ามาถามว่า "เคยบวชเป็นเณรมาก่อนใช่ไหม" คนนั้นตอบว่า "ใช่" ท่านถามต่อว่า "หลังจากนั้นเมื่ออายุครบบวชพระ ก็มีโอกาสบวชเป็นพระใช่ไหม" ตอบว่า "ใช่"
ท่านถามอีกว่า "เธอเรียนธรรมได้ชั้นสูงใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"
ท่านถามว่า "ต่อมาเป็นครูสอนธรรมวินัยใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"
ท่านถามว่า "เมื่อเป็นครูสอนธรรมวินัย มีลาภสักการะมาก หลงในเงิน เอาเงินสงฆ์ไปใช้ส่วนตัวมากใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"

ท่านถามว่า "ต่อมาเมื่อศิษย์มากขึ้น มีความรู้สึกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าบางอย่างแข็งเกินไปเช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตายแล้ว ถ้าใจชั่วจะไปอบายภูมิ ถ้าใจดีจะไปสวรรค์ เธอดัดแปลงเป็นว่า ตายแล้วสูญ ชาติต่อไปไม่มีใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"
ท่านถามว่า "เมื่อเธอสอนคนเขาแบบนั้นเธอก็ทำตามนั้น คือต่อหน้าคนก็เรียบร้อยเคร่งครัด แต่พอลับหลังคนก็ทำตนสบาย กินเหล้า กินข้าวเวลาคํ่า ทำทุกอย่างเหมือนฆราวาส แต่ทำในที่มิดชิดคนภายนอกไม่รู้ใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"
ท่านถามว่า "เมื่อรวบรวมทรัพย์สินได้เรือนแสนก็สึกจากพระ ไปมีเมียและกลับไปเป็นทายกวัดนั้น พระเกรงใจ ชาวบ้านนับถือเพราะปฏิบัติตนเรียบร้อยเคร่งครัดตามเดิม แต่เงินทำบุญชักเปอร์เซ็นต์จากสงฆ์ประมาณ ๓๐ ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เอาเป็นของตัวใช่ไหม" เธอตอบว่า "ใช่"
ท่านถามว่า "เธอบวชเณร บวชพระ เป็นทายก ลองบอกมาว่าเธอมั่นใจในบุญส่วนใดบ้าง ถ้าเธอมั่นใจในบุญสักอย่างเดียว ฉันจะให้ไปสวรรค์ก่อน"
เธอนั่งก้มหน้าเฉย ท่านเตือน ๓ ครั้ง เธอก็ก้มหน้าเป็นปกติ
ท่านบอกเจ้าหน้าที่ว่า "หมดภาระของฉันแล้ว เอาไปมอบให้นายนิรยบาลเขา เขาจะเอาไปไหนเป็นเรื่องของเขา"

ท่านลุงบอกอาตมาให้มองตามเขาไป จะได้รู้ว่าเขาเอาไปไหน ปรากฏว่าเอาไปไว้ในสถานที่เดียวกับพระเทวทัต คืออเวจีมหานรก มีหอกพุ่งมาเสียบจนไม่มีที่ขยับกาย ไฟพุ่งมาทุกทิศ น่ากลัวมากและน่าหวาดเสียว.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2011, 17:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๑๕ ปกิณกะ


1 เรื่องที่ ๑๗๖ การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย

2 เรื่องที่ ๑๗๖ การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย

3 เรื่องที่ ๑๗๒ คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร

4 เรื่องที่ ๑๗๓ คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน

5 เรื่องที่ ๑๗๔ คาถาท่านพระยายมราช

6 เรื่องที่ ๑๗๕ เจ้ากรรมนายเวร



เรื่องที่ ๑๗๖ การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย

"..การอุทิศส่วนกุศลในพระพุทธศาสนาไม่ต้องใช้นํ้า การที่ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นองค์แรกที่อุทิศส่วนกุศลโดยใช้นํ้า ก็เพราะท่านเพิ่งพบพระพุทธเจ้า เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า ถ้าจะให้อะไรกับใคร ต้องให้คนนั้นแบมือแล้วเอานํ้าราดลงไป ท่านยังชินอยู่กับประเพณีของพราหมณ์ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม เพราะใจท่านตั้งตรงเวลาอุทิศส่วนกุศล

เรื่องการกรวดนํ้านี้ สมัยเมื่ออาตมาบวชได้วันที่สอง ขณะเจริญพระกรรมฐานได้มีผีตัวผอมก๋องเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า อาตมาก็สวด "อิมินา ปุญญกัมเมนะ อุปัชฌายา" หมายถึงอุปัชฌาย์ แต่อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย "คุณุตตรา อาจาริยู" ให้คู่สวดอีก คู่สวดก็ยังไม่ตาย ว่าเรื่อยไปยังไม่ทันจะจบเหลืออีกตั้งครึ่งบท เห็นเดินมา ๒ คนเอาโซ่คล้องคอลากผีที่นั่งอยู่ข้างหน้าไปเลย ผลปรากฏว่ายังไม่ได้ให้ผีเลย

พอตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมาฉันข้าว พอฉันเสร็จล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย ปกติฉันเสร็จหลวงพ่อปานท่านจะยถาฯ แต่วันนี้ท่านไม่ยถาฯ ท่านนั่งเฉยมองหน้าถามว่า
"ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ"
ท่านให้แปลอิมินาแปลว่าอย่างไรบ้าง อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย คู่สวดญัตติคือท่านก็ยังไม่ตายมาให้ท่าน ผีที่อยู่ข้างหน้าทำไมไม่ให้

ท่านก็บอกว่า"ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด"

ให้บอกว่า "บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" วันหลังผีตัวใหม่มา ตัวก่อนที่ถูกลากคอไปมาไม่ได้แล้ว ผีตัวใหม่ผอมก๋องเอาทนายมาด้วย ยืนอยู่ข้างหลังนางฟ้าที่มีทรวดทรงสวย เป็นเทวดาใหญ่มากบอกว่า

"ท่านนั่งอยู่นี่ไงล่ะ จะให้ท่านช่วยอะไรก็บอกท่านสิ"ผีผอมก๋องพูดไม่ออกเพราะกรรมมันปิดปาก อาตมานึกขึ้นมาได้ ถ้าขืนให้อยู่นานเดี๋ยวโซ่คล้องคอลากไปอีก จึงอุทิศส่วนกุศลให้ตามที่หลวงพ่อปานสอน จึงบอกว่า
"ตั้งใจโมทนาตาม ทีหลังมา ข้าไม่ให้พูดแล้วข้าให้เลย"

พอว่าจบผีผอมก๋องก็ก้มลงกราบ กราบไปครั้งแรกลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม พอกราบครั้งที่สามลุกขึ้นมา คราวนี้ชฎาแพรวพราวเช้งวับไปเลย

การได้รับส่วนกุศลนี้ ขึ้นอยู่กับท่านนั้นมีโอกาสโมทนา ท่านก็ได้รับ แต่ถ้าท่านนั้นไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้รับ เปรียบเหมือนเราเอาสิ่งของไปให้ แต่ผู้รับเขาไม่รับ เขาก็จะไม่ได้ของ ถ้าพวกเขาอยู่ในนรก ไฟไหม้ทั้งวัน ถูกสรรพาวุธสับฟันทั้งวัน ถ้าเราเอาขนมไปให้กิน เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้กินขนม ปรทัตตูปชีวีเปรตเป็นเปรตระดับที่ ๑๒ แบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่มีกรรมบางอยู่ข้างหน้า เราอุทิศให้แผ่กระจายเขาโมทนาได้ แต่พวกที่มีกรรมหนาอยู่ข้างหลัง ให้แผ่กระจายนี่เขาโมทนาไม่ได้ ถึงแม้จะมีสิทธิ์โมทนาก็ตาม เขาก็ไม่มีโอกาส พวกปรทัตตูปชีวีเปรตมายืนอยู่นานไม่ได้ ส่วนสัมภเวสีก็มีความหิวแต่อยู่นานได้ จึงต้องให้เจาะจงเฉพาะตรง ถ้าไม่ให้ตรงเฉพาะก็รับไม่ได้เพราะกรรมหนัก ฉะนั้นการอุทิศส่วนกุศล เวลาจะให้ ให้ว่าเป็นภาษาไทยให้เรารู้เรื่องและให้สั้นที่สุด

การอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลต่างๆ ที่ตายไปแล้ว ถ้านึกได้ออกชื่อเขาก็ดี เพราะถ้ากรรมหนาอยู่นิด ถ้าออกชื่อเจาะจงเขาก็ได้รับเลย ถ้านึกไม่ออกก็ว่ารวมๆ "ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี" ถ้าขืนไปนั่งไล่ชื่อน่ากลัวจะไม่หมด มีอยู่คราวหนึ่งนานมาแล้วไปเทศน์ด้วยกัน ๓ องค์ บังเอิญมีอารมณ์คล้ายคลึงกัน วันนั้นทายกนำอุทิศส่วนกุศลออกชื่อคนตายกับบรรดาญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ปรากฏว่าบรรดาผีทั้งหลายก็เข้ามาเป็นหมื่นล้อมรอบศาลา คนที่เป็นญาติก็โมทนาแล้วผิวพรรณดีขึ้น พวกที่มิใช่ญาติก็เดินร้องไห้กลับไป ตอนท้ายมีคนถามถึงการอุทิศส่วนกุศลว่าทำอย่างไร

พระองค์หนึ่งท่านเลยบอกว่า "ญาติโยมที่นำอุทิศส่วนกุศล อย่าให้ใจแคบเกินไปนัก อย่าลืมว่าการทำบุญแต่ละคราว พวกปรทัตตูปชีวีเปรตก็ดี พวกสัมภเวสีก็ดี จะมายืนล้อมรอบคอยโมทนา แต่ถ้าเราให้แก่ญาติ ญาติก็จะได้ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติก็จะไม่ได้ ฉะนั้นควรจะให้ทั้งหมดทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ"

และตอนที่พระให้พร เจ้าภาพและทุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว มีการถวายสังฆทานก็ดี การเจริญพระกรรมฐานก็ดี ควรตั้งจิตอธิษฐานตามความประสงค์ การตั้งจิตอธิษฐานเรียกว่า "อธิษฐานบารมี" ถ้าท่านตั้งใจเพื่อพระนิพพานก็ต้องอธิษฐานเผื่อไว้ โดยอธิษฐานว่า

"ขอผลบุญทั้งหมดนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะไปเกิดใหม่ในชาติใดก็ตาม ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า"

ถ้าเราต้องการอะไรให้มันมีทุกอย่าง จะไม่รวยมากก็ช่าง เท่านี้ก็พอแล้ว
การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปีๆ บุญก็ยังมีอยู่ ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็กินคนเดียว ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร

ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า"สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม"
ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า "ไม่ยุบ"
แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า
"การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป"
ท่านพระยายมราชได้มาบอกอาตมาเรื่องการอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า

"ที่สำนักท่านพระยายมราชจะหยุดทำงานเรียกว่า "หยุดนรกการ ๓ วัน" คือ วันออกพรรษา วันปวารณา และวันรุ่งขึ้น รวมเป็น ๓ วัน วันมหาปวารณาเป็นวันสำคัญท่านไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวน ตามปกติเขามีอิสระอยู่แล้วจะไปไหนก็ได้ แต่ถึงเวลาสอบสวนก็จะมาเองเพราะกฏของกรรมบังคับ คนที่มาคอยอยู่ที่นี่จะมีโอกาสพ้นนรกหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ถ้าบรรดาญาติฉลาด หมายถึงทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้ตรงเฉพาะคนเดียว โดยเอ่ยชื่อ นามสกุล อย่าให้คนอื่น เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้ายสัมภเวสี"

อาตมาจึงถามว่า "ทำบุญอะไร พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูงและมีความสุขมาก"ท่านตอบว่า "แดนใดที่ไม่มีบุญทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายความว่าพระสงฆ์ที่เราไปทำบุญนั้น เป็นพระแค่ศีรษะกับห่มผ้าเหลือง ไม่ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบถ้วนเรียกว่า"สมมติสงฆ์" อย่างนี้ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายเขาก็ไม่ได้รับ ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญน้อย ผู้รับก็มีอานิสงส์น้อยมีความสุขน้อย ทำบุญในเขตที่มีอานิสงส์ใหญ่ ผู้รับก็มีอานิสงส์มากได้รับผลบุญมากก็มีความสุขมาก และการสร้างบุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นอยู่กับสร้างดีก็ได้บุญ ถ้าสร้างไม่ดีก็ได้บาป หมายถึงก่อนจะทำบุญก็กินเหล้าก่อน พอพระกลับก็กินเหล้ากันอีก แต่ถ้าหากตั้งใจทำบุญโดยมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีบาปมีแต่บุญ อย่างนี้ผู้สร้างบุญก็ได้บุญเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คือบุญนี่จะต้องได้แก่ผู้สร้างบุญก่อน แล้วผู้สร้างจึงจะอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นได้"

ท่านจึงบอกว่า "สังฆทานดีที่สุด" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ไปคอยการสอบสวนที่สำนักท่านเท่านั้น อย่างสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ตายแล้วลงนรกทันที ท่านก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน

อาตมาจึงถามท่านว่า "ทำอย่างไรความแน่นอนจึงจะปรากฏ ท่านจึงจะช่วยได้"ท่านก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลูกหลานอาตมาคือลูกหลานของผม"
ให้บอกลูกหลานว่า "เวลาทำบุญเสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย"
ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอกท่านว่า

"ถ้าบุคคลนั้นยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย หากว่าพบเธอผู้นั้นเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น"
เพราะไม่แน่นัก เนื่องจากขณะที่มีชีวิตอยู่คนเราทำทั้งบุญทั้งบาป เวลาตายไปแล้ว ถ้าไปอยู่ที่สำนักท่านพระยายามราช บางทีกรรมบางอย่างมันปิดปาก เวลาถามถึงเรื่องบุญทำให้นึกไม่ออกตอบไม่ได้ หากว่าท่านถามถึง ๓ ครั้งยังนึกไม่ออกอีก ก็ต้องปล่อยให้ลงนรกไป แต่ถ้าเวลาอุทิศส่วนกุศลขอให้ท่านเป็นพยาน เพียงแค่นี้

พอโผล่หน้าเข้าไปท่านก็จะประกาศว่า
ที่เคยขอให้ท่านเป็นสักขีพยาน และท่านก็จะประกาศกุศลนั้นบอกให้โมทนา ก็จะไปสวรรค์เลยโดยไม่ต้องมีการสอบสวน.."

คำอุทิศส่วนกุศล
"อิทัง ปุญญะผะลัง" ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรกนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร หลวงปู่โตท่านมาบอก และบทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน ท่านพระยายมราชท่านมาบอก มีดังนี้
ท่อนที่สอง
และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
ท่อนที่สาม
และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ท่อนที่สี่
ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.

เรื่องที่ ๑๗๒ คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร

"..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ
๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"
แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ

๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก
ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."

เรื่องที่ ๑๗๓ คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน


"..ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ "คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต" สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรับตำรา ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่าคนนั้นตายแล้วตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช
๒) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔) เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เช่นของที่เราเคยให้ทาน หรือวัดที่เราเคยทำบุญ พระที่เราเคยไหว้จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่าสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างนี้ ก็จะไปเกิดบนสวรรค์คือไปสู่สุคติ

ตามที่หลวงพ่อปานเขียนมาอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ต้องการพิสูจน์แต่ได้ไปประสบเข้าโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ "จวน" นามสกุลจำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เวลานั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกณฑ์คนไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น คุณจวนก็ไปทำงานที่นี่ด้วย เมื่อเลิกสงครามก็เลิกทำงาน กลับมาก็ปรากฏว่าเป็นโรคไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรคคือเป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด

วันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พอดีกลับมามีคนเขาบอกว่า "จวนป่วยหนัก" ประมาณ ๔ โมงเย็น อาตมานิมนต์พระไปเป็นเพื่อนอีก ๔ องค์ ที่นำพระไปด้วยก็คิดว่าคนป่วยหนักถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นกุศลคนนั้นจะไปสวรรค์

พอไปถึงคุณจวนก็อาการหนักจริงๆ หายใจช้าๆ แล้วก็เบาลงๆ อาตมาไปนั่งข้างๆ เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม" ท่านเหลียวหน้ามาพยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก จึงถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง"
ท่านก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า"

ท่านก็แสดงอาการหวาดกลัวไฟมาก เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่าท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตอย่างนี้ถ้าเห็นตายแล้วไปนรกทันที
ก็คิดอะไรไม่ถูกจึงถามว่า "จวน ภาวนาว่า พุทโธ ได้ไหม"
เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"
อาตมาจึงหันไปถามภรรยาท่านว่า "มีสตางค์ไหม"
เธอก็ตอบว่า "มี"
ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม"

เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้ อาตมาก็นำไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือแล้วบอกว่า
"จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตาย หรือไม่ตายนั้นไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกับพระ ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ ให้คิดว่าของต่างๆ ในวัดทั้งหลายที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ก็ดี เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ดี หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"

ท่านก็พูดเบาๆ ตามแล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระ ๔ องค์ว่า "คุณทั้งหลายถ้าเห็นชอบให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของท่านสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
ท่านก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"
ถามว่า "เห็นภาพอะไร"
ท่านบอก "เห็นภาพพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค" เพราะว่าท่านเคยบวชที่วัดบางนมโคและก็ไปทำวัตรเป็นประจำ
ถามว่า "เห็นชัดไหม"
ท่านก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"

เลยบอกว่า "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
แทนที่ท่านจะนึกในใจกลับออกเสียงว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ" เบาๆ ว่าไปสัก ๓-๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลงแต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย
ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
ท่านตอบว่า "เห็นพระ"
ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
ท่านก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างใหญ่กว่าเดิมมาก"
เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงว่าเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็นคือภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"
ท่านยิ้มนิดหนึ่งแล้วบอกว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระท่านก็ชี้บอกว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"

จึงถามว่า "เวลานี้ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"ท่านก็ตอบเบาๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"
ก็ไม่ต้องรบกวนให้เหนื่อยต่อไปจึงบอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ"
ท่านก็ภาวนาเบาๆ ว่า "พุทโธๆ ๆ ๆ"
ในที่สุดก็เงียบไปพร้อมกับคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก
รวมความว่าท่านตายคู่กับพุทโธ
เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายมีจริง อาตมาพบมาเองหลายสิบราย และวิธีแก้ก็มีวิธีเดียวคือวิธีนี้ เพราะว่าเวลานั้นอย่างอื่นมันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญเขาไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่าเป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ
เป็นอันว่ามนุษย์เราที่ตาย ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดีและถูกตัดรอนเพราะกฎของกรรมก็มี.."

เรื่องที่ ๑๗๔ คาถาท่านพระยายมราช


"..เมื่อปี ๒๕๐๘ หลวงพ่อสำเภา อยู่วัดสะพาน ตรงข้ามกับจังหวัดชัยนาท ท่านเป็นหมอรักษาโรค เป็นพระที่มีรายได้ดี หมายความว่าท่านไม่ได้คิดเงินคิดทอง แต่คนโน้นให้บ้าง คนนี้ให้บ้าง เวลานั้นค่าของเงินสูง ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๒๐ สตางค์ วันหนึ่งท่านได้ประมาณ ๘๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ๒,๐๐๐ บ้างก็มี หลวงพ่อสำเภาท่านมีความต้องการจะหาพระมาสอนพระกรรมฐาน ก็ให้คุณเสริมศรี ส่งศิริมาติดต่อ ทีแรกก็ไปเช้าแล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับ ต่อมาท่านนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดท่าน จึงไปจำพรรษาที่นั่นช่วยสอนพระกรรมฐาน ก็พอดีได้ตำรา "มโนมยิทธิ" ของท่านอาจารย์สุข ซึ่งเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดมาสอน เป็นการสอนเต็มกำลัง ไม่เกิน ๑๐ นาทีทุกคนสามารถท่องเที่ยวไปตามภพต่างๆ แบบสบายๆ ไปเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็ได้

หลวงพ่อสำเภาท่านเป็นโรคชนิดหนึ่งคือ เวลาเป็นขึ้นมามันแน่นเสียดหน้าอก มันแน่นถึงกับทะลึ่ง วันหนึ่งหลวงพ่อกำลังนอนอยู่ ท่านพระยายมราชท่านมาบอกว่า
"โรคอย่างท่านสำเภานี่ ผมมีคาถาจะรักษา แต่คาถานี้รักษาโรคไม่หายนะ กันไม่ให้ตายก็ไม่ได้ แต่สามารถระงับทุกขเวทนาได้ ถ้ามีทุกขเวทนาหนักๆ อย่างท่านสำเภานี่ คุณไปเป่าที่หัว ประเดี๋ยวเดียวก็ระงับ คาถานี้ให้ว่า "นะโมพุทธายะ" เวลาก่อนจะว่าให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์เสียก่อนและนึกถึงท่านพระยายมราชด้วย"

ต่อมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อสำเภาท่านก็ป่วย ท่านแช่ม ที่เป็นลูกศิษย์ก็วิ่งมา บอกว่า "หลวงพ่อสำเภาป่วย กำลังทะลึ่งพรวดๆ" พอเข้าไปถึงเห็นเข้าก็ตกใจ ท่านแน่นหน้าอกเสียดจนทะลึ่งพรวดๆ ขึ้นมา ก็เลยช่วยกันจับเอาศีรษะท่านมาวางบนตักแล้วก็เป่าโดยนึกในใจ อาตมาบอกท่านแช่มจุดธูป ๕ ดอก บอกท่านพระยายมราช อาตมาก็นึกในใจเฉยๆ แต่ไม่ได้เป่าพรวดๆ พอเริ่มนึกในใจเพียงแค่วินาทีเดียว อาการทุกขเวทนาของท่านก็หยุด ท่านนอนสงบ อาตมาก็ให้นอนอย่างนั้นและนึกเป่าในใจอยู่อย่างนั้นประมาณสักครึ่งชั่วโมง เห็นท่านสงบสงัดดีแล้ว ก็ค่อยๆ เอาศีรษะวางบนหมอนแล้วลุกมาข้างนอกประเดี๋ยวเดียว มีเสียงว๊ากอีกแล้วทะลึ่งพรวดอีกแล้ว จึงกลับเข้าไปใหม่ ทีนี้เป่าไม่เลิก

คือไม่ได้เป่าพรวดๆ นึกในใจเฉยๆ ว่า "นะโมพุทธายะ" ว่าช้าๆ สบายๆ นึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์และนึกถึงท่านพระยายมราชด้วย ขอให้ระงับทุกขเวทนา
ต่อมาถึงเวลาใกล้จะเพล ท่านสำเภาลืมตาขึ้นมาถามว่า "เหลือเวลาอีกกี่นาทีจะเพลครับ" ท่านพูดเสียงเป็นปกติ แหงนดูนาฬิกาก็เลยบอกท่านว่า "เวลานี้เหลือ ๓ นาทีจะเพลแล้วครับ" ท่านก็บอกว่า "ถ้าเพลแล้วผมขอลาครับ" พอเสียงตีกลองเพลตึงๆ ๆ ปรากฏว่าหลวงพ่อสำเภาลืมตาปั๊บแล้วก็หลับตาปั๊บ ตายไปเลย

เป็นอันว่าคาถาบทนี้อาตมาไม่หวงนะ ถ้าท่านผู้ใดต้องการจะระงับทุกขเวทนาของใครที่ป่วยไข้ไม่สบายมีทุกขเวทนามาก ให้จุดธูป ๕ ดอก จุดเทียน ๑ เล่ม ถ้ามีดอกไม้ก็ใช้ด้วย ถ้าบังเอิญในสถานที่นั้นไม่มีธูป ไม่มีเทียน ไม่มีดอกไม้ ก็ไม่เป็นไร ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ถึงแม้สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่ทว่าต่อไปจะเป็นพระพุทธเจ้า และให้นึกถึงท่านพระยายมราชด้วย แล้วเป่าที่ศีรษะ นั่งทางด้านเหนือศีรษะของผู้ป่วย นึกขอให้ทุกขเวทนาระงับไป และจงอย่าลืมว่าคาถาบทนี้รักษาโรคไม่หาย กันตายก็ไม่ได้ แต่ว่าระงับทุกขเวทนาได้.."

เรื่องที่ ๑๗๕ เจ้ากรรมนายเวร


"..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจแต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม

ฉะนั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้น สุกขวิปัสสโก ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโช ขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังประกอบเรื่องนี้
เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขณะที่อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคนมาโมทนาบุญ พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชายคนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน"

อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้างจองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีตนับเป็นสิบๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย" เป็นคู่สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมาเก่งดาบสองมือทุกชาติ ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลากินข้าวก็บอกว่า "พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่" วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน

อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"

เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง เรื่องของกรรมหนักๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่างๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญหนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป ด้วยการปฏิบัติดังนี้

๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน

เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2011, 17:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ ๑๖ ประตูไปสวรรค์ พรหม นิพพาน


1 เรื่องที่ ๑๗๗ ศีลบริสุทธิ์

2 เรื่อง..สมาธิ

3 เรื่อง..ปัญญา


เรื่องที่ ๑๗๗ ศีลบริสุทธิ์


"..พระธรรมนี่พระสงฆ์นำมาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ายอมรับนับถือเป็นส่วนตัวก็สามารถจะพ้นนรกได้แน่ นอนชาตินี้ แต่ชาติต่อไปเราก็ไม่แน่ แล้วการที่จะคิดว่าชาติต่อไปเราอาจจะเกิดเป็นคน เราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์ต่อไปนี่ไม่แน่นอนนักเพราะการเกิดแต่ละชาติเราไม่ได้รับแต่ผลของความดีฝ่ายเดียว เป็นการรับผลทั้งความดีและความชั่ว จะเห็นว่าคนที่เกิดมาแล้วนี้ไม่ใช่มีความสุขอย่างเดียว อารมณ์ที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ก็มีอยู่ หรือไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว อารมณ์ที่เป็นสุขก็มีอยู่ ขณะใดที่อารมณ์ความเป็นสุขเกิดขึ้น ขณะนั้นถือว่ารับผลของกุศลเก่า คือบุญเก่าที่เราทำไว้แล้วในชาติก่อนๆ มาสนองเรา เราก็มีความสุข

ผลของทานเป็นปัจจัยให้ได้ลาภสักการะ
ผลของการรักษาศีลให้เกิดความสุขหลายๆ ประการ
ผลของการเจริญภาวนาและศึกษาธรรม เป็นเหตุให้เกิดปัญญามีความฉลาด
ถ้าผลของความทุกข์ ผลของปาณาติบาต ทำให้คนมีอายุสั้นพลันตาย
ผลของอทินนาทาน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ผลของกาเมสุมิจฉาจาร ทำให้ลูกหรือบุคคลในปกครองว่ายากสอนยาก ไม่อยู่ในโอวาท แนะนำอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง
ผลของมุสาวาท เกิดมาชาตินี้ในระหว่างนั้นให้ผล พูดดีเท่าไรก็ไม่มีคนอยากรับฟัง
ผลของการดื่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคปวดศีรษะไม่หาย หรือเป็นโรคเส้นประสาทหรือว่าเป็นโรคบ้า

ทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นผลจากความดี หรือความชั่วในชาติก่อน ที่ยังตามมาสนองเรา ถ้าบังเอิญเกิดในชาตินั้นยามจะตาย ผลของอกุศลก็ครอบงำจิตพอดี เราก็ลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระอริยสงฆ์ ทั้งนี้เพราะความมั่นคงของจิตไม่มี ถ้าความมั่นคงของจิตมีต้องปฏิบัติในธรรม ให้ธรรมทรงตัวทรงใจ หมายความว่า การจะพูดก็ดี การจะทำก็ดีการจะคิดก็ดี อยู่ในขอบเขตของพระธรรม เพราะว่า พระธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราปฏิบัติในด้านของความดี และก็พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนก็ทรงสอนไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ เราจะปฏิบัติกันอย่างไรได้หมด อันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะเป็นเครื่องอัดอั้นตันใจสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเพราะว่าถ้าพูดถึงพระธรรมแล้วไม่รู้จะเอาตรงไหนดี ก็เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสไว้แล้วหลายหมื่นหัวข้อ ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ท่านบอกว่าให้เลือกปฏิบัติตามที่เราเห็นสมควรที่พอจะปฏิบัติได้ เพราะการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากๆ ก็ทราบว่า อัธยาศัยของคนไม่เสมอกัน กำลังใจของคนก็ไม่เสมอกัน อัธยาศัยต่างกันอย่างหนึ่ง กำลังใจต่างกันอย่างหนึ่ง ก็มีความจำเป็นต้องตรัสไว้มาก เพื่อความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกำลังฟังเรื่องการปฏิบัติตนเพื่อให้พ้นนรกคำว่า "นรก" ก็หมายถึงเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ต้องการจะหนีนรกกันแล้วเราก็ปฏิบัติกันอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ในเมื่อปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ก็เอาพระธรรมวินัยที่อยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ก็เอาพระธรรมวินัยที่อยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการมาปฏิบัติไม่ใช่ว่ากันดะไปทั้งหมด พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓ ประการ ก็คือ "ศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ " ถ้าการปฏิบัติศีลห้าครบถ้วน ก็ถือว่าได้ความดี หนีนรกได้แบบหยาบๆ ชาตินี้มีความสุขแต่ความสุขน้อยไปหน่อย ชาติหน้ามีความสุขแน่แต่ด้อยไปนิดหนึ่ง กาลเวลาที่จะถึงนิพพานยังไกลอยู่

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตรัสกรรมบถ ๑๐ ประการให้ปฏิบัติอีกจุดหนึ่งถ้าปฏิบัติได้ในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการด้วย ในศีลห้าด้วยปฏิบัติครบถ้วนตั้งแต่วันนี้ไปจนกว่าจะตาย ความเป็นอยู่ในความเป็นมนุษย์นี่ก็มีทุกข์ยาก ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสุขความทุกข์ก็มีบ้างแต่ไม่หนักนัก ไม่ถึงกับเกิดความเร่าร้อนจุ้นจ้าน แต่ในด้านความสุขนี่มีมาก ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว หากว่าไม่พบพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ในสมัยที่เป็นเทวดาหรือพรหม กลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้งเดียวก็ไปนิพพาน

การที่จะปฏิบัติในศีลห้าก็ดี กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการก็ดี บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ต้องมีหัวข้อขึ้นต้น เพราะกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการนี้มีทั้งศีลและธรรม ศีลห้า นี่ก็มีทั้งศีลและธรรมเหมือนกัน แต่ฝ่ายธรรมะนี่คดๆ อยู่ข้างในมองไม่ค่อยเห็น ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วก็มองไม่เห็น ถ้าใช้ปัญญาจึงจะมองเห็น แต่ว่าปัญญาที่ใช้ต้องใช้ให้ถูกต้อง ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ก็ไม่เห็นเหมือนกัน

เป็นอันว่าเห็นหรือไม่เห็นก็ยังไม่ต้องพูดกัน มาว่ากันถึงว่า หัวข้อคือบทต้น เรียกว่า "หน้าปก" ถือเอกหน้าปกก็แล้วกัน ก่อนที่จะเข้าถึงศีล ก่อนที่จะเข้าถึงกรรมบถ ทั้ง ๑๐ ประการ นี่ว่ากันเฉพาะฆราวาสนะ ถ้าพระหรือเณรมีศีลแค่ ๕ หรือมีกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วนก็ไม่แคล้วอบายภูมิ เพราะว่าสิกขาบทที่จะต้องปฏิบัติมากกว่านี้สำหรับพระหรือเณรให้ปฏิบัติในสิกขาบทของท่านด้วย แล้วก็ต้องมีกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการครบถ้วนด้วย เท่าที่เคยเห็นมาบางที่ท่านก็เผลอ ๆ เหมือนกัน บางท่านก็เผลอในศีล ๕ บางท่านก็เผลอในกรรมบถ ๑๐ หากว่าท่านผู้ใดเผลอในศีลห้าก็ดี เผลอในกรรมบถ ๑๐ ก็ดี พระหรือเณรท่านนั้นโอกาสที่จะขึ้นสู่สวรรค์ไม่มีเลย ทางที่จะไปก็มีทางเดียว คืออบายภูมิ มีนรกเป็นต้น

ขอประทานอภัยเถอะครับ ผมพูดเรื่องนรกอยู่เรื่อย ๆ ก็มีข่าวเข้ามาว่า พระสงฆ์ ซึ่งเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้าหรือว่าสาวกของพระพุทธเจ้านั่นเองในปัจจุบัน

บางท่าน ๆ โกรธท่านบอกว่า "อะไรก็นรก ๆ คนที่เกิดมาก็เลยไม่ต้องไปสวรรค์กัน"
ก็ขอตอบเสียในที่นี้ว่า "คนที่เขาไปสวรรค์นะมีมากนะครับ คนที่ไปพรหมก็มีมากและปัจจุบันคนที่จะไปนิพพานก็มีมาก ที่ว่าจะต้องตกนรกกัน เพราะว่าท่านลืมทางไปสวรรค์ลืมทางไปพรหมโลก ลืมทางไปนิพพาน"

ตอนนี้ก็จะขอเปิดประตูให้พบทางไปสวรรค์ ทางไปพรหมโลก พบทางไปนิพพานซะก่อน เรื่องพระไม่อธิบาย สำหรับพระสำหรับเณรนี่ปฏิบัติอย่างไรไม่อธิบายให้ฟังเพราะท่านเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านต้องไหว้ต้องบูชาอยู่แล้ว ก็ต้องยอมรับนับถือว่า ทุกท่านคงปฏิบัติความดีครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ต้องอธิบายกัน ก็มาพูดกับฆราวาสเพราะฆราวาสมีเวลาน้อยในการที่จะปฏิบัติความดี เพราะต้องทำมาหากิน ไม่เหมือนกับพระกับเณรต้องอาศัยชาวบ้านเลี้ยงชีวิต จิตที่คิดในด้านของความดีมีมาก มาพูดถึงชาวบ้านชาวเมืองกันดีกว่า

"ฆราวาส" ประตูที่จะเปิดเข้าสู่ทางสวรรค์ หรือทางพรหมโลก ทางนิพพานหรือว่าประตู ที่จะเข้าถึงศีลและธรรม มีศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ เป็นต้น และเขาก็ใช้ประตู ๒ บาน
บานที่ ๑ เรียกว่า "หิริ" คือความละอายต่อความชั่ว
บานที่ ๒ เรียกว่า "โอตตัปปะ" คือเกรงกลัวผลของความชั่ว

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า ประตูจริงๆ น่ะมี ๒ บาน ที่จะเข้าถึงศีลกับธรรม บานที่ ๑ เรียกว่า "หิริ" คือความละอายต่อความชั่ว หรือความละอายต่อบาปอกุศล คือบาปอกุศลนี่ถ้าเราไม่อายมันก็โผล่หน้าเข้ามาถึงเรา ในเมื่ออายแล้วก็พยายามหลบบาป หลบอกุศล "อกุศล" นี่แปลว่า ไม่ฉลาด "บาป" นั่นแปลว่าความชั่ว คือหลบความชั่ว หลบความโง่ ไม่ฉลาดก็คือโง่ "โอตตัปปะ" เกลงกลัวผลของความโง่ หรือเกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผลเป็นทุกข์ เพราะความโง่ก็ดี ความชั่วก็ดีนำเราไปสู่อบายภูมิแน่นอน นั่นคือว่า นำไปไหน นำไปนรกบ้าง เบามาหน่อยก็นำไปเป็นเปรต เบามาหน่อยก็นำไปอสุรกาย เบามาอีกนิดก็นำไปเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉานเบากว่านั้นหน่อยก็เกิดเป็นคนที่หาความสมบูรณ์แบบไม่ได้

ก็เป็นอันว่าท่านทั้งหลาย ทุกท่านอันดับแรกตั้งกำลังใจไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะเป็นคนขี้อาย เราจะเป็นคนกลัวอายความชั่ว กลัวความชั่ว แล้วก็ความชั่วที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระพุทธศาสนานี่มามาก อายหมวดไหนกันก่อน

อันดับแรก อายการละเมิดศีลห้า
อันดับที่ ๒ อายการละเมิดกรรมบถ ๑๐
และอันดับต่อไปก็กลัวผลของการละเมิดศีลห้า กลัวผลของการละเมิดกรรมบถ ๑๐ จะให้ผลสนองเรา เพราะการละเมิดศีลก็ดี การละเมิดกรรมบถ ๑๐ ก็ดีมีผลในชาติปัจจุบัน นั่นหมายความว่าจะสร้างความทุกข์ให้เกิดแก่เราอย่างหนัก แต่ว่าถ้าเราอายได้ เรากลัวได้ เราก็สามารถจะดึงเอาศีลห้าก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี มาไว้กับเราตอนนี้เราจะพบกับความสุขอย่างมหันต์ อย่างที่ท่านทั้งหลายจะไม่เคยพบมาในกาลก่อน ชาตินี้มีความสุขหนักและชาติหน้าก็มีความสุขอย่างหนัก และทุกๆ ชาติเราจะมีความทุกข์เล็กน้อยแต่มีความสุขมาก ชื่อว่าทุกข์ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานไม่มีต่อไปอีก
ศีลห้า มีอะไรบ้าง?

ข้อ ๑ ปาณาติบาต พระพุทธเจ้าบอกว่า ทรงให้เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทางที่ดีก็เว้นจากการทรมานสัตว์เสียด้วย
ข้อที่๒ อทินนาทาน ไม่ถือเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม
ข้อที่๓ กาเมสุมิจฉาจาร ให้เว้นจากการละเมิดความรัก คือในสามีและภรรยาของบุคคลอื่น ยินดีเฉพาะสามีและภรรยาของตนเอง
ข้อที่๔ เว้นจากการมุสาวาท คือการไม่พูดให้ตรงตามความเป็นจริง เป็นการทำลายประโยชน์ของบุคคลผู้รับฟัง
ข้อที่๕ เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย เพราะข้อนี้หนักมาก ถ้าเมาเมื่อไหร่แย่เมื่อนั้นจำอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีเห็นว่าพ่อเป็นเพื่อนไปอีก แต่บางคนเห็นว่าพ่อเป็นฟุตบอลไปก็มีเตะพ่อตีแม่ อย่างนี้ก็มี
เป็นอันว่าศีลทั้ง ๕ ประการมีตามนี้ ทีนี้ต่อไปก็มาพูดกันถึงกรรมบถ ๑๐

กรรมบถ ๑๐ นี่จริง ๆ ก็เหมือนกับศีลห้า อยู่มาก แตกต่างกันอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง กรรมบถ ๑๐ ก็คือ
ข้อที่ ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์
ข้อที่ ๒. เว้นจากการลักทรัพย์ (เหมือนศีลห้า)
ข้อที่ ๓. เว้นจากการกาเมสุมิจฉาจาร คือเป็นชู้กับสามีภรรยาเขา (นี่สำหรับทางกาย ทางกายคือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม)

ทางวาจา ท่านจัดไว้ ๔ ศีลห้าจัดไว้แค่ ๑ ทางกายเหมือนศีลห้าเปี๊ยบ ไม่ต่างกันเลย แต่ทางวาจาท่านจัดไว้ ๔
๑."ไม่พูดปด" นี่คือศีลห้า ห้ามแค่นี้ กรรมบถ ๑๐ ห้ามต่อไป "ไม่พูดคำหยาบ" และก็ "ไม่พูดวาจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน" และก็ "ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์" มี ๔
ด้านจิตใจนี่ศีลห้า ไม่ได้บอกไว้ แต่ว่ากรรมบถ ๑๐ บอกไว้ว่าจิตใจ คือ
๑. จงอย่าอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นใดมาเป็นของตน คือไม่ขโมยด้วย และก็ไม่นึกด้วย ศีลห้านี่ไม่ได้ขโมยแต่นึกอยากได้นี่ไม่ผิด กรรมบถ ๑๐ ไม่ขโมยแต่นึกอยากได้ผิด

ต่อไปข้อที่ ๒ ของจิตใจความรู้สึกนึกคิด นั่นก็คือไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญใคร คือไม่จองเวรจองกรรมใคร โกรธน่ะโกรธ แต่ทว่าโกรธแล้วก็หายไป ต่อก็ไม่จองล้างผลาญใคร

แล้วข้อที่ ๓ ด้านจิตใจ มีความเห็นตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไม่ขัดคอพระพุทธเจ้า พูดกันง่าย ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าตายแล้วเกิดเราก็เชื่อว่าตายแล้วเกิด ไม่ใช่ตายแล้วสูญ อย่างนี้เป็นต้น และสวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง เราก็ไม่เถียง เรายอมรับนับถือด้วยปัญญา ถ้าทำบาปอกุศลก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง อันนี้เราก็ไม่เถียง ยอมรับและการปฏิบัติอย่างไรจะให้พ้นจากความทุกข์เสวยแต่ความสุข อันนี้เราก็ปฏิบัติตามอย่างนี้เรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ" มีความเห็นชอบ เป็นข้อที่ ๓ ของกรรมบถ ๑๐ ก็จะไม่พูดยํ้ามาก

ต่อมาก็หันมาดูศีลข้อที่ ๑ ศีลก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี จะอธิบายควบกันไป ถ้าแยกกันนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันจะยืดยาดมากเกินไป คือว่าอันนี้เวลานี้เราเข้ามาปฏิบัติในข้อที่ว่า "วิจิกิจฉา" ข้อที่ ๒ ของสังโยชน์ (ขอนำเอาข้อที่ ๓ มาพูดรวมกัน) ข้อที่ ๒ บอกว่า ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอมปฏิบัติตาม ที่นี้พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน "คำสั่ง" ก็คือวินัย "คำสอน" ก็ได้แก่ธรรมะ

"คำสั่ง" หมายถึงห้ามหรือเตือนว่าจงอย่าทำ จงเว้น"คำสอน" หมายความว่าจงทำตามนี้ จงปฏิบัติตามนี้ จะมีความสุข (ขอนำมารวมกันกับข้อวิจิกิจฉา คือความสงสัยในสังโยชน์ข้อที่ ๒ เอาสีลัพพตปรามาสมารวมกันเลยถ้าไม่รวมกันแล้วยุ่ง ท่านก็ฟังกันยืดยาด ดีไม่ดีฟังกันเดือนก็ไม่จบ)

ก็รวมความว่า เวลานี้เรายอมรับนับถือในพระธรรม ได้แก่ "หิริ" และ "โอตตัปปะ" นี่เป็นอันว่าไม่ฝืนแล้ว อาย อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่ว ไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราอายเรากลัวไม่มีจุดปฏิบัติเราก็ท้อใจมาเริ่มปฏิบัติเริ่มแรก เอากันในเรื่องของศีล สำหรับศีลนี่ข้อไหนเหมือนกับกรรมบถจะบอกว่าเหมือนกัน ข้อไหนที่แยกกันเป็นกรรมบถโดยเฉพาะจะบอกว่านี่แยกกัน เพื่อสะดวกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท.."

คาถามหาเสน่ห์"..คำว่า "เสน่ห์" แปลว่า "ความรัก" ความรักซึ่งกันและกัน เป็นเยื่อใยแห่งความรัก ที่ดึงกำลังใจของบุคคลอื่นให้มารักเรา และก็เราเอง ถ้าคนอื่นเขาทำเราก็รักเขาเหมือนกัน ถ้าต่างคนต่างมีมหาเสนห์ บรรดาท่านพุทธบริษัท โลกนี้จะมีแต่ความสุขจะหาความทุกข์ไม่ได้ความทุกข์จะมีบ้างก็แค่เรื่องของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายมันก็ต้องแก่ มันป่วย เป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ คือร่างกาย แล้วมันก็ตาย เราจะมีทุกข์อยู่บ้างเมื่อความแก่เข้ามาถึง เพราะร่างกายไม่ทรงตัว กำลังไม่ดี ความเชื่องช้าก็ปรากฏก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นมันก็มีความลำบากอยู่บ้าง มีความทุกข์อยู่บ้าง ความตายจะเข้ามาถึงก็มีความทุกข์บ้าง เพราะมีทุกขเวทนามาก แต่นอกจากอาการทั้ง ๓ อย่างนี้แล้ว เราจะมีแต่ความสุข เพราะคนที่มีเสน่ห์มากก็มีคนรักมาก ถ้าเราพบปะสังสรรค์กับสมาคมใด บุคคลใด เราเป็นคนมีเสน่ห์ สมาคมนั้นเขาไม่เกลียด ผู้ที่เกลียดก็คือว่า คนที่มีเสน่ห์ไม่เท่า เขามีเสน่ห์น้อยเกินไปมีคนรักน้อยเกินไป อาจจะมีการอิจฉาริษยากันได้ นี่เป็นของธรรมดา แต่ถ้าพบหน้ากันเข้าจริงๆ บ่อยๆ อาการอิจฉาริษยาก็จะหมดไป เหลือแต่ความรัก คาถามหาเสน่ห์นี่มีอยู่ ๔ ข้อ ๔ คำ คือ

๑. ไม่พูดปด
๒. ไม่พูดคำหยาบ
๓. ไม่พูดส่อเสียด
๔. ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

นี่แหละเป็นคาถามหาเสน่ห์ คำว่า "คาถา" นี่มาจากภาษาบาลี แปลว่า "วาจาเป็นเครื่องกล่าว" ก็หมายถึงคำพูดที่เราพูดไปเอง คำพูดที่เราพูดออกไปนี่ ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า "คาถา" (แต่คนไทยพูดเข้าเลยหาว่าเป็นคาถามหานิยมไปเลย เป็นการเสกคาถาไป) ความจริงไม่ใช่ นี่พระพูด ไม่ใช่หมอไสยศาสตร์ หมอเสน่ห์ลมพูด พระพูดถือบาลีเป็นพื้นฐานเป็นหลัก คาถาในที่นี้ถือว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว คือ คำพูด

อาตมาจำถ้อยคำของท่านสุนทรภู่ไว้ได้ตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า
"คนเราจะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา"
หมายความว่า จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปากพูด เสียงที่พูดออกไป จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา คือลิ้นเป็นเครื่องแต่งเสียง (วันนี้ร่างกายไม่ดีมาก แต่ขอทำงานตามหน้าที่ เพราะปล่อยร่างกายดีก็ไม่ได้พูด ถ้าไม่ได้พูดงานก็ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ ก็ขอพูดทั้งๆ ที่เสียงก็ไม่ดีร่างกายก็ไม่ดี เพลียมากเหลือเกิน )
ก็รวมความว่า คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ปาก การพูด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องการมีเสน่ห์

๑. อย่างพูดปดมดเท็จ แต่คนพูดปดมดเท็จนี่ ถ้าเขาจับไม่ได้มันก็ดี การยอมรับนับถือยังมีอยู่ ถ้าจับคำพูดปดมดเท็จได้เมื่อไรเมื่อนั้นแหละความเป็นที่เคารพนับถือก็ดีความเป็นมิตรสหายซึ่งกันและกันก็ดี ก็ต้องสลายตัวไป เพราะอะไร? เพราะเราเป็นคนทำลายประโยชน์เขา ในเมื่อเราเป็นคนพูดปด คนที่จะคบหาสมาคมด้วยก็หายาก เพราะว่าถ้าพูดกิจการงานกับเขา เขาก็หวังไม่ได้ว่าเราจะพูดตามความเป็นจริง เรียกว่าเราจะต้องเป็นคนมีทุกข์มาก ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย
สำหรับคำพูดปดนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาลองซ้อมดูแล้ว ความจริงข้อนี้ก็เป็นทั้งศีลทั้งธรรมะ ศีลมีแค่พูดปด กรรมบถ ๑๐ ก็เติมพูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ข้อนี้ก็รวมทั้งศีลและก็กรรมบถ ๑๐ ด้วย

สำหรับวาจานี่ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาเคยถามว่าการรักษาศีลห้า ระวังตอนไหน ส่วนมากจริง ๆ บอกว่า หนักใจที่ มุสาวาท เขาว่าเขาจำเป็นต้องโกหก เขาถือว่าจำเป็น อย่างการค้าขายนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าไม่โกหกมันก็ขายไม่ค่อยจะได้บางทีไม่จำเป็นต้องโกหกต้องโกหก เดี๋ยวพ่อค้าฟังแล้วเขาจะเกลียดนี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ความจริงที่ว่าหนักใจก็ได้แก่พวกพ่อค้าแม่ค้า บรรดาท่านสตรีทั้งหลายนี่หนักใจมาก ว่าศีล ๔ ข้อพอรักษาได้ บอกว่าข้อมุสาวาทนี่หนักใจ แต่ความจริงถ้าเราไม่พูดโกหกจะได้ไหม ลองไม่พูดโกหกดู ดูซิจะขายของได้หรือไม่ได้ ของดีเราก็บอกว่า "นี่ของดีจริง ๆ นะ" ไม่หลอกลวงกัน ไอ้ที่ดีขนาดกลางก็บอกว่า นี่ดีขนาดกลาง ไอ้ที่ดีขนาดเลวก็บอกว่านี่ดีขนาดเลว ถ้าถามว่าขนาดเลวทำไมจึงว่าดี ก็เพราะยังเป็นของดีไม่แตกสลายผ้าไม่ขาด ขันไม่แตก แก้วไม่แตก ก็เป็นของดี แต่ว่าอัตราของมันเป็นของเลวหยาบไปหน่อย สวยน้อยไปนิด เนื้อละเอียดน้อยไปหน่อย อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่าดีขนาดเลวเราก็บอกตามความเป็นจริง ข้อนี้หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงคงไม่หนักใจ

มาอีกตอน เรื่องราคาของของ ราคาของของนี่จำเป็นต้องโกหกกัน ถ้าไม่โกหกกันมันขายราคาแพงไม่ได้ แล้วก็มีปัญหาอยู่ว่า สมมุติว่าของชิ้นนี้ในท้องตลาดเขาขายราคา ๑๐ บาท แต่ว่าต้นทุนจริงๆ มันเป็นบาทหรือสองบาทเท่านั้นไม่มาก ถ้ามีคนเขามาขอซื้อเขาขอลด ไม่ใช่ต่อ บอก ๑๐ บาท เขาขอลด ๙ บาทหรือ ๘ บาท ถ้าต่อนั้นหมายความว่าต้องเป็น ๑๑ บาทหรือ ๑๒ บาท คงไม่มีคนซื้อคนใดเขาต่อให้มันสูงขึ้น มีแต่ว่าขอลดลงว่าขอลดลงมาอย่างนี้ ถ้าเราขายไปเราก็เสียราคาท้องตลาด ถ้าขายถูกเกินไปนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่อาตมาเคยพบมา ตอนนั้นยังอยู่วัดประยุรวงศาวาส จะไปเทศน์นี่นครปฐม ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้ามาที่พาหุรัด เพื่อขึ้นรถยนต์ที่นั่น รถโดยสาร ไปเจอะกระเป๋าถือลูกหนึ่งชอบใจ ก็เข้าไปซื้อ ตกลงกับเจ๊กว่าตอนเย็นจะมาเอา เขาปิดราคาไว้ ถามเขาบอกว่า จะเอาไปแต่เอาไปไม่ได้เพราะไปเทศน์จะให้สตางค์ก่อนเอาไหม? เถ้าแก่ก็บอกว่าไม่ต้อง เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน เขาไว้วางใจแต่ว่าพอกลับมาปรากฏว่าของในร้านทั้งหมด เขาเขียนราคาสูงขึ้นไปหมด ราคาเดิมก็ไม่มีสมมุติว่าราคาเดิมเป็น ๑๐ บาท ตอนเช้ามองดูแล้วมันเป็น ๑๐ บาท แต่ว่าตอนเย็นกลับมามันกลายเป็น ๑๓ บาทไป ของบางอย่าง กระเป๋าลูกนั้นประเภทเดียวกัน ถามเขาเวลานั้นค่าเงินมันสูงเขาเอา ๒๐ บาท ตอนเช้าเขียนราคา ๒๐ บาท ในฐานะที่ชอบกันก็บอกว่า"ฉันเอาลูกหนึ่งฉันไม่ขอลดละ เถ้าแกจะลำบากเพราะรู้จักกันดี"

เถ้าแก่เลยบอกว่า"ท่านไม่ขอลดผมจะลดให้ ผมเอา ๑๘ บาท" แต่ตอนเย็นพอมาถึงปรากฏว่ากระเป๋าประเภทนั้นราคาขึ้นไปเป็น ๒๕ บาท ก็เลยถามว่า
"เถ้าแก่ เมื่อเช้านี้มัน ๒๐ บาทน่ะ นี่แค่ตอนเย็นมัน ๒๕ บาท ฉันจะเอาสตางค์ที่ไหนมาซื้อ"
เถ้าแก่ก็เลยบอกว่า "กระเป๋าของท่านอยู่ข้างในครับ ผมไปเก็บไว้ข้างในแล้วราคาผมก็เขียนเท่านี้เหมือนกัน แต่ว่าผมรับสตางค์จริง ๆ แค่ ๑๘ บาท"

ก็ถามว่า "ทำไมจำเป็นต้องขึ้นราคากันตามนี้ด้วยล่า มันไวเกินไป"เถ้าแก่ก็บอกว่า "หลังจากท่านขึ้นรถไปแล้วไม่นานนัก ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษก็มีเจ้าหน้าที่เขามาแจ้งบอกให้ขึ้นราคาของไปเท่านั้นเท่านี้ ต้องขึ้นราคาตามนี้ เขาว่าของขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วกัน ให้ขึ้นราคาของไปอย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องทำตามเขา"

ก็เลยถามว่า "ถ้าเราไม่ขายตามเขาล่ะ เราขายถูกเราจะขายได้ดี เขาขายแพงขายไม่ได้ดี"
เถ้าแก่บอกว่า "ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ขายตามเขา เราขายถูกเขาจะส่งคนมาซื้อหมด เมื่อซื้อหมดแล้วเราก็ไม่สามารถจะหาของราคาเท่านั้นมาขายได้อีก เพราะเขาขายแพงขึ้น"
มันมีความจำเป็นต้องขายตามเขา แต่ในที่สุดท่านเถ้าแก่ก็เอากระเป๋าให้มาแล้วรับเงิน ๑๘ บาทตามเดิม เขามีความซื่อสัตย์ดี แต่ว่าป้ายที่เขียนไว้นั้นเป็นราคา ๒๕ บาท เถ้าแก่แกก็สั่งไว้ว่า "ถ้าใครเขาถามท่านให้บอกว่าเขาขายราคา ๒๕ บาทนะครับ ไม่งั้นผมเสียแน่"

แต่ความจริงอาตมามาถึงวัดคนนั้นถาม คนนี้ถามก็บอกว่า "อย่าบอกราคากันเลยราคาไม่ต้องบอกกัน ป้ายเขาเขียนเท่านี้ก็เชื่อเท่านี้ก็แล้วกัน ผมจ่ายเท่าไรเป็นเรื่องของผมให้ถือว่าป้ายเขาเขียนไว้เท่านี้ก็แล้วกัน"
แต่นั้นมา ถึงญาติโยมพุทธบริษัทที่จะต้องบอกราคาเกิน ความจริงถ้าบอก ของราคา ๒ บาท เราขาย ๑๐ บาท เขาขอลด ๘ บาท แล้วก็บอกว่า

"ไม่ได้หรอก ฉันซื้อมา ๙.๕๐ บาทแล้วนี่ฉันได้ ๕๐ สตางค์เท่านั้นเอง ถ้าจะลดก็ลดได้เพียง ๒๕ สตางค์" อย่างนี้ก็โกหก เป็นมุสาวาท
ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นมุสาวาท? ก็ต้องตอบเขาเฉย ๆ ว่า "ของต้นทุนมันแพงต้องขายเท่านี้ ถ้าจะลดได้ก็ลดได้แค่ ๕๐ สตางค์ หรือ ๒๕ สตางค์ ลดเกินกว่านั้นไม่ได้เพราะต้นทุนมันแพง"ถ้าเขาถามว่า"ต้นทุนแพงราคาเท่าไร"ก็ตอบเฉยๆ ว่า "ของมันหลายชิ้นด้วยกัน ตอบยากเพราะมันต้องเปิดตำรา"เท่านี้ก็หมดเรื่องหมดราว ไม่เป็นมุสาวาท

ก็รวมความว่า คนที่พูดมุสาวาทเป็นคนไร้สัจจะ คนเกลียด แต่พูดตามความเป็นจริง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ไปที่ไหนใครก็ชอบ คนทุกคนต้องการรับฟังวาจาที่ตรงตามความเป็นจริง แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงก็ต้องระวังเหมือนกัน

การพูดตามความเป็นจริงนั้นต้องเลือกเวลา อย่าพูดจนกระทั่งเขามีความเสียหายต่อหน้าประชาชนเกินไป ต้องใช้ปัญญาด้วย

ความจริงข้อนี้เราควรจะพูดที่ไหน แล้วเวลาพูดนั้นเป็นเวลาควรจะพูดแล้วหรือยัง? ถ้าเป็นเครื่องสะเทือนใจของบุคคลผู้รับฟัง เวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดีอย่าเพิ่งพูดความจริง รอเวลาอารมณ์ดีจิตใจเขาสบาย พูดอ้อมหน้าอ้อมหลังไปก่อน เห็นท่าว่าเขาจะยอมรับแล้วก็ไม่โกรธจึงควรพูด ถ้าพูดไปแล้วผู้รับฟังโกรธ บรรดาท่านพุทธบริษัท นั่นหมายถึงความตายจะเข้ามาถึงผู้พูด ตามที่พูดกันว่า "วาจาจริงเป็นวาจาไม่ตาย" แต่คนพูดตามความเป็นจริงอาจจะตายได้ นี่ต้องระวังให้มาก ก็ถือว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เลือกเวลาเหมาะเวลาสม ใช้ปัญญาหน่อย อย่างนี้ถือว่า วาจาเป็นทิพย์ ท่านจะมีความสุขมากในฐานะที่คนทั้งหลายมีความไว้วางใจในท่าน
สำหรับกรรมบถ ๑๐ และศีลข้อนี้อธิบายกันยาว เพราะนี่มันยาวไปหน่อยนะ

ต่อไปข้อหนึ่ง คือ "วาจาหยาบ" วาจาหยาบ เป็นเครื่องสะเทือนใจบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูดเลย แต่ความจริงบางโอกาสก็จำเป็นต้องพูดจำเป็นต้องใช้ แต่ควรใช้เฉพาะบุคคล ที่มีความจำเป็นของเรา อย่างคนที่อยู่ในปกครองจะเป็นลูกหรือจะเป็นใครก็ตามเถอะ เพราะคนเรามีนิสัย ๒ อย่าง คนที่มีนิสัยละเอียด นี่เป็นคนดีมาก คนประเภทนี้ชอบปลอบ และค่อยพูดค่อยจามีเหตุผล รับฟังแล้วปฏิบัติตามคนประเภทนี่พูดหยาบตึงตังโครมครามไม่ได้เสียหายกันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะเธอมาจากสวรรค์ ถ้าบางคนเป็นคนนิสัยหยาบ เธอมาจากอบายภูมิ ถ้าพูดอ่อนโยน อ่อนหวาน เสร็จแก่ขี่คอแน่ คนประเภทนี้ไม่ต้องการวาจาดี ต้องใช้วาจาหยาบ ตึงตัวโครมคราม นี่เฉพาะคนในปกครองของเรา มีความจำเป็นต้องใช้ให้เหมาะกับนิสัย แต่สำหรับกับเพื่อนบ้าน บรรดาญาติโยมทั้งหลาย อาตมาคิดว่าใช้วาจาอ่อนโยนดีกว่า วาจาอ่อนโยนและอ่อนหวานนี้เป็นประโยชน์มาก ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าจะพูดที่ไหนใครก็ชอบจะพูดที่ไหนใครก็รัก

แต่ว่าสำหรับเพื่อนที่คบหาสมาคมกันสนิทก็ไม่แน่นัก บางทีพูดเพราะๆ เข้าแก่ด่าเอาเลย หาว่าดัดจริต ฉะนั้น คำว่า "วาจาหยาบ" นี่ต้องดูเฉพาะบุคคล บางคนถ้าเป็นเพื่อนคบหาสมาคมมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก อาตมาพบท่านๆ หนึ่ง สมัยที่ยังไม่แก่นัก อาตมาก็ยังไม่แก่เกินไปนะเวลานั้น เวลานี้มันหาหนุ่มเกือบไม่ได้อยู่แล้ว มีแรงมาพูดได้ก็บุญตัวเวลานั้นยังไม่แก่เกินไป ไปพบคนๆ หนึ่งเคยเรียนหนังสือชั้นประถมมาด้วยกัน เธอเป็นอธิบดีกรมๆ หนึ่ง พอไปพูดวาจาหวานๆ เข้า แกชักกระชากเสียงว่า "ทำไมต้องพูดอย่างนี้ เมื่อสมัยเป็นเด็กอย่าลืมนะว่าเรียนหนังสือโต๊ะเดียวกัน ความเป็นใหญ่เป็นโต สำหรับเพื่อนรักไม่มีสำหรับเรากับท่าน" เขาว่าอย่างนั้น ว่าเพื่อนกันไม่มีอะไรใหญ่กว่ากัน ห้ามยกย่องสรรเสริญกันแบบนั้น นี่แบบนี้เขาก็มีนะ

แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งเพื่อนกันที่เขาเป็นฆราวาส เขาก็ไปพบเพื่อนของเขาเหมือนกัน คนนี้ออกมาจากโรงเรียนแล้วก็ไม่มีงานราชการทำ เธอไมอยากจะทำ อยากจะทำงานส่วนตัว ก็เดินไปเดินมาแบบพ่อค้าหาบเร่ แต่ความจริงไม่ได้หาบ ติดต่อของที่โน่นเอามาขายที่นี่ ติดต่อที่นี่ไปขายที่โน่น รู้สึกว่ารายได้ดี รายได้ของเธอดีมาก บางวันสมัยนั้นค่าของเงินยังแพงอยู่ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕ สตางค์ บางวันเธอได้กำไรเป็นร้อยๆ นับเป็นร้อยๆ บางวันถึงพัน อย่างไม่ได้เลยก็ ๒-๓ ร้อยบาท นี่แค่เฉพาะกำไร รวยมาก ดีกว่ารับราชการ เธอไปพบเพื่อนคนหนึ่งเป็นอธิบดีเหมือนกัน (คำว่า "เหมือนกัน" ก็เหมือนกับเพื่อนอาตมาอีกคนหนึ่ง) มาถึงก็ยกมือไหว้ "ท่านครับ" ครับผมเข้าให้ อธิบดีหันมาด่าเลย บอก "นี่..มึงอย่ามาพูดกับกูอย่างนี้ กูไม่ใช่นายมึง กูเป็นเพื่อนของมึงทีหลังห้ามพูดนะ" นายนั่นก็บอกว่า "ท่านเป็นอธิบดี" แกก็เลยกระชากเสียงมาใหม่บอก"กูเป็นอธิบดีสำหรับคนอื่น ไม่ใช่อธิบดีของมึง มึงเป็นเพื่อนกู ไปกินเหล้าด้วยกัน" ชวนไปกินเหล้ากันเลย

รวมความว่า วาจาหยาบต้องดูเฉพาะบุคคลที่ควรไม่ควร รวมความว่า แหม..ถ้าใช้หวานๆ เกินไปสำหรับเพื่อนก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้ากร้าวเกินไปสำหรับเพื่อนบางคนก็ไม่ดีเหมือนกัน ต้องเลือกวาจาใช้ รวมความว่าใช้วาจานิ่มนวลไมหยาบคายมีประโยชน์กว่า เป็นที่รักของบุคคลทั่วไป นี่ว่าสำหรับคนทั่วไปนะเป็น "คาถามหาเสน่ห์" เหมือนกัน
เวลามันเหลือน้อย ยํ้าไปมาก ซอยไปมาก มันจะยุ่งแล้วหลวงตา มันจะจบไม่ทันเสียงก็แห้งลงมาทุกที แรงมันหมด มันยังไม่ตายก็พูดไปก่อน พูดให้มันขาดใจตายไปเลย

ก็รวมความว่า ต่อไป "วาจาส่อเสียด" เรื่องการยุแยงตะแคงแสะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่าให้มีเด็ดขาด อันนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเราเลยท่าน เรายุให้เขาแตกแยกกันก็อย่าลืม หอกนั้นมันจะสนองเรา อย่าลืมว่าคนทุกคนนะเขามีปัญญา ทีแรกถ้าเขายังไม่พบหน้าซึ่งกันและกัน เขาอาจจะเชื่อเรา และคนที่มีปัญญาเบาคือจิตทรามไร้ปัญญาก็แล้วกัน เมื่อรับฟังแล้วก็เชื่อเลยประเภทนี้ก็มี แบบนี้สร้างความแตกร้าวให้เกิดขึ้นมาเยอะ คนบางคนเขาใชัปัญญาก็มีเหมือนกัน ถ้าบังเอิญเขาพบกันเข้า ไต่ส่วนกันเข้าเมื่อไร วาจาที่เรายุแยงตะแคงแสะไว้มันไม่ตรงตามความเป็นจริง ตอนนี้แหละ ญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องร้ายก็ตกกับเรา เขาเกลียดนํ้าหน้า ดีไม่ดีแทนวาจาจะต่อว่ากลายเป็นอาวุธไปก็ได้ เขาอาจจะจ้างคนมาฆ่าให้ตาย หรือเขาจะฆ่าเองก็ได้ ข้อนี้อย่าทำ

แล้วสำหรับอีกวาจาหนึ่ง คือ "วาจาเพ้อเจ้อเหลวไหล" คือวาจาไร้ประโยชน์ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าให้มีเป็นอันขาด พูดไปมันก็เหนื่อยเปล่า ถ้าคนเลวเขารับฟังก็ฟังได้ แต่ถ้าเป็นการเล่านิทานไม่เป็นไร ไม่ไร้ประโยชน์ สร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้เกิดแก่ผู้รับฟัง นิทานใครๆ ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่วาจาที่พูดกับเพื่อน ถึงแม้ว่าไม่ใช่วาจาที่เป็นงานเป็นการ แต่พูดไปไร้เหตุไร้ผลนี่ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน อย่าพูดเลย ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะพูดไปเราก็เป็นคนเสีย วันหลังถ้าไปเจอะหน้ากันเข้าหรือเขาไปพบกัน เขาไปพบกับคนอื่นใดเขาจะกล่าวว่า "ไอ้หมอนั่น อีหมอนี่มันไม่ดี พูดส่งเดชไร้ประโยชน์" ต่อไปข่าวนี้กระจายมากไปเท่าไรก็ตามที เราก็เป็นคนเสียเท่านั้นทีหลังจะพูดอะไรกับใครเขา เขาก็ไม่อยากจะฟัง ถ้ามีความทุกข์ปรารถนาจะขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่อยากช่วย เพราะเขาไม่เชื่อวาจาของเรา

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่ท่านสุนทรภู่ท่านว่าไว้ว่า "จะชั่วหรือดีอยู่ที่ปาก จะได้ยากหิวโหยเพราะชิวหา" นี่เป็นความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดที่ดีคือ
๑. พูดตามความเป็นจริง
๒. ไม่พูดหยาบคาย ใช้วาจาไพเราะ
๓. ไม่ส่อเสียด ไม่ยุยงส่งเสริมเขาให้แตกร้าวกัน
๔. ใช้วาจาเฉพาะที่วาจาที่เป็นประโยชน์
ทั้ง ๔ ประการนี้ คำว่า "โทษ" ไม่มีกับเรา มีแต่คุณเท่านั้น จะไปที่ไหนจะพูดที่ไหน ใครก็อยากรับฟัง เขาถือว่า วาจาเป็นทิพย์.."

เรื่อง..สมาธิ


"..การฝึกสมาธิจิต บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขอน้อมนำเอาพุทธานุสสติกรรมฐานขึ้นมาก่อน ว่าการฝึกสมาธินี่ "สมาธิ" แปลว่า "การตั้งใจ" ให้จิตใจตั้งไว้ว่าเรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ถ้าจะไปทางไหน มาทางไหนเห็นรูปพระพุทธเจ้าที่เขาทำด้วยกระดาษก็ดี หรือเขาทำด้วยฟางหรือซังก็ดี ปั้นด้วยดินก็ดี ปั้นด้วยปูนก็ดี หล่อด้วยโลหะก็ดี จิตใจพร้อมยอมรับนับถือยกมือไหว้ ถ้าในสถานที่นั้นไม่ควรแก่การไหว้เพราะคนมากเกรงว่าเขาจะติฉินนินทา เพราะจิตใจของเรานี้ยังอยู่ใน โลกธรรมทั้ง ๘ ประการคือยังติดอยู่ในลาภและก็มีความเดือดร้อนในการไม่มีลาภ ลาภเสื่อมไป ติดอยู่ในยศ เดือดร้อนในการเสื่อมยศ ยังหวั่นไหวในคำนินทา พอใจในคำสรรเสริญ พอใจในความสุขไม่พอใจในความทุกข์ ธรรมดาของชาวโลกเป็นอย่างนี้ ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "นัตถิ โลเก อนินทิโต" คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก เราก็รู้อยู่แล้ว แต่ยังหวั่นไหวอยู่ ในเมื่อจิตยังหวั่นไหวอยู่ก็อย่าฝืนสังคมมากนัก ถ้าสังคมนั้นเขาไม่ยกมือไหว้เราก็ไม่ไหว้ก็ได้ แต่ใจพร้อมยอมรับนับถือด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ใช้ได้ถือว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานแน่ เป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าแน่

ในตอนที่ ๗ ได้พูดมาถึง"วิธีปฏิบัติให้จิตมีสมาธิ ให้ใช้กำลังหรือเวลาเพียงไม่มากกำลังนี่จงอย่าให้เครียด บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเครียดเกินไปไร้ผล ต้องเชื่อองค์สมเด็จพระทศพล คือพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าย่อหย่อนเกินไปก็ไร้ผลอีก

คำว่า "กามสุขัลลิกานุโยค" ท่านแปลว่า "ย่อหย่อน" แต่ความจริง "กาม" แปลว่า"ความใคร่" เพราะเวลาที่ภาวนาไป พิจารณาไป นึกถึงไป ใจเกิดอยากจะได้สมาธิขั้นนั้น อยากได้ฌานขั้นนี้ในเวลานั้น อารมณ์ฟุ้งซ่านก็เกิด ไม่เกิดผล ใช้ไม่ได้อีก ต้องทำใจแบบสบายๆ ให้อารมณ์เป็นสุข ถ้าความสุขมันหมดไป มีแต่ความหวั่นไหว มีแต่ฟุ้งซ่าน เราก็เลิกเสียก็หมดเรื่องหมดราว ทำเอากันแค่มีกำไร อย่าทำให้มันขาดทุนอย่าฝืน ถ้าใครเขาบอกว่า อีตาแก่คนนี้ แกสอนให้คนขี้เกียจ อาตมาก็ยอมรับ ได้บอกไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่ ๗ ว่าถ้าขี้เกียจ ทำน้อยๆ แต่ได้ผลมาก เอา..

ก็ยังมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่บรรดาท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้ทรงคุณพิเศษจริงๆ อาตมาต้องขอยอมรับว่าท่านที่สอนมานั้นทรงคุณพิเศษจริงๆ ถามว่าทราบได้ยังไงก็ต้องตอบว่าทราบด้วยกำลังใจของท่าน และการที่ท่านนึกในใจ อาตมาก็ไม่รู้เรื่องแต่ที่ท่านแสดงออกมาทางกาย ทางวาจาซิ อย่างนี้รู้เรื่อง เพราะคนอย่างอาตมาไม่ใช่คนได้เจโตปริยญาณขั้นวิเศษวิโส หรือว่านิดหน่อยอาจจะยังไม่ได้ก็ได้ นั่นก็หมายความว่า ยังไม่ได้ดีพอที่จะรู้ใจคน และเวลานั้นเรานึกอะไรไม่ได้กันเลย อาตมานึกเรื่องอะไรขึ้นมาท่านพูดเรื่องนั้นทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่ออกจากปาก หรือว่าท่านคุยกับคนอื่น อาตมานึกปั๊บเรื่องนี้ขึ้นมาท่านหันมาพูดเรื่องนั้นทันที อย่างนี้ต้องยอมรับว่าท่านมีญาณพิเศษจริง แต่ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์กัน จะต้องไปพิสูจน์กันทำไมคนรู้ในขั้นนั้นแล้ว รู้จิตใจในขั้นนั้นแล้วไม่ต้องพิสูจน์ว่าเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ท่านจะเป็นหรือไม่เป็นในเมื่อท่านรู้อารมณ์คิดก็แสดงว่า จิตละเอียดมาก จิตท่านมีความสะอาดมาก เราก็ยอมรับนับถือพระประเภทนี้ อาตมาเมื่อหนุ่มๆ บวชใหม่ๆ ระยะนั้นพบหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีการแนะนำเสมออย่างเดียวกัน

นั่นก็คือว่า เวลาตอนหัวค่ำ ท่านบอกว่าตอนหัวค่ำอย่าขยันมากนัก การนึกถึงพระพุทธเจ้านึกเวลาไหนก็นึกได้ ไม่ห้าม เวลาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็นึกถึงได้ไม่เป็นไร เรื่องตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่ออาตมาฝึกใหม่ๆ ท่านรุ่นพี่ ท่านเคยแนะนำว่าเวลาไปถ่ายอุจจาระก็ดี ถ่ายปัสสาวะก็ดี อย่านึกถึงพระพุทธเจ้านะ อย่าภาวนานะถ้านึกถึงตอนนั้นภาวนาเวลานั้น ถือว่าเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า ความจริงรุ่นพี่ท่านไม่ได้ฉลาดจริง ไปเจอะพระที่มีความสำคัญจริงๆ ท่านก็บอกว่า ภาวนาได้ นึกถึงได้ทุกเวลา จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะจะเดินไปเดินมาอย่างนี้ก็ใช้ได้ ยิ่งดีใหญ่ ท่านก็บอกว่าถ้าเวลาเราจะตาย เวลาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะจะทำยังไง ถ้าปล่อยว่างตอนนั้นกำลังใจเราเกิดฟุ้งซ่านไปถึงด้านอกุศล ก็จะทำให้ใจของตนอทิสสมานกายของตนลงนรกไป ท่านแนะนำดี ท่านก็แนะนำด้านเอากำไร

ท่านบอกว่าการปฏิบัตินี่ เราต้องปฏิบัติให้มันง่ายๆ และได้กำไรสูง นักค้ากำไรแต่ไม่เกินควร ถ้าเกินควรนั่นก็หมายความว่า คิดต้องการกำไรเลยนิพพานนี่เกินควรแน่ถ้าเป็นมนุษย์ต้องการนิพพาน ยังไม่เป็นการค้ากำไรเกินควร เพราะว่ามนุษย์ทุกคนจะพบจุดความสุขจริงๆ ก็คือที่นิพพาน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด จะถือว่ามีความสุขจริงจังนั้นไม่ได้

การเอากำไรท่านบอกว่าอย่างนี้ เวลาหัวค่ำอย่าลืมว่าเราเหนื่อยมามาก เหนื่อยตั้งแต่ตื่นใหม่ๆ พอตื่นขึ้นมากายยังไม่ทำงานแต่ใจมันคิดแล้ว พอถึงเวลาค่ำร่างกายอยากพักผ่อนเพราะเหนื่อยมาก ถ้าเราไปเคร่งเครียดตอนนั้นจะลำบาก ผลดีจะไม่เกิดไอ้ร่างกายมันจะพักความง่วงมันก็เกิด เราก็ฝืนความง่วง คิดว่าเวลานี้ต้องทำใช้เวลาเท่านั้นใช้เวลาเท่านี้ อารมณ์จิตก็จะเกิดไม่ทรงตัว เมื่อความง่วงเข้ามาครอบงำ ความดีก็ไม่เกิด การนึกถึงอะไรจริงจังก็ไม่มี ท่านก็แนะนำว่าถ้าทำไปจะนั่งก็ดี จะนอนก็ดี จะยืนก็ดี จะเดินก็ดี การเจริญสมาธิหรือวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่นั่งอย่างเดียว นั่ง นอน ยืน เดิน ใช้ได้ ถ้าอยู่ตามลำพังจะนั่งแบบไหน นั่งเก้าอี้ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งเหยียดขา นั่งห้อยเท้า ได้ทุกอย่าง นอนก็ได้ เอนกายก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ เดินเขาเรียก "จงกรม" เป็นอันว่าทำได้ทุกอิริยาบถ แต่ถ้าบังเอิญเกิดความเพลีย เกิดความง่วงขึ้นมา ท่านบอกจงอย่าฝืน นอนเลย นอนแล้วจับลมหายใจเข้าออก จับคำภาวนา เพียงเท่านี้แล้วภาวนาให้หลับไป ถ้าขณะใดถ้าจิตยังไม่ถึงฌาน จิตมันจะยังไม่หลับ ถ้าจิตถึงฌานเมื่อไร จะตัดหลับทันที แล้วท่านก็บอกว่า เราหลับไปกี่ชั่วโมง ท่านถือว่าเป็นการทรงฌานนั้นตลอดเวลาที่เราหลับ จนกว่าจะตื่น ถ้าตายไปในเวลาหลับจะมีผลตามกำลังฌานทันที นั่นคือตกนรกไม่ได้แล้ว

ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบ ว่าขั้นของสังโยชน์ ๓ ทำอะไรไม่หนักถ้ามีกำลังใจแค่ปฐมฌานใช้ได้ สมาธิไม่สูงเลย คำว่า "ปฐมฌาน" ก็มีเครื่องสังเกตก็คือว่าขณะที่ภาวนาอยู่ก็ดี หรือพิจารณาอยู่ก็ดี รู้ลมหายใจเข้าออกก็ตาม ในตอนนั้นหูเราได้ยินเสียงภายนอกทุกอย่าง ได้ยินชัดเจนแจ่มใสตามกำลังที่เขาส่งเสียงกัน และขณะนั้นเราสามารถภาวนาก็ได้พิจารณาก็ได้ ไม่รำคาญในเสียงอย่างนี้ท่านเรียก "ปฐมฌาน" ไม่มีอะไรหนัก

นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นวิธีเบาๆ และก็การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าใช้กำลังใจจับพระรูปพระโฉมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จะเป็นการดีมาก แต่ว่าท่านที่จะทำอย่างนี้ได้เฉพาะท่านที่ได้ ทิพจักขุญาณ คือในหลักสูตรของวิชชาสามเท่านั้น กับหลักสูตรของอภิญญาถ้าได้"มโนมยิทธิ ซึ่งมีทิพจักขุญาณอยู่ด้วยจึงจะทำได้ ถ้าไม่ได้หมวดสองหมวดนี้ ก็ใช้จับรูปพระพุทธรูป ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น คือ ตอนที่ ๗

ตอนนี้ก็มาคุยกัน การแนะนำเอาแค่นี้พอ ทำแค่นี้พอ ถ้าถามว่า ทำนิดๆ หน่อยๆ จะมีอานิสงส์หรือ? จงอย่าลืมว่าทำครั้งละนิดครั้งละหน่อย ทำครั้งละน้อยๆ ๒-๓ นาที ย่อมมีอานิสงส์ ขณะที่เราทำจิตเป็นสมาธิเมื่อไร เวลานั้นจิตว่างจากกิเลสทันที พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
"บุคคลใดทำจิตว่างจากกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ท่านกล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาน" ความดีจะสะสมตัวอยู่เสมอ ถ้าถามว่าคนที่ทำความดีวันละเล็กวันละน้อย จะมีอานิสงส์ยังไง? จะมีผลเป็นประการใด?

ความจริงเรื่องราวในพระพุทธศาสนาก็มีมาก แต่วันนี้ต้องขอประทานอภัยแก่บรรดาพุทธบริษัท ในฐานะที่อาตามาต้องซ้อมตายมาหลายวาระ การตายนี่มันตายจริงๆ ไม่ได้ซ้อม ตายแล้วกลับฟื้นคืนขึ้นมา (ขอประทานอภัยดื่มน้ำนิดหนึ่ง) มันกลับฟื้นขึ้นมาย่อมมีผลในการตายครั้งนั้นๆ ขอเอาความตายตอนต้นมาคุยกัน เหลือเวลาประมาณ ๑๔ นาที ท่านทั้งหลายจะได้ทราบว่า การนึกถึงพระพุทธเจ้าวันละเล็กวันละน้อยทุกๆ วันย่อมมีอานิสงส์

อาตมาเองเมื่อสมัยที่เป็นเด็กต้องถือว่าพอจำความได้ ท่านแม่ก็บอกให้ภาวนาว่า"พุทโธ" แต่การภาวนาของเด็กไม่มีอะไรจริงจัง ถ้านึกในใจท่านถือว่าไม่ได้ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน คำว่า "พุทโธ พุทโธ พุทโธ" อย่างนี้ ๓ ครั้งเท่านี้ ท่านบอกใช้ได้ หลับได้ ต่อไปจะนึกยังไงก็ไม่ว่า พอนอนลงไปปั๊บ ต้องบังคับเอ้า ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้แม่ฟัง อาตมาเป็นเด็กไม่ภาวนาก็ไม่ได้ เพราะว่าเครื่องลงอาญาอยู่ใกล้ท่าน คือ "ไม้เรียว" ถ้าขืนขัดคำสั่งเดี๋ยวไม้เรียวก็วิ่งมาแล้ว ไอ้เจ้าไม้เรียวนี่มันก็แปลก มันปฏิบัติตามคำสั่งของมือของท่านเด็ดขาดทันทีทันใด ไอ้การกลัวถามว่ากลัวใครก็บอกว่า "กลัวไม้เรียว" ไม่ได้กลัวแม่ แม่จริงๆ ไม่น่ากลัวแต่ไม้เรียวน่ากลัวมาก

ถ้าวันไหนเผอิญนอนหลับไปก่อนไม่ได้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้ท่านฟัง หรือว่าจะว่าพุทโธแต่ว่าดังหรือไม่ดังก็ตามท่านไม่ได้ยิน เผอิญเข้าที่นอนก่อนท่าน แล้วก็หลับไปเข้าไปแล้วท่านจะปลุกขึ้นมาให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อน ก่อนจะหลับนี่ต้องภาวนาว่า "พุทโธ" ก่อน เราจะบอกว่า "ว่าแล้วคุณแม่" ท่านไม่รับฟัง ท่านบอกว่าต้องว่าเดี๋ยวนี้ ก็นอนว่าทั้งๆ ที่ง่วง "พุทโธ่ พุทโธ่ พุทโธ่" ก็ไม่ใช่ "พุทโธ" มันกลายเป็น "พุทโธ่" ไป ท่านก็ไม่ว่าอะไร หลับก็หลับไป อาศัยอย่างนี้ จนกระทั่งเป็นเด็กโตอายุ ๑๐ ปีเศษ

แต่ว่าพอโตขึ้นมาหน่อยเกิดการกลัวผี ไอ้ผีนี่ อาตมากลัวจริงๆ เคยเห็นผีบ้างหรือเปล่าก็จำไม่ค่อยได้นักตอนเป็นเด็ก แต่ความรู้สึกมันกลัวมาก ถ้ามีใครเขาเผาศพกันที่ไหน ถ้ามีปี่พาทย์ ได้ยินเสียงตะโพนมอญก็ดี หรือว่าตีกลองประโคมศพก็ดี อีตอนนั้นนอนไม่ได้แล้ว คนเดียวนะนอนไม่ได้ต้องหาเพื่อนนอน เวลาจะนอนก็ต้องหาอะไรมาทับตีนมุ้ง อุดร่อง เกรงว่าผีจะลอดจากร่องขึ้นมาบ้าง เกรงว่าผีจะลอดมุ้งเข้ามาบ้างเอาอะไรมาทับตีนมุ้งเข้าไว้ ความกลัวมันกลัวขนาดนี้ แม้กระทั่งเวลากลางวันเข้าห้องข้างในคือในห้อง เขาใช้งานไปหยิบอะไรในห้องก็ตาม ก็ยังกลัวผีตอนกลางวัน ทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่นั่งอยู่ข้างนอกก็ยังกลัว เวลาไปหยิบของแล้วเวลาเดินออกไม่เอาหน้าออก เอาหลังออกถอยหลังมาหาประตู เกรงว่าผีจะมาจับหลัง ในเมื่อท่านแม่ท่านบอกว่า ถ้ากลัวผีอย่างนี้ปกติผีนี่กลัวคำว่า "พุทโธ" คือกลัวพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าท่านก็เลยบอกว่า

"ต่อนี้ไป ถ้าความกลัวเกิดขึ้นเมื่อไรให้ภาวนาว่าพุทโธทันที ถ้าอย่างนี้ผีจะไปไกลแสนไกล ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ว่าขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงช่วยกำจัดผีไปให้ไกลแสนไกล แล้วภาวนาว่า "พุทโธ" ในเมื่อความกลัวเกิดขึ้นมาเมื่อไรก็ภาวนาว่า "พุทโธ" หากความไม่กลัวไม่เกิดขึ้นก็ไม่ภาวนาว่า "พุทโธ"

ญาติโยมฟังตอนนี้แล้วก็จำไว้ด้วยนะ อาตมาตอนเด็กไม่มีอะไรจริงจังกับพระพุทธเจ้า แต่ว่าเป็นเรื่องแปลกตอนมาบวชแล้วนี่เข้าใจชัด
ตอนที่บวชใหม่ๆ ตอนพรรษาแรกอยู่กับ หลวงพ่อปาน คือวันหนึ่งลุกขึ้นมาเช้ามืด เจริญพระกรรมฐานเช้ามืดตอนตีสอง ก่อนหน้าตีสองนิดหนึ่งต้องตื่นแบบนั้นทุกวัน เวลานี้ก็ยังตื่นแบบนั้นเป็นปกติ เพราะชินกับเวลาตื่นเวลาตีสอง ก่อนหน้าตีสองประมาณครึ่งชั่วโมงตื่น ก็เรียกว่าตีหนึ่งครึ่ง ก็เกินไปบ้าง ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ถึงเวลาตีสองตรง ลุกขึ้นเจริญพระกรรมฐาน คือการนั่งกรรมฐาน ภาวนาตามอัธยาศัย

มาวันหนึ่งพอตื่นขึ้นมาเปิดหน้าต่างล้างหน้า เห็นผีไม่มีหัว มันโดดเสียไม่มีละ โอ้โฮ เยอะแยะ จำนวนสักสองร้อยคนกว่า โดดที่ชานตึงตัง ก็มองดูอะไรกันแน่เห็นว่าผีไม่มีหัวเท่านั้นแหละ ก็เลยสงสัย (ตอนนั้นความกลัวก็ไม่เกิดขึ้น) ว่าไอ้พวกนี้ไม่มีหัวทำไมโดดได้ เลิกล้างหน้ามาสวดมนต์ มาไหว้พระสวดมนต์มันก็ตามมาโดดในกุฏิ นั่งกรรมฐานมันก็โดดใกล้ๆ ก็ช่างมันใจสบาย พอถึงตีสี่เลิก เพราะพระลุกขึ้นสวดมนต์ ตอนนั้นไปนอนเจ้าผีตนหนึ่งโดดเข้ามาคร่อมอก ก็ตั้งใจจะเอามือขวาหยิบหวายตีผีตีมันมันก็กดมือขวาไว้ พอจะเอามือซ้ายหยิบมันก็กดมือซ้ายไว้กดแขนซ้ายไว้จะว่ายังไงมันก็ว่าตาม พอว่าคาถาขับผีจบ มันบอกว่า "กูไม่กลัว" ว่าอีกบทหนึ่ง มันบอกว่า "บทนี้มึงได้ครึ่งเดียว" มันก็เลยว่าต่ออีกครึ่ง แสดงว่าผีตัวนี้เรียนมามาก ต่อไปก็หมดท่าไม่รู้จะทำแบบไหนก็เลยนึกในใจว่า โอหนอ...โลกนี้ไม่มีใครดีกว่าพระพุทธเจ้า มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่มีใครเหนือท่าน นึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ขอให้ช่วยกำจัดผีตัวนั้น และนึกภาวนาว่าในใจว่า "พุทโธ"แล้วเป่าพรวดเดียวเจ้าผีก็โดดหกคะเมนเคนเก้ โดดวิ่งหนีไปเลย นี่ละบรรดาท่านพุทธบริษัท ความจริงท่านแม่บอกสมัยเป็นเด็ก ๆ จะว่าท่านหลอกก็ไม่ได้ ผลปรากฏสมัยเมื่อบวชพรรษาแรก

เรามาว่าถึงผลอีกผลหนึ่ง ต่อมาอายุ ๑๐ ปีเศษๆ ก็เกิดเป็นโรคอหิวาต์ตายกับเขาตอนเป็นโรคอหิวาต์ใหม่ๆ เริ่มท้องเดินใหม่ๆ ท่านแม่ก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" แล้วท่านเอาพระพุทธรูปมาตั้งให้เห็น ท่านบอกมองดูพระพุทธรูปแล้วก็ภาวนาว่า "พุทโธ" พระพุทธเจ้าจะช่วยให้หายโรค มันเจ็บมันเสียดท้องเหลือเกิน มันเจ็บท้องมาก ท้องถ่ายก็เพลีย มีความร้อนสูง พอถ่าย ๓ ครั้ง ก็เริ่มจะหมดสติ หมดแรง หมดแรงแต่สติยังดีใจก็ภาวนา "พุทโธ" ตอนนี้ลืมตาก็ไม่ค่อยจะไหว กายขยับไม่ไหว ใจก็นึกถึงภาพพระพุทธรูป คิดว่าจะขอพระพุทธเจ้าโปรดช่วยให้หายโรคด้วยเถอะ เห็นจะเป็นแบบเดียวกับ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ภาวนาไปๆ เห็นภาพพระพุทธรูปตอนนี้หลับตาแล้วไม่อยากลืมตาลอยข้างหน้าใสแจ๋วใสสะอาดมากเหลืองอร่าม ภาวนาไปๆ พระพุทธรูปใหญ่ขึ้นมาทุกทีๆ ผลที่สุดก็กลายเป็นพระสงฆ์ และก็สวยงามมากยิ้มแย้มแจ่มใส สดชื่น ตอนนี้ร่างกายไม่รู้สึกทุกขเวทนาเพราะมัวไปสนใจ ความสวยของพระพุทธเจ้าเสีย

ตอนนั้นเอง จิตออกจากร่างกายที่เรียกว่า "อทิสสมานกาย" เมื่อจิตมันออกจากร่างไป ก็ไปเป็นคน แต่ไม่ใช่คนปกติ เป็นคนผิดปกติ ไอ้คนผิดปกติ เขาเรียกคนบ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เนื้อเป็นแก้ว เนื้อนี่ใสเป็นแก้วสวยจริงๆ และเสื้อก็ดี กางเกงก็ดีมีชฎาด้วย เป็นทองคำทั้งหมด และก็เนื้อทองคำผิวทองคำทั้งหมดประดับไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ เป็นเพชรใสเป็นประกายมากสวยมาก ร่างกายทั้งหมดจะยกแขนยกขาขึ้นมายังไงก็ตามที มันเบาหมด จะยกย่างไปทางไหนมันเบาหมด ร่างกายไม่ใช่เดิน มันลอย ๆ มันเบาเหมือนกับนุ่นปลิวลม ตอนนั้นก็ไปหาท่านแม่บ้าง ไปหาท่านลุงบ้างเรียกใครก็ไม่มีใครสนใจทุกคนก็นั่งมองแต่ศพที่ตายอยู่ ตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาจจะสงสัยถามว่าเสียดายร่างกายไหม? ก็ต้องตอบว่าเวลานั้นไม่รู้สึกเสียดายเลยไม่อยากได้มันด้วย มันสกปรกเหลือเกิน มันมีแต่ความสกปรกมีแต่ความเศร้าหมอง มาดูกายใหม่มันสวยมาก ขนาดเนื้อเป็นแก้วใสแจ๋ว พื้นทั้งหมดของผ้าเสื้อกางเกงมันเป็นทองคำทั้งหมด เครื่องประดับประดาสวยสดงดงามและประดับไปด้วยเพชร เพชรนี่เต็มไปหมด ผ้ายาวขนาดไหนเพชรประดับเต็มขนาดนั้น ไม่เห็นเนื้อทองของเสื้อผ้าเลย
ในเมื่อไม่มีใครสนใจ ก็ไปยืนอยู่หลังบ้าน คิดว่าจะยืนเที่ยวอยู่หลังบ้านยังไม่คิดจะไปไหน เห็นคนเดินกันมาประมาณ ๒๐๐ คน มีหัวหน้าสูงใหญ่มาก คนทุกคนที่ตามมาหัวแค่เอวบ้าง ไม่ถึงเอวบ้าง และมี ๒ คนขนาบกลาง มีคนหลังหนึ่งคน (เวลามันเหลือน้อย บรรดาท่านพุทธบริษัท) ก็ถามคนหน้าว่า "ลุงจะไปไหนครับ?" เขาก็กางตำราออกมาเปิดปั๊บ เขาบอก "หลานไม่อยู่ในบัญชีไปกับลุงไม่ได้ กลับเข้าบ้านเสีย" อาตมาก็นึกในใจว่าตาลุงนี่บ้า ถามว่าจะไปไหน ดันบอกว่าไม่มีในบัญชี แกจะบอกเราว่าไปไหนสักคำก็ไม่บอก ต่อมาก็ถามคนตรงกลาง ตรงหลัง เขาก็พูดเหมือนกัน ก็เลยปล่อยให้เขาเดินไกลไปประมาณสัก ๑ กิโล ก็เดินตามไปเรื่อยๆ มันไม่รู้สึกเหนื่อย เขาเข้าป่าขึ้นเขาลงเขาเข้าป่าละเมาะไปเรื่อยๆ พอถึงป่าสูงใหญ่ เขาก็สำรวจคนทางด้านโน้นเป็นด้านนรก ยืนบนยอดเขา เห็นสำนักของพระยายมมีอาคาร ๓ หลัง และมีคนประเภทมนุษย์เรายืนเป็นกลุ่มๆ กลุ่มประมาณ ๑๐๐ คนบ้าง เกินร้อยคนบ้าง มีคนตัวใหญ่ๆ แบบนั้นถือฆ้อนบ้าง ถือหอกบ้าง ถือกระบองบ้าง มาคุมอยู่กลุ่มละคน

ถามท่านลุงว่า "ที่นั่นแดนอะไร?"
ท่านบอกว่า "ที่นั่นเป็นสำนักของพระยายม ภาพคนที่เห็นนั้นเคยไปจากนรกให้ไปเกิดแล้วกลับไม่ทำความดี เขาจับมาลงโทษใหม่" เห็นคนเดินออกมาจากสำนักพระยายมท่านบอกนั่นพระยายมตัดสินแล้วต้องไปสู่นรก" ชี้ไปแดนข้างหน้าไกลมากแต่ว่าเป็นทะเลเพลิงจับท้องฟ้า
ท่านบอก "โน่น เอาไปที่โน่น"
ถามท่านบอกว่า "ผมอยากจะลงไปดูบ้างได้ไหม"

ท่านบอก "ไม่ได้ หลาน คนที่ภาวนาว่า พุทโธ หรือ อรหัง ก็ตาม หรือภาวนาว่ายังไงก็ตาม ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นปกติ คนประเภทนี้ลงไปในแดนนั้นไม่ได้ ถ้าลุงปล่อยให้ลงไปลุงมีโทษ จะต้องถูกทำโทษ ขอให้หลานกลับ" ท่านก็แนะนำว่าทีหลังถ้าต้องการจะรู้อะไรนึกถึงลุงแล้วมาที่นี่ลุงจะให้ดูทุกอย่าง ก็เป็นความจริง ทีหลังพอนึกปั๊บก็ไปถึงที่นั่นทันที นึกถึงลุง ลุงก็มาถึง อยากดูนรกลุงให้ดูนรกอยากดูนางฟ้า เทวดา วิมาน ท่านให้เห็นหมด อยู่ใกล้ๆ

เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คำภาวนาว่า "พุทโธ" แม้แต่เล็กน้อยถ้าจิตช่ำชองขึ้นใจประโยชน์มันเป็นอย่างนี้ ตกนรกไม่ได้ แต่ว่าเวลานี้จะพูดไปก็พูดไม่ไหว.."

เรื่อง..ปัญญา


"..ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ปัญญา จงเป็นผู้มีความรอบรู้อยู่เสมอ จงใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์จิตว่า เวลานี้อารมณ์จิตของเรายังมีความผูกพันอยู่กับร่างกายหรือเปล่า ยังเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราหรือเปล่า หรือว่าเราไปพอใจร่างกายของบุคคลอื่นเขาหรือเปล่า ถ้าอารมณ์อย่างนี้มีอยู่ก็แสดงว่าเราเลวเกินไป

สำหรับในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ไม่ฟัง ไม่ปฏิบัติตาม เป็นอันว่าสัญชาติของเราก็ไม่น่าจะเป็นสัญชาติมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์มีสัญชาติคือมีอารมณ์ใจสูง ถ้าเราไม่เชื่อฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหุ้มห่อร่างกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ก็แสดงว่าเราเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานประเภทเลว เพราะว่าสัตว์ประเภทนั้นมันยังไม่เอาผ้าเหลืองไปหุ้มกายมัน มันเป็นการหลอกลวงชาวบ้าน นี่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตัวของตัวให้ดี กระจกไม่มีก็ไปดูนํ้าใสๆ ชะโงกดูเงาว่าสภาวะรูปร่างของเรา แม้แต่ความเป็นอยู่ของเรามันเหมือนชาวบ้านเขาหรือเปล่า

ปัญญาต้องใช้จุดนี้นะ พิจารณาอัตภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา หรือว่าด้วยขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา แล้วปัญญาก็พิจารณาต่อไปว่า เวลานี้เราสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาหรือเปล่า ถ้าสงสัยใช้ปัญญาแก้ซะให้ชัดว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ทรงสอนน่ะ มันจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าโง่หรือว่าเราโง่ ใช้ปัญญานะอย่าใช้สัญญา

แล้วปัญญาก็มาพิจารณาศีลที่เราจะพึงรักษาตามสภาวะของตัว ถ้าพระก็มีสิกขาบท ๒๒๗ รวมทั้ง อภิสมาจาร ด้วยเป็น ๓๐๐ เศษ สามเณรก็มีศีล ๑๐ สิกขาบท แล้วก็มี เสขิยวัตร อีก ๗๕ รวมเป็น ๘๕ สิกขาบท สำหรับอุบาสกอุบาสิกาก็มีศีล ๕ ศีล ๘ ตามอัธยาศัยที่พึงจะทำได้ ใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณาศีลของเราให้เป็นปกติ อย่าให้มันด่างมันพร้อย มันขาดทะลุ อย่าให้บกพร่อง ถ้ามีปัญญาซะอย่างเดียว ไม่มีอะไรยาก

แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ที่เรียกกันว่า รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เอาร่างกายคนก็แล้วกัน คนก็ดี สัตว์ก็ดี วัตถุก็ดี มันสกปรกหรือสะอาดให้พิจารณาใน"กายคตานุสสติ" และ "อสุภกรรมฐาน" หาความจริงในร่างกายของคนและสัตว์ แม้แต่ของเราให้ได้ว่ามันมีอะไรน่ารักตรงไหน มันมีอะไรยืนยงคงทนตรงไหน มันมีสภาวะทรงตัวหรือว่ามันสลายตัวไปในที่สุด ต้องเอาชนะอารมณ์นี้ให้ได้นะ จะไปติดอยู่ในตัวรักไม่ได้ ต้องเป็นตัวคลายความรัก

แล้วก็พิจารณาอารมณ์ที่เราโกรธ อารมณ์ที่กระทบกระทั่งคือ ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามากระทบกระทั่งสร้างความไม่พอใจ มันเป็นเพราะอะไรจึงไม่พอใจในบุคคลอื่น ที่เขากล่าวอย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้น เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูว่าที่เราไม่พอใจ ที่เราโกรธเขา ที่เราเกลียดเขา คิดอาฆาตมาดร้ายเขาเพราะเรามันเลว ถ้าเราดีเสียอย่างเดียวใครจะว่าอะไรมันก็ไม่หนัก

ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า"นินทาและสรรเสริญนี่ของธรรมดาของโลก เขาสรรเสริญเราว่าดี ถ้าเราเลวมันก็ไม่ดีไปตามคำเขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราดีเราก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด"

ดูที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูก พระนางมาคัณฑิยา จ้างคนด่า ไปบิณฑบาตเขาก็ตามไปด่า ไปเทศน์ที่ไหนก็ตามไปด่า ไปอยู่พักผ่อนที่ไหนก็ตามไปด่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเฉย ไม่เคยสะดุ้งสะเทือน ต่อมา ท่านสัญชัยปริพาชก ท่านก็นั่งด่า นั่งด่าเฉยๆ ไม่พอ ก็ด่าฝากคนอื่นไปให้พระพุทธเจ้าทราบด้วย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงหนักใจ

ต่อมาอีกพวกหนึ่งก็ได้แก่ สุปิยปริพาชก นั่งด่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดคืนยันรุ่ง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงหนักใจ พระองค์ก็ทรงเฉย ไม่เดือดร้อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระองค์ดีเสียแล้ว
ฉะนั้น ในฐานะที่เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ไอ้เรื่องที่ใครเขาจะทำดีเขาจะทำชั่วนะ จะไปนั่งโกรธเขาเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าไม่ถูกใจเราก็แสดงว่าใจของเรามันยังเลว มันยังมีกิเลส อาการที่เขาทำมาที่เขาพูดมาจึงเป็นที่ไม่ถูกใจจึงโกรธ แล้วไอ้ความโกรธมันตัวกิเลสคือ อารมณ์ของความชั่ว จงสังหารความชั่วอันนี้เสียด้วยอำนาจ "พรหมวิหาร ๔" และ "สักกายทิฏฐิ" ร่วมกัน
ทีนี้ในข้อต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาใน รูปฌาน และ อรูปฌาน ว่ารูปฌานและอรูปฌานทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นกำลังของจิตที่จะดึงปัญญาเป็นสะพาน ให้ปัญญาเข้าประหัตประหารกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเท่านั้น ไม่ใช่ดีอยู่แค่นี้

แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า ไอ้การที่เราจะถือตัว ถือตน ถือเรา ถือเขา ถือพวก ถือพ้อง ถือหมู่ ถือคณะ ว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา มันไม่มีประโยชน์ คนเกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน ไม่ควรจะเอาอะไรเข้าไปเปรียบเทียบ ให้เป็นการแข่งกันและกัน หรือว่าถ่อมเกินไปอะไรพวกนี้ไม่ควรคิด คิดว่าทุกคนเกิดมาก็แก่เหมือนกัน ป่วยเหมือนกัน ตายเหมือนกัน รักสุขเหมือนกัน เกลียดทุกข์เหมือนกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบสหาย จะเสมอไม่เสมอ จะดีกว่า จะสูงกว่า จะตํ่ากว่า ฉันไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าฉันเป็นมิตรที่ดีของท่านเท่านี้พอ

อุทธัจจะ ใช้ปัญญาเข้าควบคุมกำลังใจว่าอารมณ์ใดที่จะเกิดขึ้นนั้น เราไม่ต้องการ เรามุ่งเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว

อวิชชา ใช้ปัญญาเข้าจำแนกแจกลงไปว่า อวิชชา ตัวเกาะ เกาะในอารมณ์ที่เป็น "อนุสัย" ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝันท้อแท้อยู่เลย คิดว่าถ้าเราเป็นอนาคามี ราก็มีความสบายไม่ควรทะเยอทะยานมากเกินไปให้มันเหนื่อย ก็ใช้ปัญญาสอนมันว่า ถ้าสิ่งใดก็ตามถ้าเรายังไม่เสร็จกิจ เราก็ต้องทำต่อไป ไหนๆ เมื่อเวลามันมีก็ทำลายให้มันพินาศไป ให้มันหมดกิจไปเสีย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหมด อย่าให้ปรากฏว่ามีในจิต

ปัญญาตัวนี้ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า เป็นผู้เข้ามีความเข้าใจใน "อริยสัจ ๔" เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ป่วยเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ มีกินเป็นทุกข์ ไม่มีกินก็เป็นทุกข์ โลกนี้มันเป็นทุกข์ไปหมด ที่มันจะทุกข์ก็เพราะว่าอาศัยตัณหาความทะยานอยาก เราจะตัดตัณหาความทะยานอยากได้ก็เพราะอาศัย
(๑) มีศีลบริสุทธิ์
(๒) มีอารมณ์สมาธิตั้งมั่น
(๓) มีปัญญาพิจารณา

มีความเข้าใจว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือว่าที่เราเรียกว่ากายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เมื่อจิตใจของเราวางขันธ์ ๕ เสียได้เมื่อไร ก็ชื่อว่าเราเข้าถึง "อริยสัจ" เมื่อนั้น จัดว่าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือ "พระอรหันต์" นี่เราว่ากันถึงปัญญา.."
แก้ไขล่าสุด ( วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2010 เวลา 16:36 น. )


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร