วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

พระเจ้าสีวิราชบรมโพธิสัตว์
ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ครั้งพระเจ้าสีวิมหาราชได้เสวยราชสมบัติอยู่ใน อริฎฐบุรี แว่นแคว้นสีวี หรือประเทศสีพีนั้น พระมหาสัตว์เจ้าได้บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสีวีมหาราช มีนามว่า “สีวิกุมาร”
เมื่อสีวิกุมารนั้นเติบโตขึ้นแล้ว ก็ได้ไปศึกษาศีลปศาสตร์ที่เมืองตักสิลา เวลากลับบ้านเมืองแล้วก็ได้เป็นอุปราช ในเวลาต่อมาเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้เป็นพระราชาได้ทรงมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม
พระองค์ได้ทรงสร้างโรงทานไว้ ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนครทั้ง ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนครกับที่ประตูพระราชวังแล้วทรงบริจากมหาทานสิ้นพระราชทรัพย์วันล่ะ ๖ แสน กับทรงรักษาอุโบสถศีลทุกวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำตลอดมา

อยู่มาวันหนึ่งพระราชาได้ประทับอยู่ที่ราชบัลลังก์ภายใต้เศวตฉัตร ในวันปุณณมีดิถีเพ็ญเวลาเช้า ทรงนึกถึงทานที่พระองค์ทรงบริจาก ก็ไม่ทรงเห็นว่าสิ่งของภายนอกซึ่งพระองค์ยังไม่เคยบริจาก จึงทรงดำริว่า

ของนอกกายที่เรายังไม่ได้ให้ทานนั้นไม่มีการให้ทานของนอกกาย ไม่ทำให้เราดีใจได้เราใคร่จะให้ทานของในกาย ในเวลาเราไปที่โรงทาน ขออย่าให้มียาจกคนใดคนหนึ่งขอทานของนอกกาย ขอให้เขาขอของในกาย
ถ้ามีใครจักขอเนื้อในกายของเรา เราก็จักเชือดออกให้ ถ้ามีใครขอโลหิตของเรา เราก็จักเจาะออกให้ มีใครมาขอเราไปเป็นทาสเราก็จักยอมไป มีใครมาขอจักษุของเรา เราก็จะควักออกให้

พระอินทร์จำแลงมาทดลอง
เมื่อพระเจ้าสีวิราชทรงดำริอยู่ดังนี้ ท้าวโกสีย์ในดาวดึงส์สวรรค์ก็ทรงทราบ จึงทรงดำริว่า วันนี้พระเจ้าสีวิราชคิดว่า จักควักจักษุออกให้ทานแก่ยาจกที่ไปทูลขอ ดังนี้พระเจ้าสีวิราชจักทำได้จริงหรือไม่ เราจักไปทดลองดู

ท้าวสักกะทรงดำริดังนี้แล้ว ก็ทรงจำเเลงเป็นพราหมณ์ชราตาบอด ไปที่โรงทาน ในเวลาที่พระราชาเสด็จไปที่โรงทาน แล้วประนมมือขึ้นร้องถวายชัยมงคล พระเจ้าสีวิราชได้ทอดพระเนตรเห็น จึงทรงไสช้างพระที่นั่งบ่ายหน้าไปตรัสถามว่า “พราหมณ์...ต้องการสิ่งใด?”

พราหมณ์แปลงก็ทูลตอบว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกสันนิวาสทั้งสิ้นได้ถูกเสียงสรรเสริญอันแผ่ไป ด้วยอาศัยพระองค์มีพระหฤทัยยินดีในการให้ทาน ถูกต้องอยู่เป็นนิจ
ข้าพระองค์เป็นคนตาบอดทั้งสองข้าง ส่วนพระองค์เป็นผู้มีพระจักษุดีทั้งสองข้าง ขอพระองค์จงโปรดประทานจักษุสักข้างหนึ่งให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าก็ทรงยินดีว่าเป็นลาภอันใหญ่ของเราจักทำสำเร็จแล้ว เราจักได้ให้ทานที่เรายังไม่เคยให้ ครั้นทรงดำริดังนี้แล้วจึงได้ตรัสขึ้นว่า
นี่แนะวณิพก ใครนำให้เจ้ามาขอจักษุต่อเรา ซึ่งเป็นของที่นำออกให้ทานได้ยาก แต่ว่าเราจักให้แก่พราหมณ์ตามประสงค์”
ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดำริว่า การที่เราจะควักจักษุทั้งสองออกให้เป็นทานในที่นี้ เป็นการไม่สมควร จึงได้ทรงนำพราหมณ์นั้นกลับเข้าพระราชวัง ประทับนั่งบนราชอาสน์แล้วตรัสสั่งให้ แพทย์สีวิกะ เข้าเฝ้า รับสั่งว่า “เจ้าจงทำจักษุทั้งสองของเราให้บริสุทธิ์ในบัดนี้”
ในคราวนั้น ก็มีเสียงระบือไปตลอดพระนครว่า พระราชาจะควักพระเนตรทั้สองออกให้เป็นทานแก่พราหมณ์ พวกราชวัลลภมีเสนาบดีเป็นต้น และชาวพระนครสนมกำนันในทั้งปวง ก็ได้พร้อมกันเข้าเฝ้ากราบทูลคัดค้านว่า
“ขอเทวราชเจ้าอย่าได้พระราชทานจักษุเลย ขอพระองค์อย่าได้ทรงสละข้าพระบาททั้งปวง ให้เป็นทานของพระราชาองค์อื่นเลย ขอพระองค์จงพระราชทานแต่ทรัพย์สินเถิด พระเจ้าข้า”
พระเจ้าสีวิราชจึงตรัสว่า “ผู้ใดกล่าวว่าจักให้แล้วไม่ให้ ผู้นั้นชื่อว่าเอาบ่วงมาสวมคอของตน ผู้ใดกล่าวว่าจักให้แล้วไม่ให้ ผู้นั้นชื่อว่าเลวกว่าคนเลว ผู้นั้นจะต้องถึงที่ลงอาญาของพระยายม มีผู้ขอสิ่งใดควรให้สิ่งนั้น สิ่งใดเขาไม่ขอไม่ควรให้สิ่งนั้น พราหมณ์นี้ได้ขอสิ่งใดต่อเรา เราจักให้สิ่งนั้น”

ทรงให้ทานเพื่อสัพพัญญุญาณ ลำดับนั้น พวดอำมาตย์จึงกราบทูลถามว่า
“พระองค์ปรารถนาสิ่งใด ปรารถนาอายุ หรือวรรณะ สุขะ พละ ประการใด จึงจักพระราชทานจักษุให้แก่พราหมณ์ในบัดนี้พระเจ้าข้า?”
พระเจ้าสีวิราชตรัสตอบว่า “เราไม่ได้ให้ทานเพราะเห็นแก่ทรัพย์ ยศ หรือบุตรภรรยา แว่นแคว้นบ้านเมืองอันใด เราเห็นว่าการให้ทาน เป็นธรรมเนียมของสัตบุรุษทั้งหลายแต่โบราณ เราจึงได้ยินดีในการให้ทาน
สัตบุรุษทั้งหลายแต่เก่าก่อน เมื่อยังไม่ได้บำเพ็ญบารมีให้เต็มที่แล้ว ก็ไม่สามารถจะเป็นพระสัพพัญญูได้ เราจักบำเพ็ญบารมีให้เต็มที่ เพื่อจะได้เป็นพระสัพพัญญู” เมื่ออำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระราชดำรัสตอบดังนี้แล้ว ก็หมดหนทางที่จะทูลทัดทานจำต้องนิ่งเฉยอยู่
ฝ่ายพระเจ้าสีวิราชก็ได้ตรัสสั่งนายแพทย์สีวิกะว่า “นี่สีวิกะ เธอเป็นมิตรสหายของเรา เธอได้ศึกษาวิชาแพทย์มาเป็นอันดีแล้ว เธอจงทำตามถ่อยคำของเราให้ดี เมื่อเราลืมตาขึ้นมองดู เธอจงควักตาของเราให้หลุดออกเหมือนกับควักจาวตาล แล้งวางไว้ที่มือของคนขอทาน คือพราหมณ์คนนี้ ในบัดนี้เถิด”

พระโพธิสัตว์ได้รับทุกขเวทนาหนัก
ลำดับนั้น นายแพทย์สีวิกะกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า การให้จักษุเป็นทานนี้เป็นของสำคัญมาก ขอพระองค์จงใคร่ครวญให้ดีเถิด”
พระเจ้าสีวิราชตรัสตอบว่า “เราใคร่ครวญดีแล้ว เธอจงอย่าชักช้าอย่าพูดมากกับเรา”
นายแพทย์สีวิกะจึงคิดว่า การที่แพทย์ผู้ได้ศึกษามาดีเช่นเรานี้ จะเอาศาตราคว้านพระเนตรของพระราชา ย่อมไม่สมควร

เขาคิดดังนี้แล้ว จึงผสมยาแล้วอบด้วยดอกบัวเขียว แล้วป้ายพระเนตรข้างขวาของพระราชา พระเนตรข้างขวานั้นก็พลิกกลับทันที ทุกขเวทนาก็ได้เกิดขึ้นแก่พระราชา
เขาจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงกำหนดพระทัยดูเถิด การทำพระเนตรให้เป็นปกตินั้น เป็นหน้าที่ของข้าพระองค์”

ตรัสตอบว่า “เธออย่าได้ชักช้า” แล้วนายแพทย์นั้นก็ได้ทายาช้ำอีกพระเนตรก็ได้หลุดจากหลุมพระเนตรในทันที ทุกขเวทนาอันเหลือประมาณ ก็ได้เกิดขึ้นแก่พระราชา นายแพทย์นี้กราบทูลว่า “ขอพระองค์จงทรงกำหนดพระทัยดูเถิด ข้าพระองค์อาจทำให้เป็นปกติได้” จึงตรัสว่า “หลีกไปอย่าได้ชักช้า” นายแพทย์ก็ประกอบยาให้แรงขึ้นกว่าเดิม แล้วน้อมเข้าไปถวาย พระเนตรนั้นก็ได้หมุนหลุดออกมาจากเบ้าพระเนตรด้วยกำลังยาแล้วตกออกมาห้อยอยู่ด้วยอำนาจเส้นเกี่ยวไว้ แล้วนายแพทย์ก็กราบทูลอีกว่า
"ข้าพระองค์อาจทำให้เป็นปกติได้” ตรัสตอบว่า “เจ้าอย่าได้ชักช้า”
ทุกขเวทนาอันเหลือที่จะจะมาณก็ได้เกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ พระโลหิตก็ได้ไหลออกมาจนเปียกพระภูษาที่ทรงนุ่ง พวกนางสนมกำนันใน อำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้พากันหมอบร้องไห้ว่า
“ขอพระองค์อย่าได้ทรงบริจากพระเนตรเลย พระเจ้าข้า”

พระราชาทรงอดกลั้นทุกขเวทนาไว้แล้วจึวตรัสสั่งส่า “อย่าได้ชักช้า”
นายแพทย์จึงรับพระเนตรไว้ด้วยมือข้างซ้าย ถือศาตราด้วยมือข้างขวา ตัดเส้นที่เกี่ยวดวงพระเนตรให้ขาด แล้วรับเอาดวงพระเนตรไปวางลงที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้าสีวิราช
พระบาทท้าวเธอได้ทอดพระเนตรพระจักษุข้างขวา ด้วยพระจักษุข้างซ้าย แล้วตรัสเรียกพราหมณ์เข้าไปใกล้ ตรัสสั่งว่า
“พระสัพพัญญุตญาณ คือการรู้แจ้งสิ่งทั้งปวง ได้เป็นที่รักยิ่งกว่าจักษุนี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า การให้จักษุเป็นทานนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณนั้นเถิด”
ตรัสดังนี้แล้ว ก็ได้พระราชทานพระเนตรข้างขวานั้นแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็รับไปใส่ลงในจักษุของตน แล้วบันดาลให้จักษุนั้นตั้งติดอยู่เป็นอันดี เหมือนกับดอกบัวสีเขียวอันแย้มบานฉะนั้น
พระมหาสัตว์เจ้าได้ทรงทอดพระเนตรจักษุของพราหมณ์นั้น แล้วทรงพระดำริว่า การให้จักษุเป็นทานนี้ เป็นการดีแล้ว แล้วก็เกิดปีติทั่วพระวรกาย ได้พระราชทานซึ่งพระเนตรอีกข้างหนึ่งแก่พรามหณ์นั้น
พราหมณ์ผู้เป็นพระอินทร์นั้น ก็รับพระเนตรข้างนั้นใส่ในจักษุของตน แล้วออกจากพระราชวังเหาะขึ้นสู่สวรรค์ในทันใด

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาความว่า
“หมอสีวิกะที่พระเจ้าสีวิราชทรงเตือนแล้ว ได้กระทำตามพระราชดำรัส ควักดวงพระเนตรทั้งสองข้างของพระราชาออกแล้ว ทรงพระราชทานแก่พราหมณ์ พราหมณ์นั้นก็ได้เป็นคนตาดี พระราชาก็เข้าถึงความเป็นคนตาบอด”
แต่ในไม่ช้า พระเนตรก็ได้เกิดขึ้นแก่พระราชาอีก พระเนตรที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นหลุมได้เต็มขึ้นด้วยก้อนเนื้อเหมือนกับปมผ้ากัมพลและเหมือนกับภาพนัยน์ตาแห่งรูปปั้นฉะนั้นทุกขเวทนาก็เสื่อมหายขาดไปสิ้น

ทรงสละราชสมบัติ
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าได้ประทับอยู่ที่ปราสาทสัก ๒-๓ วัน แล้วทรงพระดำริว่า ไม่มีประโยชน์อันใดกับราชสมบัติให้แก่คนตาบอด เราจักมอบราชสมบัติให้แก่พวกอำมาตย์จักไปบรรพชาอยู่ที่อุทยาน จักทำสมณธรรมจึงเป็นการดี แล้วทรงโปรดให้ประชุมพวกอำมาตย์ ทรงแจ้งพระราชประสงค์ให้ทราบแล้วตรัสว่า
“เราต้องการเพียงคนใช้สอยคนเดียวสำหรับทำกิจการต่าง ๆ มีน้ำล้างหน้า เป็นต้นเท่านั้น ท่านทั้งหลายจงผูกเชือกให้เป็นราวสำหรับเราจักไปในเวลาที่ทำสรีรกิจ”

ตรัสสั่งดังนี้แล้ว ก็ตรัสสั่งนายสารถีให้เทียมรถ พวกอำมาตย์ไม่ยอมให้ท้าวเธอเสด็จไปด้วยรถ ได้อันเชิญท้าวเธอขึ้นประทับที่สวรรณสีวิกาแล้วหามไป ให้ประทับนั่งที่ริมสระโบกขรณี จัดการพิทักษ์รักษาเป็นอันดีแล้วจึงกลับมา

ท้าวสักกะทรงประทานพร
เมื่อพระราชาประทับนั่งอยู่ที่บัลลังก์ทรงนึกถึงทานของพระองค์ด้วยทรงมีปีติยินดีในขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกเทวราชก็ร้อนขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเล็งดูก็ทรงรู้เหตุนั้นจึงทรงดำริว่า เราจักให้พรแก่มหาราช แล้วจักทำจักษุให้เป็นปกติ จึงเสด็จมาเดินจงกรมอยู่ในที่ใกล้ของพระมหาสัตว์เจ้า

พระมหาสัตว์เจ้าได้ทรงสดับเสียงฝีเท้าจึงตรัสถามว่า “นั้นเป็นใคร?”
“ข้าพระเจ้าท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมของเทวดา ได้มาหาท่านแล้ว ขอท่านจงเลือกพรตามพระประสงค์”
องค์พระมหาสัตว์จึงตรัสว่า " ข้าแต่ท้าวสักกะ ทรัพย์ของข้าพเจ้าก็มีอยู่มากแล้ว กำลังก็มีอยู่มากแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด พอใจแต่ความตายเท่านั้น ขอพระองค์จงประทานความตายแก่ข้าพเจ้าเถิด”
“นี่แน่ะพระเจ้าสีวิราช เหตุไรพระองค์จึงอยากสิ้นพระชนม์ หรืออยากสิ้นพระชนม์เพราะความเป็นคนตาบอด?”
“ข้าพเจ้าอยากสิ้นพระชนม์เพราะความเป็นคนตาบอด”
“นี่แน่ะมหาราช อันธรรมดาการให้ทานย่อมไม่ให้ผลแต่ภายหน้าเท่านั้น แม้ในปัจจุบันนี้ก็ให้ผล เขาขอพระเนตรของพระองค์เพียงข้างเดียว พระองค์ก็ได้พระราชทานทั้งสองข้าง เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงตั้งสัจจกิริยาเถิด เมื่อพระองค์ตั้งสัจจกิริยาพระเนตรก็จักเกิดขึ้นแก่พระองค์อีก”
“ข้าแต่ท้าวสักกะ ถ้าพระองค์ประสงค์จะประทานจักษุให้แก่ข้าพเจ้า ก็ขออย่าได้ทำอุบายอย่างใดอย่างอื่น ด้วยใช้คำว่า จักษุจงเกิดขึ้นด้วยผลแห่งทานของเรา”
“ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกเทวราช ผู้เป็นใหญ่กว่าเทพยเจ้าทั้งหลายก็จริง แต่ไม่อาจจะให้จักษุแก่ผู้อื่นได้ จักษุจะเกิดขึ้นด้วยกำลังแห่งทานที่พระองค์ได้พระราชทานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นอันได้ให้ทานดีแล้ว”

พระเนตรเกิดขึ้นเพราะสัจจกิริยา
เมื่อจะทรงทำสัจจกิริยา จึงได้ตรัสขึ้นว่า “วณิพกผู้มีนามและโคตรเหล่าใดได้มาหาเราเพื่อจะขอสิ่งของ วณิพกเหล่านั้นก็ได้เป็นที่พอใจของเรา เมื่อผู้ใดขอจักษุต่อเราจักษุนั้นก็เป็นที่รักของเรา ด้วยคำสัจจะอันนี้จึกษุจงเกิดขึ้นแก่เรา”

พอขาดคำนี้ลง พระเนตรข้างที่หนึ่งก็เกิดขึ้นแก่พระเจ้าสีวิราช ในลำดับนั้น พระองค์จึงได้ตรัสต่อไป เพื่อให้เกิดพระเนตรข้างที่สองขึ้นว่า
“พราหมณ์ผู้เนั้นได้มาขอจักษุต่อเราว่า ขอพระองค์จงพระราชทานจักษุแก่ข้าพองค์เถิด เราได้ให้จักษุทั้งสองข้างแก่พราหมณ์นั้นแล้วเราเกิดมีปีติโสมนัสอย่างยิ่ง ด้วยถ่อยคำสัจจะอันนี้ จักษุข้างที่สองจงเกิดมีแก่เรา”
พอตรัสเท่านี้แล้ว พระเนตรข้างที่สองก็ได้เกิดขึ้นอีก

พระเนตรทิพย์
แต่พระเนตรทั้งสองนั้น จะว่าเป็นพระเนตรปกติก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นพระเนตรทิพย์ก็ไม่ใช่ เพราะพระเนตรที่พระเจ้าสีวิราชได้พระราชทานแก่พราหมณ์แล้วนั้น ใคร ๆ ไม่อาจทำให้เป็นปกติได้
ส่วนพระเนตรทิพย์ก็ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่วัตถุที่ถูกกระทบแล้ว (ประสาทตาพิการแล้ว) แต่พระเนตรเหล่านั้นท่านเรียกว่า “จักษุบารมี” เพราะสำเร็จด้วย “สัจจบารมี”

ในขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชก็ได้ทรงบันดาลให้ราชบุรุษทั้งปวงมาประชุมพร้อมสรรเสริญพระเจ้าสีวิราชในท่ามกลางมหาชน จึงได้ตรัสขึ้นว่า
“ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ทรงบำรุงแว่นแคว้นให้เจริญ พระดำรัสที่พระองค์ทรงทำสัจจกิริยานั้น เป็นพระดำรัสที่ชอบธรรม พระเนตรทั้งสองของพระองค์นี้ จักปรากฎเหมือนกับพระเนตรทิพย์
พระเนตรทั้งสองของพระองค์นี้ จักแลเห็นทั้งนอกฝา นอกกำแพงและภูเขา จักแลเห็นไกลได้ ๒๐๐ โยชน์ โดยไม่มีสิ่งใดขัดขวาง”
เป็นอันว่า ท้าวสักกเทวราชได้ตรัสอย่างนี้ในท่ามกลางมหาชน แล้วตรัสเตือนว่า ขอพระองค์อย่าทรงประมาท ตรัสแล้วก็เสด็จกลับสู่เทวโลก

ตาทิพย์เป็นเหตุให้คนบริจากทาน
ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้า พร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพาร จึงเสด็จเข้าพระนครด้วยกระบวนพยุหยาตราอันใหญ่หลวง เสด็จขึ้นประทับที่สุจันทกปราสาท การที่พระเจ้าสีวิราชได้มีพระเนตรขึ้นอีกนั้น ก็ได้ปรากฎไปตลอดแว่นแคว้นสีพี

ชาวแว่นแคว้นสีพีก็ได้พร้อมกันนำเครื่องบรรณาการเป็นอันมากมาถวาย เพื่อจะได้เชยชมซึ่งพระเนตรของท้าวเธอ พระบาทท้าวเธอทรงพระดำริว่า จักพรรณนาทานของเราให้มหาชนฟัง จึงได้ตรัสสั่งให้สร้างปะรำใหญ่ขึ้นที่ประตูพระราชวังทั่วพระนคร ให้บรรดาผู้คนมาประชุมพร้อมกัน แล้วตรัสว่า
“ดูก่อนท่านทั้งหลายที่อยู่ในแว่นแคว้นสีพี ขอท่านทั้งหลายจงดูตาทิพย์ทั้งสองของเราจำเดิมแต่นี้ไป เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่ได้ให้ทานจงอย่าบริโภค”
ตรัสดังนี้แล้ว จึงตรัสต่อไปอีกว่า
“ไม่ว่าใคร ๆ เวลามีผู้มาขอทาน ก็ย่อมไม่อยากให้ของที่พึงใจตน ไม่อยากให้ของดีของรักของตน ของรักของดีของตนนั้นเราก็ได้ให้แล้ว เราขอเตือนท่านทั้งหลายที่อยู่ในแว้นแคว้นสีพีทั้งสิ้น ที่ได้มาประชุมกันแล้วในที่นี้ จงแลดูตาทิพย์ของเราในวันนี้เถิด ตาทิพย์ของเรานี้แลเห็นไปได้ตลอดนอกฝา นอกกำแพงและภูเขา แลเห็นไปได้รอบตัวข้างละ ๑๐๐ โยชน์

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐเท่าการให้ทาน เราจักได้ให้ทานจักษุของมนุษย์ แต่เราก็ได้จักษุอันไม่ใช่ของมนุษย์ ท่านทั้งหลายที่อยู่ในแว่นแค้วนสีพี ได้เห็นจักษุทิพย์ที่เราได้แล้วนี้ จงพากันให้ทานเสียก่อน แล้วจึงได้ปริโภคภายหลัง บุคคลที่ได้ให้ทาน และได้ปริโภคตามกำลังของตนแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดติเตียนได้ ย่อมได้ไปสู่สุคติ”

พระเจ้าสีวิราชบรมโพธิสัตว์ได้ทรงสั่งสอนประชาชนด้วยประการดังนี้ จำเดิมแต่นั้นมาพอถึงวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำ ทุกกึ่งเดือนไปพระองค์ได้โปรดให้ประชาชนประชุมพร้อมกันแล้วสั่งสอนอย่างที่ว่ามาแล้วนี้ทุกครั้งไป ประชาชนก็ได้พากันบำเพ็ญกุศล มีทาน เป็นต้น เวลาสิ้นอายุขัยแล้วก้ได้ไปเกิดในสวรรค์เป็นอันมาก

ครั้นต่อมาภายหลัง พระเจ้าสีวิราชก็ได้มาเกิดเป็น พระพุทธองค์ นายแพทย์สีวิกะนั้นก็ได้มาเกิดเป็น พระอานนท์ ท้าวสักกะนั้นก็ได้มาเกิดเป็น พระอนุรุทธ ส่วนประชาชนในคราวนั้น ก็ได้มาเกิดเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 16:48
โพสต์: 5

อายุ: 11

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุครับ tongue :b29: :b53:

.....................................................
ทำดีได้ดีเสมอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2011, 10:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8:


จงเพียรทําความดีเถิด ชีวิตนี้สั้นนัก อย่าเป็น ขี้เมาในขันธห้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 10:28
โพสต์: 439


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาบุญด้วยคะ
:b8: สาธุ :b8: สาธุ :b8: สาธุ

ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปคะ

.....................................................
สรรพสิ่งทุกอย่าง ล้วนมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

.................................................................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลอยู่ในตัว
การกระทำของตนย่อมเป็นกรรมที่ตนกำหนดเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2012, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ต.ค. 2011, 22:03
โพสต์: 8

โฮมเพจ: wethakoo1106@hotmail.com
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมบางครั้ง เลี้ยงสัตว์ อ่านธรรมะ
ชื่อเล่น: แก้ว
อายุ: 0
ที่อยู่: กรุงเทพฯ 10150

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์นั้น
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยอนุพยัญชนะ 80 ประการ
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยพระมหาปุริสลักขณะ 32 ประการ
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญาเป็นเลิศในโลก
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศในโลก
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีความเพียรเป็นเลิศในโลก
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีปฏิภาณเป็นเลิศในโลก
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้มีความทรงจำเป็นเลิศในโลก
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา 4 เป็นเลิศในโลก
คำอวยพรใด ที่ข้าพเจ้าสรรเสริญแล้วต่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทุก ๆ องค์ ขอให้สิ่งนั้นทั้งปวงที่ข้าพเจ้าสรรเสริญแล้ว จงบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติไปด้วยเถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะตัดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง สาธุ.
จาก...นิรันตราย ดิถีศรีวรกุล.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร