วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 14:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2011, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 16:09
โพสต์: 38

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วยบอกหน่อยค่ะ อยากรู้จริงๆ ถ้าผู้ชายมีภรรยาอยู่แล้วและผู้หญิงก็มีสามีอยู่แล้ว แต่ทั้งสองคนนี้ลักลอบได้เสียกัน ผู้รู้ช่วยอธิบายถึงกรรมของสองคนนี้ให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

s006 s006

.....................................................
รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2011, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


s002 โทษของการเป็นชู้ (ดังตฤณ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=30960

สรุปสั้นๆ โทษของการเป็นชู้

๑) ทุกข์ทางใจ...รู้ๆ กันทั้งโลก ทุกชาติทุกภาษา ว่าเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องบาดใจ แม้แต่การแตะเนื้อต้องตัวคนมีเจ้าของด้วยความกำหนัด ก็นับว่าสมควรอดสูใจได้แล้ว เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าจะมากหรือน้อยก็เป็นการล่วงละเมิดสมบัติต้องห้ามของผู้อื่นอยู่ดี

๒) การสั่งสมบาป...ไม่มีการผิดประเวณีครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย

๓) ความเป็นอยู่ที่เลวร้าย...การผิดประเวณีแต่ละครั้งคือการไม่ให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งก็มีผลสะท้อนให้นับถือตนเองน้อยลง พูดง่ายๆ ว่าได้สมบัติทางเพศของคนอื่นมา เพื่อเสียความนับถือตัวเองไป จิตของหญิงร้ายและชายโฉดเปรียบเหมือนคนที่จุ่มศีรษะลงไปในเมือกลื่นจนชุ่มโชก ย่อมไม่ได้รู้สึกถึงความแห้งสบาย แม้จมูกได้กลิ่นหอมของสวนดอกไม้ แต่ใจลึกๆ ก็เหมือนได้กลิ่นเหม็นของกามผิดๆ อยู่เกือบตลอดเวลา

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2011, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีชายหญิงคู่ไหนบ้างที่เป็นชู้กันแล้ว
มีความสุขสงบ....เห็นแต่ความวุ่นวาย รุ่มร้อน
ตกต่ำทั้งกาย ทั้งใจ

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2011, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


sawan55 เขียน:
ช่วยบอกหน่อยค่ะ อยากรู้จริงๆ ถ้าผู้ชายมีภรรยาอยู่แล้วและผู้หญิงก็มีสามีอยู่แล้ว แต่ทั้งสองคนนี้ลักลอบได้เสียกัน ผู้รู้ช่วยอธิบายถึงกรรมของสองคนนี้ให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

s006 s006
------------------------------------------------
รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน

ชอบลายเซ็นต์นะครับ รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญา
ตรงนี้คงหมายถึง การรู้ว่าสิ่งต่างๆ มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน
ไม่มีอะไรคงทนถาวร ดินยังแตก ถนนยังแยก มีพบมีจาก
มีแต่ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ สิ่งต่างๆ ที่ไ่ม่
เป็นไปดั่งใจปรารถนา ล้วนมีแต่ความทุกข์

อะไรที่่ดูเหมือนควบคุม เป็นเจ้าของได้ ก็เป็นได้แต่ชั่วครั้ง
ชั่วคราว ดูๆไปแล้วแทบไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นเราหรือเป็น
ของๆ เราเสียเลย เหตุนี้นี่กระมัง

ธรรมอันเกิดมี หรือมีในใจเรา ในตนในตัวเรา คงทำให้ใคร
หลายๆ คนต้องไปยึดถือ ดึงดัน ให้สิ่งที่มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน
พยายามไขว่คว้าในสิ่งที่ต้องพลัดพรากจากเราไปอย่างแน่นอน
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ขนาดตัวเราเอง ยังบังคับยังสั่งให้ใจเราเย็น
ใจเราดี ให้เรามีสติ ให้มีปัญญายังไม่ได้

ก็คงเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะไปบังคับให้ใครต่อใครนั้นมาเป็น
ไปอย่างใจเราต้องการ ที่คนเราส่วนใหญ่เลยต้องทุกข์เพราะ
ผิดหวัง เพราะไม่สมปราถนา ก็คงเพราะไม่มีความเข้าใจใน
ธรรมชาติ ในสิ่งเหล่านี้จริงๆ

@@@@@


เรื่องของกรรม พระท่านว่าเป็นอจินไตย คือไม่ควรคิด หากไป
คิดก็จะมีส่วน หรือคล้ายๆ จะต้องเสียสติ ไปกับเรื่องนั้นๆ ที่คิด
เพราะอะไร ก็เพราะคนเราส่วนใหญ่ ขนาดการกระทำแสดงออก
ทางกาย ทางวาจาคำพูด ทางใจความรู้สึกคิดนึก กรรม ๓ อย่าง
นี้ที่ีเป็นของตนเองแท้ๆ ไม่ค่อยได้รู้ได้เห็น ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของๆ
กรรม(ทำ พูด คิด)เช่น

เวลาอยากไปรู้เรื่องของคนอื่น(ที่ไม่ใช่คนรักคนรู้จัก) ถ้าใจบุคคลนั้น
คำนึงถึงด้วย พื้นฐานของความปราถนาดี เมตตา อยากให้คนอื่น
มีความสุข แม้จะไม่รู้ไม่เห็น ถึงความประสบสุขประสบทุกข์ของ
คนอื่น แต่ชุดความคิดของบุคคลนั้น ก็พอจะชักชวนความรู้สึก
นึกคิดจินตนาการและอารมณ์ต่างๆ ให้เป็นไปในทางทีดี

กลับกัน ถ้าตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโกรธ ไม่พอใจ อิจฉาริษยา
หวงแหน ผูกโกรธ อาฆาตพยาบาท แม้ถึงจะไม่รู้ไม่เห็น สุขทุกข์
ของคนอื่น แต่ชุดความคิดของบุคคลนั้น ก็จะชักชวนความรู้สึก
นึกคิดจินตนาการและอารมณ์ต่างๆ ให้เป็นไปในทางที่ไม่ดี

ที่นี้ถ้าเป็นพื้นฐานของความปรารถนาดี เื่มื่อไปยิ่งไปพบไปเจอ
บุคคลที่เราอยากรู้ ปรากฏกำลังมีความสุข นั่นก็ยิ่งทำให้เรายินดีและ
หากเขามีความทุกข์ เราก็จะเห็นอกเห็นใจบุคคลนั้นขึ้นมา

แต่ถ้าเป็นพื้นฐานร้ายๆ ที่ตรงข้ามกัน เมื่อไปถึง ไปพบไปเจอ
บุคคลที่เราอยากรู้ ปรากฏกำลังมีความสุข นั่นก็ยิ่งทำให้เรา
รู้สึกร้ายๆ รุ่นแรงยิ่งขึ้น และหากเขามีความทุกข์ เราก็จะีมีแต่
ตำหนิ สบถชิงชังถึงกับสมน้ำหน้าบุคคลนั้นขึ้นมา

ลองได้เป็นเรื่องที่อยากรู้ ของบุคคลที่เป็นที่รักที่พอใจ ที่ยึดถือ
ว่าเป็นของๆ เราด้วยแล้ว เช่นสามีภรรยา ก็คงมีแต่ความทุกข์
ล้วนๆ จริงๆ ปัญญาใดๆ ธรรมใดๆ ที่มีในตนคงจะไม่สามารถ
ช่วยเหลือบุคคลนั้นๆ ได้

นี้แหละกรรมที่พอเห็นได้ ความคิด คำพูด การกระทำของเราเอง
ส่วนความสุขความทุกข์ เห็นก็ดีไ่ม่เห็นก็ดี ได้แสดงแล้วว่าเป็น
สิ่งที่ไม่ควรไปคิดให้เสียเวลา เพราะเขาสุข แล้วกลายเป็นเรา
ต้องทุกข์ ถ้าเขาเศร้าแล้วเรากลายเป็น สมน้ำหน้า นั่นเท่ากับว่า
ไม่ได้มีประโยชน์ำ่ำก่อให้เกิด ความเจริญงอกงามในปัญญาในธรรม
เอาเสียเลย ยิ่งทำให้ปิดกั้นปัญญา และเต็มไปด้วยอธรรม

ก็ขนาดว่ากรรมเราเองยังรู้ยากอย่างนี้ แล้วหากยังไม่แสวงหา
อรรถธรรม ไม่ข่มใจ ทำจิตใจให้สงบ ไม่รู้ถึงการกระทำ คำพูด
และความคิดตนเองแล้ว บุคคลนั้นๆ นอกจากเป็นคนหลงลืมจม
อยู่กับอดีตที่ผ่านไปแ้ล้ว ยังไม่พอยังปรุงแต่งจินตนาการไปใน
สิ่งต่างๆ นานาๆ ไปจนฟุ้งซ่าน หาชีวิตหาจิตหาใจในปัจจุบัน
ของตนไม่เจอ ละเมอหลงๆ

แล้วหากยิ่งไปคอยไปมองไปเฝ้าหา ในสิ่งที่คิดไปหาไปก็ีมีส่วนแต่
จะทำให้คล้ายเสียสติ ถึงตรงนี้สิ่งใดเป็นประโยชน์ คนเราควร
จะเลือกสิ่งนั้นนะครับ สิ่งใดเป็นโทษ คนเราก็ไม่ควรยึดถือใน
สิ่งนั้นเอาไว้ มีสติกลับมาอยู่กับตัวเอง ให้ตัวกับใจกลับมาอย่า
เสียเวลาพาจิตพาใจไปให้เดือดร้อนวุ่นวาย

ก็ถ้าใจถ้าจิตนี้ฝึกดีแล้ว อยู่บนพื้นฐานของปัญญา เมตตา ต่อให้
ไม่รู้ไม่เห็นก็มีความสุข หากไม่ข่มจิตข่มใจ เจริญสติ ไม่ฝึกใจ
แล้วตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่รู้เช่นนี้ ความทุกข์เท่านั้นที่
ถึงไ่ม่ต้องการ ถึงไม่ไขว้คว้า อย่างไรเสียก็ได้มาเป็นเราของเรา
แน่นอน แม้จะรู้เห็นกรรมหรือไม่รู้เห็นก็ตาม ขอเจริญพร

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2011, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 16:09
โพสต์: 38

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาูธุ กรรมของใครก็ของคนนั้น ช่วยเหลือกันไม่ได้จิงๆ ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ :b20:

.....................................................
รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2011, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




พระพุทธเจ้า7.jpg
พระพุทธเจ้า7.jpg [ 37.6 KiB | เปิดดู 10975 ครั้ง ]
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องโทษของการเป็นชู้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงช้างเผือกเสด็จเลียบพระนคร ได้ทอดพระเนตรเห็นหญิงงามนางหนึ่งยืนอยู่ชั้นบนของปราสาท 7 ชั้น ทรงมีพระทัยเสน่หาในนางขึ้นมาทันที พระองค์ได้ทรงพยายามหาวิธีการที่จะได้นางมาเป็นบาทบริจาริกา เมื่อทรงทราบว่านางเป็นหญิงมีสามีแล้ว ก็ได้มีพระบัญชานำชายผู้เป็นสามีของนางมาเป็นคนใช้อยู่ในพระราชวัง ต่อมาพระองค์ได้รับสั่งชายให้คนนี้เดินทางไปทำงานอย่างหนึ่งอันเป็นงานที่ ไม่มีทางจะทำได้สำเร็จได้ โดยรับสั่งให้เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลถึง 12 ไมล์ แล้วให้ไปนำดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณจากนาคพิภพกลับมาถวายพระองค์ที่กรุงสาวัตถีในเย็นวันเดียวกัน ให้ทันเวลาสรงสนานของพระองค์ ทั้งนี้โดยพระองค์มีพระราชประสงค์จะสังหารชายผู้นี้หากเขากลับมาไม่ทันเวลา แล้วริบเอาภรรยาของเขามาเป็นบาทบริจาริกาของพระองค์ ชายผู้เป็นสามีรีบไปนำกล่องอาหารจากภรรยาแล้วออกเดินทางไปแสวงหาสิ่งที่พระราชาทรงต้องการในทันที ในระหว่างทางเขาได้แบ่งอาหารให้แก่เพื่อนร่วมทาง และเขาก็ยังแบ่งข้าวจำนวนหนึ่งโยนลงไปเลี้ยงปลาในน้ำ แล้วร้องตะโกนขึ้นว่า ? ข้าแต่เทพยดาและนาคทั้งหลายผู้สถิตอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ พระราชาปเสนทิโกศลมีพระราชบัญชาให้ ข้าพเจ้าไปนำดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณกลับไปถวายพระองค์ วันนี้ข้าพเจ้าได้แบ่งปันอาหารให้แก่เพื่อนร่วมทางของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ยังได้นำอาหารเลี้ยงปลาในแม่น้ำแล้วด้วย บัดนี้ข้าพเจ้าขอแบ่งส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่พวกท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงได้เมตตาไปนำดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด? พระยานาค เมื่อได้ยินคำประกาศของชายผู้นั้นแล้ว ก็ได้แปลงร่างเป็นชายชราไปนำดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณมาให้ชายผู้นั้น

ในเย็นวันนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเกรงว่าชายหนุ่มอาจจะกลับมาทันเวลา จึงได้มีรับสั่งให้ปิดประตูเมืองก่อนกำหนด เมื่อชายหนุ่มเดินทางมาถึงและพบว่าประตูเมืองปิดเช่นนั้น ก็ได้โยนดินอรุณไว้บนกำแพงเมืองและแขวนดอกโกมุทและดอกอุบลไว้บนธรณีประตู จากนั้นเขาได้ตะโกนประกาศออกมาดังๆว่า ? ชาวเมืองผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงรับทราบเถิดว่า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบ หมายจากพระราชาสำเร็จลุล่วงแล้ว พระราชาทรงมีแผนที่จะฆ่าข้าพเจ้าด้วยเหตุไม่สมควร? หลังจากนั้นชายหนุ่มก็เดินทางจากประตูวังไปที่วัดพระเชตวันเพื่อจะลี้ภัยและ ก็พบว่าบรรยากาศในวัดมีความสงบร่มรื่นดียิ่งนัก

ขณะเดียวกัน ข้างพระเจ้าปเสนทิโกศล มีความกระสันด้วยแรงกามราคะ จนไม่สามารถหลับพระเนตรลงได้ ทรงครุ่นคิดหาวิธีที่จะสังหารชายหนุ่มในตอนเช้าแล้วยึดภรรยาของเขามาเป็นบาทบิจาริกาของพระองค์ เมื่อถึงเที่ยงคืนพระองค์ก็ได้สดับเสียงประหลาดว่า ทุ. ส. น. โส. ซึ่งความจริงแล้วเป็นเสียงของพวกเปรต 4 ตนที่เสวยทุกข์ทรมานอยู่ในนรกชั้นโลหกุมภี เมื่อได้ทรงสดับเสียงประหลาดนี้แล้วก็ทรงมีพระทัยหวาดหวั่น เมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่พระองค์ได้ทรงสอบถามปุโรหิตถึงเรื่องนี้ ปุโรหิตได้ทูลว่าจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตแก่พระองค์ จะต้องหาทางแก้ด้วยการบูชายัญ แต่ต่อมาพระองค์ได้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระศาสดาโดยคำกราบทูลของพระนางมัลลิการาช เทวี เมื่อพระศาสดาสดับเรื่องเสียงประหลาดเหล่านั้นแล้ว ทรงอธิบายแก่พระราชาว่าเป็นเสียงของเปรต 4 ตนที่เกิดอยู่ในโลหกุมภีนรก เปรต 4 ตนเหล่านี้เคยเกิดเป็นชายหนุ่มลูกเศรษฐีในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ และได้ตกนรกชั้นโลหกุมภีเพราะประกอบกรรมชั่วเป็นชู้สู่สมกับภรรยาของชายอื่น พระราชาสดับแล้วก็เกิดความสังเวชพระทัยและทรงเกิดความตระหนักถึงผลกรรมชั่ว ร้ายที่จะบังเกิดจากการเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น และตัดสินพระทัยว่า ?จำเดิมแต่นี้ไป เราจักไม่ผูกความพอใจในภรรยาของชายอื่น? เพราะว่า ?แค่เราได้แต่คิดว่าจะเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่นก็มีความทุกข์ทรมานใจจนนอน ไม่หลับ ตลอดทั้งคืน?

จากนั้นพระราชาได้กราบทูลพระศาสดาว่า ?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทราบความที่ราตรียาวนานในวันนี้ ? ข้างชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั้น ได้กราบพระศาสดาว่า ?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาทรงทราบความที่ราตรียาวนานในวันนี้ ส่วนข้าพระองค์เองได้ทราบความที่หนทางแค่โยชน์เดียวไกลมากในวันวาน?

พระศาสดาทรงนำถ้อยคำของพระราชาและของชายหนุ่มนั้นมาผสมผสานกัน แล้วตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 60 ว่า

ทีฆา ชาครโต รตฺติ ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ

ทีโฆ พาลาน สํสาโร สทฺธมฺมํ อวิชานตํฯ

กลางคืนยาว นานมาก สำหรับคนที่นอนไม่หลับ ระยะทางแค่โยชน์เดียวไกลมาก สำหรับผู้ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว สังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) เนิ่นนานมาก สำหรับคนพาลที่ไม่รู้สัจธรรม.

เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนา ชายหนุ่มได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ชนเหล่าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ก็ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.


กราบขอบพระคุณที่มา :: วัดป่าโนวิเวก

:b42: กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2011, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุ :b1:

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 16:09
โพสต์: 38

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ค่ะ

.....................................................
รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 10:28
โพสต์: 439


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ

.....................................................
สรรพสิ่งทุกอย่าง ล้วนมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

.................................................................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลอยู่ในตัว
การกระทำของตนย่อมเป็นกรรมที่ตนกำหนดเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร