วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 21:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลก (ชีวิต) มีอะไรตั้งเยอะแยะ :b26:






แม้แต่ตัวเจ้าของเองก็ยังรู้เข้าใจไม่หมด.


โลกภายนอก กว้างไกล ใครใครรู้
โลกภายใน ลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
จะมองโลก ภายนอก มองออกไป
จะมองโลก ภายใน ให้มองตน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 09:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b8:
kreangsit_rru เขียน:
คือผมอยากทราบว่า การที่เราปฏิบัติธรรมมันจะเข้าถึงภูมิอรหันต์ได้จริงหรอ ตามที่ได้ศึกษามาการปฏิบัติธรรมมันเป็นคนละอย่างกับการปล่อยวาง ตามที่รู้มาคือ

พระอรหันต์ผู้บรรลุธรรมย่อมปล่อยวางไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง ไม่มีตัวตน ว่างจากทุกสิ่ง แต่การปฏิบัติธรรมมันคือให้เราไปติดในวิธีแต่แรกเริ่ม แล้วเราจะไปถึงจุดสุดท้ายคือบรรลุธรรมได้หรอครับ เพราะมันก็ไม่วางวิธีปฏิบัติสักทีสิครับ

วอนผู้รู้จริงมีสภาวะปฏิบัติได้จริงช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ_

onion
เจริญสุขเจริญธรรมคุณkreangsit_rru
ผมมาช้าหน่อย ตามอ่านจนครบ 4 หน้ากระทู้ มีคำแนะนำจากท่านผู้รู้เยอะแยะและมีประโยชน์
น่าจะได้คำตอบที่ดีแล้วกระมังครับ แต่ก็ขอเพิ่มเติมข้อสังเกตการณ์ให้พิจารณาอีกสักหน่อยดังต่อไปนี้

จากข้อความของคุณที่ผมแถบสีไว้ มีข้อสังเกตและข้ชี้แนะดังนี้
1."พระอรหันต์ผู้บรรลุธรรมย่อมปล่อยวางไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง" คำพูดนี้ต้องปรับนิดหนึ่งเพื่อให้ถูกต้องตามธรรม เพราะการปล่อยวาง ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมเป็นผู้ปล่อยวาง แต่ธรรมเขาหมดเหตุหรือปัจจัยสลายตัวไปเอง
ผู้บรรลุธรรมถึงระดับพระอรหันต์นั้นท่านหมดเหตุคือสักกายทิฐิและมานะทิฐิ อันหมายถึงความเป็นตัวตนทั้งหยาบและละเอียดแล้ว จึงไม่มีใครปล่อยวางอะไรในจิตดวงที่ถึงอรหัตผลแล้ว

2."การปฏิบัติธรรมมันคือให้เราไปติดในวิธีแต่แรกเริ่ม" ความข้อนี้คุณต้องพิจารณาให้ดี อุปมาอุปมัยที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายโดยไม่ต้องอาศัยการอ้างหลักฐานในคัมภีร์เป็นอย่างนี้

เป็นธรรมดาของการทำบันได สำหรับไต่ขึ้นสู่ที่สูงชันหรือยอดเขา(อันดุจการไต่เต้าจากปุถุชนขึ้นไปสู่ความเป็นอริยชน)ช่างผู้ชาญฉลาดย่อมจะต้องทำราวบันไดที่แข็งแรงขึ้นมาไว้ด้วยเพื่อให้ผู้ใช้บันไดได้ยึดจับโหนเหนี่ยวพาตัวขึ้นไปให้ถึงยอดเขา เมื่ออาศัยราวบันไดพาตัวขึ้นไปถึงยอดเขาได้แล้ว เป็นธรรมดาอยู่เองที่บุคคลผู้นั้นจะต้องปล่อยหรือทิ้งราวบั้นไดไปเขาจึงจะได้เดินทางต่อไปชมทิวทัศน์อันสวยงามและที่พักอันร่มเย็นสุขสงบบนยอดเขา

......คนที่ยังติดยึดในราวบันได ชื่นชมสำนึกอยู่แต่คุณของราวบันไดที่ช่วยพาตนมาถึงที่สูงไม่ยอมปล่อยไม่ยอมทิ้งราวบันได เขาจะไปต่อที่ไหนได้ก็ได้แต่กอดราวบันไดหรือหัวกระไดอยู่ด้วยความชื่นชมแถมยังอาจจะคอยตระโกนสอนบอกกล่าวผู้คนที่สาวขึ้นราวบั้นไดมาว่า "ให้ยึดราวบันไดให้ดีอย่าปล่อยอย่าทิ้ง คุณไม่มีราวบันไดคุณจะไม่มาถึงจุดสูงสุด(หัวกระได) ที่ฉันมาถึงนี้หรอกนะ(แต่ตัวเองก็ไม่ยไปไหนต่อเพราะหลงชื่นชมและติดยึดอยู่ที่หัวกระได)

........ลองไปจินตนาการกันดูให้เห็นภาพนี้นะครับ ทุกท่านจะได้เข้าใจถึงคุณค่าของวิธีปฏิบัติและการใช้ประโยชน์จากวิธีปฏิบัติ

3.อย่างคุณkreangsit_rru นี่อาจจะเป็นคนที่มีพละกำลังแข็งแรงดี ได้สะสมความฝึกฝนกำลัง การทรงตัวมาดีแต่อดีต จึงอาจจะไต่ขึ้นบั้นไดที่สูงชันโดยไม่ต้องอาศัยยึดสาวราวบันไดขึ้นไปก็ได้ เป็นวิสัยที่ทำได้แต่ไม่ค่อยจะมีมากคนนัก คือเริ่มต้นจากความรู้และควาเห็นที่ถูกต้องตามธรรมแล้วออกเดินทางไปโดยไร้กระบวนท่าและวิธีการที่ถูกกำหนดกฏเกณฑ์ไว้ แต่เป็นการเดินทางไปด้วยกำลังแห่งเหตุแลปัจจัยตามสถานการณ์ปัจจุบัน(เอาสติ ปัญญา สมาธิ มามนสิการด้วยโยนิโสอยู่กับปัจุบันอารมณ์โดยธรรมชาติข้างในเขาเป็นเอง)

......เมื่อเริ่มแรกวางจิตวางใจหรือสติปัญญาไว้ถูกที่ถูกทางแล้ว ธรรมเขาจะพากันไหลไปเองตามธรรม
(เมื่อวางสติปัญญาลงบนทางสายกลางคือมรรคมีองค์ 8 ได้ถูกต้องแล้วธรรมเขาจะไหลไปสู่ที่หมายคือนิโรธสัจจะหรือนิพพานตามธรรม)
เอวัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานเซ็น

“ใครชนะ”

ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน

มีประเพณีอย่างหนึ่งของพระภิกษุนิกายเซ็น คือ พระภิกษุอาคันตุกะ ที่เดินทางมาถึงที่วัดใด จะต้องตอบปัญหาธรรมชนะพระภิกษุที่อยู่ก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าพักได้
ถ้าแพ้ก็ต้องเดินทางหาวัดใหม่ต่อไป

วันหนึ่ง มีพระอาคันตุกะองค์หนึ่ง จาริกมาจากที่ไกลถึงที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น มีพระภิกษุพี่น้อง 2 องค์อาศัยอยู่ องค์พี่เป็นผู้คงแก่เรียนรอบรู้แตกฉานมาก

องค์น้องนอกจากจะตาบอดข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสติปัญญาค่อนข้างทึบอีกด้วย เมื่อทราบระเบียบว่า จะต้องมีการโต้ธรรมะกันก่อนเข้าพักอาศัย พระอาคันตุกะก็ยินดีปฏิบัติตาม
แต่เนื่องจากพระองค์พี่เหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาทั้งวัน จึงได้มอบให้พระองค์น้องทำหน้าที่โต้ปัญหาธรรมแทน และได้แนะให้พระองค์น้องใช้วิธีโต้ปัญหาแบบ "เงียบ"

พระทั้งสององค์จึงไปยังที่บูชา จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วการโต้ปัญหาธรรมะก็เริ่มขึ้น
ชั่วครู่เดียวพระอาคันตุกะก็เดินออกไปหาพระองค์พี่ แล้วกล่าวว่า "น้องชายท่านเก่งเหลือเกิน ผมยอมแพ้แล้ว "

"ท่านโต้ปัญหากันว่าอย่างไรล่ะ" พระองค์พี่ถาม

พระอาคันตุกะจึงชี้แจงว่า "ทีแรกผมชูนิ้วขึ้นมาก่อนหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึงพระพุทธ น้องชายของท่านชูสองนิ้วตอบ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมด้วย
ผมจึงชูสามนิ้วตอบ ซึ่งหมายถึงว่าถ้าจะให้ครบ ก็ต้องมีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วย
คราวนี้น้องชายท่านกลับชูกำปั้นมาที่หน้าผม ซึ่งหมายความว่า จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียว คือสัจธรรม

ผมจึงว่า น้องท่านเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่"

พระภิกษุอาคันตุกะกล่าวแล้ว ก็ลาพระภิกษุองค์พี่เดินทางต่อไป

สักครู่ พระองค์น้องก็เข้ามาหาพระพี่ชายอย่างเร่งรีบ แล้วถามหาพระอาคันตุกะว่า "เจ้าหมอนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?"

"เธอชนะเขาแล้วไม่ใช่หรือ ?" พระผู้พี่ถามด้วยความสงสัย

"ชนะกะผีอะไรล่ะ" พระองค์น้องโกรธ

"เธอโต้ปัญหากับเขาว่าอย่างไรล่ะ?" พระองค์พี่ถามต่อ

"โต้อย่างไรนะหรือ" พระองค์น้องตะโกน

"พอเห็นหน้าผมเท่านั้น มันก็ชูนิ้วเดียวมาที่หน้าผม ซึ่งมันดูหมิ่นว่าผมมีตาข้างเดียว ผมสู้อดทนเพราะเห็นว่าเป็นแขก จึงชูตอบไปสองนิ้ว แสดงความยินดีที่เขามีตาครบบริบูรณ์
แทนที่มันจะรู้ตัว มันกลับชูนิ้วกลับมาอีกสามนิ้ว ซึ่งหมายความว่า ทั้งผมและมันมีตารวมกันอยู่สามตา
อย่างนี้ไม่ใช่เยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร

ผมเหลืออดจริงๆ จึงชูกำปั้นขึ้นมาจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่มันกลับวิ่งออกมาเสียก่อน"

:b32: :b32: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 12:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
ใครรู้ช่วยตอบหน่อย....
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 12:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 22:35
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ พี่อ่านตัวอย่างส้มตำของน้องลูกพระป่าแล้วพี่ก็มีเรื่องเล่าอยากให้น้องพระป่าตอบเหมือนกันครับ


พี่ก็มีเรื่องที่เล่าคุณน้องพระป่าช่วยอ่านแล้วตอบคำถามทีหลังสักหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
เรื่องมีอยู่ว่า เอกเคยจมน้ำมาก่อน และเป็นคนที่กลัวน้ำอย่างมาก แม่ของเด็กชายเอกเปนห่วงเรื่องนี้มาก ด้วยความรักลูกจึงอยากให้เอกเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่วันที่เริ่มเรียนเอกก็พยายามอย่างมากจนในที่สุด เอกก็กลายเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แข่งงานกีลาสีก็ชนะได้เหรียญทอง แต่เอกไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ฝึกซ้อมว่ายน้ำไปทุกวันๆ เป็น ปี เป็น สิบปี ใช้แรงผลักดันของคนที่กลัวน้ำเพราะเคยจมน้ำให้เป็นประโยชน์ จนในที่สุด เอกประสบความสำเร็จใหญ่โต เป็นแชมป์ว่ายน้ำระดับประเทศ แล้วน้องพระป่าคิดว่าหากพวกเราไปบอกให้เอกว่าให้เลิกหยุดว่ายน้ำตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ห้ามลงว่ายน้ำอีก เค้าจะทำได้ไหมครับ ทั้งๆที่เค้าเคยชินกับการว่ายน้ำมาหลายสิบปีมีควาภาคภูมิใจกับความชนะในการแข่งขันว่ายน้ำ หรือทำได้เค้าจะยอมทำตามที่เราบอกไหมครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 23:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
สวัสดีครับ พี่อ่านตัวอย่างส้มตำของน้องลูกพระป่าแล้วพี่ก็มีเรื่องเล่าอยากให้น้องพระป่าตอบเหมือนกันครับ


พี่ก็มีเรื่องที่เล่าคุณน้องพระป่าช่วยอ่านแล้วตอบคำถามทีหลังสักหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
เรื่องมีอยู่ว่า เอกเคยจมน้ำมาก่อน และเป็นคนที่กลัวน้ำอย่างมาก แม่ของเด็กชายเอกเปนห่วงเรื่องนี้มาก ด้วยความรักลูกจึงอยากให้เอกเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่วันที่เริ่มเรียนเอกก็พยายามอย่างมากจนในที่สุด เอกก็กลายเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แข่งงานกีลาสีก็ชนะได้เหรียญทอง แต่เอกไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ฝึกซ้อมว่ายน้ำไปทุกวันๆ เป็น ปี เป็น สิบปี ใช้แรงผลักดันของคนที่กลัวน้ำเพราะเคยจมน้ำให้เป็นประโยชน์ จนในที่สุด เอกประสบความสำเร็จใหญ่โต เป็นแชมป์ว่ายน้ำระดับประเทศ แล้วน้องพระป่าคิดว่าหากพวกเราไปบอกให้เอกว่าให้เลิกหยุดว่ายน้ำตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ห้ามลงว่ายน้ำอีก เค้าจะทำได้ไหมครับ ทั้งๆที่เค้าเคยชินกับการว่ายน้ำมาหลายสิบปีมีควาภาคภูมิใจกับความชนะในการแข่งขันว่ายน้ำ หรือทำได้เค้าจะยอมทำตามที่เราบอกไหมครับ ขอบคุณครับ

**สวัสดีครับพี่ kreangsit_rru :b8:
จากที่อ่านเรื่องที่พี่ยกมานี้บอกตามตรงว่าผมมีจุดหนึ่งที่สงสัยคือ เหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องบอกให้เอกเลิกว่ายน้ำอีกต่อไปนั้นคืออะไรครับ แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งเล็กๆในเรื่องนี้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมบอกได้อย่างเต็มปากก็คือ การที่เอกจะหยุดว่ายน้ำได้หรือไม่นั้นบุคคลรอบข้างไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ปัจจัยหลักนั้นอยู่ที่ตัวของเอกเองว่า จะเห็นและเข้าใจในเหตุและผลที่บุคคลรอบข้างได้บอกเพื่อให้เอกหยุดว่ายน้ำหรือไม่
**ถ้าหากเรื่องที่พี่ยกมานี้มีนัยหมายถึงการปล่อยวาง คือการให้เอกปล่อยวางเลิกยึดติดกับการว่ายน้ำ ที่เอกได้ทุ่มเทพยายามจนประสบความสำเร็จมากมายไปเปรียบกับการปล่อยวางในอัตตา ในอุปทาน สังขาร ที่พระอาจารย์ทั้งหลายได้บอกได้สั่งสอนอบรมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มุ่งปฏิบัติธรรม เจริญศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อการละและปล่อยวางนั้น.....ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ
>>ผู้ที่แสวงหาการปล่อยวางนั้นคือผู้ที่เห็นโทษแห่งความยึดมั่นถือมั่น เพราะเห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่นท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้เสาะแสวงหาวิธีการที่จะดับความยึดมั่นถือมั่นซึ่งก็คือการปล่อยวางในอุปทานนั่นเอง...กล่าวได้ว่าเพราะเห็นความทุกข์จากโทษคือความยึดมั่นถือมั่น ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่พึงให้ความทุกข์เหล่านั้นเกิดขึ้นมาแก่ท่านทั้งทางกายและใจ เมื่อไม่พึงให้ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาได้อีกท่านจึงแสวงหาวิธีการดับซึ่งความทุกข์อย่างสิ้นเชิง...พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าความจริงแล้วพระพุทธเจ้าตลอดจนพระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขหรือแสวงหาความสุข แต่ปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์หรือแสวงหาความดับทุกข์ต่างหาก ส่วนความสุขนั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่ทุกข์ทั้งหลายได้ดับไป
>>ในกรณีของเอกถ้าเราคิดจะให้เอกเลิกว่ายน้ำ โดยการบอกการโน้มน้าวด้วยเหตุผลว่าถ้าเลิกว่ายน้ำแล้วไปทำอย่างอื่นแทนแล้วเอกจะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเงินทอง มีความสุขมากมายกว่าที่ได้มาจากการว่ายน้ำ นั่นก็ไม่ใช้การปล่อยวางเป็นแค่การเปลี่ยนสิ่งที่ให้เอกเอาไปยึดมั่นถือมั่นแทนว่ายน้ำเท่านั้นเองครับ
>>"อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นผู้กระทำตนให้เป็นไป ดีชั่ว สุขทุกข์ สูงต่ำ ปล่อยวางหรือยึดมั่น ก็อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้นครับ ถ้าเอกจะปล่อยวางได้จริงๆก็ต้องขึ้นอยู่กับเอกเองว่าจะเลือกอะไร เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหลายทั้งมวลก็เป็นอนิจจังด้วยกันทั้งนั้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
สวัสดีครับ พี่อ่านตัวอย่างส้มตำของน้องลูกพระป่าแล้วพี่ก็มีเรื่องเล่าอยากให้น้องพระป่าตอบเหมือนกันครับ


พี่ก็มีเรื่องที่เล่าคุณน้องพระป่าช่วยอ่านแล้วตอบคำถามทีหลังสักหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
เรื่องมีอยู่ว่า เอกเคยจมน้ำมาก่อน และเป็นคนที่กลัวน้ำอย่างมาก แม่ของเด็กชายเอกเปนห่วงเรื่องนี้มาก ด้วยความรักลูกจึงอยากให้เอกเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่วันที่เริ่มเรียนเอกก็พยายามอย่างมากจนในที่สุด เอกก็กลายเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แข่งงานกีลาสีก็ชนะได้เหรียญทอง แต่เอกไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ฝึกซ้อมว่ายน้ำไปทุกวันๆ เป็น ปี เป็น สิบปี ใช้แรงผลักดันของคนที่กลัวน้ำเพราะเคยจมน้ำให้เป็นประโยชน์ จนในที่สุด เอกประสบความสำเร็จใหญ่โต เป็นแชมป์ว่ายน้ำระดับประเทศ แล้วน้องพระป่าคิดว่าหากพวกเราไปบอกให้เอกว่าให้เลิกหยุดว่ายน้ำตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ห้ามลงว่ายน้ำอีก เค้าจะทำได้ไหมครับ ทั้งๆที่เค้าเคยชินกับการว่ายน้ำมาหลายสิบปีมีควาภาคภูมิใจกับความชนะในการแข่งขันว่ายน้ำ หรือทำได้เค้าจะยอมทำตามที่เราบอกไหมครับ ขอบคุณครับ




:b12: คุณติดในความคิด(เหตุผล หรือที่คุณเข้าใจ)มากเกินไปครับ ลองลืมตามองสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นสภาวะแห่งการเข้าแจ้งกระจ่าง คุณจะยอมจำนนต่อธรรมชาติอย่างไม่มีบิดพริ้ว คุณจะทำได้แค่เพียงคลายมือออก ปล่อยไห้สิ่งที่คุณยึดมั่นมาล่วงหล่นลงไป ยืนตัวเบาสบายโดยไม่สนใจหยิบมันขึ้นมาอีก

นั่นคือสภาวะที่หมดคำถาม จริงๆ

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
kreangsit_rru เขียน:
สวัสดีครับ พี่อ่านตัวอย่างส้มตำของน้องลูกพระป่าแล้วพี่ก็มีเรื่องเล่าอยากให้น้องพระป่าตอบเหมือนกันครับ


พี่ก็มีเรื่องที่เล่าคุณน้องพระป่าช่วยอ่านแล้วตอบคำถามทีหลังสักหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
เรื่องมีอยู่ว่า เอกเคยจมน้ำมาก่อน และเป็นคนที่กลัวน้ำอย่างมาก แม่ของเด็กชายเอกเปนห่วงเรื่องนี้มาก ด้วยความรักลูกจึงอยากให้เอกเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่วันที่เริ่มเรียนเอกก็พยายามอย่างมากจนในที่สุด เอกก็กลายเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แข่งงานกีลาสีก็ชนะได้เหรียญทอง แต่เอกไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ฝึกซ้อมว่ายน้ำไปทุกวันๆ เป็น ปี เป็น สิบปี ใช้แรงผลักดันของคนที่กลัวน้ำเพราะเคยจมน้ำให้เป็นประโยชน์ จนในที่สุด เอกประสบความสำเร็จใหญ่โต เป็นแชมป์ว่ายน้ำระดับประเทศ แล้วน้องพระป่าคิดว่าหากพวกเราไปบอกให้เอกว่าให้เลิกหยุดว่ายน้ำตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ห้ามลงว่ายน้ำอีก เค้าจะทำได้ไหมครับ ทั้งๆที่เค้าเคยชินกับการว่ายน้ำมาหลายสิบปีมีควาภาคภูมิใจกับความชนะในการแข่งขันว่ายน้ำ หรือทำได้เค้าจะยอมทำตามที่เราบอกไหมครับ ขอบคุณครับ

**สวัสดีครับพี่ kreangsit_rru :b8:
จากที่อ่านเรื่องที่พี่ยกมานี้บอกตามตรงว่าผมมีจุดหนึ่งที่สงสัยคือ เหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องบอกให้เอกเลิกว่ายน้ำอีกต่อไปนั้นคืออะไรครับ แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งเล็กๆในเรื่องนี้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมบอกได้อย่างเต็มปากก็คือ การที่เอกจะหยุดว่ายน้ำได้หรือไม่นั้นบุคคลรอบข้างไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ปัจจัยหลักนั้นอยู่ที่ตัวของเอกเองว่า จะเห็นและเข้าใจในเหตุและผลที่บุคคลรอบข้างได้บอกเพื่อให้เอกหยุดว่ายน้ำหรือไม่
**ถ้าหากเรื่องที่พี่ยกมานี้มีนัยหมายถึงการปล่อยวาง คือการให้เอกปล่อยวางเลิกยึดติดกับการว่ายน้ำ ที่เอกได้ทุ่มเทพยายามจนประสบความสำเร็จมากมายไปเปรียบกับการปล่อยวางในอัตตา ในอุปทาน สังขาร ที่พระอาจารย์ทั้งหลายได้บอกได้สั่งสอนอบรมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มุ่งปฏิบัติธรรม เจริญศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อการละและปล่อยวางนั้น.....ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ
>>ผู้ที่แสวงหาการปล่อยวางนั้นคือผู้ที่เห็นโทษแห่งความยึดมั่นถือมั่น เพราะเห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่นท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้เสาะแสวงหาวิธีการที่จะดับความยึดมั่นถือมั่นซึ่งก็คือการปล่อยวางในอุปทานนั่นเอง...กล่าวได้ว่าเพราะเห็นความทุกข์จากโทษคือความยึดมั่นถือมั่น ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่พึงให้ความทุกข์เหล่านั้นเกิดขึ้นมาแก่ท่านทั้งทางกายและใจ เมื่อไม่พึงให้ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาได้อีกท่านจึงแสวงหาวิธีการดับซึ่งความทุกข์อย่างสิ้นเชิง...พิจารณาให้ดีจะเห็นว่าความจริงแล้วพระพุทธเจ้าตลอดจนพระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขหรือแสวงหาความสุข แต่ปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์หรือแสวงหาความดับทุกข์ต่างหาก ส่วนความสุขนั้นเป็นผลพลอยได้จากการที่ทุกข์ทั้งหลายได้ดับไป
>>ในกรณีของเอกถ้าเราคิดจะให้เอกเลิกว่ายน้ำ โดยการบอกการโน้มน้าวด้วยเหตุผลว่าถ้าเลิกว่ายน้ำแล้วไปทำอย่างอื่นแทนแล้วเอกจะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเงินทอง มีความสุขมากมายกว่าที่ได้มาจากการว่ายน้ำ นั่นก็ไม่ใช้การปล่อยวางเป็นแค่การเปลี่ยนสิ่งที่ให้เอกเอาไปยึดมั่นถือมั่นแทนว่ายน้ำเท่านั้นเองครับ
>>"อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นผู้กระทำตนให้เป็นไป ดีชั่ว สุขทุกข์ สูงต่ำ ปล่อยวางหรือยึดมั่น ก็อยู่ที่ตัวเองทั้งนั้นครับ ถ้าเอกจะปล่อยวางได้จริงๆก็ต้องขึ้นอยู่กับเอกเองว่าจะเลือกอะไร เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหลายทั้งมวลก็เป็นอนิจจังด้วยกันทั้งนั้นครับ



:b8: สาธุ กล่าวดีแล้วครับ :b8:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
สวัสดีครับ พี่อ่านตัวอย่างส้มตำของน้องลูกพระป่าแล้วพี่ก็มีเรื่องเล่าอยากให้น้องพระป่าตอบเหมือนกันครับ


พี่ก็มีเรื่องที่เล่าคุณน้องพระป่าช่วยอ่านแล้วตอบคำถามทีหลังสักหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
เรื่องมีอยู่ว่า เอกเคยจมน้ำมาก่อน และเป็นคนที่กลัวน้ำอย่างมาก แม่ของเด็กชายเอกเปนห่วงเรื่องนี้มาก ด้วยความรักลูกจึงอยากให้เอกเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่วันที่เริ่มเรียนเอกก็พยายามอย่างมากจนในที่สุด เอกก็กลายเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แข่งงานกีลาสีก็ชนะได้เหรียญทอง แต่เอกไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ฝึกซ้อมว่ายน้ำไปทุกวันๆ เป็น ปี เป็น สิบปี ใช้แรงผลักดันของคนที่กลัวน้ำเพราะเคยจมน้ำให้เป็นประโยชน์ จนในที่สุด เอกประสบความสำเร็จใหญ่โต เป็นแชมป์ว่ายน้ำระดับประเทศ แล้วน้องพระป่าคิดว่าหากพวกเราไปบอกให้เอกว่าให้เลิกหยุดว่ายน้ำตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ห้ามลงว่ายน้ำอีก เค้าจะทำได้ไหมครับ ทั้งๆที่เค้าเคยชินกับการว่ายน้ำมาหลายสิบปีมีควาภาคภูมิใจกับความชนะในการแข่งขันว่ายน้ำ หรือทำได้เค้าจะยอมทำตามที่เราบอกไหมครับ ขอบคุณครับ

การจะแนะนำใคร หรือสอนใคร เราต้องมีวิธีการ การจะชี้ให้เห็นธรรม
เราต้องชี้ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เห็นทุกข์และการไม่สามารถบังคับให้สิ่งนั้นอยู่กับเราได้นานๆ

การที่คุณถามคำถามว่า "ให้ไปแนะนำให้แชมป์ว่ายน้ำหยุดว่ายน้ำ" ผมว่าเป็นคำถาม
ที่ไม่เข้าท่า ไร้เหตุผลครับ

มันต้องถามว่า ....
"ทำอย่างไรจะให้ เอกเลิกยึดติดความพากภูมิใจกับการเป็นแชมป์ว่ายน้ำ"

ถามคำถามที่ไร้เหตุผล แล้วจะเอาคำตอบที่มีเหตุผลจากที่ไหน
มันก็ได้แต่ความเพ้อเจ้อ ที่ภาษาธรรมเรียกว่า ฟุ้งนั้นแหล่ะครับ
ผมยังแปลกใจเลยครับว่า ยังมีคนตอบคำถามคุณได้ ทั้งๆที่
ในทางธรรมแล้วมันไม่มีเหตุผลจะมาตอบคำถามของคุณ

ตลกดีครับ ทั้งคนถามและคนตอบ
แบบนี้เรียกว่าพอกันฟุ้งทั้งคู่ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตลกดีครับ ทั้งคนถามและคนตอบ
แบบนี้เรียกว่าพอกันฟุ้งทั้งคู่ :b13:


เห็นด้วยครับ ไม่รู้ตอบไปได้ยังไง แต่ก็ดันมีคนแถวๆนี้เข้ามาตอบนะ
ตลกดีนะ บางคนดีแต่ว่าคนอื่นแต่ตัวเองก็เข้ามาตอบ ซะเอง แบบนี้เรียกว่าฟุ้งคูณสอง

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
งานกีลาสี


งานกีลาสี มันเป็นยังไงเหรอครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้จักเลย โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยสอน
ช่วยอธิบายคำว่า กีลาสี ด้วยนะครับ อยากรู้ว่ามันคืออะไร

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงธรรม เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ตลกดีครับ ทั้งคนถามและคนตอบ
แบบนี้เรียกว่าพอกันฟุ้งทั้งคู่ :b13:


เห็นด้วยครับ ไม่รู้ตอบไปได้ยังไง แต่ก็ดันมีคนแถวๆนี้เข้ามาตอบนะ
ตลกดีนะ บางคนดีแต่ว่าคนอื่นแต่ตัวเองก็เข้ามาตอบ ซะเอง แบบนี้เรียกว่าฟุ้งคูณสอง

อยากเอาคืนก็ให้มัน ชัวร์ให้มันแน่ใจก่อนว่า จะไม่ขายขี้หน้า :b13:

พุดโธ่ ! มองอย่างไรว่าผมเข้ามาตอบ ผมเข้ามาชี้จุดบกพร่องของความเห็น
คุณเสียงสั่นครับ ผมจะแนะนำสุภาษิตคนจีนให้ครับ "แค้นสิบปีไม่สาย"
ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ เอาที่ว่าตัวแน่ใจ ค่อยๆเค้นค่อยบีบสติปัญญาอันน้อยนิดให้ได้เสียก่อน
แล้วค่อยลงมือ

ถามครับกำลังเอามีดแทงผม หรือยื่นมีดมาให้ผมแทงคุณกันแน่ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงธรรม เขียน:
kreangsit_rru เขียน:
งานกีลาสี


งานกีลาสี มันเป็นยังไงเหรอครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้จักเลย โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยสอน
ช่วยอธิบายคำว่า กีลาสี ด้วยนะครับ อยากรู้ว่ามันคืออะไร

พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! นิดๆหน่อยๆก็เอา ได้หน้าได้ตาไปเท่าไรแล้วครับ
เรื่องธรรมไม่รู้เรื่อง หากินกับตัวหนังสือก็เอาดี โอ้ละหนอ คนเอ๋ยคน :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อยากเอาคืนก็ให้มัน ชัวร์ให้มันแน่ใจก่อนว่า จะไม่ขายขี้หน้า :b13:

พุดโธ่ ! มองอย่างไรว่าผมเข้ามาตอบ ผมเข้ามาชี้จุดบกพร่องของความเห็น
คุณเสียงสั่นครับ ผมจะแนะนำสุภาษิตคนจีนให้ครับ "แค้นสิบปีไม่สาย"
ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ เอาที่ว่าตัวแน่ใจ ค่อยๆเค้นค่อยบีบสติปัญญาอันน้อยนิดให้ได้เสียก่อน
แล้วค่อยลงมือ

ถามครับกำลังเอามีดแทงผม หรือยื่นมีดมาให้ผมแทงคุณกันแน่ครับ :b13:


พุดโธ่เอ๊ย! เจ้าจอร์จ ถ้วยถังกะละมังคว่ำ พูดมาได้ยังไงว่าไม่ได้เข้ามาตอบ ทั้งๆที่ตัวเองแพล่มไว้
ซะยาวเป็นลี้ อ่อ เถียงเหรอ นี่ไง


viewtopic.php?f=1&t=41093&start=30
โฮฮับ เขียน:
kreangsit_rru เขียน:
ช่วยอธิบายผมทีครับแต่กรุณาอย่ายกหนังสือหรือพระไตรปิฎกมาอธิบายนะครับ ผมเชื่อในพระพุทธเจ้าว่าท่านสอนให้คนบรรลุได้จริง แต่คำสั่งสอนของท่านก็ทุกแก้ไขปรับปรุงมาหลายครั้งแล้ว ก็อาจจะมีผิดพลาดกันได้ วอนผู้รู้จริงมีสภาวะปฏิบัติได้จริงช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ_

คุณเกรียงครับ พระไตรปิฎกเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือที่สุดในพุทธศาสนานะครับ
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ก็มีพระธรรมหรือพระไตรปิฎกนี่แหล่ะ
ที่ใช้เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

การที่มีคนบอกว่าพระไตรปิฎกผิดพลาดไม่น่าเชื่อถือ มันมีสาเหตุจาก
ผู้ที่อ่านยังไม่มีปัญญาหรืออาจกล่าวว่ายัมีกิเลสที่เรียกว่า วิจิกิจฉาอยู่
จึงทำให้ไม่สามารถอ่านพระไตรปิฎกให้เข้าใจได้
สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เจ้าสำนักบางท่าน พยายามอธิบายพระธรรม
หรือสอนพระไตรปิฎกไปตามความคิดความอ่านของตัวเอง มันจึงทำให้เกิด
บัญญัติต่างๆขึ้นมากมาย สิ่งนี้แหล่ะทำให้เกิดปัญหาเกิดสับสนในพระธรรม
ของผู้ปฏิบัติครับ
kreangsit_rru เขียน:
คือผมอยากทราบว่า การที่เราปฏิบัติธรรมมันจะเข้าถึงภูมิอรหันต์ได้จริงหรอ ตามที่ได้ศึกษามาการปฏิบัติธรรมมันเป็นคนละอย่างกับการปล่อยวาง ตามที่รู้มาคือพระอรหันต์ผู้บรรลุธรรมย่อมปล่อยวางไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง ไม่มีตัวตน ว่างจากทุกสิ่ง แต่การปฏิบัติธรรมมันคือให้เราไปติดในวิธีแต่แรกเริ่ม แล้วเราจะไปถึงจุดสุดท้ายคือบรรลุธรรมได้หรอครับ เพราะมันก็ไม่วางวิธีปฏิบัติสักทีสิครับ
วอนผู้รู้จริงมีสภาวะปฏิบัติได้จริงช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ_

ที่คุณกำลังมีปัญหากับคำว่า"ปฏิบัติธรรม"ก็เป็นเพราะคุณกำลังไปสร้างอัตตาให้กับมันครับ
กำลังทำให้มันมีตัวมีตนขึ้นมา เลยทำให้เกิดความอยากรู้เกิดความสงสัยขึ้นมา

การปฏิบัติธรรมที่แท้ มันก็ไม่มีอะไรเลิศหรูวิจิตรอลังการ ไม่มีสถานะ
ไม่เลือกสถานที่ สิ่งสำคัญที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมก็คือการรู้กายและใจของตนเอง
สิ่งที่พวกเรากำลังค้นหามันก็อยู่ที่กายใจของตน

กายใจอริยบุคคลเป็นอย่างไร กายใจของปุถุชนก็เป็นอย่างนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันก็คือ
คนหนึ่งรู้ แต่อีกคนไม่รู้

เปรียบกับการดูหนังดูละคร บางครั้งเราเกิดไปอินเอาตัว
ละครบางตัวมาเป็นเรา สิ่งนี้แหล่ะที่เรียกว่าความยึดมั่นหรือไม่รู้ แต่เมื่อเรารู้สึกว่า
ตัวละครตัวนั้นไม่ใช่เราจริง นั้นแหล่ะจึงเรียกว่ารู้แล้ว


กายใจเราก็เหมือนกันต้องดูให้มันเป็นตัวละคร
บางครั้งกายใจทำกุศลหรือบางครั้งพลาดพลั้งไปทำอกุศล
ก็ต้องเข้าใจว่า มันเป็นแค่ตัวละครที่เล่นไปตามบท
ต้องให้กายใจเราจบไปพร้อมกับละครด้วย


โฮฮับ เขียน:
kreangsit_rru เขียน:
ผมเห็นด้วยกับคุณ ที่ว่ากะบวนการในการปฏิบัติธรรม เป็นกระบวนการในการถอดถอนการปรุงเเต่งในสิ่งต่างๆ ที่จะมากระทบเรา
แต่ผมกำลังสงสัยว่าในหลายๆสำนักนั้นสอนในวิธีการต่างๆกัน บางสำนักก็สอนเรื่องการเจริญสติในการควบคุมอารมณ์ บางสำนักก็สอนให้บริกรรมพุธโธ แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็นการฝึกเข้าไปควบคุมสภาวะธรรมทั้งนั้นมิใช่หรือครับ แค่เริ่มต้นก็ฝึกเข้าไปควบคุมสภาวะธรรมซะแล้ว แล้วปลายทางจะไปปล่อยวางได้อย่างไร อุปมาเหมือน คนที่อยากเรียนเก่งต้องสร้างเหตุมาดีคือขยันเรียนมากๆ ผลคือเรียนหนังสือเก่ง แต่วิธีส่วนใหญ่ที่เห็นคือปลายทางปล่อยวางแต่เราเริ่มฝึกจากการเข้าไปควบคุมสิ่งต่างๆนี่ครับ ไม่ได้ฝึกฝนในการปล่อยวางแต่แรกแล้วสุดท้ายเราจะปล่อยวางตัวตนได้จริงๆหรือครับ

ที่คุณเกิดความสงสัยเป็นเพราะ เกิดจากต่างคนต่างสอนถูกบ้างผิดบ้างไม่สนใจ
หรือไม่ก็ คุณคิดไม่เหมือนคนอื่น หรือคนอื่นคิดไม่เหมือนคุณ

ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยมันก็เหมือนกับการอุปมาของคุณ ที่ว่าอยากเรียนเก่ง
ต้องขยันเรียนมากๆ การขยันเรียนมันก็คือการรู้ในสิ่งต่างๆที่กำหนดไว้ตามหลักสูตร
การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน มันต้องเรียนรู้ก่อนว่า สภาวะธรรมที่เกิดจากกายใจเรา
มันมีอะไรบ้าง โลภ โกรธหลงมันเป็นอย่างไร กุศลและอกุศลต่างกันอย่างไร
สภาวะธรรมอะไรจะเกิดต้องปล่อย แต่ที่สำคัญต้องรู้ คำว่ารู้มันมีสองสภาวะครับ
คือรู้สึกและระลึกรู้(สติ)

มันเป็นความเข้าใจผิดของคุณครับว่า การเจริญสติ เป็นการควบคุมอารมณ์
แท้จริงแล้วการเจริญสติเป็นการตามระลึกรู้อารมณ์หรือผัสสะที่เปลี่ยนไปทุกขณะ
ส่วนความหมายของการควบคุมอารมณ์ มันคือการบังคับอารมณ์หรือผัสสะให้อยู่ใน
อารมณ์หรือผัสสะนั้นเพียงผัสสะเดียว ไม่ยอมรับรู้ผัสสะอื่นครับ


อนึ่งต้องเข้าใจนะครับว่า การปล่อยอารมณ์ การควบคุมอารมณ์
และการเจริญสติ มันมีความหมายหรือคุณสมบัติในตัวมันนะครับ
การปล่อยอารมณ์มีสองนัยยะครับ คือปล่อยแบบไม่ควบคุม แต่มีสติ
กับการปล่อยแบบไม่ควบคุมไม่มีสติ แบบนี้เรียกว่าหลง รู้ผัสสะแล้วหลง
ไปกับผัสสะนั้นครับ


จะเถียงใครก็รวบรวมสติหน่อยนะครับ อย่าสวนมาไวนัก เดี๋ยวจะหน้าแตกนะครับหนูโฮ รักจะแถ
ก็ต้องใจเย็นๆกว่านี้หน่อย อย่าใจร้อน แถแบบใจร้อนเดี๋ยวสะดุดขาตัวเองหน้าคว่ำนะครับ

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ถามครับกำลังเอามีดแทงผม หรือยื่นมีดมาให้ผมแทงคุณกันแน่ครับ :b13:


ถามครับ กำลังระแวงอยู่ใช่มั้ยครับ กลัวว่าใครจะมาทำร้ายเหรอครับ คนเรานะถ้าไม่เป็นวัวสันหลังหวะ
แล้วไยต้องเกรงกลัว หวาดระแวงว่าใครจะมาทำร้าย นี่เขาเรียกว่ากรรมตามสนองมั้งครับหนูโฮ คงไป
ทำอะไรใครไว้เยอะล่ะสิ่ท่า พอไปเจอใครพูดอะไรแสลงหูเข้าก็เลยเกิดอาการกลัวจนหูสั่น ใจเสาะกลัว
ว่าใครจะมาเอาคืนหรือเปล่า ประมาณว่าร้อนตัวไปเองจนจิตใจอยู่ไม่มีความสุข ร้อนรุ่ม นี่คงเป็นผล
กรรมที่คุณไปทำคนอื่นไว้กระมัง

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร