วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 15:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโสกะครับ ก่อนจะคุยกันต่อ ผมอยากแนะนำครับว่า
กรุณาอย่ามีโทสะต่อกัน พยายามแสดงความเห็นให้อยู่ในกฎกติกาของเว็บ
ไม่ใช่อะไรครับ หลวงพี่พุทธฎีกาแกมายื่นรอบิณทบาตรอยู่ครับ :b13:

asoka เขียน:
:b12:
asoka แสดงความเห็น
คุณโฮฮับคงไม่รู้ว่า "ตัวหนังสือคือสื่อภาษาชนิดหนึ่ง" อย่างที่คุณกำลังสื่ออยู่บนกระทู้ขณะนี้ คุณก็ไม่ได้อัดเสียงมาพูดในกระทู้แต่กลับใช้ตัวหนังสือสื่อคำพูดของคุณอยู่

ที่มาแทรกแสดงความเห็นตอนนี้ก็จงอย่าได้แปลกใจสงสัยหรือคิดคำพูดที่เป็นอกุศลมาว่ากล่าว
นี่เป็นการตามมาช่วยขัดเกลาและเรียกสัมปชัญญะให้กลับเข้าตัวคุณโฮฮับด้วยความปราถนาดีในความที่เป็นเพื่อนผู้ขัดแย้งกันมานานนะครับ


อนุโมทนาสาธุกับคุณเสียงธรรมเป็นอย่างยิ่งที่ทำมหากุศลช่วยขัดเกลาคุณโฮฮับให้หลุดพ้นจากความเห็นผิดยึดผิด

ก็ใช่ไงครับ ตัวหนังสือก็เป็นภาษาอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นแค่ส่วนย่อยของภาษา
ภาษามีตั้งกี่อย่างครับ ภาษาพูด ภาษามือ ภาษาเขียน รูปภาพ
หรือแม้กระทั้งรหัสต่างๆ เช่นการส่งสัญญาณควันฯลฯ
มันมีมากมายแต่ทั้งหมดรวมเรียกว่า...ภาษา

ที่นี้คุณมาดูความเห็นของคุณเสียงธรรมที่โต้ตอบกับผม.....
โฮฮับ เขียน:
เสียงธรรม เขียน:
อ่อ อีกอย่าง ถ้าไม่มีตัวหนังสือก็คงไม่มีคนชื่อโฮฮับ มา
พล่ามซะยาวได้ขนาดนี้หรอกครับ คนเราสื่อสารกันรู้เรื่องก็ด้วยตัวหนังสือ หรือที่คุณเรียกว่าหากิน
กับตัวหนังสือนั่นล่ะ แล้วตัวหนังสือยังบ่งบอกถึงวัฒนธรรม ความเป็นชาติ คนที่ไม่ให้ความสำคัญ
กับตัวหนังสือแสดงว่าพวกนั้นไร้ชาติ ไร้วัฒนธรรม จำไว้หนูโฮ ผีน้อยขี้เหงา

แสดงความเห็นมาได้ตลก แต่มันตลกทั้งน้ำตาครับ คือตลกกับคำพูดและสงสาร
ในสติปัญญาครับ

พุดโถ่! พูดมาได้ว่า คนเราสื่อสารกันด้วยตัวหนังสือ แบบนี้เรียกว่า พูดไม่คิดครับ
มนุษย์หรือคนเขาสื่อสารกันด้วย ภาษา

ถามหน่อย คุณพูดกับคนตาบอดด้วยตัวหนังสือหรือ ในสมัยพุทธกาลมีตัวหนังสือใช้หรือ
เรื่องที่คุณไปแสดงความเหน็บแนม จขกทก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาใช้ภาษาสื่อสารกัน
เพราะมิฉะนั้น คุณจะรู้ได้ไงว่า จขกทเขาเขียนผิด

ผมโต้คุณเสียงธรรมไปว่า คนเราเขาสื่อสารกันด้วย ภาษา
ก็เพราะ ภาษาในโลกนี้มันมีมากมาย ไม่ใช่ตัวหนังสือเพียงเดียว
สู้อุตสาห์ ยกตัวอย่าง คนตาบอด หรือแม้กระทั้งในสมัยพุทธกาล
ก็มีเพียงภาษาพูด ยังมีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ได้

คุณโสกะครับ ผมว่าคุณเอาโทสะความแค้นทิ้งๆมันๆปเสียบ้าง
สติสมาธิจะได้สอดแทรกไปในใจได้บ้างครับ การแสดงความเห็นจะได้
ดูเป็นคนมีความรู้บ้างไม่มากก็น้อยครับ


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานเซ็น

โทสัคติ

สมัยก่อน ตามแถบชานเมืองหรือตามชนบทในประเทศเรา มักจะนิยมฟังพระเทศน์แบบหลายธรรมมาส เช่น 2 หรือ 3 ธรรมมาส ในทำนองปุจฉา วิสัชนา ถาม ตอบกัน มากกว่าจะฟังพระเทศน์องค์เดียวแบบในปัจจุบัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 50-60 ปีมาแล้ว แถบชานเมืองกรุงเทพฯ นี่เอง
วันนั้นชาวบ้านต่างนิมนต์พระที่ได้ชื่อว่า เป็นนักเทศน์ที่ตนเองชื่นชอบมาแสดงธรรมเรื่อง "อาทิตตปริยายสูตร" โดยพระทั้งสามรูปต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อน

สมัยนั้น ขอให้ทราบว่าจะเทศน์เรื่องอะไรเท่านั้น ท่านก็สามารถแสดงธรรมได้ โดยใช้ความสามารถและปฏิภาณของตนเองซักไซ้ไล่เรียงจนผู้ที่นั่งฟังรู้แจ่มแจ้งก่อนเทศน์
พระท่านก็จะมีการสมมุติมอบหมายหน้าที่กัน ปกติองค์กลาง จะรับหน้าที่เป็นผู้ถาม ซักไซ้ไล่เรียง ที่เหลือองค์ซ้ายและองค์ขวาจะมีหน้าที่วิสัชนา ตอบชี้แจงให้เข้าใจ

องค์กลาง เมื่อรับหน้าที่ ก็ดำเนินการซักถามองค์ซ้ายมือก่อนเกี่ยวกับเรื่อง "ไฟคือราคะ" ทั้งสององค์ซักถามโต้ตอบกันด้วยปฏิภาณเป็นที่เฮฮาถูกใจญาติโยมเป็นอย่างยิ่ง

จากนั้น ท่านองค์กลางก็หันมาถามท่านองค์ขวามือ ขอให้วิสัชนา "โทสัคติ" ไฟคือโทสะว่าเป็นอย่างไร

ท่านองค์ที่สามนั่งฟังท่าน 2 องค์แรกโต้ตอบกันอย่างเงียบๆ โดยดุษฎี
พอถูกถามว่า โทสะคืออะไร แทนที่ท่านจะเจื้อยแจ้วเทศน์ตามธรรมเนียม ท่านกลับนั่งนิ่งเงียบ ได้แต่จ้องมองดูท่านองค์กลางอย่างไม่วางตา สร้างความอึดอัดให้กับท่านองค์กลาง และญาติโยมเป็นอย่างยิ่ง

สักพักท่านองค์ที่สามก็เอ่ยเสียงต่ำๆ ไม่ดังนักว่า "ส้นตีน !" แล้วจ้องตาเป๋งไปที่ท่านองค์กลาง

ทุกคนตกตลึงไปหมด ท่านองค์กลางหน้าตาแดงก่ำไม่ยอมสบตากับใคร นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนธรรมมาส ครู่หนึ่งพอสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านองค์ที่สามก็เทศน์วิสัชนาเกี่ยวกับไฟคือโทสะต่อไปอย่างหน้าตาเฉย

http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-zen-30.htm

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
คำพูดของโฮฮับ
"คุณโสกะครับ ผมว่าคุณเอาโทสะความแค้นทิ้งๆมันๆปเสียบ้าง
สติสมาธิจะได้สอดแทรกไปในใจได้บ้างครับ การแสดงความเห็นจะได้
ดูเป็นคนมีความรู้บ้างไม่มากก็น้อยครับ"

cool
คุณโฮฮับเดาผิดและเข้าใจผิดไปจากความจริงมากเลยครับ ผมมิได้มีโทสะ โกรธแค้นอะไรกับคุณโฮฮับเลย
มีแต่หัวเราะหรือยิ้มน้อยๆทุกครั้งที่เห็นและได้อ่านกระทู้ของคุณโฮฮับ
ผมได้บอกไปหลายครั้ังแล้วว่าผมมาแสดงความเห็นในลานธรรมต่างๆด้วยพรหมวิหารธรรมแต่บางครั้งกับคนบางคนที่แข็งมาก็อาจจะต้องแข็งกลับไปบ้างเพื่อกระตุ้นเตือนให้เขารู้ตัวมิได้มีเจตนาเป็นอื่น
ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วยครับ
ดีใจที่ท่านพุทธฎีกาเป็นผู้รักษากฏและคอยเฝ้าสังเกตการณ์ ผมเคารพในความรู้ของท่านมานานแล้วและท่านก็คงจะพอประเมินผมออกว่าเป็นคนเช่นไร จากกระทู้ในลานธรรมจักรนี้และที่ลานธรรมเสวนาและท่านก็คงประเมินคุณโฮฮับไว้แล้วเช่นกัน


สบายใจได้นะครับคุณโฮฮับแสดงภูมิธรรมของคุณให้เต็มที่ตามแนวทางที่คุณถนัด ผู้อ่านเขาจะวินิจฉัยตัดสินใจเอาเองด้วยวิจารณาญาณของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ผมแสดงความเห็นของผม คุณโฮฮับแสดงความเห็นของคุณโฮฮับไป ประโยชน์ให้ตกเป็นของผู้อ่าน สำหรับตัวผมเองก็ได้รับประโยชน์อยู่เสมอเพราะได้ฝึกหัดพัฒนาจิตใจตนเองไปด้วยทุกครั้งที่มีผู้มาขัดให้ อย่างกรณีคุณโฮฮับนี้ผมก็ยังอยากจะบอกเลยว่าขอบพระคุณมากครับที่สนใจมาโต้ตอบแสดงความเห็นในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นมา มันทำให้ขัดสีชำระใจและเกิดความรู้แตกฉานออกไปอีกตั้งหลายอย่างหลายแนวทาง และได้พบด้วยว่าคนที่มีความคิดเห็นอย่างคุณโฮฮับก็มีกับเขาเหมือนกันในโลกนี้
เจริญสุขเจริญธรมนะครับ
:b27: :b8:
onion


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 13:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
ผมมีข้อสงสัยครับ คุณ world2/2554 ครับ
มรรคมีองค์แปดมิได้เป็นมรรคที่สอนให้ติดอยู่กับวิธี แต่เป็นมรรคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานที่เป็นอาชีพสุจริตเป็นต้น ถ้าเช่นนั้น
1. ท่านองคุลีมาลที่สมัยพุทธกาลท่านสังหารคนตายเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนั้นท่านไม่ได้ทำตาม มรรค8 สัมมาอาชีวะ แต่สุดท้ายท่านก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้นี่ครับ

2. ถ้าตอนนี้ผมเป็นคนขาพิการไม่สามารถไปหางานเลี้ยงชีพอย่างสุจริตได้ แสดงว่าตอนนี้ผมคงต้องทิ้งความหวังในการบรรลุธรรม ใช่ไหมครับ ผมเคยอ่านหนังสือธรรมมะบางเล่มเขียนว่า การบรรลุธรรมนั้นสำคัญที่จิต นิพพานก็ที่จิต ไม่ได้สำคัญถึงสิ่งภายนอกอย่างกายสังขารนี่ครับ

3. พระมหาชนกชาติหนึ่งของเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนที่ท่านว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรท่านก็ไม่ได้ทำอาชีพสุจริตนี่ครับ ชาติสุดท้ายท่านยังตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เลยนี่ครับ :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

การปล่อยวางแบบไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งทางใจ แบบนั้น เขาเรียกว่า ปล่อยวางแบบปัญญาอ่อน ....การจะถึงธรรม ธรรมก็หมายถึงทั้งกุศลความดีอกุศลความชั่วและไม่เป็นกุศลแลอกุศล ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเกิดแต่เหตุ จะถึงธรรมที่พึงปราถนาได้ก็ต้องรู้ทำเหตุอันเป็นปัจจัยให้ถึงธรรมนั้น เช่น ท่านคิดว่า อยากจะบรรลุธรรมถึงแดนพ้นทุกข์ อันนี้เป็นความปราถนาดี เป็นความพอใจในธรรม พระอริยะบางท่านก็เรียกว่า ธรรมฉันทะ ทีนี้ท่านคิดปราถนาเอาแล้ว ท่านก็ลงมือทำสิ ทำอย่างไรล่ะ อยากบรรลุ เอ้า พระอริยะท่านดำเนินอย่างไร เบื้องต้นมี มโนสุจริต วจีสุจริต กายสุจริต กรรมทั้งสามสุจริตดีแล้ว ก็เป็นกุศลความดีในเบื้องต้น มีกุศลความดีเพราะปราศจากการเบียดเบียนทั้งหลาย ก็เกิดความสงบระงับได้เร็วเหตุเริ่มจะน้อยๆลง ก็เหลือแต่เพียงมาขัดเกลาชำระจิตใจด้วยสมถะภาวนาบ้าง วิปัสสนาภาวนาบ้าง อย่างนี้ท่านเรียกว่า สัมมาสังกัปโป คือคิดไปในทางที่ถูกอันชอบธรรม พร้อมทั้งยังมีความเพียรระวังมิให้อกุศลเกิดขึ้น หมั่นยังกุศลความดีให้เกิดขึ้น กุศลเกิดขึ้นแล้วก็รักษาไว้ทำให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก เรียกว่า สัมมาวายาโม เป็นต้น ....(1) ท่านองคุลีมาล ท่านบรรลุตอนที่ท่านฆ่าคน หรือหลังจากเลิกฆ่าคนล่ะ (2) การงานสุจริต หมายถึง การแสวงหาที่ได้มาโดยชอบธรรม เช่น บิณฑบาต นี้ก็เป็นการแสวงหาโดยชอบธรรม (3) นั่นล่ะ คือวิริยะบารมี ถ้าจะสงเคราะห์เข้าในมรรคแปด ก็คือ สัมมาวายาโม


โพสต์ เมื่อ: 15 ก.พ. 2012, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
kreangsit_rru เขียน:

ผมมีข้อสงสัยครับ คุณ world2/2554ครับ
มรรคมีองค์แปดมิได้เป็นมรรคที่สอนให้ติดอยู่กับวิธี แต่เป็นมรรคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานที่เป็นอาชีพสุจริตเป็นต้น ถ้าเช่นนั้น
1. ท่านองคุลีมาลที่สมัยพุทธกาลท่านสังหารคนตายเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนั้นท่านไม่ได้ทำตาม มรรค8 สัมมาอาชีวะ แต่สุดท้ายท่านก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้นี่ครับ
onion
ขออนุญาต ช่วยอธิบายเรื่องนี้นะครับ
ท่านองคุลีมาล วางดาบเปื้อนเลือดลงกราบพระพุทธเจ้าด้วยสะดุดคำว่า "เราหยุดแล้วแต่เธอซิยังไม่หยุด"
เมื่อสะดุดใจแล้วจึงเกิดสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อมขึ้นมาละความเห็นผิดก้มกราบรับฟังธรรมจากพระบรมศาสดาเมื่อได้สดับธรรมแล้วน้อมพิจารณาตาม ตอนนี้แหละที่มรรค 8 ข้อที่ 1 - 2 สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะได้ตื่นขึ้นมาทำงาน น้อมสังเกต พิจารณาและรู้ซึ้งไปตามกระแสแห่งธรรมที่พระพุทธองค์ทรงดำรัส
ขณะที่น้อมฟังธรรมอยู่นั้น ศีลมรรคทั้ง 3 ข้อ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะก็บริบูรณ์
สมาธิมรรคก็บริบูรณ์ คือสัมมาวายามะ ความเพียรชอบ สัมมาสติความระลึกชอบ สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบ

[color=#800040]ท้ายสุดแห่งธรรมที่ได้สดับและน้อมสังเกตพิจารณาตาม ความเข้าใจถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)ก็เต็มร้อย โสดาปัตติมรรคญาณ ผลญาณ นิพพาน จึงเกิดขึ้นตามมาทันที
[/color]
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kreangsit_rru เขียน:
ผมมีข้อสงสัยครับ คุณ world2/2554 ครับ
มรรคมีองค์แปดมิได้เป็นมรรคที่สอนให้ติดอยู่กับวิธี แต่เป็นมรรคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานที่เป็นอาชีพสุจริตเป็นต้น ถ้าเช่นนั้น
1. ท่านองคุลีมาลที่สมัยพุทธกาลท่านสังหารคนตายเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนั้นท่านไม่ได้ทำตาม มรรค8 สัมมาอาชีวะ แต่สุดท้ายท่านก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้นี่ครับ

2. ถ้าตอนนี้ผมเป็นคนขาพิการไม่สามารถไปหางานเลี้ยงชีพอย่างสุจริตได้ แสดงว่าตอนนี้ผมคงต้องทิ้งความหวังในการบรรลุธรรม ใช่ไหมครับ ผมเคยอ่านหนังสือธรรมมะบางเล่มเขียนว่า การบรรลุธรรมนั้นสำคัญที่จิต นิพพานก็ที่จิต ไม่ได้สำคัญถึงสิ่งภายนอกอย่างกายสังขารนี่ครับ

3. พระมหาชนกชาติหนึ่งของเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนที่ท่านว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรท่านก็ไม่ได้ทำอาชีพสุจริตนี่ครับ ชาติสุดท้ายท่านยังตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เลยนี่ครับ ::

ความหมายของ สัมมาอาชีวะ ไม่ได้หมายความถึงการประกอบอาชีพ
ถ้าจะจัดการประกอบอาชีพให้อยู่ในมรรค มันจะเป็นเรื่องของ สัมมากัมมันตะ

ส่วนสัมมาอาชีวะ เป็นเรื่องรักษาสมดุลย์ของกาย เช่นการกิน การอยู่ และหลับนอน
ทำอย่างไรให้การกิน การอยู่และหลับนอน ถึงจะพอเหมาะพอควรแก่ฐานานุรูป


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b27:
kreangsit_rru เขียน:

ผมมีข้อสงสัยครับ คุณ world2/2554ครับ
มรรคมีองค์แปดมิได้เป็นมรรคที่สอนให้ติดอยู่กับวิธี แต่เป็นมรรคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานที่เป็นอาชีพสุจริตเป็นต้น ถ้าเช่นนั้น
1. ท่านองคุลีมาลที่สมัยพุทธกาลท่านสังหารคนตายเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนั้นท่านไม่ได้ทำตาม มรรค8 สัมมาอาชีวะ แต่สุดท้ายท่านก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้นี่ครับ
onion
ขออนุญาต ช่วยอธิบายเรื่องนี้นะครับ
ท่านองคุลีมาล วางดาบเปื้อนเลือดลงกราบพระพุทธเจ้าด้วยสะดุดคำว่า "เราหยุดแล้วแต่เธอซิยังไม่หยุด"
เมื่อสะดุดใจแล้วจึงเกิดสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อมขึ้นมาละความเห็นผิดก้มกราบรับฟังธรรมจากพระบรมศาสดาเมื่อได้สดับธรรมแล้วน้อมพิจารณาตาม ตอนนี้แหละที่มรรค 8 ข้อที่ 1 - 2 สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะได้ตื่นขึ้นมาทำงาน น้อมสังเกต พิจารณาและรู้ซึ้งไปตามกระแสแห่งธรรมที่พระพุทธองค์ทรงดำรัส
ขณะที่น้อมฟังธรรมอยู่นั้น ศีลมรรคทั้ง 3 ข้อ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะก็บริบูรณ์
สมาธิมรรคก็บริบูรณ์ คือสัมมาวายามะ ความเพียรชอบ สัมมาสติความระลึกชอบ สัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบ

[color=#800040]ท้ายสุดแห่งธรรมที่ได้สดับและน้อมสังเกตพิจารณาตาม ความเข้าใจถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)ก็เต็มร้อย โสดาปัตติมรรคญาณ ผลญาณ นิพพาน จึงเกิดขึ้นตามมาทันที
[/color]
:b8:

คุณโสกะครับ อธิบายความแบบนี้ คนอื่นเขาไม่เข้าใจหรอกครับ
ลักษณะความเห็นของคุณ เหมือนการต่ออาขยานของเด็กครับ

มันต้องอธิบายครับว่า องคุลีมาลคิดอะไรกับคำตรัสของพระพุทธเจ้า
"ที่ว่าเราหยุดแล้วแต่เธอซิยังไม่หยุด"

ที่คุณว่าเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เห็นถูกอย่างไรเข้าใจถูกอย่างไร
ต้องบอกต้องอธิบายตรงส่วนนี้ครับ ไม่ใช่ตอบเป็นกำปั้นทุบดินแบบนี้ครับ
ถ้าผมเป็นคุณครูผมจะบอกว่า...
นี่เธอเอากลับไปทำมาใหม่ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 17 ก.พ. 2012, 22:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
โฮฮับ เขียน
คุณโสกะครับ อธิบายความแบบนี้ คนอื่นเขาไม่เข้าใจหรอกครับ
ลักษณะความเห็นของคุณ เหมือนการต่ออาขยานของเด็กครับ

มันต้องอธิบายครับว่า องคุลีมาลคิดอะไรกับคำตรัสของพระพุทธเจ้า
"ที่ว่าเราหยุดแล้วแต่เธอซิยังไม่หยุด"

ที่คุณว่าเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เห็นถูกอย่างไรเข้าใจถูกอย่างไร
ต้องบอกต้องอธิบายตรงส่วนนี้ครับ ไม่ใช่ตอบเป็นกำปั้นทุบดินแบบนี้ครับ
ถ้าผมเป็นคุณครูผมจะบอกว่า...
นี่เธอเอากลับไปทำมาใหม่
:b4:
asoka ตอบ
ผมกำลังอธิบายถึงลำดับแห่งธรรมที่พึงเกิดขึ้นกับท่านองคุลีมาลให้พิจารณาว่า
มรรคมีองค์ 8 จะเกิดขึ้นตอนไหน เป็นมรรคตัวใดกำลังทำงานบ้าง


ข้อที่ถามว่าองคุลีมาลคิดอะไรกับคำตรัสของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ผมไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดของท่านองคุลีมาลตอนนั้น หรือว่าคุณโฮฮับมีญาณหยั่งรู้ความคิดของท่านได้ก็ลองนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

แต่สิ่งที่คิดได้ตามหลักของเหตุผลคือ ท่านองคุลีมาลคงเกิดความสะกิดใจว่าคำพูดอย่างนี้เป็นคำพูดของบัณฑิต น่าคิด น่าพิจารณาว่า พระองค์หยุดอะไรได้ ท่านองคุลีมาลยังหยุดอะไรไม่ได้ ด้วยวิสัยของคนมีปัญญามากอย่างท่านองคุลีมาล(อหิงสกะ) จึงเกิดสัมปชัญญะรู้ตัวขึ้นมาว่าเจอบัณฑิตแล้ว จึงได้คลายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ วางดาบ น้อมลงกราบแล้วฟังธรรมจากพระบรมศาสดา

อีกข้อหนึ่งที่ถามว่า ที่คุณว่าเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เห็นถูกอย่างไรเข้าใจถูกอย่างไร
ข้อนี้ทิ้งไว้ในฐานที่เข้าใจ สำหรับชาวพุทธทุกคน ซึ่งน่าจะเคยได้ได้อ่านมรรค 8 แปล และรับทราบความหมายของสัมมาทิฐิ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในในมรรคข้อที่ 1


โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างคุณโฮฮับก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เห็นถูกต้อง หรือสัมมาทิฐิ
ก็คือเห็น ทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์ ดังที่ท่านอหิงสะกะ กำลังรับฟังธรรมและพิจารณาตามธรรมซึ่งพระพุทธเจ้าก็คงทรงแสดงเรื่องอริยสัจ 4 นั่นแหละ ท่านอหิงสะกะได้เห็นตามและเข้าใจเหตุและผล ว่าความมีมานะ อัตตทิฏฐิ อยากเป็นคนก่งที่สุดของอาจารย์ จึงเป็นเหตุก่อกรรมอันหนักหนาสาหัส เพราะอัตตาเพราะความอยากของกูนี่แหละ เพราะฉนั้นถ้าทิ้งกู หรืออัตตทิฏฐินี้เสียได้ก็จักหมดเหตุหมดเรื่อง จิตเข้าใจความจริงจนใจยอมรับและทิ้ง กู ไป ได้เข้าถึงสภาวะหมดกู คือ "อนัตตา" โสดาปัตติมรรคญาณ ผลญาณ นิพพาน จึงเกิดขึ้นมาให้เป็นผลโดยฉับพลันทันที แล้วมีปัจเวกขณญาณจนจบจึงน้อมขอบวชกับพระบรมศาสดา


เอ้า! เมื่อนักเรียน ที่ชอบตีความในพระสูตรมาอย่างผิดๆอย่างคุณโฮฮับแล้วมาเผยแพร่ให้คนเชื่อผิดๆตามอยากจะฟังรายละเอียดก็จึงเล่ามาให้ฟังดังที่กล่าวมาพอเป็นสังเขปข้างต้น
:b12:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 03:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

asoka ตอบ
ข้อที่ถามว่าองคุลีมาลคิดอะไรกับคำตรัสของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ผมไม่อาจล่วงรู้ถึงความคิดของท่านองคุลีมาลตอนนั้น หรือว่าคุณโฮฮับมีญาณหยั่งรู้ความคิดของท่านได้ก็ลองนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

อ้าว! เห็นพูดเป็นคุ้งเป็นแคว พอผมดึงให้เข้าประเด็น ดันตอบไม่อาจล่วงรู้
กับข้อที่ผมถามว่า "องคุลีมาลคิดอย่างไรกับคำตรัสของพระพุทธเจ้า"
เราก็ต้องไปดูคำตรัสนั้นหมายถึงอะไร และไปดูอาการขององคุลีมาลประกอบ
องคุลีมาลทำไมวางดาบเมื่อได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า อยากรู้ความคิดขององคุลีมาล
ก็ต้องไปตีความพิจารณาคำตรัสของพระพุทธเจ้า

ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า"เราหยุดแล้วเธอซิยังไม่หยุด" พระองค์กำลังสอนธรรม
ในเรื่อง สัมมาทิฐิแก่องคุลีมาล ดังนั้นความคิดขององคุลีมาลที่มีต่อคำตรัสนั้นก็คือ
ท่านได้ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แท้จริงแล้วมันเป็น
มิจฉาทิฐิ
asoka เขียน:

แต่สิ่งที่คิดได้ตามหลักของเหตุผลคือ ท่านองคุลีมาลคงเกิดความสะกิดใจว่าคำพูดอย่างนี้เป็นคำพูดของบัณฑิต น่าคิด น่าพิจารณาว่า พระองค์หยุดอะไรได้ ท่านองคุลีมาลยังหยุดอะไรไม่ได้ ด้วยวิสัยของคนมีปัญญามากอย่างท่านองคุลีมาล(อหิงสกะ) จึงเกิดสัมปชัญญะรู้ตัวขึ้นมาว่าเจอบัณฑิตแล้ว จึงได้คลายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ วางดาบ น้อมลงกราบแล้วฟังธรรมจากพระบรมศาสดา

เล่นลอกตำรามาทุกตัวอักษรเลยนะ เคยด่าผมว่าอะไรจำไม่ได้หรือ
คุณนี่แย่กว่าผมอีก ผมเอาพระธรรมมาเทียบเคียงและอธิบายความประกอบ
คุณเล่นยกมาทั้งดุ้น แบบนี้เขาเรียกตีความพระธรรมไม่ออก อ่านพระไตรปิฎกไม่เป็นครับ

ผมว่าคุณให้เหตุผลแบบนี้มันตื้นเขินเกินไปนะ
กับที่ว่า เป็นความคิดของบัณฑิต แล้วที่องคุลีมาลต้องมาฆ่าคนตั้งมากมาย
ไม่ใช่เพราะเชื่อคนง่ายหรอกหรือ คุณลองคิดดูซิระหว่างบัณฑิตกับอาจารย์ของตัวเอง
องคุลีมาลจะเชื่อใครมากกว่ากัน

แล้วที่องคุลีมาลวางดาบละพยศ ก็ไม่ใช่แค่สกิดใจกับคำตรัสของพุทธองค์
แต่พระพุทธองค์ได้ชี้ให้องคุลีมาลเห็นว่า อย่างไรเป็นมิจฉาทิฐิ อย่างไรเป็นสัมมาทิฐิ

asoka เขียน:

อีกข้อหนึ่งที่ถามว่า ที่คุณว่าเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เห็นถูกอย่างไรเข้าใจถูกอย่างไร
ข้อนี้ทิ้งไว้ในฐานที่เข้าใจ สำหรับชาวพุทธทุกคน ซึ่งน่าจะเคยได้ได้อ่านมรรค 8 แปล และรับทราบความหมายของสัมมาทิฐิ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในในมรรคข้อที่ 1


โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างคุณโฮฮับก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เห็นถูกต้อง หรือสัมมาทิฐิ
ก็คือเห็น ทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์และวิธีทำให้ถึงความดับทุกข์ ดังที่ท่านอหิงสะกะ กำลังรับฟังธรรมและพิจารณาตามธรรมซึ่งพระพุทธเจ้าก็คงทรงแสดงเรื่องอริยสัจ 4 นั่นแหละ ท่านอหิงสะกะได้เห็นตามและเข้าใจเหตุและผล ว่าความมีมานะ อัตตทิฏฐิ อยากเป็นคนก่งที่สุดของอาจารย์ จึงเป็นเหตุก่อกรรมอันหนักหนาสาหัส เพราะอัตตาเพราะความอยากของกูนี่แหละ เพราะฉนั้นถ้าทิ้งกู หรืออัตตทิฏฐินี้เสียได้ก็จักหมดเหตุหมดเรื่อง จิตเข้าใจความจริงจนใจยอมรับและทิ้ง กู ไป ได้เข้าถึงสภาวะหมดกู คือ "อนัตตา" โสดาปัตติมรรคญาณ ผลญาณ นิพพาน จึงเกิดขึ้นมาให้เป็นผลโดยฉับพลันทันที แล้วมีปัจเวกขณญาณจนจบจึงน้อมขอบวชกับพระบรมศาสดา

เอาอีกแล้วมานั่งท่องอาขยานเป็นเด็กประถมอีกแล้ว
ถ้าเอาอาขยานของคุณไปเทียบกับบทกลอนก็คงจะเป็นเรื่อง
พระอภัยมณี ตอนกำลังบรรยายลักษณะ"ม้านิลมังกร"
ความหมายก็คือ อาขยานของคุณมันเป็น"หัวมังกุ ท้ายมังกร"ครับ :b13:

สรุปตอนท้ายให้ฟัง ใครบอกคุณล่ะว่า พระพุทธองค์
ทรงแสดงอริยสัจสี่ให้องคุลีมาลฟัง พระองค์กำลังแสดงเรื่อง มิจฉาทิฐิกับสัมมาทิฐิ(สาสวะ)

ให้องคุลีมาลฟังต่างหาก เมื่อได้ฟังแล้วทำให้เห็นไตรลักษณ์เกิดสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)
จึงได้วางดาบขอพระพุทธองค์บวช บวชเพื่ออะไรก็เพื่อไอ้สิ่งยาวๆที่คุณท่องมานั้นแหล่ะครับ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2012, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1775_resize.JPG
GEDC1775_resize.JPG [ 78.03 KiB | เปิดดู 4363 ครั้ง ]
grin
โฮฮับ เขียน
เล่นลอกตำรามาทุกตัวอักษรเลยนะ เคยด่าผมว่าอะไรจำไม่ได้หรือ
คุณนี่แย่กว่าผมอีก ผมเอาพระธรรมมาเทียบเคียงและอธิบายความประกอบ
คุณเล่นยกมาทั้งดุ้น แบบนี้เขาเรียกตีความพระธรรมไม่ออก อ่านพระไตรปิฎกไม่เป็นครับ

ผมว่าคุณให้เหตุผลแบบนี้มันตื้นเขินเกินไปนะ
กับที่ว่า เป็นความคิดของบัณฑิต แล้วที่องคุลีมาลต้องมาฆ่าคนตั้งมากมาย
ไม่ใช่เพราะเชื่อคนง่ายหรอกหรือ คุณลองคิดดูซิระหว่างบัณฑิตกับอาจารย์ของตัวเอง
องคุลีมาลจะเชื่อใครมากกว่ากัน

แล้วที่องคุลีมาลวางดาบละพยศ ก็ไม่ใช่แค่สกิดใจกับคำตรัสของพุทธองค์
แต่พระพุทธองค์ได้ชี้ให้องคุลีมาลเห็นว่า อย่างไรเป็นมิจฉาทิฐิ อย่างไรเป็นสัมมาทิฐิ
:b12:
asoka ตอบ
"เล่นลอกตำรามาทุกตัวอักษรเลยนะ "คำพูดนี้ขอคืนไปให้คุณโฮฮับ จะเหมาะกว่า เพราะชอบลอกตำรามาเกทับผู้อื่น
ที่ผมเขียนมาให้อ่านทั้งหมดนั้นเขียนมาจากใจใหลออกมาจากจิต ไม่ได้คิดไปลอกใครที่ไหน คุณโฮฮับมีหลักฐานว่าผมไปคัดลอกใครมาช่วยกรุณาคัดมาแปะให้อ่านหน่อยนะครับ

:b16:
"ไม่ใช่เพราะเชื่อคนง่ายหรอกหรือ " คำพูดนี้คุณโฮฮับวิเคราะห์ผิดแล้ว ไม่ตรงกับเหตุที่แท้จริง เหตุที่แท้จริงคือ อหิงสกะมีโมหะ และโลภะครอบงำจิต อยากได้วิชชาที่สุดยอด จึงถูกอาจารย์ซึ่งก็มีโมหะและโทสะที่เข้าใจว่าอหิงสกะเป็นชู้กับเมืยตนตามคำยุแยงของศิษย์อื่นที่อิจฉา
อหิงสกะ หลอกให้ไปตายด้วยอาญาของพระเจ้าปเสนทิโกศล

:b34:
"พระพุทธองค์ได้ชี้ให้องคุลีมาลเห็นว่า อย่างไรเป็นมิจฉาทิฐิ อย่างไรเป็นสัมมาทิฐิ"

อะโห! คุณโฮฮับนี่เก่งจริงๆที่ไปรู้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าได้ชี้ให้องคุลีมาลเห็นว่าอย่างไรเป็นสัมมาหรือมิจฉาทิฏฐิ
grin
onion
คำชี้แจงของคุณโฮฮับทั้งหมดขอเรียนเชิญกัลยาณมิตรที่มาได้อ่านทุกท่านช่วยกันพิจารณาและตัดสินครับ
จะเชื่อใครก็ตามใจครับแต่พึงทราบไว้ว่า


1.ถ้าเชื่อคุณโฮฮับ คุณจะได้มีโอกาสเจริญมรรค 8 เมื่อได้ถึงความเป็นอริยบุคคลแล้ว เพราะคุณโฮฮับยืนยันว่าอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมเฉพาะพระอริยบุคคล

2.ถ้าเชื่อ asoka ทุกท่านก็จะสามารถเจริญมรรค 8 อันเป็นธรรมและเป็นทางดำเนินไปเพื่อให้ปุถุชนทุกคนได้ถึงความเป็นอริยบุคคล และลงมือปฏิบัติได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป
onion
:b12:
โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2012, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
asoka ตอบ
"เล่นลอกตำรามาทุกตัวอักษรเลยนะ "คำพูดนี้ขอคืนไปให้คุณโฮฮับ จะเหมาะกว่า เพราะชอบลอกตำรามาเกทับผู้อื่น
[/b]
ที่ผมเขียนมาให้อ่านทั้งหมดนั้นเขียนมาจากใจใหลออกมาจากจิต ไม่ได้คิดไปลอกใครที่ไหน คุณโฮฮับมีหลักฐานว่าผมไปคัดลอกใครมาช่วยกรุณาคัดมาแปะให้อ่านหน่อยนะครับ[/color]

ที่ผมบอกว่าลอกตำรา มันไม่ได้หมายความว่า ไปก็อปปี้คำพูดหรือบทความ
ความหมายหรือลักษณะลอกตำราที่ผมบอกก็คือ
สักแต่ว่าบัญญัติมาเรียงๆกันให้เป็นประโยค ผลที่ได้มันจะตรงประเด็นหรือไม่
ก็ไม่สนใจ
อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจว่า ลักษณะการแสดงความเห็นที่มาจากความคิด
ของตนเอง สิ่งแรกจะต้องรู้ว่า ประเด็นหรือใจความสำคัญของคำถามมันอยู่ตรงไหน
ตัวอย่างแรกก็คือ คุณโสกะตอบมาว่า ..
"องคุลีมาลสะกิดใจคำพูดจึงวางดาบ เพราะเป็นคำพูดของบัณฑิต"
ในความเป็นจริงแล้ว องคุลีมาลรู้อยู่แล้วว่า บุคคลที่ตัวเองกำลังจะฆ่า
เป็นสมณะ เป็นศากยบุตร เป็นผู้มีปฏิญญา
ดังนั้นการที่องคุลีมาลจะวางดาบเพราะเป็นบัณฑิต ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว

มูลเหตุที่แท้ก็คือ อาการและคำพูดที่แตกต่างจากคุณสมบัติของ สมณะศากบุตร
คุณสมบัติที่ว่าก็คือ พูดแต่ความจริง แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตอบไปนั้น
คำพูดกับอาการมันสวนทางกัน
ทำให้องคุลีมาลเกิดความสงสัยกับคำพูด ไม่ใช่คล้อยตามคำพูด
เพราะเห็นเป็นบัณฑิตอย่างที่คุณว่า

นี่ครับที่ผมว่าคุณไปลอกมาจากตำรา เพราะไม่ได้ใช้ความคิด
พิจารณาหาเหตุผลเลย ไปลอกเอาบัญญัติที่มีอยู่ก่อนแล้วมาเรียงกันแค่นั้น


asoka เขียน:
:b16:
"ไม่ใช่เพราะเชื่อคนง่ายหรอกหรือ " คำพูดนี้คุณโฮฮับวิเคราะห์ผิดแล้ว ไม่ตรงกับเหตุที่แท้จริง เหตุที่แท้จริงคือ อหิงสกะมีโมหะ และโลภะครอบงำจิต อยากได้วิชชาที่สุดยอด จึงถูกอาจารย์ซึ่งก็มีโมหะและโทสะที่เข้าใจว่าอหิงสกะเป็นชู้กับเมืยตนตามคำยุแยงของศิษย์อื่นที่อิจฉา
อหิงสกะ หลอกให้ไปตายด้วยอาญาของพระเจ้าปเสนทิโกศล

นี่ก็เป็นอีกความเห็นที่ไปลอกบัญญัติเขามาเรียง แถมเป็นการเรียงแบบ
ขาดความเข้าใจในบัญญัติและที่สำคัญไม่รู้จักการให้เหตุผลให้ตรงกับความเห็น
ที่ตัวเองกำลังแสดง มันเลยดูเป็นคนละทางสองทางทั้งๆที่เป็นความเห็นของตัวเอง


คุณโสกะสงสัยคุณยังไม่รู้ว่า "เชื่อคนง่าย"มันเกิดจากความเขลาเบาปัญญา
เพราะมันมีกิเลสเข้าครอบง้ำจิตใจอยู่ กิเลสที่ว่าก็คือ โมหะ โทสะและโลภะ

คุณโสกะครับไม่รู้ว่าคุณศึกษาหรือปฏิบัติธรรมประสาอะไร
ความเข้าใจของคุณถีงสับสนขนาดนี้ครับ :b13:


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.พ. 2012, 03:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
"
อะโห! คุณโฮฮับนี่เก่งจริงๆที่ไปรู้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าได้ชี้ให้องคุลีมาลเห็นว่าอย่างไรเป็นสัมมาหรือมิจฉาทิฏฐิ

การพิจารณาธรรม เป็นการตีความครับ ไม่ใช่เรียงความแบบคุณโสกะ
ที่มาประชดแดกดัน เหมือนจะกล่าวว่าผมรู้ได้อย่างไร อยากรู้เรื่ององคุลีมาล
ก็ต้องไปอ่านประวัติท่านในพระไตรปิฎกครับ ไม่ใช่มานั่งเอาบัญญัติมาเรียงความแบบคุณ


และที่ว่ารู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง ทิฐิแก่องคุลีมาล
อันนี้ก็ต้องไปดูที่ พระสุตตันฯ ในพระ อังคุลีมาลสูตร
โฮฮับ เขียน:
องคุลิมาลโจรละพยศ
[๕๒๕] ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรดำริว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้นมักเป็นคนพูดจริง
มีปฏิญญาจริง แต่สมณะรูปนี้เดินไปอยู่เทียว กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจง
หยุดเถิด ถ้ากระไร เราพึงถามสมณะรูปนี้เถิด.
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถา ความว่า
ดูกรสมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และ
ท่านยังไม่หยุด ยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้วว่าไม่หยุด ดูกร
สมณะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน ท่านหยุดแล้วเป็น
อย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรองคุลิมาล เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่า
หยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นเราจึงหยุดแล้ว ท่านยังไม่หยุด."

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 237&Z=8451



จากความหมายของพระพุทธองค์ ที่ตรัสบอกแก่องคุลีมาลก็คือ
พระองค์หยุดการทำบาปจากการ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว แต่อังคุลีมาลยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
คำตรัสนี่แหล่ะ เป็นคำสอนในเรื่อง สัมมาทิฐิ(สาสวะ)และมิจฉาทิฐิแก่ องคุลีมาล

แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนเรื่อง
สัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ อันนี้ก็ต้องไปเทียบกับ..
โฮฮับ เขียน:
[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... A%D9%B5%C3


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.พ. 2012, 07:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
"
อะโห! คุณโฮฮับนี่เก่งจริงๆที่ไปรู้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าได้ชี้ให้องคุลีมาลเห็นว่าอย่างไรเป็นสัมมาหรือมิจฉาทิฏฐิ

การพิจารณาธรรม เป็นการตีความครับ ไม่ใช่เรียงความแบบคุณโสกะ
ที่มาประชดแดกดัน เหมือนจะกล่าวว่าผมรู้ได้อย่างไร อยากรู้เรื่ององคุลีมาล
ก็ต้องไปอ่านประวัติท่านในพระไตรปิฎกครับ ไม่ใช่มานั่งเอาบัญญัติมาเรียงความแบบคุณ


และที่ว่ารู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง ทิฐิแก่องคุลีมาล
อันนี้ก็ต้องไปดูที่ พระสุตตันฯ ในพระ อังคุลีมาลสูตร
โฮฮับ เขียน:
องคุลิมาลโจรละพยศ
[๕๒๕] ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรดำริว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้นมักเป็นคนพูดจริง
มีปฏิญญาจริง แต่สมณะรูปนี้เดินไปอยู่เทียว กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจง
หยุดเถิด ถ้ากระไร เราพึงถามสมณะรูปนี้เถิด.
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถา ความว่า
ดูกรสมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และ
ท่านยังไม่หยุด ยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้วว่าไม่หยุด ดูกร
สมณะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน ท่านหยุดแล้วเป็น
อย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรองคุลิมาล เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่า
หยุดแล้วในกาลทุกเมื่อ ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นเราจึงหยุดแล้ว ท่านยังไม่หยุด."

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 237&Z=8451



จากความหมายของพระพุทธองค์ ที่ตรัสบอกแก่องคุลีมาลก็คือ
พระองค์หยุดการทำบาปจากการ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว แต่อังคุลีมาลยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
คำตรัสนี่แหล่ะ เป็นคำสอนในเรื่อง สัมมาทิฐิ(สาสวะ)และมิจฉาทิฐิแก่ องคุลีมาล

แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนเรื่อง
สัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ อันนี้ก็ต้องไปเทียบกับ..
โฮฮับ เขียน:
[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... A%D9%B5%C3

:b8:
อนุโมทนาสาธุที่คุณโฮฮับกรุณายกองคุลีมาลสูตรมาช่วยรับรองการวิเคราะห์วิจัยธรรมของ asoka
คุณโฮฮับลองอ่านคำวิเคราะห์ที่ยกมาท้ายนี้อีกครั้งหนึ่งด้วยความสังเกตพิจารณาให้ดีๆ ดูซิว่าจะมีปัญญาจับประเด็นและทราบถึงความนัย หรือนัยยะแห่งออรรถะของข้อวิจารณ์วิจัยที่asoka ยกมาได้หรือไม่?
:b11:
แต่สิ่งที่คิดได้ตามหลักของเหตุผลคือ ท่านองคุลีมาลคงเกิดความสะกิดใจว่าคำพูดอย่างนี้เป็นคำพูดของบัณฑิต น่าคิด น่าพิจารณาว่า พระองค์หยุดอะไรได้ ท่านองคุลีมาลยังหยุดอะไรไม่ได้
ด้วยวิสัยของคนมีปัญญามากอย่างท่านองคุลีมาล(อหิงสกะ) จึงเกิดสัมปชัญญะรู้ตัวขึ้นมาว่าเจอบัณฑิตแล้ว จึงได้คลายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ วางดาบ น้อมลงกราบแล้วฟังธรรมจากพระบรมศาสดา
:b16:
ท้ายที่สุดคุณโฮฮับยังอดที่จะยกความเห็นอันติดยึดแน่นในมหาจัตตารีสูตร มาข่มทับผู้อื่นและรับรองความเห็นของตนเองว่าใช่อีก ตามที่เคยชินหรือทำมาเป็นอาจิณ นีหละ โฮฮับ! :b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร