วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณชาวโลก
เท่าที่ได้อ่านข้อมูลของคุณ คุณได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์ทั้งหมดแล้ว โดยสภาวะดังกล่าวได้แสดงเป็นรอบๆ หากจะใช้แนวทางดังกล่าวก็ย่อมจะเข้าถึงมรรคผลไม่ชัาก็เร็ว ที่กล่าวมาเป็นการพิจารณา จากประสบการณืที่ผมได้ผ่านมาแล้ว
หากพิจารณาสภาวธรรมปฎิบัตของคุณแล้ว ปัจจุบันสภาวะภายในกายและจิตของคุณเบามากแล้ว มีความสั่นสะเทือนภายในกาย ถึงจะมีแรงอยู่ที่หน้าอกแต่ก็เบาและมีแสงสว่างที่หน้าผาก ผมไม่ได้อุตริมนุสธรรมเพราะผมเป็นฆราวาส และปารถนาให้ผู้เดินทางได้เข้าถึงทาง เพราะสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ลุ่มลึก ก่อนสุดท้ายนักปฏิบัติที่นักปฏิบัติเข้าถึง คือความว่าง แต่ที่ยังผ่านไปไม่ได้ เนื่องจากสมาธิไม่สมดุลกับสติสัมปขัญญะ ในขั้นนี้ต้องมีการปรับอินทรีย์
ส่วนวิธีที่ผมให้ลองทำการพิจารณาความสัมพันธ์ของกายและใจ สลับกัน เป็นเทคนิคหากมองผิวเผิน จะคิดว่าเป็นเกมทางสมาธิ เพราะแตกต่างจากแนวทางที่เคยกล่าว ชึ่งส่วนใหญ่จะเคยทราบเฉพาะแนวทางทีพระพุทธองค์ตรัสสอนสติปัฏฐาน 4 สำหรับแนวทางทั่วไป แต่มีอีกคำสอนหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนผู้มีสมาธิมาก ให้กับปัญจวัคคีย์ คือการไม่ติดอยู่สุดโต่งใน 2 ส่วน โดยมีนัยะทั่วไป คือ ดี-ชั่ว แต่ที่เป็นนัยะสำคัญ คือการไม่ติดอยู่กายกับใจ หากใครเข้าใจนัยยะนี้ การบรรลุมรรคผลนิพพานจะไม่ไกลเกินเอื้อม ฃึ่งก็คือแนวทางที่ผมแนะนำคุณชาวโลก แต่เนื่องจากไม่เคยได้คุยกัน จึงอาจสื่อสารได้ไม่ชัดเจน ความเข้าใจไม่ตรงกัน ประกอบกับคุณได้เดินมาไกลมากแล้ว มีเพียงเส้นบางๆที่กั้น หากพลิกอีกนิดก็จะพบความจริงที่อิสระจากแรงร้อยรัดของตัณหาเพียงชั่วเสี้ยววินาที :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่เรื่องที่เอกอนเห็น มันพูดยาก
เพราะผู้ที่จะมีความเห็นในทำนองนั้น อย่างน้อย ๆ
สักครั้งเขาต้องได้รู้จักสภาวะที่จิต ไม่มีสายเบ็ดเกี่ยวรั้งไว้
ทำให้เขาเห็น จิต ทรงตัวกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับ ธรรม
ประหนึ่งจิตก็คือธรรม ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตจะมีความละเอียดมาก
ประหนึ่งจิตแทบจะเป็นสิ่งเดียวกับอากาศ อวกาศรอบ ๆ ตัว
ประหนึ่งผืนน้ำ ที่เมื่อโยนก้อนหินลงไป
ย่อมปรากฎคลื่นน้ำกระจายออกไปทุกทิศทุกทางอย่างสมมาตร
ธรรมก็คือ จิตหนึ่ง (และเป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะแวดล้อมรอบ ๆ ตัว)
ซึ่งการเห็นสภาวะนั้น จะทำให้เห็นอิทธิพลของผัสสะที่มีต่อจิต
เมื่อเห็นอิทธิพลของผัสสะที่มีต่อจิต
ก็จะทำให้เห็นภาพ ค้างคาวห้าร้อยตัวที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ
ได้ฟังเสียงสวดแล้วเผลอปล่อยตัวตกลงมาตายไปเกิดเป็น พรหม
ทั้ง ๆ ที่ค้างคาวฟังภาษาไม่ออก
แต่เป็น ลักษณะการเกิดขึ้นของ กระแสธรรมที่ไหลแบบจิตสู่จิต


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณ คุณเอกอนที่มาแนะนำค่ะ แต่สิ่งที่คุณเอกอน

บอกอ่ะ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกกมาก ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็พูดได้ว่า ถ้าไม่เจ๋งจริงทำไม่ได้นะเนี๊ยะ..แต่

บังเอิญดิฉันก็ไม่เจ๋งจริงซะด้วยสิค่ะ :b1: เลยคิดว่ายากกมากค่ะ..หาทางเริ่มต้นไม่เจอเอาเลย cry


อ้างคำพูด:
คุณไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายธรรม ภาษาธรรม
คุณเป็นคนที่มีจิตละเอียดระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่คุณติดสภาวะบางอย่าง
ที่ภาษาธรรมช่วยคุณให้คลายจากสภาวะนั้นไม่ได้
คุณต้องใช้ธรรม(กระแสธรรม)จากผู้ที่เข้าถึงสภาวะ จิตหนึ่ง เข้ามาช่วย
คุณไม่ใช่ต้องแก้ด้วยการเข้าไปรับธรรมจากผู้มีความรู้
แต่คุณต้อง เข้าไปรับกระแสธรรม จากคณาจารย์ที่มีกระแสจิต(พลังจิต)ที่ละเอียดกว่า


s002 ตรงนี้คิดหนักค่ะ..ดิฉันไม่มี ไม่เคยมีแล้วไม่รู้ชาตินี้จะมีบุญได้เจอท่านครูบา

อาจารย์ที่สอนธรรมนั้นให้ดิฉันได้ไหม :b2: :b2:


อ้างคำพูด:
คือตอนแรกจะไม่พูดเรื่องนี้
เพราะมันเป็นเรื่องการ ถ่ายเท ถ่ายทอดธรรม แบบกระแส
เป็นผัสสะอย่างละเอียด ที่จิตจะรับรู้ได้ ผู้ที่ไม่รู้ ไม่ถึง ก็ย่อมมีแง่โต้แย้งว่า ไม่มี เป็นไปไม่ได้
แต่มันเป็นไปเช่นนั้น ไม่ต่างจากการสัมผัสแก้วน้ำร้อนแล้วรู้สึกร้อน
เพียงแต่ ผัสสะในลักษณะนี้มันละเอียด(ลึก)กว่านั้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ถ้าไม่แม่นจริง การกล่าวมันออกจะเป็นการเสี่ยง


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณ คุณเอกอนน่ะค่ะ ที่ยังเมตตามาแนะนำให้

อีก...ดิฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้รับความหวังดีที่จริงใจ ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้ธรรมอะไรมากมาย แต่ดิฉันก็ยัง

สามารถรับความรู้สึกที่หวังดีอย่างบริสุทธิ์ใจจากคุณเอกอนได้ ...สิ่งๆนี้มีค่าสำหรับดิฉันมากค่ะ ซึ่งถือว่า

เป็นกำลังใจอย่างมากที่จะทำให้ดิฉันเดินทางธรรมต่อไป
:b27: ...... :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
สวัสดีครับคุณชาวโลก
เท่าที่ได้อ่านข้อมูลของคุณ คุณได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์ทั้งหมดแล้ว โดยสภาวะดังกล่าวได้แสดงเป็นรอบๆ หากจะใช้แนวทางดังกล่าวก็ย่อมจะเข้าถึงมรรคผลไม่ชัาก็เร็ว ที่กล่าวมาเป็นการพิจารณา จากประสบการณืที่ผมได้ผ่านมาแล้ว
หากพิจารณาสภาวธรรมปฎิบัตของคุณแล้ว ปัจจุบันสภาวะภายในกายและจิตของคุณเบามากแล้ว มีความสั่นสะเทือนภายในกาย ถึงจะมีแรงอยู่ที่หน้าอกแต่ก็เบาและมีแสงสว่างที่หน้าผาก ผมไม่ได้อุตริมนุสธรรมเพราะผมเป็นฆราวาส และปารถนาให้ผู้เดินทางได้เข้าถึงทาง เพราะสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ลุ่มลึก ก่อนสุดท้ายนักปฏิบัติที่นักปฏิบัติเข้าถึง คือความว่าง แต่ที่ยังผ่านไปไม่ได้ เนื่องจากสมาธิไม่สมดุลกับสติสัมปขัญญะ ในขั้นนี้ต้องมีการปรับอินทรีย์
ส่วนวิธีที่ผมให้ลองทำการพิจารณาความสัมพันธ์ของกายและใจ สลับกัน เป็นเทคนิคหากมองผิวเผิน จะคิดว่าเป็นเกมทางสมาธิ เพราะแตกต่างจากแนวทางที่เคยกล่าว ชึ่งส่วนใหญ่จะเคยทราบเฉพาะแนวทางทีพระพุทธองค์ตรัสสอนสติปัฏฐาน 4 สำหรับแนวทางทั่วไป แต่มีอีกคำสอนหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนผู้มีสมาธิมาก ให้กับปัญจวัคคีย์ คือการไม่ติดอยู่สุดโต่งใน 2 ส่วน โดยมีนัยะทั่วไป คือ ดี-ชั่ว แต่ที่เป็นนัยะสำคัญ คือการไม่ติดอยู่กายกับใจ หากใครเข้าใจนัยยะนี้ การบรรลุมรรคผลนิพพานจะไม่ไกลเกินเอื้อม ฃึ่งก็คือแนวทางที่ผมแนะนำคุณชาวโลก แต่เนื่องจากไม่เคยได้คุยกัน จึงอาจสื่อสารได้ไม่ชัดเจน ความเข้าใจไม่ตรงกัน ประกอบกับคุณได้เดินมาไกลมากแล้ว มีเพียงเส้นบางๆที่กั้น หากพลิกอีกนิดก็จะพบความจริงที่อิสระจากแรงร้อยรัดของตัณหาเพียงชั่วเสี้ยววินาที :b8:


ขอพูดตามตรงนะค่ะ คุณ suttiyan ดิฉันอ่านข้อความนี้หลายรอบมาก แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี..คือ รู้สึก

อึ้งๆ เล็กน้อยและจนด้วยคำตอบค่ะ..แต่ถือว่า ดิฉันน้อมรับพรนะค่ะ :b8: ...ถือว่าเป็นพรที่วิเศษและ

พิเศษทีเดียวค่ะ ดิฉันน้อมรับพรด้วยใจค่ะ :b8:


ส่วนวิธีแตะจุดในฐานของกายที่หน้าผากกับหน้าอกน่ะ ดิฉันก็ได้ลองดูอีกรอบ คราวนี้ลองทำนานขึ้นกว่า

เดิม ดิฉันรุ้สึกว่า มันคล้ายๆความรู้สึกของเสียงนาฬิกานะค่ะ พอแตะแล้ว จะดัง ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก ไป

เรื่อยๆ แต่เนื่องจากดิฉันไม่ชินกับวิธีนี้และเป็นวิธีที่แปลกใหม่สำหรับดิฉัน ดิฉันเลยเกิดอาการมึนหัวเล็ก

น้อย แต่ก็สามารถทำได้เรื่อยๆ แต่ดิฉันก็รู้สึกว่า การทำแบบนี้ เป็นการฝึกสมาธิแบบหนึ่งอยู่ดีค่ะ..ช่วงที่

ดิฉันทำ ดิฉันเห็นว่า การแตะจุดทำให้ดิฉันมีสติในจุดที่แตะ และไม่ให้เผลอหลุดออกจากจุดที่

แตะ แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ มันก็เป็นธรรมชาติขึ้นมาเอง คือ เหมือนว่่่า ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก อยู่เสมอๆ ไม่มีการ

ขาดตอน...แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถที่จะทำให้พิจารณา กาย พิจารณาสังคม พิจารณาโลกได้..ดิฉันจึงคิดว่า

วิธีนี้คือวิธีฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าพูดง่ายๆคือ เป็นฝึกสติให้รู้สึกทุกครั้งตามจุดที่แตะ... :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
อ้างคำพูด:
ขอให้ความเห็นนิดหนึ่งครับ ความร้อนนั้น ที่เกิดขึ้นรู้ได้ สัมผัสได้ด้วยสติ สัมปัชชัญญะ เป็นเวทนา ความรู้สึก เวทนานั้นมันสุขหรือมันทุกข์ หรือเป็นนอกนี้ เฉยๆ เพราะทั้งสองนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องละ กำนดรู้ แลเจริญ อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม


ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ท่านต้องการจะบอกและแนะค่ะ...แต่จะตอบตามที่ดิฉันอ่านแล้วเข้าใจน่ะค่ะ :b8:

ถ้าพูดถึงจิต จิตนี้ ดิฉันไม่รู้สึกทุกข์และมีรู้สึกสุขค่ะ เป็นอารมณ์ ไม่ทุกข์ไม่สุข ค่ะ นิ่งเฉยๆ ดิฉันพยายามดู

ตัวเองและจับผิดตัวเองว่า ดิฉันหลอกอารมณ์ใจของตัวเองหรือป่าว หรือดิฉันเข้าสมาธิกดอารมณ์ความรู้สึก

ไว้หรือป่าว..พยายามดูตัวเองและจับผิดตัวเองตลอดค่ะ ปรากฏว่า ดิฉันไม่ได้ใช้สมาธิกดความรู้สึกที่เกิดขึ้น

เลย และดิฉันก็ไม่ทุกข์จริงแต่ก็ไม่สุขเช่นเดียวกัน อารมณ์จิตที่เป็นคือ นิ่งและแข็งสามารถเทียบกับคำว่า

ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ไหมค่ะ..

มาถึงขั้นนี้แล้ว ความจริงภาวะที่เกิดขึ้นให้รู้ให้เห็นนั้น มันเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่บอกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง ก้หมายความว่า มันเกิดขึ้นเร็วมากและก็ดับไปเร็วมาก จึงดูเหมือนเป็นอย่างเดียวกัน จึงบอกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้รู้ว่า การละ การรู้ การเจริญนั้น ทำไปโดยขณะพร้อมๆกัน แต่มันก้คนละอย่างอีกนั่นแหละ และก้ขอนำวาทะธรรมของหลวงปู่ชา สุภัทโท มาเสนออีกทางหนึ่งด้วยว่า ท่านกล่าวว่า ก้เหมือนจับปลาที่มาติดแหนั่นแหละ ค่อยๆคลำไป คลำไปเรื่อยอย่างนั้น จับแรงเดี๋ยวมันดิ้นมันหลุดไป เราขี้เกียจก้ทำ ไม่ขี้เกียจก็ทำ ทำเรื่อยๆอย่างนี้ ... พอได้ความไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แนวทาง ไม่ใส่ความตั้งใจ ทำความรู้สึกสบาย ๆ แตะรู้เบาๆ (มัชฌิมาปฏิปทา)ที่ความรู้สึกแน่นร้อน ที่หน้าอกแตะ รู้ 1 ครั้งใช้เวลา 5-6 วินาทีแล้วค่อยๆ เลื่อนความรู้สึกฃ้าๆ ไปที่หน้าผาก ชึ่งสำหรับคุณชาวโลก คุณได้สร้างอดีนารีนไว้ที่หน้าผากด้วย จะทำให้คุณรู้สึกมึนๆ ที่หน้าผาก(ไม่เหมือนกันทุกคน) เมื่อเลื่อนมาที่หน้าผากแล้วให้รู้เบาๆถึงความรู้สึกมึนใช้เวลา 5-6 วินาทีแล้วค่อยๆ เลื่อนความรู้สึกช้าๆ กลับไปที่หน้าอกอีกครั้งทำสลับไปมาช้าๆเบาๆ
ผมเหนด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะเป็นกำหนดแบบวิปัสสนา กล่าวคือ มีสภาวะทุกข์กายเกิดขึ้น 2 จุด จุดแรกกาย จุด2 หน้าผาก (แน่นอก กับปวดหน้าผาก)แล้วเอาขณิกะสมาธิเข้าช่วยโดยใช้จิตแตะเบาๆ รู้เบาๆ แล้วทำสลับกันระหว่าง2สภาวะทุกข์นี้ ตามที่พูดมา
ทำให้ความปวดทุเลาลง หรือรู้ว่าจริงๆที่กายเราปวด แต่จิตใจเราไม่ได้ปวดตามด้วยจริงๆ อันได้กำหนดช้าๆแล้วค้าง 5-6 วินาที และทำได้ง่ายด้วย ทำให้อินทรีย์ในร่างกาย และอินทรีย์5ที่เป็นตัวธรรมเกิดความสมดุลขึ้น และสิ่งสำคัญที่เกิดตามจากอินทรีย์ทั้งสองสมดุล(ในภาษาวิปัสสนาการปรับอินทรีย์ให้สมดุลจัดว่าสำคัญมากถ้าต้องการละทิฐิและอุปาทาน เหตุเพราะเครื่องมือในการดับทุกข์เราพร้อมแล้ว) :b41:


ขณะที่กำหนดรู้ตามอย่างนี้ ถึงแม้ว่าสมาธิจะยังไม่มากพอ หรือแม้ว่าสติที่มีอย่จะยังไม่มั่นคง แต่ถ้าเกิดการเหนความจริง3 อย่างนั่นคือ ทุกขัง ต่อด้วยอนิจจัง ต่อด้วยอนัตตา ซึ่งตัวสุดท้ายกว่าจะโผล่ใช้เวลากำหนดนานหน่อย ต้องอดทนหน่อย แต่เมื่อตัวที่3 เกิดปุ๊บ ความจริง3ครบองค์ประกอบละคราวนี้ จะเหนคำว่าการทุกข์ดับชั่วขณะ เปนอย่างไร แม้ใจยังไม่เปนพระอริยะ ไม่ใช่สุปฏิปันโน ไม่ใช่พระผู้ทรงคุณวิเศษ แต่การเหนไตรลักษณ์ครบแบบนี้ เปนการปูทางไปสู่โลกุตตระในอนาคตไว้ข้างหน้าแระ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเดิน วิ่งหรือเหาะไป :b39:

ผมเหนว่าแนวคิดง่ายๆ ที่K.suttiyan กล่าว เหมือนจะไม่มีไรในกอไผ่ แต่ที่จริงมันลึกซึ้งในตัวมันเองอยู่แล้ว จะเรียกว่าเป็น สติปัฏฐานก้ได้ สมถะก้ดี หรือวิปัสสนาก้ได้เช่นกัน :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 13:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
มาถึงขั้นนี้แล้ว ความจริงภาวะที่เกิดขึ้นให้รู้ให้เห็นนั้น มันเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่บอกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง ก้หมายความว่า มันเกิดขึ้นเร็วมากและก็ดับไปเร็วมาก จึงดูเหมือนเป็นอย่างเดียวกัน จึงบอกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้รู้ว่า การละ การรู้ การเจริญนั้น ทำไปโดยขณะพร้อมๆกัน แต่มันก้คนละอย่างอีกนั่นแหละ และก้ขอนำวาทะธรรมของหลวงปู่ชา สุภัทโท มาเสนออีกทางหนึ่งด้วยว่า ท่านกล่าวว่า ก้เหมือนจับปลาที่มาติดแหนั่นแหละ ค่อยๆคลำไป คลำไปเรื่อยอย่างนั้น จับแรงเดี๋ยวมันดิ้นมันหลุดไป เราขี้เกียจก้ทำ ไม่ขี้เกียจก็ทำ ทำเรื่อยๆอย่างนี้ ... พอได้ความไหมครับ


s005 s005 ขอพูดตามตรงตามความรู้สึกของตัวเองเลยนะค่ะ ว่าดิฉันนะโง่ค่ะ โง่จริงๆนะค่ะ ไม่ได้แกล้งที่จะกวนท่านหรืออย่างไร..คือดิฉันแปลได้ว่า ทำไปเรื่อยๆ..ใช่ไหมค่ะในสิ่งที่ท่านอยากจะบอก s005 s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 14:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อินทรีย์5 เขียน:
อ้างคำพูด:
แนวทาง ไม่ใส่ความตั้งใจ ทำความรู้สึกสบาย ๆ แตะรู้เบาๆ (มัชฌิมาปฏิปทา)ที่ความรู้สึกแน่นร้อน ที่หน้าอกแตะ รู้ 1 ครั้งใช้เวลา 5-6 วินาทีแล้วค่อยๆ เลื่อนความรู้สึกฃ้าๆ ไปที่หน้าผาก ชึ่งสำหรับคุณชาวโลก คุณได้สร้างอดีนารีนไว้ที่หน้าผากด้วย จะทำให้คุณรู้สึกมึนๆ ที่หน้าผาก(ไม่เหมือนกันทุกคน) เมื่อเลื่อนมาที่หน้าผากแล้วให้รู้เบาๆถึงความรู้สึกมึนใช้เวลา 5-6 วินาทีแล้วค่อยๆ เลื่อนความรู้สึกช้าๆ กลับไปที่หน้าอกอีกครั้งทำสลับไปมาช้าๆเบาๆ
ผมเหนด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะเป็นกำหนดแบบวิปัสสนา กล่าวคือ มีสภาวะทุกข์กายเกิดขึ้น 2 จุด จุดแรกกาย จุด2 หน้าผาก (แน่นอก กับปวดหน้าผาก)แล้วเอาขณิกะสมาธิเข้าช่วยโดยใช้จิตแตะเบาๆ รู้เบาๆ แล้วทำสลับกันระหว่าง2สภาวะทุกข์นี้ ตามที่พูดมา
ทำให้ความปวดทุเลาลง หรือรู้ว่าจริงๆที่กายเราปวด แต่จิตใจเราไม่ได้ปวดตามด้วยจริงๆ อันได้กำหนดช้าๆแล้วค้าง 5-6 วินาที และทำได้ง่ายด้วย ทำให้อินทรีย์ในร่างกาย และอินทรีย์5ที่เป็นตัวธรรมเกิดความสมดุลขึ้น และสิ่งสำคัญที่เกิดตามจากอินทรีย์ทั้งสองสมดุล(ในภาษาวิปัสสนาการปรับอินทรีย์ให้สมดุลจัดว่าสำคัญมากถ้าต้องการละทิฐิและอุปาทาน เหตุเพราะเครื่องมือในการดับทุกข์เราพร้อมแล้ว) :b41:


ที่ให้ดิฉันทำคือการปรับธาตุหรือค่ะ...มันต่างจากการปรับธาตุในช่วงภาวะจิตที่ปรับ

ขึ้นอย่างไร..เท่าที่ทราบและสอบถามหลายๆท่านจะมีอาการตรงกันว่า เมื่อสภาวะจิตขยับสูงขึ้นและ

ร่างกายเรายังรับไม่ค่อยได้ กายจะปวดกระดูกมาก และเหมือนจะมีไข้เล็กน้อย จะเป็นกันอยู่ 2-3 วัน

เมื่อกายกับจิตปรับเข้าหากัน อาการต่างๆจะหายไปค่ะ...ถามเพราะสงสัยนะค่ะ เพราะดิฉันคิดเสมอว่า คน

เราไม่ได้เก่งไปได้ในทุกๆอย่างและไม่รู้ไปได้ซะทุกๆอย่าง สิ่งใหนเราขาดเราไม่รู้ก็แค่มาสอบถามผู้รู้หรือ

ผู้ที่เก่งกว่าเอา เพื่อให้เราได้ความรู้ที่เราไม่มี...นี่เช่นกันค่ะ ถึงถามว่ามันต่างกันไหม อย่างไรค่ะ


อ้างคำพูด:
ขณะที่กำหนดรู้ตามอย่างนี้ ถึงแม้ว่าสมาธิจะยังไม่มากพอ หรือแม้ว่าสติที่มีอย่จะยังไม่มั่นคง แต่ถ้าเกิดการเหนความจริง3 อย่างนั่นคือ ทุกขัง ต่อด้วยอนิจจัง ต่อด้วยอนัตตา ซึ่งตัวสุดท้ายกว่าจะโผล่ใช้เวลากำหนดนานหน่อย ต้องอดทนหน่อย แต่เมื่อตัวที่3 เกิดปุ๊บ ความจริง3ครบองค์ประกอบละคราวนี้ จะเหนคำว่าการทุกข์ดับชั่วขณะ เปนอย่างไร แม้ใจยังไม่เปนพระอริยะ ไม่ใช่สุปฏิปันโน ไม่ใช่พระผู้ทรงคุณวิเศษ แต่การเหนไตรลักษณ์ครบแบบนี้ เปนการปูทางไปสู่โลกุตตระในอนาคตไว้ข้างหน้าแระ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเดิน วิ่งหรือเหาะไป :b39:


นี่คุยกันแลกเปลี่ยนความรู้หรือคุยกันเล่นๆนะค่ะ..รู้ไหมดิฉันน่ะไม่เคยได้ปัญญาจาก

การเดินสมาธิหรือช่วงที่ได้ทำสมาธิเลย ตลอดเวลาที่ปฎิบัติธรรมมา ปัญญามักจะเกิดช่วงที่อารมณ์

สบายๆ แบบนั่งเล่นๆ หรือนอนเล่นๆคิดอะไรเพลิน บางทีคุยโทรศัทพ์อยู่ดีๆ อยู่ๆก็อ๋อ ขึ้นมาแก่ใจกระจ่าง

แก่ใจ หรือไม่นอนอ่านหนังสือเพลินๆ ก็ได้ปัญญา ออกมาอย่างนี้...ดิฉันเป็นอย่างนี้เสมอ...ในการเห็น

ไตรลักษณ์ เมื่อเห็นไตรลักษณ์ได้สักหนึ่งอย่าง อย่างที่สองอย่างที่สามก็จะเห็นได้ชัดขึ้น ก็ต่อเมื่อมีสติรู้

เท่าทันข้อสอบที่มาว่ามันเป็นข้อสอบหรือป่าว บางทีผ่านไปตั้ง 2-3วัน ถึงนึกได้ว่าเหตุการณ์นี้คือข้อสอบ

ถ้ารู้และหาเหตุของมันได้ มันก็ง่ายในการแก้ แต่ถ้าไม่รู้เหตุดิฉันก็งมต่อไปน่ะค่ะหรือ อยู่ๆเวลาตื่นมา มันก็

หายไปเอง บางทีตื่นๆก็ได้ปัญญาในข้อๆนั้นเองโดยไม่ต้องทำอะไร..ดิฉันได้ปัญญามาแบบนี้เสมอ และ

ไม่เคยเลยที่จะได้ปัญญาหรือ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง จากช่วงที่เดินกรรมฐานเลย


หรืออาจเป็นเพราะดิฉันไม่ได้ฝึกสมถะจากมหาสติ ดิฉันถนัดฝึกสมถะจากอานาปาน

ของกรรมฐาน 40 ค่ะ ดิฉันคิดถูกไหมค่ะ ดิฉันถึงได้ปัญญาและเห็นไตรลักษณ์ต่างจากคนอื่นเขานะ

ค่ะ



อ้างคำพูด:
ผมเหนว่าแนวคิดง่ายๆ ที่K.suttiyan กล่าว เหมือนจะไม่มีไรในกอไผ่ แต่ที่จริงมันลึกซึ้งในตัวมันเองอยู่แล้ว จะเรียกว่าเป็น สติปัฏฐานก้ได้ สมถะก้ดี หรือวิปัสสนาก้ได้เช่นกัน :b40:


แต่สิ่งที่ท่านๆได้เล่ามา มีประโยชน์กับดิฉันมาก ดิฉันน้อมรับความรู้นี้ค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 15:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
world2/2554 เขียน:
มาถึงขั้นนี้แล้ว ความจริงภาวะที่เกิดขึ้นให้รู้ให้เห็นนั้น มันเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่บอกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง ก้หมายความว่า มันเกิดขึ้นเร็วมากและก็ดับไปเร็วมาก จึงดูเหมือนเป็นอย่างเดียวกัน จึงบอกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะให้รู้ว่า การละ การรู้ การเจริญนั้น ทำไปโดยขณะพร้อมๆกัน แต่มันก้คนละอย่างอีกนั่นแหละ และก้ขอนำวาทะธรรมของหลวงปู่ชา สุภัทโท มาเสนออีกทางหนึ่งด้วยว่า ท่านกล่าวว่า ก้เหมือนจับปลาที่มาติดแหนั่นแหละ ค่อยๆคลำไป คลำไปเรื่อยอย่างนั้น จับแรงเดี๋ยวมันดิ้นมันหลุดไป เราขี้เกียจก้ทำ ไม่ขี้เกียจก็ทำ ทำเรื่อยๆอย่างนี้ ... พอได้ความไหมครับ


s005 s005 ขอพูดตามตรงตามความรู้สึกของตัวเองเลยนะค่ะ ว่าดิฉันนะโง่ค่ะ โง่จริงๆนะค่ะ ไม่ได้แกล้งที่จะกวนท่านหรืออย่างไร..คือดิฉันแปลได้ว่า ทำไปเรื่อยๆ..ใช่ไหมค่ะในสิ่งที่ท่านอยากจะบอก s005 s005

ครับ ท่านบอกว่า ต้องรู้ ต้องรู้เรื่องของมัน ไม่ใช่ไม่อยากรู้ ทำไปเรื่อยๆ ทำให้เป็นปฏิปทา... ผมคิดว่า ท่านน่าจะรู้มาก่อนนี้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
ครับ ท่านบอกว่า ต้องรู้ ต้องรู้เรื่องของมัน ไม่ใช่ไม่อยากรู้ ทำไปเรื่อยๆ ทำให้เป็นปฏิปทา... ผมคิดว่า ท่านน่าจะรู้มาก่อนนี้แล้ว


ค่ะ แต่ดิฉันบอกตัวเองว่า เสพแล้วให้วางออกจากใจให้เร็วที่สุด..วางออกบ่อยๆในเรื่องเดิมๆเดี๋ยวมันก็จะเร็ว

ขึ้นเอง..ไม่ใช่เป็นหินหรือตอไม้ที่ไม่ได้รับความรู้สึกอะไร...รู้ทุกอย่างแต่ไม่ติดใจในสิ่งที่รู้ ในสิ่งที่เจอ..ใช่

ไหมค่ะ ดิฉันคิดเอง เออเองอย่างนี้เสมอ พอเจอท่านผุ้รู้ดิฉันก็มักจะถาม แต่กลับกลายเป็นว่า ดิฉันลองของ

เสมอเลย รู้แล้วยังมาถามอีก..อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ แต่จริงๆ ดิฉันไมได้แม่นอะไรมาก พอเห็นผู้รู้ก็แค่อยาก

ให้ท่านๆเหล่านั้นยืนยันให้เท่านั้นเองนะค่ะ :b3: :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 18:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
นี่คุยกันแลกเปลี่ยนความรู้หรือคุยกันเล่นๆนะค่ะ..รู้ไหมดิฉันน่ะไม่เคยได้ปัญญาจาก

การเดินสมาธิหรือช่วงที่ได้ทำสมาธิเลย ตลอดเวลาที่ปฎิบัติธรรมมา ปัญญามักจะเกิดช่วงที่อารมณ์

สบายๆ แบบนั่งเล่นๆ หรือนอนเล่นๆคิดอะไรเพลิน บางทีคุยโทรศัทพ์อยู่ดีๆ อยู่ๆก็อ๋อ ขึ้นมาแก่ใจกระจ่าง

แก่ใจ หรือไม่นอนอ่านหนังสือเพลินๆ ก็ได้ปัญญา ออกมาอย่างนี้...ดิฉันเป็นอย่างนี้เสมอ...ในการเห็น

ไตรลักษณ์ เมื่อเห็นไตรลักษณ์ได้สักหนึ่งอย่าง อย่างที่สองอย่างที่สามก็จะเห็นได้ชัดขึ้น ก็ต่อเมื่อมีสติรู้

เท่าทันข้อสอบที่มาว่ามันเป็นข้อสอบหรือป่าว บางทีผ่านไปตั้ง 2-3วัน ถึงนึกได้ว่าเหตุการณ์นี้คือข้อสอบ

ถ้ารู้และหาเหตุของมันได้ มันก็ง่ายในการแก้ แต่ถ้าไม่รู้เหตุดิฉันก็งมต่อไปน่ะค่ะหรือ อยู่ๆเวลาตื่นมา มันก็

หายไปเอง บางทีตื่นๆก็ได้ปัญญาในข้อๆนั้นเองโดยไม่ต้องทำอะไร..ดิฉันได้ปัญญามาแบบนี้เสมอ และ

ไม่เคยเลยที่จะได้ปัญญาหรือ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง จากช่วงที่เดินกรรมฐานเลย


หรืออาจเป็นเพราะดิฉันไม่ได้ฝึกสมถะจากมหาสติ ดิฉันถนัดฝึกสมถะจากอานาปาน

ของกรรมฐาน 40 ค่ะ ดิฉันคิดถูกไหมค่ะ ดิฉันถึงได้ปัญญาและเห็นไตรลักษณ์ต่างจากคนอื่นเขานะ

ค่ะ



:b12: :b12: :b12:

เหมี๋ยนกานเลย ทำไมมันถึงเป็นงั๊นนะ

:b16: :b16: :b16:

บางทีเอกอนมองเห็นภาพเล่น ๆ หง่ะ
คือถ้าเราเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ลูกค้าเต็มร้าน
กว่าบ๋อยจะเดินมารับออเดอร์ กว่ากุ๊กจะทำให้เรา ต้องรอให้ถึงคิว
แต่ถ้าเราเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ว่าง
ถ้าบ๋อยไม่ติดธุระอื่นใดอยู่ เขาจะเดินมาหาเราทันที
และส่งรายการไปให้พ่อครัวทำอาหารให้เราทันที

แม้เราเข้าไปในร้านอาหารที่ว่าง แต่เราดันสั่งอาหารที่อุปกรณ์บางอย่างยังขาดไป
และมีลูกค้ารายอื่นเข้ามา แม้เขาจะมาหลังเรา
แต่กุ๊กก็จะทำในสิ่งที่ทำได้ก่อน

เมื่อเราได้เคาะระฆังให้จิตทำงานสิ่งใดให้เรา
เขาจะจัดสรรให้กับเราทุกอย่างตามความเหมาะสม

มีสัตว์เป็นจำนวนมากที่เวียนว่ายตายเกิด และรอเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในร้านอาหาร :b14:
แล้วไหง๋ไหลมาโผล่ตรงนี้ได้หว๋าาาาา :b10:

อิอิ คือ แบบ s005
เป็นแง่ที่เอกอนอุปโลกเอาเองว่ามันเป็นงั๊นน่ะ
เอกอนก็เลยเห็นคุณแห่งการทำจิตให้ว่าง(งาน) น่ะ
และก็เข้าใจเขาไปในตัวด้วย เมื่อเขาเหมือนจะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ :b1:

:b16: :b16: :b16:

คือ บางทีเอกอนก็เห็นคุณในธรรม และทำอะไรลงไปด้วยเหตุผลง่าย ๆ แบบเนี๊ยะ
อิอิ เหตุผลแบบต๊อง ๆ เหตุผลแบบ low class :b9: :b9:
เหตุผลที่เอาไปคุยกับนักปฏิบัติชั้นหัวกะทิ เขาคงจะเซ็งเป็ด ไปเรยน่ะ
แบบว่ามีความเชื่อที่ดูเหมือนจะมีภูมิธรรม แต่ที่ไหนได้
"มันช่างมั่วได้ใจ"
อิอิ มีความเปิ่นเป็นอาวุธ :b32:

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตลกวันละนิดจิตแจ่มใส่

เหมือนกับเขาสร้างบ้านด้วยไม้สัก
แต่เอกอนสร้างบ้านด้วยการเอาลังกระดาษมาปะ น่ะ
อิอิ ภูมิปัญญายาจ๊ก ยาจก...

คือเอกอนเชื่อมาอย่างนั้นจริง ๆ
แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง ไม่รู้

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 18:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ ไม่รู้จิ่
บางครั้งเอกอนก็รู้สึกว่า
การจัดการกับอะไร ๆ ลงไปด้วยความไม่รู้
หรือความรู้ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก บางครั้งมันก็จัดการกับอะไร ๆ
ได้ง่ายกว่าการที่เรามีความรู้กับสิ่งที่เราจัดการมากมายซับซ้อนน่ะ

:b1:

อิอิ เอกอนชอบสนทนาแบบไม่เน้นสาระ น่ะ :b9: :b9:

การสนทนาที่ไม่คาดหวัง และไม่ถูกคาดหวัง

เหมือนค่ำคืนดวงดาวส่องประกายอยู่เต็มท้องฟ้า
เราต่างมานอนล้อมวง แหงนหน้ามองไปบนฟ้า
และเราต่างก็จะมองดาวดวงไหนก็ได้ :b16:

rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 23:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
อ้างคำพูด:
สวัสดีครับพี่ชาวโลก :b8:
**อาการอึดอัดที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นเพราะจิตที่ไปยึดติดในอารมณ์ที่เป็นอดีต(สัญญา) แล้วสติของเราตามรู้ไม่ทันจึงเกิดการปรุงแต่งต่อเนื่องโดยที่เราไม่รู้ตัว พอปรุงแต่งมากเข้าๆจิตเราก็ไปยึดเอาอารมณ์นั้นมาเป็นตัวเป็นตนจนเกิดอาการอึดอัด เรียกว่าหลงในธรรมที่ตนเองพิจารณาจนน้อมเอามายึดเป็นตัวตน เพราสติยังอ่อน แต่ถ้าสติมีกำลังตามทันเมื่อมันรู้มันเบื่อมันก็วาง....วิธีแก้ก็เพียงลดการพิจารณาธรรมอันนี้ลงเสีย แล้วเจริญสมาธิให้มากขึ้นให้สมาธิเกิดขึ้นเต็มที่จนจิตรวมลงอยู่ในองค์สมาธิ เจริญสมาธิให้ชำนาญให้มั่นคงเสียก่อน แล้วสติปัญญาย่อมมีกำลังและเฉียบแหลมขึ้นตามมา
ขอบคุณครับ :b8:


:b8: :b8: สาธุ ขอบคุณค่ะ น้อมรับความรู้นะค่ะ :b8: :b8:

**สวัสดีครับพี่ชาวโลก :b8:
วันก่อนผมไม่ได่กล่าวที่มาของความเห็นที่ผมบอกกับพี่ไว้ข้างต้น วันนี้ก็เลยอยากขอแบ่งบันประสบการณ์อันนี้บ้างครับ....คือหลังจากที่ผมสึกออกมาช่วงแรกๆนั้น ผมได้เห็นความวุ่นวายของโลก ความจริงของโลกอย่างชัดเจนขึ้นมาก จนเกิดความเบื่อหน่าย ความหนัก ความทุกข์ของชีวิต จนรู้สึกอยากบวชอีกครั้งและจะไม่สึกออกมาอีก แต่ด้วยห่วงด้วยภาระในตอนนั้นก็เลยไม่อาจจะกลับไปบวชอย่างที่ใจต้องการได้...จึงเกิดเป็นความอึดอัด ความทกข์ใจที่ตัวเองอยากบวชแต่มีวิบากกรรมมากทำให้ยังบวชไม่ได้ และเป็นอย่างนี้อยู่นานนับเดือนๆ เพราะจิตที่เห็นความวุ่นวายของโลกนี่แหละ เพียงแต่ตอนนั้นสติผมยังไม่ทัน คือจิตมันรู้มันเห็นว่าโลกวุ่นวายเบียดเบียนไม่มีสิ้นสุด แต่เพราะสติผมยังอ่อนเลยตามไม่ทันสังขารที่มันปรุงแต่งต่อออกมา ว่าโลกอันวุ่นวายนี้มันหนัก มันเป็นทุกข์มากไม่มีสิ้นสุด ไม่เหมือนโลกแห่งธรรมที่เบาสบาย ที่สามารถดับทุกข์ทั้งหลายได้สิ้นเชิง ถ้าไม่มีภาระอย่างทุกวันนี้ ก็จะกลับไปบวชเดี๋ยวนี้เลย กรรมเรามันมากมายขนาดนี้เลยหรอถึงมีอุปสรรคแบบนี้....จิตมันก็วนเวียนคิดอยู่อย่างนี้อยู่ทุกวัน
**แต่เพราะผมไม่ได้ทิ้งการเจริญสมาธิภาวนา ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปทำให้สติของผมมีกำลังขึ้นว่องไวขึ้น จนมันรู้เท่าทันสังขาร คือวันหนึ่งหลังจากออกจากทำสมาธิ ตอนนั้นใจมันสงบ มันก็เกิดความสังเกตุ จิตตัวเองว่า มันสงบมันว่างจากความคิดนะ แล้วทันทีทันใดมันก็นึกย้อนถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นทุกข์เพราะเห็นว่าโลกวุ่นนาย อยากบวชแต่ยังบวชไม่ได้ แต่ตอนนี้ทำไมใจมันสงบทั้งๆที่ตอนนี้ความเห็นว่าโลกวุ่นวายก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไอ้ความอยากบวชนี่มันก็ยังอยู่เช่นเดิม จึงได้พิจารณาดูก็ได้รู้ว่า ที่ก่อนนี้เป็นทุกข์อึดอัดก็เพราะจิตคิดปรุงแต่งอยู่แต่อดีต(คือสมัยตอนบวช)และอนาคต(คือความอยากบวชแต่ยังบวชไม่ได้)มากเกินไป จนยึดมั่นหมายมั่นเป็นตัวเป็นตนเกินไป ใจนี้เลยเป็นทุกข์อึดอัด แต่ตอนนี้เรามีสติรู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน ปราศจากสังขารอดีตและอนาคต ใจเลยเฉยๆไม่อึดอัดไม่เป็นทุกข์ในเรื่องนี้อีกต่อไป
**สรุปก็คือเมื่อเราเห็นว่าโลกวุ่นวาย ก็ให้เห็นสักแต่เพียงว่าก็โลกมันวุ่นวาย อย่าไปหมายมั่นว่าโลกจะไม่วุ่นวายไปกว่านี้ จะหยุดวุ่นวาย อย่าไปคิดว่าโลกอันวุ่นวายนี้ไม่น่าอยู่ ให้รู้แต่เพียงว่าเราอยู่ในโลกอันวุ่นวาย
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 23:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณชาวโลก
อมตธรรมที่พระพุทธองค์ (พ่อ)ได้มอบให้แก่ลูก เมื่อลูกได้สมบัติอันมีค่าแล้ว ลูกก็มีหน้าที่ต้องรักษา และมอบให้ผู้อื่นได้รับรสอมตธรรมอันสันติสุขนี้เช่นเดียวกัน อีกทั้งเป็นการรักษาเผ่าพงศ์ ไว้ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่คุณเข้าใจผมและลองปฏิบัติตามแนวทางที่คุยกัน แต่เป็นการถ่ายทอดด้วยตัวอักษรย่อมมีข้อจำกัด สำหรับแนวทางที่คุณปฏิบัติตาม ผมขอจำแนกดังนี้
การแตะรู้คือมีสติ รู้ว่ามีความตึง(สมมุติ)คือสัมปชัญญะ ปล่อยการรู้(ละอุปทาน) หรือเปลี่ยนไปรู้สิ่งอื่น การแตะรู้เบาสบายๆช้าๆไม่ต้องตั้งใจ(มัชฌิมาปฏิปทา)
สำหรับการปฏิบติดังกล่าวหากมีอาการมึนเกิดขึ้นแสดงว่า อาจรู้มีความตั้งใจหรือไม่ได้ปล่อยวางจุดที่รู้จุดหนึ่งก่อนเคลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง สำหรับความหมายของการปล่อยวาง คือต้องละสิ่งที่รู้นั้นก่อน หากพยายามละ ก็ต้องรู้ทันว่าพยายามเพราะจะเกิดลักษณะกิเลสช้อนกิเลส

คุณเคยได้ทราบคำว่า “สังขารุเบกขาญาณ” หรือไม่
การปฏิบัติวิปัสสนา จะเป็นการสลายแยกรูปและนาม โดยจะแยกร่างกายที่มีลักษณะเป็นก้อนให้แตกกระจายออกเป็นส่วนเล็กเล็กสิ่งที่เกาะยึดกับกาย เช่น ความชา ร้อน เจ็บเหมือนเข็มแทง จะคลายออกจากรูป สำหรับนามจะแยกเจตสิกออกจากจิตจากหยาบสู่ละเอียด จนเข้าถึงความว่าง แต่เป็นว่างที่ยังรู้ถึงความเปลี่ยนปลงเป็นคลื่นความสั่นสะเทือน(อนิจจังอย่างละเอียด) ที่คุณเป็นอยู่

เมื่อสภาวะธรรมเกืดอนิจจังละเอียดถึงขั้นนี้แล้ว จะไปกระทุ้งเอาทุกขังออกมา อย่างที่คุณได้โพสต์ไว้ว่า คุณมีอาการปวดกระดูกทั้งตัว แต่หายในเวลาต่อมา สำหรับทุกขังจะมีรอบเล็กและรอบใหญ่ รอบเล็กจะมีอาการปวดเมื่อย ชา ส่วนรอบใหญ่จะปวดเมื่อยถึงกระดูก มีอาการเป็นไข้ ด้านจิตใจก็จะกระสับกระส่ายทุรนทุราย นี่คือสภาพทุกขังที่ผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านก่อนถึงมรรคผลนิพพาน ดังคำที่ว่าผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม

เมื่อผ่านอนิจัง ทุกขังแล้ว ปลายทางสุดท้ายคืออนัตตา ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อันนี้คือความหมาย แต่ลักษณะของอนัตตาไม่ค่อยมีใครได้กล่าวถึง สำหรับผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่จะเข้าสู่ความว่างเนื่องจากรอบการรู้มีความถี่ ต่ำกว่ารอบความถี่ของตัณหา หากเคยฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ อาจจับใจความได้ก่อนบรรลุธรรม อย่างเช่น หลวงตามหาบัว ท่านบอกว่าตัวรู้จะถี่หมุนติ้ว ๆ นั่นแสดงไห้เห็นว่าท่านปฏิบัติจนจิตมีความถี่สูง มีการรู้เป็นขณะจากช้าๆ และเริ่มเร็วขึ้น จิตจะแยกตัวจากการครอบงำชั่วคราว และพบแรงกระทำของจักรวาลป็นรอบๆ 1 วินาที มีลักษณะเหมือนชีพจร หรือ เสียงนาฬิกา (ตอ๊ค ๆ ๆ) แสดงว่าผู้ปฏิบัติเข้าถึงอนัตาแล้ว คุณชาวโลกก็ได้พบสภาวะนี้แล้ว แต่เนื่องจากคุณมีอาการปวดหัว ร่วมด้วย แสดงว่าในขณะรู้อาการ คุณไม่ได้รู้แบบรู้แล้วปล่อยวาง ลองกลับไปสังเกตด้วยว่า รู้แบบธรรมชาติหรือไม่ ใส่ความตั้งใจหรือไม่ จริง ๆแล้วในเบื้องต้น อาจใช้วิทีรู้ รวมๆโดยไม่เลือกก็ได้
เมื่อรู้อาการต๊อค ๆ แล้ว ให้รู้ 4-5 ขณะ แล้วปล่อยการรู้ 2-3วินาทีแล้วกลับมารู้ให่มสลับไปสลับมา เดี๋ยวจะเข้าสู่ความดับรอบ......สู่ความอิสระจากแรงร้อยรัดทั้งปวง แล้วจะอุทาน ธรรมเป็นเช่นนี้หรือ จะระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ พระธรรม พระสงฆ์ ครูอาจารย์ที่บอกทาง เป็นศรัทธาที่ไม่เปลี่ยแปลงตลอดไป สุดท้ายสิ่งที่ธรรมดาเราอาจมองข้าม ที่คุณบอกว่าจะไม่ได้พิจารณาสังคมนั้น ระดับลึกของวิปัสนาคือ การรู้ไม่ต้องใช้การคิดพิจารณา แล้ว ขอให้พบอมตธรรมนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 15:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คือ ไม่รู้จิ่
บางครั้งเอกอนก็รู้สึกว่า
การจัดการกับอะไร ๆ ลงไปด้วยความไม่รู้
หรือความรู้ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก บางครั้งมันก็จัดการกับอะไร ๆ
ได้ง่ายกว่าการที่เรามีความรู้กับสิ่งที่เราจัดการมากมายซับซ้อนน่ะ

:b1:


อ่านแล้วเพลินดีค่ะ คุณเอกอน :b12: :b12:

:b12: :b12: บางครั้งดิฉันก็ทำคล้ายๆคนเอกอนเหมือนกันคือ ช่างมัน น่ะค่ะ บางทีช่างๆมันได้นี่

สบายไป 8 อย่างเลย ดิฉันก็ใช้มันเสมอ แต่ดิฉันดันมีนิสัยติดคิดหาทางแก้ไขก่อน ถ้ามันไม่ได้ถึงจะ ช่าง

มัน แต่ส่วนใหญ่ 90 % ของการคิดหาทางแก้ไขจะไม่สู้คำว่าช่างมันน่ะค่ะ เมื่อใหร่ดิฉันใช้คำว่า ช่างมัน

มันมีผลดี 100% เต็มทุกทีเลยค่ะ :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ลูกพระป่า เขียน:

**สวัสดีครับพี่ชาวโลก :b8:
วันก่อนผมไม่ได่กล่าวที่มาของความเห็นที่ผมบอกกับพี่ไว้ข้างต้น วันนี้ก็เลยอยากขอแบ่งบันประสบการณ์อันนี้บ้างครับ....คือหลังจากที่ผมสึกออกมาช่วงแรกๆนั้น ผมได้เห็นความวุ่นวายของโลก ความจริงของโลกอย่างชัดเจนขึ้นมาก จนเกิดความเบื่อหน่าย ความหนัก ความทุกข์ของชีวิต จนรู้สึกอยากบวชอีกครั้งและจะไม่สึกออกมาอีก แต่ด้วยห่วงด้วยภาระในตอนนั้นก็เลยไม่อาจจะกลับไปบวชอย่างที่ใจต้องการได้...จึงเกิดเป็นความอึดอัด ความทกข์ใจที่ตัวเองอยากบวชแต่มีวิบากกรรมมากทำให้ยังบวชไม่ได้ และเป็นอย่างนี้อยู่นานนับเดือนๆ เพราะจิตที่เห็นความวุ่นวายของโลกนี่แหละ เพียงแต่ตอนนั้นสติผมยังไม่ทัน คือจิตมันรู้มันเห็นว่าโลกวุ่นวายเบียดเบียนไม่มีสิ้นสุด แต่เพราะสติผมยังอ่อนเลยตามไม่ทันสังขารที่มันปรุงแต่งต่อออกมา ว่าโลกอันวุ่นวายนี้มันหนัก มันเป็นทุกข์มากไม่มีสิ้นสุด ไม่เหมือนโลกแห่งธรรมที่เบาสบาย ที่สามารถดับทุกข์ทั้งหลายได้สิ้นเชิง ถ้าไม่มีภาระอย่างทุกวันนี้ ก็จะกลับไปบวชเดี๋ยวนี้เลย กรรมเรามันมากมายขนาดนี้เลยหรอถึงมีอุปสรรคแบบนี้....จิตมันก็วนเวียนคิดอยู่อย่างนี้อยู่ทุกวัน
**แต่เพราะผมไม่ได้ทิ้งการเจริญสมาธิภาวนา ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปทำให้สติของผมมีกำลังขึ้นว่องไวขึ้น จนมันรู้เท่าทันสังขาร คือวันหนึ่งหลังจากออกจากทำสมาธิ ตอนนั้นใจมันสงบ มันก็เกิดความสังเกตุ จิตตัวเองว่า มันสงบมันว่างจากความคิดนะ แล้วทันทีทันใดมันก็นึกย้อนถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นทุกข์เพราะเห็นว่าโลกวุ่นนาย อยากบวชแต่ยังบวชไม่ได้ แต่ตอนนี้ทำไมใจมันสงบทั้งๆที่ตอนนี้ความเห็นว่าโลกวุ่นวายก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไอ้ความอยากบวชนี่มันก็ยังอยู่เช่นเดิม จึงได้พิจารณาดูก็ได้รู้ว่า ที่ก่อนนี้เป็นทุกข์อึดอัดก็เพราะจิตคิดปรุงแต่งอยู่แต่อดีต(คือสมัยตอนบวช)และอนาคต(คือความอยากบวชแต่ยังบวชไม่ได้)มากเกินไป จนยึดมั่นหมายมั่นเป็นตัวเป็นตนเกินไป ใจนี้เลยเป็นทุกข์อึดอัด แต่ตอนนี้เรามีสติรู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน ปราศจากสังขารอดีตและอนาคต ใจเลยเฉยๆไม่อึดอัดไม่เป็นทุกข์ในเรื่องนี้อีกต่อไป
**สรุปก็คือเมื่อเราเห็นว่าโลกวุ่นวาย ก็ให้เห็นสักแต่เพียงว่าก็โลกมันวุ่นวาย อย่าไปหมายมั่นว่าโลกจะไม่วุ่นวายไปกว่านี้ จะหยุดวุ่นวาย อย่าไปคิดว่าโลกอันวุ่นวายนี้ไม่น่าอยู่ ให้รู้แต่เพียงว่าเราอยู่ในโลกอันวุ่นวาย
ขอบคุณครับ



:b8: ขอบคุณค่ะที่มาแบ่ปันประสบการณ์ให้ได้ข้อคิดที่มีมากค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร