วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 01:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมุติพระพุทธเจ้าแยกพระกับชาวบ้านออกจากกันต่างคนต่างอยู่ อย่างที่คน (ส่วนหนึ่ง) สมัยนี้คิด พระพุทธศาสนาคงไม่ดำรงมาจนถึงป่านนี้หรอก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ตัวอย่าง การอธิบายพุทธพจน์ โดยไม่บิดเบือนพุทธพจน์
โดยไม่บัญญัติ ศัพท์ใหม่
และสามารถนำมาเจริญสมถะวิปัสสนา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ก็ศึกษาได้จาก ธรรมบรรยายแสดงโดยพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธองค์ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1518&Z=1753&pagebreak=0

แม้แต่ ธรรมเสนาบดี ก็ยังไม่ได้ อธิบายว่า
การรู้อนิจจัง การรู้ทุกขัง การรู้อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ

จริงหรือไม่จริง โฮฮับ



สวัสดีครับท่านเช่นนั้น ที่จริงก็ไม่อยากจะขัดบทสนทนาหรอกนะครับ

เพียงอยากจะฝากให้พิจารณาดูครับว่า
การเห็นจริงซึ่งสังขารธรรมทั้งปวงด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ รึเปล่า
ลองพิจารณาดูอีกซักรอบนะครับ

สวัสดีครับคุณ Flame
การเห็นจริงตามปฏิจสมุปบาท จะทำให้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏชัดออกมา
คุณ Frame จับเอา ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อิทัปปัจจยตา มาพิจารณา สังขตะทั้งปวง ก็จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไร้ข้อสงสัยใดๆ
ดังนั้นสัมมาทิฏฐิ จึงต้องมีความคิดความรู้เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท เพื่อเป็นทางปฏิบัติให้เกิดญาณหยั่งรู้ต่อสัจจะความจริงของชีวิต

คุณFrame คงเคยได้ยิน บทอุปมาว่า อริยสัจจ์ ดุจรอยเท้าช้างมาบ้างนะครับ

เจริญธรรม ยินดีได้สนทนาครับคุณ Frame

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:

เพียงอยากจะฝากให้พิจารณาดูครับว่า
การเห็นจริงซึ่งสังขารธรรมทั้งปวงด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ รึเปล่า
ลองพิจารณาดูอีกซักรอบนะครับ

ขออนุญาติ ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิของตนเองหน่อยนะเจ้าค่ะ(ถ้าดิฉันเข้าใจบกพร่องตรงไหนแย้งได้นะเจ้าค่ะดิฉันจะไม่ยกบัญญัติมาพูดพูดตามความเข้าใจของตนล้วนๆ) การจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราจะต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วถ้าจิตไม่เป็นสัมมาทิฏฐิแสดงว่า สิ่งที่เราเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราปรุงแต่งคิดไปเอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีสัมมาทิฏฐิ หรือ เป็นมิจฉาทิฏจิ ยกตัวอย่างคุนเชื่อว่าผีมีจริงไหม(ถามจิตตัวเองเชื่อหรือไม่เชื่อ)ถ้าคุนบอกว่าไม่เชื่อ นั่นแสดงว่าคุนเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วถ้าคุนตอบว่าเชื่อแสดงว่าคุนก็ งมงายเป็นมิจฉาทิฏฐิอีกเช่นกัน สัมมาทิฏฐิคือ วางใจเป็นกลาง รู้แล้วก็ปล่อยไปตามกฏธรรมชาติ สัมมาทิฏฐิไม่ได้มาง่ายๆนะเจ้าค่ะ อบรมจิตจนเป็นสมาธิ คือเราไม่เอียนเองไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะต้องรู้เองโดยกฎธรรมชาติ เมื่อได้สัมมาทิฏฐิแล้ว เราถึงจะสามารถพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ อย่างถ่องแท้ :b1:


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อธรรมะหรือธรรมชาติที่ว่าเห็นได้ยากนั้น ได้แก่อะไร คือ ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน ดังที่พวกเรากะลังพูดถึงกันอยู่นี่

"ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นของลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ตามได้ยาก สำหรับหมู่ประชาผู้เริงรมย์รื่นระเริงอยู่ในอาลัย ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยากนัก กล่าวคือ นิพพาน"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
การเห็นจริงตามปฏิจสมุปบาท จะทำให้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏชัดออกมา
คุณ Frame จับเอา ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อิทัปปัจจยตา มาพิจารณา สังขตะทั้งปวง ก็จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไร้ข้อสงสัยใดๆ
ดังนั้นสัมมาทิฏฐิ จึงต้องมีความคิดความรู้เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท เพื่อเป็นทางปฏิบัติให้เกิดญาณหยั่งรู้ต่อสัจจะความจริงของชีวิต

คุณFrame คงเคยได้ยิน บทอุปมาว่า อริยสัจจ์ ดุจรอยเท้าช้างมาบ้างนะครับ

เจริญธรรม ยินดีได้สนทนาครับคุณ Frame


ครับ เป็นอย่างนั้นครับ ยินดีเช่นกันครับ

๔. อุปปาทสูตร

(ว่าด้วยธรรมนิยาม)

[๕๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะพระตถาคตทั้งหลาย เกิดขึ้น

หรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุ คือ สิ่งที่ทรงตัวเองอยู่ได้ อันนั้น, ธัมมฐิตตา

ความตั้งอยู่โดยธรรมดา อันนั้น, ธัมมนิยามตา ความแน่นอนโดยธรรมดา

อันนั้น ตถาคตตรัสรู้แทงตลอดธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขาร

ทั้งปวง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นได้ตรัสรู้แล้ว ได้หยั่งรู้แล้ว

จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ว่า สังขาร

ทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา.

จบอุปปาทสูตรที่ ๔.


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
FLAME เขียน:

เพียงอยากจะฝากให้พิจารณาดูครับว่า
การเห็นจริงซึ่งสังขารธรรมทั้งปวงด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ รึเปล่า
ลองพิจารณาดูอีกซักรอบนะครับ

ขออนุญาติ ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิของตนเองหน่อยนะเจ้าค่ะ(ถ้าดิฉันเข้าใจบกพร่องตรงไหนแย้งได้นะเจ้าค่ะดิฉันจะไม่ยกบัญญัติมาพูดพูดตามความเข้าใจของตนล้วนๆ) การจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราจะต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วถ้าจิตไม่เป็นสัมมาทิฏฐิแสดงว่า สิ่งที่เราเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราปรุงแต่งคิดไปเอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีสัมมาทิฏฐิ หรือ เป็นมิจฉาทิฏจิ ยกตัวอย่างคุนเชื่อว่าผีมีจริงไหม(ถามจิตตัวเองเชื่อหรือไม่เชื่อ)ถ้าคุนบอกว่าไม่เชื่อ นั่นแสดงว่าคุนเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วถ้าคุนตอบว่าเชื่อแสดงว่าคุนก็ งมงายเป็นมิจฉาทิฏฐิอีกเช่นกัน สัมมาทิฏฐิคือ วางใจเป็นกลาง รู้แล้วก็ปล่อยไปตามกฏธรรมชาติ สัมมาทิฏฐิไม่ได้มาง่ายๆนะเจ้าค่ะ อบรมจิตจนเป็นสมาธิ คือเราไม่เอียนเองไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะต้องรู้เองโดยกฎธรรมชาติ เมื่อได้สัมมาทิฏฐิแล้ว เราถึงจะสามารถพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ อย่างถ่องแท้ :b1:


สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบใช่มั้ยครับ

เห็นชอบตามความเป็นจริง

เช่น

ความเห็นว่ากรรมดีย่อมมีวิบากดี กรรมชั่วย่อมมีวิบากไม่ดี

ความเห็นว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ

ความเห็นว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ความเห็นอย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ดังนี้เป็นต้นครับ

เบื้องต้นก็ขอให้เข้าใจว่าสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบรู้ชอบตรงกับความจริงไม่ผิดเพี้ยน ไม่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศล

การฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า การโยนิโสมนสิการ ก็เป็นปัจจัยให้สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นได้ครับ


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
nongkong เขียน:
FLAME เขียน:

เพียงอยากจะฝากให้พิจารณาดูครับว่า
การเห็นจริงซึ่งสังขารธรรมทั้งปวงด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิ รึเปล่า
ลองพิจารณาดูอีกซักรอบนะครับ

ขออนุญาติ ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิของตนเองหน่อยนะเจ้าค่ะ(ถ้าดิฉันเข้าใจบกพร่องตรงไหนแย้งได้นะเจ้าค่ะดิฉันจะไม่ยกบัญญัติมาพูดพูดตามความเข้าใจของตนล้วนๆ) การจะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราจะต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วถ้าจิตไม่เป็นสัมมาทิฏฐิแสดงว่า สิ่งที่เราเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราปรุงแต่งคิดไปเอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรามีสัมมาทิฏฐิ หรือ เป็นมิจฉาทิฏจิ ยกตัวอย่างคุนเชื่อว่าผีมีจริงไหม(ถามจิตตัวเองเชื่อหรือไม่เชื่อ)ถ้าคุนบอกว่าไม่เชื่อ นั่นแสดงว่าคุนเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้วถ้าคุนตอบว่าเชื่อแสดงว่าคุนก็ งมงายเป็นมิจฉาทิฏฐิอีกเช่นกัน สัมมาทิฏฐิคือ วางใจเป็นกลาง รู้แล้วก็ปล่อยไปตามกฏธรรมชาติ สัมมาทิฏฐิไม่ได้มาง่ายๆนะเจ้าค่ะ อบรมจิตจนเป็นสมาธิ คือเราไม่เอียนเองไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะต้องรู้เองโดยกฎธรรมชาติ เมื่อได้สัมมาทิฏฐิแล้ว เราถึงจะสามารถพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ อย่างถ่องแท้ :b1:


สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบใช่มั้ยครับ

เห็นชอบตามความเป็นจริง

เช่น

ความเห็นว่ากรรมดีย่อมมีวิบากดี กรรมชั่วย่อมมีวิบากไม่ดี

ความเห็นว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ

ความเห็นว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ความเห็นอย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ดังนี้เป็นต้นครับ

เบื้องต้นก็ขอให้เข้าใจว่าสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบรู้ชอบตรงกับความจริงไม่ผิดเพี้ยน ไม่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศล

การฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า การโยนิโสมนสิการ ก็เป็นปัจจัยให้สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นได้ครับ

เจ้าค่ะ :b8: แต่อย่าลืมว่าต้องอบรมจิตจนเป็นสมาธิเพื่อเจริญปัญญาถึงจะพิจารณาธรรมทั้งปวงได้อย่างถ่องแท้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นอวิชชา ไม่เข้าถึงธรรมตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ตัวรู้ รู้ได้ด้วย ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิเจ้าค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
การเห็นจริงตามปฏิจสมุปบาท จะทำให้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏชัดออกมา
คุณ Frame จับเอา ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อิทัปปัจจยตา มาพิจารณา สังขตะทั้งปวง ก็จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไร้ข้อสงสัยใดๆ
ดังนั้นสัมมาทิฏฐิ จึงต้องมีความคิดความรู้เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท เพื่อเป็นทางปฏิบัติให้เกิดญาณหยั่งรู้ต่อสัจจะความจริงของชีวิต

คุณFrame คงเคยได้ยิน บทอุปมาว่า อริยสัจจ์ ดุจรอยเท้าช้างมาบ้างนะครับ

เจริญธรรม ยินดีได้สนทนาครับคุณ Frame


ครับ เป็นอย่างนั้นครับ ยินดีเช่นกันครับ

๔. อุปปาทสูตร

(ว่าด้วยธรรมนิยาม)

[๕๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะพระตถาคตทั้งหลาย เกิดขึ้น

หรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุ คือ สิ่งที่ทรงตัวเองอยู่ได้ อันนั้น, ธัมมฐิตตา

ความตั้งอยู่โดยธรรมดา อันนั้น, ธัมมนิยามตา ความแน่นอนโดยธรรมดา

อันนั้น ตถาคตตรัสรู้แทงตลอดธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขาร

ทั้งปวง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นได้ตรัสรู้แล้ว ได้หยั่งรู้แล้ว

จึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ว่า สังขาร

ทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา.

จบอุปปาทสูตรที่ ๔.


สาธุ อนุโมทนา ครับ
ที่ยกพระสูตรที่ถูกต้องตรงตามเป็นจริงมา
และเพื่อทำความเข้าใจต่อไปอีกว่า สังขารข้างต้น หมายถึงสิ่งไรบ้าง
ก็พึงศึกษาต่อไปจาก ปัจจัยสูตร อีกพระสูตรหนึ่ง
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=590&Z=641&pagebreak=0
เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้เข้าไปอ่านแล้ว ขอบพระคุณครับ

:b8:


โพสต์ เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ตัวอย่าง การอธิบายพุทธพจน์ โดยไม่บิดเบือนพุทธพจน์
โดยไม่บัญญัติ ศัพท์ใหม่
และสามารถนำมาเจริญสมถะวิปัสสนา จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ก็ศึกษาได้จาก ธรรมบรรยายแสดงโดยพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธองค์ ตามลิงค์ ข้างล่างนี้

ก่อนอื่นขอหัวเราะปนสังเวชใจหน่อยเหอะ นี่ถ้าเป็นผมยกเอาคำสอนของพระสารีบุตรมา
ปานนี้ตีโพยตีพายว่า ไม่ใช่พุทธพจน์แล้วมั้ง นี่แค่เอาพุทธพจน์ธรรมนิยามของแท้
มาอ้างเพียงแต่มีชื่อเรียกใหม่ ซึ่งก็ตั้งตามเนื้อหา ในพุทธพจน์ธรรมนิยามนั้นไม่ได้ไปแก้
ต่อเติมเสริมแต่งธรรมนิยามแม้แต่น้อย ยังโวยวายแบบหาสาระไม่ได้

ถ้าใช้สมองคิดเสียหน่อยว่า การเรียกชื่อสิ่งใด มันก็คือการตั้งชื่อให้รู้ว่า
ต้องการให้รู้เฉพาะเจาะจงสิ่งนั้น อย่างเช่น"ไตรลักษณ์" เขาต้องการให้รู้ถึง"ธรรมนิยาม"

ถ้าเป็นการเรียก"ไตรลักษณ์" แล้วไปบิดเบือนเปลี่ยนแปลง"ธรรมนิยาม" ก็ว่าไปอย่าง
นี่ก็เป็นเนื้อหา"ธรรมนิยาม"ที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆ ดังนั้นถ้าเราจะเรียก"ธรรมนิยาม"ว่า
ไตรลักษณ์ แล้วมีคนมาโวยวายว่า บิดเบือนพุทธพจน์ผมว่าปัญญาอ่อนครับ

ถ้าคิดเสียหน่อย ชื่อต่างๆบัญญัติต่างๆในพระไตรปิฎก มันก็ล้วนแล้วแต่อรรถกถาจารย์
เป็นผู้ตั้ง สาเหตุก็เพื่อให้เราเข้าใจไปในทางเดียวกัน ว่า พุทธพจน์หมวดไหนหมู่ไหน
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็มีการทำสังคายนาจัดหมวดหมู่พุทธพจน์ และตั้งชื่อเรียก
เพื่อให้ชาวพุทธเข้าใจไปในทางเดียวกัน
เช่นนั้น เขียน:
แม้แต่ ธรรมเสนาบดี ก็ยังไม่ได้ อธิบายว่า
การรู้อนิจจัง การรู้ทุกขัง การรู้อนัตตา เป็นสัมมาทิฏฐิจริงหรือไม่จริง โฮฮับ

คุณกำลังมึนเพราะเมาหมัด เบลอกับบัญญัติครับ แหม่! พออ้างคนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ก็ใส่ยศฐาถาบรรดาศักดิ์ให้เลยเชียว นี่ถ้าเป็นผมถูกโวยสามบ้านแปดบ้านแน่

แต่ไม่เป็นไรครับมันไม่ใช่สาระ ประเด็นมันอยู่ตรงที่คำว่าเหตุปัจจัยครับ

คุณ"เช่นนั้น"ครับ คุณลองเอาสัมมาทิฐิเป็นตัวตั้ง แล้วพิจารณาดูซิครับว่า
มีเหตุปัจจัยอะไรให้เกิดเป็นสัมมาทิฐิ และสัมมาทิฐิเป็นเหตุปัจจัยเสียเองครับ

ที่เราคุยกันในตอนต้น ผมว่าในทำนองว่า อนิจจัง ทุกขังและอนัตตาเป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดสัมมาทิฐินะครับ

แต่ที่คุณไปยกคำสอนของท่านสารีบุตรมา ท่านแสดงให้เห็นว่า สัมมาทิฐิเป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดอะไร

สรุปก็คือการไปรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทำให้เกิดสัมมาทิฐิ
และคำสอนของท่านสารีบุตรคือ การอธิบายความหลังจากมีสัมมาทิฐิแล้วครับ


โพสต์ เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ที่เราคุยกันในตอนต้น ผมว่าในทำนองว่า อนิจจัง ทุกขังและอนัตตาเป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดสัมมาทิฐินะครับ


คุณโฮฮับ
จึงเห็นคลาดเคลื่อนมาตั้งแต่ต้นล่ะครับ
ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ตราบกระทั่งบัดนี้

พระพุทธองค์ไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้แก่สาวกท่านใดเลย
โฮฮับนั่งเทียน แสดงออกมาเอง คงเข้าใจนะครับ

พระพุทธองค์แสดงธรรม เยี่ยงนี้ครับ
Quote Tipitaka:
[๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ชราและมรณะเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยประชุมแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น
มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา
ชาติ ... ภพ ... อุปาทาน ...
ตัณหา ... เวทนา ... ผัสสะ ... สฬายตนะ ... นามรูป ... วิญญาณ ... สังขาร ...
อวิชชา เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยประชุมแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป
เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า
ธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น ฯ


สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์ธรรมอันอยู่ในส่วนของปัญญา
พระองค์ จึงแสดง เหตุเพื่อให้เกิดปัญญา
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ๘ ประการเป็นไฉน...


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=3111&Z=3197&pagebreak=0

พุทธพจน์ดังกล่าว มีอยู่ แสดงเหตุปัจจัย ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ จริง หรือไม่จริง โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุและปัจจัยในข้อที่ 8 เพื่อให้เกิดปัญญาดังกล่าว คือการเห็นการพิจารณาตามพุทธดำรัส
Quote Tipitaka:
อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า
รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็น
ดังนี้ ... สัญญาเป็นดังนี้ ... สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความ
เกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๘ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหม
จรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ


ซึ่งสอดรับ ต่อ ปัจจัยสูตร ที่ยกมาประกอบไว้ก่อนหน้า

Quote Tipitaka:
[๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ชราและมรณะเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยประชุมแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น
มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา ชาติ ... ภพ ... อุปาทาน ...
ตัณหา ... เวทนา ... ผัสสะ ... สฬายตนะ ... นามรูป ... วิญญาณ ... สังขาร ...
อวิชชา เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยประชุมแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป
เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า
ธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น ฯ


ไม่ได้ยกขึ้นมาลอยๆ เช่นโฮฮับ เข้าใจคลาดเคลื่อน บิดเบือนความหมายแห่งพุทธดำรัสที่พระองค์แสดงไว้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 17:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1775_resize.JPG
GEDC1775_resize.JPG [ 78.03 KiB | เปิดดู 4707 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

คุณโฮฮับนี่ยึดแน่นจริงๆ เห็นผิด ยึดผิด ตีความพระสูตรมาผิดๆ แล้วมาพยายามชักจูงผู้ไม่รู้ให้เห็นผิดตาม จึงมีวาทะกับเขาไปทั่วทั้งลาน ขนาดท่านเช่นนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ยังเอาแทบไม่อยู่ พระเจ้าพระสงฆ์มาช่วยรักษาลานให้อยู่ในกรอบแห่งธรรมยังรั้งไม่ได้ไปจ้วงจาบท่านอีก"
ถึงเวลาแล้วมั่งปู่ที่จะต้องกลับไปทบทวนพุทธภาษิตดังยกมาข้างต้นเสียใหม่หลายๆรอบนะครับ

:b8:
อริยมรรคมีองค์แปด คือทางดำเนินหรือวิธีปฏิบัติไปให้ถึงความเป็นอริยะ

มิใช่ถึงความเป็นอริยะแล้วจึงค่อยมาเดินบนทางแห่งมรรค 8 ถึงอริยะสัมมาทิฏฐิเต็มมาก่อนโดยไม่อาศัยมรรค 8 นี่เป็นสัทธรรมปฏิรูปจริงๆอันตรายแท้และน่ากลัวมาก

:b27:
ผมสังเกตการณ์มาหลายกระทู้และจนถึงหน้าสุดท้ายของกระทู้นี้จึงขออนุญาตแทรกเข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศนิดหนึ่ง เชิญสนทนากับท่่านเช่นนั้นต่อนะครับ
onion

แน่ะ!พอได้พวกก็โผล่ศีรษะออกมาเลยน่ะ ปากกล้าขาสั่นจริง :b13:

มาเที่ยวชี้หน้าคนโน้นคนนี้ สัทธรรมปฏิรูปหัดละอายใจบ้างนะ
ตอนแรกก็ว่าผมนั่งเทียนเขียนบ้างล่ะ ว่าสัทธรรมปฏิรูปบ้างล่ะ
แต่พอเราเอาพุทธพจน์มากางให้ดู ดันแถเถือกซะหนังกำพร้าทะลอก
:b9:

Onion_L
พุทธพจน์ที่ยกมาอ้างอิงนั้นนะใช่
แต่การตีความจากพุทธพจน์ของคุณโฮฮับนั้นนะใม่ใช่
เพราะมันสวนทาง ย้อนศร กับความเห็นของผู้คนส่วนใหญ่ และไม่เป็นไปตามธรรม ไม่ถูกธรรม คุณโฮฮับลองไปให้Google เขาค้นเรื่องอริยมรรคมีองค์ 8 มาให้ดู ไม่มีใครอธิบายอย่างคุณโฮ ที่ว่าต้องทำให้เกิดสัมมาทิฐิโดยการเห็นไตรลักษณ์จนเป็นอริยบุคคลก่อนแล้วจึงค่อยมาเจริญมรรค 8 ได้

แล้วสัมมาทิฐิที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเป็นหลักกลางไว้ในคำอธิบายเรื่องมรรค 8 นั้นท่านกล่าวไว้มีใจความสรุปว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์และทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์ นี่คือ สัมมาทิฏฐิ" ใครเก่งค้นคัมภีร์ลองไปยกคำอธิบายมรรค 8 แปลไทยมาให้กันดูซิครับจะได้เห็นและทราบชัดเจนยิ่งขึ้น

เห็นว่าคุยกันมาไกลแล้วแต่ผมมาช้าไปหน่อย แทรกอีกแล้ว แต่แทรกเพราะข้อความพาดพิงนะครับ ขออนุญาตท่านประธานสภา (ไม่ทราบว่าจะเป็นใครดี น๊า? )หรือท่านพุทธฏีกาจะเมตตาครับ
:b8:
โพสต์ เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 01:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ที่เราคุยกันในตอนต้น ผมว่าในทำนองว่า อนิจจัง ทุกขังและอนัตตาเป็นเหตุปัจจัย
ให้เกิดสัมมาทิฐินะครับ

คุณโฮฮับ
จึงเห็นคลาดเคลื่อนมาตั้งแต่ต้นล่ะครับ
ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ตราบกระทั่งบัดนี้

พระพุทธองค์ไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้แก่สาวกท่านใดเลย
โฮฮับนั่งเทียน แสดงออกมาเอง คงเข้าใจนะครับ

คุณเช่นนั้นพูดไม่รู้ฟังนะครับ พูดอยู่ได้ไม่มีๆๆ ก็ที่ผมยก"ธรรมนิยาม"มาให้ดู
คุณไม่เห็นหรือไง
ผมจะสอนคุณให้ กับสิ่งที่คุณบอกว่าไม่ใช่ คุณต้อง
บอกเหตุผลไปซิครับว่าไม่ใช่อย่างไร ดังที่ผมจะบอกสิ่งที่คุณเอามาอ้างเช่นกัน
ว่ามันไม่ใช่อย่างไร ....
เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์แสดงธรรม เยี่ยงนี้ครับ
[๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ชราและมรณะเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยประชุมแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น
มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา
ชาติ ... ภพ ... อุปาทาน ...
ตัณหา ... เวทนา ... ผัสสะ ... สฬายตนะ ... นามรูป ... วิญญาณ ... สังขาร ...
อวิชชา เป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยประชุมแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป
เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า
ธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น ฯ

คุณนี้มันมั่วดีครับ ศึกษาพระธรรมพิจารณาธรรม ไม่พยายามรู้กว้างทั่วๆ
ธรรมในปฏิจฯ เป็นธรรมที่ละเอียดขึ้น ใช้ในการพิจารณาดับวัฏสงสาร
ปฏิจฯเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้เพื่อให้สาวก นำปัญญามาดับ
หรือต้ดวัฏฏะแห่งปฏิจสมุบาทครับ นั้นหมายความว่า ปฏิจฯไม่ได้เป็นเหตุปัจัย
แก่สัมมาทิฐิ

พูดให้ตรงประเด็นก็คือ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้ใช้ปัญญาสัมมาทิฐิ(มีอยู่ก่อนแล้ว)
มาพิจารณาปฏิจสมุบาทเพื่อหาทางดับต้นตอแห่งการเกิด โดยใช้ปัญญาธัมมวิยสัมโพชฌงค์
เป็นเครื่องมือ
เช่นนั้น เขียน:
[สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์ธรรมอันอยู่ในส่วนของปัญญา
พระองค์ จึงแสดง เหตุเพื่อให้เกิดปัญญา
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ๘ ประการเป็นไฉน...


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=3111&Z=3197&pagebreak=0

พุทธพจน์ดังกล่าว มีอยู่ แสดงเหตุปัจจัย ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ จริง หรือไม่จริง โฮฮับ
สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์ธรรมอันอยู่ในส่วนของปัญญา
พระองค์จึงแสดงเหตุเพื่อให้เกิดปัญญา


รู้แคบ รู้น้อยจังครับ ปัญญาไม่ได้มีแค่สัมมาทิฐินะครับ
ในขั้นตอนการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเหล่าสาวก
ปัญญาที่ทรงให้รู้นั้นก็คือ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์และสัมมาสังกัปปะ

"เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้"
ประโยคนี้ผมแนะนำให้คุณอ่านและพิจารณาดีๆครับ
ไปดูความของ "พรหมจรรย์"ว่า หมายถึงอะไร"
แล้วจึงค่อยมาดูว่าปัญญาที่ว่า คืออะไร"
อีกอย่างดูซิที่เขาว่า ปฏิบัติพรหมจรรย์มันเป็นอย่างไร


โพสต์ เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
"เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้"
ประโยคนี้ผมแนะนำให้คุณอ่านและพิจารณาดีๆครับ
ไปดูความของ "พรหมจรรย์"ว่า หมายถึงอะไร"
แล้วจึงค่อยมาดูว่าปัญญาที่ว่า คืออะไร"
อีกอย่างดูซิที่เขาว่า ปฏิบัติพรหมจรรย์มันเป็นอย่างไร


Quote Tipitaka:
พรหมจริยสูตรที่ ๒
พรหมจรรย์และประโยชน์แห่งพรหมจรรย์
[๑๑๔] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงพรหมจรรย์ และประโยชน์
แห่งพรหมจรรย์ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น.
[๑๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พรหมจรรย์เป็นไฉน. อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘
นี้แล คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจชอบ นี้เรียกว่า พรหมจรรย์.

[๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ประโยชน์แห่งพรหมจรรย์เป็นไฉน? ความสิ้นราคะ
ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า ประโยชน์แห่งพรหมจรรย์.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=592&Z=607&pagebreak=0
ในพระสูตรเกี่ยวกับเหตุปัจจัย เพื่อให้เกิดปัญญา จึงเป็นการแสดงธรรมของพระพุทธองค์ที่ไม่ขัดกันเองใน กัลยณมิตรธรรม และ โยนิโสมนสิการ อันเป็นอาทิพรมจรรย์

อ้างคำพูด:
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ๘ ประการเป็นไฉน...



http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=3111&Z=3197&pagebreak=0


Quote Tipitaka:
กัลยาณมิตรมีอุปการะมากแก่อริยมรรค
[๑๔๗] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันหนึ่งมีอุปการะมาก เพื่อความ
เกิดขึ้นแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘
จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์
๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการ
สละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มาก
ซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.


Quote Tipitaka:
โยนิโสมนสิการมีอุปการะมากแก่อริยมรรค
[๑๕๔] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันหนึ่งมีอุปการะมาก เพื่อความเกิด
ขึ้นแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน? คือ ความถึงพร้อมแห่งการ
กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยการกระทำไว้ในใจโดย
แยบคาย พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่ง
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
[๑๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ย่อม
เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่าง
ไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัย
วิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยการกระทำไว้ในใจโดย
แยบคาย ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มาก ซึ่งอริยมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=19&A=795&Z=904&pagebreak=0
จริง หรือไม่จริง โฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron