วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 17:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเคยขอโทษหรือให้อภัยใครมาบ้างและได้อะไรจากการขอโทษและการให้อภัยนั้นคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ในทานบารมีนั้นมีทาน ๓ อย่าง โดยเป็นวัตถุที่ควรให้ คือ อามิสทาน ๑ อภัยทาน ๑ ธรรมทาน ๑.

ให้อภัยก็เป็นทานอย่างหนึ่งนะ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
ท่านเคยขอโทษหรือให้อภัยใครมาบ้างและได้อะไรจากการขอโทษและการให้อภัยนั้นคะ :b8:

สวัสดีครับพี่จันทร์เพ็ญ
ทำอยู่เสมอทำจนเป็นปกติ สิ่งที่ได้ก็ไม่มีอะไรมากแค่การไม่ผูกเวรของตนต่อผู้อื่นเท่านั้นเองครับ
ของคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
ท่านเคยขอโทษหรือให้อภัยใครมาบ้างและได้อะไรจากการขอโทษและการให้อภัยนั้นคะ :b8:


การจะได้อะไรจากการขอโทษ..หรือ..การให้อภัยนั้น...ก็ขึ้นอยู่กับว่า...ที่ทำไปนั้นมีอะไรเป็นฐานของการกระทำ..(การขอโทษ...การให้อภัย )

หากทำไปเพราะ...คิดว่าทำแล้วดี...ให้สังคมยอมรับเรา...มองเราดีขึ้น...แม้ตัวเองผิดหรือไม่ผิดก็ตาม...แต่ก็ขอโทษไปอย่างนั้นแหละ...ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็อาจจะดีขึ้น...เรียกว่า..ข่มการกระทำด้วยเหตุผลทางความดี...แต่ใจลึก ๆ มันว่าตัวเองถูกอยู่

หากทำไปเพราะ...เห็นความผิดตน..เห็นตนหลงโกรธ...เห็นตนไหลไปตามกิเลสตัณหาอวิชชา...หลงกระทำเพียงเพื่อปกป้อง...ตัวที่เข้าใจผิดว่าเรา..ของที่เข้าใจผิดว่าของของเรา...เห็นความผิดตนแล้วนึกสงสารตนยิ่งนัก....สงสารคนที่มารองรับอารมณ์ของตนยิ่งนัก....อยากจะขอโทษเขา...ให้เขารู้ว่าเขาไม่ผิด..เป็นเราผิดเอง...เขาจะให้อภัยเราหรือไม่...ก็เรื่องของเขา...แม้เขาจะมีความผิดอยู่บ้างก็ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์

ขอโทษนะเพื่อน...ขอโทษนะพี่...ผมผิดเอง

เรียกว่าทำเพราะ...การเห็นความจริง...ผลนะหรือ....ใจเรากลับไปสู่ความเป็นปกติ..เสมือนกับว่า...การกระทำผิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้น...พบหน้าเพื่อนหน้าพี่อีกครั้ง...อารมณ์ตะขิดตะข่วงใจไม่มี..ใจโปร่งโล่งสบาย

ไม่รู้ว่า...จะเรียกว่า
การเกิดจากอารมณ์นั้น..ดับ
ภพจากอารมณ์นั้น...ไม่มีอีก

ได้มั้ย?

การให้อภัยก็เช่นเดียวกัน....เห็นเขาหลง...ไหลไปตามกิเลสตัณหาอวิชชา...เพียงเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นสาระหลงว่าเป็นสาระ...กำลังทุกข์อยู่ก็ไม่รู้ว่าทุกข์...เขาทำไปเพราะความไม่รู้แท้ ๆ ...สงสารเขานะ...ถ้ารู้ก็คงไม่ทำ...

ถ้าให้อภัยด้วยความเห็นจริงแล้ว...ใจจะโปร่งโล่งสบาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 2657

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
ท่านเคยขอโทษหรือให้อภัยใครมาบ้างและได้อะไรจากการขอโทษและการให้อภัยนั้นคะ :b8:

ขอโทษ เมื่อเห็นตนเองผิด เป็นการลดอัตตาลง ป้องกันผูกโกรธได้ด้วย คงสภาพความมิตรระหว่างกันได้ด้วย
คนที่ขอโทษคนอื่นได้เพราะเห็นแก่มิตรภาพมากกว่ามานะ ความแข็งกระด้างของตน ส่วนผู้ให้อภัย เป็นการแสดงออกของกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ บางคนก็เห็นแก่มิตรภาพ บางคนก็เห็นแก่ประโยชน์ในภายภาคหน้า ฯลฯ :b1:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมสงสัยว่าการให้อภัย คือการให้ทานได้ยังไง
เพราะ ไม่ได้ให้อะไรใครเขาสักอย่าง นอกจากการทำใจตนเองที่จะไม่ถือสา

แล้วการทำในใจที่จะไม่ถือสาใครต่อใคร จะคือการให้ทานได้ยังไง

ขอท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยครับ

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทาน...คือการสละออก

วัตถุทาน...เอาอารมณ์ความโลภออก

อภัยทาน....เอาอารมณ์ความโกรธความขุ่นเคืองออก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาความโกรธออก กับการให้ทานนี้ มันอันเดียวกันเหรอครับคุณกบ

การละความโกรธ ความรัก ความหลง ผมไม่เห็นรู้สึกว่าต้องไปให้ทานกับใครที่ไหนเลย

s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 23:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:

ยังเคืองเขาอยู่....แม้ปากว่าให้อภัย...มันก็อภัยแค่ปาก...ใจไม่ได้ให้จริง

แบบนี้...ไม่ถือว่าเป็นการให้อภัย..นะ

จะให้อภัยใครได้...ต้องเอาอารมณ์โกรธเคืองออกก่อน

แถมการจะให้อภัยใคร....นอกจากจะต้องหายโกรธแล้ว...เมตตาก็เพิ่มมาด้วย

เมตตาสะสมมาก ๆ เข้า...ความโกรธก็ยิ่งน้อยลง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2012, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:
เอาความโกรธออก กับการให้ทานนี้ มันอันเดียวกันเหรอครับคุณกบ

ได้ผลชะงังหนักแล...ลองดูซิ

เวลาโกรธที่ใครทำผิด....ก็ยกความผิดนั้นเป็นทานให้กับคนที่ทำซะ...ผิดแล้วก็แล้วไป...เริ่มใหม่

อ้างคำพูด:
การละความโกรธ ความรัก ความหลง ผมไม่เห็นรู้สึกว่าต้องไปให้ทานกับใครที่ไหนเลย

s004

ลองดู.....ลองทานให้หมดอย่างที่ว่ามาซิ....ลองดู

ไม่มีใครรับ...ทานก็สำเร็จได้ :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 05:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:

ยังเคืองเขาอยู่....แม้ปากว่าให้อภัย...มันก็อภัยแค่ปาก...ใจไม่ได้ให้จริง

แบบนี้...ไม่ถือว่าเป็นการให้อภัย..นะ

จะให้อภัยใครได้...ต้องเอาอารมณ์โกรธเคืองออกก่อน

แถมการจะให้อภัยใคร....นอกจากจะต้องหายโกรธแล้ว...เมตตาก็เพิ่มมาด้วย

เมตตาสะสมมาก ๆ เข้า...ความโกรธก็ยิ่งน้อยลง

กะลาธรรมนี้ความเห็นนี้แต่งเองหรือเปล่า
ฟังแล้วมันแหม่งๆยังไงไม่รู้

กะลารู้จักคำว่า "ยกโทษให้" "ไม่แก้แค้น" มั้ย
ที่ว่ามามันเป็นกายสังขาร ไม่ใช่จิตสังขารอย่างที่กะลาบอกนะจ๊ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 07:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จางบาง เขียน:
เอาความโกรธออก กับการให้ทานนี้ มันอันเดียวกันเหรอครับคุณกบ

ได้ผลชะงังหนักแล...ลองดูซิ

เวลาโกรธที่ใครทำผิด....ก็ยกความผิดนั้นเป็นทานให้กับคนที่ทำซะ...ผิดแล้วก็แล้วไป...เริ่มใหม่

อ้างคำพูด:
การละความโกรธ ความรัก ความหลง ผมไม่เห็นรู้สึกว่าต้องไปให้ทานกับใครที่ไหนเลย

s004

ลองดู.....ลองทานให้หมดอย่างที่ว่ามาซิ....ลองดู

ไม่มีใครรับ...ทานก็สำเร็จได้ :b12: :b12:


เช่นนั้นแล

นิพพาน ก็ให้ทานให้สิ้น จนไม่เหลือ จริง สูญตาทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:
ผมสงสัยว่าการให้อภัย คือการให้ทานได้ยังไง
เพราะ ไม่ได้ให้อะไรใครเขาสักอย่าง นอกจากการทำใจตนเองที่จะไม่ถือสา

แล้วการทำในใจที่จะไม่ถือสาใครต่อใคร จะคือการให้ทานได้ยังไง

ขอท่านผู้รู้ช่วยอธิบายด้วยครับ

s006



อภัยทาน หมายถึง ให้ความไม่มีภัย ให้ความปลอดภัย

ตัวอย่าง ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ปุญญาภิสันทสูตร ดังนี้ว่า

[๑๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๘ ประการนี้ นำความสุข
มาให้ ให้อารมณ์เลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อสิ่งที่น่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ห้วงบุญ
ห้วงกุศล ๘ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึง
พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๑ นำความสุขมาให้ ให้
อารมณ์เลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ เป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ฯ

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ
นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๒ ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ นี้
เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๓ ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๕ ประการนี้ เป็นมหาทาน อันบัณฑิตพึงรู้ว่า
เป็นเลิศ มีมานาน เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย
ไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิตไม่รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์
ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด ทาน ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่
เบียดเบียน แก่สัตว์หาประมาณมิได้
ครั้นให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความ
ไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัย
ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน หาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็น
ทานประการที่ ๑ ที่เป็นมหาทาน บัณฑิตพึงรู้ว่าเป็นเลิศ มีมานาน เป็นเชื้อสาย
แห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจาย อันบัณฑิต
ไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นห้วง
บุญห้วงกุศลประการที่ ๔ ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละอทินนาทาน งดเว้นจากอทินนาทาน ฯลฯ
นี้เป็นทานประการที่ ๒ ฯลฯ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๕ ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ฯลฯ นี้เป็นทานประการที่ ๓ ฯลฯ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๖ ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละมุสาวาท งดเว้นจากมุสาวาท ฯลฯ นี้
เป็นทานประการที่ ๔ ฯลฯ นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๗ ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง อริยสาวกละการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็น
ที่ตั้งแห่งความประมาท งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความประมาท ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ
สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทแล้ว ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความ
ไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้ ครั้นให้ความไม่มีภัย ความ
ไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่ง
ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนหาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นทานประการที่ ๕ ที่เป็นมหาทาน บัณฑิตพึงรู้ว่าเป็นเลิศ มีมานาน เป็น
เชื้อสายแห่งพระอริยะ เป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจาย ไม่เคยกระจัดกระจาย
อันบัณฑิตไม่รังเกียจ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๘ นำสุขมาให้ ให้อารมณ์
อันเลิศ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ห้วงบุญห้วงกุศล ๘ ประการนี้แล นำสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นผล
เป็นไปเพื่อสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ฯ

จบสูตรที่ ๙


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมดิฉันรุ้สึกว่า อารมณืโกรธมันเป็นแค่เวทนาตัวหนึ่ง ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เกิดๆ ดับๆ เพราะเราชอบส่งจิตออกนอก ไม่เห็นต้องไปให้อภัยทานใคร ในเมื่อจิตเราไม่ได้ไปยึดติด ไปอาฆาต เคียดแค้น พยาบาทจองเวร การอภัยทาน คือ การเอาออกให้ได้ซึ่งความเคียดแค้นพยาบาทผู้อื่นหรอก คือการอโหสิกรรม ไม่จองเวรกัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร