วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 23:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
ถ้าจะให้โล่ห์...ก็ขออันใหญ่ ๆ หน่อย...นี้มันก็ฤดูฝน...ใว้ใช้บังตนจากหยาดพิรุณ... :b9:

แต่ถ้าจะให้สวย....ขอเป็นถ้วยสักใบ...จะใส่น้ำพริกปลาทู...บู๊กับผักสด..ๆ...ได้มันส์หยดทุกมื้อ...

rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 08:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b27:
อดทนแล้วก็สู้ ๆ นะครับ พวกพี่ๆเขาปากร้ายแต่ใจดีกันทั้งนั้นแหละครับ เพราะยังไงก็ต้องถือว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน...คือเป็นลูกหลานของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
:b20:


ไม่รู้ใครพี่ใครน้อง.... :b32:

ดูท่าว่า..ผู้มาทีหลังจะเป็นพี่...นะ s002

และการที่ใครจะหายไป...ก็ไม่ได้หมายความว่า...ความขันติธรรมของท่านเหล่านั้นเขาจะน้อยไปหรอก...อาจจะยุ่งกับงานฆ่ากิเลสของตัวเองก็ได้....

ไม่เหมือน..เรา..เรา.. :b32: ...สิงสถิตย์อยู่ที่หน้าจอวันละหลายชั่วโมง....งานมีก็ไม่ทำ....

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก... :b34: :b34:

:b12: :b12: :b12:
แหม.....คุณกบไม่จำเรื่อง Seniority ตอนเรียนบ้างหรือครับ ใครเข้ามาในลาน..ก่อนก็ต้องเรียกว่า
"รุ่นพี่" ....ซิครับ.....ไม่เกี่ยวกับอายุด้วยนะครับ....

onion
คนที่หายไปทำความเข้มข้นกับการทำงานฆ่ากิเลส ก็อนุโมทนา แต่ก็น่าสงสารนะครับที่ไปเพียรพยายามฆ่ากิเลส อันเป็นการทำงานผิดที่ ผิดจุด ผิดประเด็น ถ้าเป็นการยิงปืนก็เล็งผิดเป้า ...เพราะไปพยายามสู้ผล...
ซึ่งสู้ยังไงก็มีแต่แพ้......ลองคิดดูซิครับว่า กิเลสมีตั้ง 1,500 ตัณหามีตั้ง 108 ถ้าเปรียบเป็นจำนวนคนที่จะต้องสู้ สู้คน 1,500 กับ 108 คนนี่สู้ไหวหรือครับ ?

:b32:
คนฉลาดเขาจะต้องสู้ที่เหตุ.....รู้จักเหตุให้ชัด.....ค้นหาเหตุให้เจอ.....เพราะเหตุนั้นสู้ง่าย มันเป็นเพียงแค่ พ่อ กับ แม่ของกิเลส 2 ตัว สองคนเท่านั้น ฆ่าพ่อได้ แม่ก็ตายตาม ฆ่าแม่ได้ พ่อก็ตายตาม
:b10:
คุณกบสนทนาธรรมศึกษาธรรมมานาน รู้จัก พ่อแม่ของกิเลสสตัณหาหรือยังครับ?.......
:b12: :b12: :b12:
การมีเวลามานั่งอยู่หน้าจอ จ้อธรรมวันละหลายชั่วโมง ถือเป็นวิบากแห่งบุญเก่าที่เราสร้างสมไว้ดี จึงบริหารจัดการเวลาชีวิตมาทำคุณประโยชน์ให้โลกได้....แบ่งปันประสบการณ์กับเพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย กลายเป็นเครื่องอยู่อีก 1 อย่างระหว่างทางแห่งการเจริญมรรค 8
:b16: :b16:
คุณกบยังมีงานโลกย์ที่ต้องเป็นภาระให้แบกหามมากอยู่หรือครับ ...ไม่น่าจะใช่นะ...ดูท่าน่าจะเป็นคนที่นั่งแท่นทางโลกมาแล้ว จึงมาเจ้ยแจ้วอยู่ในลานได้ทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น
สำหรับผม หายห่วงได้แล้วครับ ชาตินี้กิน นอน เล่น คุย เที่ยว ประพฤติธรรม..ฯลฯ....ได้สบาย ไม่อดข้าวตายแน่ๆแล้วละครับ.....

:b12: :b12: :b12: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 09:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง...senior..นี้...ก็ไม่แน่...พวกนี้อาจกลับมาทำ โท..ทำเอก...รึก็ไม่รู้...พี่หรือน้อง..จึงไม่แน่
ส่วนเรื่องจ่อหน้าจอ...จะเป็นธรรมทานหรือไม่...จะเป็นมรรคหรือไม่....ก็ดูที่อุเบกขา...เขาไม่เชื่อก็ยังฉุดกระชากลากถูอยู่นั้นแหละ...ก็พิจารณาเอาว่า...เป็นความอยากหรือว่าเป็นธรรม

สุดท้าย...หากว่างมาก...รีบเร่งยังประโยชน์ตน..ให้สำเร็จโดยไว....จะได้ยังประโยชน์ผู้อื่นได้ถึงที่สุด...

ทำได้..ก็ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คนฉลาดเขาจะต้องสู้ที่เหตุ.....รู้จักเหตุให้ชัด.....ค้นหาเหตุให้เจอ.....เพราะเหตุนั้นสู้ง่าย มันเป็นเพียงแค่ พ่อ กับ แม่ของกิเลส 2 ตัว สองคนเท่านั้น ฆ่าพ่อได้ แม่ก็ตายตาม ฆ่าแม่ได้ พ่อก็ตายตาม

สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.
คราวหน้าคราวหลัง..จะอุปมาเปรียบเทียบอะไรก็อุปมาให้มันดุละเอียดละอออ่อนน้อมถ่อมตน ลุกศิษพระพุทธองค์ไม่มีใครเอาพ่อเอาแม่มาเปรียบเทียบเป็นกิเลศ..คนฟังมันสะดุ้งอ่ะดูโหดร้ายทารุณชอบกล(คิดได้ไงว่ะ) อารมณ์อันเป็นโสภณเจตสิกไม่มี..ถึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุยกันหลังวัด - กับคุณโฮฮับ (ต่อ)
ขออภัยเนื่องจากติดภารกิจมากทำให้เข้ามาสนทนาช้าเช่นเดิม
และขออนุโมทนาคุณโฮฮับที่ได้กรุณาช่วยชี้แนะความเห็นต่าง ๆ ที่ผมได้ให้ไว้ซึ่งก็รู้สึกว่าผมผิดเองที่ไม่นึกว่าคุณโฮฮับจะเป็นผู้เข้าใจได้เร็ว ไปดำเนินเรื่องยาวไปหน่อยเป็นน้ำท่วมทุ่งทำให้คุณโฮฮับต้องเสียเวลาตอบยาวมา แต่นึกอีกทีก็น่าจะมีประโยชน์สำหรับสมาชิกท่านอื่น ๆทั่วไปที่อาจยังไม่ทราบเรื่องบางอย่างก็ทำให้ทราบชัดเจนขึ้น

สำหรับผมคิดว่าการที่เราได้มีโอกาสได้ใช้บริการลานธรรมแห่งนี้จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้สมาชิกและผู้สนใจในพุทธธรรมได้ทราบข้อคิดเห็นและสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์ที่เรายังไม่รู้ที่มีผู้รู้ได้กรุณาลงมาให้ทราบ หากตัวเองรู้แล้วก็ช่วยแบ่งปันให้เพื่อน ๆ สมาชิกอื่น ๆที่ยังไม่ทราบได้เข้าใจมากขึ้น ทำให้เกิดกุศลทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับทั้งสิ้น

คุณโฮฮับครับเจตนาที่ผมได้แจ้งคุณโฮฮับไปตรงๆเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความคิดเห็นสไตล์ที่กล้ำกึ่งกับคำเสียดสีและกระแนะกระแหน (ซึ่งบางครั้งผู้อ่านบางท่านอาจเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้นมีสีสันและไม่ง่วง ซึ่งก็เป็นจุดเรียก rating หากมองในมุมนี้ก็ได้ แต่ควรเป็นเวปสนทนาแบบปิดประตูคุยหรือใน facebook เพราะคนอื่นอาจไม่รู้ว่ากำลังตีตัวกิเลสกันอยู่ แต่เข้าใจว่ามาทะเลาะอะไรกัน ) ดังนั้นผมจึงได้แสดงความเห็นจากที่ได้ประสบพบตรงด้วยบริสุทธิ์ใจของเพื่อนกัลยาณมิตรคนหนึ่งไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นใด ๆนะครับ แต่เห็นว่ามันเป็นธรรมที่บางครั้งผู้ที่ถูกชี้อาจยังมีจิตไม่ว่างพอที่จะยอมรับ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผมเองถูกคุณโฮฮับชี้ข้อบกพร่องมาหลายดอก เช่นต้องการวางมาดดูดี เสแสร้งเป็นคนดี แต่ซ่อนวาจาที่เสียดสีไว้ ทีแรกก็รู้สึกสะอึกเหมือนกัน แต่บังเอิญมีสตินึกได้ว่าเขากำลังแนะทางสว่างให้กับใจเราว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ หากมีอยู่จริงก็ต้องรีบแก้ไขที่จิตเราจะได้ไม่ตกไปในอกุศลซ้อนอกุศล หรือไปโกรธเขาและก็ยังโง่อยู่อะไรทำนองนองนี้ ซึ่งจริง ๆก็ยอมรับว่าที่กล่าวมามีอยู่จริงในจิตครับ เพราะจะทำอย่างไรได้ผมยังไม่บรรลุอรหันต์ ยังมีกิเลสตัวที่ยังติดจากเดิมตั้งแต่เล็กที่พวกเรามักถูกสอนสั่งจากพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์สมัยเรียนหนังสือเด็กๆ ให้ทำดีและก็มีรางวัลให้ความรู้สึกภาคภูมิ หากเกเรหรือทำไม่ดีก็จะถูกบ่นถูกว่าหรือลงโทษ ภาษาพระว่ายังติดในความยินดียินร้ายดังกล่าวอยู่ซึ่งในการปฏิบัติธรรมขั้นที่ละวางได้ต้องไม่รู้สึกยินดียินร้ายถึงจะใช้ได้ ซึ่งต้องยอมรับตรง ๆ ว่ายังต้องฝึกอยู่ และที่คุณ Asoka และคุณกบนอกกะลา ได้เดาไว้ก็ไม่ผิดนะครับผมกำลังฆ่ากิเลสตนเองอยู่

อีกอย่าง อาจเป็นเพราะผมค่อนข้างเป็นห่วงเรื่อง บรรยากาศการสนทนาที่ดีให้เกิดขึ้นในลานธรรมแห่งนี้ที่ผมมีส่วนเป็นสมาชิกกับเพื่อนกัลยาณมิตรอื่น ๆ ได้เกิดความรู้สึกอยากเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์เข้ามามากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามีทั้งภิกษุ ภิกษุณี ชี เณร อุบาสก อุบาสิกา และผู้ที่ใฝ่ธรรมะทั้งหลายโดยเฉพาะเยาวชนที่ต้องรับภาระสืบทอดหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในอนาคตต่อไป
ดังนั้น การพูดจาสนทนากันที่ดีควรมีหลักยึดที่ดีเอาไว้ไม่ใช่ว่าผู้ใดอยากจะแสดงความเห็นใดหรือพูดอะไรก็ได้ตามใจตนซึ่งก็จะทำให้ทำลายบรรยากาศที่ดีไปได้ ดังนั้นจึงขอน้อมนำหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงประทานเกี่ยวกับการพูดจาแก่เรามานานแล้วในสุภาษิตสูตร พระสุตตันตปิฎก ซึ่งมีความสรุปโดยย่อจากหนังสือมงคลชีวิตข้อ 10 เขียนโดย พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจ ดังนี้

องค์ของวาจาสุภาษิต (องค์ในที่นี้หมายถึงต้องมีครบทั้ง 5 ข้อจึงจะสมบูรณ์เป็นวาจาสุภาษิตขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้)
1. กาเลน ภาสิตา (คำที่พูดถูกกาลเทศะ)
2. สจฺจา ภาสิตา (คำที่เป็นความจริง)
3. สณฺหา ภาสิตา (คำที่สุภาพ)
4. อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา (คำที่มีประโยชน์)
5. เมต์ตจิตฺเตน ภาสิตา (คำที่พูดด้วยเมตตา)

หากสมาชิกทุก ๆ ท่านหรือในสังคมส่วนใหญ่นำไปประพฤติปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้ส่วนรวมน่าอยู่เพราะมีแต่ผู้ที่มีความเป็นปกติสามารถประสานความเข้าใจกันได้อย่างดีทำให้มีความเจริญและสงบสุขในสังคม

อ้อเกือบลืม สำหรับเรื่องการ รักตัวกลัวตายที่คุณโฮฮับได้กรุณาแสดงความเห็นมา ขอน้อมรับครับ และก็ขอเสริมให้ทราบเพิ่มเติมคำว่ารักตัวกลัวตายที่ผมได้บอกไปนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งสักหน่อยถ้าสังเกต ดี ๆ ผมได้พยายามทำวงเล็บต่อท้ายทั้ง 2 คำนี้เรื่อง รักตัว (มานะ) กลัวตาย (อวิชชา) นั้นเป็นการปราบตัวมานะ หรือตัวตนที่เรารักเราหวงอยู่ และ เป็นการปราบตัวตนที่ไม่ยอมตายจากใจที่ปกติเดิมแท้เป็นจิตที่ว่างจากกิเลส (คือยังมีตัวกูของกูอยู่นั่นเอง) ….ขอเจริญในธรรม

ด้วยความเคารพจากใจจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุ....กับความคิด..ดี..ดี..ด้วยนะครับ
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว...เราจะมาเริ่ม....เรื่อง..

"...อย่าส่งจิตออกนอก.."...นี้อย่างไร..ละ

s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 22:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเพิ่มเติมบทความเกี่ยวกับเรื่องการส่งจิตออกนอก ให้กระทู้คุณลูกพระป่า เพื่อเป็นการชดเชยที่ได้ล่วงเกินเนื้อที่กระทู้ที่สนทนาไปมากโดยไม่เจตนา

เป็นข้อธรรมบรรยายจากท่านพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เรื่อง “อินทรียสังวรศีล"

อินทรียสังวรศีลนั้น พระอาจารย์จะเน้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นการปฏิบัติเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้
หากทุกคนไม่ยินดียินร้าย สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ยินดียินร้ายต่อรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
อินทรียสังวรศีลนี้จะเชื่อมโยงไปสู่การปฏิบัติธรรมที่ลึกซึ้งขึ้นไปได้ด้วย

เวทนา คือ ความรู้สึก เมื่อตาได้เห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้สัมผัส และมีการรับรู้ทางใจ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกเฉย ๆ ขึ้น แต่ถ้าเราสามารถกำหนดรู้เท่าทันเวทนาแล้ว ก็จะเห็นความเกิด-ดับ เกิด-ดับของเวทนา ตัณหาอุปาทานก็ไม่เกิด จึงไม่เป็นทุกข์

สมมุติว่าเกิดความไม่พอใจ ถ้ารู้ตัวว่าไม่พอใจ ตัณหาอุปาทานไม่ทันได้ปรุงแต่ง ก็จะไม่มีความรู้สึกอาฆาตพยาบาท ไม่ผูกใจเจ็บ

แนวทางการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทำได้ดังนี้

ตา เห็นรูปที่สวยหรือไม่สวยก็ตาม
หู ได้ยินเสียงที่ไพเราะหรือไม่ก็ตาม
จมูก ได้กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นก็ตาม
ลิ้น ได้รับรู้รสชาติอาหารที่อร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม
กาย สัมผัสอากาศร้อน หนาว สัมผัสที่นั่งที่นอน ที่สบายหรือไม่สบายก็ตาม
ใจ รับรู้อะไรก็ตาม

อย่าส่งจิตคิดออกไปเป็นอารมณ์ยินดียินร้าย อย่าคิดปรุงแต่งเป็นอารมณ์พอใจไม่พอใจ ทำใจเป็นโอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจ ดูความรู้สึกชอบไม่ชอบ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพียงเท่านี้ ก็ถือว่าเราดูแลใจให้อยู่ในอินทรียสังวรศีลโดยสมบูรณ์แล้ว

ทุกวันนี้ การสอนปฏิบัติธรรมในหลาย ๆ สำนัก ก็เน้นว่าต้องวิปัสสนา บางคนก็เข้าใจว่าอานาปานสติ เป็นสมถกรรมฐานเพื่อให้เกิดความสงบ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงแล้ว การปฏิบัติไม่ว่าจะสำนักไหน สายไหน สิ่งที่สำคัญเป็นพื้นฐานก็เพื่อให้เกิดอินทรียสังวรศีลสมบูรณ์ เรียกว่า ศีลสิกขา พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าอินทรียสังวรศีลสมบูรณ์เมื่อไหร่ เหตุปัจจัยพร้อมสัมมาสมาธิก็เกิดขึ้น แล้ววิปัสสนาปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้ ตัววิปัสสนาคือเห็นไตรลักษณ์ของความรู้สึก แต่พระอาจารย์ไม่อยากให้ยึดติดกับคำศัพท์ต่าง ๆ ไม่อยากให้สับสนในธรรมะ

อยากให้เราทุกคนคิดว่า อะไรทำง่าย ทำได้ก่อน ก็ให้ทำก่อนเลย สบายใจเดี๋ยวนี้เลย เราก็สัมผัสนิพพานได้เดี๋ยวนี้เลยเช่นกัน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ง่าย ๆ ...ใคร ๆ ก็ชอบ...

กระผมก็เป็นคนหนึ่งละ....ที่ชอบง่าย ๆ ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
สำหรับผมคิดว่าการที่เราได้มีโอกาสได้ใช้บริการลานธรรมแห่งนี้จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้สมาชิกและผู้สนใจในพุทธธรรมได้ทราบข้อคิดเห็นและสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์ที่เรายังไม่รู้ที่มีผู้รู้ได้กรุณาลงมาให้ทราบ หากตัวเองรู้แล้วก็ช่วยแบ่งปันให้เพื่อน ๆ สมาชิกอื่น ๆที่ยังไม่ทราบได้เข้าใจมากขึ้น ทำให้เกิดกุศลทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับทั้งสิ้น

คุยแบบเปิดอกกับคุณไฮ้..ต่อ

คุณไฮ้ครับฟังคุณสาธยยายมา ลงทุนยกโน้นหยิบนี้มาสาธยายเสียยืดยาว
มันก็แค่เกิดความไม่พอใจที่คนอื่นที่ เขาไม่สนใจในลีลาคำพูด มิหน่ำซ้ำยังย้อนศร(สอน)ให้ด้วย

คุณไปเข้าใจว่า..
สังคมเขาให้เกียรติ์ยกย่อง คนที่พูดจาในลักษณะนี้ ซึ่งอาจเป็นจริงครับ
แต่ในความเป็นจริงยิ่งกว่านั้นก็คือ มันเป็นการใส่หน้ากาก(จอมปลอม)เข้าหากันครับ
ถ้าเราลองสังเกตุให้ดี วาจาที่คุณใช้มันก็ใช้แค่ฉาบฉวย มันเอาไว้ใช้กับคนที่ไม่รู้จัก
คนที่ไม่สนิทสนม ใช้พอเป็นพิธีให้รู้ว่า คู่สนทนานั้นไม่ได้มีมิตรสัมพันธ์ที่ลึกซึ่ง
วาจาที่ใช้บางครั้งมันไม่ตรงกับใจ ซึ่งในส่วนลึกนั้นซ่อนสิ่งที่ไม่ดีไว้ด้วย นั้นก็คือ
สิ่งที่เรียกว่าช่างมันฉันไม่แคร์ ไม่แคร์อย่างไร ก็คือว่า ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะหลง
ในเนื้อหาว่าผู้พูดมีนิสัยใจคอเช่นไร ดีอาจเป็นเลว เลวอาจเป็นดี
เพราะเป็นอย่างนี้ จึงทำให้เราต้องอยู่ในสังคมอย่างหวาดผวา
มีพวกโจรมิจฉาชีพมากมายอาศัยเรื่องแบบนี้มาประกอบอาชีพ

ก็เพราะหลงมัวเมากับคำพูด ที่ได้รับการสั่งสอน
มาจากคนที่มีนิสัยการแบ่งชนชั้น

คุณไฮ้ครับ เรื่องการแบ่งชนชั้นมันก็มีด้วยกันทุกระดับสังคมครับ
แต่เราต้องแยกให้ดีครับว่า อย่างไหนเป็นการแบ่งชนชั้นแห่งธรรมกุศล
หรือแบ่งโดยคุณธรรมและจริยธรรม

อย่างไหนเป็นการแบ่งชนชั้นด้วยกิเลสอกุศลหรือแบ่งโดย
ยศ ตำแหน่ง ทรัพย์และเชื้อสาย

คุณอาจจะยังไม่เข้าใจว่า การแบ่งชนชั้นที่เป็นกุศลและการแบ่งที่เป็นอกุศล
เป็นอย่างไร จะยกให้ดูง่ายๆครับ

ในสังคมครอบครัว เขาพูดจากันด้วยลักษณะคำพูดอย่างไรครับ
การพูดกับบุพการีพูดอย่างไร การพูดกับพี่น้องพูดอย่างไร
การพูดจากันในครอบครัว บางครอบครัวพูดเพราะ บางครอบครัว
พูดไม่เพราะ แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะเขามีความรัก
ความผูกพันธ์กัน ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้

และอีกสังคมที่อยากให้รู้ก็คือสังคมเพื่อนฝูง ยิ่งสนิทมาก
การพูดจาก็ออกไปในทางกระด้างมาก พูดง่ายก็คือ
ยิ่งหยาบยิ่งรัก
การพูดจาเพราะๆใช้กับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อน เอาคำพูดเพราะๆมาใช้กับเพื่อน
รับรองได้โดนเพื่อนล้อเลียนหรือไม่ก็แสดงความรังเกียจ

ตัวอย่างสองแบบที่ผมยกให้ดูมันเป็นความรักที่เป็นกุศล เป็นนิสัยที่ไม่ต้องสอน
หรือเรียกว่าไม่เสแสร้งแกล้งทำครับ

ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าเป็นอกุศลคงไม่ต้องอธิบายแล้ว
เพราะปัญหามันเกิดกับคุณก็เพราะเรื่องนี้ ลองเอาตัวอย่างของผมไป
เปรียบเทียบกับการพูดการจาของคุณดูก็จะรู้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
สำหรับผมคิดว่าการที่เราได้มีโอกาสได้ใช้บริการลานธรรมแห่งนี้จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้สมาชิกและผู้สนใจในพุทธธรรมได้ทราบข้อคิดเห็นและสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์ที่เรายังไม่รู้ที่มีผู้รู้ได้กรุณาลงมาให้ทราบ หากตัวเองรู้แล้วก็ช่วยแบ่งปันให้เพื่อน ๆ สมาชิกอื่น ๆที่ยังไม่ทราบได้เข้าใจมากขึ้น ทำให้เกิดกุศลทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับทั้งสิ้น

ก็ใช่ไงครับ คุณพูดดีครับ แต่อยากถามครับคุณทำอย่างที่พูดหรือเปล่าครับ
การแสดงออกของคุณ มันไม่ได้ทำอย่างที่พูดเลยครับ
คุณเลือกเอาแต่กิเลสเอาแต่อกุศล ธรรมที่แสดงอยู่ต่อหน้าคุณไม่สนใจ

คุณไฮ้ครับ คุณรับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยอะไรครับ
มันใช่กายใจของคุณหรือเปล่าครับ
ดูธรรมอย่าหลงว่ากำลังดูหนังดูลครซิครับ

hiwichai เขียน:
คุณโฮฮับครับเจตนาที่ผมได้แจ้งคุณโฮฮับไปตรงๆเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความคิดเห็นสไตล์ที่กล้ำกึ่งกับคำเสียดสีและกระแนะกระแหน (ซึ่งบางครั้งผู้อ่านบางท่านอาจเห็นเป็นเรื่องตื่นเต้นมีสีสันและไม่ง่วง ซึ่งก็เป็นจุดเรียก rating หากมองในมุมนี้ก็ได้ แต่ควรเป็นเวปสนทนาแบบปิดประตูคุยหรือใน facebook เพราะคนอื่นอาจไม่รู้ว่ากำลังตีตัวกิเลสกันอยู่ แต่เข้าใจว่ามาทะเลาะอะไรกัน )

คุณนี่หลงชนิดที่เรียกว่า เข้ารกเข้าพงเลยครับ
คุณเอาอะไรมาคิดครับ อยู่ในสังคมซึ่งย่อมต้องมีคนหลากหลาย
นิสัยคำพูดคำจาย่อมต้องแตกต่างกัน ผมไม่รู้ว่าคุณยิ่งใหญ่มาจากไหน
ถึงได้เอากิเลสอกุศลตัวเอง มาฟาดงวงฟาดงาชาวบ้าน ไม่พอใจใครก็เที่ยวได้ไล่เขา
มันต้องพิจารณาตัวเองครับ ถ้าเราไม่พอใจอะไรที่อยู่ตรงหน้า
มันเป็นเราที่จะต้องปลีกตัวออกมา ไม่ใช่ไปบังคับกายใจคนอื่น


ที่คุณไล่ผมไปพูดในเฟสบุ๊ค ผิดแล้วครับ มันต้องเป็นคุณครับ
ถ้าคุณอยากได้ยินได้ฟังคำพูดแบบไหน คุณก็ชวนคนเข้าไปคุยใน
เฟสบุ๊คของคุณ เพราะคุณสามารถออกกฎเกณท์ด้วยตัวคุณเองได้ครับ

ไอ้ที่มาแสดงอาการ(ผมไม่อยากพูดสุภาษิต) เอาเป็นว่าเหมือนออกจากบ้านมา
เข้าสังคม แล้วก็เกิดไม่พอใจการสนทนาในสังคมนั้น แล้วก็บังคับเขาต้องอย่างโน้นอย่างนี้
มันน่าตลกจนต้องปลงสังเวช

จำได้เคยสอนเพื่อนสมาชิกไปเรื่องทำนองเดียวกับคุณนี่แหล่ะว่า
ที่อโคจร เรารู้ว่าไม่สมควรเข้าไปก็อย่างเข้า หรือถ้ารู้ภายหลังก็ควรจะออกไปเสีย
ไม่ใช่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรเข้า ก็ยังเดินเข้าไป แถมไปด่าประนามคนในนั้น
แบบนี้เรียกหาเรื่องใส่ตัวหรือเปล่าครับ


คิดๆแล้วมันก็เหมือนพวกวัยรุ่น รู้ทั้งรู้ว่าในผับในบาร์ เขาขายเหล้า
คนเข้าไปเพื่อกินเหล้า แถมก็รู้อีกว่ากินเหล้าย่อมต้องมีเรื่องชกต่อย
แต่ด้วยความอยากกินเหล้าก็เลยเข้าไป ผลเมาทะเลาะวิวาทกัน
ตัวเองสู้ไม่ได้ ก็ไปโวยวายฟ้องพ่อฟ้องแม่ หาว่าคนอื่นไม่ดีมารังแกตน

มันตลกแกมสังเวชมั้ยครับ มันก็เพราะกิเลสตัวเองทั้งนั้น
ดันไปโทษชาวบ้าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


hiwichai เขียน:
ดังนั้นผมจึงได้แสดงความเห็นจากที่ได้ประสบพบตรงด้วยบริสุทธิ์ใจของเพื่อนกัลยาณมิตรคนหนึ่งไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นใด ๆนะครับ แต่เห็นว่ามันเป็นธรรมที่บางครั้งผู้ที่ถูกชี้อาจยังมีจิตไม่ว่างพอที่จะยอมรับ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผมเองถูกคุณโฮฮับชี้ข้อบกพร่องมาหลายดอก เช่นต้องการวางมาดดูดี เสแสร้งเป็นคนดี แต่ซ่อนวาจาที่เสียดสีไว้ ทีแรกก็รู้สึกสะอึกเหมือนกัน แต่บังเอิญมีสตินึกได้ว่าเขากำลังแนะทางสว่างให้กับใจเราว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ หากมีอยู่จริงก็ต้องรีบแก้ไขที่จิตเราจะได้ไม่ตกไปในอกุศลซ้อนอกุศล หรือไปโกรธเขาและก็ยังโง่อยู่อะไรทำนองนองนี้ ซึ่งจริง ๆก็ยอมรับว่าที่กล่าวมามีอยู่จริงในจิตครับ เพราะจะทำอย่างไรได้ผมยังไม่บรรลุอรหันต์ ยังมีกิเลสตัวที่ยังติดจากเดิมตั้งแต่เล็กที่พวกเรามักถูกสอนสั่งจากพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์สมัยเรียนหนังสือเด็กๆ ให้ทำดีและก็มีรางวัลให้ความรู้สึกภาคภูมิ หากเกเรหรือทำไม่ดีก็จะถูกบ่นถูกว่าหรือลงโทษ ภาษาพระว่ายังติดในความยินดียินร้ายดังกล่าวอยู่ซึ่งในการปฏิบัติธรรมขั้นที่ละวางได้ต้องไม่รู้สึกยินดียินร้ายถึงจะใช้ได้ ซึ่งต้องยอมรับตรง ๆ ว่ายังต้องฝึกอยู่ และที่คุณ Asoka และคุณกบนอกกะลา ได้เดาไว้ก็ไม่ผิดนะครับผมกำลังฆ่ากิเลสตนเองอยู่

พูดมาทั้งหมดเหมือนรู้เหมือนยอมรับผิด ก็เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้ประนามคุณว่า
เสแสร้ง ซ้ำซากครับไม่รู้ตัวเองครับ

มันรู้เรื่องเข้าใจธรรมที่ไหน พูดทำนองว่ายอมรับว่าตัวยังมีกิเลส เห็นกิเลสตัวเอง
พุทโธ! มันเป็นอย่างที่พูดที่ไหนครับ ก็ยังออกปากไล่ชาวบ้านเขาอยู่ป่าวๆ

คุณไฮ้ครับ ไอ้ที่ว่าคุณเสแสร้งผมไม่ใช่จะให้คุณได้อายหรอกนะครับ
เพียงแต่อยากให้คุณรู้ตัว เห็นเหตุที่แท้จริง จะได้ดับเหตุตัวนั้นเสีย

นี่มันอะไรครับ พูดเหมือนสำนึก แต่ที่ไหนได้
เสแสร้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 06:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
คนฉลาดเขาจะต้องสู้ที่เหตุ.....รู้จักเหตุให้ชัด.....ค้นหาเหตุให้เจอ.....เพราะเหตุนั้นสู้ง่าย มันเป็นเพียงแค่ พ่อ กับ แม่ของกิเลส 2 ตัว สองคนเท่านั้น ฆ่าพ่อได้ แม่ก็ตายตาม ฆ่าแม่ได้ พ่อก็ตายตาม

สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.
คราวหน้าคราวหลัง..จะอุปมาเปรียบเทียบอะไรก็อุปมาให้มันดุละเอียดละอออ่อนน้อมถ่อมตน ลุกศิษพระพุทธองค์ไม่มีใครเอาพ่อเอาแม่มาเปรียบเทียบเป็นกิเลศ..คนฟังมันสะดุ้งอ่ะดูโหดร้ายทารุณชอบกล(คิดได้ไงว่ะ) อารมณ์อันเป็นโสภณเจตสิกไม่มี..ถึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน :b5:

cool
มีว่ะมีโว้ยแล้วนะน้องคง คงได้อารมณ์มากแล้วนะซิ.......คั่งค้างมานานแล้ว ระบายออกได้เสียบ้างก็ดีนะครับ จะได้ สงบเย็น
:b5:
เรื่องอุปทานนี่มันเป็นของละเอียดอ่อนนะครับ ต้องใช้ให้ถูกต้อง การเปรียบเทียบเรื่องพ่อแม่ของกิเลส ตัณหานี่มันมิได้ผิดตรงไหนหรอกถ้าพิจารณาให้ดี กลับดีเสียอีกที่จะจินตนาการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
:b16:
...ถ้าน้องไปยึดติดคำว่า พ่อ กับแม่มากเกินไป เอนเอียง มีอคติ ฉันทาคติ โทสาคติมากเกินไป ย่อมจะทำให้เกิดการบิดเบือนธรม ตัวอย่างเช่น
ถ้ามีเรื่องที่เราจะต้องพูดถึงสัตว์อื่นอย่างเช่น หมู หมา เป็ด ไก่ วัว ควาย ถ้าจะพูดถึงผู้ให้กำเนิดของสัตว์เหล่านั้น น้องจะพูดว่าอย่างไร? มีศัพท์บัญญัติพิเศษแยกระหว่างคนกับสัตว์ไว้หรือเปล่าครับ อย่างเช่นคำว่า "พ่อพันธ์หมา แม่พันธ์หมา" ... น้องคงจะหาคำอะไรมาแทนได้ดีกว่านี้กรุณาแนะนำสั่งสอนด้วยนะครับ มิฉะนั้นคำที่น้องคงกล่าวว่า ......"สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.".......มันก็คงจะกลับมาเป็นของน้องคงอยู่ดีนะครับ

:b12:
แล้วคำพูดที่วิจิตรที่ลอกมาจากตำราว่า ....."อารมณ์อันเป็นโสภณเจตสิกไม่มี..ถึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน"
คำนี้ก็สงสัยจะกลับคืนมาหาน้องคงเองเป็นร้อยเท่าพันทวี ตามกฎแห่งกรรมนะครับ

Onion_L
กลับมาสู่ปกติธรรมได้แล้ว ......เรื่องต่างๆ ....คำพูดเก่าๆที่ไม่เป็นที่สบอารมณ์ทั้งหลายมันกลายเป็นอดีตที่แก้ไขไม่ได้ไปหมดแล้ว พึงมาเริ่มต้นที่ปัจจุบันชีวิตนี้ใหม่ด้วยใจที่เป็นสุขและเป็นธรรม ตามปกติวิสัยของวิญญูชน จะได้พ้นข้อครหานินทา
:b8:
"ชีวิต ตายและเกิดใหม่ทุกวินาที"....อดีตก็ละไปแล้ว....อนาคตก็ยังไม่มา.....ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรามนุพรูหะเย......(ท่อนสุดท้ายนี้แปละเอาเองนะจ๊ะ)
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 07:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
องค์ของวาจาสุภาษิต (องค์ในที่นี้หมายถึงต้องมีครบทั้ง 5 ข้อจึงจะสมบูรณ์เป็นวาจาสุภาษิตขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้)
1. กาเลน ภาสิตา (คำที่พูดถูกกาลเทศะ)
2. สจฺจา ภาสิตา (คำที่เป็นความจริง)

3. สณฺหา ภาสิตา (คำที่สุภาพ)
4. อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา (คำที่มีประโยชน์)
5. เมต์ตจิตฺเตน ภาสิตา (คำที่พูดด้วยเมตตา)
:b8:
องค์ของวาจาสุภาษิต วิญญูชนพึงรู้และยอมรับไปปฏิบัติได้โดยดุษฎี.........มิมีข้อคัดค้านแบบพาลชนว่า
:b7:
"ข้าเป็นของข้าอย่างนี้หละ(โว้ย)....พูดเพราะไม่ได้.......เสแสร้งไม่เป็น......แล้วก็เอาเหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้าง ทำปิสุณาวาจา......ผรุสวาจา.......สัปปัปผลาวจา....สู่สาธารณชนได้อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่มี
หิริและโอตัปปะ.......ความท่อนนี้ไม่ได้ว่าใครนะครับแต่ยกมาเน้นย้ำเผื่อจะได้เป็นข้อมูลสำหรับ วิตกวิจารณ์และวินิจฉัย ว่าสิ่งใดใช่ สิ่งใดไม่ใช่ สิ่งที่ควรเป็นไปตามธรรม

:b8:
:b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
คนฉลาดเขาจะต้องสู้ที่เหตุ.....รู้จักเหตุให้ชัด.....ค้นหาเหตุให้เจอ.....เพราะเหตุนั้นสู้ง่าย มันเป็นเพียงแค่ พ่อ กับ แม่ของกิเลส 2 ตัว สองคนเท่านั้น ฆ่าพ่อได้ แม่ก็ตายตาม ฆ่าแม่ได้ พ่อก็ตายตาม

สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.
คราวหน้าคราวหลัง..จะอุปมาเปรียบเทียบอะไรก็อุปมาให้มันดุละเอียดละอออ่อนน้อมถ่อมตน ลุกศิษพระพุทธองค์ไม่มีใครเอาพ่อเอาแม่มาเปรียบเทียบเป็นกิเลศ..คนฟังมันสะดุ้งอ่ะดูโหดร้ายทารุณชอบกล(คิดได้ไงว่ะ) อารมณ์อันเป็นโสภณเจตสิกไม่มี..ถึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน :b5:

cool
มีว่ะมีโว้ยแล้วนะน้องคง คงได้อารมณ์มากแล้วนะซิ.......คั่งค้างมานานแล้ว ระบายออกได้เสียบ้างก็ดีนะครับ จะได้ สงบเย็น
:b5:
เรื่องอุปทานนี่มันเป็นของละเอียดอ่อนนะครับ ต้องใช้ให้ถูกต้อง การเปรียบเทียบเรื่องพ่อแม่ของกิเลส ตัณหานี่มันมิได้ผิดตรงไหนหรอกถ้าพิจารณาให้ดี กลับดีเสียอีกที่จะจินตนาการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
:b16:
...ถ้าน้องไปยึดติดคำว่า พ่อ กับแม่มากเกินไป เอนเอียง มีอคติ ฉันทาคติ โทสาคติมากเกินไป ย่อมจะทำให้เกิดการบิดเบือนธรม ตัวอย่างเช่น
ถ้ามีเรื่องที่เราจะต้องพูดถึงสัตว์อื่นอย่างเช่น หมู หมา เป็ด ไก่ วัว ควาย ถ้าจะพูดถึงผู้ให้กำเนิดของสัตว์เหล่านั้น น้องจะพูดว่าอย่างไร? มีศัพท์บัญญัติพิเศษแยกระหว่างคนกับสัตว์ไว้หรือเปล่าครับ อย่างเช่นคำว่า "พ่อพันธ์หมา แม่พันธ์หมา" ... น้องคงจะหาคำอะไรมาแทนได้ดีกว่านี้กรุณาแนะนำสั่งสอนด้วยนะครับ มิฉะนั้นคำที่น้องคงกล่าวว่า ......"สติปัญญาแบบนี้มันก็ปุถุชน..ดี..ดี นี่เอง.".......มันก็คงจะกลับมาเป็นของน้องคงอยู่ดีนะครับ

:b12:
แล้วคำพูดที่วิจิตรที่ลอกมาจากตำราว่า ....."อารมณ์อันเป็นโสภณเจตสิกไม่มี..ถึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน"
คำนี้ก็สงสัยจะกลับคืนมาหาน้องคงเองเป็นร้อยเท่าพันทวี ตามกฎแห่งกรรมนะครับ

Onion_L
กลับมาสู่ปกติธรรมได้แล้ว ......เรื่องต่างๆ ....คำพูดเก่าๆที่ไม่เป็นที่สบอารมณ์ทั้งหลายมันกลายเป็นอดีตที่แก้ไขไม่ได้ไปหมดแล้ว พึงมาเริ่มต้นที่ปัจจุบันชีวิตนี้ใหม่ด้วยใจที่เป็นสุขและเป็นธรรม ตามปกติวิสัยของวิญญูชน จะได้พ้นข้อครหานินทา
:b8:
"ชีวิต ตายและเกิดใหม่ทุกวินาที"....อดีตก็ละไปแล้ว....อนาคตก็ยังไม่มา.....ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรามนุพรูหะเย......(ท่อนสุดท้ายนี้แปละเอาเองนะจ๊ะ)
:b27:

ถ้าจะเอากฏแห่งกรรมมาขู่คุนน้องอโสกะคิดผิดแล้ว คนที่จะต้องโดนกฏแห่งกรรมลงโทษ เพราะชอบพูดจาเสียดสีผู้อื่น ทำตัวยกตนข่มท่านคืออโสกะ เพราะเคยปรามาสคุนน้องว่าเป็นโสดาบันปลอมเพราะยังมีปฏิฆะ แถมกล่าวคำว่า"สะใจ"ต่อพี่วลัยพร ตอนชี้แจงอธิบายธรรม ซึ่งไม่ใช่วิสัยทัศของนักปฏิบัติธรรม อโสกะก็คงต้องรับผลกรรมของตน ใจตนเป็นอย่างไรอโสกะหนีไม่พ้นหรอก onion แล้วคำพูดของอโสกะที่เคยพูดอะไรว่าคุนน้อง คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานแล้วว่า ถ้าเป็นอย่างที่อโสกะกล่าวหา จะยอมโดนวิบากกรรม แต่ถ้าคุนน้องไม่ใช่อย่างที่อโสกะกล่าวหา
ขอให้คำใดก็ตามที่อโสกะเคยปรามาส ขอให้คำนั้นคืนกลับไปหาผู้พูด ตามกฏแห่งกรรม ถ้าอโสกะคิดจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนมีสัจจะวาจาก็ไม่สมควรอย่างยิ่ง ถ้าอโสกะพูดอีกอย่างแต่ใจทำอีกอย่าง อโสกะจะโดนวิบากกรรมเต็มๆ :b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron