วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 20:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องถามคนป่วยใกล้ตาย กับคนแก่มากๆ เห็นแต่บางคนก็ไปวัด บางคนก็ไปหาหมอ ล้อเล่นนะคับคลายเคลียด :b12: :b12: :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ท่านนี้สุดยอดจริงๆๆ 5555 ขนาดเอาพุทธพจน์มา กางให้ดูขนาดนี้แล้วยัง........
ชาวเมืองคงเข้าใจ อย่างที่ท่านว่า กระมัง 5555
อย่าสีซอให้ควาย อย่างผมฟังเลย ครับ แล้วแต่จะปรุงแต่งกันไป 55555
:b31:

อยากทำความเข้าใจกับจขกทก่อนนะครับ ผมไม่อยากให้จขกทมาเอาความเห็นผม
แล้วไปยึดเป็นอารมณ์ แล้วก็ทำให้กระทู้ตัวเองออกนอกลู่นอกธรรม

เป็นจขกทพยายามทำใจให้หนักแน่น เรื่องอารมณ์ละได้ก็ละเสีย
ถ้ายังละไม่ได้ก็อย่าพึ่งแสดงความเห็น มันไม่ใช่อะไรหรอก
มันจะพาให้กระทู้ของคุณมันเสีย เพราะเรื่องไม่ใช่เรื่องครับ
คุณอาจจะเห็นว่าผมแย้งหรือไม่เห็นด้วยกับความเห็นคุณ
แต่ในส่วนลึกแล้ว ผมก็ยังชมคุณนะครับว่าตั้งกระทู้มีประโยชน์
ถึงจะไม่ปะสีปะสาในการพิจารณาธรรม


ที่นี้อธิบายความเห็นคุณหน่อย
ที่ว่าคุณเอาพุทธพจน์มากางเนี๊ยะ ขอบอกครับคุณนี่ไม่รู้เรื่องเอาซะเลยครับ
ไอ้ที่คุณเอามากางนะเขาเรียกว่า อรรถกถา เขาไม่เรียกพุทธพจน์
ต่อให้เรียกว่า พระไตรปิฎกยังออกปากเรียกได้ไม่เต็มปากเต็มคำ
สรุปก็คือมันเป็นความเห็นหรือการตีความหมายของคนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า


ตอนแรกผมจะว่าคุณอยู่แล้วว่าไม่มีมรรยาท ไม่เอาพุทธพจน์ของแท้มาโพสด้วย
แต่ด้วยเห็นว่า คุณยังไม่ปะสีปะสาก็เลยเฉยไว้ เลี่ยงไปอธิบายธรรมแทน
แต่ที่ไหนได้แทนที่จะแกล้งทำเป็นเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่ตัวทำ กลับทำเหมือนตีปลาหน้าไซ
มาหาว่าเราแย้งพุทธพจน์

แบบนี้แล้ว ผมก็ต้องเปลี่ยนใจไอ้ที่ไม่คิดถือสา ก็ขอว่าแล้วล่ะว่า
คุณนี้มันไร้มรรยาท มิหน่ำซ้ำอ่านธรรมไม่เป็นไม่ได้เรื่องด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 15:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ท่านนี้สุดยอดจริงๆๆ 5555 ขนาดเอาพุทธพจน์มา กางให้ดูขนาดนี้แล้วยัง........
ชาวเมืองคงเข้าใจ อย่างที่ท่านว่า กระมัง 5555
อย่าสีซอให้ควาย อย่างผมฟังเลย ครับ แล้วแต่จะปรุงแต่งกันไป 55555
:b31:

อยากทำความเข้าใจกับจขกทก่อนนะครับ ผมไม่อยากให้จขกทมาเอาความเห็นผม
แล้วไปยึดเป็นอารมณ์ แล้วก็ทำให้กระทู้ตัวเองออกนอกลู่นอกธรรม

เป็นจขกทพยายามทำใจให้หนักแน่น เรื่องอารมณ์ละได้ก็ละเสีย
ถ้ายังละไม่ได้ก็อย่าพึ่งแสดงความเห็น มันไม่ใช่อะไรหรอก
มันจะพาให้กระทู้ของคุณมันเสีย เพราะเรื่องไม่ใช่เรื่องครับ
คุณอาจจะเห็นว่าผมแย้งหรือไม่เห็นด้วยกับความเห็นคุณ
แต่ในส่วนลึกแล้ว ผมก็ยังชมคุณนะครับว่าตั้งกระทู้มีประโยชน์
ถึงจะไม่ปะสีปะสาในการพิจารณาธรรม


ที่นี้อธิบายความเห็นคุณหน่อย
ที่ว่าคุณเอาพุทธพจน์มากางเนี๊ยะ ขอบอกครับคุณนี่ไม่รู้เรื่องเอาซะเลยครับ
ไอ้ที่คุณเอามากางนะเขาเรียกว่า อรรถกถา เขาไม่เรียกพุทธพจน์
ต่อให้เรียกว่า พระไตรปิฎกยังออกปากเรียกได้ไม่เต็มปากเต็มคำ
สรุปก็คือมันเป็นความเห็นหรือการตีความหมายของคนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า


ตอนแรกผมจะว่าคุณอยู่แล้วว่าไม่มีมรรยาท ไม่เอาพุทธพจน์ของแท้มาโพสด้วย
แต่ด้วยเห็นว่า คุณยังไม่ปะสีปะสาก็เลยเฉยไว้ เลี่ยงไปอธิบายธรรมแทน
แต่ที่ไหนได้แทนที่จะแกล้งทำเป็นเฉยๆไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่ตัวทำ กลับทำเหมือนตีปลาหน้าไซ
มาหาว่าเราแย้งพุทธพจน์

แบบนี้แล้ว ผมก็ต้องเปลี่ยนใจไอ้ที่ไม่คิดถือสา ก็ขอว่าแล้วล่ะว่า
คุณนี้มันไร้มรรยาท มิหน่ำซ้ำอ่านธรรมไม่เป็นไม่ได้เรื่องด้วยครับ


บอกแล้วว่า นันทิ มันไม่ธรรมดา
จะดูว่า มันจะพาเราหลงไปถึงไหน นะซิครับ 5555
ขอบคุณครับ :b12: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ฝึกจิต เมื่อ 11 ก.ค. 2012, 16:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่จริงแล้วปัญหานี้ มีแต่โสดาบันขึ้นไปรู้คติที่ไป และผู้ทรงฌานได้โดยไม่เสื่อมในขณะก่อนตาย นอกจากนั้นไม่มีใครสามรถกำหนดคติที่ไปได้ เปรียบเหมือนโยนกิ่งไม้ขึ้นไปบนอากาศ ไม่รู้เหมือนกันว่าส่วนไหนจะลงดิน มีอยู่วิธีเดียวเราต้องรีบกรีดความดีลงในสังขาดเราให้มาก เปรียบเหมือนกรีดลอยในหินนะครับมันลบยาก ถ้าเรากรีดความดีน้อยมันเปรียบเหมือนกรีดลอยบนผิวน้ำ มันลบง่าย แต่ถ้าอยากไปสวรรค์ในชาติหน้าแนะนำครับ ไปสังเวชนียสถาน4ตำบล(ไปด้วยความศรัทรานะครับ)ท่านจะพบกัความมหัศจรรย์ :b43: :b43: :b43:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อารมณ์ปรมัตถ์เป็นอย่างไรไม่รู้ไม่เป็นไร
แต่มันต้องพิจารณาไปตามความจริง กลัวตายเอย กลัวผีเอย
ความตายเป็นอย่างไร ก็ยังไม่รู้ ผีเป็นเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น
คิดซิคิดไอ้ที่กลัวมันกลัวอะไรกันแน่

พักนี้ก็มีข่าวทุกวัน คนโน้นฆ่าตัวตายเพราะเป็นโรค
คนนี้ฆ่าตัวตาย เพราะสอบตก หรือเป็นหนี้

และมีอีกบางคนเป็นทุกข์ ที่ไม่ฆ่าตัวตายไม่ใช่เพราะเขากลัวตาย
แต่เขากลัวเจ็บ กลัวปวดจากวิธีการฆ่าตัวตาย เคยได้ยินมั้ยอยากผูกคอตาย
แต่กลัวหายใจไม่ออก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยากที่เราจะรู้ว่าเราจะตายวันไหนเวลาใดที่ไหน :b10: แต่ยังไงๆก็ตายแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ถ้าจำไม่ผิด พระสารีบุตรเคยพูดว่า จะอยู่หรือตายไม่สำคัญ แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่จะขอทำประโยชน์ต่อไป

http://www.youtube.com/watch?v=42SV2_FPKro

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 16:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ยากที่เราจะรู้ว่าเราจะตายวันไหนเวลาใดที่ไหน :b10: แต่ยังไงๆก็ตายแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ถ้าจำไม่ผิด พระสารีบุตรเคยพูดว่า จะอยู่หรือตายไม่สำคัญ แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่จะขอทำประโยชน์ต่อไป

http://www.youtube.com/watch?v=42SV2_FPKro


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 17:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
ผมเห็นและเข้าใจในการเจริญมรณะสติเช่นเดียวกันที่พี่ฝึกจิตได้พูดมา...ไม่ใช่เพราะเพียงแค่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนให้อุบายวิธีการนี้กับผมเท่านั้น แต่เพราะได้นำไปปฏิบัติจนได้รับผลประจักษ์เป็นที่แน่ใจแล้ว ความลังเลสงสัยในเรื่องนี้จึงไม่มีอีก ดังนั้นสิ่งที่พี่ฝึกจิตกำลังเจริญอยู่นี้เมื่อทำอยู่อย่างสม่ำเสมออยู่เป็นนิจแล้ว วันหนึ่งผลจะปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มแจ้งแน่นอนครับ...ผลที่ได้นี้จะพูดว่าทำให้ไม่กล้วต่อความตายของตนก็ได้ ไม่หวั่นไหวอาลัยอาวรณ์กับความพลัดพรากก็ได้...แต่ที่ว่าไม่กลัวตายนี้เป็นการไม่กลัวตายในขั้นหยาบ แต่ถ้าทวนกระแสจิตเข้าไปดูจะเห็นว่ายังมีความกลัวตายขั้นละเอียดอยู่...เหตุที่ความกลัวตายในขั้นละเอียดยังมีก็เพราะรู้ว่าความเกิดยังมีอยู่แก่ตน...จึงพูดได้ว่าผู้ที่เจริญมรณะสติจนสุดแล้วจะไม่กลัวตายแต่จะกลัวความเกิดแทน และเป็นผู้ไม่ประมาททำความเพียรเพื่อดับความเกิดไม่ให้มีขึ้นมาได้อีก ตามกำลังความสามารถของตนอย่างเต็มที่ อันนี้แหละคือยอดของอานิสงค์ของการเจริญมรณะสติที่แท้จริงครับ

และจากที่ได้สนทนากับหลายๆท่านในลานแห่งนี้ ผมเห็นความมีอคติต่อสิ่งที่เรียกว่า "สังขารหรือจิตสังขาร" อยู่อย่างชัดเจน...คือเป็นทิฏฐิความเห็นที่ว่า จิตสังขารนี้เป็นสิ่งที่ให้โทษเพราะปรุงแต่งหรือถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสอวิชชาเท่านั้น...จนลืมความจริงอีกส่วนว่า จิตสังขารนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้คุณเพราะธรรมปรุงแต่งได้ด้วยเหมือนกัน...และการเจริญสติโดยการพิจารณาข้อธรรมหรืออุบายธรรมน้อมนำจิตให้ค่อยๆซึมซาบเห็นความจริงตามความจริง ก็ใช้จิตสังขารอันนี้แหละครับ...หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคติธรรมอันนี้มาบ้างว่า "84000 พระธรรมขันธ์นั้นเป็นอุบายธรรม" ...อีกตัวที่มักโดนมองข้ามหรือมองว่าเป็นโทษก็คือ "สัญญา" ทั้งๆที่"สัญญา"นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา...และตัวปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้วพอมันดับไป(หมดหน้าที่)ก็กลายเป็นสัญญาเก็บไว้ในจิตเรานั่นเอง

ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าจะบอกว่ามนุษย์กลัวความตายนั่นมันไม่ใช่หรอกนะ กลัวความตายมันเป็นแค่สมตติบัญญัติ แต่ในทางสภาวะความเป็นจริงแล้ว คือธรรมชาติกายใจของมนุษย์นั้น ถ้าเป็นแบบปุถุชนก็คือ มิจฉาทิฏฐิ ยังมีความเห็นผิดในเรื่องความตาย เพราะ ปุถุชน กับอริยะบุคคล จะมี ความเห็นในเรื่องความตายแตกต่างกัน ปุถุชนบางคนเขาก็ไม่กลัวความตายด้วยซ้ำ ยกตัวอย่าง นักศึกษามหาลัยชื่อดังของไทยผู้หญิง เป็นนักเรียนเกียตินิยมไปทำศัลยกรรมมาเพราะอยากสวย แต่พอไปทำมาหน้าพัง จากสวยกลายเป็นอัปลักษณ์ เลยไม่กล้าที่จะอยู่ในสังคมเลยฆ่าตัวตาย
หรือเด็กบางคนคิดสั้นโดยผูกคอตาย เพราะปัญหาครอบครัว บางคนก็กินยาล้างห้องน้ำ เห็นหรือยังว่าจิตเค้าไม่ได้ยึดว่าเค้ากลัวตาย แต่เค้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่กับปัญหาและสภาวะรอบข้าง เพราะฉะนั้นจะบอกว่าปุถุชนกลัวตายมันไม่ใช่หรอก เค้าไม่ได้กลัว เพียงแต่ว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิที่แตกต่างกันออกไปตามเหตุปัจจัย ก็แค่นั้น
จิตเรายึดเหนี่ยวกับสิ่งใด ก็สิ่งนั้นแหละคือคำตอบของคำว่ากลัวตาย
:b8: onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 19:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
ผมเห็นและเข้าใจในการเจริญมรณะสติเช่นเดียวกันที่พี่ฝึกจิตได้พูดมา...ไม่ใช่เพราะเพียงแค่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนให้อุบายวิธีการนี้กับผมเท่านั้น แต่เพราะได้นำไปปฏิบัติจนได้รับผลประจักษ์เป็นที่แน่ใจแล้ว ความลังเลสงสัยในเรื่องนี้จึงไม่มีอีก ดังนั้นสิ่งที่พี่ฝึกจิตกำลังเจริญอยู่นี้เมื่อทำอยู่อย่างสม่ำเสมออยู่เป็นนิจแล้ว วันหนึ่งผลจะปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มแจ้งแน่นอนครับ...ผลที่ได้นี้จะพูดว่าทำให้ไม่กล้วต่อความตายของตนก็ได้ ไม่หวั่นไหวอาลัยอาวรณ์กับความพลัดพรากก็ได้...แต่ที่ว่าไม่กลัวตายนี้เป็นการไม่กลัวตายในขั้นหยาบ แต่ถ้าทวนกระแสจิตเข้าไปดูจะเห็นว่ายังมีความกลัวตายขั้นละเอียดอยู่...เหตุที่ความกลัวตายในขั้นละเอียดยังมีก็เพราะรู้ว่าความเกิดยังมีอยู่แก่ตน...จึงพูดได้ว่าผู้ที่เจริญมรณะสติจนสุดแล้วจะไม่กลัวตายแต่จะกลัวความเกิดแทน และเป็นผู้ไม่ประมาททำความเพียรเพื่อดับความเกิดไม่ให้มีขึ้นมาได้อีก ตามกำลังความสามารถของตนอย่างเต็มที่ อันนี้แหละคือยอดของอานิสงค์ของการเจริญมรณะสติที่แท้จริงครับ

และจากที่ได้สนทนากับหลายๆท่านในลานแห่งนี้ ผมเห็นความมีอคติต่อสิ่งที่เรียกว่า "สังขารหรือจิตสังขาร" อยู่อย่างชัดเจน...คือเป็นทิฏฐิความเห็นที่ว่า จิตสังขารนี้เป็นสิ่งที่ให้โทษเพราะปรุงแต่งหรือถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสอวิชชาเท่านั้น...จนลืมความจริงอีกส่วนว่า จิตสังขารนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้คุณเพราะธรรมปรุงแต่งได้ด้วยเหมือนกัน...และการเจริญสติโดยการพิจารณาข้อธรรมหรืออุบายธรรมน้อมนำจิตให้ค่อยๆซึมซาบเห็นความจริงตามความจริง ก็ใช้จิตสังขารอันนี้แหละครับ...หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคติธรรมอันนี้มาบ้างว่า "84000 พระธรรมขันธ์นั้นเป็นอุบายธรรม" ...อีกตัวที่มักโดนมองข้ามหรือมองว่าเป็นโทษก็คือ "สัญญา" ทั้งๆที่"สัญญา"นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา...และตัวปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้วพอมันดับไป(หมดหน้าที่)ก็กลายเป็นสัญญาเก็บไว้ในจิตเรานั่นเอง

ขอบคุณครับ :b8:


สวัสดีครับท่านลูกพระป่า ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังจะให้ทุกคนเข้าใจตามเราหรอก มันเป็นไปไม่ได้
อยู่แล้ว แต่อาจมีประโยชน์บ้าง สำหรับผู้รู้จักหาประโยชน์
เราเองก็ยังอวิชชาอยู่เต็ม ก็ต้องใช้ปัญญา เลือกเอา
เพราะเขาไม่เห็นว่า จิตนั้นปรุงแต่งไปตามกระแสปฏิจจสมุปบาท อยู่เกือบตลอด เวลา จึงเชื่อว่าที่ตนเองคิดนั้นถูกอยู่เสมอ กลายว่า เราเป็นจิตไปโดยปริยาย
แต่ก็ช่างมัน ดูตนเองดีกว่า เนาะ ครับ

ตนเป็นที่รุู้แห่งตน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2012, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
ผมเห็นและเข้าใจในการเจริญมรณะสติเช่นเดียวกันที่พี่ฝึกจิตได้พูดมา...ไม่ใช่เพราะเพียงแค่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนให้อุบายวิธีการนี้กับผมเท่านั้น แต่เพราะได้นำไปปฏิบัติจนได้รับผลประจักษ์เป็นที่แน่ใจแล้ว ความลังเลสงสัยในเรื่องนี้จึงไม่มีอีก ดังนั้นสิ่งที่พี่ฝึกจิตกำลังเจริญอยู่นี้เมื่อทำอยู่อย่างสม่ำเสมออยู่เป็นนิจแล้ว วันหนึ่งผลจะปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มแจ้งแน่นอนครับ...ผลที่ได้นี้จะพูดว่าทำให้ไม่กล้วต่อความตายของตนก็ได้ ไม่หวั่นไหวอาลัยอาวรณ์กับความพลัดพรากก็ได้...แต่ที่ว่าไม่กลัวตายนี้เป็นการไม่กลัวตายในขั้นหยาบ แต่ถ้าทวนกระแสจิตเข้าไปดูจะเห็นว่ายังมีความกลัวตายขั้นละเอียดอยู่...เหตุที่ความกลัวตายในขั้นละเอียดยังมีก็เพราะรู้ว่าความเกิดยังมีอยู่แก่ตน...จึงพูดได้ว่าผู้ที่เจริญมรณะสติจนสุดแล้วจะไม่กลัวตายแต่จะกลัวความเกิดแทน และเป็นผู้ไม่ประมาททำความเพียรเพื่อดับความเกิดไม่ให้มีขึ้นมาได้อีก ตามกำลังความสามารถของตนอย่างเต็มที่ อันนี้แหละคือยอดของอานิสงค์ของการเจริญมรณะสติที่แท้จริงครับ

และจากที่ได้สนทนากับหลายๆท่านในลานแห่งนี้ ผมเห็นความมีอคติต่อสิ่งที่เรียกว่า "สังขารหรือจิตสังขาร" อยู่อย่างชัดเจน...คือเป็นทิฏฐิความเห็นที่ว่า จิตสังขารนี้เป็นสิ่งที่ให้โทษเพราะปรุงแต่งหรือถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสอวิชชาเท่านั้น...จนลืมความจริงอีกส่วนว่า จิตสังขารนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้คุณเพราะธรรมปรุงแต่งได้ด้วยเหมือนกัน...และการเจริญสติโดยการพิจารณาข้อธรรมหรืออุบายธรรมน้อมนำจิตให้ค่อยๆซึมซาบเห็นความจริงตามความจริง ก็ใช้จิตสังขารอันนี้แหละครับ...หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคติธรรมอันนี้มาบ้างว่า "84000 พระธรรมขันธ์นั้นเป็นอุบายธรรม" ...อีกตัวที่มักโดนมองข้ามหรือมองว่าเป็นโทษก็คือ "สัญญา" ทั้งๆที่"สัญญา"นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา...และตัวปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้วพอมันดับไป(หมดหน้าที่)ก็กลายเป็นสัญญาเก็บไว้ในจิตเรานั่นเอง

ขอบคุณครับ :b8:

:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2012, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เชื่อหรือไม่.....
มีคนที่แก้อารมณ์โกรธเคือง....ด้วยการนำเรื่องที่พ่อบ้าน..มักเปิดน้ำแล้วลืมปิด...

ค้นหาสาเหตุของความโกรธเคือง...ถึงได้ทราบ...ว่าเกิดจาก..กลัวเสียเงิน...กลัวลำบาก...ที่สุดก็เพราะกลัวตาย...

เงินน้อย..ตายมั้ย?...เขาก็เห็นว่า..เงินน้อยก็ตาย
เงินมาก..ตายมั้ย?...เขาก็เห็นว่า..เงินมากก็ตาย..

เงินมากเงินน้อยก็ตาย...เขาคิดได้ว่า..แล้วเราจะไปโกรธทำไมให้ทุกข์..

เรานั่งฟังก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุ...
:b8: :b8: :b8:

กบนอกกะลา เขียน:
หาทุกข์ของท่านให้เจอ..เถอะ....แล้วพิจารณามันด้วยปัญญา...
:b8:

ขอยืมความเห็นของคุณกะลา มาเป็นอุทาหรณ์หน่อยครับ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ผลแห่งการดับทุกข์
และการดับทุกข์

ในที่นี้ทุกข์ก็คือ ความไม่สบายใจ
เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็คือ ความกลัว
ผลแห่งการดับทุกข์ ทุกข์ดับไป
การดับทุกข์ก็คือ สติระลึกรู้

สิ่งที่เรามีปัญหากันก็คือ เรากำลังสับสนด้วยการเอามรรคหรือสติระลึกรู้
มาเป็นสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์
มรณานุสติหรือสติระลึกรู้เป็นมรรคนะครับ
ส่วนเหตุทุกข์เราก็ต้องไปดูว่า จิตไปรับอะไรไปยึดอะไรอยู่
เช่นในที่นี้จิตมันเสียดายเงินกลัวความลำบาก
ดังนั้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือกลัวความลำบาก
มันไม่ใช่กลัวตาย


หลายคนกำลังเข้าใจผิด เอามรรคมาเป็นสมุทัย
เป็นเพราะปฏิบัติด้วยการอ่านบัญญัต จึงไม่รู้การทำงานของกระบวนการขันธ์ห้า

มรณานุสติ มันเกี่ยวกับความตาย ความกลัวเกิดขึ้นเพราะไม่ระลึกถึงความตาย
และมันมีเหตุตั้งหลายอย่างที่ทำให้กลัว แต่เป็นเพราะเราไม่รู้จักการหาเหตุ
เราเลยหลงไปเอามรณานุสติมาเป็นเหตุ แท้จริงมันไม่ใช่
ความตายมันเป็นสติเป็นกุศล ความกลัวมันเป็นความหลงเป็นอกุศล
เป็นเพราะจิตเกิดโมหะนั้นเองเลยเอา กุศลและอกุศลไปปนกันวุ่นวาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2012, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ฝึกจิต :b8:
ผมเห็นและเข้าใจในการเจริญมรณะสติเช่นเดียวกันที่พี่ฝึกจิตได้พูดมา...ไม่ใช่เพราะเพียงแค่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอนให้อุบายวิธีการนี้กับผมเท่านั้น แต่เพราะได้นำไปปฏิบัติจนได้รับผลประจักษ์เป็นที่แน่ใจแล้ว ความลังเลสงสัยในเรื่องนี้จึงไม่มีอีก ดังนั้นสิ่งที่พี่ฝึกจิตกำลังเจริญอยู่นี้เมื่อทำอยู่อย่างสม่ำเสมออยู่เป็นนิจแล้ว วันหนึ่งผลจะปรากฏขึ้นในใจอย่างแจ่มแจ้งแน่นอนครับ...ผลที่ได้นี้จะพูดว่าทำให้ไม่กล้วต่อความตายของตนก็ได้ ไม่หวั่นไหวอาลัยอาวรณ์กับความพลัดพรากก็ได้...แต่ที่ว่าไม่กลัวตายนี้เป็นการไม่กลัวตายในขั้นหยาบ แต่ถ้าทวนกระแสจิตเข้าไปดูจะเห็นว่ายังมีความกลัวตายขั้นละเอียดอยู่...เหตุที่ความกลัวตายในขั้นละเอียดยังมีก็เพราะรู้ว่าความเกิดยังมีอยู่แก่ตน...จึงพูดได้ว่าผู้ที่เจริญมรณะสติจนสุดแล้วจะไม่กลัวตายแต่จะกลัวความเกิดแทน และเป็นผู้ไม่ประมาททำความเพียรเพื่อดับความเกิดไม่ให้มีขึ้นมาได้อีก ตามกำลังความสามารถของตนอย่างเต็มที่ อันนี้แหละคือยอดของอานิสงค์ของการเจริญมรณะสติที่แท้จริงครับ

คุณพระป่าครับ คุณกำลังเคลิ้มกับบัญญัติ ฟุ้งกับธรรมอยู่หรือเปล่าครับ
หัดมีสติก่อนซิครับแล้วค่อยลงมืออธิบายธรรม มันจะได้มีความหมายตรงกับธรรมที่เป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่อธิบายธรรมออกมาเป็นลักษณะบรรเลงธรรม จนดูคล้ายๆคนเมาท่องบทกวี

พูดมาได้ไงครับ ไม่กลัวตายแต่กลัวความเกิด
พูดแบบนี้แสดงว่า ไม่รู้จักรูปกับนาม การเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด
หรือที่เรียกว่าวัฏสงสาร ความสำคัญมันอยู่ที่นามหรือจิต

ถ้าเป็นความตายอย่างเดียวหมายถึงจิตออกจากร่างเดิมนั้น
ร่างย่อมเน่าเปื้อยไป แต่นามหรือจิตยังคงอยู่เพื่อรอการปฏิสนธิ์

กับที่คุณพระป่าบอกไม่กลัวตายแต่กลัวเกิด สมมุติจิตคุณพระป่ากำลัง
อยู่ในอบายภูมิ แสดงว่าคุณพระป่าชอบอบายภูมินะซิ ถึงไม่อยากมาเกิดใหม่
เพื่อปฏิบัติให้จิตพ้นจากวัฏสงสาร
:b32:

สติที่ทำให้เราหลุดพ้นจากการเกิด การตายหรือวัฏสงสาร
เป็น "สัมมาสติ" ไม่ใช่"มรณานุสติ"
"สัมมาสติ" คือการระลึกรู้ตามความเป็นจริง นั้นก็คือการระลึกรู้ปัญญา
"มรณานุสติ" เป็นกุศโลบาย นั้นก็คือการระลึกรู้อุบายเพื่อมาดับความกลัว

ลูกพระป่า เขียน:
และจากที่ได้สนทนากับหลายๆท่านในลานแห่งนี้ ผมเห็นความมีอคติต่อสิ่งที่เรียกว่า "สังขารหรือจิตสังขาร" อยู่อย่างชัดเจน...คือเป็นทิฏฐิความเห็นที่ว่า จิตสังขารนี้เป็นสิ่งที่ให้โทษเพราะปรุงแต่งหรือถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสอวิชชาเท่านั้น...จนลืมความจริงอีกส่วนว่า จิตสังขารนี้ก็เป็นสิ่งที่ให้คุณเพราะธรรมปรุงแต่งได้ด้วยเหมือนกัน...และการเจริญสติโดยการพิจารณาข้อธรรมหรืออุบายธรรมน้อมนำจิตให้ค่อยๆซึมซาบเห็นความจริงตามความจริง ก็ใช้จิตสังขารอันนี้แหละครับ...หลายท่านอาจจะเคยได้ยินคติธรรมอันนี้มาบ้างว่า "84000 พระธรรมขันธ์นั้นเป็นอุบายธรรม" ...อีกตัวที่มักโดนมองข้ามหรือมองว่าเป็นโทษก็คือ "สัญญา" ทั้งๆที่"สัญญา"นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา...และตัวปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้วพอมันดับไป(หมดหน้าที่)ก็กลายเป็นสัญญาเก็บไว้ในจิตเรานั่นเอง
ขอบคุณครับ :b8:

ใครเขาไปคิดแบบคุณครับ คุณหลงเข้าใจผิดในลักษณะพูดเองเออเองครับ
ก่อนอื่นผมว่าคุณควรทำความเข้าใจ กับบัญญัติให้ดีเสียก่อนว่า กระบวนการขันธ์
คืออะไร การเกิดดับเป็นลักษณะอย่างไร ที่แน่ๆมันเกิดตามเหตุปัจจัย

ที่คุณบอกว่า คนอื่นบอกว่า"สังขารหรือจิตสังขารให้โทษ" มันเป็นเพราะคุณไม่มีความเข้าใจ
ในเรื่องของสังขารขันธ์ ในสังขารขันธ์มันมีทั้งคุณและโทษ มีทั้งกุศลและอกุศล
แต่ที่คนอื่นพูดในลักษณะเป็นโทษเขาหมายถึงตัวอกุศล ไม่ได้รวมตัวที่เป็นกุศล

และอีกอย่างธรรมแท้ๆเกิดตามเหตุตามปัจจัย
ส่วนความปรุงแต่งหมายถึงสิ่งที่เกิดจากสมองจินตนาการไป มันไม่ได้เกิดตามเหตุปัจจัย
หรือเกิดตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2012, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


น่าอ่านค่ะ





เผชิญหน้ากับความตายอย่างไรดี

เราเผชิญกับความตายในสองสถานะ คือ

หนึ่งเป็นคนที่กำลังจะตายเอง กรณีความตายจากการเจ็บป่วย จากความชรา ไม่ใช่การตายแบบผิดปกติ เช่นอุบัติเหตุ ฯลฯ
และ


สองเป็นผู้เกี่ยวข้องกับคนที่กำลังจะตาย เช่น เป็นพ่อแม่ สามีภรรยา บุตรธิดา ญาติพี่น้อง หรือมิตรสหาย

คนส่วนใหญ่มักกลัวความตาย หรือไม่อยากตายด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ พิจารณาความตายว่าเป็นที่สุดของชีวิตอยู่เป็นประจำ จะกลัวน้อยลงหรือไม่กลัวเลย ถ้าไม่เคยคิดถึงความตายมาก่อน เพราะไม่อยากคิด ไม่อยากพูดถึง เห็นว่าเป็นเรื่องอัปมงคลแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ทำใจไม่ได้ รับไม่ได้ ไม่ยอมรับความจริง เหมือนคนขับรถถ้าขับอยู่ทุกวันก็ไม่กลัวว่าจะมีอุบัติเหตุ เพราะเกิดความเคยชิน แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยขับมาก่อน หรือเพิ่งหัดขับ ไม่มีความคุ้นเคยมักกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น


ดังนั้นถ้าเป็นคนที่กำลังจะตาย ก็ต้องยอมรับความจริงแท้นี้ ต้องยอมรับความพลัดพราก จากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง ไม่ห่วงหน้าพวงหลัง ถ้าให้จิตสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิตอยู่กับบุญกุศลคุณงามความดีแล้ว สุคติจะเป็นแดนเกิด และถ้าก่อนดับจิต มีความเห็นแจ้งว่าความตายเป็นสัจจธรรม ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างลงเสียได้ ยิ่งเป็นความตายที่ประเสริฐที่สุด โบราณาจารย์จึงให้ผู้ใกล้ตายภาวนาคำว่า“พุทโธ”บ้าง “สัมมาอรหัง” บ้าง หรือให้มีพระมาสวดมนต์ มารับสังฆทาน ปัจจุบันมีการเปิดเสียงสวดมนต์ เสียงบรรยายธรรม ให้ฟัง เป็นต้น แต่วิธีรับมือกับความตายที่ดีนั้น ก็คือการพิจารณาความตายอยู่เสมอๆ ทุกๆวัน ทุกๆเวลา( ถ้าทำได้) สร้างความเคยชิน เสียตั้งแต่ก่อนตาย บางคนอาจเรียกว่าซ้อมตายไว้ก่อน ก็ได้


ถ้าเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับคนที่กำลังจะตาย ก็ต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับความตายเช่นกัน เมื่อมีการตายเกิดขึ้น จะได้ไม่เศร้าโศก ร่ำไรรำพัน เสียใจจนเกินไป ขาดสติ ยิ่งไปเศร้าโศก ร่ำไห้ ให้คนที่กำลังจะจากไปเห็นด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้จิตของผู้ใกล้ตายไม่สงบ แทนที่จะตายไปเกิดในสุคติ จะไปทุคติภพแทน ดังนั้นต้องใช้วิธีเผชิญความตายอย่างเดียวกัน คือพิจารณาให้มากๆ



ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระภิกษุซึ่งประชุมกันอยู่ ๗ รูป ให้ระลึกถึงความตายทุกขณะจิต ไม่ประมาทกับมัน ผมคิดว่าเราน่าจะได้นำมาพิจารณาโดยทั่วถึงกัน ดังนี้ (จากเว็บhttp://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4b46593c3b73e838 เรื่อง กระตุ้นปัญญา

ด้วยการคิดถึงความตาย โดย สติ)



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 7&gblog=19


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2012, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


การเผชิญความตาย ภาวะอาการใกล้สู่ความตาย


การช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้จากไปอย่างสงบ นอกจากการให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยทางจิตใจแล้ว การมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะทางร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงขณะสุดท้ายมีความจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนหลายประการที่อาจทำให้ความปรารถนาดีของผู้ เกี่ยวข้องกลายเป็นการขัดขวางการตายอย่างสงบโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผู้ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หายและอยู่ในระยะสุดท้าย จะต้องเผชิญกับอาการต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความไม่สุขสบาย สมรรถนะของร่างกายจะถดถอยลง จนอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงต้องมีผู้ดูแลช่วยในกิจวัตรประจำวันต่างๆ ดังนั้นผู้ป่วยระยะสุดท้ายจึงจำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ดูแลที่มีความเข้าใจในการ ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้สุขสบาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถจากไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน

อาการที่มักพบในผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้แก่ ความปวด อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เบื่ออาหาร ร่างกายซูบผอม หายใจไม่อิ่ม ปากแห้ง ท้องผูก และเมื่อโรคมีการลุกลามมากขึ้น ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีสภาพถดถอยลงเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อถึงจุดที่ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิต การทำงานของอวัยวะในระบบต่างๆ จะเริ่มสูญเสียการทำงานตามหน้าที่


ผู้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รวมถึงอาการต่างๆ ที่จะทำให้ผู้ป่วยไม่สุขสบายและเข้าใจหลักในการดูแลด้วย


อาการที่มักพบในผู้ป่วยใกล้เสียชีวิต



โดยทั่วไปก่อนผู้ป่วยเสียชีวิต การทำงานของอวัยวะรับรู้ต่างๆ จะเริ่มสูญเสียการทำงานตามหน้าที่ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกหิวอาหารและไม่หิวน้ำ ในระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่รับประทานอาหารเลย การกลืนก็อาจทำได้ลำบาก ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรงอย่างมาก จะนอนอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไหวได้น้อยลง สีผิวดูซีด ปากแห้ง ตาแห้ง คางตก หายใจติดขัดมีเสียงดัง เริ่มไม่รู้ตัว ผู้ป่วยบางรายอาจจากไปอย่างสงบ แต่บางรายอาจมีอาการปวด ทุรนทุราย หายใจลำบาก หรือมีกล้ามเนื้อชักกระตุก



การสูญเสียความอยากอาหาร



ในระยะก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยจะไม่มีความอยากรับประทานอาหาร ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายไม่สามารถที่จะย่อยสารอาหาร เพื่อเป็นพลังงานที่จะนำไปใช้ได้ต่อไป โดยทั่วไปผู้ดูแลมักจะวิตกกังวลกับการที่ผู้ป่วยไม่รับประทานอาหาร เนื่องจากเข้าใจว่าจะทำให้ผู้ป่วยไม่มีเรี่ยวแรง ผู้ดูแลมักขอร้องให้แพทย์ให้สารอาหาร ไม่ว่าจะให้ทางสายยางหรือให้น้ำเกลือ การให้อาหารทางสายยาง อาจทำให้มีท้องอืด เนื่องจากระบบการย่อยอาหารไม่สามารถทำงานได้ อาจอาเจียนหรือสำลักอาหารได้ ผู้ป่วยมักไม่หิวน้ำ อาจจิบน้ำเพียงเล็กน้อยหรือไม่ดื่มน้ำเลย



ในระยะสุดท้าย ไตของผู้ป่วยจะเริ่มไม่ทำงาน มีปัสสาวะลดลง การให้น้ำเกลืออาจทำให้มีภาวะน้ำคั่ง ทำให้มีน้ำท่วมในปอด มีเสมหะมาก ทำให้หายใจลำบาก ภาวะขาดน้ำจึงเป็นผลดีต่อผู้ป่วยมากกว่าการให้สารน้ำเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการปากและตาแห้ง จึงควรดูแลทำความสะอาดปากและหาสีผึ้งหรือน้ำมันทาปากไม่ให้แห้ง ส่วนตาควรหยอดน้ำตาเทียม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร