วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 01:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2012, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย สัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เป็นผู้มีชาติของผู้อดกลั้นต่อถ้อยคำที่ผู้อื่นกล่าว ชั่ว ร้ายแรง ต่อเวทนาที่มีอยู่ในตัว ซึ่งยังเกิดขึ้นเป็นทุกข์ กล้า แข็ง เผ็ด ร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อาจพร่าชีวิตเสียได้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะแล้วความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ไม่อดกลั้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อน.....เหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้อดกลั้นอยู่อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่าจะพึงละได้เพราะความอดกลั้น”

:b8: :b8: :b8:

ความอดทนอดกลั่น มันไว้ใช้สำหรับผู้ที่ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่น

แต่ถ้าเป็นจำพวก เถียงทุกเม็ดเก็บทุกช็อท พอจนแต็มจนเหตผล
ธรรมที่ยกมามันก็เป็นแค่ยกธรรมมาแก้ขวย ปลอบใจตัวเอง
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2012, 14:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
เวลาเราแบกหรือถือของหนัก แล้วอยากวางเพราะมันหนัก นี่
มันต้องมีวิธีวางไหม
ก็แค่ปล่อย หรือแบออก เท่านั้น มันก็หลุดแล้วไม่ใช่หรือ
มันต้องมีขั้น มีตอน มีวิธีการ
แบบแผนอะไรมากมายขนาดเลยหรือ
มันต้องยุ่งยาก ยืดเยื้อ ในการปล่อย
และแบออก ถึงขนาดนั้นเลยหรือ
ทำไม่ต้องอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนี้อะไรเสียก่อนที่จะปล่อย
หรือแบออก อีกแหละ ก็แค่ปล่อย หรือแบออก เท่านั้น มันก็หลุดแล้ว

ที่มันต้องยุ่ง ต้องยากในการปล่อย ในการแบออก
ก็เพราะมันยังห่วง อาลัยอาวรณ์
ผูกพัน อยากรูอยากเห็น หรือ ลังเลสงสัย อยู่หรือเปล่า
หรือยังต้องการอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่
ก็เลยปล่อยไม่ลง แบไม่ออก
กลายเป็นเลือกปล่อยเลือกแบออกเฉพาะเรื่อง
เฉพาะอย่าง เป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า

การปฏิบัติธรรมนี้เพื่อปล่อยขันธ์ห้า
แต่ทำไมวัน ๆ จึงวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่แต่ในขันธ์ห้า
เดี๋ยวจับขันธ์นี้ขึ้นมา ปล่อยขันธ์โน่น
เดี๋ยวจับขันธ์โน่นขึ้นมาปล่อยขันธ์นี้
ยุ่งกับมันอย่างนี้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี หรือทั้งชีวิต
แล้วมันจะปล่อยตรงไหน
อย่างนี้ไม่ได้เรียก ปล่อย หรือเรียกว่า วาง
แต่กลายเป็นติด แล้วเกิดเป็นความเคยชิน
ในการเข้าและออก หรือเรียกว่า เกิดดับ
ตามขันธ์ไปเรื่อย ๆ จนเป็นนิสัย หรือจริตขึ้นมา
สุดท้ายก็กลายเป็นอนุสัยความเคยชินกับขันธ์
เกิดความผูกพันที่เหนียวแน่กับขันธ์

เหมือนเรามีเครื่องมือหากินชิ้นหนึ่ง ที่ต้องใช้มันทุกวัน
เมื่อใช้ไปนานเข้าจะเกิดความผูกพัน หลงยึดในสิ่งนั้น
ธาตุขันธ์ก็เช่นกัน ยิ่งเข้าไปคลุกคลีกับมันมาก
ก็ยิ่งติดมาก แล้วยิ่งเราหลงอยู่กับมันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว
มันจึงยิ่งเหนียวแน่กับธาตุขันธ์นี้
เหมือนตอกตะปูลงเนื้อไม ยิ่งตอกก็ยิ่งลึก เวลาจะถอนก็ถอนยิ่งยาก

ปล่อยก็คือ ไม่เอา เมื่อปล่อยแล้ว ก็คือ ช่างมัน แล้ว ๆ ไป ไม่เข้าไปอีก
เหมือนขยะที่เราทิ้ง ทิ้งแล้วก็แล้วไปเลย ไม่สนเลย มันจะเป็นอะไรก็ช่าง
มันจะยังอยู่ หรือลอยไปไหนแล้ว ก็ช่าง
ไม่ใช่ว่าทิ้งแล้วยังห่วงหา วิ่งเข้าหาอีก
คอยดู คอยรู้อยู่ อย่างนี้มันทิ้งไม่จริง หลอกตัวเอง

ขันธ์ห้านี้ ไม่ต้องห่วงว่า ช่างมันแล้วจะอยู่อย่างไร
ปล่อยแล้วจะดำเนินชีวิตต่ออย่างไร
เวลาไม่ใช้ มันก็ไม่มีอะไร เมื่อถึงเวลาจะใช้ขันธ์
มันจะหยิบขึ้นมาใช้เอง แล้วรู้จักใช้อย่างเหมาะสมด้วย
ใช้แล้วก็แล้ว ๆ ไป ไม่ติด ไม่ยึดในการใช้
ที่สำคัญคือ ปล่อยจริง ๆ

เหมือนเรายืมของคนอื่นมาใช้ เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ยึด
เพราะรู้ว่าไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็ไม่หลงใช้
แค่ของยืมใช้ชั่วคราว ขณะใช้ก็ใช้ตามที่มันใช้ได้ ไม่เกินไป
เพราะเสียต้องใช้คืนเค้า เมื่อใช้เสร็จก็คืนเค้าไป ก็แค่นี้

ไม่ใช่ว่าไม่ได้ใช้งานอะไร ก็ไปหยิบเครื่องมือขึ้นมาคลำ
ขึ้นมาดู จะไปไหนก็ถือติดไปตลอดเหมือนคนบ้าที่แบก
อะไรสักอย่างอยู่อย่างนั้นทั้งวัน
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรต้องแบก ไม่มีอะไรต้องใช้

ธรรมะนี้มัน สมุจเฉท เมื่อจะมาปฏิบัติธรรม ก็สมุจเฉทตามธรรมด้วย
ดูกาลเวลาสิ มันผ่านไปทุกวินาที แบบไม่สนใจใครเลย
มีไหม ที่กาลเวลาจะหยุดเดินสักหน่อย
ให้เราดูธาตุดูขันธ์ให้รู้เรื่องก่อนแล้วค่อยเดินต่อ
หรือรอให้เราเข้าใจก่อนแล้วค่อยเดินต่อ มีไหม ไม่มี

กายและจิตรู้นี้ก็เช่นกัน
แบบว่ารอให้เราเห็นกายเห็นนามขันธ์ทั้งสี่ก่อน
หรือรอให้เราพิจารณาก่อน แล้วค่อยอนิจจังได้ไหม มีไหม ไม่มี
มันอนิจจังแบบไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
เวลาพายุ ทะล่ม ดินทะลาย แผ่นดินแยก น้ำท่วมมากมาย
มันมาแบบไม่สนใครใหญ่ใครไม่ใหญ่ ไม่สนใครตายไม่ตาย
ไม่สนว่าตรงไหนเป็นของสูง ตรงไหนเป็นของต่ำ
ไม่สนอะไรพัง ไม่พัง มันไม่สน
มันผ่านทางไหนก็ทะล่มทางนั้น ธรรมชาติมันเด็ดขาด

ธรรมก็เด็ดขาดเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่รู้ มันก็อนิจจัง
ไม่ว่าคุณจะเห็นหรือไม่เห็น มันก็อนิจจัง
ไม่ว่าคุณจะมีสติหรือไม่มีสติ มันก็อนิจจัง
ไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ มันก็อนิจจัง
ไม่ว่าคุณจะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา มันก็อนิจจัง
ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะจำเป็นหรือไม่จำเป็น มันก็อนิจจัง ตลอดสาย

31 ภพภูมินี้ รวมถึงขันธ์ห้าด้วย มันเป็นแค่ผลแห่งกรรม
ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ตามผลที่มีเหตุได้กระทำไว้ มันเป็นแค่ มายาภพ ชั่วคราว
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะเข้าไป เกี่ยว อะไร กับมัน
เพราะเกี่ยวขึ้นมา เกิดทันที ภพชาติมีทันที
สังสารวัฏเกิดทันที เมื่อเกี่ยวบ่อย ๆ เข้า
มันก็กลายเป็นวัฎฎะวน วนเกิดวนดับ อยู่เช่นนั้น
จะนอกเหนือสังสาวัฏนี้ ก็คือ หยุด เข้าไป ข้องเกี่ยว กับมันอีก
แล้วเมตตา กรุณา มันจะออกมาเอง

เนื้อหาของธรรม แห่งอนิจจัง นั้น ทำให้เห็นถึง
สรรพสิ่งนั้น เมื่อเกิดแล้ว มันดับ จางหายไปเอง
หลุดเอง วางเอง อนัตตาเอง
ก็ไม่ต้องเอาจิตรู้หลงเข้าไปยึด หลงเข้าไปต่ออะไรอีก
นั่นก็คือการ หยุด มันก็ปล่อยเอง วางเอง หลุดของมันเอง

เนื้อหาของธรรม แห่ง ทุกขัง ทำให้เห็นถึง
ทุกสิ่งล้วนทุกข์ แตะตรงไหนก็คือทุกข์
เหมือนดั่งปฏิกูลที่มันเหม็นทั้งหมด
จะตรงไหนก็เหม็น จะจับตรงไหนก็เหม็น
หรือร้อนดั่งไฟ ไฟมันก็คือไฟ
จะแตะจะจับตรงไหนก็คือไฟ ร้อนทั้งนั้น

แล้วจะไปทำอะไรกับขันธ์หาอีกหรือ
จับตรงไหนก็กิเลสกรรมถามหา
แตะตรงไหนก็กิเลสกรรมอีกเช่นเดิม
มันแตะตรงไหนไม่ได้เลย
เอาเจตนากรรมไปแตะตรงไหน อัตตาถามหาทันที
เมื่อมีอัตตาไปแตะตรงไหน กรรมก็เกิดตรงนั้น
หลงเอาเจตนาไปดู มันก็ติดดู
หลงเอาเจตนาไปเฝ้า มันก็ติดเฝ้า
หลงเอาเจตนาไปทำ มันก็ติดทำ แล้วก็ไปเสวยกรรมในสิ่งที่แตะสิ่งที่จับนั้นต่อไป
เป็นวังวนที่วนไม่รูจักจบ
จนกว่าจะรู้จัก หยุด แล้วมันจึงจะเริ่มคลายออก


ดิฉันไปอ่านช้าๆ ซ้ำๆ หลายๆครั้งแล้วคะ :b8:

....เมื่ออ่านทำความเข้าใจเท่าที่ได้แล้ว..ในส่วนตัว คิดว่า ยากมาก แต่ในความหมายของคำว่า ยากมาก คือ พอที่จะทำได้อยู่ แต่ต้องใช้เวลาสักพักถึงค่อนข้างนานในการทำซ้ำๆ กว่าจะเป็นแบบอัตโนมัติได้..ช่วงนี้มันจึงเป็นช่วงเริ่มต้นในการฝึก ในการทำดู

และดิฉันได้ลองทำตามที่ดิฉันเข้าใจแล้ว..คือ หยุด..พอหยุด ทุกอย่างมันหยุดไปหมด ดิฉันไม่แน่ใจว่าทำถูกไหม แต่ก็ทำๆตามที่เข้าใจไปก่อน เริ่มต้นทำก่อน เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ค่อยๆเป็นไปในตามทางของมันเอง ดิฉันคิดอย่างนี้นะคะ จึงเริ่มต้นลงมือทำ

มันหยุด แบบ ว่า ทุกอย่างเหมือนหยุดไปหมด ทั้งๆที่รอบกายนั้นยังเคลื่อนไหวตลอดเวลา เหมือนเวลาสำหรับเรามันหยุดค้างไว้ แต่เวลาที่อยู่รอบๆตัวยังเดินไปตามปกติ อธิบายยากคะ ...จากที่เคยมีจิตรู้เห็นกายเคลื่อนไหว ก็ไม่เห็น มันหยุด จากที่เคยมีจิตรู้ว่าจิตเสวยอารมณ์ใด ก็ไม่เห็น มันหยุด ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง สมองนั้นหยุดคิดนานแล้ว จะคิดก็คิดออก แต่ปกติก็ไม่ค่อยใช้คือ ไม่คิดมา ปีเกือบ2 ปีแล้ว มันหยุดได้นานแล้ว(ดิฉันเรียกมันว่า สมองกลวงนะคะ).........พอมารวมกับหยุด การเห็นกาย หยุดการเห็นจิต ทุกอย่างเืหมือนมันหยุดไปหมด แต่ก่อนจะรู้ลมในกายตลอดเวลา ทั้งลมเข้าหรือลมออก ไม่ก็จะรู้คำภาวนาตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อลองทำแบบนี้ คำภาวนาก็หายไป มันหยุดรู้คำภาวนาและหยุดการรู้ลมไปอีกเหมือนกัน.....นี่คือดิฉันเข้าใจและลองทำแล้วมันเป็นแบบนี้.......

เมื่ออ่านต่อไป...จนถึง...ประโยคที่ว่า เอาเจตนากรรมไปแตะตรงไหน อัตตาถามหาทันที

ต้องกราบขอบพระคุณอีกครั้งคะ :b8: ในคำๆนี้อธิบายในส่วนขาดของการกระทำที่ดิฉันได้ทำมาแล้วได้มากคะ

2-3 เดือนแล้ว ดิฉันตั้งใจว่า เราจะไม่สร้างกรรมต่อเด็ดขาด ในกรรมส่วนที่เป็นอกุศลที่จะส่งผลเป็นกรรมต่อกันดิฉันจะไม่ทำ แต่ในส่วนที่เป็นกรรมดีเป็นสิ่งที่เป็นกุศลก็จะทำอยู่ และดิฉันก็พยายามทำแบบนี้มาเสมอๆ เรื่อยๆ..และเมื่ออ่านเจอคำๆนี้ ทำให้เข้าใจในสิ่งที่ดิฉันกระทำมากขึ้น เจตนาตัวเดียวที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆมากมาย เจตนาทำให้เกิดการเกิด เมื่อไม่มีเจตนา ก็จะหยุดในทุกสิ่ง ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ....เมื่อต้องการหยุดในการสร้างกรรมต่อกัน เพื่อหยุดภพหยุดชาติ..ก็ต้องหยุดที่เจตนาก่อน..กราบขอบพระคุณนะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2012, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ :b8:
3.1 ซาเซ็น (Zazen)

ซาเซ็นหมายถึงการนั่งสมาธิอันเป็นพื้นฐานในการเตรียมจิตเพื่อการขบคิดพิจารณาสภาวะธรรมและปริศนาธรรมต่าง ๆ เพื่อการบรรลุซาโตริ เพราะหากไม่มีการฝึกซาเซ็นเพื่อพัฒนาจิตให้แข็งแกร่งแล้วก็จะเป็นการยากยิ่งในการขบคิดปริศนาธรรมให้กระจ่างแจ้งได้และเมื่อไม่สามารถขบคิดปริศนาธรรมได้สภาวะซาโตริก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ในการบรรลุซาโตรินั้น มักต้องอาศัยการขบคิดปริศนาธรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความงุนงงสงสัยคุกรุ่นเต็มเปี่ยมอยู่ในจิตแล้ว “ระเบิดออก” สู่การรู้แจ้งอย่างทันทีทันใด

ในการปฏิบัติซาเซ็นนี้ ท่านโดเก็นได้อธิบายไว้ดังนี้

ณ ที่นั่งประจำของท่าน ปูเสื่อหนา ๆ แล้ววางหมอนลงบนเสื่อ นั่งขัดสมาธิเพชร หรือสมาธิดอกบัว ในท่าสมาธิเพชร ให้วางเท้าขวาบนขาซ้ายและเท้าซ้ายบนขาขวา ในท่าสมาธิดอกบัว ท่านเพียงวางเท้าซ้ายบนขาขวาเท่านั้น ท่านควรห่มจีวรและคาดรัดประคดแต่หลวม ๆ แต่เข้าที่ให้เรียบร้อย แล้ววางมือขวาบนขาซ้ายและวางฝ่ามือซ้ายในท่าหงายขึ้นบนฝ่ามือขวาโดยให้ปลายนิ้วโป้งจรดกัน นั่งตรงในท่าที่ถูกต้อง อย่าเอียงไปทางซ้ายหรือขวา อย่าเอียงไปข้างหน้าหรือข้างหลัง…เมื่อท่านั่งเรียบร้อยแล้ว สูดลมหายใจลึก ๆ หายใจเข้าออก โคลงร่างไปทางซ้ายทีขวาทีแล้วปล่อยให้หยุดนิ่งสมดุลในท่านั่ง คิดถึงการไม่คิด จะคิดถึงการไม่คิดได้อย่างไร โดยปราศจากการคิด สิ่งนี้เองคือ หัวใจแห่งศิลปะการนั่งซาเซ็น (สุวรรณา สถาอานันท์, 2534: 49 - 50)

การนั่งซาเซ็นนี้เป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้จิตหลุดพ้นจากกรอบอ้างอิงเดิมที่เคยคิด เคยเชื่อ เคยยึดมั่นถือมั่น ไปสู่การปราศจากการคิดซึ่งหมายถึงการที่จิตพ้นไปจากการแบ่งแยกเชิงทวิลักษณ์ เพื่อก้าวเข้าสู่ความว่างอันเป็นหนึ่งเดียวกับจิตเดิมแท้ ประเด็นเรื่องปราศจากความคิดนี้ อาจารย์คาสุลิส (T. P. Kasulis, 1981: 71 - 77) ได้อธิบายไว้ว่า “การคิด” คือ การกำหนดมโนทัศน์ต่าง ๆ อันเป็นกิจกรรมทางจิตให้กับสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจด้วยว่า ชอบ ไม่ชอบ เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นต้น เช่น การรับรู้ว่าอะไรคือโต๊ะ อะไรคือเก้าอี้ “การไม่คิด” คือ การปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ หรือกล่าวได้ว่าการไม่คิดคือการปฏิเสธกระบวนการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด แต่การจงใจปฏิเสธการคิดนี้ในแง่หนึ่งก็เป็นตัวการคิดนั้นเอง คือมีกรอบกำหนดเพื่อการปฏิเสธ ส่วน“การปราศจากความคิด” แตกต่างจากการคิดและการไม่คิดในแง่ที่ว่าการปราศจากการคิด จิตไม่มีความมุ่งหมายใด (intentionality) ไม่ใช่ทั้งการยืนยันและปฏิเสธ ไม่ใช่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ไม่ได้มุ่งปฏิเสธอย่างเดียวกับการไม่คิด แต่เป็นการปล่อยให้สิ่งต่างๆ ปรากฏอย่างที่มันเป็น (pure presence of things as they are) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นสภาวะก่อนการแยกแยะเชิงมโนทัศน์ การปราศจากการคิดนี้อาจเปรียบได้กับการที่เรายืนดูความงามของธรรมชาติบนยอดเขา โดยเราจะซาบซึ้งและซึมซับความงามจนอยู่ในสภาวะที่ปราศจากคำพูดหรือคำบรรยายใดๆ

การปฏิบัติซาเซ็นจึงมิใช่การนั่งสมาธิแบบปฏิเสธการรับรู้ แต่เป็นการนั่งสมาธิที่เต็มไปด้วยการรับรู้ แต่เป็นการรับรู้โลกและประสบการณ์ตามอย่างที่เป็นโดยปราศจากความจงใจใด ๆ การรับรู้นี้เป็นการรับรู้ที่ตัวผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นการดำรงอยู่ภายใต้กาลภาวะนั้นๆ การปฏิบัติซาเซ็นเป็นฐานของการฝึกใช้ปัญญาในการคิดพิจารณาสภาวะธรรมและปริศนาธรรม แต่สำหรับโดเก็น ตัวซาเซ็นเองก็คือปริศนาธรรมมิใช่เป็นฐานสำหรับการฝึกใช้ปัญญาเพื่อขบคิดปริศนาธรรม

http://www.philospedia.net/zen%20buddhism.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2012, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๘. เจตนาสูตรที่ ๑
[๑๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัย
เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อ
มีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส
และอุปายาส จึงมีต่อไป ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้น
เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่น
แห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือ
ภพใหม่ต่อไปจึงมี เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติชราและมรณะ โสก-
*ปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมีต่อไป ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อม
มีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิด
ถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อไม่มี
อารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่
เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงไม่มี เมื่อความบังเกิดคือภพใหม่
ต่อไปไม่มี ชาติชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
จบ สูตรที่ ๘



๙. เจตนาสูตรที่ ๒
[๑๔๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็น
อารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง
วิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป
จึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมี
ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว-
*ทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้น
ย่อมเป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความ
ตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลง
แห่งนามรูปจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่
ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อ
ไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว
ไม่เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูปจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะ
จึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและ
มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้ง
มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
จบ สูตรที่ ๙


๑๐. เจตนาสูตรที่ ๓
[๑๔๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกร-
*ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อม
เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่น
แห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงมี เมื่อมี
ตัณหา คติในการเวียนมาจึงมี เมื่อมีคติในการเวียนมา จุติและอุปบัติจึงมี เมื่อมีจุติ
และอุปบัติ ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมี ความเกิด
ขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จง
ใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่ง
วิญญาณ เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี เมื่อวิญญาณนั้น
ตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงมี เมื่อมีตัณหา คติในการเวียนมาจึงมี เมื่อ
มีคติในการเวียนมา จุติและอุปบัติจึงมี เมื่อมีจุติและอุปบัติ ชาติชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมี ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิด
ถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ เมื่อไม่มี
อารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว
ไม่เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงไม่มี เมื่อไม่มีตัณหา คติในการเวียนมาจึงไม่มี เมื่อไม่มี
คติในการเวียนมา จุติและอุปบัติจึงไม่มี เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ ชาติ ชราและ
มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์
ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
จบ สูตรที่ ๑๐
กฬารขัตติยวรรคที่ ๔ จบ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0

:b44: :b8: :b8: :b8: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2012, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
พูดด้วยความคิดนะเหมือนจะง่ายอย่างที่กล่าวมา แต่การบรรลุธรรมนั้น ผมยากให้พิจารณาตรงนี้ให้มาก บทอธฐานความเพียร
ภิกษุ ท ! เรายังรู้สึกได้อยู่ซึ่งธรรม ๒ อย่าง คือความไม่รู้จักอิ่ม จักพอ (สันโดษ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ไม่ถอยกลับ(อัปปฏิวานี)ในการทำ ความเพียร.
ภิกษุ ท ! เราย่อมตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการ อธิษฐานจิต) ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้
ภิกษุ ท ! การตรัสรู้เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท อนุตตรโยคักเขมธรรม ก็เป็น สิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท.
ภิกษุ ท ! ถ้าแม้พวกเธอ พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิ ฐานจิต)ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือด แห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบาก บั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้วจักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้ แล้วไซร้;
ภิกษุ ท ! พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออก บวชจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ, ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้ว แลอยู่ เป็นแน่นอน.

และทุกวันนี้มีหลายท่านปฎิบัติแบบง่ายๆสบายๆมันก็ถูกใจผู้ปฎิบัตินะซิ (อย่าลืมนะพยามารก็สอนธรรมเป็นเหมือนกันนะครับโปรดระวังสักนิด ด้วยความปรารถนาดีครับ) bigtoo

ไปว่าคนอื่นเขานะ ดูตัวเองซะก่อนดีมั้ย พระยามารมันสอนธรรมไม่เป็นหรอก
เพียงแต่มันจะหลอกล่อให้เข้าใจไปว่าธรรมมันถูกมันดี
พระยามารกับกิเลสมันเป็นของคู่กัน มันไม่สามารถปกปิดกิเลสหรือความเป็นมารในตัวเองได้หมด
มันต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาจากการกระทำครับ ตัวอย่างเช่น..

เที่ยวประกาศอวดศักดาว่าตัวเอง ไม่ยุ่งกับเมีย ถ้าพูดแค่นี้คนอื่นย่อมต้อง
มองบุคคลนั้นเป็นผู้ถือพรหมจรรย์ แต่ก็บอกแล้วว่าพระยามารปกปิดกิเลสไม่มิดแถมย่อม
ต้องหลอกล่อให้คนอื่นหลงเพื่อมาเป็นพวก ด้วยการสอดแทรกกิเลสลงไปในการนั้นๆ เช่น.
อยู่บ้านเดียวกับเมีย เคลิ้มทุกครั้งเมื่อเห็นหน้าเมียตัวเอง อายุปูนนี้ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว
ยังมองหน้าเมียตัวเองยังสาวยังสวย

อวดภูมิว่ากินข้าวมื้อเดียว แต่ต้องทำกับข้าวให้เมียกิน
และได้กลิ่นอันยั่วยวนทุกครั้งเมื่อทำกับข้าว


บอกแล้วไงว่าพระยามารย่อมปกปิดกิเลสไม่มิด :b13:
ตรงไหนเหรอที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าผู้อื่น นอกจากท่านแล้ว ผมไม่เคยตำหนิใครเลย การที่ข้าพเจ้าบอกในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้เป็นการอวดตน เหรอ น่าจะเป็นตัวอย่างซะมากกว่า เพราะเรากำลังเดินแสวงหาทางเพื่อออกจากทุกข์

สิ่งใดที่ข้าพเจ้าทำได้มันเป็นเรื่องยาก ข้าพเจ้าใช้ธรรมอันไหนเหรอทำไมถึงทำได้ ท่านน่าจะพิจารณาธรรมมะส่วนนี้ซะดีกว่า จะมาคอยจับผิดผมว่าอวดตน ข้าพเจ้ารับอาหารเพียงครั้งเดียว และข้าพเจ้าต้องทำหน้ที่ ที่จะต้องทำอาหารให้ภรรยาทาน ท่านก็ทราบว่ารสชาติอาหารมันหอมหวลขนาดไหน ทำไมข้าพเจ้าถึงห้ามใจได้

ตรงนี้ต่างหากที่ท่านน่าจะคิดว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงหักห้ามใจได้ และการที่ข้าพเจ้าไม่ยุ่งกับภรรยาของข้าพเจ้านั้นมันก็น่าจะเป็นการดีสำหรับการประพฤติพรหมจรรย์ ท่านก็น่าจะพิจารณาว่าข้าพเจ้าใช้ธรรมมะอะไรถึงห้ามใจได้ และการรัษาพรหมจรรย์นั้นข้าพเจ้าได้ตกลงกันทั้งสองฝ่ายมิได้กระทำฝ่ายเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้หนีกิเลส แต่ข้าพเจ้าอยู่กับกิเลสได้สบายๆไม่ต้องหลบ

ถ้าข้าพเจ้าเคลิ้มทุกครั้งข้าพเจ้าคงไม่ถือพรหมจรรย์สำเร็จหรอกครับ ข้าพเจ้ามองเป็นอสุภะหมดแล้วทั้งเขาทั้งเรา แต่อธิบายในสมมุติบัญญัติให้ท่านทราบเท่านั้น ข้าพเจ้าเคร่งแต่ไม่เคลียดนะครับ และสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนอยากให้พิจารณาเท่านั้น ใช่กล่าวหาท่านอื่น... :b13:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตรงไหนเหรอที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าผู้อื่นนอกจากท่านแล้ว ผมไม่เคยตำหนิใครเลย การที่ข้าพเจ้าบอกในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้เป็นการอวดตน เหรอ น่าจะเป็นตัวอย่างซะมากกว่า เพราะเรากำลังเดินแสวงหาทางเพื่อออกจากทุกข์

พูดจาภาษาพื้นๆยังสับสนริอาจจะพูดธรรม ที่ว่าคนอื่นก็ผมไง
คุณลองดูซิว่าคุณกำลังคุยอยู่กับใคร กับคุณ"ไม่มีอะไรใช่มั้ย"

แล้วมาความเห็นนี้คุณบอกผมว่า "นอกจากผมแล้วไม่เคยตำหนิใครเลย"
สรุปก็คือ คนอื่นก็คือผมนั้นแหล่ะ ผมว่าคุณไปหัดทำสมาธิเบื้องต้นให้ได้ซะก่อนดีกว่า
การแสดงความเห็นมันจะได้กลมกลืนปกปิดกิเลสตัวเองมิด
ดูๆไปแล้วเหมือนหมาป่าเอาเสื้อคลุมพระราชามาใส่ เพื่อหลอกลวงคนอื่น
แต่ปิดไม่มิด เพราะหางมันโผล่
:b32:
bigtoo เขียน:
สิ่งใดที่ข้าพเจ้าทำได้มันเป็นเรื่องยาก ข้าพเจ้าใช้ธรรมอันไหนเหรอทำไมถึงทำได้ ท่านน่าจะพิจารณาธรรมมะส่วนนี้ซะดีกว่า จะมาคอยจับผิดผมว่าอวดตน ข้าพเจ้ารับอาหารเพียงครั้งเดียว และข้าพเจ้าต้องทำหน้ที่ ที่จะต้องทำอาหารให้ภรรยาทาน ท่านก็ทราบว่ารสชาติอาหารมันหอมหวลขนาดไหน ทำไมข้าพเจ้าถึงห้ามใจได้

ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่คุณทำได้ คนอื่นทำไม่ได้ แต่มันอยู่ที่คุณไปทำของคุณเอง
แล้วมาอวดตัวว่าคุณทำได้ มันไม่ใช่เรื่อง
คุณเป็นฆราวาสเป็นปุถุชน ยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพและครอบครัว สภาพความเป็นอยู่
มันต้องพอเหมาะพอสมควรแก่สถานะ ไม่ใช่จู่ๆนึกอยากทำอะไรขึ้นมาก็ทำโดยไม่สนใจ
สิ่งรอบข้าง แล้วก็ละเมอเพ้อพกเอาเองว่าตัวดีเลิศกว่าใคร

พูดจนปากเปียกปากแฉะว่า เขาปฏิบัติกันที่ใจ กิเลสมันเกิดที่ใจ
พูดไปเถอะไม่ยอมจะเข้าใจ ยังหลงตัวเองอยู่นั้นแหล่ะ
บอกตัวเองกินข้าวมื้อเดียว ตัวเองเก่งไม่สนใจแล้วเรื่องกิน
แต่ทำไมมันยังต้องวุ่นวายกับคนอื่น ต้องไปวุ่นวายทำอาหารให้คนอื่นกิน
ปฏิบัติธรรมภาษาอะไรหลงซะไม่มีล่ะ

คนอื่นเขากินอาหารสองมื้อสามมื้อ โดยไม่คำนึงถึงความอร่อย
ขอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกาย เหตุผลเพราะต้องทำงาน
แต่ดูคุณซิบิกทู่ กินมื้อเดียวแต่พอได้กลิ่นอาหารก็มีความรู้สึก
หอมหวนยั่วยวน กิเลสมันอยู่ตรงไหน อะไรที่เขาเรียกกิเลสยังไม่รู้เลย


และอีกอย่างเมียก็คือเมีย การยุ่งกับเมียมันไม่ผิดศีล
ตอนเรายังหนุ่มร่างกายยังแข็งแรง ย่อมต้องมีเรื่องแบบนั้นบ่อย
แต่การกระทำเป็นการกระทำกับเมียตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าเมียตัวเอง
จะสวยหรือขี้เหร่ ย่อมเป็นผู้ครองเรือนที่ประเสริฐ

ตรงข้ามกับคนที่วัยสูงอายุร่างกายย่อมถดถอย
เรื่องการปฏิบัติของผัวเมียย่อมต้องลดลงตามสภาพกำลังร่างกาย
การไม่ยุ่งกับเมียโดยธรรมชาติของอายุของวัยมันเป็นเรื่องธรรมดา
มันไม่ใช่เรื่องคุณธรรมวิเศษวิโสอะไรเลย
ตรงข้ามถ้าผัวเมียคู่ใดอยู่ในวัยสูงอายุแล้ว ยังมองคู่ของตัวเองยังสาวและสวยอยู่
นั้นแสดงว่า ใจยังเต็มไปด้วยเรื่องอย่างว่า ถึงแม้ร่างกายจะไม่อำนวยแล้วก็ตาม
พูดง่ายๆก็คือยังมีกิเลสเต็มเปี่ยม


bigtoo เขียน:
ตรงนี้ต่างหากที่ท่านน่าจะคิดว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงหักห้ามใจได้ และการที่ข้าพเจ้าไม่ยุ่งกับภรรยาของข้าพเจ้านั้นมันก็น่าจะเป็นการดีสำหรับการประพฤติพรหมจรรย์ ท่านก็น่าจะพิจารณาว่าข้าพเจ้าใช้ธรรมมะอะไรถึงห้ามใจได้ และการรัษาพรหมจรรย์นั้นข้าพเจ้าได้ตกลงกันทั้งสองฝ่ายมิได้กระทำฝ่ายเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้หนีกิเลส แต่ข้าพเจ้าอยู่กับกิเลสได้สบายๆไม่ต้องหลบ

คุณรู้มั้ยว่า ปุถุชนเขามีทางให้เดินสองทาง นั้นก็คือความดีกับความชั่ว
ก็เหมือนกับคนมีครอบครัว เขาก็มีสองทางดีกับชั่ว ดีก็คือยุ่งกับเมียตัวเองไม่ไปยุ่งกับหญิงอื่น
ชั่วก็คือไปยุ่งกับหญิงอื่น

สิ่งที่คุณทำมันเพื้ยน กำลังหลง คุณอยู่บ้านมีครอบครัวแบบปุถุชนทั่วไป
แต่ไปเอาสถานะของนักบวช เอาศีลเนกขัมมะมาไว้ในบ้าน เลยทำให้
ศีลห้าที่มีความหมายว่า ..ความเป็นปกติ มันผิดเพี้ยนไป
ไม่ปกติ เข้าใจมั้ย


ถ้าคุณต้องการกินข้าวมื้อเดียวหรือไม่ยุ่งกับเมีย พระพุทธองค์ก็ทรงสอนในเรื่อง
ของวิเวกไว้ มันเป็นคุณที่จะต้องปลีกตัวออกจากสังคมหรือครอบครัว
ไปทำตามใจที่คุณต้องการ
แต่ผมว่าอย่างคุณไปอยู่วัด เดียวก็ไปแก้กฎทางวัดเขาอีก ผมแนะนำให้ไปขุดรูอยู่คนเดียว
หาไส้เดือนกิ้งกือกิน พวกนี้ไม่มีกลิ่นยั่วยวนด้วยครับ :b13:

bigtoo เขียน:
ถ้าข้าพเจ้าเคลิ้มทุกครั้งข้าพเจ้าคงไม่ถือพรหมจรรย์สำเร็จหรอกครับ ข้าพเจ้ามองเป็นอสุภะหมดแล้วทั้งเขาทั้งเรา แต่อธิบายในสมมุติบัญญัติให้ท่านทราบเท่านั้น ข้าพเจ้าเคร่งแต่ไม่เคลียดนะครับ และสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนอยากให้พิจารณาเท่านั้น ใช่กล่าวหาท่านอื่น... :b13:

มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว มีลูกมีเมียอยู่บ้านเดียวกัน แต่มาโม้ว่าถือเพศพรหมจรรย์
นี่มาคุยอีกแล้ว่า...มองอะไรเป็นอสุภะ แล้วที่มองเมียตัวเอง
ยังสาวยังสวย ทั้งๆที่อายุอานามก็เป็นยายคนได้แล้ว แถมทำกับข้าวให้เมียที่ไรก็ได้กลิ่น
ที่หอมหวนยั่วยวน แบบนี้เรียกอสุภะหรือครับบิกทื่อ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ตรงไหนเหรอที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าผู้อื่นนอกจากท่านแล้ว ผมไม่เคยตำหนิใครเลย การที่ข้าพเจ้าบอกในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้เป็นการอวดตน เหรอ น่าจะเป็นตัวอย่างซะมากกว่า เพราะเรากำลังเดินแสวงหาทางเพื่อออกจากทุกข์

พูดจาภาษาพื้นๆยังสับสนริอาจจะพูดธรรม ที่ว่าคนอื่นก็ผมไง
คุณลองดูซิว่าคุณกำลังคุยอยู่กับใคร กับคุณ"ไม่มีอะไรใช่มั้ย"

แล้วมาความเห็นนี้คุณบอกผมว่า "นอกจากผมแล้วไม่เคยตำหนิใครเลย"
สรุปก็คือ คนอื่นก็คือผมนั้นแหล่ะ ผมว่าคุณไปหัดทำสมาธิเบื้องต้นให้ได้ซะก่อนดีกว่า
การแสดงความเห็นมันจะได้กลมกลืนปกปิดกิเลสตัวเองมิด
ดูๆไปแล้วเหมือนหมาป่าเอาเสื้อคลุมพระราชามาใส่ เพื่อหลอกลวงคนอื่น
แต่ปิดไม่มิด เพราะหางมันโผล่
:b32:
bigtoo เขียน:
สิ่งใดที่ข้าพเจ้าทำได้มันเป็นเรื่องยาก ข้าพเจ้าใช้ธรรมอันไหนเหรอทำไมถึงทำได้ ท่านน่าจะพิจารณาธรรมมะส่วนนี้ซะดีกว่า จะมาคอยจับผิดผมว่าอวดตน ข้าพเจ้ารับอาหารเพียงครั้งเดียว และข้าพเจ้าต้องทำหน้ที่ ที่จะต้องทำอาหารให้ภรรยาทาน ท่านก็ทราบว่ารสชาติอาหารมันหอมหวลขนาดไหน ทำไมข้าพเจ้าถึงห้ามใจได้

ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงที่คุณทำได้ คนอื่นทำไม่ได้ แต่มันอยู่ที่คุณไปทำของคุณเอง
แล้วมาอวดตัวว่าคุณทำได้ มันไม่ใช่เรื่อง
คุณเป็นฆราวาสเป็นปุถุชน ยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพและครอบครัว สภาพความเป็นอยู่
มันต้องพอเหมาะพอสมควรแก่สถานะ ไม่ใช่จู่ๆนึกอยากทำอะไรขึ้นมาก็ทำโดยไม่สนใจ
สิ่งรอบข้าง แล้วก็ละเมอเพ้อพกเอาเองว่าตัวดีเลิศกว่าใคร

พูดจนปากเปียกปากแฉะว่า เขาปฏิบัติกันที่ใจ กิเลสมันเกิดที่ใจ
พูดไปเถอะไม่ยอมจะเข้าใจ ยังหลงตัวเองอยู่นั้นแหล่ะ
บอกตัวเองกินข้าวมื้อเดียว ตัวเองเก่งไม่สนใจแล้วเรื่องกิน
แต่ทำไมมันยังต้องวุ่นวายกับคนอื่น ต้องไปวุ่นวายทำอาหารให้คนอื่นกิน
ปฏิบัติธรรมภาษาอะไรหลงซะไม่มีล่ะ

คนอื่นเขากินอาหารสองมื้อสามมื้อ โดยไม่คำนึงถึงความอร่อย
ขอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกาย เหตุผลเพราะต้องทำงาน
แต่ดูคุณซิบิกทู่ กินมื้อเดียวแต่พอได้กลิ่นอาหารก็มีความรู้สึก
หอมหวนยั่วยวน กิเลสมันอยู่ตรงไหน อะไรที่เขาเรียกกิเลสยังไม่รู้เลย


และอีกอย่างเมียก็คือเมีย การยุ่งกับเมียมันไม่ผิดศีล
ตอนเรายังหนุ่มร่างกายยังแข็งแรง ย่อมต้องมีเรื่องแบบนั้นบ่อย
แต่การกระทำเป็นการกระทำกับเมียตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าเมียตัวเอง
จะสวยหรือขี้เหร่ ย่อมเป็นผู้ครองเรือนที่ประเสริฐ

ตรงข้ามกับคนที่วัยสูงอายุร่างกายย่อมถดถอย
เรื่องการปฏิบัติของผัวเมียย่อมต้องลดลงตามสภาพกำลังร่างกาย
การไม่ยุ่งกับเมียโดยธรรมชาติของอายุของวัยมันเป็นเรื่องธรรมดา
มันไม่ใช่เรื่องคุณธรรมวิเศษวิโสอะไรเลย
ตรงข้ามถ้าผัวเมียคู่ใดอยู่ในวัยสูงอายุแล้ว ยังมองคู่ของตัวเองยังสาวและสวยอยู่
นั้นแสดงว่า ใจยังเต็มไปด้วยเรื่องอย่างว่า ถึงแม้ร่างกายจะไม่อำนวยแล้วก็ตาม
พูดง่ายๆก็คือยังมีกิเลสเต็มเปี่ยม


bigtoo เขียน:
ตรงนี้ต่างหากที่ท่านน่าจะคิดว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงหักห้ามใจได้ และการที่ข้าพเจ้าไม่ยุ่งกับภรรยาของข้าพเจ้านั้นมันก็น่าจะเป็นการดีสำหรับการประพฤติพรหมจรรย์ ท่านก็น่าจะพิจารณาว่าข้าพเจ้าใช้ธรรมมะอะไรถึงห้ามใจได้ และการรัษาพรหมจรรย์นั้นข้าพเจ้าได้ตกลงกันทั้งสองฝ่ายมิได้กระทำฝ่ายเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้หนีกิเลส แต่ข้าพเจ้าอยู่กับกิเลสได้สบายๆไม่ต้องหลบ

คุณรู้มั้ยว่า ปุถุชนเขามีทางให้เดินสองทาง นั้นก็คือความดีกับความชั่ว
ก็เหมือนกับคนมีครอบครัว เขาก็มีสองทางดีกับชั่ว ดีก็คือยุ่งกับเมียตัวเองไม่ไปยุ่งกับหญิงอื่น
ชั่วก็คือไปยุ่งกับหญิงอื่น

สิ่งที่คุณทำมันเพื้ยน กำลังหลง คุณอยู่บ้านมีครอบครัวแบบปุถุชนทั่วไป
แต่ไปเอาสถานะของนักบวช เอาศีลเนกขัมมะมาไว้ในบ้าน เลยทำให้
ศีลห้าที่มีความหมายว่า ..ความเป็นปกติ มันผิดเพี้ยนไป
ไม่ปกติ เข้าใจมั้ย


ถ้าคุณต้องการกินข้าวมื้อเดียวหรือไม่ยุ่งกับเมีย พระพุทธองค์ก็ทรงสอนในเรื่อง
ของวิเวกไว้ มันเป็นคุณที่จะต้องปลีกตัวออกจากสังคมหรือครอบครัว
ไปทำตามใจที่คุณต้องการ
แต่ผมว่าอย่างคุณไปอยู่วัด เดียวก็ไปแก้กฎทางวัดเขาอีก ผมแนะนำให้ไปขุดรูอยู่คนเดียว
หาไส้เดือนกิ้งกือกิน พวกนี้ไม่มีกลิ่นยั่วยวนด้วยครับ :b13:

bigtoo เขียน:
ถ้าข้าพเจ้าเคลิ้มทุกครั้งข้าพเจ้าคงไม่ถือพรหมจรรย์สำเร็จหรอกครับ ข้าพเจ้ามองเป็นอสุภะหมดแล้วทั้งเขาทั้งเรา แต่อธิบายในสมมุติบัญญัติให้ท่านทราบเท่านั้น ข้าพเจ้าเคร่งแต่ไม่เคลียดนะครับ และสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนอยากให้พิจารณาเท่านั้น ใช่กล่าวหาท่านอื่น... :b13:

มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว มีลูกมีเมียอยู่บ้านเดียวกัน แต่มาโม้ว่าถือเพศพรหมจรรย์
นี่มาคุยอีกแล้ว่า...มองอะไรเป็นอสุภะ แล้วที่มองเมียตัวเอง
ยังสาวยังสวย ทั้งๆที่อายุอานามก็เป็นยายคนได้แล้ว แถมทำกับข้าวให้เมียที่ไรก็ได้กลิ่น
ที่หอมหวนยั่วยวน แบบนี้เรียกอสุภะหรือครับบิกทื่อ
:b32:
5555คำพูดสละสลวยดีนะท่านโฮฮับ ท่านก็มักกล่าวหากระผมตำหนิคนอื่นอีกนั้นแหละ ข้าพเจ้าถึงสอดความเป็นปกติให้ท่านเห็นอยู่ตลอดว่า การทำอะไรเรื่องทำอาหารก็เป็นปกติวิสัยมนุษย์ทั่วไป การที่ใครมีครอบครัวจะยุ่งกันมันก็เป็นวิสัยของมนุย์ปกติมันก็ไม่ผิด แต่การหักห้ามใจได้นี่ต่างหากที่เป็นวิสัยของผู้มีปัญญาที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ท่านอย่าปฎิเสธเลยว่าสิ่งนั้นมิใช่ทางกั้นทางพ้นทุกข์ ตราบใดยังคลุกคลีมาตุคามอยู่คำสอนก็มีมากมาย ทำไม่ได้ก็กล่าวหาว่าผมตำหนิท่านอื่น( ผมตำหนิท่านนะใช่เพราะเราสนทนากัน) ผู้รู้ย่อมตำหนิผู้น้อยกว่าก็เท่านั้นเอง เรื่องทัศนะคติเชิงลบของท่านมันเห็นคำกล่าวอย่างนี้ไม่ได้ เห็นใครทำได้ดีกว่าตนไม่ได้ ก็ว่าเขาหลงเขาเพ้อเจ้อบ้าง ข้าพเจ้าบอกตั้งกี่ครั้งแล้วใครทำอะไรก็ทำกันไปสิทธิของแต่ละบุคคล ชีวิตใครก็ชีวิตใครจะก้าวล่วงกันได้ไง มีคนเข้ามาสนทนากับผมตั้งมากมาย หลายคนก็ไม่ได้กระทำแบบผม ผมก็ไม่เคยตำหนิเขา และเขาก็มีทัศนะคติเชิงบวกกันทั้งนั้น มีแต่ท่านที่มีทัศนะคติกล่าวหาว่าผมอวดตน(นี่ต่างหากที่ผมอยากให้ท่านเปลี่ยนความคิดใหม่) ไม่ต้องชมผมหรอกคำชมมันไม่มีค่าสำหรับผมแล้วผมผ่านมามากมาย และจุดประสงค์ของข้าพเจ้าต้องการให้พิจารณาถึงแนวทางปฎิบัติของข้าพเจ้าก็เท่านั้นเอง ว่าสามารถหักห้ามใจในสิ่งที่ทำได้ยาก :b34: :b34: :b34:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
5555คำพูดสละสลวยดีนะท่านโฮฮับ ท่านก็มักกล่าวหากระผมตำหนิคนอื่นอีกนั้นแหละ ข้าพเจ้าถึงสอดความเป็นปกติให้ท่านเห็นอยู่ตลอดว่า การทำอะไรเรื่องทำอาหารก็เป็นปกติวิสัยมนุษย์ทั่วไป การที่ใครมีครอบครัวจะยุ่งกันมันก็เป็นวิสัยของมนุย์ปกติมันก็ไม่ผิด แต่การหักห้ามใจได้นี่ต่างหากที่เป็นวิสัยของผู้มีปัญญาที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ท่านอย่าปฎิเสธเลยว่าสิ่งนั้นมิใช่ทางกั้นทางพ้นทุกข์ ตราบใดยังคลุกคลีมาตุคามอยู่คำสอนก็มีมากมาย ทำไม่ได้ก็กล่าวหาว่าผมตำหนิท่านอื่น( ผมตำหนิท่านนะใช่เพราะเราสนทนากัน) ผู้รู้ย่อมตำหนิผู้น้อยกว่าก็เท่านั้นเอง เรื่องทัศนะคติเชิงลบของท่านมันเห็นคำกล่าวอย่างนี้ไม่ได้ เห็นใครทำได้ดีกว่าตนไม่ได้ ก็ว่าเขาหลงเขาเพ้อเจ้อบ้าง ข้าพเจ้าบอกตั้งกี่ครั้งแล้วใครทำอะไรก็ทำกันไปสิทธิของแต่ละบุคคล ชีวิตใครก็ชีวิตใครจะก้าวล่วงกันได้ไง มีคนเข้ามาสนทนากับผมตั้งมากมาย หลายคนก็ไม่ได้กระทำแบบผม ผมก็ไม่เคยตำหนิเขา และเขาก็มีทัศนะคติเชิงบวกกันทั้งนั้น มีแต่ท่านที่มีทัศนะคติกล่าวหาว่าผมอวดตน(นี่ต่างหากที่ผมอยากให้ท่านเปลี่ยนความคิดใหม่) ไม่ต้องชมผมหรอกคำชมมันไม่มีค่าสำหรับผมแล้วผมผ่านมามากมาย และจุดประสงค์ของข้าพเจ้าต้องการให้พิจารณาถึงแนวทางปฎิบัติของข้าพเจ้าก็เท่านั้นเอง ว่าสามารถหักห้ามใจในสิ่งที่ทำได้ยาก :b34: :b34: :b34:

เรื่องที่ว่าผมหรือว่าคนอื่นขี้เกียจอธิบายแล้ว เสียเวลา

แต่ไอ้เรื่องที่บอกว่า เห็นคนอื่นทำดีกว่าตนไม่ได้นี่ อยากหัวเราะให้ฟันหัก :b13:

คุณลองเปรียบการกระทำของคุณกับผมดูว่า ใครมันดีมันเลวกว่ากัน
ไม่ใช่เพราะผมเล่าประสบการณ์ของผมให้คุณฟัง แล้วคุณก็แถหาว่าผม..
ไม่ใช่ลูกผู้ชายหรือ

แล้วไอ้การที่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่โพทนาอวดตัวเองว่า ไม่ยุ่งกับเมีย
แต่หย่าขาดจากเมีย เพื่อไม่ต้องการให้เมียลำบากใจกับฝ่ายสามี

กับอีกฝ่ายที่โพทนาอวดชาวบ้านว่า ไม่ยุ่งกับเมียทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกับเมีย
ยังคอยทำกับข้าวให้เมียกิน แถมยังมองความสาวความสวยของเมียอย่างไม่สร่างซา

คุณว่าอย่างไหนมันดีกว่ากันครับ

ยังกินนอนอยู่กับเมียก็อย่ามาอวดโตคุยโม้ว่าไม่ยุ่งกับเมีย
กล้ามั้ยเดินไปบอกเมีย ให้เมียทำใจหย่ากันต่างคนต่างอยู่ เดี๋ยวก็เหมือนฝึกจิต
สงสารเมีย เป็นห่วงเมีย พุทโธ่!พูดมาได้ไม่อายปาก




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 11:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ดี...ทั้งนั้น...ครับ

และ...ชั่วก็อยู่ในนั้น

ถ้าเอาดีชั่ว...สมมุติของโลก..ไปจับนะ...

ถ้าจะเอาวิมุติ....หากอยู่บนมรรค...ก็ดีหมด...

มรรคใครอยู่ตรงไหน...ก็ดีตรงนั้น...

มรรค4....ผล 4 นะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
5555คำพูดสละสลวยดีนะท่านโฮฮับ ท่านก็มักกล่าวหากระผมตำหนิคนอื่นอีกนั้นแหละ ข้าพเจ้าถึงสอดความเป็นปกติให้ท่านเห็นอยู่ตลอดว่า การทำอะไรเรื่องทำอาหารก็เป็นปกติวิสัยมนุษย์ทั่วไป การที่ใครมีครอบครัวจะยุ่งกันมันก็เป็นวิสัยของมนุย์ปกติมันก็ไม่ผิด แต่การหักห้ามใจได้นี่ต่างหากที่เป็นวิสัยของผู้มีปัญญาที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ท่านอย่าปฎิเสธเลยว่าสิ่งนั้นมิใช่ทางกั้นทางพ้นทุกข์ ตราบใดยังคลุกคลีมาตุคามอยู่คำสอนก็มีมากมาย ทำไม่ได้ก็กล่าวหาว่าผมตำหนิท่านอื่น( ผมตำหนิท่านนะใช่เพราะเราสนทนากัน) ผู้รู้ย่อมตำหนิผู้น้อยกว่าก็เท่านั้นเอง เรื่องทัศนะคติเชิงลบของท่านมันเห็นคำกล่าวอย่างนี้ไม่ได้ เห็นใครทำได้ดีกว่าตนไม่ได้ ก็ว่าเขาหลงเขาเพ้อเจ้อบ้าง ข้าพเจ้าบอกตั้งกี่ครั้งแล้วใครทำอะไรก็ทำกันไปสิทธิของแต่ละบุคคล ชีวิตใครก็ชีวิตใครจะก้าวล่วงกันได้ไง มีคนเข้ามาสนทนากับผมตั้งมากมาย หลายคนก็ไม่ได้กระทำแบบผม ผมก็ไม่เคยตำหนิเขา และเขาก็มีทัศนะคติเชิงบวกกันทั้งนั้น มีแต่ท่านที่มีทัศนะคติกล่าวหาว่าผมอวดตน(นี่ต่างหากที่ผมอยากให้ท่านเปลี่ยนความคิดใหม่) ไม่ต้องชมผมหรอกคำชมมันไม่มีค่าสำหรับผมแล้วผมผ่านมามากมาย และจุดประสงค์ของข้าพเจ้าต้องการให้พิจารณาถึงแนวทางปฎิบัติของข้าพเจ้าก็เท่านั้นเอง ว่าสามารถหักห้ามใจในสิ่งที่ทำได้ยาก :b34: :b34: :b34:

เรื่องที่ว่าผมหรือว่าคนอื่นขี้เกียจอธิบายแล้ว เสียเวลา

แต่ไอ้เรื่องที่บอกว่า เห็นคนอื่นทำดีกว่าตนไม่ได้นี่ อยากหัวเราะให้ฟันหัก :b13:

คุณลองเปรียบการกระทำของคุณกับผมดูว่า ใครมันดีมันเลวกว่ากัน
ไม่ใช่เพราะผมเล่าประสบการณ์ของผมให้คุณฟัง แล้วคุณก็แถหาว่าผม..
ไม่ใช่ลูกผู้ชายหรือ

แล้วไอ้การที่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่โพทนาอวดตัวเองว่า ไม่ยุ่งกับเมีย
แต่หย่าขาดจากเมีย เพื่อไม่ต้องการให้เมียลำบากใจกับฝ่ายสามี

กับอีกฝ่ายที่โพทนาอวดชาวบ้านว่า ไม่ยุ่งกับเมียทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกับเมีย
ยังคอยทำกับข้าวให้เมียกิน แถมยังมองความสาวความสวยของเมียอย่างไม่สร่างซา

คุณว่าอย่างไหนมันดีกว่ากันครับ

ยังกินนอนอยู่กับเมียก็อย่ามาอวดโตคุยโม้ว่าไม่ยุ่งกับเมีย
กล้ามั้ยเดินไปบอกเมีย ให้เมียทำใจหย่ากันต่างคนต่างอยู่ เดี๋ยวก็เหมือนฝึกจิต
สงสารเมีย เป็นห่วงเมีย พุทโธ่!พูดมาได้ไม่อายปาก


กำลังบอกว่าปฎิบัติธรรมเข้าขั้นว่ามาเถอะ ก็เลยบอกหย่ากับเมีย ลูกผู้ชายตัวจริง ขนาดบอกหย่ากับเมีย เขาต้องไปบวชแล้ว อย่างนี้เขาเรียกเบื่อเมีย!หรือเมียเบื่อละมั้ง สมมุติว่าผมมีใจคิดอวดก็แล้วกันนะคุณจะได้สบายใจ จะทนฟังผมได้สักทีเนาะไอ้เรื่องที่ผมกินข้าวมื้อเดียว กับไม่ยุ่งกับเมียแล้วบริหารครอบครัวให้มีความสุขเดินตามรอยธรรมมะได้โดยไม่ต้องหย่าให้เขาไปมีครอบครัวใหม่ สร้างอะไรๆให้มันยุ่งกับชีวิต คุณลองมองดูนะครับสิ่งไหนมันดีกว่ากัน ภรรยาผมคนนี้ไม่มีลูกกับผม อายุน้อยกว่าผมทำงานมีเงินเดือนมากพอตัว ความรู้ก็ปโท น่าตาก็สวย(อุ้ยเดี๋ยวฟังไม่ได้อีก)ผมมีลูกติดมา ผมจบม. 6 งานก็ไม่ทำ ถ้าผมไม่ดีจริงเขาคงทิ้งผมไปนานแล้วมั้ง ธรรมมะที่ดีมันต้องเห็นผล นอกจากตัวเราแล้วจะต้องชักจูงผู้อื่นให้เห็นดีกับเราได้ด้วย โดยเฉพาะครอบครัว ธรรมมะเขาดูการปล่อยวางที่แท้จริง ลดละเลิกได้แท้จริง ไม่ได้โม้ไปวันๆพี่โฮฮับ :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 13:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
5555คำพูดสละสลวยดีนะท่านโฮฮับ ท่านก็มักกล่าวหากระผมตำหนิคนอื่นอีกนั้นแหละ ข้าพเจ้าถึงสอดความเป็นปกติให้ท่านเห็นอยู่ตลอดว่า การทำอะไรเรื่องทำอาหารก็เป็นปกติวิสัยมนุษย์ทั่วไป การที่ใครมีครอบครัวจะยุ่งกันมันก็เป็นวิสัยของมนุย์ปกติมันก็ไม่ผิด แต่การหักห้ามใจได้นี่ต่างหากที่เป็นวิสัยของผู้มีปัญญาที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ท่านอย่าปฎิเสธเลยว่าสิ่งนั้นมิใช่ทางกั้นทางพ้นทุกข์ ตราบใดยังคลุกคลีมาตุคามอยู่คำสอนก็มีมากมาย ทำไม่ได้ก็กล่าวหาว่าผมตำหนิท่านอื่น( ผมตำหนิท่านนะใช่เพราะเราสนทนากัน) ผู้รู้ย่อมตำหนิผู้น้อยกว่าก็เท่านั้นเอง เรื่องทัศนะคติเชิงลบของท่านมันเห็นคำกล่าวอย่างนี้ไม่ได้ เห็นใครทำได้ดีกว่าตนไม่ได้ ก็ว่าเขาหลงเขาเพ้อเจ้อบ้าง ข้าพเจ้าบอกตั้งกี่ครั้งแล้วใครทำอะไรก็ทำกันไปสิทธิของแต่ละบุคคล ชีวิตใครก็ชีวิตใครจะก้าวล่วงกันได้ไง มีคนเข้ามาสนทนากับผมตั้งมากมาย หลายคนก็ไม่ได้กระทำแบบผม ผมก็ไม่เคยตำหนิเขา และเขาก็มีทัศนะคติเชิงบวกกันทั้งนั้น มีแต่ท่านที่มีทัศนะคติกล่าวหาว่าผมอวดตน(นี่ต่างหากที่ผมอยากให้ท่านเปลี่ยนความคิดใหม่) ไม่ต้องชมผมหรอกคำชมมันไม่มีค่าสำหรับผมแล้วผมผ่านมามากมาย และจุดประสงค์ของข้าพเจ้าต้องการให้พิจารณาถึงแนวทางปฎิบัติของข้าพเจ้าก็เท่านั้นเอง ว่าสามารถหักห้ามใจในสิ่งที่ทำได้ยาก :b34: :b34: :b34:

เรื่องที่ว่าผมหรือว่าคนอื่นขี้เกียจอธิบายแล้ว เสียเวลา

แต่ไอ้เรื่องที่บอกว่า เห็นคนอื่นทำดีกว่าตนไม่ได้นี่ อยากหัวเราะให้ฟันหัก :b13:

คุณลองเปรียบการกระทำของคุณกับผมดูว่า ใครมันดีมันเลวกว่ากัน
ไม่ใช่เพราะผมเล่าประสบการณ์ของผมให้คุณฟัง แล้วคุณก็แถหาว่าผม..
ไม่ใช่ลูกผู้ชายหรือ

แล้วไอ้การที่ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่โพทนาอวดตัวเองว่า ไม่ยุ่งกับเมีย
แต่หย่าขาดจากเมีย เพื่อไม่ต้องการให้เมียลำบากใจกับฝ่ายสามี

กับอีกฝ่ายที่โพทนาอวดชาวบ้านว่า ไม่ยุ่งกับเมียทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกับเมีย
ยังคอยทำกับข้าวให้เมียกิน แถมยังมองความสาวความสวยของเมียอย่างไม่สร่างซา

คุณว่าอย่างไหนมันดีกว่ากันครับ

ยังกินนอนอยู่กับเมียก็อย่ามาอวดโตคุยโม้ว่าไม่ยุ่งกับเมีย
กล้ามั้ยเดินไปบอกเมีย ให้เมียทำใจหย่ากันต่างคนต่างอยู่ เดี๋ยวก็เหมือนฝึกจิต
สงสารเมีย เป็นห่วงเมีย พุทโธ่!พูดมาได้ไม่อายปาก




ใช้สิทธิ พาดพิงครับ :b12:
ทำไมเราสงสารเมีย เป็นห่วงเมีย ต้องอายปากเหรอครับ กระผมพูดกับพ่อแม่ ก็พูดแบบนี้ เหมือนกับที่กล่าวให้เพื่อนกัลยาณมิตร ทั้งหลายฟัง ที่เล่าก็เผื่อว่าจะมีข้อมูลนำมาใช้ได้บ้าง

เหมือนที่หลายๆท่านได้บอก ทุกอย่างมันอยู่ที่เหตุและปัจจัย เดี่ยวมันเป็นเช่นนั้นเอง :b4:

งั้นเอานี้ไป ฝึกไว้บ้างนะ :b12:
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”
อโหสิๆ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กำลังบอกว่าปฎิบัติธรรมเข้าขั้นว่ามาเถอะ ก็เลยบอกหย่ากับเมีย ลูกผู้ชายตัวจริง ขนาดบอกหย่ากับเมีย เขาต้องไปบวชแล้ว อย่างนี้เขาเรียกเบื่อเมีย!หรือเมียเบื่อละมั้ง สมมุติว่าผมมีใจคิดอวดก็แล้วกันนะคุณจะได้สบายใจ จะทนฟังผมได้สักทีเนาะไอ้เรื่องที่ผมกินข้าวมื้อเดียว กับไม่ยุ่งกับเมียแล้วบริหารครอบครัวให้มีความสุขเดินตามรอยธรรมมะได้โดยไม่ต้องหย่าให้เขาไปมีครอบครัวใหม่ สร้างอะไรๆให้มันยุ่งกับชีวิต คุณลองมองดูนะครับสิ่งไหนมันดีกว่ากัน ภรรยาผมคนนี้ไม่มีลูกกับผม อายุน้อยกว่าผมทำงานมีเงินเดือนมากพอตัว ความรู้ก็ปโท น่าตาก็สวย(อุ้ยเดี๋ยวฟังไม่ได้อีก)ผมมีลูกติดมา ผมจบม. 6 งานก็ไม่ทำ ถ้าผมไม่ดีจริงเขาคงทิ้งผมไปนานแล้วมั้ง ธรรมมะที่ดีมันต้องเห็นผล นอกจากตัวเราแล้วจะต้องชักจูงผู้อื่นให้เห็นดีกับเราได้ด้วย โดยเฉพาะครอบครัว ธรรมมะเขาดูการปล่อยวางที่แท้จริง ลดละเลิกได้แท้จริง ไม่ได้โม้ไปวันๆพี่โฮฮับ :b4: :b4:

สงสัยมาแต่ต้นแล้ว สรุปเรื่องมันเป็นอย่างนี่นี้เอง
ขอให้เจริญนะครับลุงทู่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
กำลังบอกว่าปฎิบัติธรรมเข้าขั้นว่ามาเถอะ ก็เลยบอกหย่ากับเมีย ลูกผู้ชายตัวจริง ขนาดบอกหย่ากับเมีย เขาต้องไปบวชแล้ว อย่างนี้เขาเรียกเบื่อเมีย!หรือเมียเบื่อละมั้ง สมมุติว่าผมมีใจคิดอวดก็แล้วกันนะคุณจะได้สบายใจ จะทนฟังผมได้สักทีเนาะไอ้เรื่องที่ผมกินข้าวมื้อเดียว กับไม่ยุ่งกับเมียแล้วบริหารครอบครัวให้มีความสุขเดินตามรอยธรรมมะได้โดยไม่ต้องหย่าให้เขาไปมีครอบครัวใหม่ สร้างอะไรๆให้มันยุ่งกับชีวิต คุณลองมองดูนะครับสิ่งไหนมันดีกว่ากัน ภรรยาผมคนนี้ไม่มีลูกกับผม อายุน้อยกว่าผมทำงานมีเงินเดือนมากพอตัว ความรู้ก็ปโท น่าตาก็สวย(อุ้ยเดี๋ยวฟังไม่ได้อีก)ผมมีลูกติดมา ผมจบม. 6 งานก็ไม่ทำ ถ้าผมไม่ดีจริงเขาคงทิ้งผมไปนานแล้วมั้ง ธรรมมะที่ดีมันต้องเห็นผล นอกจากตัวเราแล้วจะต้องชักจูงผู้อื่นให้เห็นดีกับเราได้ด้วย โดยเฉพาะครอบครัว ธรรมมะเขาดูการปล่อยวางที่แท้จริง ลดละเลิกได้แท้จริง ไม่ได้โม้ไปวันๆพี่โฮฮับ :b4: :b4:

สงสัยมาแต่ต้นแล้ว สรุปเรื่องมันเป็นอย่างนี่นี้เอง
ขอให้เจริญนะครับลุงทู่ :b32:
คำอวยพรนี้ที่ท่านให้ขอให้เกิดผลกับท่านด้วยนะครับ :b8:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ใช้สิทธิ พาดพิงครับ :b12:
ทำไมเราสงสารเมีย เป็นห่วงเมีย ต้องอายปากเหรอครับ กระผมพูดกับพ่อแม่ ก็พูดแบบนี้ เหมือนกับที่กล่าวให้เพื่อนกัลยาณมิตร ทั้งหลายฟัง ที่เล่าก็เผื่อว่าจะมีข้อมูลนำมาใช้ได้บ้าง
เหมือนที่หลายๆท่านได้บอก ทุกอย่างมันอยู่ที่เหตุและปัจจัย เดี่ยวมันเป็นเช่นนั้นเอง :b4:

คนที่กล้าพูดแบบคุณ รับรองได้ไม่มีความอายหรอกครับ พูดสวนทางกับเหตุผลได้โดยไม่
รู้สึกรู้สาแบบนี้

เพื่อนผมบ้างคน พอเวลากลุ้มใจบ่นว่าอยากผูกคอตาย ผมก็ไล่ให้มันรีบๆไปทำเลย
มันบอกว่า...ไม่เอากลัวหายใจไม่ออก ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า :b9:
ฝึกจิต เขียน:
งั้นเอานี้ไป ฝึกไว้บ้างนะ :b12:
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”
อโหสิๆ
:b8: :b8: :b8:

หมดมุขแล้วหรือครับ สงสัยหลับตาจิ้มเจอธรรมบทนี้
เลยเอามาโพสแก้ขวย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2012, 18:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ใช้สิทธิ พาดพิงครับ :b12:
ทำไมเราสงสารเมีย เป็นห่วงเมีย ต้องอายปากเหรอครับ กระผมพูดกับพ่อแม่ ก็พูดแบบนี้ เหมือนกับที่กล่าวให้เพื่อนกัลยาณมิตร ทั้งหลายฟัง ที่เล่าก็เผื่อว่าจะมีข้อมูลนำมาใช้ได้บ้าง
เหมือนที่หลายๆท่านได้บอก ทุกอย่างมันอยู่ที่เหตุและปัจจัย เดี่ยวมันเป็นเช่นนั้นเอง :b4:

คนที่กล้าพูดแบบคุณ รับรองได้ไม่มีความอายหรอกครับ พูดสวนทางกับเหตุผลได้โดยไม่
รู้สึกรู้สาแบบนี้

เพื่อนผมบ้างคน พอเวลากลุ้มใจบ่นว่าอยากผูกคอตาย ผมก็ไล่ให้มันรีบๆไปทำเลย
มันบอกว่า...ไม่เอากลัวหายใจไม่ออก ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า :b9:
ฝึกจิต เขียน:
งั้นเอานี้ไป ฝึกไว้บ้างนะ :b12:
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สามควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”
อโหสิๆ
:b8: :b8: :b8:

หมดมุขแล้วหรือครับ สงสัยหลับตาจิ้มเจอธรรมบทนี้
เลยเอามาโพสแก้ขวย :b13:



ครับ เดี่ยวผมแผ่เมตตา ให้ครับ อโหสิๆ :b8: onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร