วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 16:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ความสัมพันธ์ระหว่างมโนทวารและวิญญาณในขณะนึกคิด

มโนวิญญาณที่คิดนึก เข้าใจ และรับรู้นั้น เกิดจากการกระทบกันระหว่างจิตและธรรมารมณ์
(ความคิด หรือ สิ่งที่ใจนึกคิด) จิตซึ่งเป็นฐานที่เกิดของมโนวิญญาณ คือ ภวังคจิต
(ภวังคจิต ซึ่งเกิดต่อจากปฏิสนธิจิตเป็นภวังคจิตดวงแรก และ ที่อุปาทักขณะของปฐมภวังค์นั้นมีจิตตชรูเกิดขึ้นครั้งแรก)
ภวังคจิตซึ่งเกิดต่อจากปฏิสนธิขณะ และดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยอำนาจของกรรม
ภวังคจิตเป็นที่ตั้งที่อาศัยของความเข้าใจและการรับรู้ ในเวลาที่เราหลับหรือเมื่อจิตของเราทำกิริยา
อย่างอื่น ภวังคจิตจะทำหน้าที่สืบต่อกระแสแห่งชีวิต เมื่อมีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบ
จะทำให้ภวังคจิตตื่นตัว เกิดความตั้งใจและรับรู้ เราจึงสามารถคิดและรับรู้ได้เพราะมีภวังคจิต
เป็นฐานที่ตั้ง จริงอยู่ภวังคจิตจะดำรงอยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ไม่มีความตั้งใจไม่มีการรับรู้อารมณ์
แต่ภวังคจิตที่มีพลังเท่านั้นจึงจะเป็นปัจจัยให้เกิดวิถีจิตได้

ในขณะที่เรารู้สึกง่วงเราจะไม่สามารถคิดออกอะไรได้ แม้ในบางครั้งเราจะพยายามคิดเท่าไรก็ไม่สำเร็จ
ทั้งนี้เป็นเพราะภวังคจิตอ่อนกำลัง โดยปกติภวังคจิตไม่มีบทบาทมากนัก แต่จะเริ่มเคลื่อนไหว เมื่อมี
อารมณ์มากระทบ จึงเรียกภวังค์นี้ว่า ภวังคจลนะ(ภวังค์ไหว) ภวังคุปัจเฉทะ(ภวังค์ที่ถูกตัดกระแส)
เมื่อภวังค์ถูกตัดไป ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความตั้งใจและรับรู้ตามมา

อาวัชชนจิต(จิตที่รับอารมณ์) เป็นฐานที่ตั้งของการกระทำทางจิตอีกด้วย เพราะเป็นจิตดวงแรก
ในมโนทวารวิถีจิต(วิถีจิตทางมโนทวาร) อาวัชชนจิตทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ ถ้าอาวัชชนจิตมี
ความว่องไวและคมชัดก็จะสามารถกำหนดรู้สภาวธรรมและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

นักเขียนที่ดีจะเลือกเฟ้นข้อมูลสำคัญมาเขียนใส่ในหนังสือหรือนักพูดที่ดีย่อมเลือกใช้ถ้อยคำที่
เหมาะสม เพื่อให้หนังสือหรือสุนทรพจน์มีความสมบูรณ์อย่างไม่มีที่ติ อาวัชชนจิตก็เช่นเีดียวกัน
ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของกุศลจิตหรืออกุศลจิตที่เป็นเหตุให้ทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว แล้วแต่ว่าจิต
มีความโน้มเอียงไปในทางกุศลหรืออกุศล

ดังนั้น มโนวิญญาณในเรื่องนี้จึงหมายถึงชวนจิต(ชวนะ)ที่เสพอารมณ์ในทางดีหรือไม่ดี
และจิตอันเป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ ก็ืคือ อาวัชชนจิตนั้นเอง

ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดมโนวิญญาณ คือ ธรรมารมณ์(สิ่งที่จิตคิดคำนึง) ธรรมารมณ์จะเกิดขึ้น
ทุกครั้งที่จิตคิดหรือใคร่ครวญเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากขาดธรรมารมณ์การทำงานของจิตก็เป็นไปไม่ได้
เช่น ในบางครั้งเราต้องการจะคิดแต่คิดไม่ออกเพราะจำรายละเอียดที่สำคัญไม่ได้ ดังนั้นวิถีจิต
จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัย ๓ อย่าง คือ ภวังคจิต อาวัชชนจิต และธรรมารมณ์

:b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51:


:b44: ในคัมภีร์อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎกได้อุปมาการทำงานของจิตไว้ว่า
เปรียบเหมือนแมงมุมชักใยไว้ดักแมลงแล้วมอบคอยอยู่ตรงกลาง เมื่อมีแมลงบินมาติดใย
แมงมุมก็จะวิ่งไปกินเหยื่อ แล้วก็กลับมาหมอบที่กลางข่ายใยตามเดิม ภวังคจิตหรือมโนวิญญาณ
ก็จะเช่นกัน มีหัวใจเป็นที่อยู่ที่อาศัยและมีโลหิตที่หัวใจสูบฉีดไปตามเส้นโลหิตทั่วร่างกายเป็นเครือข่าย
เมื่อรูปารมณ์มากระทบประสาทตา ก็ทำให้ภวังคจิตที่อยู่ในหัวใจเคลื่อนไหว เปลี่ยนเป็นจักขุวิญญาณ
เป็นต้นในจักขุทวารวิถี (วิถีทางจักขุทวาร) เมื่อวิถีจิตดับลงก็กลับสู่ภวังค์ใหม่อีก สำหรับสัททารมณ์
กับโสตปสาทรูป และคันธรมณ์กับฆานปสาทรูป เป็นต้น ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน

:b48: ด้วยเหตุดังกล่าว ภวังคจิตจึงทำหน้าที่คิดและรู้ เป็นที่ตั้งของการทำงานทางจิตของคนเรา
เมื่อมีรูปารมณ์มากระทบจักขุปสาทรูป จักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้นโดยอาศัยตาเป็นที่ตั้ง จากนั้น
มโนวิญญาณก็เกิดขึ้นพิจารณารูปารมณ์ ส่วนโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ และชิวหาวิญญาณ
ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน โดยมีหู จมูก และลิ้นเป็นที่ตั้ง สำหรับกายวิญญาณนั้น มีขอบเขต
กว้างขวาง เพราะมีร่างกายทั้งหมดเป็นที่ตั้ง

:b53: ในขณะที่ไม่มีอารมณ์อื่นปรากฏชัด มโนวิญญาณจะเกิดขึ้นทำหน้าที่คิดนึกเรื่องราวต่างๆ
บางครั้งจึงเพลินอยู่กับความคิดจนกระทั่งไม่รับรู้อารมณ์อื่น การหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องสำคัญอาจทำให้
ถึงกับนอนไม่หลับได้ เพราะถูกครอบงำด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมา เรื่องแล้วเรื่องเล่า โดยมีภวังคจิต
อาวัชชนจิต และธรรมารมณ์เป็นปัจจัยปรุงแต่ง แต่สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่เจริญสติระลึกรู้สภาวธรรม
การคิดในทุกขณะที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าความคิดนั้นก็มีการเกิดดับเป็นช่วงๆ
เช่นกัน



:b8: :b8: :b8:


จากหนังสือ ปฏิจจสมุปบาทเหตุผลแห่งวัฏสงสาร

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วจะมาพิมพ์ให้อ่านต่อนะคะ

:b1:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


มานอนรอครับ *(•ิ_•ิ)? :b38: :b38:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ :b4: :b4:
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ :b4: :b4:
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


อยากรู้จักนะๆนี่...เล่นเฟรสบรุคป่าว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 11:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
มานอนรอครับ *(•ิ_•ิ)? :b38: :b38:


ลุงหมาน

กระทู้โนน้เอกอนก็ ปูเสื่อนั่งกินมะม่วงน้ำปลาหวานรออยู่ หง่ะ

กระทู้ อนัตตา หง่ะ

:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
มานอนรอครับ *(•ิ_•ิ)? :b38: :b38:


ลุงหมาน

กระทู้โนน้เอกอนก็ ปูเสื่อนั่งกินมะม่วงน้ำปลาหวานรออยู่ หง่ะ

กระทู้ อนัตตา หง่ะ

:b6:


ขออนุญาติตอบกระทู้โน้นล่ะกันนะคะ :b32:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ :b4: :b4:
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


ขอบคุณค่ะที่เข้ามาอ่านค่ะ และเพื่อนๆ ทุกคนด้วยค่ะ tongue

ที่ อชว. วัดมหาธาตุ และ ทุกที่ขณะนี้อยู่ในระยะเริ่มเปิดเรียนค่ะ หากใครสนใจเข้าไป
ดูที่เรียนที่ห้องพระอภิธรรมได้นะคะ

อชว.วัดมหาธาตุ เปลี่ยนสถานที่เรียนจากตึกเดิมชั่วคราว ไปเรียนข้างในรอบโบสถ์ใหญ่ค่ะ

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

เชิญอ่านกันต่อค่ะ

การคิดเกิดได้เพราะมีการประชุมกันของภวังคจิต ธรรมารมณ์ และ มโนวิญญาณจิต
แล้วจึงมีมโนภาพปรากฏตามมา มโนภาพอาจเป็นสิ่งที่เคยประสบ หรือเป็นสิ่งที่คิดขึ้นจากจินตนาการ
ผู้ที่เคยอ่านเรื่องราวต่างๆ เช่น นิทานชาดก เมื่ออ่านเรื่องแล้วมักจะวาดภาพเมืองหรือพระราชาขึ้น
ในจินตนาการ ซึ่งเป็นไปตามความเชื่อหรือประเพณีในประเทศผู้อ่าน มโนภาพเหล่านี้ย่อมห่างไกล
ความเป็นจริง เพราะผู้คนและสถานที่ในชาดกเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย
จึงควรเป็นไปตามวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวอินเดีย

นวนิยายสมัยใหม่ก่อให้เกิดมโนภาพเป็นเมือง หมู่บ้าน พระเอก นางเอก ผู้ร้าย เป็นต้น แม้ผู้อ่าน
จะรู้อยู่ว่าเป็นเพียงนวนิยายที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น แต่ในขณะที่อ่านก็ยังรู้สึกว่าเป็นเหมือนจริง
และพลอยรู้สึกดีใจ หรือเสียใจไปตามเรื่องราวด้วย ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมีการกระทบสัมผัส
กับมโนภาพเป็นปัจจัย

พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า " คำสอนและความเชื่อเหล่านี้เกิดจากการกระทบ
สัมผัสกับจินตนาการที่ชัดเจนเหมือนจริง จึงทำให้คำสอนนั้นแจ่มแจ้งเป็นจริง หมายความว่า
จินตนาการที่ชัดเจนเหมือนจริงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าเราจะพูด เขียน เชื่อ หรือคิด หรือเพียงแต่
ปล่อยให้จิตล่องลอยไปอย่างอิสระก็ตาม จินตนาการเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึก มโนภาพที่ดี
ทำให้รู้สึกดี เช่น มโนภาพของความร่ำรวยในอดีตและที่คาดหวังในอนาคตทำให้รู้สึกเป็นสุข
ในทางตรงกันข้าม มโนภาพที่ไม่ดีทำให้เป็นทุกข์ เช่น การคิดถึงความทุกข์ยากในอดีต ก็เท่ากับ
เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำที่เจ็บปวด หรือการคิดถึงปัญหาที่คาดว่าจะประสบในอนาคต ทำให้
วิตกกังวล เหตุของความทุกข์ต่างๆ นี้อาจเกิดจากการคาดคะเนหรือคิดไปเอง เหมือนกับผู้ที่
เศร้าโศกเพราะได้รับข่าวการเสียชีวิตของญาติ แต่ภายหลังทราบว่าญาติยังมีชีวิตอยู่

ส่วนมโนภาพที่เป็นกลาง ย่อมทำให้รู้สึกวางเฉย (อุเบกขาเวทนา) ไม่เป็นสุขหรือทุกข์
อันที่จริงอาจไม่ทันจะสังเกตด้วยว่ามีความรู้สึกอย่างใด เพราะอุเบกขาเวทนาเป็นความรู้สึกที่
ละเอียดอ่อน จึงสังเกตเห็นได้ยาก ในคัมภีร์อรรถกถาได้เปรียบอุเบกขาเวทนาเหมือนรอยเท้ากวาง
ที่วิ่งไปบนแผ่นหิน ซึ่งมองไม่ออก แต่หากเห็นรอยเท้ากวางทั้งสองข้างของแผ่นหิน ก็ย่อม
อนุมานรู้ได้ว่ากวางได้ผ่าน วิ่งไปบนแผ่นหินนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ย่อมสังเกตเห็นความ
รู้สึกที่เป็นสุขหรือทุกข์ แต่จะไม่เห็นอุเบกขาเวทนา และไม่ใส่ใจกับสภาวธรรมอื่น เช่น การเห็น
การได้ยิน เป็นต้นเท่านั้น ต่อเมื่อได้รับสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาใหม่ จึงจะพอรู้ได้ว่า เมื่อครู่ที่ผ่านมา
นั้น มีอุเบกขาเวทนาในขณะที่ได้ใส่ใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางทวารอื่นๆ

ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า " เพราะมีภวังคจิตและธรรมารมณ์ฺเป็นปัจจัย จึงเกิดมีมโนวิญญาณ
การประชุมรวมกันของภวังคจิต ธรรมารมณ์ และมโนวิญาณ เป็นเหตุให้เกิดผัสสะ และเพราะมี
ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดมีเวทนา

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นกระบวนการของความเป็นเหตุเป็นผลกันของธรรมทั้งหลาย ไม่มีอัตตาตัวตน
หรือพระเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้น และไม่ได้บังเอิญเกิดขึ้นเอง ในภาษาบาลี ศัพท์ว่า ธรรมารมณ์
หมายถึง อารมณ์ ๕ มีรูปารมณ์เป็นต้นที่พบเห็นหรือได้ยินเป็นต้นและอารมณ์ที่นึกคิดทางใจล้วนๆ
โดยที่อารมณ์เหล่านั้นมาปรากฏได้ทางมโนทวาร มโนวิญญาณจึงมีอารมณ์ ๖ ซึ่งหมายถึง
สิ่งซึ่งได้เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และสิ่งที่นึกคิด อารมณ์ทุกอย่างเป็นเหตุให้เกิด
ผัสสะ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเวทนา

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

บุคคลทั่วไปมักเห็นว่าความคิดต่างๆ เกี่ยวข้องกับอัตตา คือ มีตัวตนผู้ที่คิด ซึ่งแท้จริงเป็น
ความหลงผิดที่ไม่เป็นไปตามหลักของปฏิจจสมุปบาท แต่ผู้ที่เจริญสติกำหนดรู้สภาวธรรม
ทางจิตอยู่ ย่อมจะรู้ว่าการคิดเกิดขึ้นเพราะภวังคจิต อาวัชชนจิต และ ธรรมารมณ์ ดังนั้นเขา
จึงรู้ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเองว่า สภาวธรรมทางจิตเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ
และผลเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับบุคคลตัวตน หรือความบังเอิญแต่อย่างใด

ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมทราบด้วยว่า การคิดเป็นเหตุให้เกิดผัสสะซึ่งก่อให้เกิดเวทนา ความรู้อย่างนี้
ไม่ได้เกิดจากการศึกษาตำรา หากแต่เกิดจากการตามรู้เท่าทันสภาวธรรมการคิดในขณะที่ปรากฏขึ้น
ถ้าจิตล่องลอยไปที่บ้านในขณะปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักกรรมฐาน เขาย่อมสามารถกำหนดรู้จิต
ของตนว่า มีการกระทบกันระหว่างจิตและอารมณ์ที่จิตรู้ นั่นคือมโนภาพของบ้าน ในทำนองเดียวกัน
เขาย่อมกำหนดรู้เมื่อภาพของเจดีย์ชเวดากองหรือสถานที่อื่นซึ่งเคยพบเห็นมาก่อน ได้แทรกเข้ามา
ในความคิด การกระทบกับธรรมารณ์นี้ เรียกว่า ผัสสะ (มโนสัมผัส)

นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัิติธรรมย่อมรับรู้เวทนาที่เกิดจากมโนสัมผัสได้ชัดเจนในขณะที่เจริญสติ เช่น
รู้สึกยินดีเมื่อคิดถึงสิ่งที่รื่นรมย์ รู้สึกเศร้าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าเศร้า รู้สึกขบขันเมื่อคิดถึงเรื่องตลก
เขาย่อมรู้ว่าเวทนาเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะมีผัสสะเป็นเหตุ และเมื่อเจริญสติกำหนดรู้รูปนามต่อไป
ก็ย่อมอบรมสติและสมาธิให้แก่กล้ายิ่งขึ้น จนสามารถหยั่งเห็นความดับของอารมณ์ที่กำหนดรู้อยู่นั้น
พร้อมทั้งความดับของจิตที่รู้ ดังนั้นเขาจึงสามารถบรรลุถึงวิปัสสนาญาณที่รู้แจ้งความไม่เที่ยงของ
สภาวธรรมทางจิต ได้แก่ การคิด และความรู้สึก เป็นต้น ตลอดจนรู้แจ้งความเป็นทุกข์และความไม่อยู่
ในบังคับบัญชา ไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีแก่นสารของสภาวธรรมเหล่านั้น ปัญญาดังกล่าวนี้ คือความรู้
และความเข้าใจหลักปฏิจจสมุปบาทจากประสบการณ์ในการปฏิบัติของตนเอง

:b8: :b8: :b8:

จากหนังสือปฏิจจสมุปบาทเหตุผลแห่งวัฏสงสาร

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ :b4: :b4:
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


อยากรู้จักนะๆนี่...เล่นเฟรสบรุคป่าว


ลุงๆๆ หนูเล่นเฟรสบุคค่ะ cool

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 15:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ :b4: :b4:
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


อยากรู้จักนะๆนี่...เล่นเฟรสบรุคป่าว


ลุงๆๆ หนูเล่นเฟรสบุคค่ะ cool


:b3: :b3: :b3:

เอกอนก็เล่นนนนนนน

:b3: :b3: :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2013, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


http://www.baanaree.net/index.php?optio ... itstart=60
ดาวน์โหลด เสียง มาฟังที่บ้านได้เลยครับ
ผมฟังไปได้ สองสามตอนแล้ว

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ปลีกวิเวก เขียน:
:b8: อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ :b4: :b4:
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


อยากรู้จักนะๆนี่...เล่นเฟรสบรุคป่าว


ยินดีค่ะคุณลุง....แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เล่น Face Book คุยกันในลานก็ได้นี่คะ..
แต่คุณลุงได้เพื่อนแล้วนะ...ท่านเอกอน...กับน้อง SOAMUSA... :b32:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แก้ไขล่าสุดโดย ปลีกวิเวก เมื่อ 16 ม.ค. 2013, 08:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2013, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
อนุโมทนาในความเมตตาที่ให้ธรรมะเป็นทานนะคะ

เป็นกำลังใจให้น้อง SOAMUSA และคุณลุงหมานนะคะ
จะติดตามอ่านทุกกระทู้...ยังคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปศึกษาพระอภิธรรมไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไร..


http://www.baanaree.net/index.php?optio ... itstart=60
ดาวน์โหลด เสียง มาฟังที่บ้านได้เลยครับ
ผมฟังไปได้ สองสามตอนแล้ว


:b8: ขอบคุณมากค่ะคุณโกวิท...

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2013, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ คุณโกวิท และคุณปลีกวิเวก
:b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51:

ถ้าเรามีสติอยู่กับปัจจุบันที่เป็นสภาวธรรมรูปนาม ก็จะทำให้กิเลสรั่วรดใจของเราไม่ได้

สติเหมือนคนเฝ้าประตู

สติทำหน้าที่เฝ้าประตูใจเพื่อไม่ให้กิเลสรั่วรดใจทางทวาร ๖ เหมือนคนเฝ้าประตูที่กีดกั้นไม่ให้คนชั่วผ่านประตูเข้าไปได้

วันหนึ่ง สติพบคนผ่านทาง จึงถามว่า คุณคือใคร

ผมชื่อ นายโลภะ

คุณมาทำอะไร

ผมผูกพันร่างกายนี้มาก ถ้าไม่มีผมร่างกายนี้ก็มีไม่ได้ จึงอยากเข้าไปเหมือนก่อน

ขอตรวจบัตรประจำตัวหน่อย

โอเค ได้เลย

สติตรวจบัตรประจำตัวแล้วพูดว่า คุณโลภะ ผมอนุญาตให้คุณเข้าไปไม่ได้ เพราะคุณจะทำให้ร่างกายยึดติดผูกพันจนทุกคนต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจ วิ่งไล่ไขว่คว้าแสวงหาตั้งแต่เกิดจนตาย (การตรวจบัตรประจำตัว คือ การพิจารณาถึงลักษณะเฉพาะของสภาวธรรม เช่น โลภะมีลักษณะยึดติด โทสะมีลักษณะดุร้าย)

พอนายโทสะมา สติก็ไม่อนุญาตให้เข้าอีก เพราะเห็นว่าเขาทำให้ร่างกายนี้ต้องลุกเป็นไฟ เผาตัวเองไม่พอ ยังไม่เผาคนอื่นอีก ทำให้โลกนี้ต้องเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ดังนั้น ถ้าเรามีสติอยู่กับปัจจุบันที่เป็นสภาวธรรมรูปนาม ก็จะทำให้กิเลสรั่วรดใจของเราไม่ได้

https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%A ... 5358872763

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร