วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 05:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2013, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
อโหสิกรรม เป็นกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผล. เป็นกรรมที่ไม่มีผล. หรือกรรมที่จะไม่ให้ผล.
ดังในปฏิสัมภิทามรรคพระบาลี แสดงว่า

"อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก.
อโหสิ กมฺม นตฺถิ กมฺมวิปาโก.
อโหสิ กมฺม น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก ."


แปลความว่า
กรรมนั้นกระทำสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นหาใช่เกิดผลไม่.
กรรมนั้นสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นหาใช่กำลังเกิด.
กรรมนั้นสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นไม่เกิด.
จากพระบาลีนี้ จะเห็นได้ว่า อโหสิกรรม มีชื่อเรียกได้ ๓ อย่าง


อโหสิ กมฺมํ กรรมได้มีแล้ว
อโหสิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว
อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว

อโหสิ กมฺมํ กรรมได้มีแล้ว
อตฺถิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมมีอยู่
อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่

อโหสิ กมฺมํ กรรมได้มีแล้ว
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักมี
อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี

อตฺถิ กมฺม กรรมมีอยู่
อตฺถิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมมีอยู่

อตฺถิ กมฺมํ กรรมมีอยู่
นตฺถิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมไม่มี

อตฺถิ กมฺมํ กรรมมีอยู่
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักมี

อตฺถิ กมฺมํ กรรมมีอยู่
น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักไม่มี

ภวิสฺสติ กมฺมํ กรรมจักมี
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักมี

ภวิสฺสติ กมฺมํ กรรมจักมี
น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักไม่มี

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=7238&Z=7273
อโหสิ ในพระบาลีนี้ จึงไม่ใช่ ความหมายเดียวกับ อโหสิกมฺม

อโหสิกรรม เป็นคำประดิษฐ์ใหม่ เพื่อสื่อให้เข้าใจถึงว่า วิบากแห่งกรรมจะไม่ให้ผลด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พอ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 06:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

อโหสิ กมฺมํ กรรมได้มีแล้ว
อโหสิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว
อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว

อโหสิ กมฺมํ กรรมได้มีแล้ว
อตฺถิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมมีอยู่
อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่

อโหสิ กมฺมํ กรรมได้มีแล้ว
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักมี
อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี

อตฺถิ กมฺม กรรมมีอยู่
อตฺถิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมมีอยู่

อตฺถิ กมฺมํ กรรมมีอยู่
นตฺถิ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมไม่มี

อตฺถิ กมฺมํ กรรมมีอยู่
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักมี

อตฺถิ กมฺมํ กรรมมีอยู่
น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักไม่มี

ภวิสฺสติ กมฺมํ กรรมจักมี
ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักมี

ภวิสฺสติ กมฺมํ กรรมจักมี
น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก วิบากแห่งกรรมจักไม่มี

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=7238&Z=7273
อโหสิ ในพระบาลีนี้ จึงไม่ใช่ ความหมายเดียวกับ อโหสิกมฺม

อโหสิกรรม เป็นคำประดิษฐ์ใหม่ เพื่อสื่อให้เข้าใจถึงว่า วิบากแห่งกรรมจะไม่ให้ผลด้วยเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พอ

:b8: :b8: :b8: ดี ๆ ครับ สาธุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 06:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




img53.gif
img53.gif [ 105.38 KiB | เปิดดู 1836 ครั้ง ]
:b8:
อ้างคำพูด:
ดวงที่ ๒ - ๖ อปราปรเวทนียกรรม กรรมอันนี้จะส่งผลในชาติที่ ๓ ทั้งที่เป็นปฏิสนธิกาลและในปวัตติกาล จนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน เมื่อเข้านิพพานไปแล้ว กรรมใดที่ยังไม่ได้ส่งผล ก็จะเป็นอโหสิกรรมไป

tongue
ที่ผมเข้าใจและกล่าวถึงคือข้อนี้ครับ ลุงหมาน
smiley
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
มหากาล ทำความดีตลอดชีวิต แต่ก็ต้องมาตายโหง ด้วยผลกรรมเก่า

และเป็นอย่างนี้มา นับร้อยชาติ

กรรม จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ดอกเบี้ย มันเยอะมาก

กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า


เยอะ คนที่เข้าใจว่ากรรมที่มีดอกเบี้ย...เพราะไม่เข้าใจเรื่องกรรมส่งผล
แสดงให้รู้ว่าผู้ที่ไปเกิดในนรก ด้วยอำนาจอุปปัชชเวทนียกรรม อันเกี่ยวกับปัญจาอนันตริยกรรม
หรือนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมเหล่านี้ เมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วบุคคลเหล่านี้ต้องไปเกิดในนรกอเวจีอีก
ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ที่เข้าใจเช่นนี้ก็โดยอาศัยการกล่าวว่า อปราปรเวทนียกรรมย่อมส่งผลในปวัตติกาล
ตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไป จนกระทั้งถึงภพที่เข้าสู่นิพพาน ซึ่งความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ก็เพราะ
กรรมอย่างหนึ่ง ๆ นั้น มีเจตนาอยู่ ๓ หรือ ๔ ประเภทด้วยกัน คือ
๑. ปุพพเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นก่อนกระทำอย่างหนึ่ง
๒. มุญจเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นขณะที่กระทำอย่างหนึ่ง
๓. อปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นภายหลังการกระทำอย่างหนึ่ง
๔. อปราปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นภายหลังการกระทำไปแล้วนานๆ อย่างหนึ่ง
ในบรรดากรรม ๔ ประเภทเหล่านี้ ประเภทหนึ่งๆ มีสิทธิ์ส่งผลในปฏิสนธิกาลได้ ๒ อย่าง คืออุปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม เมื่อรวมแล้วในการงานอย่างหนึ่งๆนั้นมีกรรมที่มีสิทธิส่งผลในปฏิสนธิกาลได้ ๘ อย่าง คือ ปุพพเจตนา ๒ มุญจเจตนา ๒ อปรเจตนา ๒ อปราปรเจตนา อีก ๒
ในกรรม ๘ อย่างนี้ เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม ๔ เป็นอปราปรเวทนียกรรม ๔ สำหรับการส่งผลนั้น
ถ้าอุปปัชชเวทนียกรรมที่ในเจตนาประเภทใดประเภทหนึ่ง มีโอกาสส่งผลปฏิสนธิแล้ว
อุปปัชชเวทนียกรรมอีก ๓ อย่างที่ในเจตนาประเภทอื่นๆ นั้นก็ไม่มีสิทธิ์ส่งผลในปฏิสนธิกาลแล้ว เพียงแต่ส่งผลในปวัตติกาลในภพที่ ๒ เท่านั้น และอปราปรเวทนียกรรม ที่อยู่ในเจตนาประเภทเดียวกันกับอุปปัชชเวทนียกรรม ที่ผลปฏิสนธิกาลไปแล้วก็หมดสิทธิส่งผลในปฏิสนธิกาลอีก เพียงแต่ส่งผลในปวัตติกาลเมื่อมีโอกาสนับตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไป สำหรับอปราปริยเวทนีกรรม ๓ อย่างที่อยู่ในเจตนาประเภทอื่นๆ นั้นย่อมมีสิทธิส่งผลในปฏิสนธิกาลตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไปจนกว่าผู้จะเข้าถึงพระนิพพาน
ด้วยเหตุนี้แหละ เมื่อบุคคลทำกรรมอย่างหนึ่งลงไปแล้ว ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว กรรมนั้นสามารถส่งผลให้ผู้นั้นเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น ได้หลายภพหลายๆ ชาติ หาใช่ดังที่เข้าใจกันว่ากรรมนั้นมีดอกเบี้ย

ถ้ายังไม่เข้าใจมีเวลาจะยกชาดกมาให้ฟังมีหลายเรื่อง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ด้วยเหตุนี้แหละ เมื่อบุคคลทำกรรมอย่างหนึ่งลงไปแล้ว ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว กรรมนั้นสามารถส่งผลให้ผู้นั้นเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น ได้หลายภพหลายๆ ชาติ หาใช่ดังที่เข้าใจกันว่ากรรมนั้นมีดอกเบี้ย


พูดกันคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ลุงหมาน

อ้างคำพูด:
กรรมนั้นสามารถส่งผลให้ผู้นั้นเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น ได้หลายภพหลายๆ ชาติ


ผมไม่ได้ เข้าใจ แบบลุงหมาน ว่า นะครับ

กรรมนั้นสามารถส่งผลให้ผู้นั้นเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น นี่ก็ชาติหนึ่ง

กรรมเดิมนั่นแหละ กรรมนั้นสามารถส่งผลให้ผู้นั้นเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น
นี่ก็อีกชาติหนึ่ง

กรรมเดิมนั่นแหละ กรรมนั้นสามารถส่งผลให้ผู้นั้นเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น
นี่ก็อีกชาติหนึ่ง

ไม่ได้เข้าใจ แบบลุงบอกนะครับ

พิจารณา ให้ดีครับลุง

หญิงเหล่านั้นไหม้ในนรกสิ้นหลายพันปี เพราะความที่กรรมนั้นอันทำไว้แล้ว ไหม้แล้วในเรือนที่ถูกไฟไหม้อยู่ โดยทำนองนี้แล สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ด้วยวิบากอันเหลือลงแห่งกรรมนั้นแล

ราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจีนั้นสิ้นกาลนาน ถูกทุบถึงความตายอย่างนั้นแล ใน ๑๐๐ อัตภาพ เพราะวิบากที่ยังเหลืออยู่.

อธิบาย ให้ลุงฟังอีกที

กรรมนั้น ทำให้ตกนรกอยู่หลายพันปี หรือสิ้นกาลนาน(คือนานมาก ไม่กำหนดว่ากี่ปี) แล้วพ้นจากนรกนั้น มาได้อัตภาพใหม่(จะเป็นคนหรือสัตว์ก็แล้วแต่) พอถึงอายุที่กรรมส่งผล ก็โดนกระทำ แล้วถึงแก่ความตาย
ตายแล้ว ก็เกิดอัตภาพใหม่อีก พอถึงอายุที่กรรมส่งผล ก็โดนกระทำ แล้วถึงแก่ความตายอีก

ไม่ใช่ว่า กรรมนั้น กรรมเดียวทำให้ ตายแล้วไปตกนรก เกิดมาอีกตายแล้วไปตกนรกอีก เกิดมาอีกตายแล้วไปตกนรกอีก ..............................ซ้ำๆ..... ไม่ใช่อย่างนี้ครับ

เพราะการจะไปเกิดเป็นอะไร ในชาติถัดไป ต้องดูที่จิตสุดท้ายก่อนตายครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2013, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ส่วนการพูดว่า กรรมมีดอกเบี้ย เป็น การพูดเชิงอุปมาอุปมัย เท่านั้น
ลุงหมาน อย่าคิดว่ามีหรือไม่มีในพุทธวจนะ เลยนะ................ :b12:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2013, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


กลับมาคุยกันต่อ เพื่อให้เข้าใจในกรรมที่เป็น อโหสิกรรม เพราะกรรมนั้นมีเวลาแห่งการให้ผล
ผู้ใดกระทำอนันตริยกรรม ๕ อย่าง อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด (ครุกรรม)
ฝ่ายบาปอกุศล มี ๕ อย่าง คือ
๑.มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
๒.ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
๓.อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
๔.โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป
เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล
๕.สังฆเภท - ยังสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์

อนันตริยกรรม ๔ ประการแรก คือ มาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต และโลหิตตุปบาท
จัดเป็นสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ทั่วไปแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย
หมายความว่า บรรพชิตก็ทำได้ คฤหัสถ์ก็ทำได้
ส่วนสังฆเภท เป็นอสาธารณอนันตริยกรรม คือ เป็นอนันตริยกรรมที่ไม่ทั่วไป
หมายความว่า ภิกษุคือบรรพชิตเท่านั้น จึงจักกระทำสังฆเภทอนันตริยกรรม นี้ได้

ในส่วนของโทษหนักเบา และลำดับการให้ผลก่อนหลัง ของอนันตริยกรรม
เรียงลำดับจากแรงที่สุดลงไป ได้ดังนี้

สังฆเภทอนันตริยกรรม (หนักที่สุด เพราะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย)
โลหิตุปบาทอนันตริยกรรม (สำคัญมากแต่ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว)
อรหันตฆาตอนันตริยกรรม (สำคัญปานกลาง)
มาตุฆาตปิตุฆาตอนันตริยกรรม (สำคัญน้อยกว่าอนันตริยกรรมอื่น ๆ เพราะถือว่าอยู่ในเพศฆราวาส)

ดังนั้นสังฆเภทที่เป็นกรรมหนักที่สุด ย่อมส่งผลปฏิสนธิในภพที่ ๒ ส่วนอนันตริกรรมที่เหลืออีก ๔ ก็เป็นอโหสิกรรมไป จะไม่ส่งผลไปในชาติที่ ๓ เพราะหมดเลาการใหผล

สำหรับกรรมฝ่ายดีผู้ได้ฌานสมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ทั้งหมด
ผู้นั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว ฌานอันใดอันหนึ่งแล้วแต่นิกนติตัณหาของบุคคลเหล่านั้น
ส่งผลปฏิสนธิในพรหมโลกแล้ว ฌานที่เหลือก็เป็นอโหสิกรรมไป เพราะหมดหน้าที่ในการให้ผลในปฏิสนธิกาล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร