วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 11:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องรู้คำตอบที่เกิดขึ้นกับตัวเองทุกอย่าง เพราะตราบใดที่สรรพสัตส์ยังทุกข์ ขอให้คุนน้องได้รับรู้ความทุกข์เผื่อเป็นแรงผลักดันจนกว่าคุนน้องจะบรรลุปณิธานที่หวังไว้ในอนาคตเบื้องหน้า คุนน้องจะรอดูว่าโลกมนุษย์จะเกิดสันติสุขปรองดองต่อกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่มีขอทาน ไม่มีคนเก็บขยะ ไม่มีสุนัขจรจัด ในนิมิตมีท่านผู้นึงบอกให้คุนน้องจัดการกับปีศาจที่จะบุกรุกดินแดนแห่งสันติสุข คุนน้องจะเอาปีศาจออกไปจากจิตใจมนุษย์ทุกคนให้ได้ค่ะ :b1:


ออกแนวเพ้อฝัน จินตนาการมากไปแล้วนะคะนี่ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


งามตา เขียน:
nongkong เขียน:
คุณน้องไม่เคยคิดว่าความรักคือทุกข์เลย เพราะความรักในแบบคุณน้องคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ถ้ามีธรรมข้อนี้เป็นเครื่องอยู่ในจิต เค้าย่อมจะไม่มีทุกข์ เพราะความจริงแล้วเราไม่ได้ทุกข์เพราะแค่รัก เราทุกข์เพราะ โกรธ ทุกข์เพราะโลภ ทุกข์เพราะหลง ทุกข์เพราะเรายึดสิ่งๆนั้นไว้ เราไม่เห็นความเป็นจริงของนามธรรมว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าเราเห็นความเป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ของสังขารที่ปรุงแต่ง เราจะไม่ยึดว่าสิ่งนั้นเป็นเรา สิ่งนี้ของเรา ความรักใดก็ตามที่เราอยากได้ อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ ความรักนั้นย่อมเป็นกิเลศ ห่างไกลธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์สอนให้เราเห็นความจริงในเรื่อง อริยสัจสี่ ทุกข์พึงกำหนดรู้ ในโลกนี้ไม่มีคนที่โชคร้ายในเรื่องความรักเสมอไปเพราะเค้าไม่ได้สร้างวิบากกรรมในเรื่องนั้น บางคนโชคดีในเรื่องคู่ครอง มีความสุข ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความรัก เค้าก็ไม่ได้มองว่ามีรักย่อมมีทุกข์ เพราะเค้าไม่รู้ว่าทุกข์เพราะรักมันเป็นยังไง เพราะเค้ามีความสุขอยู่ เพราะเหตุนี้ เราจะกล่าวว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ใช้ได้เฉพาะคนที่ทุกข์เพราะยึดติดเพราะคิดว่ารักคือสิ่งที่เราต้องมี เราต้องเป็น เราต้องครอบครองเราต้องเป็นเจ้าของ เค้าเป็นของเรา เราเป็นของเขา โดยไม่รู้ความเป็นจริงของจิตสังขาร ว่ามันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นธรรมดา ควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่เราปราถนาไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าความรักจะทำร้ายเราได้ เราจะไม่ทุกข์เพราะรักเลย ยังไง สรรพสัตว์ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบรู้สิ้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ๆ ที่ลงมาตรัสรู้และโปรดสรรพสัตย์ก็ยังขนเอาสรรพสัตว์ไปนิพพานไม่หมดเสียที เราควรจะมีวิธีแก้ปัญหาเรื่องความรัก อย่างสันติสุข
ไม่ใช่ตัดพ้อเรื่องมีรักย่อมมีทุกข์ งั้นเราก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องแต่งงาน ไม่ต้องมีครอบครัวมีลูกหลาน มนุษย์ก็สูญพันธ์ เทวดาหมดอายุขัยหาที่เกิดไม่ได้ ไปจุติเป็นสัตว์เดรัจฉาน อ้าวกรรม :b14: คุณน้องว่า บางทีที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่า ถ้าไม่แต่งงานมีลูกหลาน สวรรค์ไม่ต้อนรับ(คือคนที่ยังไม่มีความเข้าใจอริยสัจสี่)สวรรค์อาจจะคิดว่า ขนาดพวกมรึงยังไม่ต้อนรับพวกกุ แล้วดินแดนพวกกุจะต้อนรับพวกมรึงทำไม ต่างคนต่างอยู่ :b32: :b32:


ยังต้องศึกษาและทำความเข้าใจอีกมากนะคะ

คุณน้องรู้ว่าคุณน้องยังต้องทำความเข้าใจอีกมากมาย และคุณน้องก็รู้ว่างามตาต้องการจะบอกอะไร
เมื่อก่อนคุณน้องมองธรรมเพียงด้านเดียว ทำไมคุณน้องจะไม่รู้ว่า การมีรักมันทำให้เกิดทุกข์ ยิ่งเรามีสิ่งที่เรารักมากเราย่อมทุกมาก ทุกอย่างมันเป็นเพียงสมมติที่เราเข้าไปยึดไว้ คุณน้องก็ไม่รู้จะอธิบายสภาวะธรรมให้ผู้อื่นรู้ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องยากเสียจริง แต่ถ้ามีผู้ใดที่พอเข้าใจสิ่งที่คุณน้องอธิบายออกมาเป็นคำพูด ถ้ามีผู้ใดพอจะเข้าใจอยู่บ้างเค้าจะรู้ว่าคุณน้องมองธรรม เป็นคู่ๆ ไม่ได้มองเพียงด้านเดียว เราสามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไปตามเหตุปัจจัย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแบกสิ่งที่เราเข้าไปคิด เข้าไปยึดและบอกว่าเราทุกข์เพราะ คู่ครอง ทุกข์เพราะครอบครัว ทุกข์เพราะคนอื่นๆ ทุกข์เพราะนั่นเพราะนี่ เพราะทุกอย่างมันเป็นเพียงสมมติที่เราหลงเข้าไปยึด ทุกข์เกิดที่ใจเราไม่ใช่หรือ ทำไมเราไม่ปฏิบัติที่ใจเรา การที่เรามองเพียงแต่ภายนอก มองว่า สิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เราก็ลองสงบดูบ้างก็ได้ใช่ไหมค่ะ เมื่อเราทำใจให้สงบ สิ่งโน่นสิ่งนี้ที่เราคิดว่ามันทำให้ทุกข์ แท้จริงแล้วมันคือสังขารของเราที่เราเข้าไปยึดว่าทุกข์ไม่ใช่หรือ .. :b1: คนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่เราจะทำอย่างไรให้เค้าเข้าใจดีหละว่าการ มีรักมีสิ่งที่เราห่วงสิ่งที่เราผูกพันธ์มันทุกข์ทั้งนั้น การมีภรรยาเอย การมีสามีเอย การมีลุกเอย มันทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะอะไร..เราพอจะรู้ไหมว่าทุกข์เพราะสาเหตุอะไร แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรกับเหตุปัจจัยที่เราต้องเผชิญเมื่อเราต้องทุกข์ พระพุทธองค์ก็บอกแนวทางของผู้ต้องการจะหลุดพ้นทุกข์ นั่นคือ อริยมรรคมีองค์8 คุณน้องแค่อยากจะช่วยคนอื่นๆที่เค้ายังทุกข์เพราะมีคู่ครองมีคนที่ยังห่วงใยผุกพันธ์ แต่ยังไม่เห็นความเป็นจริงของสภาวธรรม กองทุกข์ทั้งหลายคือสังขาร ทุกข์เกิดจากตัณหาที่เราเข้าไปยึดไว้ ถ้าเราไม่ยึดเราจะทุกข์ได้อย่างไรค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


งามตา เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องรู้คำตอบที่เกิดขึ้นกับตัวเองทุกอย่าง เพราะตราบใดที่สรรพสัตส์ยังทุกข์ ขอให้คุนน้องได้รับรู้ความทุกข์เผื่อเป็นแรงผลักดันจนกว่าคุนน้องจะบรรลุปณิธานที่หวังไว้ในอนาคตเบื้องหน้า คุนน้องจะรอดูว่าโลกมนุษย์จะเกิดสันติสุขปรองดองต่อกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่มีขอทาน ไม่มีคนเก็บขยะ ไม่มีสุนัขจรจัด ในนิมิตมีท่านผู้นึงบอกให้คุนน้องจัดการกับปีศาจที่จะบุกรุกดินแดนแห่งสันติสุข คุนน้องจะเอาปีศาจออกไปจากจิตใจมนุษย์ทุกคนให้ได้ค่ะ :b1:


ออกแนวเพ้อฝัน จินตนาการมากไปแล้วนะคะนี่ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง

คุณน้องมีสติรู้ตัวดีทุกอย่าง ยังไงงามตาก็ไม่มีทางเข้าใจได้
แต่ถ้าคิดว่าธรรมที่คุณน้องบอกไปเป็นความเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านจินตนาการมากไป คุณน้องก็จะอธิษฐานจิตเพื่อขอขมาต่อพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หวังว่างามตาจะไม่เอากิเลศของตนเอง เพราะเกิดมักขะในจิตมาตำหนิธรรมของคุณน้องนะ ขอให้สิ่งศักสิทธิ์เป็นพยาน คุณน้องก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณน้องเพ้อเจ้อจริงหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




93all.gif
93all.gif [ 286.5 KiB | เปิดดู 3845 ครั้ง ]
รังรักในจินตนาการ :b1: :b32:


http://www.youtube.com/watch?v=cknsv1LuhCc

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
รังรักในจินตนาการ :b1: :b32:


http://www.youtube.com/watch?v=cknsv1LuhCc

พี่กรัชกายคิดว่ามีรักแล้วมันทุกข์ก็อยู่คนเดียวหรือไม่ก็ไปบวชแล้วก็ดับขันธ์ปรินิพพานตามพระพุทธเจ้าไปนะ จะได้หมดทุกข์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2013, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
งามตา เขียน:
nongkong เขียน:
คุณน้องไม่เคยคิดว่าความรักคือทุกข์เลย เพราะความรักในแบบคุณน้องคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ถ้ามีธรรมข้อนี้เป็นเครื่องอยู่ในจิต เค้าย่อมจะไม่มีทุกข์ เพราะความจริงแล้วเราไม่ได้ทุกข์เพราะแค่รัก เราทุกข์เพราะ โกรธ ทุกข์เพราะโลภ ทุกข์เพราะหลง ทุกข์เพราะเรายึดสิ่งๆนั้นไว้ เราไม่เห็นความเป็นจริงของนามธรรมว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าเราเห็นความเป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ของสังขารที่ปรุงแต่ง เราจะไม่ยึดว่าสิ่งนั้นเป็นเรา สิ่งนี้ของเรา ความรักใดก็ตามที่เราอยากได้ อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ ความรักนั้นย่อมเป็นกิเลศ ห่างไกลธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์สอนให้เราเห็นความจริงในเรื่อง อริยสัจสี่ ทุกข์พึงกำหนดรู้ ในโลกนี้ไม่มีคนที่โชคร้ายในเรื่องความรักเสมอไปเพราะเค้าไม่ได้สร้างวิบากกรรมในเรื่องนั้น บางคนโชคดีในเรื่องคู่ครอง มีความสุข ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความรัก เค้าก็ไม่ได้มองว่ามีรักย่อมมีทุกข์ เพราะเค้าไม่รู้ว่าทุกข์เพราะรักมันเป็นยังไง เพราะเค้ามีความสุขอยู่ เพราะเหตุนี้ เราจะกล่าวว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ใช้ได้เฉพาะคนที่ทุกข์เพราะยึดติดเพราะคิดว่ารักคือสิ่งที่เราต้องมี เราต้องเป็น เราต้องครอบครองเราต้องเป็นเจ้าของ เค้าเป็นของเรา เราเป็นของเขา โดยไม่รู้ความเป็นจริงของจิตสังขาร ว่ามันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นธรรมดา ควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่เราปราถนาไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าความรักจะทำร้ายเราได้ เราจะไม่ทุกข์เพราะรักเลย ยังไง สรรพสัตว์ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบรู้สิ้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ๆ ที่ลงมาตรัสรู้และโปรดสรรพสัตย์ก็ยังขนเอาสรรพสัตว์ไปนิพพานไม่หมดเสียที เราควรจะมีวิธีแก้ปัญหาเรื่องความรัก อย่างสันติสุข
ไม่ใช่ตัดพ้อเรื่องมีรักย่อมมีทุกข์ งั้นเราก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องแต่งงาน ไม่ต้องมีครอบครัวมีลูกหลาน มนุษย์ก็สูญพันธ์ เทวดาหมดอายุขัยหาที่เกิดไม่ได้ ไปจุติเป็นสัตว์เดรัจฉาน อ้าวกรรม :b14: คุณน้องว่า บางทีที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่า ถ้าไม่แต่งงานมีลูกหลาน สวรรค์ไม่ต้อนรับ(คือคนที่ยังไม่มีความเข้าใจอริยสัจสี่)สวรรค์อาจจะคิดว่า ขนาดพวกมรึงยังไม่ต้อนรับพวกกุ แล้วดินแดนพวกกุจะต้อนรับพวกมรึงทำไม ต่างคนต่างอยู่ :b32: :b32:


ยังต้องศึกษาและทำความเข้าใจอีกมากนะคะ

คุณน้องรู้ว่าคุณน้องยังต้องทำความเข้าใจอีกมากมาย และคุณน้องก็รู้ว่างามตาต้องการจะบอกอะไร
เมื่อก่อนคุณน้องมองธรรมเพียงด้านเดียว ทำไมคุณน้องจะไม่รู้ว่า การมีรักมันทำให้เกิดทุกข์ ยิ่งเรามีสิ่งที่เรารักมากเราย่อมทุกมาก ทุกอย่างมันเป็นเพียงสมมติที่เราเข้าไปยึดไว้ คุณน้องก็ไม่รู้จะอธิบายสภาวะธรรมให้ผู้อื่นรู้ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องยากเสียจริง แต่ถ้ามีผู้ใดที่พอเข้าใจสิ่งที่คุณน้องอธิบายออกมาเป็นคำพูด ถ้ามีผู้ใดพอจะเข้าใจอยู่บ้างเค้าจะรู้ว่าคุณน้องมองธรรม เป็นคู่ๆ ไม่ได้มองเพียงด้านเดียว เราสามารถดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไปตามเหตุปัจจัย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแบกสิ่งที่เราเข้าไปคิด เข้าไปยึดและบอกว่าเราทุกข์เพราะ คู่ครอง ทุกข์เพราะครอบครัว ทุกข์เพราะคนอื่นๆ ทุกข์เพราะนั่นเพราะนี่ เพราะทุกอย่างมันเป็นเพียงสมมติที่เราหลงเข้าไปยึด ทุกข์เกิดที่ใจเราไม่ใช่หรือ ทำไมเราไม่ปฏิบัติที่ใจเรา การที่เรามองเพียงแต่ภายนอก มองว่า สิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เราก็ลองสงบดูบ้างก็ได้ใช่ไหมค่ะ เมื่อเราทำใจให้สงบ สิ่งโน่นสิ่งนี้ที่เราคิดว่ามันทำให้ทุกข์ แท้จริงแล้วมันคือสังขารของเราที่เราเข้าไปยึดว่าทุกข์ไม่ใช่หรือ .. :b1: คนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่เราจะทำอย่างไรให้เค้าเข้าใจดีหละว่าการ มีรักมีสิ่งที่เราห่วงสิ่งที่เราผูกพันธ์มันทุกข์ทั้งนั้น การมีภรรยาเอย การมีสามีเอย การมีลุกเอย มันทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เพราะอะไร..เราพอจะรู้ไหมว่าทุกข์เพราะสาเหตุอะไร แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรกับเหตุปัจจัยที่เราต้องเผชิญเมื่อเราต้องทุกข์ พระพุทธองค์ก็บอกแนวทางของผู้ต้องการจะหลุดพ้นทุกข์ นั่นคือ อริยมรรคมีองค์8 คุณน้องแค่อยากจะช่วยคนอื่นๆที่เค้ายังทุกข์เพราะมีคู่ครองมีคนที่ยังห่วงใยผุกพันธ์ แต่ยังไม่เห็นความเป็นจริงของสภาวธรรม กองทุกข์ทั้งหลายคือสังขาร ทุกข์เกิดจากตัณหาที่เราเข้าไปยึดไว้ ถ้าเราไม่ยึดเราจะทุกข์ได้อย่างไรค่ะ
ทำที่คุณน้องมองธรรมเป็นคู่นะถูกครับ มีฝั่งหนึ่งร้อน อีกฝั่งเย็น พระพุทธองค์บอกให้เรารูว่ามันเป้นอย่างนั้น ที่นี้ก็แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคนที่จะเลือก ถ้าคิดว่าสิ่งที่ตนเลือกก็ต้องยอมรับให้ได้นะจ๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2013, 12:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
งามตา เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องรู้คำตอบที่เกิดขึ้นกับตัวเองทุกอย่าง เพราะตราบใดที่สรรพสัตส์ยังทุกข์ ขอให้คุนน้องได้รับรู้ความทุกข์เผื่อเป็นแรงผลักดันจนกว่าคุนน้องจะบรรลุปณิธานที่หวังไว้ในอนาคตเบื้องหน้า คุนน้องจะรอดูว่าโลกมนุษย์จะเกิดสันติสุขปรองดองต่อกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่มีขอทาน ไม่มีคนเก็บขยะ ไม่มีสุนัขจรจัด ในนิมิตมีท่านผู้นึงบอกให้คุนน้องจัดการกับปีศาจที่จะบุกรุกดินแดนแห่งสันติสุข คุนน้องจะเอาปีศาจออกไปจากจิตใจมนุษย์ทุกคนให้ได้ค่ะ :b1:


ออกแนวเพ้อฝัน จินตนาการมากไปแล้วนะคะนี่ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง

คุณน้องมีสติรู้ตัวดีทุกอย่าง ยังไงงามตาก็ไม่มีทางเข้าใจได้
แต่ถ้าคิดว่าธรรมที่คุณน้องบอกไปเป็นความเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านจินตนาการมากไป คุณน้องก็จะอธิษฐานจิตเพื่อขอขมาต่อพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หวังว่างามตาจะไม่เอากิเลศของตนเอง เพราะเกิดมักขะในจิตมาตำหนิธรรมของคุณน้องนะ ขอให้สิ่งศักสิทธิ์เป็นพยาน คุณน้องก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณน้องเพ้อเจ้อจริงหรือไม่


nongkong มาเป็นชุดเลยนะ เพราะจิตไม่อยู่กับร่องกับรอย อยากเอาชนะ มีอคติกับผู้อื่น พอใครพูดไม่เข้าหู ไม่ชอบอกชอบใจ ไม่ถูกจริต จึงพาลหาว่าคนอื่นเขาจะมาทำร้าย มาใส่ร้าย ฉันก็แค่เห็นว่าnongkong ออกแนวจินตนาการมากไป ไม่อยากให้ถลำลึกจึงได้แนะนำว่าให้ไปศึกษาเพิ่มเติม แต่ด้วยความที่ nongkong ไม่อยู่กับร่องกับรอย หวาดระแวงผู้อื่น เสมือนคนมีความฟั่นเฟือนจึงคิดว่าเราใส่ร้าย มีอคติ พาลหยิบยกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับมาขู่เราซะงั้น

หัดทำสมาธิให้มากๆ เจริญสติให้มากๆ จะได้มีสติยั้งคิดตลอดเวลา จิตจะได้ไม่เกิดความหวาดระแวงผู้อื่นนะ ไม่ใช่ว่าใครพูดไม่ถูกจริตตนก็หาว่าเขาผู้นั้นจะมาทำร้าย หวาดระแวงไปหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งเขาหยิบยื่นความหวังดีให้ ก็ดันไปหาว่าเขาอคติซะงั้น มันทำให้เขาเสียความตั้งใจนะnongkong

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


งามตา เขียน:
nongkong เขียน:
งามตา เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องรู้คำตอบที่เกิดขึ้นกับตัวเองทุกอย่าง เพราะตราบใดที่สรรพสัตส์ยังทุกข์ ขอให้คุนน้องได้รับรู้ความทุกข์เผื่อเป็นแรงผลักดันจนกว่าคุนน้องจะบรรลุปณิธานที่หวังไว้ในอนาคตเบื้องหน้า คุนน้องจะรอดูว่าโลกมนุษย์จะเกิดสันติสุขปรองดองต่อกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่มีขอทาน ไม่มีคนเก็บขยะ ไม่มีสุนัขจรจัด ในนิมิตมีท่านผู้นึงบอกให้คุนน้องจัดการกับปีศาจที่จะบุกรุกดินแดนแห่งสันติสุข คุนน้องจะเอาปีศาจออกไปจากจิตใจมนุษย์ทุกคนให้ได้ค่ะ :b1:


ออกแนวเพ้อฝัน จินตนาการมากไปแล้วนะคะนี่ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง

คุณน้องมีสติรู้ตัวดีทุกอย่าง ยังไงงามตาก็ไม่มีทางเข้าใจได้
แต่ถ้าคิดว่าธรรมที่คุณน้องบอกไปเป็นความเพ้อเจ้อฟุ้งซ่านจินตนาการมากไป คุณน้องก็จะอธิษฐานจิตเพื่อขอขมาต่อพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หวังว่างามตาจะไม่เอากิเลศของตนเอง เพราะเกิดมักขะในจิตมาตำหนิธรรมของคุณน้องนะ ขอให้สิ่งศักสิทธิ์เป็นพยาน คุณน้องก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณน้องเพ้อเจ้อจริงหรือไม่


nongkong มาเป็นชุดเลยนะ เพราะจิตไม่อยู่กับร่องกับรอย อยากเอาชนะ มีอคติกับผู้อื่น พอใครพูดไม่เข้าหู ไม่ชอบอกชอบใจ ไม่ถูกจริต จึงพาลหาว่าคนอื่นเขาจะมาทำร้าย มาใส่ร้าย ฉันก็แค่เห็นว่าnongkong ออกแนวจินตนาการมากไป ไม่อยากให้ถลำลึกจึงได้แนะนำว่าให้ไปศึกษาเพิ่มเติม แต่ด้วยความที่ nongkong ไม่อยู่กับร่องกับรอย หวาดระแวงผู้อื่น เสมือนคนมีความฟั่นเฟือนจึงคิดว่าเราใส่ร้าย มีอคติ พาลหยิบยกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับมาขู่เราซะงั้น

หัดทำสมาธิให้มากๆ เจริญสติให้มากๆ จะได้มีสติยั้งคิดตลอดเวลา จิตจะได้ไม่เกิดความหวาดระแวงผู้อื่นนะ ไม่ใช่ว่าใครพูดไม่ถูกจริตตนก็หาว่าเขาผู้นั้นจะมาทำร้าย หวาดระแวงไปหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งเขาหยิบยื่นความหวังดีให้ ก็ดันไปหาว่าเขาอคติซะงั้น มันทำให้เขาเสียความตั้งใจนะnongkong

อ้าวอะไรกันงามตา อยู่ๆก็มาเอะอะหาว่าจิตเราไม่อยู่กับร่องกับรอย จิตเทออยู่กับร่องกับรอยคนเดียวหรอ
เทอเป็นห่วงเรา หาว่าเราออกแนวฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ เราก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ ให้สิ่งศักสิทธิ์เป็นพยานในสิ่งที่เราตั้งใจ แล้วเราก็ไม่ได้ขู่ เราบริสุทธ์ใจเราก็พูดออกไปจากใจตอนนั้น ไม่เคยขู่ใครเพราะแค่คำขู่มันไม่สามารถทำร้ายใครได้หรอก นอกจากพวกจิตตกไปเอง เราแค่จะบอกว่าสิ่งที่เราตั้งใจเราไม่ได้เพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน เราให้สิ่งศักสิทธิ์เป็นพยาน ถ้าเราเพ้อเจ้อให้สิ่งศักสิทธิ์ลงโทษ ก็แค่นี้ทำไมหรอ ก็คนเค้าตั้งใจจะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ คนเราทุกข์เพราะการเกิดแก่เจ็บตายแล้ว ยังต้องมาทุกข์ทรมานดิ้นรนจากการกดขี่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบมันก็ทุกข์เช่นกัน คุณน้องก็บอกว่าจะเอาปีศาจออกไปจากจิตใจมนุษย์ให้ได้(มันเป็นความปราถนาที่ตั้งไว้ภายในใจเพ้อเจ้อใช่ไหม) งามตาก็มาหาว่าคุณน้องเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน งามตากำลังท้าทายคุณน้องอยู่ งั้นคุณน้องจะให้สิ่งศักสิทธิ์เป็นพยานด้วยก็แค่นี้
เพราะคุณน้องก็อยากพิสูจน์ตนเองว่าที่จริงแล้วตัวเองเพ้อเจ้อจินตนาการไปเองรึเปล่า คนเราถ้าตั้งใจจะทำความดีเพื่อผู้อื่น เจอคนมาพูดแบบนี้ก็ของขึ้นเหมือนกันแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นคนของขึ้นมีหลายๆอาการ นี่เปนหนึ่งในหลายๆอาการนั้น :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=FS3tn1l7gK8

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เห็นคนของขึ้นมีหลายๆอาการ นี่เปนหนึ่งในหลายๆอาการนั้น :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=FS3tn1l7gK8

พี่กรัชกายอ่านคอมเม้นด้านล่างคลิปป่าว แรงงง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านที่คุณน้องเขียน แล้วต้องนั่งอมยิ้ม พี่เต้คิดว่าคงจะเป็นเพราะอายุ
เลยมีคำว่าของขึ้น

พี่เต้คิดว่า ถ้าคุณน้องคองอายุ เข้า 35up คุณน้องคองอาจจะ มองผ่านคำว่าของขึ้นไปได้
ตอนพี่เต้อายุเท่าคุณน้องคอง พี่เต้ก็เป็นแบบคุณน้องคองแบบนี้ล่ะค่ะ
แต่พอ ณ.ปัจจุบัณ คำว่าของขึ้นไม่มีเลยค่ะ
ใครพูดใครเตือนอะไร เอามาคิด อะไรที่ดีๆเก็บเอาไว้
อะไรที่ไม่ดี ก็ใส่ถุงมัดแน่นๆใส่ถังขยะไป
ค่อยๆฝึกค่ะ :b1: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


การมีคู่ครอง คงเป็นไปตามเหตุปัจจัย บุญทำกรรมแต่ง ล่ะกระมั้งค่ะ

สวรรค์จะต้อนรับหรือไม่ต้อนรับ อยู่ที่การกระทำบุญ-บาปของเรา
คงไม่เกี่ยวกับการมีคู่ครอง-ไม่มีคู่ครอง หรอกค่ะ

การเป็นคนสมบูรณ์แบบ-ไม่สมบูรณ์แบบ
ก็คงไม่เกี่ยวกับการมีคู่ครอง-ไม่มีคู่ครอง อีกหละค่ะ

ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะไหน โสด มีคู่ครอง ม่าย ฆารวาส นักบวช ฯลฯ
ขอให้พอใจในฐานะที่ตนเป็นอยู่ แล้วก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
เช่นนี้ถึงจะนับว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบคะ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2013, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลา เขียน:
เคยได้ยินผู้ใหญ่บอกว่า เกิดเป็นมนุษย์ต้องแต่งงานมีคู่ครอง
เพราะถ้าไม่มี สวรรค์จะไม่ต้อนรับ เนื่องจากเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ
จริงไหมค่ะ s006 s006 s006



สวรรค์ ก็ต้องพิจารณาดูครับว่า ศาสนาไหน ถ้าพุทธศาสนาก็คงมีเหตุผลตั้งครับ อย่างคาถาที่เทวดาเสด็จมาถามคำถามพระพุทธเจ้า ก็ตั้งใจมาถามในหลายทิฎฐิ เช่น สงสัยจึงมาถาม เทียบความรู้ว่าตรงกันหรือไม่ หรือ ยกตนข่มว่าตัวเองเป็นเทวดา พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ จะมาเก่งกว่าเทวดาได้อย่างไร คาถาของเทวดาเป็นจำนวนมากก็ลงกันสมกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็มีส่วนน้อยไม่ลงกัน

แต่หากเป็นศาสนาอื่น ก็ต้องมีคำสอนที่ต่างกันออกไป ก็ต้องดูความเห็นตัวเองก่อนว่า ตัวเองเป็นคนม่ความเห็นไปทางด้านใด

พุทธศาสนามี ปฎิจจสมุปบาท เป็นวงล้อของชีวิต ที่แสดงอดีตและอนาคต ด้วยการยกเอาเหตุและผล มาอธิบายครับผม ไม่ยกมาแสดงในลักษณะตายตัวว่า หากไม่แต่งงาน สวรรค์จะไม่ต้อนรับ อย่างนี้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2013, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b46:


:b1: สนทนากันผ่านตัวอักษรอย่างนี้ต้องระวังตัวอักษรกันดีๆเนอะ,,, :b39:
เพราะอักษรเดียวกัน แต่คนอ่านแตกต่างกันอาจจะต่างคนตีความไปคนละทางได้

:b9:


ก็..เรามาที่นี่ก็เพื่อได้สนทนากันอย่างสบายใจกันทุกคนใช่ไหมคะ
:b16:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร