วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 18:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2013, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


พรพระ และ พรเทพเจ้า
คำว่าพระให้พร กับ เทพเจ้าให้พร หรือ ขอพรจากพระ หรือ ขอพรจากเทพเจ้า นั้น หลายๆท่านหรือน่าจะเกือบทุกคน คงมีความเข้าใจว่า คือสิ่งที่เป็นมงคล เป็นสิ่งที่สามารถบันดาล ให้ผู้ได้รับพรนั้นมีความสุข ความเจริญหรืออื่นใดอันเป็นความรุ่งเรืองแห่งตน
แม้แต่ผู้ให้พร เองก็อาจจะมีความเข้าใจว่า การให้พร คือ การให้สิ่งที่เป็นสิริมงคล ต่อผู้รับ แม้ตัวข้าพเจ้าเอง ก็มีความเข้าใจเยี่ยงที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาก่อน
แต่เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ขณะเดินกลับบ้าน ผินหน้าไปทางทิศเหนือ ข้าพเจ้าก็เห็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แล้วตัวข้าพเจ้าก็ลอยเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เทพเจ้าพระองค์นั้น มีเสือลายพาดกลอนอยู่ด้านข้างทางขวา ที่พระศอมีงูอยู่ด้วย ไม่ถืออาวุธ รูปร่างไม่สูง หน้าตาดูเด็กมากๆ เกล้าผมเป็นมวย ด้านบนท้องฟ้ามีลักษณะคล้ายหลังคาโค้งมนและต่ำ ด้านพื้น เหมือนเป็นพื้นดิน มีต้นหญ้า ต้นไม้ ข้าพเจ้าถึงกับตกใจ และข้าพเจ้าได้รับพรอะไรบางอย่างจากเทพเจ้าองค์นั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพรอะไร แต่เมื่อมาคิดพิจารณาดู ก็เกิดความรู้ความเข้าใจว่า "พร" ที่เทพเจ้าองค์นั้นให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องฝึกปฏิบัติ ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าได้รับพรแล้วจะสมความมุ่งมาดปรารถนา จากนั้นเมื่อวันพุธ ที่ผ่านมานี้ ไปซื้อของที่ตลาด พอแม่ค้าซึ่งน่าจะเป็นอิสลาม จ้องมาที่ข้าพเจ้า เทพเจ้าพระองค์นั้น ก็ปรากฎขึ้น พร้อมกับเสือลายพาดกลอน ทางด้านหลังข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าเล่าให้ได้อ่านกันนี้ก็เพื่อให้ได้รู้ว่า
การให้พร การรับพร ไม่ใช่การให้เพียงเฉพาะคำพูด แต่คำพรทั้งหลายเหล่านั้น คือ "คำสอน คำแนะนำ"ที่ผู้รับจักต้องนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่รับพร เพื่อความสบายอกสบายใจ เพื่อความหวังที่จะได้บุญ ได้ความเป็นสิริมงคล แต่ พร ทั้งหลายเหล่านั้น คือ "คำสอน คำแนะนำ" ดังนั้นทั้งผู้ให้พร และ ผู้รับพร ควรได้รู้เรื่อง ของการให้และรับ "พร"ทั้งหลาย จากพระ หรือใครก็ตาม ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงพอรู้เรื่องแต่เป็นภาษาบาลี ควรได้ศึกษา กันโดยทั่วหน้า และเล่าบอกกล่าวสืบต่อกันไป เพื่อให้ผู้ศรัทธา เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2013, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
พรพระ และ พรเทพเจ้า
คำว่าพระให้พร กับ เทพเจ้าให้พร หรือ ขอพรจากพระ หรือ ขอพรจากเทพเจ้า นั้น หลายๆท่านหรือน่าจะเกือบทุกคน คงมีความเข้าใจว่า คือสิ่งที่เป็นมงคล เป็นสิ่งที่สามารถบันดาล ให้ผู้ได้รับพรนั้นมีความสุข ความเจริญหรืออื่นใดอันเป็นความรุ่งเรืองแห่งตน
แม้แต่ผู้ให้พร เองก็อาจจะมีความเข้าใจว่า การให้พร คือ การให้สิ่งที่เป็นสิริมงคล ต่อผู้รับ แม้ตัวข้าพเจ้าเอง ก็มีความเข้าใจเยี่ยงที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาก่อน
แต่เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง ขณะเดินกลับบ้าน ผินหน้าไปทางทิศเหนือ ข้าพเจ้าก็เห็น เทพเจ้าองค์หนึ่ง แล้วตัวข้าพเจ้าก็ลอยเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เทพเจ้าพระองค์นั้น มีเสือลายพาดกลอนอยู่ด้านข้างทางขวา ที่พระศอมีงูอยู่ด้วย ไม่ถืออาวุธ รูปร่างไม่สูง หน้าตาดูเด็กมากๆ เกล้าผมเป็นมวย ด้านบนท้องฟ้ามีลักษณะคล้ายหลังคาโค้งมนและต่ำ ด้านพื้น เหมือนเป็นพื้นดิน มีต้นหญ้า ต้นไม้ ข้าพเจ้าถึงกับตกใจ และข้าพเจ้าได้รับพรอะไรบางอย่างจากเทพเจ้าองค์นั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพรอะไร แต่เมื่อมาคิดพิจารณาดู ก็เกิดความรู้ความเข้าใจว่า "พร" ที่เทพเจ้าองค์นั้นให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องฝึกปฏิบัติ ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าได้รับพรแล้วจะสมความมุ่งมาดปรารถนา จากนั้นเมื่อวันพุธ ที่ผ่านมานี้ ไปซื้อของที่ตลาด พอแม่ค้าซึ่งน่าจะเป็นอิสลาม จ้องมาที่ข้าพเจ้า เทพเจ้าพระองค์นั้น ก็ปรากฎขึ้น พร้อมกับเสือลายพาดกลอน ทางด้านหลังข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าเล่าให้ได้อ่านกันนี้ก็เพื่อให้ได้รู้ว่า
การให้พร การรับพร ไม่ใช่การให้เพียงเฉพาะคำพูด แต่คำพรทั้งหลายเหล่านั้น คือ "คำสอน คำแนะนำ"ที่ผู้รับจักต้องนำไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่รับพร เพื่อความสบายอกสบายใจ เพื่อความหวังที่จะได้บุญ ได้ความเป็นสิริมงคล แต่ พร ทั้งหลายเหล่านั้น คือ "คำสอน คำแนะนำ" ดังนั้นทั้งผู้ให้พร และ ผู้รับพร ควรได้รู้เรื่อง ของการให้และรับ "พร"ทั้งหลาย จากพระ หรือใครก็ตาม ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงพอรู้เรื่องแต่เป็นภาษาบาลี ควรได้ศึกษา กันโดยทั่วหน้า และเล่าบอกกล่าวสืบต่อกันไป เพื่อให้ผู้ศรัทธา เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนี้



การที่พรนั้นจะสำเร็จนั้นต้องขึ้นอยู่กับบุญที่เราทำมา เช่นพระให้พระตอนใส่บาตร
เมื่อเปรียบเทียบกับอานิสงค์ของการใส่บาตรแล้วคือเปรียบเหมือนให้ น้ำอาหาร
เป็นการให้กำลัง อายุ วรรณะ สุข ซึ่งตรงกับคำให้พระของพระว่า
อายุ วรรโณ สุขขัง พลัง ซึ่งพรที่ให้นั้นเป็นจริง

เมื่อกล่าวถึงการใส่บาตรนั้นถ้าเราน้อมจิตเพื่อถวายแก่พระอริยะสงฆ์โดยไม่เจาะจงสงฆ์ก็จะเป็นสังฆทานได้เช่นกัน มีอานิสงค์มากกว่า การให้แบบเจาะจงสงฆ์

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2013, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


รสมน เขียน:
การที่พรนั้นจะสำเร็จนั้นต้องขึ้นอยู่กับบุญที่เราทำมา เช่นพระให้พระตอนใส่บาตร
เมื่อเปรียบเทียบกับอานิสงค์ของการใส่บาตรแล้วคือเปรียบเหมือนให้ น้ำอาหาร
เป็นการให้กำลัง อายุ วรรณะ สุข ซึ่งตรงกับคำให้พระของพระว่า
อายุ วรรโณ สุขขัง พลัง ซึ่งพรที่ให้นั้นเป็นจริง

เมื่อกล่าวถึงการใส่บาตรนั้นถ้าเราน้อมจิตเพื่อถวายแก่พระอริยะสงฆ์โดยไม่เจาะจงสงฆ์ก็จะเป็นสังฆทานได้เช่นกัน มีอานิสงค์มากกว่า การให้แบบเจาะจงสงฆ์

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ


อายุ วรรโณ สุขขัง พลัง

ที่เรียกกันว่าเป็นคำให้พรของพระ
แท้ที่จริงแล้วเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงสอนว่า
การใส่บาตรด้วยอาหารคาวหวานเป็นต้นนั้น เป็นการให้ อายุ ผิวพรรณ ความสุข และกำลัง แก่ผู้รับ
ซึ่งก็เป็นการสร้างเหตุนั่นเอง และก็จะเกิดผลแก่ผู้สร้างเหตุ คำว่า"พร"ก็ตกไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2013, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘
๗. เรื่องพราหมณ์ผู้เป็นสหายของพระสารีบุตรเถระ

พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์
พระศาสดาตรัสถามว่า "ได้ยินว่าอย่างนั้นหรือ? พราหมณ์" เมื่อพราหมณ์ทูลรับว่า "อย่างนั้น" แล้ว จึงตรัสว่า "พราหมณ์ ทานที่ท่านบูชายัญอย่างที่เขาบูชากัน ให้แก่โลกิยมหาชนตั้งปี ย่อมไม่ถึงแม้เพียงส่วนที่ ๔ แห่งกุศลเจตนาที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งหลาย ผู้ไหว้สาวกของเราด้วยจิตที่เลื่อมใส"
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

๗. ยงฺกิญฺจิ ยิฏฺฐํ ว หุตํ ว โลเก
สํวจฺฉรํ ยเชถ ปุญฺญเปกฺโข
สพฺพํปิ ตํ น จตุภาคเมติ
อภิวาทนา อุชุคเตสุ เสยฺโย.

ผู้มุ่งบุญพึงบูชายัญ และทำเซ่นสรวงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในโลกตลอดปี, ทานนั้น แม้ทั้งหมดไม่ถึงส่วนที่ ๔
แห่งการอภิวาทในท่านผู้ดำเนินตรงประเสริฐสุด.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยงฺกิญฺจิ นี้ เป็นคำรวบถือไม่มีส่วนเหลือ.
บทว่า ยิฏฺฐํ ได้แก่ ทานที่เขาให้ด้วยอำนาจการทำมงคลเป็นต้น โดยมาก.
บทว่า หุตํ ได้แก่ ทานเพื่อแขกที่เขาจัดแจงทำ และทานที่เขาเชื่อกรรมและผลของกรรมทำ.
สองบทว่า สํวจฺฉรํ ยเชถ ความว่า พึงให้ทานมีประการดังกล่าวแล้วแก่โลกิยมหาชน แม้ในจักรวาลทั้งสิ้น ตลอดปีหนึ่งไม่มีระหว่างเลย.
บทว่า ปุญฺญเปกฺโข ได้แก่ ผู้ปรารถนาบุญ.
บทว่า อุชุคเตสุ ความว่า ในพระโสดาบันโดยที่สุดอย่างต่ำ ในพระขีณาสพโดยที่สุดอย่างสูง.

คำนี้ เป็นคำที่พระศาสดาตรัสไว้ว่า "ทานนั้นทั้งหมด ไม่ถึงแม้ส่วนที่ ๔ จากผลแห่งกุศลเจตนาของผู้น้อมสรีระไหว้ ด้วยจิตที่เลื่อมใสเห็นปานนั้น เพราะฉะนั้น การอภิวาทในท่านผู้ดำเนินตรงเท่านั้น ประเสริฐสุด.


ในเวลาจบเทศนา พราหมณ์บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=18&p=7


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 01 พ.ย. 2013, 08:52, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2013, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


จากเรื่องอายุวัฒนกุมาร

"ภิกษุทั้งหลาย อายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่,
ก็สัตว์เหล่านี้ไหว้ท่านผู้มีพระคุณ ย่อมเจริญด้วยเหตุ ๔ ประการ,
พ้นจากอันตราย ดำรงอยู่จนตลอดอายุทีเดียว" ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

๘. อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ.
ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เจริญแก่
บุคคลผู้กราบไหว้เป็นปกติ ผู้อ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญ
เป็นนิตย์.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิวาทนสีลิสฺส คือ ผู้ไหว้เป็นปกติ ได้แก่ผู้ขวนขวายกิจคือการไหว้เนืองๆ.

บทว่า วุฑฺฒาปจายิโน ความว่า แก่คฤหัสถ์ผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ แม้ในภิกษุหนุ่มและสามเณรบวชในวันนั้น, ก็หรือแก่บรรพชิตผู้อ่อนน้อมหรือผู้บูชาเป็นนิตย์ ด้วยการกราบไหว้ในท่านผู้แก่กว่าโดยบรรพชาหรือโดยอุปสมบท (หรือ) ในท่านผู้เจริญด้วยคุณ.

สองบทว่า จตฺตาโร ธมฺมา ความว่า เมื่ออายุเจริญอยู่, อายุนั้นย่อมเจริญสิ้นกาลเท่าใด, ธรรมทั้งหลายแม้นอกนี้ ก็เจริญสิ้นกาลเท่านั้นเหมือนกัน ด้วยว่าผู้ใดทำกุศลที่ยังอายุ ๕๐ ปี ให้เป็นไป, อันตรายแห่งชีวิตของผู้นั้นพึงเกิดขึ้นแม้ในกาลมีอายุ ๒๕ ปี, อันตรายนั้นย่อมระงับเสียได้ ด้วยความเป็นผู้กราบไหว้เป็นปกติ. ผู้นั้นย่อมดำรงอยู่ได้จนตลอดอายุทีเดียว. แม้วรรณะเป็นต้นของผู้นั้น ย่อมเจริญพร้อมกับอายุแล.

นัยแม้ยิ่งกว่านี้ ก็อย่างนี้แล.
ก็ชื่อว่าการเจริญแห่งอายุ ที่เป็นไปโดยไม่มีอันตราย หามีไม่.
ในเวลาจบเทศนา อายุวัฒนกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับอุบาสก ๕๐๐ แล้ว, แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=18&p=8


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2013, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเล่าต่ออีกสักหน่อย ถึงลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะของเทพเจ้าพระองค์นั้น
ลักษณะของเทพเจ้าที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง มองดูคล้ายตัวเตี้ย แต่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเหมือนกับว่า ท่านเป็นเพียงเนรมิตร่างกายให้ดูเตี้ย ร่างกายหนากว้าง
ลักษณะภูมิประเทศรอบข้างน้้น แม้มีต้นหญ้า และต้นไม้ แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นสีของใบไม้ และต้นหญ้า เพียงเห็นเป็นสีคล้ายสีน้ำตาล ไม่มีแสงสว่าง แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ด้านหลังขององค์เทพเจ้านั้น ไกลออกไป ข้าพเจ้ามองเห็นคล้ายสิ่งก่อสร้าง เป็นบ้านหรืออะไรสักอย่าง แต่ข้าพเจ้ามองได้ไม่ถึง ๒-๓ วินาที เทพเจ้าองค์นั้นก็แลตามามองข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นสิ่งก่อสร้างนั้นเลือนลางไป แล้วตัวข้าพเจ้าก็กลับมาสู่จุดที่กำลังเดินอยู่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร